๘
แม่น้ำเจ้าพระยาไม่เคยแปลกใจในการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่สักปานใด ด้วยอายุอันนับไม่ถ้วนด้วยรอบศตวรรษของมัน มันได้สะสมปรีชาอันล้ำลึกไว้ในชีวิต เกินกว่ามนุษย์ทุกชั่วคนผู้ที่ได้ผ่านไปมาบนท้องของมันจะหยั่งถึงนับแต่ชาวป่าที่ล่องแพซุงขึ้นไปจนถึงพระมหากษัตริย์ มันได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งใหญ่น้อย ที่ได้บังเกิดขึ้น ณ สองฟากฝั่งของมันเสียนักต่อนัก เหตุฉะนั้น ในขณะที่คนบางส่วนพากันคาดไม่ถึง และพากันตกตะลึงแตกตื่นในการเปลี่ยนแปลง หรือเข้าใจเอาว่าจะสามารถยับยั้งการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะต้องดำเนินไปตามวิถีทางประวัติศาสตร์นั้นมันจึงอดที่จะนึกสมเพชไม่ได้ ก็เหตุไฉนมันจึงจะไม่คิดเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงต่างๆ นั้นเป็นของธรรมดาเสียเหลือเกิน เพราะว่าตัวของมันก็ได้เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมาด้วยตนเอง จากลำธารเล็กๆ ที่ไหลลงมาจากยอดเขาแห่งหนึ่ง และจากแควใหญ่ มันได้คลี่คลายขยายตัวออกไปเป็นแม่น้ำที่ขึ้นชื่อลือนาม ตลอดชีวิตอันนับศตวรรษไม่ถ้วนของมันนั้น มันได้เห็นอยู่แต่ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง มันได้เห็นการพัฒนา ทั้งในส่วนธรรมชาติ และสังคม และมันยังได้เห็นด้วยว่า สิ่งต่างๆ ที่ดำเนินไปในวิถีของพัฒนาการนั้น มนุษย์ได้ผลักดันมันไปในทางที่จะไปสู่สภาพของชีวิตที่ดีขึ้น
มันได้เห็นสมัยอันรุ่งเรืองของกษัตริย์ แห่งกรุงศรีอยุธยาราชธานี ได้เห็นความเสื่อม และความเหลวแหลกภายในราชสำนัก และในที่สุดได้เห็นความพินาศล่มจมของราชธานีนั้น มันได้เห็นการช่วงชิงอำนาจราชบัลลังก์เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวล้วนๆ ในระหว่างราชวงศ์ และในบางครั้งคราว การช่วงชิงอำนาจราชบัลลังก์นั้น ก็กระทำโดยเจ้าขุนมูลนายนักรบผู้เป็นข้าของกษัตริย์นั่นเอง กษัตริย์ราชวงศ์พร้อมทั้งพวกขุนนางและครอบครัวของฝ่ายแพ้ ได้ถูกกษัตริย์ราชวงศ์ของฝ่ายชนะล้างผลาญชีวิตอย่างเหี้ยมโหดทารุณ ดุจเดียวกับความประพฤติของพวกยักษ์มาร ที่บุคคลเหล่านั้นสาปแช่ง และห่างไกลอย่างยิ่งจากคุณธรรมของพวกเทพ ที่บุคคลเหล่านั้นสรรเสริญบูชา อาชญากรรมอันน่าสยดสยองที่เกิดจากความโลภอำนาจราชบัลลังก์ และเป็นอาชญากรรมที่ประกอบขึ้นโดยบุคคลผู้มีศักดิ์สูงเทียมเมฆได้มีอยู่ในประวัติราชธานีเก่าไม่ขาดสาย มันได้เห็นการผลัดแผ่นดิน การเปลี่ยนแปลงอำนาจที่ได้กระทำกันในพระบรมมหาราชวังราชธานีเดิม มันได้เห็นการขึ้นสู่อำนาจวาสนาอันสูงสุดของคนชุดหนึ่ง และได้เห็นการตกต่ำ จนถึงขั้นไปสู่ตะแลงแกงของคนอีกชุดหนึ่งในบรรดาผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ด้วยกัน แต่ความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ก็ไม่มีความสัมพันธ์อันใดเลย กับชีวิตของประชาราษฎรในราชอาณาจักรสยาม ประชาราษฎรเคยมีชีวิตอันต่ำต้อยแร้นแค้นมาอย่างใด ชีวิตของเขาก็คงดำเนินไปอย่างนั้น ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงปานใด เกิดขึ้นในปราสาทราชวังสักกี่ครั้ง
