๔
ในวันรุ่งขึ้น เมื่อจันทา โนนดินแดง ไปทำงานที่กระทรวงตามปกตินั้น เขารู้สึกว่าสมองของเขาแจ่มใสกว่าวันก่อนๆ ความหวาดกลัวและความขุ่นหมองในจิตใจเขาได้จางไป เขารู้สึกว่าลมเย็นระรวยที่พัดมาในกลางแสงแดดแจ่ม และผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องทำงานของเขานั้น ทำให้เขาชื่นใจ และแสงแดดแจ่มนั้นก็ดูประหนึ่งจะส่องเข้าไปถึงจิตใจ ทำให้จิตใจของเขาสว่างและอุ่น ไม่เป็นที่หมักหมมของความชื้นแฉะอับเฉาดังในวันก่อนๆ เขาสนทนากับมิตรสหายร่วมงานด้วยอาการที่ปราศจากความซบเซาเจ่าจุก ถึงแม้เขาจะไม่มีอาการร่าเริง เพราะจิตใจของเขายังกระหวัดถึงการสิ้นวาสนาบารมีของเจ้าคุณอภิบาลผู้เป็นเจ้านายของเขา และมีพระคุณต่อเขา อย่างไรก็ดี เมื่อสหายหนุ่มผู้เป็นบุตรของท่านขุนนาง มาพูดกระซิบกระซาบกับจันทา ด้วยสีหน้าตื่นกลัวเกี่ยวกับฐานะของบิดาของเขาและตัวเขา รวมทั้งได้แสดงข้อวิจารณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองไปในแง่ร้าย สีหน้าของจันทาก็มิได้เปลี่ยนแปลงตื่นกลัวตามเขาไป ในครั้งนี้เขาฟังด้วยกิริยาอันสำรวม จนสหายเหล่านั้นรู้สึกพิศวง
เลิกจากงานในวันนั้น จันทาได้ไปหาพระอาจารย์ของเขาที่วัด และเล่าเรื่องเจ้าคุณอภิบาลถูกปลดจากราชการให้พระอาจารย์ฟัง เขาออกจะแปลกใจอยู่บ้าง ที่พระอาจารย์มิได้แสดงอาการตีโพยตีพาย ดังที่ผู้คนในบ้านเจ้าคุณได้แสดงกัน ท่านนั่งหลับตาครู่หนึ่ง และเมื่อท่านลืมตาขึ้น ท่านได้พูดว่า “วาสนาบารมีของท่านได้สร้างสมมาเพียงแค่นั้น การเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย มันเป็นไปตามผลกรรม อ้ายจันเอ๋ย กูได้บอกกับมึงไว้แล้วมิใช่หรือว่า อ้ายโลกนี้มันไม่เที่ยง กูก็ระลึกเห็นใจเจ้าคุณอภิบาลมาก แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มันเป็นเรื่องของธรรมดาโลก ตัวเจ้าคุณท่านก็เป็นคนสนใจในทางธรรม คงจะพอปลงได้กระมัง ส่วนตัวมึงก็ไม่ต้องโทรมนัสจงตั้งหน้ารับราชการกับรัฐบาลใหม่เขาไปให้ดี ต่อไปนี้มึงก็ไม่มีมูลนายจะคุ้มกะลาหัว จงคิดอ่านเอาตัวของมึงเองนั่นแหละเป็นที่พึ่ง คือเอากุศลกรรมของมึงเป็นที่พึ่ง จงหมั่นทำแต่ความดีและอย่าทำชั่ว ถึงมึงไม่มีมูลนาย มึงก็จะเอาตัวรอดได้ เพราะกุศลกรรมของมึงเอง สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ว่า ‘อตฺตาหิ อตฺตโนนาโถ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแก่ตน’ มึงจงจำคาถาข้อนี้ไว้ให้ดี”
เขาได้ก้มลงกราบรับคำสอน อันมีเหตุผลของพระอาจารย์ได้ด้วยความเคารพ
* * *
ต่อมา จันทาได้มีจดหมาย เล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และการเปลี่ยนแปลงฐานะของเจ้าคุณอภิบาล ผู้เป็นเจ้านายของเขาไปให้บิดาทราบ ท่านภิกษุผู้บิดา ได้ตอบจดหมายลูกชายมา มีความตอนหนึ่งว่า
