๑๕
จันทากับพยอมกำลังหอบหิ้วห่อของพะรุงพะรังออกมาจากร้านขายเสื้อผ้าที่บางลำพู ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นมากแล้ว เขาทั้งสองปรึกษากันว่าจะแวะเข้าไปในตลาด เพื่อหาอาหารรับประทาน พอเลี้ยวเข้าไปในตลาดที่มีชายคนหนึ่งเดินตามหลังเขามาอย่างรวดเร็ว เมื่อมาทันกัน ชายผู้นั้นก็ร้องบอกพยอม พร้อมกับยื่นซองให้ห่อหนึ่ง
“นี่ครับ ห่อของคุณ ตกอยู่ที่หน้าร้าน”
หญิงสาวร้อง “วุ้ย !” พลางชำเลืองดูห่อของในมือของเธอ
“ใช่จริง ๆ แหละค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ขณะนั้นจันทาก็หยุดยืนอยู่ใกล้ ๆ เขามองดูหน้าพลเมืองดีผู้นั้นด้วยความชุ่มชื่น เป็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ร่างสูง สันทัดและดูแข็งแกร่ง กรามนูน แต่มียิ้มอันสุภาพ และดวงตาที่อ่อนโยนบนดวงหน้าสีคล้ำ เขานุ่งกางเกงขายาวสีเทา ค่อนข้างยับและมีรอยเปื้อน สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ที่มีรอยเหงื่อสีเหลืองจับอยู่ทั้งด้านหน้าด้านหลัง จันทาผงะเมื่อเพ่งดูหน้าชายผู้นั้น พอเขาขยับจะหันหลัง จันทาก็ร้องขึ้นว่า
“แตน-แตน ใช่ไหม?”
ชายร่างสูงสะดุ้ง เขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับจันทา พลางขมวดคิ้ว
“จัน-อ้า, คุณจันทารึนั่น--” เขาอ้าปากค้าง
จันทาสาวเท้าเข้าไป และเอาแขนโอบไหล่เพื่อนเก่าของเขา
“แตน, หน้าตาของเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก นอกจากกิริยาท่าทางเท่านั้นที่แปลกไป”
“แต่-แต่ ผมจำคุณแทบไม่ได้” อีกฝ่ายหนึ่งพูดเสียงตะกุกตะกัก “แต่ก่อนนี้---”
“เราใช้ชีวิตอย่างเด็กวัด ฉันมาจากบ้านนอก มาอย่างเด็กอดอยากและโง่เง่า ฉันต้องเรียนจากแตน เพื่อจะอยู่ไปด้วยกันได้กับพวกเด็กวัดในกรุงเทพฯ ที่ฉลาดและมีไหวพริบ”
“ผมมันเด็กชั่วครับ เรียนจากผมไปได้ก็แต่ความชั่ว” หน้าของเขาเปลี่ยนสีไปหน่อยหนึ่ง “ผมก็ดีใจมาก เมื่อคุณได้ออกไปอยู่กับท่านผู้ลากมากดี ถ้าขืนอยู่ใกล้ผมนานไป คุณก็จะเสียคน”
“ฉันก็คิดถึงและเป็นห่วงแตนอยู่เหมือนกัน”
“ก็หวุดหวิดเอาตัวไม่รอดไปแหละครับ” เขายิ้มเรี่ยๆ “แต่ก็ยังเป็นบุญที่ได้พบ--”
“ฉันอยากรู้เรื่องชีวิตของแตน เรามาเล่าเรื่องของเราสู่กันฟังเถอะ” จันทาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ถ้าเธอไม่มีธุระร้อนอะไร ก็ไปกินข้าวด้วยกันในตลาด ไปนะแตน”
อีกฝ่ายหนึ่งก้มศีรษะรับรอง แล้วทั้งสามก็ออกเดินทางไปด้วยกัน จันทานำคณะเข้าไปในร้านที่ขายเป็ดย่างและหมูย่าง
จันทาปรึกษารายการอาหารกับพยอม แล้วก็หันไปยิ้มกับแตน พลางถามว่า
“เธอจะต้องการขาเป็ดไหม ?”