แม่น้ำเจ้าพระยา ได้เห็นพวกฝรั่งนานาชาติ เข้ามาสู่สยามประเทศแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่อประกอบการค้าขาย และกอบโกยความมั่นคงจากประเทศนี้ นำไปสู่ประเทศของเขา มันได้เห็นภัยและความคุกคามของลัทธิจักรพรรดินิยม ที่ได้ตั้งเค้าขึ้นแต่กรุงศรีอยุธยา และได้เห็นการขยายตัวและการทวีศักดาของลัทธินั้น ที่สืบต่อมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มันได้เห็นการคุกคามข่มขี่อย่างปราศจากยางอาย ที่พวกฝรั่งจักรพรรดินิยมได้กระทำต่อกษัตริย์และประเทศสยาม ทั้งในสมัยราชธานีใหม่ ลำน้ำเจ้าพระยาได้เป็นที่รองรับเรือรบ อันเป็นเครื่องหมายของการสำแดงอำนาจกดขี่อย่างล่อนจ้อน ที่ชาวต่างชาติผิวขาวกับจักรพรรดินิยมได้ปฏิบัติต่อชาวสยามมาแล้ว ทั้งในกรุงศรีอยุธยาและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และอำนาจของมัน ก็ยังตั้งตระหง่านเงื้อมอยู่เหนือศีรษะของประชาชนชาวไทยตราบถึงปัจจุบันนี้
ในที่สุดแม่น้ำเจ้าพระยาก็ได้เห็นการถล่มทะลายของราชธานีศรีอยุธยา ได้เห็นการกอบกู้เอกราชของชาติไทย ได้เห็นการตั้งวงศ์กษัตริย์ใหม่ที่ราชธานีกรุงธนบุรี และในไม่ช้า ก็ได้เห็นการโค่นล้มประหัตประหารเอาชีวิตกัน และการตั้งวงศ์กษัตริย์ขึ้นใหม่พร้อมทั้งราชธานีใหม่ ซึ่งมีนามว่า กรุงเทพพระมหานครบวรรัตนโกสินทร์ และในครั้งสุดท้ายมันก็ได้เห็นการล้มอำนาจเจ้าขุนมูลนาย และการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาสู่ระบอบที่เรียกกันว่าประชาธิปไตย
อ้า, แม่น้ำเจ้าพระยาผู้เฒ่า ผู้มีความจัดเจนชีวิตสารพัดอย่าง ผู้รู้เห็นอย่างช่ำชองในการเปลี่ยนแปลงนานาชนิดของอดีตอันยืดยาว ในบัดนี้ มันก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ได้บังเกิดขึ้นเคียงข้างลำน้ำของมันทีเดียว มันได้เห็นผืนดินและอาคารใหญ่ ในบริเวณที่เคยใช้เป็นโรงทหาร ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นสถานศึกษา เป็นมหาวิทยาลัยใหม่ของระบอบใหม่สอนวิชาใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีการเรียนและสอนกันมาในกาลก่อน มีทั้งดวงหน้างามผุดผ่อง และขะมุกขะมอมเร่อร่าของนักศึกษาชายหญิง แต่ทั้งสองประเภทนั้น ก็เจิดจ้าด้วยความบริสุทธิ์วาววาม ด้วยความกระตือรือร้นที่จะก้าวหน้า และแช่มชื่นด้วยความหวังในอนาคตทั้งในด้านชีวิตส่วนตัวและส่วนรวม เดินขวักไขว่ไปมาอยู่ในบริเวณนั้น ณ ชายน้ำอันเย็นระรื่นทั้งยามเช้าและยามบ่าย พวกเขาได้มาเดินเล่นพักผ่อน บ้างก็นั่งลงบนพื้นหญ้าเขียวสดภายใต้ร่มจำปี ดูหนังสือตำรา ลมเย็นที่พัดผ่านท้องน้ำนำความเบิกบานใจมาสู่เขา ครั้นเหน็ดเหนื่อยจากการดูหนังสือ เขาก็เงยหน้าขึ้นทอดสายตาไปบนท้องน้ำที่กระเพื่อมพริ้ว แลดูผู้คนและเรือนานาชนิดที่แล่นทวนแล่นล่องกระแสน้ำ และข้ามฟากไปมา เมื่อแลเห็นผู้คนและการดำเนินชีวิตหลากหลาย ที่ผ่านหน้าไปมา บางทีเขาก็นำมาคิดพิจารณาประกอบกับวิชาที่เขาศึกษาอยู่ พวกเขากำลังสนใจกับเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงมีพวกเขาที่พินิจดูความเคลื่อนไหวของชีวิตอันดำเนินอยู่เบื้องหน้า โดยนำมาเปรียบเทียบกับเรื่องประชาธิปไตยที่เขากำลังศึกษาอยู่ เขาแลเห็นว่าในท่ามกลางผู้คนที่ทำงานและเดินทางไปมา เพื่อประกอบการงาน หรือเสร็จจากการประกอบงานแล้วเหล่านั้นแหละ ที่ประชาธิปไตยได้ก่อตัวขึ้นมา และจะคลี่คลายต่อไป น้ำเนื้อของประชาธิปไตย อยู่ที่บรรดาบุคคลผู้ประกอบการงานเหล่านั้น มองดูเหตุการณ์ที่ดำเนินไปในบ้านเมืองตามกลไกการปกครองของระบอบใหม่ พวกเขาก็พากันชื่นชมยินดี ที่ได้เห็นกลไกเหล่านั้น ทำหน้าที่ของมันอย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัด ปีล่วงไป