“พวกพ้องพี่น้องของเจ้า ก็ล้วนแต่เป็นชาวนา จะมีความรู้กะเขาก็แต่เรื่องทำนาหากิน หาเลี้ยงชีวิตพอรอดตายไปวันหนึ่งๆ ตัวพ่อเองก็เป็นชาวนา ถึงจะได้บวชได้เรียนมีความรู้นอกไปจากเรื่องทำนาหากินอยู่บ้าง ก็เป็นความรู้แต่ในทางธรรม ส่วนความรู้ในทางโลกนั้น พ่อก็หามีกะเขาไม่ จะแนะนำสั่งสอนอะไรเจ้าก็ไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในบ้านเมืองนั้นมันเป็นเรื่องทางโลก ถ้าว่าในทางธรรมะ มันก็เป็นธรรมดาของเขาเช่นนั้นเอง คือเป็นของอนิจจัง ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน พระพุทธเจ้าจึงได้สอนว่า อย่าไปหลงยึดหลงถือจริงจังกะเขาเลย
“ถึงพ่อจะไม่มีปัญญา รู้การบ้านการเมืองสูงๆกะเขา แต่พ่อก็พอจะรู้การบ้านการเมืองอย่างต่ำๆ จากการที่พ่อได้พบได้เห็นและได้โดนมากะตัวเอง เจ้าคงจะจำความที่พ่อเคยเล่าให้ฟังได้ว่าพ่อกับแม่ต้องพลัดพรากจากกันเพราะเหตุใด พ่อเกือบจะต้องไปเป็นโจร และในที่สุด แม่เจ้าก็ต้องตายไป เพราะความกระเสือกกระสนจะให้พ้นจากความอดอยาก ไปจนก็มุมอยู่ที่เจ้าโรคระบาดนั่นเอง พ่อได้ลิ้มรสความกดขี่ อธรรมของพวกเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองมาด้วยตน และยังได้เห็นการกระทำเช่นนั้น ของพวกเจ้าหน้าที่ ต่อพวกพี่น้องของเราตลอดมา ยังความอดอยากยากแค้นและความเจ็บไข้ได้ป่วยของพวกพี่น้องชาวนาของเราอีกเล่า พวกเราได้รับความกดขี่ และความทุกข์ยากอย่างหนัก ดังภูเขาทับอยู่บนอกเช่นนี้มานมนานนักแล้ว อ้ายหนูเอ๋ย แล้วก็ไม่มีใครเลยจะได้มาเหลียวแล คิดอ่านแก้ไขให้มันดีขึ้น ตั้งแต่ปู่ย่าตายายลงมาจนถึงชั้นเจ้า ก็ไม่เคยมีใครที่ไหนมาคิดแก้ไข ให้พวกพี่น้องชาวนาของเราได้คลายจากความทุกข์ร้อนที่สุมอยู่บนหัวอกของพวกเราเสียบ้างเลย เรื่องมันเป็นเช่นนี้แหละ อ้ายหนูเอ๋ย พ่อจะว่าท่านปกครองบ้านเมืองให้พวกเราได้รับความร่มเย็นเป็นสุขมันก็จะเป็นเท็จไป ในชั่วอายุของพ่อศึกเสือเหนือใต้ไม่มีมารบกวนรังคราญก็จริง แต่ความกดขี่ ความอดอยากและความเจ็บไข้ ที่พวกพ้องของเราต้องผจญกันอยู่ไม่ขาดสายนั้น ก็นับว่าเป็นข้าศึกที่เข้าไปตั้งค่ายอยู่ในตำบลในหมู่บ้านของเราเป็นประจำทีเดียวละ เราต้องรบกับมันเรื่อยมา พ่อไม่มีความรู้เรื่องการปกครองบ้านเมืองก็จริงหรอก แต่พอรู้ว่าท่านปกครองดีหรือไม่ดี จากชีวิตของพ่อได้ผ่านมา พ่อก็มีความเคารพนับถือพระเจ้าแผ่นดินท่านอยู่เป็นนิจ แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้เป็นหูเป็นตา เป็นมือเป็นตีนของท่าน มาทำให้พ่อหมดศรัทธา คนเหล่านั้นไม่ได้ทำตนให้เป็นมิตรของเราเลย มีแต่จะคอยกดขี่ข่มเหงคะเนงร้ายเอาท่าเดียว
“พ่อจะกล่าวให้เจ้าฟังสักข้อเดียวว่า อ้ายชีวิตพวกพ้องของเจ้าที่เป็นอยู่บัดนี้น่ะ มันก็แสนลำบากถึงที่สุดอยู่แล้ว ไม่ว่าใครเขาจะมาปกครอง ก็เห็นจะมาทำให้มันหนักไปกว่านี้อีกไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกพี่น้องของเจ้าคงจะไม่อาลัยกะคนเก่า ๆ ที่ปกครองเขามา และก็คงไม่ตกใจว่าพวกใหม่จะมาทำให้เขาทรุดหนักลงไปอีก พวกพี่น้องของเจ้าเขายากจนกันเสียจนเขารู้สึกว่า ไม่มีใครจะมาทำให้เขาจนยิ่งไปกว่านั้นได้อีกแล้ว พวกพี่น้องของเจ้าเขาได้ยินว่า พวกที่มาปกครองใหม่เป็นพวกที่มาจากราษฎรด้วยกัน เขาจึงมีความหวังกันบ้างว่า การเปลี่ยนแปลงที่พวกพี่น้องของเจ้า เขาเห็นว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์นี้ จะทำให้เขาเป็นสุขสบายขึ้นบ้างกระมัง พ่อบอกเจ้าได้ว่า พวกพี่น้องชาวนาของเรานั้นมองไปข้างหลังก็พบแต่ความทุกข์ยากอย่างเดียวกันทั้งนั้น เขาไม่อยากเหลียวกลับไปดูมันหรอก อ้ายหนูเอ๋ย เขาอยากรู้แต่ว่าข้างหน้ามันจะมีอะไรดีขึ้นบ้างสำหรับเขา เมื่อได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่โตขึ้นเช่นนี้แล้ว
