๑๖
“ผมได้พบชีวิตใหม่ หรือจะว่าได้เกิดใหม่ เมื่อผมเข้าไปอยู่ในตะรางครั้งหลังที่สุดนั่นเอง” แตนเริ่มเรื่องของเขา
“ถ้าเช่นนั้นการราชทัณฑ์ของเราก็ไม่เลวนะซี” จันทาสอดขึ้น “คุกตะรางก็สามารถดัดนิสัยร้ายของเรา ให้กลายเป็นดีได้เหมือนกันหรือ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกคุณเอ๋ย!” แตนค้านโดยเร็ว พร้อมกับสั่นศีรษะ “คุกตะรางไม่ได้ทำให้มนุษย์ดีขึ้นเลย มันมีแต่จะทำคนเลวให้เลวยิ่งขึ้น มันทำให้คนที่พอจะกลับตัวได้ หมดกำลังใจที่จะกลับตัวไปเลย ความเมตตาปรานีหรือความดีงามอะไรน่ะอย่าไปฝันถึงมันเลยครับในคุก”
“ทำไมเล่า ?” จันทาถาม
“ก็เอาคนไปขังไว้ เหมือนอย่างว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่คน ก็จะหวังให้คนทุกคนตะรางเปลี่ยนแปลงดีขึ้นได้อย่างไรเล่าครับ” แตนพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความขุ่นใจ ความละมุนละไมบนดวงหน้าของเขาหายไป มีความรู้สึกเคร่งเครียดมาแทน “ทางเรือนจำเขาปฏิบัติกับนักโทษ หรือผู้ต้องขังที่ยังไม่เป็นนักโทษเหมือนกับที่เขาคิดว่าควรจะปฏิบัติกับสัตว์ ด้วยเหตุนี้แหละครับ เรือนจำจึงดูไม่แตกต่างอะไรกับกรงขังสัตว์ ห้องหนึ่งๆ เขาให้พวกที่ต้องขังอยู่กันอย่างยัดเยียดจนแทบไม่มีที่จะกางมุ้ง”
“ได้ยินว่า ตามห้องขังทำเป็นมุ้งลวดไม่ใช่หรือ ?” จันทาซัก
“เขาก็พยายามจะทำให้เป็นมุ้งลวดครับ แต่ความจริง มันมักจะมีรูที่ไม่ใช่เหมาะแต่ยุงจะบินเข้าออกได้อย่างสบายเท่านั้นหรอก แม้แต่แมวก็เข้าออกได้ตามสบายครับ ในห้องแต่ละห้องยังมีถังเมล์ที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นปัสสาวะ และอุจจาระ แต่ละห้องเป็นดงเรือดซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่เคยสนใจที่จะกำจัดมัน จะว่าเพราะความใจบุญของเขา ตามอุปนิสสัยของผู้นับถือพุทธศาสนา ก็ว่าไม่ได้ครับ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนที่ไม่ฆ่าเรือดนั้น อาจฆ่าคนได้ และทำร้ายคนได้โดยไม่สะดุ้งสะเทือนใจ หรือเห็นว่าเป็นคนบาปหยาบช้าเลย การซ้อมหรือทำร้ายร่างกายนั้น ไม่ใช่มีแต่ที่ตำรวจได้กระทำต่อผู้ต้องหาเท่านั้น แม้ในเรือนจำพวกผู้คุมก็ซ้อมผู้ต้องขังอย่างเปิดเผย และเหมือนอย่างกับว่าการซ้อมผู้ต้องขังหรือนักโทษ เป็นเรื่องกฎหมายรับรองว่าเป็นการกระทำที่ชอบ ความปลอดภัยใดๆ หาได้ยากครับในคุก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพย์สินหรือชีวิตรางกาย ข้าวของที่มีก็ต้องเอาไว้กับตัว ห่างตัวละเป็นเรียบละครับ ต่างคนก็คอยจ้องจะรีดเลือดจากกันเมื่อได้โอกาส ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นน่ะหรือครับ? ก็เพราะมันอดอยากขาดแคลนสารพัดอย่าง