ได้มีนักศึกษารุ่นใหม่มาเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ความกระปรี้กระเปร่าคึกคักในหมู่พวกเขาก็ทวีขึ้นพร้อมทั้งวิชาความรู้ใหม่ๆ และความจัดเจนของชีวิตที่เขาได้รับเพิ่มเติมขึ้นทุกปี พวกเขามีความรักมหาวิทยาลัยของเขาอย่างจับใจ เพราะว่ามหาวิทยาลัยของเขาไม่เพียงแต่จะประสิทธิ์ประศาสน์วิชาความรู้ในทางประกอบอาชีพแก่เขาเท่านั้น หากมหาวิทยาลัยยังได้สอนวิชาที่ทำให้เขาสามารถเข้าใจกลไกการปกครองระบอบประชาธิปไตยและทฤษฎีต่างๆ ทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง มหาวิทยาลัยได้สอนให้เขารู้จักคุณค่าของประชาธิปไตย ซึ่งนำไปสู่ความรักประชาธิปไตย และความพร้อมเพรียงที่จะพิทักษ์รักษาประชาธิปไตย การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย ทำให้เขาเล็งเห็นความสำคัญของประชาชน และทำให้เขาสนใจในเรื่องราวของประชาชน มหาวิทยาลัยได้ก่อเกิดจิตใจใหม่ๆ แก่เขา เช่นจิตใจแห่งการร่วมมือ จิตใจในทางสร้างสรรค์และจิตใจที่จะรับใช้เป็นประโยชน์แก่ชุมนุมชน ที่เขาได้ร่วมอยู่ เขาไม่สงสัยเลยว่าจิตใจเหล่านี้ล้วนแต่เอิบอาบด้วยความดีงาม อันอยู่ในระดับสูงกว่าคำสั่งสอนในอดีตที่เขาได้เคยฟังมา เขาตระหนักในความดีงามของจิตใจใหม่เหล่านี้ได้ด้วยตนเอง เพราะว่าเมื่อจิตใจใหม่ได้มาปรากฎแก่เขาแล้ว ความคิดอันคับแคบของเขายากที่จะหาที่อยู่ได้ในจิตใจใหม่นั้น และความคิดเห็นแก่ตัวของเขาก็ได้ลดน้อยลง จิตใจใหม่ได้นำความภาคภูมิใหม่ และคุณค่าใหม่ มาสู่น้ำเนื้อแห่งชีวิตของเขา เขาจึงตระหนักว่าเขากำลังดำเนินอยู่ในวิถีที่ถูกต้อง ความตระหนักเช่นนี้ ได้เป็นพื้นฐานอันมั่นคงของจิตใจใหม่ และจิตใจใหม่ของเขาก็ได้คลี่คลายงอกงามเป็นลำดับ ผู้มาใหม่ก็ได้รับเมล็ดพืชของจิตใจใหม่ ปีล่วงไป จิตใจใหม่ก็แผ่ขยายออกไป แผ่ออกไปในหมู่นักศึกษาของมหาวิทยาลัย และแผ่ออกไปภายนอกมหาวิทยาลัย
ในขณะที่การศึกษาของเยาวชนแห่งมหาวิทยาลัยอันตั้งอยู่เคียงข้างแม่น้ำเจ้าพระยาผู้เฒ่า ได้คืบหน้าจากปีหนึ่งไปสู่อีกปีหนึ่ง ทะยอยกันไปและประชิดติดตามความคลี่คลายทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไป แต่ในขณะที่ความสนใจของนักศึกษาที่มีต่อกิจการบ้านเมืองได้ทวีขึ้น พร้อมกับความรู้ในเรื่องประชาธิปไตย ที่ได้เพิ่มพูนกว้างขวางขึ้นนั้น วางขึ้นนั้น เหตุการณ์ทางการเมืองที่จุดความหวังอันแจ่มจ้าขึ้นในดวงใจของประชาชนอยู่ระยะหนึ่งนั้น ได้เริ่มสำแดงอาการอันชวนให้ผู้คนเกิดความสงสัยกันว่า ระบอบใหม่จะนำความสำเร็จมาสู่ประเทศชาติสักเพียงไหน ระบอบใหม่จะนำความผาสุกมาสู่ประชาชนคนทำงานจริงหรือ ? ระบอบใหม่จะเปลี่ยนแปลงภาวะความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น หรือว่าเพียงแต่จะเปลี่ยนชุดบุคคลผู้ถืออำนาจปกครอง จากชุดเจ้านายชนชั้นสูง มาเป็นบุคคลอีกชุดหนึ่ง ซึ่งมาจากชนชั้นกลางผสมกับชนชั้นสูง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนจำนวนมหึมา ก็คงถูกปล่อยปละละเลยไว้ในรูปเดิม ประชาชนทั่วๆไปเริ่มสนเท่ห์ในกิริยาท่าทีบางประการของรัฐบาลใหม่ และในความประพฤติของบุคคลส่วนหนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นวีรชนผู้รักชาติ ประชาชนเพียงแต่มีความสงสัยสนเท่ห์ แต่เขายังไม่อาจจะค้นหาคำตอบต่างๆได้ว่า รูปการณ์เช่นนี้มันจะหมายความว่าอะไรกันแน่ มันจะเป็นนิมิตรแห่งความล้มเหลวของระบอบใหม่ และในที่สุดก็จะกลับคืนไปอยู่กับระบอบเก่า ที่ได้ถูกทำลายไปแล้วหรืออย่างไร ความหวังอันแจ่มจ้าของประชาชน ได้เริ่มสัมผัสกับความหม่นหมอง ส่วนพวกนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแม่น้ำเจ้าพระยา ในขณะที่มองดูพฤติการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น ในท่ามกลางระบอบประชาธิปไตยที่เขารักด้วยความรู้สึกเศร้า ก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันตามวิชาความรู้ที่มหาวิทยาลัยได้สอนเขา ณ บัดนี้เขาสามารถชี้ได้ว่า นี่ไม่เป็นประชาธิปไตยและนั่นก็ไม่เป็นประชาธิปไตย การวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์บ้านเมืองของเขาได้เริ่มขึ้นด้วยการปลุกเร้าจากการปฏิบัติของรัฐบาล และความประพฤติของผู้คนในวงการผู้ครองอำนาจนั้นเอง คนพวกนี้เองที่ได้เร้าใจเขาและประชาชนให้สนในเรื่องการเมือง
* * *
การกำเนิดของมหาวิทยาลัยแห่งแม่น้ำเจ้าพระยา อำนวยให้ประเทศสยามได้มีบัณฑิตที่ผ่านการศึกษาวิชาการเมือง และเศรษฐศาสตร์อันเป็นผลิตผลภายในประเทศของตนเอง ในตอนบ่ายของวันที่กล่าวถึงนี้ ทางมหาวิทยาลัยได้ประกอบพิธีมอบปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาประจำปี ในบรรดาบัณฑิตชายหญิงรุ่นนี้ มีท่านบัณฑิตนิทัศน์ และท่านบัณฑิตจันทารวมอยู่ด้วย ในเช้าวันนี้ก่อนเวลาฉันอาหารเพล เมื่อจันทาเข้าไปกราบพระอาจารย์ในกุฏิ และเรียนท่านว่าจะไปรับปริญญาบัณฑิตจากท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ท่านอาจารย์ตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วก็อุทานออกมาว่า “นี่มึงหรืออ้ายจัน? นี้มึงหรืออ้ายลูกบ้านโนนดินแดง ที่ได้เป็นบัณฑิตกะเขา”
ท่านยังคงเรียกเขาว่าอ้ายจันเช่นเคย ท่านกวักมือเป็นสัญญาณให้เขาเขยิบเข้าไปใกล้ท่าน จันทาก็คลานเข้าไปหมอบอยู่ตรงหน้าพระอาจารย์ ท่านยื่นมือออกมาลูบหัว พลางพูดด้วยเสียงเครือว่า “กูเห็นมึงได้ดีคราใด ก็ไม่วายคิดถึงแม่มึง และความพลัดพรากจากกันของพ่อแม่มึงด้วยกรรมบันดาลให้เป็นไป”
จันทาหมอบนิ่งให้พระอาจารย์ลูบศีรษะครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นพูดด้วยเสียงเบา
“แม่กระผมตาย เพราะหนีความอดอยาก แล้วก็ไปเจอความเจ็บป่วยและต้องตายเพราะไม่มีแพทย์จะรักษาไม่ใช่หรือขอรับ” เขาหยุดนิดหนึ่ง แล้วพูดต่อไป “และพ่อกระผมก็ต้องบวช เพื่อจะหนีความอธรรมของบ้านเมือง” พูดแล้วเขาก้มลง
ท่านอาจารย์นิ่งไปครู่หนึ่ง ในบัดนี้ ท่านเข้าสู่ชราภาพอันแก่กล้าแล้ว ความดุดันของท่านได้เพลาลง และความเมตตาของท่านก็แก่กล้าขึ้นแทน
“มึงจะว่าอย่างนั้นก็ว่าได้เหมือนกัน” น้ำเสียงของท่านแสดงความเห็นใจ “กฎหมายที่มึงสอบไล่ได้น่ะ เขาสอนไว้อย่างนั้นรึ?”
จันทายิ้มปากกว้าง เงยหน้าขึ้นสบตาท่านอาจารย์ เขารู้สึกโล่งใจในน้ำเสียงที่แสดงความเอ็นดูของท่าน เขาพูดด้วยเสียงเนิบ ๆ ว่า
“คำว่ากรรมนั้น หมายถึงการกระทำ ผลกรรมก็หมายถึงผลของการกระทำ คนที่เกิดมายากจน ซึ่งเป็นผลของชีวิตในปางก่อน ดังที่ท่านอาจารย์เคยเทศน์ให้กระผมฟังนั้น หากในปัจจุบันเขากระทำความขวนขวายเพื่อจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาให้ดีขึ้น เขาก็อาจได้รับผลที่ดีขึ้นในภายหน้าใช่ไหมขอรับ?”
“ใช่ซิวะ อ้ายจัน” ท่านตอบสวนออกมา “ก็อย่างชีวิตของมึงนั่นปะไรเล่า”
“ถ้าเช่นนั้น คำสอนเรื่องกรรมในพระพุทธศาสนา ก็ไม่ได้สอนให้คนงอมืองอตีน ยอมจำนนต่อผลกรรมในอดีต ใช่ไหมขอรับ?”