“อะไรก็ได้ครับ ผมเป็นคนกินง่าย”
“แต่แตนเคยชอบขาเป็ดนี่น่า” จันทามองหน้าเพื่อนเก่าและหัวเราะเบาๆ อย่างมีนัย “จำได้ไหมว่า เราเคยกินด้วยกันในคืนวันหนึ่ง?”
เขานิ่งนึกอยู่ครู่ใหญ่ แล้วก็หัวเราะ พร้อมกับร้องออกมาว่า
“อ้ายคืนที่กลับจากไปเที่ยวงานภูเขาทองน่ะซี ผมมันเลวมาก”
“และต่อจากนั้น แตนยังกินขาเป็ดด้วยวิธีนั้นอีกหรือเปล่า?”
“ผมยังกินด้วยวิธีนั้นต่อมาอีกหลายปีทีเดียวแหละครับ ผมกินยิ่งกว่าขาเป็ดอีก ผมลงไปย่ำอยู่ในนรกตั้งนาน” เขาพูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา สีหน้าของเขาหม่นหมอง เขาหันไปถามพยอม
“ขอโทษนะครับ เรื่องของผมมันเป็นเรื่องของคนชั่ว ไม่เหมาะที่สุภาพสตรีจะฟัง”
“แตน, นี่คุณพยอม น้องสาวของเพื่อนรัก” จันทาแนะนำ “และเป็นภรรยาของฉัน เราเพิ่งแต่งงานกันเมื่อสามสี่วันมานี่เอง”
แตนยกมือขึ้นไหว้พยอม และพึมพำว่า
“ผมดีใจเหลือเกินที่คุณจันทาได้ดิบได้ดีไป”
“นี่แตนมาจากไหนเล่า ?” จันทาถาม
“ผมกลับจากทำงาน ผมเป็นกรรมกรอยู่ที่โรงสีแถวบางกระบือ”
“ก็ทำงานเป็นหลักเป็นฐานดีแล้วนี่”
“ก็เพิ่งจะกลับตัวได้ เมื่อไม่กี่ปีมานี่แหละครับ แต่ก่อนนี้ผมก็เป็นอ้ายแตนอย่างที่คุณเคยรู้จัก และร้ายยิ่งไปกว่านั้นหลายเท่าเมื่อออกจากวัดไปแล้ว”
แตนยกแก้วน้ำชาใส่น้ำแข็งขึ้นดื่มอึกใหญ่ พยอมชำเลืองดูเขาด้วยสายตาแสดงความเอ็นดูรักใคร่ในความซื่อตรงเปิดเผยของเขา จันทารู้สึกแปลกใจในกิริยาท่าทีและถ้อยคำอันสุภาพของเขา แต่ก่อนนี้เขาเรียกจันทาว่า ‘อ้ายจัน’ อย่างติดปากและพูดมึงมาพาโวยเป็นนิจสิน กิริยาท่าทีก็ส่อให้เห็นถึงความเกกมะเหรกแก่นแก้วอยู่เสมอ
“เล่าเรื่องของแตนให้ละเอียดซิเมื่อออกจากวัด แล้วไปทำอะไร” จันทาถาม
“ผมอยู่กับวัด อยู่ใกล้พระธรรมก็จริง แต่ผมไม่ได้รับรสพระธรรมกับเขาเลย ค่าที่อดๆอยากๆ และอยู่ไม่เป็นสุข ก็มองเห็นอะไรเป็นเรื่องไม่ถูกใจไปหมด ก็คิดจะเป็นพาลไปท่าเดียว ทั้งสันดานของผมมันก็เลว และผมก็ไม่รู้ว่า ผมได้มาจากไหนบ้าง”
เขายกมือทั้งสองเสยผมที่ค่อนข้างยาว นั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ลงมือเล่าเรื่องราวชีวิตอันน่าตื่นเต้นของเขา
