๓
พร้อมด้วยลมหนาว และความใฝ่ฝันถึงงานฉลองรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ที่ได้พูดถึงกันมาหลายวัน ประชาชนไทยได้ตื่นขึ้นมา ในเช้าวันที่ ๘ ธันวาคม อันเป็นวันเริ่มงานฉลองรัฐธรรมนูญ ด้วยความรู้สึกเบิกบานแจ่มใส พวกหนุ่มๆสาวๆ ที่ได้กะแผนการเที่ยวเตร่อย่างสนุกสนาน และได้นัดหมายล่วงหน้ากันไว้แล้ว ก็พากันหน้าบานที่วันที่เฝ้าคอยมาอย่างใจจดใจจ่อนั้น ได้มาถึงสมมโนรถแล้ว และบ้างก็ลงมือพูดจาร่าเริงถึงเรื่องการเที่ยวงานในตอนกลางคืนตั้งแต่ยังไม่ทันล้างหน้า แต่ก็ดังที่พุทธศาสนาได้สอนไว้ว่า ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง จึงพร้อมๆกับสิ่งที่คนทั้งหลายใฝ่ฝันเฝ้าคอยด้วยใจอันร่าเริงได้มาถึงนั้น สิ่งที่ใครๆ มิได้คาดคอย มิได้เชื้อเชิญ แต่มิได้ต้องการมันเลย แต่มันก็สะเออะหน้าเข้ามา ในวันนั้นด้วยเหมือนกัน และก็เป็นการเคราะห์ร้ายสำหรับชาวไทยมิใช่เล่น ที่หน้าซึ่งสะเออะเข้ามานั้น ก็เป็นหน้าที่น่าขนลุกขนพองไม่น้อยหน้าของภูตผีปีศาจ และกอร์ปด้วยอันตรายยิ่งกว่าภูตผีปีศาจหลายเท่านัก มันคืออสูรสงครามที่เผ่นจากยุโรปเข้ามาแผดเสียงคำรามอยู่ในย่านเอเซีย และบัดนี้มันได้มาแผดเสียงกึกก้องอยู่ที่ประตูหลังบ้านของเรา และลงมือขม้ำชีวิตของพวกเราเข้าไปแล้ว
แท้จริงเจ้าอสูรสงครามได้แหกประตูหลังบ้านของเราเข้ามาแต่ในยามดึกสงัดราวตีสอง ในขณะที่ชาวไทยทั่วราชอาณาจักรกำลังสนิทรารมณ์อันสนิท และในขณะที่หนุ่มสาวซึ่งมีใจผูกพันอยู่กับการเที่ยวงานรัฐธรรมนูญในคืนรุ่งขึ้น กำลังเอร็ดอร่อยอยู่กับความฝัน แต่กว่าประชาชนไทยจะทราบข่าวการมาของมัน ก็ต่อเมื่อเข้ายามสายของเช้าวันที่ ๔ วิทยุกระจายเสียงของรัฐบาล จึงได้ประกาศคำแถลงการณ์ของรัฐบาลออกมาเมื่อเวลา ๐๙.๐๐ น. จนถึงเวลานั้น ประชาชนไทยจึงได้ทราบว่า ประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาแล้ว และกองทหารญี่ปุ่นก็ได้ลงมือบุกประเทศไทยโดยมิได้ประกาศสงคราม ตั้งแต่เวลาตีสองของคืนวันที่ ๗
กองทหารญี่ปุ่นได้บุกประเทศไทยทั้งทางน้ำและทางบก ทางน้ำเรือรบญี่ปุ่นได้นำพลญี่ปุ่นขึ้นบกที่จังหวัดสงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ และบางปู ทางบกญี่ปุ่นได้เดินทัพเข้ามาทางจังหวัดพระตะบองและพิบูลสงคราม เกือบทุกจุดที่กองทหารญี่ปุ่นได้เปิดการรุกรานขึ้นนั้น ทหารและตำรวจไทยได้ทำการต่อต้านอย่างเข้มแข็งตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้ประกาศไว้ล่วงหน้าย้ำแล้วย้ำอีกว่า ไทยจะต่อสู้ศัตรูผู้รุกรานอย่างไม่ลดละ แถลงการณ์ของรัฐบาลแจ้งว่า รัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นกำลังเจรจากันอยู่