“ก็ใครบอกกับมึงล่ะว่า ท่านสอนให้งอมืองอตีน” ท่านหัวเราะว่า “คนจนไปสวรรค์ก็ได้ คนมั่งมีตกนรกก็ได้ และในชีวิตปัจจุบันนี้ทั้งคนจนและคนมี ก็เปลี่ยนแปลงไปได้ทั้งนั้นแหละมึง มันสุดแล้วแต่กรรมหรือการกระทำของเขาอย่างที่มึงว่า คำสอนของพระพุทธศาสนาไปกันได้ไหมล่ะกับวิชาสมัยใหม่ ที่มึงได้เรียนมา”
“ไปกันได้ขอรับ ไม่ขัดกันหรอกขอรับ” เขาพนมมือกล่าวคำรับรอง
“ดีละ และมึงก็อย่าได้ทิ้งธรรมะเป็นอันขาด” ท่านกำชับพลางหยุดบรรจุยานัตถุ์ลงในกล้อง แล้วก็เป่ายานัตถ์ ท่านเพ่งดูหน้าศิษย์ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไป
“มึงนี้ช่างมีบุญหนักหนา แม่ของมึงบุญน้อย จึงไม่ได้อยู่ชมบุญอ้ายลูกชาย” น้ำเสียงของท่านแสดงความปลื้มใจ “นี่ถ้าเป็นในสมัยก่อนเปลี่ยนการปกครอง มึงก็จะได้เป็นขุนนางกะเขาด้วยลำแข้งของมึงเองทีเดียว อ้ายพวกบ้านโนนดินแดง บ้านดงขะยูง จะตื่นเต้นหน้าบานไปตาม ๆ กัน”
“ถ้าเป็นในสมัยก่อน เห็นจะยังไม่มีมหาวิทยาลัย อย่างที่กระผมได้เรียนนี้หรอกขอรับ”
“อือม์ เห็นจะถูกของมึง ก็น่าขอบใจพวกปกครองชุดใหม่เขาที่สร้างมหาวิทยาลัย ให้คนยากจนอย่างมึงได้เล่าเรียน จนได้มีหน้ามีตาเทียมพวกที่เขามีบุญกัน”
จันทาตื่นเต้นจนมือสั่น เมื่อเขาเข้าไปคุกเข่ายื่นมือออกไปรับปริญญาบัตรจากหัตถ์ของท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เขานึกถึงแม่ของเขาตลอดเวลา จนเขาต้องกัดริมฝีปากเพื่อกลั้นหยาดน้ำตาไว้ เขาอยากให้แม่ของเขาได้มาเห็นภาพ ที่เขาได้เฝ้าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และเขายังคิดเสียดายอยู่หน่อยหนึ่ง ที่ไม่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตร จากองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง ความรู้สึกของเขาในเรื่องนี้ไม่เหมือนกับความรู้สึกของนิทัศน์ทีเดียว ครูหนุ่มชาวพระนครก็มีความปลื้มใจในผลสำเร็จของการศึกษา ทำนองเดียวกับจันทาและสหายนักศึกษาอื่น ๆ แต่เขาไม่ตื่นเต้นในข้อที่ได้รับปริญญาบัตรจากหัตถ์ของท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือแม้จากพระราชหัตถ์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขาไม่ถือเป็นข้อสำคัญว่าใครจะเป็นผู้มอบปริญญาบัตรแก่เขา
* * *
อย่างไรก็ดี ความปลื้มใจของนิทัศน์ ก็ระคนด้วยความเสียใจอยู่ข้อหนึ่งเหมือนกัน กล่าวคือบิดาของเขาผู้ป่วยเป็นอัมพาตมาหลายปีได้ถึงแก่กรรมเสียแต่เมื่อปีกลาย บิดาได้อยู่ทันเห็นและร่วมความปลื้มใจกับครอบครัว ในการสมรสของบังอรบุตรคนหัวปีเมื่อสามปีก่อน และได้มีเวลาสำราญกับทารกหลานเป็นครั้งคราว ความเสียใจของนิทัศน์มิได้เกิดจากเหตุที่ว่าบิดาของเขา มิได้มีชีวิตอยู่มาจนกระทั่งได้เห็นเขาได้เป็นบัณฑิตคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยแห่งระบอบใหม่ บิดามีความเชื่อถือในปัญญาและความเพียรของบุตรอยู่โดยสมบูรณ์แล้ว ความเสียใจของเขาขึ้นอยู่กับเหตุที่ว่า เขาได้สัญญากับบิดาไว้ว่า เมื่อเขาโตขึ้นเขาจะปลูกบ้านให้แม่ ความระลึกข้อนี้ได้ผุดขึ้นมาในวันรับปริญญาบัตร แม้ว่าคำสัญญาของเขาจะเป็นคำสัญญาของเด็กเล็ก และบิดาก็มิได้ถือเป็นข้อสัญญาอันจริงจังอะไร แต่นิทัศน์มิได้คิดเห็นเช่นนั้น เขาถือถ้อยคำนั้นเป็นสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ และเขามีความจริงจังกับถ้อยคำของเขาตลอดมาตั้งแต่เขาออกรับราชการเป็นครู เขาก็ได้ทำความตั้งใจจะปฏิบัติตามสัญญานั้น ด้วยการใช้จ่ายอันประหยัด เขาได้ออมเงินไว้ได้ตามสมควร เขาหวังว่า ด้วยความร่วมมือของพี่สาว เขาสามารถจะปลูกบ้านให้แม่อยู่ และได้ใช้เวลาในยามชราพักผ่อนจากภาระต่าง ๆ ด้วยความสงบสุข เขาเสียใจว่าบิดาไม่ทันได้เห็นการปฏิบัติตามสัญญาของเขา