มันก็ดิ้นรนกันสุดเหวี่ยง ตามความบีบคั้นของความหิวความอยาก เรื่องศีลเรื่องธรรมน่ะ อย่าไปคิดถึงมันเลยครับ ไม่มีใครจะมีหัวใจไปนึกถึงมันหรอก ก็เหมือนกับจับคนโยนเข้าไปในกรงสิงห์โตนั่นแหละครับ จะให้คนไปนึกถึงเรื่องศีลธรรมอยู่ยังไงไหว คนที่พอมีศีลธรรมอยู่บ้าง ก็ไปหมดเนื้อหมดตัวกันในกรงสิงห์โตนั่นแหละครับ แม้กระทั่งในพวกเจ้าหน้าที่ของเรือนจำก็หามนุษยธรรมได้ยาก เมื่อนักโทษทำร้ายกัน แทนที่เขาจะรักษาบาดแผลเสียก่อน เขากลับเอาทั้งผู้ทำร้ายและผู้ถูกทำร้ายมาตีตรวนและขังรอการสอบสวนไว้ก่อน สอบสวนแล้วจึงจะตรวจและรักษาบาดแผลกัน บางรายก็ตายไปเพราะการปฏิบัติที่ไม่มีมนุษยธรรมเช่นนั้นมันทารุณเหลือทน--”
เขาหยุดถอนหายใจ และส่ายหน้าอันหมองคล้ำ พยอมนั่งนิ่งด้วยความตกใจ เมื่อเขาเหลือบไปเห็นสีหน้าของหญิงสาว เขาพูดต่อไปช้าๆ
“นี่ผมเล่าอย่างรวบรัด ถ้าผมเล่าอย่างละเอียดแล้ว คุณจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่มนุษย์จะอยู่กันเช่นนั้น และได้รับการปฏิบัติจากบ้านเมืองเช่นนั้น”
“นั่นเป็นการจับคนเอาไปขังเพื่อการทรมาน เป็นการขังเพื่อการแก้แค้นแก้เผ็ด ซึ่งไม่ใช่ความมุ่งหมายของการราชทัณฑ์ในปัจจุบันนี้” จันทาพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ความมุ่งหมายที่พวกนักปราชญ์ได้คิดค้นตั้งขึ้นไว้ด้วยความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ และที่คุณจันทาได้เรียนมา จะเป็นอย่างไรก็ตามเถอะ แต่ในคุกตะรางของเรา มันก็เป็นอย่างที่ผมเล่ามาให้ฟังนี้แหละ และในสถานที่ที่มีความเป็นอยู่อย่างขุมนรกเช่นนั้น และด้วยการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่ไร้มนุษยธรรมเช่นนั้น เราจะหวังให้คนกลับตัวเป็นคนดีได้หรือ มันมีช่องทางแม้สักเท่ารูเข็มหรือครับ ?”
ชายหนุ่มนักกฎหมายของระบอบใหม่ส่ายหน้า
“แต่แตนก็อดทนทายาด ที่ผ่านคุกตะรางมาได้หลายครั้งโดยไม่เสียชีวิต”
เขายกมือทั้งสองขึ้นลูบผมและยิ้ม เป็นยิ้มที่ปรากฏออกมาจากจิตใจที่บึกบึน ริมฝีปากของเขาเม้ม เป็นยิ้มที่จันทาต้องทบทวนดูว่า มันคล้ายกับยิ้มของใครคนหนึ่งที่เขาเคยเห็นนานมาแล้ว ในที่สุดดวงหน้าของพ่อก็ได้มาปรากฏในมโนภาพของเขา
“ชีวิตนี่ก็แปลก มันช่างเหนียวแน่นทนทานต่อทุกข์ทรมานเสียจริงๆ มันตายยากครับ ความทุกข์ทรมานบางอย่าง เมื่อคนเราได้ยินและคิดว่า เขาไม่อาจที่จะเผชิญกับมันได้นั้นแต่เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องเผชิญ เขาก็ทนมันได้ มากและนานเกินกว่าที่เขาคาดหมาย ข้อสำคัญอย่าเสียใจ เมื่อเคยชินกับมัน เขาก็จะรับมันไว้เป็นส่วนหนึ่งแห่งชีวิตของเขา มันเป็นประโยชน์ในส่วนที่มันสร้างความอดทนและสะสมความจัดเจนในชีวิตให้แก่เรา แต่มันเป็นโทษในเมื่อมันเป็นส่วนที่แสดงความเลวร้ายของชีวิตและเรารับเอาไว้ ด้วยความรู้สึกเฉยเมยและไม่ดิ้นรนที่จะปลดเปลื้องมันเสีย”