เขาเล่าว่าภายหลังที่จันทาออกจากวัดไปได้ไม่นาน วันหนึ่งเขาได้มีโอกาสไปดูการแข่งขันชกมวย และไปได้เพื่อนชุดใหม่ที่สนามมวย ได้คบหาเสวนากันอยู่ระยะหนึ่ง พวกเพื่อนก็พอใจในน้ำใสใจคอห้าวหาญของเขา รวมทั้งไหวพริบเล่ห์เหลี่ยมในทางเกกมะเหรกเกเร ซึ่งเขามีความจัดเจนอยู่ พวกเพื่อนหน้าใหม่จึงชวนเขาให้ทิ้งวัดออกไปหากินในโลกกว้างด้วยกัน ทางหากินของคนเหล่านั้น เป็นทางหากินที่มีการเสี่ยงภัย ซึ่งต้องการน้ำใจและไหวพริบเช่นที่แตนมีอยู่อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลย เขาว่า
“อ้ายพวกเพื่อนมันบอกผมว่า คนอย่างผมเป็นมือชั้นดีทีเดียว ถ้าได้มีการฝึกฝนให้รู้วิธีการหากินที่พวกเขาจะชักนำไปพอสมควรแล้ว ก็จะหากินได้คล่องนัก ผมถามเขาว่าทางอาชีพที่ว่านี้คืออะไร เขาก็ตอบว่าอาชีพล้วงกระเป๋า เขาชี้แจงว่า การเสี่ยงนั้นได้ผลคุ้มค่า เพราะว่าเมื่อสำเร็จไปคราวหนึ่ง ก็จะได้อยู่อย่างมหาเศรษฐีไปได้หลายวันทีเดียว ต่างกับการที่จะมาใช้ชีวิตอย่างเด็กวัดซึ่งไม่มีวันจะฝันถึงการใช้ชีวิตแบบลูกเศรษฐีได้แม้สักวันเดียว ถ้าไปเข้าเป็นพวกกับเขาแล้ว เขาก็จะสอนวิชาหากินในเรื่องนี้ให้ ผมมาตรึกตรองดู เห็นว่าตั้งแต่เกิดมา ผมก็รู้จักแต่ชีวิตที่อดๆ อยากๆ อ้ายชีวิตอยู่ดีกินดีน่ะ มีน้อยวันนักที่จะได้พบกับเขา เรื่องคุกตะรางนั้นผมไม่เคยกลัว เพราะชีวิตของผมในเวลานั้น มันก็ไม่วิเศษไปกว่าพวกที่อยู่ในคุกตะรางเท่าใด เพราะฉะนั้นความรู้สึกในเรื่องเสี่ยงภัย จึงแทบจะไม่เกิดขึ้นเป็นข้อกังวลแก่ผมเลย เพราะฉะนั้นเมื่อผมถูกชักชวน ผมจึงไม่มีความลังเลใจ ผมเผ่นออกจากวัดและติดตามพวกนั้นไปเที่ยวหากินกับเขา ด้วยหวังว่าจะเจอน้ำในบ่อบ้าง ต่างกว่าการใช้ชีวิตอย่างพวกเด็กวัด ซึ่งไม่มีทางจะพบบ่อน้ำกับเขาเลย”
แตนเล่าถึงชีวิตชีวิตตอนเริ่มต้นที่เข้าไปอยู่กับพวกหัวขโมยว่า
“ในตอนแรกๆ ผมยังไม่ต้องทำอะไรหรอกคุณ เพียงแต่ติดกลุ่มเขาไปดูเขาทำการกัน ผมก็พลอยอิ่มหมีพีมันไปด้วย เพียงแต่ได้เห็นความสำเร็จของเขาครั้งแรก ผมก็เริ่มติดใจ วันหนึ่งพวกเขาชวนผมไปเที่ยวทางรถไฟลงไปทางใต้ ผมบอกว่าไม่มีเงินค่ารถ เขาว่าจะออกค่ารถขาไปให้ ผมว่าแล้วก็ขากลับล่ะ เขาหัวเราะกันแล้วก็บอกผมว่าเงินทองมีอยู่ข้างหน้าเยอะแยะไป