แต่เขาก็ได้รับความปลอบใจอยู่ข้อหนึ่ง ที่ได้มีโอกาสยืนยันความตั้งใจจริงของเขาในเรื่องนี้แก่บิดา ก่อนหน้าที่การจากกันชั่วนิรันดรจะอุบัติขึ้นสักสองเดือน คำยืนยันของเขาได้เรียกน้ำตาแห่งความปีติออกมาจากดวงตาของบิดา พร้อมกันนั้น ยิ้มอย่างอ่อนแรงได้ปรากฏบนริมฝีปากของคนป่วย เมื่อใกล้วันตาย ยิ้มเช่นนั้น ได้มาปรากฏอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่บิดายกมือที่มีแต่นิ้วกระดูกขึ้นแตะศีรษะลูกชาย ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น ต่างถือเอาเป็นนิมิตว่าผู้เป็นร่มโพธิ์ของเขาในอดีต จะได้จากไปด้วยความวางใจว่า ภายใต้การพิทักษ์ด้วยจิตใจอันงามของบุตรชาย ทุกคนในครอบครัวจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความปลอดภัย
ในวันรับปริญญาบัตร อันเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในชีวิตของนิทัศน์นั้น มารดามีความปลื้มยิ่งกว่าความปลื้มของเขาเอง และในขณะที่นิทัศน์ไม่สู้ตื่นเต้นกับผลสำเร็จของเขาเท่าใดนั้น ความตื่นเต้นมากมายได้บังเกิดแก่พยอมผู้น้อง เหมือนกับว่าตัวเธอเองจะได้เป็นผู้รับปริญญาบัตรนั้น ฝ่ายบังอรได้สำแดงมุทิตาจิตต่อน้องชายด้วยการเย็บเสื้อปริญญาให้ด้วยตนเอง และจัดเตรียมการเลี้ยงฉลองในวันรุ่งขึ้น
ในระหว่างที่สหายบัณฑิตกลุ่มใหญ่ สนทนาสรวลเสและดื่มสุรากันอยู่ที่หน้าบาร์ ริมแม่น้ำหน้าตึกมหาวิทยาลัย และสหายบัณฑิตอื่น ๆ กระจายกันอยู่เต็มสนาม จับกลุ่มย่อม ๆ สนทนากันด้วยอาการร่าเริง บ้างถือแก้วเหล้าส่งเสียงเดินกรายไปตามกลุ่มต่าง ๆ แล้วก็หวนไปเติมเหล้าที่บาร์ และถูกกลุ่มใหญ่กลืนเอาไปนั้น นิทัศน์กับจันทายืนสนทนากันอยู่แต่ลำพังสองคนใต้ต้นจำปี ณ ชายน้ำ ความงามและความสงบในยามเย็นที่ดวงอาทิตย์ใกล้อัสดงแผ่คลี่ไปทั่วท้องน้ำ แต่บนใบหน้าอ่อนงามของนิทัศน์ในขณะนี้ ระบายไว้ดวยความรู้สึกเคร่งขรึม จันทาแต่งกายสะอาดแลดูภูมิฐานด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ แม้ว่าจะมิใช่ชุดผ้าไหมจากหมู่บ้านของเขา ซึ่งไม่เหมาะกับความเยือกเย็นของอากาศในเดือนธันวาคม แต่ดวงหน้าใหญ่เทอะทะ พร้อมแววตาที่ประกาศความซื่อนิรันดรของเขา ก็ยืนยันความเป็นชาวบ้านนอกของเขาอยู่เสมอ
“เมื่อบ่ายวานนี้ เซ้งได้โทรศัพท์มาบอกฉันว่า ราว ๕ โมงเช้า มีทหารกลุ่มหนึ่งนั่งรถไปที่โรงพิมพ์ มีปืนอยู่ในรถ ทหารสะพายปืนยาว” นิทัศน์พูดหน้านิ่ว และจันทาก็ตาลุก “เอารถจอดที่หน้าสำนักงาน ตัวนาย ๑ คน ซึ่งมีปืนพกเสียบซองคาดที่เอว ก็ลงจากรถปรี่เข้าไปในสำนักงาน ขณะเขาเข้าไปในสำนักงาน คนงานในกองจัดการอยู่ที่นั่นหลายคน แต่นายทหารทั้งสองไม่พูดจากับใครเลย เขาเดินขึ้นบันไดตึงๆ ขึ้นไปชั้นบนด้วยหน้าตาอันถมึงทึง เหมือนกับจะนัดยิงกันกับพวกบรรณาธิการ”
“แล้วมีการยิงกันหรือเปล่า ?” จันทาถามสอดขึ้นด้วยความห่วงใย
คำถามอย่างพาซื่อของจันทา ได้ลดความเคร่งในท่าทางและน้ำเสียงของนิทัศน์ลงมาบ้าง
“พวกหนังสือพิมพ์มีแต่ปากกา จะไปยิงกับนายทหารได้อย่างไร” และนิทัศน์ได้พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงแสดงความไว้ตัวแทนชาวหนังสือพิมพ์ “เราไม่ต้องการจะยิงกับใคร ด้วยกระสุนเหล็กและด้วยการใช้อำนาจข่มผู้อื่น แต่เราจะยิงต่อไปด้วยกระสุนแห่งถ้อยคำและเหตุผลจนกว่าเราจะล้มลงและหมดกำลัง เรายิงเพื่อความถูกต้องชอบธรรม นี่เป็นคำของท่านบรรณาธิการ ที่เซ้งเล่ามาให้ฉันฟัง และก็เป็นถ้อยคำที่ฉันนับถืออย่างยิ่ง”
“น่านับถือจริงๆ” ท่านบัณฑิตจากหมู่บ้านโนนดินแดงเปล่งวาจาออกมาด้วยน้ำเสียงที่ประกอบด้วยศรัทธาอันลึกซึ้ง “มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรขึ้นบ้างไหม?”