คำพูดตอนท้ายของเขาเหมือนกับเข็ม จันทารู้สึกว่าเป็นคำพูดที่เสนอและความคิดที่แยบคาย
“แตนได้คติที่กล่าวนี้มาจากไหน?” จันทาถาม
“ข้อแรก ผมได้มาจากความจัดเจนในชีวิตของผม ส่วนข้อหลังผมได้มาจากคุณสตรีผู้นั้น”
พยอมเปลี่ยนอิริยาบถ วางมือจากการรับประทาน ยืดตัวขึ้นนัยน์ตาของเธอวาววาม
“โปรดเล่าเรื่องของคุณสตรีผู้นั้นเถอะค่ะ ดิฉันคอยฟังอยู่”
แตนเล่าว่า เมื่อเขาติดตะรางครั้งหลังที่สุดนั้น เขาได้พบผู้ต้องขังสองคน ที่เป็นกรรมกรต้องถูกจับมาขัง และต้องข้อหาของตำรวจเพราะเหตุที่เขาเป็นผู้มีส่วนชักชวนให้เพื่อนกรรมกรหยุดงาน เพื่อคัดค้านการปฏิบัติของนายจ้าง ที่เป็นไปในทางกดขี่คนงาน ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น เขาต้องข้อหาว่าเป็นผู้ก่อการจลาจล แตนได้รับมิตรภาพจากสหายกรรมกรทั้งสอง จากมิตรภาพอันนี้ ได้นำเขาไปรู้จักกับสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นสหายกรรมกรของเขา สตรีผู้นั้นได้ทราบเรื่องราวแห่งชีวิตของเขา โดยทางสหายกรรมกรของเขา เขาได้มีโอกาสพบกับสหายสตรีในวันที่ทางเรือนจำอนุญาตให้มีการเยี่ยม
“ในครั้งแรกที่พบกัน เธอกล่าวกับผมว่า เธอเห็นใจที่ผมไม่มีบิดามารดาและครอบครัว เธอทราบถึงเหตุที่ผมได้หันชีวิตเข้ามาในทางผิด แต่เธอกล่าวว่า ผมเลือกชีวิตในทางที่ผิดก็จริง แต่เหตุที่ผลักดันให้ผมหันเหชีวิตมาในทางนี้ ผมไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุเช่นนั้น ได้มีผู้ก่อไว้แล้ว และคนเคราะห์ร้ายเป็นจำนวนมากต้องตกเป็นเหยื่อของเหตุนั้น การเดินทางผิดของผมมีคนอื่นและสิ่งอื่นที่จะต้องร่วมรับผิดชอบด้วย เธอบอกว่า ไม่เป็นการชอบธรรมเลย ที่จะประเดความผิดทั้งหมดมาให้ผมรับไว้แต่ผู้เดียว หรือแม้แต่ส่วนมากก็ไม่ถูกต้อง เธอเชื่อว่าคนทุกคนปรารถนาจะเป็นคนดี แต่ว่าก่อนที่เขาจะดีได้ บางทีเขาก็จำเป็นจะต้องได้รับโอกาสปราศจากโอกาสหรือช่องทางแล้ว หากเขาไม่ได้เป็นคนดีเขาก็ควรได้รับการพิจารณาด้วยความเห็นใจและเที่ยงธรรม เธอบอกว่าผมเป็นคนหนึ่งในจำนวนผู้คนอีกมากมายที่ไม่ได้รับโอกาส และเป็นคนหนึ่งที่ต้องตกเป็นเหยื่อของเหตุหรือสิ่งแวดล้อมชีวิต ที่คนอื่นและสิ่งอื่นเป็นผู้ก่อไว้ และผมเป็นแต่ผู้มารับผลร้ายของมัน เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่มีความรังเกียจในตัวผม ความชิงชังรังเกียจของเธอมุ่งไปสู่เหตุร้ายและบรรดาผู้ที่ก่อเหตุ และผู้ที่พยายามจะอุ้มชูเหตุร้ายนั้นไว้ แทนที่จะหาทางกำจัดมันเสีย ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมทีเดียวครับ ที่ได้มีคนดีๆ มามองผมในทางที่เห็นอกเห็นใจ และไม่ปรับเอาว่าสันดานของผมเป็นสันดานของคนร้าย และก็เป็นครั้งแรกเหมือนกัน ที่ได้มีผู้มาชี้ตัวจริงของผม ให้ผมเองได้รู้จัก และผมก็รู้สึกเป็นสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกในชีวิต เมื่อผมมาทราบว่า ผมไม่ใช่คนร้ายมาแต่กำเนิด อย่างที่ใครๆ เขาตราหน้า และผมก็อาจจะเป็นดีได้ถ้าผมได้รับโอกาส”
สองสามีภรรยานั่งฟังคำบอกเล่าของแตนอย่างสงบเงียบและทึ่ง เมื่อเขาหยุดระบายลมหายใจ จันทาได้พูดสอดขึ้นว่า
“เรื่องโอกาสที่เพื่อนสตรีของเธอกล่าวถึงนั้นมาตรงกับความคิดของฉัน และมาตรงกับความเป็นจริงในชีวิตของฉันด้วย ฉันมาจากบ้านนอกเมื่อมาพบแตนที่วัดนั้น ฉันยังโง่กว่าแผนมาก ต่อมาฉันค่อยมีความรู้กว้างขวางขึ้น จนถึงได้เรียนสำเร็จจากมหาวิทยาลัยและมีตำแหน่งในราชการ ตลอดจนมีชีวิตการเป็นอยู่ที่สะดวกสบายพอควร ทั้งหมดนี้ในข้อแรกก็อาศัยเหตุที่ว่า ฉันได้รับโอกาส ส่วนแตนไม่ได้รับโอกาสเช่นที่ฉันได้รับ ชีวิตของแตนจึงได้เป็นไปอีกทางหนึ่งตามความผลักดันของสิ่งแวดล้อม” เขาหยุดและถอนใจ “ถ้าทุกคนได้รับโอกาสที่จะเป็นคนดีเหมือนกันหมดแล้ว ชีวิตของคนทั้งหลายก็จะไม่แตกต่างกันอย่างมากมายอย่างที่เป็นอยู่ทั่วไปในทุกวันนี้ ก็ทำอย่างไร คนทุกคนจึงจะได้รับโอกาสเล่า?”
จันทาลงท้ายเป็นเชิงรำพึง แล้วแตนก็ดำเนินเรื่องของเขาต่อไป
“คุณสตรีผู้นั้นอีกเหมือนกันครับที่ได้หยิบยกเอาส่วนดีของผมขึ้นมาสรรเสริญ เช่นความทรหดบึกบึนและความซื่อตรงที่ผมมีต่อพวกพ้อง ในส่วนความทรหดบึกบึนของผมนั้นก็เป็นที่รู้จักกันอยู่หรอกครับ ถึงคุณจันทาก็ยังคงพอจำได้” เขาหยุดชายตามาทางสหายนักกฎหมาย และจันทาก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับพยักหน้ารับคำเขา “แต่เธอเป็นคนแรกที่แสดงความเสียดายว่าส่วนดีของผมเหล่านี้ ถ้าได้นำมาใช้ในทางที่ถูกต้องแล้ว ผมก็จะกลายเป็นคนที่มีคุณค่าขึ้นมา ในสายตาของคนดี ๆ ทั้งหลายเธอพูดกับผมมากกว่านี้ นี่ผมนำมาเล่าแต่ใจความ คำที่เธอพูดกับผมในวันแรกที่พบกันนั้นเป็นที่จับใจผมและวนเวียนอยู่ในใจผม มีเวลาที่ผมนึกอ่อนใจในความประพฤติของตัวเองอยู่เหมือนกัน คำพูดและความเมตตาของเธอจึงมาสั่นใจผม และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมคิดจะกลับตัว”
เขาหยุดเว้นระยะครู่หนึ่ง และเมื่อเขาบอกกับพยอมว่า เขาอิ่มแล้ว พยอมก็เรียกน้ำหวานมาให้เขาหนึ่งขวด
“ความคิดดีๆ ที่แสดงออกมาด้วยความเมตตา ก็มีอำนาจมากเหมือนกันนะคะ” พยอมปรารภ