“ที่เจ้ามีความห่วงใยในการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองอยู่บ้าง เพราะความกตัญญูรู้คุณท่านเจ้าคุณ ซึ่งได้ชุบเลี้ยงเจ้ามานั้น ก็เป็นการชอบแล้วลูกเอ๋ย และคำของท่านอาจารย์ที่สอนเจ้าไว้ ก็เป็นคำสอนที่ถูกใจพ่อ ขอเจ้าจงยึดถือไว้เถิด จงตั้งหน้ารับราชการไปจนสุดกำลัง อย่าคบหากับพวกที่กดขี่อาธรรมแก่ราษฎร ทั้งพ่อและพวกพี่น้องของเจ้า ได้รับความชอกช้ำมานักแล้ว บุญกุศลที่พ่อได้ทำไว้เท่าใด ก็ได้อุทิศไปให้แม่ของเจ้าแล้ว แม่เจ้าเป็นคนประเสริฐนัก คงจะไปสู่สุคติหรอก พ่อจะคอยดูความเจริญของเจ้า และหากเจ้าได้ดีไปภายหน้า ก็อย่าลืมกำเนิดของเจ้า อย่าได้ลืมพวกพ้องชาวนาของเจ้าเป็นอันขาด”
คำทบทวนของพ่อ ถึงความกดขี่อาธรรม ที่พ่อได้ประสบมาเองจากเจ้าหน้าที่ของบ้านเมือง รวมทั้งที่พ่อและตัวเขา ได้รู้เห็นการกระทำชั่วร้ายเหล่านั้น อันได้บังเกิดแก่พวกพ้องชาวนาของเขา ตลอดจนความเป็นอยู่อย่างอดอยากยากแค้น ที่พวกพ้องชาวนาของเขาได้ผจญกันมาหลายชั่วคนแล้ว ได้เป็นข้อเตือนใจอย่างสำคัญ ให้จันทาสำรวจดูความคิดของเขา ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงจากวิถีเก่าไปสู่วิถีใหม่ ดังที่ครูอุทัยได้บรรยายให้เขาฟัง เขารู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง เมื่อเขาระลึกได้ถึงความรู้สึกนึกคิดของเขาในระยะหนึ่ง ที่เอนเอียงไปในทางไม่พึงพอใจ ต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะเหตุว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น ก่อความวิบัติให้แก่ผู้มีพระคุณของเขา เพราะเหตุว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น ทำให้เขาสูญเสียมูลนาย ที่จะค้ำชูเขาให้มีความเจริญในราชการ ซึ่งเขาถือว่าเป็นงานที่เชิดหน้าชูตาเขาอย่างที่สุด เขาละอายใจว่า ด้วยการคิดถึงเหตุการณ์บ้านเมือง โดยการมองไปจากผลประโยชน์ส่วนตัวของเขา ซึ่งหมายถึงว่า ด้วยความคิดเห็นแก่ตัวล้วนๆ นั้นเอง ที่เกือบจะขับต้อนเขาให้ไปรวมอยู่ในกลุ่มชนส่วนน้อยนิด ซึ่งมีความเป็นอยู่แตกต่างกับพวกพ้องชาวนาของเขาดังฟ้ากับดิน ด้วยการคิดไปจากผลประโยชน์ส่วนตัวของเขา เขาแทบจะคัดตัวเองออกไปอยู่ในฝ่ายที่เป็นปรปักษ์ต่อสวัสดิภาพของพวกพ้องชาวนาของเขา โดยที่เขาไม่มีความสำนึกเลย เขาละอายใจว่า ตัวเขาก็ได้มีโอกาสเข้ามาเรียนในเมืองหลวง จนถึงได้เข้าเรียนในโรงเรียนกฎหมาย ทั้งได้อยู่กินในบ้านของท่านอำมาตย์ผู้ใหญ่มาหลายปี ส่วนพ่อของเขาสิได้หมกตัวอยู่แต่ในท้องทุ่งอันกันดาร แต่พ่อของเขากลับมีความคิดที่ถูกต้องและใกล้เคียงกับที่ครูอุทัยได้ชี้แจงแก่เขา จันทาพิศวงว่า เหตุไฉนการสมาคมอันกว้างขวางและความรู้อันสูงของเขา เมื่อเทียบกับระดับการสมาคม และความรู้ของพวกพี่น้องชาวนา จึงกลับนำไปสู่ความคิดที่ผิดเล่า เมื่อเขาได้มีโอกาสพบกับครูอุทัยอีกครั้งหนึ่ง และเข้าได้ปรารภความข้องใจข้อนี้แก่ครูแล้ว ครูได้ชี้แจงแก่เขาว่า