ข่าวเรื่องนี้เหมือนกับฝนห่าใหญ่ที่เทลงมาบนกองไฟแห่งความกระหายตื่นเต้นของผู้คนที่พูดจาร่าเริงถึงการเที่ยวงานฉลองรัฐธรรมนูญในตอนกลางคืน ทำให้กองไฟนั้นดับวับลงในทันที ความแจ่มใสร่าเริงถูกขับไป ความอกสั่นขวัญหายและความห่อเหี่ยวเข้ามาแทนที่ เสียงโจษจันกันถึงเรื่องการรบระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ดังแซดไปตามสถานที่ราชการ ตามอาคารร้านค้า และบ้านเรือน มีการเก็งการเดาเหตุการณ์ในอนาคตกันไปต่าง ๆ ผู้ที่มีความรู้หรือคิดว่ามีความรู้ก็เก็งการณ์ไปตามความรู้ของคนตรงกันข้าม แย้งกันบ้าง และแทนที่จะสงวนกำลังไว้สู้รบกับญี่ปุ่น ก็หวุดหวิดจะฉะปากกันเสียเองบ้าง เพราะการโต้เถียงอย่างไม่ลดราวาศอกกัน ผู้ที่ไม่รู้บางส่วนก็เดาเหตุการณ์ไปตามอารมณ์ บางส่วนก็คอยชะเง้อคอเข้าไปในกลุ่มที่เขากำลังออกความเห็นกัน แล้วก็เก็บเอาความเห็นที่เขาพูดจากันไปเล่าต่อ ประหนึ่งว่า ได้เล็งเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าด้วยทิพยจักษุ ชาวบ้านส่วนมากต่างเชื่อว่าคงจะต้องมีการรบกันใหญ่
“มันต้องฟาดกันแหลกลงไปข้างหนึ่ง ไม่อ้ายยุ่นแหลก ก็เราละวะที่จะต้องแหลก” เจ้าหนุ่มร่างกำยำในกลุ่มชายฉกรรจ์ร้องขึ้น “รัฐบาลท่านประกาศไว้แล้วนี่วะ ให้เราสู้ตาย”
“ถ้ารัฐบาลท่านแจกปืน กูก็เอาด้วยคน”
“บ้านกูมีแต่อีโต้อยู่เล่มเดียวเท่านั้นโว้ย”
“อีโต้เล่มเดียวก็ดีถมไปแล้วละมึง มึงไม่ได้ยินรัฐบาลท่านประกาศหรือว่า ชั้นชั่วไม่มีอะไร ท่านก็สั่งให้ใช้หมามุ้ยสู้กับมัน”
“จริงซีวะ เกิดเป็นไทยมันต้องสู้”
“ก็อยากสู้เหมือนกันแหละวะ ถ้าท้องมันไม่หิว”
ฝ่ายพวกผู้หญิงและคนแก่ ก็พากันเป็นห่วงเรื่องข้าวของจะแพงลูกหลานจะอดอยากกัน ส่วนภัยอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิตเพราะการรบกันนั้น ดูไม่สู้จะตกใจกันมากนัก เพราะเมื่อเกิดสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสเมื่อราวหนึ่งปีที่แล้ว ผู้คนในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัดก็ไม่ได้รับความกระทบกระเทือนจากสงคราม คนส่วนใหญ่จึงคะเนว่าคราวนี้สงครามก็คงจะไม่ก่อความเดือดร้อนยิ่งไปกว่าครั้งนั้นกระมัง ส่วนพวกหนังสือพิมพ์ก็คิดถึงโอกาสที่จะได้ทำข่าวตื่นเต้นครึกโครมไปได้อีกนานวัน ส่วนคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นบุคคลจำพวกเดียวที่ได้ทราบข่าวร้ายนี้ตั้งแต่ตอนดึก และต้องแบกความรับผิดชอบอันหนักอึ้งในการขบปัญหาเรื่องนี้มาตั้งแต่ยามดึกจนถึงรุ่งเช้า ส่วนพวกหากินในทางค้าขาย โดยเฉพาะพวกที่มีส่วนได้เสียอยู่มากจากการสงคราม ก็พากันตีดลูกคิดรางแก้วจ้องจะตะครุบผลกำไรด้วยตาเป็นมันท่าเดียว