“ถูกแล้วครับ” แตนรับรองภายหลังที่เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำหวานที่ปากแล้ว เขาพูดต่อไป “การที่มีคนมาชี้ถึงกำลังและคุณค่าที่มีอยู่ในตัวเรา ซึ่งเราไม่เคยคิดถึงมาแต่ก่อนนั้น ได้ทำให้เรามีความภูมิใจในชีวิตของเรา และเกิดปรารถนาที่จะใช้มันไปในทางที่ดี ในระหว่างที่ผมสงสัยว่า ผมจะใช้ส่วนดีของผมในทางที่ดีได้อย่างไรนั้น การได้พบและการสนทนากับเธอในตอนหลังๆ ก็ได้ขจัดความสงสัยของผมหมดไป ใจความที่เธอพูดกับผมในครั้งต่อ ๆ มามีดังนี้ เธอบอกว่าในเวลานี้ ประเทศของเรากำลังดำเนินเข้าสู่วิถีของการเปลี่ยนแปลง คนไทยทุกคนมีโอกาสที่จะเข้าร่วมเป็นกำลังผลักดันให้ประเทศของเราก้าวหน้าไปได้เร็วขึ้น เพื่อว่าพวกเราทั้งหลายจะไม่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในความทุกข์ยากนานเกินไป เธอบอกว่า เวลานี้เป็นเวลาที่คนจำพวกผมจะมีบทบาทที่สำคัญในการนำประเทศไปสู่ความเปลี่ยนแปลง เมื่อผมแสดงความสงสัยว่า คนชั้นต่ำและไร้ปัญญาอย่างผมจะมีบทบาทที่สำคัญได้อย่างไร เธอก็อธิบายว่า เพราะผมอยู่ในจำพวกคนทำงานที่มีจำนวนมากและมีกำลังมาก คนจำพวกผมนี่แหละเมื่อรวมกันเข้าแล้ว ก็จะเป็นกำลังอันสำคัญของประเทศและประชาธิปไตย เธอบอกว่า มนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์ ที่เอาตัวรอดมาได้จนสืบพันธุ์มนุษย์แพร่หลายมาจนทุกวันนี้ ก็เพราะมนุษย์ร่วมกันอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน ไม่แยกกันอยู่เป็นครอบครัวเล็กๆอย่างโดดเดี่ยว จึงมีกำลังพอที่จะป้องกันอันตรายและดำรงชีวิตให้รอดมาได้ มนุษย์ปัจจุบันเพื่อแสวงหากำลังนำประเทศให้ก้าวหน้า จึงควรจะถือเอาเยี่ยงอย่างที่ดี ของมนุษย์คนป่าในเรื่องนี้ คนคนหนึ่งไม่มีความหมายในเวลาที่อยู่โดดเดี่ยวแต่ลำพัง แต่เมื่อเขานำกำลังของเขาเข้ารวมกับกำลังของคนอื่นๆ แล้วชีวิตของเขาก็มีความหมายขึ้นมา เพราะเขาได้เป็นส่วนหนึ่งของกำลังทั้งหมดที่แข็งแกร่ง เธอบอกว่า ถ้าผมจะกลับตัวใหม่ คือประกอบการงานที่สุจริต ผมก็จะได้เป็นคนหนึ่งในจำพวกคนทำงาน ที่เป็นกำลังสำคัญของประเทศ และเมื่อถึงเวลาที่กำลังของคนงานเหล่านี้ได้รวมกันอย่างมีระเบียบแล้ว และกำลังอันนี้ได้นำออกใช้ในทางที่เป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศ และในทางปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น ชีวิตผมก็มีส่วนในการก่อคุณประโยชน์นั้นด้วย คำอธิบายไขความของเธอดังกล่าวนี้แหละครับที่ทำให้ผมไม่มีความลังเลใจอีกต่อไป ที่จะกลับตัวใหม่ นับแต่นั้นมาผมก็กระหายที่จะเป็นคนดี และได้มีส่วนเป็นประโยชน์ต่อสังคม”
แตนหยุดดื่มน้ำหวานที่เหลือจนหมดขวด ดวงหน้าของเขาอิ่มเอิบ สองหนุ่มสาวขยับตัวต่อเมื่อเขาหยุดพูด