“วิชาความรู้ที่บุคคลมีอยู่นั้น ไม่ว่าจะมากมายสักเท่าใด จะไม่ทำให้เขามีความคิดที่ถูกต้องขึ้นมาได้ และก็จะไม่ทำให้เขาเป็นประโยชน์แก่ชนส่วนมากได้ หากเขาพิจารณาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมนุมชน โดยถือเอาการได้เสียส่วนตัว และความรู้สึกส่วนตัวของเขา ซึ่งขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชนส่วนมาก เป็นหลักในการพิจารณา ความคิดที่ถูกต้องและมีคุณค่าต่อชุมนุมชนนั้น จะต้องเป็นความคิดที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชนส่วนมาก เพราะฉะนั้นคนขอท่าน หรือกรรมกรที่อดโซ จึงอาจมีความคิดที่วิเศษยิ่งกว่าผู้มีอำนาจวาสนา ซึ่งคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวของเขา” เป็นคำลงท้ายของครูอุทัย ส่วนตัวจันทานั้น ครูได้พูดให้กำลังใจแก่เขาและมิได้ตำหนิในความคิดผิดพลาดอันไร้เดียงสาของเขา ครูเพียงแต่เตือนให้เขารู้จักการนำความคิด ให้ดำเนินไปในแนวทางที่ถูกต้องนั้นก็มีอยู่แต่แนวทางที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชนส่วนมากเท่านั้น และจันทาก็รับคำเตือนของครู ด้วยความใส่ใจ
* * *
นับแต่เจ้าคุณอภิบาล ผู้เป็นประมุขของครอบครัว ซึ่งประกอบด้วยบริวารเป็นจำนวนมากได้ถูกปลดจากราชการแล้ว ภายในบ้าน ‘ปราสาท’ ของเจ้าคุณก็อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความเหงาเศร้าซึม เสียงมโหรีปี่พาทย์ และเสียงขับร้องอันเสนาะเจื้อยแจ้ว ที่เคยได้ตั้งวงบรรเลง ณ ศาลาริมสระน้ำแทบจะทุกวันอาทิตย์นั้นได้ยุติลง งานเลี้ยงรับรองมิตรสหาย และแขกผู้มีเกียรติ ด้วยอาหารอันโอชารสเหลือเฟือ พร้อมด้วยเสียงสรวลสันต์หรรษาของท่านเจ้าบ้านและแขกที่เคยดังกังวานออกมาจากภายในตึกก็เงียบเชียบลง ความคึกคักพลุกพล่านของผู้คน เมื่อเวลาเนิ่นนานไปก็ได้แปรสภาพเป็นโหรงเหรง คุณหญิงอภิบาลไม่เคยเตรียมตัวไว้ต้อนรับเหตุการณ์คับขันเลย คุณหญิงไม่เคยฝันถึงการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง ที่จะกระทบกระเทือนฐานะของเจ้านายและผู้ดีชั้นสูงอย่างร้ายแรง ดังที่ได้มาปรากฏแก่ตาคุณหญิง ณ บัดนี้ คุณหญิงมีแต่ความมั่นใจในฐานะอันไพบูลย์มั่นคงของท่านเจ้าคุณสามี มีแต่จะคาดหมายในความไพบูลย์ยิ่งขึ้นของท่าน และเมื่อมองไปข้างหน้า ก็เห็นแต่ความไพบูลย์อันจะสืบทอดไปยังผู้เป็นทายาทเท่านั้น ในตอนแรกคุณหญิงได้มองดูการเปลี่ยนแปลง ที่คุณหญิงรู้สึกว่า ช่างเป็นเรื่องบ้าบอเสียนี่กระไรนั้น ดุจว่าเป็นเพียงฝันร้าย มาตรว่ามันจะเป็นภาพที่น่าสยองใจอย่างยิ่งก็ตาม คุณหญิงก็ยังหวังว่า มันจะดับลับไปดุจความฝันทั้งหลายในไม่ช้า แต่วันแล้ววันเล่า มันก็ยังไม่จากไป และนับวันมันก็มีแต่จะแสดงอย่างดื้อดึงว่า มันจะคงอยู่และมันก็ได้อยู่ให้คุณหญิงได้เห็นมันอย่างตำตาตลอดมา คุณหญิงจึงจำใจต้องยอมรับว่ามันเป็นความจริง มิใช่เป็นเพียงภาพร้ายในฝัน แต่ก็ยังแฝงความหวังไว้ว่า ถึงมันจะเป็นความจริงมันก็อาจจะไม่จีรังยั่งยืน มันอาจจะล้มครืนลงมาในวันหนึ่ง และสิ่งที่เคยรุ่งเรือง ก็จะกลับทอรัศมีเจิดจ้าขึ้นมาอีก และวัชรินทร์บุตรชายผู้สุดสวาท ก็จะมีอนาคตอันแจ่มใสดุจอดีตของท่านบิดาของเขา