เรานั่งรถไฟคุยกันกินกันอย่างสนุกสำราญไปหลายชั่วโมง จนกระทั่งผมลืมไปว่าผมนั่งอยู่กับพวกที่มีอาชีพในทางโจรกรรม และจนกระทั่งรถจอดที่สถานีแห่งหนึ่ง มีคนโดยสารขึ้นมาหลายคนตอนนั้นแหละที่ผมเหลือบไปเห็นเพื่อนคนหนึ่งกำลังถือใบมีดโกนหัวแหลมอยู่ในมือ พลิกเล่นอยู่ไปมา ชายตาไปทางกลุ่มผู้โดยสารที่กำลังจ้อกแจ้กจอแจกันอยู่ เพื่อนคนที่ถือใบมีดโกนพยักหน้าให้เพื่อนอีกสองคน แล้วเขาทั้งสามก็ลุกขึ้นเดินเกร่ไปมาเบียดแซกไปในหมู่ผู้โดยสาร ชั่วประเดี๋ยวเดียว ผมก็เห็นเพื่อนเอาใบมีดโกนแนบระหว่างนิ้วแล้วก็ตัดกระเป๋าชายแก่ท่าทางเงอะงะคนหนึ่ง พอได้กระเป๋าเงินมาเขาก็ส่งให้เพื่อนคนหนึ่ง และเพื่อนคนที่รับมาก็ส่งต่อไปให้เพื่อนอีกคนหนึ่ง และเพื่อนคนที่สามก็เดินแทรกกลุ่มผู้โดยสาร แล้วก็หายตัวไปจากโบกี้คันนั้น ทั้งหมดตั้งแต่การลงมือตัดกระเป๋าจนกระทั่งการส่งของที่ได้จากการลักขโมยนั้น เขากระ กันอย่างรวดเร็วว่องไว จนผมเองต้องนั่งมองดูจนตาค้าง และนึกชมเชยฝีมืออันน่าพิศวงของเขา เมื่อถึงจังหวัดที่กำหนดไว้ว่าจะลงเที่ยวเราก็ลงและไปแบ่งเงินกัน ผมก็ได้กินได้เที่ยวกับเขาด้วยเงินจำนวนมากกันอย่างสนุกสำราญ ชนิดที่ผมไม่เคยได้ลิ้มรสเลยตั้งแต่เกิดมา และแถมยังให้เงินผมติดตัวไว้บ้าง--”
“และพวกนั้นเขาไม่นึกสงสารคนแก่บ้างหรือคะ ที่เอาแกเสียจนหมดตัว” พยอมถามขึ้น “แกอาจจะเป็นชาวนาที่ยากจน และเงินจำนวนนั้นก็อาจเป็นเงินที่แกหามาได้ด้วยการทำงานหนักตลอดปี”
หน้าของแตนหม่นหมองลง
“มันอาจจะเป็นอย่างคุณว่าได้แน่ๆ ทีเดียวครับ เมื่อมาคิดได้ในเวลานี้แล้ว ผมก็เสียใจมาก แต่ผมจะเล่าถึงเรื่องในเวลานั้น ในเวลานั้น ความคิดสงสารกันน่ะ ไม่มีหรอกครับ มุ่งแต่จะเอากันท่าเดียวแหละครับ ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมัน พวกเพื่อนๆ ผมมันก็เคยพูดว่า พวกคนดีๆ เขาก็อยู่กันอย่างนั้นเหมือนกัน เขาก็ตักตวงกันอย่างเต็มที่ไม่มีเมตตากันเหมือนกัน ต่างกันแต่ว่าพวกคนดีๆ เขาเอากันในทางที่ไม่ผิดกฎหมาย หรือด้วยการเลี่ยงกฎหมาย แต่ของเพื่อนผมเขาเอากันดื้อ ๆ เอากันอย่างผิดกฎหมาย ต่างกันตรงนี้เท่านั้นแหละครับ”
คำชี้แจงอย่างตรงๆ ของเขาทำให้จันทาต้องพยักหน้ารับฟังด้วยความสนใจ