“แล้วคุณต้องอยู่ในคุกอีกกี่ปีคะ จึงได้ออกมาทำงานตามคำแนะนำของเธอ ?” พยอมถาม
“ไม่นานหรอกครับ ผมชนะคดีด้วยความช่วยเหลือของเธอ เธอได้ขอให้ทนายที่ว่าคดีของเพื่อนกรรมกร รับว่าคดีให้ผมด้วย” แตนตอบ
“แตนออกจากคุกมาได้นานเท่าไร” จันทาถาม
“ออกมาได้ราวปีเศษครับ เธอและเพื่อนกรรมกรสองคน เป็นผู้ดูแลให้ผมได้เข้าทำงาน ชั้นแรกผมได้ทำงานกับเรือโป๊ะ รับบรรทุกข้าวและเกลือจากโกดังข้าวและฉางเกลือ ไปถ่ายขึ้นเรือใหญ่ที่เกาะสีชัง ทำงานกับเรือโป๊ะ ได้อยู่บนบกบ้าง ได้ออกทะเลบ้าง ก็เพลินดีเหมือนกันครับ ทำอยู่ได้ราวหกเดือน เพื่อนกรรมกรก็แนะนำให้ผมมาทำงานที่โรงสีและได้ทำที่โรงสีมาจนถึงเดี๋ยวนี้”
แตนมองไปทางร้านอาหาร จำพวกข้าวราดแกง ที่ตั้งอยู่ตรงกันข้าม มีคนกลุ่มหนึ่งลักษณะเป็นพวกกรรมกรที่เพิ่งเลิกจากงานประจำวัน นั่งรับประทานอยู่ ขณะนั้นมีชายหญิงอีกกลุ่มหนึ่ง เดินเข้ามาในร้าน การแต่งกายและท่าทางของเขา แสดงว่าเป็นชาวบ้านนอก สีหน้าของแตนเปล่งปลั่ง เมื่อเห็นคนเหล่านั้น ขณะที่เขากำลังสั่งอาหาร แตนได้พูดขึ้นว่า
“คนเหล่านั้นทั้งหมด ล้วนแต่เป็นพวกพ้องพี่น้องของผม” เขายกมือชี้ไปที่คนสองกลุ่มในร้านนั้น “เราทั้งหมดเป็นครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศของเรา แต่ก่อนนี้ ตาผมบอด ผมจึงได้ใช้ชีวิตไปในทางเบียดเบียนทำร้ายพี่น้องของผม เดี๋ยวนี้เมื่อผมได้ดวงตาใหม่และเห็นความจริงแล้ว ผมก็เสียใจมากที่ได้เคยเบียดเบียนทำร้ายเขามา และเดี๋ยวนี้ผมก็พร้อมที่จะรับใช้พวกเขา เป็นการลบล้างบาปกรรมที่ผมได้ทำมา”
“ใครคะที่เป็นคนให้ดวงตาใหม่แก่คุณ ?” พยอมถาม
เขาหันกลับมา และยิ้มอย่างเด็กๆ
“คุณสตรีผู้นั้นครับ” แตนตอบด้วยเสียงแจ่มใส “เธอเป็นครูของผม เธอมาทำให้ผมเป็นคนสุจริต และมาทำให้ผมรู้จักตัวของผมเอง ว่าเป็นคนหนึ่งในครอบครัวที่ใหญ่ที่สุด ที่มีอยู่ในประเทศของเรา เธอมาทำให้ผมมีความภาคภูมิใจในความเป็นมนุษย์ของผมเพราะสิ่งทั้งสองนี้ และเพราะสิ่งทั้งสองนี้ ผมสามารถที่จะมองหน้าคนทุกคน โดยไม่ต้องหลบสายตา แม้แต่ท่านนายกรัฐมนตรี”
เมื่อจะจากกัน จันทาได้เอาธนบัตรจำนวนหนึ่งใส่ลงในกระเป๋าเสื้อเชิร์ตของแตน อดีตนักโจรกรรมจะขอคืนให้เขา แต่เมื่อจันทาวิงวอนให้เขารับไว้เพื่อให้โอกาสแก่เพื่อนเก่าได้แสดงไมตรีจิตต่อกัน เขาจึงหาคำปฏิเสธต่อไปไม่ได้
จันทาปรารภกับภรรยา ขณะเดินทางกลับบ้านว่า
“เขาเปลี่ยนแปลงไปราวกับปาฏิหาริย์ มีคติใหม่บางอย่างในคำพูดของแตน ครูผู้หญิงของเขาไปได้ความคิดเช่นนั้นมาจากที่ไหนหนอ ?” เขากล่าวเป็นเชิงรำพึงและกล่าวเสริมด้วยสีหน้าอันชื่นบาน “การพบกับแตน ทำให้ผมรู้สึกว่า ประชาธิปไตยของเราไม่หมดหวัง”
๑๑ กรกฎาคม ๒๕๐๐
(จบตอนหนึ่งของภาคมัชฌิมวัย)