การณ์ในภายหน้าจะเป็นอย่างไรก็ตามที แต่ในบัดนี้คุณหญิงอภิบาลก็จำเป็นจะต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลง อันคุณหญิงรู้สึกว่าแสนที่จะโสโครกและแสนที่จะชิงชังน้ำหน้ามัน ในชีวิตของคุณหญิง คุณหญิงไม่เคยขับปัญหาเกี่ยวกับการใช้จ่ายในครอบครัว แม้ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายอันมากมาย มิใช่ว่าคุณหญิงจะมิได้เคยฝึกฝน ในการขบปัญหาที่คุณหญิงได้เคยขบมาไม่น้อยเหมือนกัน เป็นต้นในกรณีที่เกี่ยวกับแม่อบ และแม่ชื่น ซึ่งมีปัญหาหลายปัญหารวมอยู่ในเรื่องของคนทั้งสองนั้น และปัญหาที่เกี่ยวกับการผดุงส่งเสริมให้ท่านเจ้าคุณสามีได้รับความนิยมโปรดปรานของท่านเจ้านายผู้ใหญ่ยิ่ง ๆ ขึ้น ทั้งปัญหาอื่น ๆ อีก ที่เกี่ยวกับความไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นของครอบครัว และในส่วนตัวของคุณหญิงเอง อย่างไรก็ดี ความจัดเจนในการขบปัญหาเหล่านั้นไม่อาจจะเป็นที่พึ่งแก่คุณหญิงได้เท่าใดนัก เมื่อมาถึงปัญหาเกี่ยวกับการตัดทอนค่าใช้จ่ายครอบครัว ซึ่งจะต้องตัดทอนลงไปอย่างห้ำหั่น คุณหญิงไม่คุ้นเคยกับการตัดทอน เคยแต่การใช้ที่ปราศจากการไม่ติดขัด เมื่อเงยหน้าขึ้นจากการขบปัญหาที่น่าอึดอัดใจข้อนี้ และมองไปยังอนาคตก็พบแต่ความน่าห่วงใยในปัญหาของชีวิตครอบครัว ของลูกของหลานในประการต่าง ๆ แล้วความมืดมนก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า จนในบางคราว คุณหญิงต้องส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดขึ้นมา พลางก็ร่ำไห้อย่างหนัก ความจริงอนาคตอาจไม่มืดมนถึงเช่นนั้น และไม่มีปัญหาที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงเท่าใดเลย เพราะว่า ถึงแม้เจ้าคุณอภิบาลจะออกจากราชการไปก็ดี แต่ทรัพย์สินทั้งที่เป็นสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ ที่บิดาของท่านและตัวท่านได้สะสมไว้ก็มีอยู่มิใช่เล็กน้อย แต่โดยที่คุณหญิงเคยชินมาแต่การสะสมและไม่เคยคิดว่าการสะสมเพิ่มเติมไว้เรื่อยๆ อันเป็นสิ่งที่มีแต่ความสำราญใจนั้นจะมาสะดุดหยุดลง เพราะฉะนั้นเพียงแต่ได้เผชิญกับการสะดุดหยุดลงของการสะสมเท่านั้น ใจของคุณหญิงก็ข้ามไปนึกถึงความขาดแคลนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันไกลเสียแล้ว ความจริงนั้นในอนาคต คุณหญิงก็คงจะไม่พบกับความขาดแคลนเช่นที่คนส่วนมากได้ผจญกันมาหลายชั่วคนแล้วเลย ถึงแม้ความจริงไม่น่าจะเป็นไปดังเช่นที่คุณหญิงมีความหวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่ก็ตาม แต่เมื่อใจของคุณหญิงได้วาดมันขึ้นไว้เช่นนั้นมันก็ย่อมจะเป็นความจริงไปในความนึกคิดของคุณหญิง