“ในวันวานไม่มี แต่อะไรจะเกิดขึ้นในวันนี้เราไม่ทราบ เพราะว่าเมื่อวานนี้ ขณะที่เขาคุมกันไปที่สำนักงานบังเอิญท่านบรรณาธิการออกไปทำงานข้างนอก และเขาบอกว่าจะมาอีกในวันรุ่งขึ้นคือวันนี้”
“และนายทหารสองคน ไปทำอะไรบนสำนักงานเมื่อวานนี้” จันทาถามอย่างร้อนใจ
“เซ้งบอกมาแต่เพียงว่า นายทหารได้ไปแสดงอาการคุกคามอยู่พักใหญ่แล้วแล้วก็กลับไป เขาไม่ได้เล่ารายละเอียด เขาว่าจะเล่าเมื่อได้พบกัน”
“มันจะพาดพิงมาถึงบทความของเธอด้วยหรือไม่” จันทาพูดด้วยท่าทีตรึกตรองอย่างสุขุม นี่เป็นท่าใหม่ของเขา ที่ได้คลี่คลายออกมาภายหลังการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เมื่อเขาอยู่ในท่าทีนี้ เขาก็สามารถเรียกร้องความเลื่อมใสจากผู้อื่นได้ เขาพูดต่อไปด้วยเสียงเนิบๆ “ในบทความสุดท้ายของเธอ ที่เขียนคัดค้านการเพิ่มงบประมาณการทหารนั้น เธอได้เขียนว่า ‘คณะราษฎรไม่ได้ประกาศว่าจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพื่อจะนำประเทศไปทำสงครามกับใคร คณะราษฎรไม่ได้ประกาศว่า จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อจะเพิ่มงบประมาณการทหารอย่างมากมายใหญ่โต แต่ได้ประกาศว่าจะบำรุงเศรษฐกิจ และการศึกษาของประเทศ จะช่วยให้ราษฎรทุกคนมีงานทำ จะช่วยให้ราษฎรอยู่ดีกินดี--’ ข้อความตอนนี้และต่อไปอีกจับใจฉันและผู้อ่านทั่วไป เพราะว่ามันเป็นความจริง และตรงกับที่เราต้องการจะพูดออกมาเหลือเกิน ฉันคิดว่าบทความของนิทัศน์ชิ้นนี้ เป็นบทความที่แทนเสียงมหาชนอย่างแท้จริง แต่รัฐมนตรีว่าการกลาโหม และนายทหารสองคนนั่นคงจะไม่พอใจ?”
“ฉันก็ยังไม่ทราบว่า มันจะเกี่ยวข้องมาถึงบทความชิ้นนี้ของฉันหรือไม่” นิทัศน์ยกมือขึ้นลูบศีรษะ และอยู่ในท่าตรึกตรองเช่นเดียวกัน “เซ้งเคยบอกฉันว่า มีเสียงแสดงความไม่พอใจ บทความในหนังสือพิมพ์ของเราจากวงการนายทหารผู้ใหญ่ ทางหนังสือพิมพ์ก็ได้แต่จะรับรู้ไว้โดยถือว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะว่าในข้อแรก มหาชนไม่ต้องการให้รัฐบาลเอารายได้ของพวกเขาไปใช้จ่ายทุ่มเทในการทหาร และในข้อสองการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเช่นนี้ มันเป็นเรื่องของประชาธิปไตย”
“แต่การคุกคามของนายทหารสองคนนั้น ไม่เป็นประชาธิปไตย” จันทาเปล่งเสียงแหลม พลางก็ถอนใจ “นี่แน่ะ นิทัศน์, มันจะเป็นลางว่า ประชาธิปไตยของเราจะไปไม่รอดหรืออย่างไร?”
นิทัศน์เม้มริมฝีปาก ยกสายตาแลทอดออกไปในท้องน้ำ
“ประชาธิปไตยไม่ใช่เป็นเรื่องของนายทหารสองคน” เขาพูดช้าๆ ด้วยเสียงหนัก “ประชาธิปไตยไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะตัดสินโดยคนสิบคนหรือร้อยคน ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของคนไทยทั้งหมดกว่าสิบล้านคน จะไปรอดหรือไม่รอด มันไม่ได้อยู่ที่นายทหารสองคนนั่น หรืออยู่ที่รัฐมนตรีกลาโหมหรืออยู่ที่รัฐบาลซึ่งปกครองประเทศในขณะนี้ จะรอดหรือไม่รอดมันอยู่ที่พวกเราทั้งหมด”
“มันอยู่ที่ประชาชน” จันทาพยักหน้าพร้อมกับเปล่งเสียงตามออกมา “มหาวิทยาลัยได้สอนเราแล้ว”
ใกล้เวลาจะนั่งโต๊ะรับประทานอาหาร สหายกลุ่มหนึ่งผู้ดวงหน้าแดงเปล่งปลั่ง ได้มาดึงนิทัศน์กับจันทาไปที่บาร์และเรียกร้องให้เขาร่วมดื่มสุราด้วย ชายหนุ่มทั้งสองไม่เคยดื่มสุรามาก่อนในชีวิตของเขา และสหายบัณฑิตส่วนหนึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับเขา แต่เมื่อถูกเรียกร้อง เขาทั้งสองได้ยอมรับแก้วที่เติมสุราแต่บาง ๆ และนิทัศน์ได้พูดป้องกันไว้ล่วงหน้าว่าเขาจะไม่รับแก้วที่สอง ข่าวทหารกลุ่มหนึ่งไปแสดงอาการคุกคามชาวคณะหนังสือพิมพ์ ‘ประชามติ’ เมื่อวันวาน แม้ว่าจะไม่มีการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฉบับใดก็ดี แต่ก็ได้แพร่ออกไปโดยปากต่อปากอย่างรวดเร็วกว้างขวาง และข่าวนั้นก็แว่วมาเข้าหูพวกบัณฑิตหนุ่มนี้เหมือนกัน พวกเขาได้วิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์เรื่องนี้ด้วยความรู้สึกขมขื่น และในขณะที่นิทัศน์จันทาเข้าไปร่วมวงกับสหายกลุ่มใหญ่ที่หน้าบาร์บางคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้อยู่
“มันต้องเอาตัวมาดำเนินคดีฐานบุกรุกตามหมายอาญามาตรา ๓๒๙!” คนหนึ่งร้องขึ้น
“ใครจะไปจับคนที่ถือปืน?” มีเสียงร้องถามขึ้นมา
“ตำรวจน่ะซี!”