แตนเล่าเรื่องของเขาต่อไป
“เมื่อแบ่งเงินกันแล้ว ผมถามว่า หากินอย่างนี้มันไม่เสี่ยงกับการติดคุกติดตะรางมากไปหรือ เขาตอบว่าก็เสี่ยงอยู่บ้าง แต่ไม่มากเพราะเราทำการด้วยความชำนาญว่องไว น้อยนักที่จะพลาดพลั้ง แล้วเราก็หาเงินได้คล่องๆ ผมก็เห็นจริงว่าเขาทำการได้ว่องไวและหาเงินได้คล่อง ในเที่ยวนั้นพวกเราทำการตัดกระเป๋าสองครั้ง ก็ได้เงินเที่ยวเตร่กันพอสบาย และยังเหลือเงินติดตัวกลับมาใช้ในกรุงเทพกันอีก เมื่อได้เห็นผลเช่นนั้นผมก็ตกลงปลงใจเข้าหากินร่วมหัวจมท้ายกับเขามาตั้งแต่บัดนั้น”
พยอมเตือนให้เขารับประทานขาเป็ด แตนก็ยิ้มอย่างขวยเขิน เขารับประทานไปได้สองสามคำ ก็ชักผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเช็ดปากแทนการเอามือปาดดังที่จันทาเคยเห็นเขากระทำเป็นปกติในกาลก่อน แล้วเขาก็ลงมือเล่าต่อไป
“ในที่สุดผมก็เรียนรู้วิธีการและเล่ห์เหลี่ยมในการล้วงกระเป๋า ตัดกระเป๋า ตลอดจนกระทั่งการฉกชิงวิ่งราวสิ่งของมีค่าต่างๆ ครั้งหนึ่งผมไปทำการกับหมู่ คราวนี้เล่นกันกลางถนน เจ้าเพื่อนผมฉวยกระเป๋าเงินเขามาได้ ส่งให้เจ้าเพื่อนผมอีกคนหนึ่ง และผมรับเป็นคนวิ่งรอกเป็นคนที่สาม ถูกเขารวบตัวได้ ตอนนั้นเราชะล่าใจไป และผมก็ยังอ่อนหัดอยู่ก็โดนรวบตัว เงินที่คว้าเอามาได้นั้นร้อยบาทเศษตำรวจก็ยึดเอาไป เมื่อตำรวจแจ้งของกลางที่ยึดมาได้ เขาแจ้งว่ายึดมาได้ยี่สิบบาทผมก็เลยรับเดาว่าถูกต้อง เพราะผมทราบว่าถ้าผมรับเช่นนั้น ก็จะเป็นที่ชอบใจของตำรวจผู้นั้นและเขาคงจะนำเงินที่เขาขยักไว้และที่เป็นผลงานของผม มาเลี้ยงดูผมบ้าง และเขาก็เลี้ยงผมจริงๆ ตำรวจจับผม และเมื่อเสร็จธุระของเขาแล้ว ตำรวจก็กลายมาเป็นพวกผม”
ทั้งจันทาและทั้งพยอม ต่างก็ส่งเสียงอุทานขึ้นมาพร้อมกัน
“ประหลาดจริง ทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น?” จันทาร้องขึ้น
แตนหัวเราะหึๆ
“พวกคุณเห็นเป็นของประหลาด แต่พวกคนร้ายอย่างผม พวกคนขี้คุกขี้ตะรางอย่างผม ไม่เห็นเป็นของประหลาดเลย ตำรวจที่ไหนๆ ก็เป็นกันอย่างนี้แหละครับ เขาเป็นกันทั้งนั้นแหละครับ ไม่ใช่แต่ตำรวจ อัยการก็เป็นและผู้พิพากษาก็เป็น พวกคนคุกตะรางรู้เรื่องเหล่านี้ดีครับ คุณจันทารับราชการอยู่ที่ไหนครับ”