มาตรว่าคุณหญิงจะเป็นพุทธศาสนิกชน เป็นคนหนึ่งในจำนวนพุทธบริษัทซึ่งมีความหมายว่า เป็นผู้นั่งแวดล้อมพระพุทธเจ้าอยู่ก็ดี แต่คุณหญิงก็ได้แต่นั่งดูพระพุทธเจ้าอยู่นั่นเอง แท้ที่จริงแล้วตั้งแต่เกิดมาจนล่วงวัยห้าสิบปี คุณหญิงแทบจะมิได้เสพย์รสธรรมของพระพุทธเจ้าเลย กระทั่งว่าบรมสัจจธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศสั่งสอนแก่มวลมนุษย์นั้น คุณหญิงก็ไม่เคยทราบอย่างถ่องแท้ แต่คุณหญิงก็เข้าใจเอาเองว่า ท่านเป็นพุทธศาสนิกเต็มตัว เพราะคุณหญิงได้เคยเป็นเจ้าภาพร่วมกับท่านเจ้าคุณสามีทอดกฐินพระราชทาน และได้เคยทำบุญเลี้ยงพระเนื่องในงานฉลองวันเกิดเจ้าคุณบ้าง ของคุณหญิงบ้างและในอภิลักขิตกาลอื่น ๆ อีก คุณหญิงมองดูพระพุทธศาสนาในฐานที่เป็นบันได อันพระพุทธองค์ได้ทอดไว้ระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ สำหรับให้คนผู้มียศและมีทรัพย์เหลือเฟือสามารถจ่ายเงินทำบุญเลี้ยงพระได้คราวละมาก ๆ เช่นคุณหญิงพร้อมทั้งครอบครัวจะได้อาศัยเดินทางไปสู่โลกสวรรค์ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณหญิงกับพุทธศาสนาในข้อใหญ่ใจความก็มีอยู่เพียงเท่านั้นเอง นอกจากนี้แล้ว คุณหญิงก็เข้าใจเอาว่า ความจงรักภักดีและความเคารพนบนอมของชนชั้นต่ำ ต่อเหล่าท่านผู้ดีชั้นสูงนั้นก็เป็นเครื่องหมายอันเด่นชัดของผู้ที่นับถือพุทธศาสนาด้วย เพราะฉะนั้น คุณหญิงจึงได้ลอบนินทาพวกที่สุมหัวคบคิดกันทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองอันเป็นเหตุกระทบกระเทือนน้ำพระทัยของพระเจ้าแผ่นดิน จนทำให้ฐานะของเจ้านายและพวกผู้ดีขั้นสูงต้องประสบต่อความสั่นสะเทือน ว่าเป็นพวกที่ไม่มีศาสนาการแสดงความไม่เคารพต่อพระเจ้าแผ่นดินและเจ้านายตลอดจนเหล่าท่านผู้ดีชั้นสูง จนถึงได้มีการปลดท่านเหล่านี้ออกจากราชการเสียเป็นอันมาก รวมทั้งการปลดท่านเจ้าคุณอภิบาลด้วยนั้น คุณหญิงถือว่ามีผลเท่ากับเป็นการแสดงความไม่เคารพต่อพระพุทธเจ้าทีเดียว คุณหญิงจึงแอบประณามบุคคลพวกนั้นว่าเป็นผู้ที่ไม่เคารพพระเคารพเจ้า ในวันหนึ่งคุณหญิงได้กล่าวกับคุณลมัยว่า “เจ้าคนพวกนี้มันจะต้องตกนรกใต้เถรเทวทัตไปตามๆ กัน” และคุณลมัยก็เห็นว่า นั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีปัญหาเลย
อันที่จริงแม้ว่าคุณหญิงจะได้เคยทอดกฐินเป็นการใหญ่โต และได้เคยทำบุญเลี้ยงพระเป็นจำนวนมาก ๆ อยู่เป็นครั้งคราวก็ตาม แต่คุณหญิงก็มิได้ใส่ใจ ที่จะไปฟังเทศน์ฟังธรรมตามวัดตามวา คุณหญิงคิดว่าการทำบุญด้วยจำนวนเงินมาก ๆ เช่นนั้น เป็นการเพียงพอแล้วที่จะนับตัวเองว่าเป็นผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา การฟังเทศน์ฟังธรรมนั้นควรเป็นเรื่องของคนมีบาป มีความทุกข์ยากเดือดร้อน ส่วนคนที่มีกินมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์เช่นคุณหญิงนั้น การฟังธรรมเป็นของไม่จำเป็น แม้ว่าคุณหญิงจะได้พบความขุ่นข้องหมองใจ ความโศก ปริเทวะ เช่นในกรณีที่แม่อบและแม่ชื่น ได้กลายเป็นคุณอบเชย และคุณบานชื่นขึ้นมา และในกรณีที่บุตรคนเล็กได้ตายจากไปและความขุ่นข้องหมองใจอื่น ๆ อีกที่ได้มีอยู่เนือง ๆ ตลอดมาในชีวิตอันอุดมด้วยลาภยศ แต่คุณหญิงก็มิได้เคยสำนึกแม้แต่น้อย ความทุกข์และความไม่เที่ยงนั้น เป็นของมีประจำเป็นพื้นฐานอยู่ในชีวิตของมนุษย์ คุณหญิงไม่เคยทราบบรมสัจธรรมทั้งสาม ที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศสั่งสอนแก่เทวดาและมนุษย์เลย