“ตำรวจเขามีไว้จับคน ที่พวกถือปืนต้องการให้จับต่างหาก เขาไม่ได้มีไว้สำหรับคนถือปืนหรอกคุณ!”
“ตำรวจมีไว้ป้องกันไม่ให้ราษฎรฉลาด” เสียงแหลมอีกเสียงหนึ่งดังจ้าขึ้นมา
“เขาทำยังไง?”
“เขาคอยจ้องทำลายหนังสือดีๆ เช่นหนังสือลัทธิไตรราษฎร์ขอดอกเต้อร์ซุนยัดเซ็น!”
มีเสียงบ่นกันพึมและเสียงประณามด้วยความแค้นเคือง
“ตำรวจมีไว้ทำลายหนังสือที่สอนเรื่องประชาธิปไตย!”
“พวกเผด็จการ!” มีเสียงร้องประสานขึ้นมาหลายเสียง
ในระหว่างรับประทานอาหารฉลองวันสำคัญในชีวิตของเขา และในระหว่างการสนทนาด้วยความร่าเริงบันเทิงใจนั้น พวกเขาบางกลุ่มได้นำเหตุการณ์บ้านเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมาวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นครั้งคราว บางคนก็พูดด้วยความเศร้า บางคนก็พูดจาโผงผาง หน้าแดงก่ำ บัณฑิตหนุ่มร่างใหญ่ที่ร่วมโต๊ะอาหารกับนิทัศน์และจันทา เติมเหล้าลงในแก้วของเขาจนเป็นสีน้ำตาลเข้ม แล้วลุกพรวดพราดขึ้นมาเหยียดแขนไปจนสุดแขน ชูแก้วไปข้างหน้า กวาดสายตาดูสหายร่วมโต๊ะพลางร้องออกมาด้วยเสียงซึ่งดูราวกับจะพูดกับคนที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไปอีกห้าโต๊ะ
“เรายอมตายเพื่อประชาธิปไตย! ขอให้พวกเราดื่มเหล้าให้หมดแก้วอย่างผม” พูดแล้วเขากรอกเหล้าลงไปในลำคอและดื่มหมดอย่างรวดเร็ว มีสามสี่คนทำตามอย่างเขา บางคนจิบพอควรแล้ววางแก้วลง นิทัศน์กับจันทาไม่ได้ดื่ม ม่ได้ดื่ม เพราะเขาตกลงกันว่าจะดื่มเพียงแก้วเดียว และเวลานั้น เขาดื่มหมดแก้วแล้ว เมื่อผู้ชักชวนเหลือบไปเห็นแก้วของนิทัศน์ว่างอยู่ เขาก็ฉวยขวดเหล้าขึ้นมาถือไว้และร้องว่า
“ส่งแก้วมา คุณนิทัศน์ คุณยังไม่ได้ดื่ม”
“ขอบใจครับ ผมพอแล้ว” นิทัศน์โบกมือ
“คุณยังไม่พร้อมที่จะตายเพื่อประชาธิปไตยหรือ?” หนุ่มร่างใหญ่ตะโกน
นิทัศน์ยิ้ม และไม่โต้ตอบคำของเขา
“คนขี้ขลาด!” เขาตะโกนอีก
“ถ้าฉันจะตายเพื่อประชาธิปไตย ฉันจะตายโดยไม่ดื่มเหล้าสักหยดเดียว เว้นแต่ฉันจะตายเพื่อเหล้าเท่านั้นแหละค่ะ ฉันจึงจะดื่มมัน”
ทุกคนตะลึงไป เมื่อมีเสียงแหลมเล็กเปล่งออกมาจากริมฝีปากบางบนดวงหน้าอ่อนแฉล้ม ของบัณฑิตสาวแต่ผู้เดียว ณ โต๊ะนั้น ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเสียงที่ตะโกนออกมา
“ทำไมคะ เราจะต้องดื่มเหล้าเสียก่อนหรือ แล้วเราถึงจะยอมตายเพื่ออุดมการของเราได้” เธอกล่าวต่อด้วยเสียงอันแจ่มใสและมั่นคง “ฉันคิดว่า เป็นความขลาด และเป็นความอ่อนแออย่างยิ่ง ที่เราจะต้องอาศัยสุรา ในการยืนยันอุดมการของเรา ฉันคิดว่า ความกล้าหาญชนิดนี้จะไม่ตั้งอยู่เกินไปกว่ารุ่งอรุณของวันใหม่”
ไม่มีใครคัดค้านคำของบัณฑิตสาว ท่านบัณฑิตร่างใหญ่นั่งนิ่งจังงัง และบ่นอะไรพึมพำอย่างไม่ได้ความ นิทัศน์ยิ้มพราย น้อมศีรษะให้เธอ ด้วยการชายชำเลืองอันเปี่ยมด้วยความเคารพมายังสหายสาว จันทารู้สึกประหนึ่งว่า เธอเป็นเทพธิดา