ถึงแม้จะไม่ตกอกตกใจกันจนเกินไป เพราะยังคาดไม่ถึงว่าการที่สงครามมาเคาะประตูบ้านอยู่นี้ จะนำความวิบัติมาสู่ชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยมากมายปานใด ขณะที่รอคอยผลการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นอยู่นี้ คนโดยมากก็พากันหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะเมื่อคิดถึงการย้ำประกาศของรัฐบาลอยู่เนืองๆ ว่า ไทยจะต่อสู้ผู้รุกรานจนยิบตาแล้ว เขาก็แลไม่เห็นและอ่านไม่ออกว่า ประเทศจะพ้นจากการรบกับกองทหารญี่ปุ่นจนถึงแตกหักกันไปฝ่ายหนึ่งได้อย่างไร
อย่างไรก็ดี ในตอนบ่ายของวันที่ ๘ นั้นเอง ก็มีแถลงการณ์ของรัฐบาลคลอดออกมาอีกฉบับหนึ่ง โดยกล่าวว่าการที่จะต่อสู้กันต่อไปเป็นการเสียเลือดเนื้อชาวไทย โดยไม่สำเร็จประโยชน์ จึงต้องพิจารณาตามข้อเสนอของญี่ปุ่น และผ่อนผันให้ทางเดินแก่กองทัพญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นให้คำมั่นสัญญาว่าจะเคารพเอกราชอธิปไตย และเกียรติศักดิ์ของไทย จึงเป็นอันว่าการรบต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น ได้ระงับลงภายในเวลาไม่ทันข้ามวัน
“ถุย!” ชายวัยกลางคนที่ยืนฟังข่าววิทยุกระจายเสียงอยู่ที่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่ง ขากน้ำลายลงบนถนน แล้วก็พูดต่อด้วยท่าทางฮึดฮัดว่า “ไหนเสือกประกาศว่า จะให้สู้จนกระทั่งให้เอาหมามุ้ยเป็นอาวุธและเผาบ้านเรือนให้ราบ” แล้วชายผู้นั้น ก็เดินกัดฟันกรอด ผละจากกลุ่มชนไป
ในเวลาเดียวกัน วิทยุกระจายเสียงได้ประกาศข่าวจากต่างประเทศว่า กองทัพเรือญี่ปุ่นได้โจมตีเกาะฮาวายและฟิลิปปินส์ และได้ส่งทหารขึ้นบกที่โกตาบารูในเขตมลายูของอังกฤษ และเข้าโจมตีสิงคโปร์โดยทางเครื่องบินอย่างหนัก การถลกแขนเสื้อของชาวหนังสือพิมพ์ด้วยหมายใจว่า จะได้แข่งขันทำข่าวพาดหัวกันให้เต็มรักนั้น ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะว่าทางรัฐบาลใช้ระบบเซ็นเซ่อร์อย่างเข้มงวด ข่าวต่าง ๆ ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยข่าวของทางราชการที่จืดชืดไม่มีรส ความขวนขวายของชาวหนังสือพิมพ์ที่จะหาข่าวของตนเองมาตีพิมพ์ได้รับการตอบแทนด้วยกากะบาดแดงจากเจ้าพนักงานเซ็นเซ่อร์ ในหน้าหนังสือพิมพ์จึงมีแต่ข่าวของทางราชการเคียงข้างไปกับช่องว่างสีขาว ซึ่งเป็นเนื้อที่ข่าวของหนังสือพิมพ์ที่ถูกตัด