คุณหญิงมีแต่หลงยึดถือมั่นอยู่ว่า วาสนาบารมีและลาภยศ ที่ครอบครัวของคุณหญิงได้รื่นรมย์อยู่นั้น จะเป็นของคงทนยั่งยืนและนับวันมีแต่จะเพิ่มพูนยิ่ง ๆ ขึ้น บัดนี้เมื่อความเสื่อมและอาการพังทลายของมัน ได้เริ่มสำแดงตนออกมาให้เห็นแล้ว คุณหญิงก็ได้แต่แลดูมัน ด้วยความตกตะลึงพรึงเพริดและเพราะว่าคุณหญิงไม่ได้เคยเสพย์รสธรรมของพระบรมศาสดามาก่อนเลย และเพราะว่า คุณหญิงได้ยึดถือความเป็นตัวตน ของคุณหญิงและของบุคคลอื่นๆ ผู้เป็นที่รักไว้เสียอย่างแน่นหนานี่กระไร ความห่วงใยกังวลต่าง ๆ จึงได้หลั่งไหลพรั่งพรูออกมา และคุณหญิงก็ไม่อาจห้ามความห่วงใยกังวลเหล่านั้นได้ เพราะคุณหญิงไม่เคยเรียนรู้ธรรมชาติของชีวิตตามคำสอนของพระศาสดาสำหรับที่จะใช้ความรู้นั้นเข้าหักห้ามมัน เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเผชิญกับมัน ความแปรผัน ความไม่เที่ยงนั้น แม้จะบังเกิดอยู่ในชีวิตทุกวัน แต่ความเพลิดเพลินในลาภยศ และความเป็นอยู่สำราญของคุณหญิงได้กำบังมันไว้เสีย และบัดนี้เมื่อคุณหญิงได้รู้สึกมันเข้าอย่างกระทันหัน คุณหญิงก็ได้แต่ตระหนกอกสั่น เพราะไม่เคยเรียนรู้ธรรมชาติของมัน
ในสมัยที่เจ้าคุณอภิบาล รุ่งเรืองด้วยอำนาจวาสนาอยู่นั้น คุณหญิงได้ใช้ชีวิต โดยมิต้องแบกภาระอะไรเลย ครั้นมาถึงสมัยของความเสื่อมอำนาจวาสนา, ด้วยความตกใจในความโคลงเคลงของชีวิตในอนาคต คุณหญิงก็เกิดความห่วงกังวลในเรื่องร้อยสีพันอย่าง ซึ่งคุณหญิงไม่เคยคิดถึงมาก่อน และโดยที่คุณหญิงไม่เคยฝึกฝนใช้ความคิดวินิจฉัยขบปัญหาต่างๆ อย่างมีระเบียบมาแต่ก่อน ความคิดของคุณหญิง ก็กลายเป็นความคิดฟุ้งซ่านและไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะขบปัญหามากมาย ให้บังเกิดคำตอบที่สว่างแจ่มแจ้งขึ้นมาได้ ความคิดฟุ้งซ่านนั้น นอกจากจะใช้ขบปัญหาอะไรไม่ได้แล้วยังมีแต่จะเพิ่มเติมสิ่งที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาให้เป็นปัญหาใหม่ๆขึ้นมาเพิ่มความกังวลของคุณหญิงให้มากขึ้น และเมื่อตกอยู่ในความยุ่งยากลำบากใจเช่นนี้คุณหญิงก็พบว่า จะเอาใครเป็นที่พึ่งไม่ได้สักคน
เพราะว่า ใคร ๆ ที่ดูเป็นคนฉลาดคล่องแคล่ว ในการขบปัญหาต่างๆ ในยามอับวาสนา ก็กลายเป็นคนที่ไร้ปัญญาไปหมด “ลมัยที่เคยปราดเปรื่องออกความเห็นฉอดๆ ก็พลอยเป็นคนบ้องตื้นกับเขาไปได้” คุณหญิงรำพึงด้วยความโทรมนัส วัชระบุตรคนโตผู้กลับจากอังกฤษได้ปีเศษ เป็นผู้รอบรู้ในแบบแผนของผู้ดีอังกฤษอย่างถี่ถ้วน และเป็นชายหนุ่มผู้สง่างาม สันทัดจัดเจนในสมาคมผู้ดี ก็คงใช้เวลาสนุกสนานเพลิดเพลินต่อไปในสมาคมของพวกผู้ดี คงไปเที่ยวเต้นรำ เล่นกีฬา เล่นไพ่ ดื่มเหล้าสก็อต และบรั่นดีฝรั่งเศสตามสโมสร และตามบ้านของมิตรผู้ดีต่อไป เมื่อคุณหญิงปรึกษาหารืออะไรกับเขา เขาก็มักจะตัดการปรึกษาหารือเสียด้วยคำพูดสั้นว่าๆ “คุณแม่อย่าไปคิดอะไรให้มากนัก อยู่มันไปเรื่อยๆ ดีกว่า ถึงอย่างไรเราก็ไม่มีวันอดตาย” และก่อนที่จะเดินตัวปลิวไปขึ้นรถยนต์ ซึ่งเขาจะขับเที่ยวไปตามสโมสรและตามบ้านของมิตรผู้ดี เขาก็จะพูดปลอบมารดาของเขาอีกประโยคหนึ่งว่า “ที่ดีมันกลายเป็นร้ายได้ อ้ายที่ร้ายมันก็คงจะกลายเป็นดีได้ สักวันหนึ่งเหมือนกันนะครับคุณแม่” แล้วคุณหญิงก็จะบ่นพึมตามหลังลูกชายไปว่า “สักวันหนึ่งของเจ้ามันอาจจะมาถึง เมื่อแม่ได้ตายไปเสียนานแล้ว” แต่ขณะนั้นวัชระก็ได้เดินไปเสียไกล จนไม่อาจได้ยินคำพูดของมารดา