“ฉันอยู่ที่กรมอัยการ และกำลังจะออกไปเป็นอัยการผู้ช่วยอยู่ที่ศรีสะเกษในเร็วๆ นี้”
“ต่อไป คุณก็คงจะรู้เรื่องของพวกอัยการดีหรอกครับ แต่ในเวลานี้ บางทีผมอาจจะรู้ดีกว่า และถ้าคุณมีเพื่อนเป็นผู้พิพากษา เขาก็จะมีเรื่องข้างหลังบัลลังก์ศาลมาเล่าให้คุณฟังไม่น้อยเหมือนกัน ที่ท่านเป็นคนซื่อตรงตงฉินก็มีครับ แต่อ้ายที่กินสินบาทคาดสินบนอย่างไม่มียางอายผมก็ได้พบได้ฟังมามากมายเหมือนกันครับ คนอย่างพวกผมมันเป็นคนเลวคนชั่วอย่างเปิดเผย จะไม่รู้จักอายต่อบาปกรรมก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ แต่พวกท่านที่ทำตัวให้เขานับถือกราบไหว้ด้วยตำแหน่งแห่งที่อันมีเกียรติยศ ในเวลาลับหลัง ก็ประพฤติความเลวความชั่วที่น่าอับอายไม่น้อยไปกว่าพวกนั้น จะว่าท่านเป็นคนดีไปกว่าพวกผมได้หรือครับ? ผมประพฤติชั่ว แต่ผมก็เป็นคนชั่วที่ไม่ได้หลอกลวงใครให้เขามาหลงยกย่องนับถือว่าเป็นคนดีมีเกียรติยศ”
สองหนุ่มสาวฟังแตนเล่า ถึงเรื่องราวตอนนี้ที่พาดพิงไปถึงความประพฤติของท่านข้าราชการ ผู้มีหน้าที่รักษากฎหมายและความยุติธรรมของบ้านเมืองประพฤติในทางสกปรกลามกด้วยอาการตกตะลึง จันทาเคยได้ยินถึงเรื่องเหล่านี้มาบ้างและเขาก็ทราบว่ามีอยู่จริง แต่รายละเอียดหลายเรื่องที่แตนได้นำมาเปิดเผยแก่เขานั้นเป็นเรื่องที่เขาออกจะคาดคิดไปไม่ถึง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับทราบเรื่องเกี่ยวกับความประพฤติของผู้มีหน้าที่จะต้องรักษาขื่อแปของบ้านเมืองที่ทำให้เขากระเทือนใจมาก
แตนได้เล่าให้เขาฟังถึงการใช้ชีวิตโจรกรรม รวมทั้งการประพฤติตัวเป็นพวกนักเลงอันธพาล คุมพวกออกรีดเงินตามย่านร้านค้า ตีรันฟันแทงผู้คนที่บาดตาและกีดขวางตาพวกเขา เขาได้เที่ยวอยู่ไปตลอดเหนือจดใต้โดยปราศจากสัมมาอาชีพ ได้เคยเข้าร่วมในการวิวาทที่ถึงเอาชีวิตกัน ได้เอาตัวรอดมาได้บ้างด้วยการติดสินบาทคาดสินบนเจ้าพนักงาน ได้ถูกตำรวจในท้องถิ่นหนึ่งจับกุม
และได้มีตำรวจในอีกท้องถิ่นหนึ่งให้ความคุ้มครอง ได้เคยหลบหนีจากที่คุมขัง และก็ได้ผ่านคุกตะรางมาหลายครั้งด้วยนามที่ไม่ซ้ำกัน เมื่อถูกพยอมถามว่า เขาไม่รู้เบื่อหน่ายการใช้ชีวิตที่ฝ่าฝืนศีลธรรมและกฎหมายของบ้านเมืองบ้างหรือ เขาเงยหน้าขึ้น ยกมือขึ้นประสานกันและนิ่งนึกทบทวนความรู้สึกนึกคิดของเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดออกมาช้า ๆ