หนังสือพิมพ์ที่ไม่ต้องการจะเขียนความเห็นที่ขัดกับมโนธรรมของตน ก็ยุติการเสนอบทนำ เรื่องจึงกลายเป็นว่า ในยามที่ประเทศตกอยู่ในที่คับขันอย่างที่สุดนั้น แทนที่หนังสือพิมพ์จะได้มีโอกาสทำงานอย่างกระปรี้กระเปร่าที่สุด หนังสือพิมพ์กลับมีงานทำน้อยที่สุด จนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นยามฮอลิเดย์ของชาวหนังสือพิมพ์ เพราะรัฐบาลได้ช่วงชิงเอางานของหนังสือพิมพ์ไปทำเสียเกือบหมด
“หนังสือพิมพ์ไม่เห็นเป็นรสเลย” เสียงผู้อ่านตามบ้านตามร้านค้า
“มันจะเป็นรสไปได้ยังไงล่ะคุณ” ชาวหนังสือพิมพ์พูดตอบโต้ออกไปจากภายในสำนักงาน “ลงเอาคนสวนมาทำกับข้าวแทนแม่ครัวมันก็จบกันเพียงแค่นั้นแหละ”
ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่ระลึกของการประกาศรัฐธรรมนูญ ก็ได้กลายเป็นวันประกาศใช้กฎอัยการศึกไปด้วยในคืนวันเดียวกันนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวคำปราศรัยต่อประชาชน ผู้คนก็เงี่ยหูฟัง ด้วยต่างก็ใครจะทราบว่านายกรัฐมนตรีจะอธิบายการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลโดยฉับพลันว่ากระไร ทั้งใคร่จะทราบถึงฐานะและการวางตนของประเทศไทยต่อไปในอนาคตด้วย ในคำปราศรัยนั้นนายกรัฐมนตรีไม่ลืมที่จะกล่าวคำยืนยันไว้แต่ในตอนต้นว่า ท่านก็เป็นผู้รักชาติเช่นเดียวกับพี่น้องร่วมชาติทั้งหลาย ในข้อนี้ได้มีเสียงวิจารณ์กันว่าชะรอยนายกรัฐมนตรีจะมีความกังวลว่า คน ทั้งหลายจะสงสัยในความรักชาติ ที่ได้พลิกนโยบายกลับไปให้ความร่วมมือกับกองทัพของต่างชาติที่บุกประเทศไทย นายกรัฐมนตรีได้เตือนคนไทยว่า อย่าให้มีความคิดเขว และขออย่าให้มีใจไม่สงบ คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีตอนนี้ทำให้ผู้คนเกิดโมโห และมีจิตใจไม่สงบขึ้นมาจริง ๆ คือมีเสียงบ่นกันพึมว่าเรื่องต่าง ๆ รัฐบาลก็ทำไปประกาศไปคนเดียว การเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลทำไปตามลำพังทั้งนั้นไม่ได้ปรึกษาหารือกับราษฎรสักอย่างเดียว แล้วทำไมถึงจะกลับมาว่า ราษฎรมีความคิดไขว้เขว นายกรัฐมนตรีแถลงว่าบัดนี้ นโยบายของประเทศไทยได้เปลี่ยนจากการรักษาความเป็นกลางแล้ว และได้ตักเตือนราษฎรว่า อย่าพายเรือทวนน้ำ จงล่องตามน้ำ คำตักเตือนนี้ได้ทำให้อารมณ์ผู้ฟังเกิดหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อนายกรัฐมนตรีเรียกร้องว่า “ให้พี่น้องร่วมชาติสนับสนุนนโยบายอันใหม่ให้การณ์เป็นไปตามความประสงค์ของกองทัพญี่ปุ่น” ก็มีเสียงสบถสวนขึ้นมาในที่ใดที่หนึ่งว่า “จะไปเอาใจโคตรพ่อโคตรแม่อ้ายทหารต่างชาติมันอยู่ทำไม?” ในที่สุดนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ประชาชนไทยเปลี่ยนจิตใจเสียใหม่ โดยมุ่งผูกไมตรีกับชนชาติญี่ปุ่นและนายกรัฐมนตรีก็ได้แถลงเพื่อให้เป็นที่พอใจประชาชนว่า ที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามาชุมนุมอยู่ในกรุงเทพฯ นี้ เพียงประสงค์จะใช้ผ่านไปสู่ที่อื่น และว่าทหารญี่ปุ่นได้ออกจากกรุงเทพฯ ไปบางส่วนแล้ว คำแถลงข้อนี้ช่วยให้คนบางส่วนคลายความรู้สึกเคร่งเครียดลงได้บ้าง แต่ก็มีคนไม่น้อยที่สงสัยว่า เมื่อมันได้เข้ามาแล้วมันจะยอมออกไปง่ายๆ หรือ นายกรัฐมนตรีได้ขอร้องราษฎร เป็นคำลงท้ายว่า “จงหักใจเดินตามรัฐบาล และก้มหน้ากินเกลือ” มีเสียงวิจารณ์ทะลุว่า “จะยอมกินด้วยกัน หรือจะให้พวกราษฎรก้มหน้ากินไปฝ่ายเดียว” หนังสือพิมพ์ได้ตีพิมพ์ข่าวคำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีอย่างเงียบเชียบโดยไม่มีข้อวิจารณ์
บรรยากาศในพระนครเต็มไปด้วยความห่อเหี่ยวใจ ระคนด้วยความฮึดฮัดและหวาดกลัว ใคร ๆ ต่างไม่แน่ใจว่า รัฐบาลจะนำประเทศไปในทางทิศใด จะเป็นทางมืดหรือทางสว่างก็ไม่อาจจะวางใจได้ การที่ราษฎรจะเปลี่ยนจิตใจอย่างฉับพลันมาผูกไมตรีกับชาวต่างชาติที่บุกรุกเข้ามาในประเทศของเขา ด้วยอาศัยศัสตราวุธเป็นเครื่องกำหนดมิตรภาพนั้น ก็เป็นการยากอยู่สักหน่อย พวกราษฎรไม่อาจที่จะเปลี่ยนจิตใจได้อย่างปุบปับฉับพลันเหมือนกับนายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาล ผู้คนตามเมืองต่าง ๆ ก็คอยฟังข่าวความคลี่คลายของเหตุการณ์จากวิทยุกระจายเสียงและหนังสือพิมพ์ และในยามที่มีการเซ็นเซ่อร์หนังสือพิมพ์อันเป็นเหตุให้หนังสือพิมพ์ไม่อาจที่จะแสดงความเห็นได้อย่างตรงไปตรงมา ผู้คนก็ขาดที่พึ่งทางความเห็นไป ส่วนราษฎรในชนบทอยู่ห่างไกลเมืองออกไป ก็ได้ฟังข่าวที่ร้ายกาจนี้อย่างกระท่อนกระแท่น และก็เป็นธรรมดาที่เขาไม่สามารถจะสร้างความคิดเห็นจากข่าวเล่าลืออย่างกระท่อนกระแท่นนั้นได้ และบุคคลเหล่านั้น ก็ย่อมจะมีความเดือดเนื้อร้อนใจน้อยกว่าบุคคลประเภทอื่น ๆ สิ่งที่เขาเป็นห่วงใยในส่วนใหญ่ก็มีแต่เรื่องข้าวปลาอาหาร ที่เป็นเครื่องยังชีวิตของเขาให้เป็นไป จะขาดแคลนหรือเปล่า