ส่วนวัชรีบุตรคนรอง ผู้เป็นพี่สาวของวัชรินทร์นั้น ตั้งแต่รุ่นจนถึงเวลาที่เติบโตเป็นสาวเต็มที่ก็สนใจอยู่แต่ในเรื่องการประพฤติตนให้ถูกต้องตามแบบฉบับของกุลสตรีผู้ดีชั้นสูงอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องเลย ความงามของเธอเป็นประหนึ่งดวงเดือนอันแจ่มจรัส ที่เปล่งแสงสุกสะกาวอยู่ในบ้าน เป็นความงามที่กวีเสาะหา เพื่อใช้เป็นแบบพรรณาศุภลักษณ์ของนางเอก เธอเป็นเพ็ญแขที่ฝูงกระต่ายไม่มีกำลังใจจะตะเกียกตะกายชะแง้ฝัน ความไว้ตัวของเธอ ทำให้ฝูงกระต่ายหมดความทะเยอทะยาน วัชรีเป็นสตรีที่ยึดมั่นในศักดิ์สกุลของนางหงส์ คุณหญิงผู้เป็นมารดาคาดหมายว่า บุตรีผู้เลอโฉมและเป็นนางหงส์แท้ของท่านน่าจะได้สมรสกับเจ้าชายที่ปราดเปรื่ององค์ใดองค์หนึ่ง และหากว่าได้เป็นเจ้าชายชั้นพระองค์เจ้า ก็จะถูกใจนักหนา เพราะท่านจะได้มีหลานเป็นหม่อมเจ้าชาย และหม่อมเจ้าหญิง ฝ่ายวัชรีก็ใฝ่ฝันจะได้พบเนื้อคู่ผู้สูงศักดิ์ดังที่มารดาปรารถนา เธอได้ถูกเลี้ยงดูและเติบโตมาในความแวดล้อมของชีวิต ที่ทุกสิ่งทุกอย่างอันเธอได้ใช้บันเทิงชีวิตอยู่นั้น เหมือนหนึ่งว่าได้ถูกเนรมิตขึ้นมา เธอไม่ทราบเลยว่าสิ่งของต่างๆ ที่เธอได้ใช้สอยบริโภคนั้น คนที่ทำมันขึ้นมาเขาอยู่เขากินกันอย่างไร เขามีสุขเขามีทุกข์อย่างไร เธอไม่เคยถูกสอนในเรื่องทำมาหากินเลย เธอถูกสอนแต่ในเรื่องการใช้และออกคำสั่งเท่านั้น ในชีวิตของเธอ เธอรู้จักแต่ว่าในโลกนี้ มีมนุษย์อยู่สองจำพวก พวกหนึ่งมีหน้าที่สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นมาและคอยรับใช้ผู้อื่น อีกพวกหนึ่งมีธุระแค่ที่จะใช้สิ่งของเหล่านั้น และใช้คนอื่นๆ ให้ทำกิจตามที่ประสงค์ เธอรู้จักแต่ว่า เธอเกิดมาอยู่ในหมู่คนจำพวกหลัง ซึ่งไม่มีกิจจะต้องทำมาหากินและเรียนรู้ในเรื่องเช่นนั้น เพราะมีคนอีกจำพวกหนึ่งคอยทำให้ เธอไม่ทราบว่าเรื่องราวแต่ดั้ง เดิมมันเป็นมาอย่างไร แต่เธอถูกอบรมมาให้เชื่อถือว่า มันเป็นสภาวะที่จะต้องเป็นอยู่เช่นนี้ โดยไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไปได้ และได้มีผู้บอกกับเธอว่าเรื่องเช่นนี้มันเป็นเรื่องที่ฟ้าดินได้กำหนดไว้
ครั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง เกิดขึ้นในแผ่นดิน และการเปลี่ยนแปลงนั้น ได้ส่งความกระทบกระเทือนมาถึงฐานะของเจ้าคุณอภิบาล และความเป็นอยู่ของครอบครัว คุณหญิงจึงหวังความช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย จากแม่หงส์น้อยโฉมงามประจำบ้าน ผู้ไม่เคยขบปัญหาของชีวิตใดๆมาก่อน นอกจากนั้นแล้วความไม่ประสาต่อชีวิตของวัชรี ยังเป็นภาระแก่มารดา คุณหญิงปรารถนาจะมาชี้แจงถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ให้บุตรีเข้าใจ แต่ก็เป็นการยากที่จะให้บุตรีเข้าใจในเรื่องที่มารดาเองก็ไม่สู้จะเข้าใจอยู่เหมือนกัน