“มีเหมือนกันครับ มีบางเวลาเหมือนกันที่เราได้มองดูความประพฤติของเรา แล้วก็นึกชังตัวเอง เราก็อยากได้ชื่อว่า เป็นคนดีเหมือนกันครับ แต่แล้วเราก็ท้อใจว่า เรามีโอกาสน้อยเหลือเกินที่จะเป็นคนดีเหมือนคนทั้งหลาย เพราะว่าถ้าเราจะเลิกจากอาชีพโจรกรรม และเลิกประพฤติเป็นนักเลง เราก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรที่เป็นอาชีพสุจริต ที่จะทำให้เราอยู่ไปได้อย่างพอมีพอกิน อีกอย่างหนึ่งเราก็ถลำตัวไปมากแล้ว ความชำนาญในการหาเลี้ยงชีวิต ก็มีแต่ความชำนาญในทางที่ไม่สุจริต เครื่องชักจูงใจให้เรากลับตัวก็หายาก หมู่คนที่เราเสวนาคบหาก็มีแต่พวกที่คอยดึงกันไปในทางนรก สิ่งแวดล้อมชีวิตอื่น ๆ ก็มีแต่สนับสนุนไปในทางนั้น เพราะเหตุเหล่านี้แหละครับ จึงถอนตัวออกมาได้ยาก จนกระทั่งผมถูกจับครั้งหลังที่สุด และได้พบกับสตรีผู้หนึ่ง---”
มาตอนนี้ หน้าตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นบาน พยอมชวนให้เขารับประทานอาหารไปพลาง และเล่าไปพลาง เขาหยุดรับประทานครู่หนึ่ง และบอกว่าเขาไม่รู้สึกหิว
“เมื่อนึกถึงคุณสตรีผู้นั้นแล้ว ใจผมก็ตื้นตัน และรู้สึกอิ่มขึ้นมาเองโดยไม่ต้องกินอะไร เธอเป็นคนฉุดผมขึ้นมาจากขุมนรก ที่ผมได้ตกลงไปและหลงอยู่ในนั้นหลายปี เธอได้ทำผมได้กลายเป็นมนุษย์ที่มีความภาคภูมิใจ ในความเป็นมนุษย์ของผมขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม” เขาพูดด้วยเสียงแจ่มใส และดวงตาวาววามด้วยความนับถือตนเอง
“เธอเป็นลูกผู้ดีที่ได้รับการศึกษามาจากเมืองนอกหรือคะ?” พยอมถามด้วยความทึ่ง
“มิใช่หรอกครับ เธอเป็นสตรีที่เป็นคนธรรมดาสามัญเหมือนอย่างผมนี่แหละครับ แต่เธอก็เป็นเหมือนเทพธิดาในความรู้สึกของผม”
พยอมอยากรู้จักสตรีผู้นั้นเสียจริงๆ เธอรบเร้าให้แตนรับประทานอาหารเสียก่อน เพื่อที่เขาจะได้เล่าเรื่องของสตรีผู้นั้นโดยละเอียด แต่แตนก็คงปฏิเสธการรับประทาน เขาบอกว่าเขากระหายที่จะเล่าเรื่องราวต่อไปมากกว่า สองสามีภรรยาหนุ่มสาวก็จำต้อง ผ่อนตามความประสงค์ของเขาและนั่งฟังเขาด้วยความติดใจ.