ในวันติด ๆ กันนั้นเอง รัฐบาลก็ได้ออกแถลงการณ์ เปิดเผยความตกลงระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลญี่ปุ่นที่ได้ตกลงกันเมื่อวันที่ ๑๑ แถลงการณ์นั้นประกาศว่า ไทยกับญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรกันทั้งการรุกและการป้องกัน แถลงการณ์ข้อนี้ เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจและความผิดหวังจากคนทั่วไป เพราะว่าใคร ๆ ก็คิดว่าการที่รัฐบาลได้ทำไปแล้วนั้น ก็เป็นแต่ในฐานป้องกันตัว ผ่อนคลายอันตรายหนักต่อประเทศให้เบาลงเท่านั้น โดยที่ไม่มีใครคาดหมายว่า รัฐบาลจะถึงแก่เข้าล่มหัวจมท้ายกับญี่ปุ่น โดยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรในทางรุกกับญี่ปุ่นด้วย รูปการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้ก่อความกังวลใจให้แก่ประชาชนเป็นอันมาก มีเสียงวิจารณ์กันอย่างกระซิบกระซาบว่า รัฐบาลกำลังนำตนเข้าไปเสี่ยงโชคในบ่อนการพนันของพวกมหาอำนาจ โดยเอาประเทศชาติเป็นเดิมพัน โดยที่ราษฎรเจ้าของประเทศ และจะเป็นผู้รับผลจากการเสี่ยงโชคของรัฐบาล มิได้รู้เห็นด้วยเลย
ในวันเดียวกันนั้น มีข่าวจากกรุงโรมว่า เยอรมนีและอิตาลีได้ประกาศสงครามกับอเมริกาแล้ว ข่าวการประหัตประหารระหว่างคู่สงครามจากที่ต่างๆ ได้ประดังเข้ามาไม่ขาดสาย กรุงมนิลานครหลวงของฟิลิปปินส์ ถูกเครื่องบินญี่ปุ่นทิ้งระเบิดเวลากลางวันแสก ๆ ชาวมนิลาอพยพไปอยู่บนยอดเขาสองแสน และเครื่องบินทิ้งระเบิดของอเมริกาจากฟิลิปปินส์ก็ไปทิ้งระเบิดที่โตเกียว เกาหลี และฟอร์โมซา เป็นการแก้เผ็ดกัน และกองบินนาวีญี่ปุ่นก็โจมตีฐานทัพอากาศในฟิลิปปินส์ ทางนครย่างกุ้งก็เตรียมการอพยพพลเมือง เนื่องด้วยอังกฤษหวาดความเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นที่ดำเนินอยู่ในประเทศไทยและอินโดจีน ฝ่ายอเมริกาก็สั่งกักทรัพย์สินของไทย ที่มีอยู่ในอเมริกาหมด
ในประเทศไทย ชนชาติจีนนับว่าตกอยู่ในฐานะที่ประสบกับความยุ่งยากใจและกระทบกระเทือนใจมากที่สุด ด้วยว่าในขณะที่รัฐบาลไทยได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นอย่างร่วมเป็นร่วมตายกันนั้น รัฐบาลจีนได้ประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เยอรมนี และอิตาลี ต่อมาในปลายเดือนธันวาคม สมาคมพาณิชย์จีนได้จัดให้มีการชุมนุมพ่อค้าคหบดีชาวจีนจำนวนมาก รัฐมนตรีผู้สนับสนุนญี่ปุ่น ได้นำสาส์นของนายกรัฐมนตรีไปอ่านให้ที่ชุมนุมจีนฟัง และรัฐมนตรีผู้นั้นยังได้กล่าวคำปราศรัยประกอบมีใจความว่า ญี่ปุ่นเป็นนักบุญผู้จะมากู้อิสรภาพให้แก่ชาวเอเซีย จึงได้เรียกร้องให้ชาวจีนร่วมสนับสนุนรัฐบาลไทยอย่างเต็มที่ ในการประสานกับญี่ปุ่นทำการกอบกู้อิสรภาพให้ชาวเอเซียทั้งมวล อนึ่ง ในเวลาใกล้เคียงกันนั้นรัฐมนตรีผู้เดียวกันนั้น ก็ได้สนทนาทางวิทยุโทรศัพท์กับหนังสือพิมพ์ นิจิ นิจิ ในนครโตเกียวว่า ไทยตั้งใจมั่นคงที่จะรบเคียงข้างกับญี่ปุ่น เพื่อปฏิสังขรณ์มหาบูรพาเอเซีย และว่าไทยคิดอยู่เสมอที่จะได้ดินแดนในพม่าและมลายูคืน พร้อมด้วยความหวังว่าจะได้รับความสนับสนุนจากญี่ปุ่น
คนทั้งหลายต่างรู้สึกว่า เขาไม่อาจที่จะติดตามความคิดของรัฐบาล ที่ได้คลี่คลายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เขางงงันต่อท่าทีใหม่ ๆ ของรัฐบาลยิ่งขึ้นทุกวัน ในชั้นต้นรัฐบาลได้ประกาศถึงความจำเป็นที่ต้องรับความตกลงให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทย ในบัดใจต่อมาเหตุการณ์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไป ไทยได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นทั้งในการรุกและการป้องกัน และในไม่กี่วันต่อมา รูปการณ์ก็ได้กลายเป็นว่า ไทยจะเข้าร่วมรบกับญี่ปุ่น เพื่อกอบกู้อิสระภาพให้ชาวเอเซีย เพื่อปฏิสังขรณ์มหาเอเซียบูรพา และเพื่อที่จะได้ดินแดนจากพม่าและมลายู ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ ได้ก่อความคลางแคลงใจของประชาชนต่อรัฐบาลยิ่งขึ้น ที่ได้นำประเทศไปพัวพันกับสงครามเกินความจำเป็น และเกินจากความต้องการของประชาชนอย่างแน่นอน ความไม่พอใจของประชาชนก็กว้างขวางขึ้นและลึกซึ้งขึ้น และก็ได้มีการพูดวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในรูปการกระซิบกระซาบและด้วยท่าทางฮึดฮัดอยู่ทั่วไป จนกระทั่งความไม่พอใจนั้นได้ระเบิดออกมาในรูปใบปลิวเถื่อนและบัตรสนเท่ห์ ตำหนิการกระทำของรัฐบาลอย่างแรง ในการลากประเทศถลำลึกลงไปในหลุมอันตรายของสงคราม คณะผู้รักชาติที่ทิ้งใบปลิวต่อต้านคัดค้านการที่รัฐบาลนำประเทศกระโจนเข้าไปในสงครามมีนามว่าไทยอิสระ และรัฐบาลยังได้เรียกผู้รักชาติเหล่านี้ว่า เป็นคอมมิวนิสต์อีกด้วย
ในระหว่างที่ใบปลิวเถื่อนได้แพร่หลายไปในหมู่ชนกลุ่มต่างๆ รวมทั้งในที่ทำการของตำรวจด้วยนั้น เช้าตรู่วันหนึ่งในตอนกลางเดือนมกราคมขณะที่มารดาของเซ้งยังนอนหลับอยู่ และเซ้งซึ่งตื่นนอนก่อนและเพิ่งเสร็จจากล้างหน้า และกำลังแต่งตัวอยู่ในห้องข้างบน เขาได้ยินเสียงคนเคาะประตูข้างล่างที่ยังมิได้เปิด เป็นเสียงเคาะที่รัวและแรง พร้อมกับมีเสียงร้องเรียกเขาขึ้นมา เซ้งรีบลงบันไดด้วยความแปลกใจ ไม่เคยมีใครมาเคาะประตูเรียกเขาในยามเช่นนี้ และด้วยอาการเคาะที่แสดงความรีบร้อนหรือแสดงความใหญ่โตของผู้เคาะเช่นนี้ เมื่อเขาเปิดประตูออกไป เขาก็ต้องผงะถอยหลังด้วยความตกใจ เพราะเบื้องหน้าเขา คือตำรวจกลุ่มหนึ่งประมาณห้าหกคนสะพายปืนยาว ตัวนายตำรวจมีปืนพก
“เรามาค้นบ้านคุณ” นายตำรวจแจ้งจับเซ้งด้วยถ้อยคำสั้นๆ