๑๔
เปิดประตูหน้าบ้านเข้ามา แลเห็นน้องสาวยืนก้มตัวอยู่ใกล้เถาพวงชมพู ในมือถือมีดบาง กำลังตัดใบที่เหี่ยวเป็นสีเหลืองออกจากต้น นิทัศน์ก็ร้องทักขึ้นว่า
“แม่ยอม เธอก็เพิ่งกลับจากโรงพยาบาลเหมือนกันไม่ใช่รึ? ขยันจริง จะแต่งต้นไม้ไว้รับแขกที่ไหนกัน?”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นยิ้มย่องรับคำทักของพี่ชาย แล้วก็ทำคิ้วขมวด
“ฉันไม่มีเพื่อนที่จะมานั่งถกปัญหาเรื่องกฎหมายและประชาธิปไตยกันอยู่บ่อย ๆ เหมือนพี่หรอก” เธอตอบ
ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าน้องสาว
“วันนี้พี่มีแขกจะให้แม่ยอมต้อนรับ และรับประทานข้าวด้วยกัน”
“กี่คนจ๊ะ?”
“คนเดียว”
“แขกของพี่หรือของฉัน”
“พี่ก็ไม่ทราบว่าเขาเจาะจงเป็นแขกของใคร”
“ดูพูดเป็นปริศนาอยู่เรื่อย ไขเสียทีเถอะจ้ะ ฉันไม่ได้คิดจะตอบชิงรางวัลอะไรจากพี่หรอก ใครจะที่จะมากินข้าวกับเรา?” สีหน้าของหญิงแสดงความอยากรู้เต็มที
“จันทา” เมื่อออกชื่อไปแล้ว พี่ชายก็ตบไหล่น้อง พลางยืนยิ้กริ่มอยู่ตรงหน้า “จะว่าเขาเป็นแขกของพี่หรือของแม่ยอมล่ะ?”
“ฉันจะไปรู้เรอะ เขาไม่ได้ติดต่อกับฉันนี่” หญิงสาวเบือนหน้ายิ้มไปอีกทางหนึ่ง แล้วก็หันกลับมามองหน้าพี่ชายอย่างรวดเร็ว “พี่ทัศน์ทำหน้ายิ้มกริ่มอยู่ทำไมน่ะ?”
“พี่คิดถึงพวกลูกนกที่ปีกแข็งแล้ว ก็บินออกจากรัง ไปจากอกแม่ไปจากพี่น้อง ครอบครัวของมันแตกกระจายกันไป” อาการยิ้มกริ่มของเขาหายไป มีสีหน้าเป็นปกติ พร้อมกับแววเศร้าในดวงตา
“วันนี้พี่ทัศน์พูดอะไรดูเป็นปริศนาไปหมด และบางทีก็ดูน่ากลัวด้วย” น้องสาวทำหน้านิ่ว แต่ก็เป็นหน้านิ่วที่ซ่อนยิ้มไว้ภายใน “เลิกพูดคำพังเพยเสียทีเถอะจ้ะ พูดภาษากฎหมายก็ได้ ฉันยังพอจะเข้าใจกว่า”
“พี่คิดถึงเรื่องเตรียมตัวเข้าสอบชิงทุนของกระทรวง ไปศึกษากฎหมายต่อในประเทศอังกฤษ”
“อย่าหลอกฉันนะ”
“จริงๆ”
“แล้วคิดถึงเรื่องอะไรอีก?”
“ไม่มีแล้ว”
“อันนี้ไม่จริงละ”
เขาเอาหูทวนลมคำแย้งของน้องสาว
“เธอเข้าไปช่วยแม่ดูแลเรื่องอาหารด้วย” พูดแล้วเขาเดินอย่างรวดเร็วขึ้นไปบนบ้าน
หญิงสาวมองตามหลังร่างอันสะโอดสะองของพี่ชาย ด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความรักและระคนด้วยความชื่นบาน ครั้นแล้วเธอก็เตรียมตัวเข้าไปในครัว
ครอบครัวของนิทัศน์ได้ย้ายที่อยู่จากตึกแถวร้านค้า มาเช่าบ้านสองชั้นอยู่ที่ชายสวนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ค่อนข้างสงบ และมีบริเวณบ้านพอจะใช้เป็นที่ปลูกต้นไม้ และเดินเล่นได้บ้าง เมื่อบุตรีคนหัวปีได้สมรสมีฝั่งฝาเป็นหลักฐานไปแล้ว และบุตรีคนเล็กก็สำเร็จการศึกษาเป็นพยาบาล มีราชการทำแล้ว นิทัศน์พร้อมด้วยพี่น้องทั้งสองจึงวินิจฉัยว่า ถึงเวลาอันสมควรที่มารดาผู้มีความรักและความห่วงใยในชีวิตของตนเองจะได้รับการพักผ่อนเสียที ดังนั้นพวกลูกๆ จึงขอให้แม่หยุดทำการค้า คงให้แม่มีงานเพื่อแสดงความรักของแม่ แต่เพียงการดูแลบ้านช่องและอาหารการกินสำหรับลูกที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านเท่านั้น เมื่อได้เลิกการค้า และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในที่เดิมต่อไป นิทัศน์จึงหาบ้านเช่าในที่ที่เหมาะสมแก่การเป็นอยู่ และเหมาะสมแก่รายได้ของเขาและของน้องที่จะช่วยกันรับภาระในการครองชีพ
ฝ่ายมารดา เมื่อสามีผู้เป็นเพื่อนคู่ชีวิตได้จากไปสู่โลกอื่นแล้ว และภายหลังที่ได้เลี้ยงดูและส่งเสริมให้ลูก ๆ ได้รับการศึกษาอย่างเต็มกำลังซึ่งสตรีในฐานะเช่นนั้น และภายในภาวะสังคมเช่นนั้นจะกระทำได้ มาเป็นเวลากว่ายี่สิบปี และเมื่อห่วงที่ผูกคอมารดาไว้ อันเป็นห่วงที่มีที่มาจากความรักอันยิ่งใหญ่ของมารดาได้คลายออกไปบางส่วนแล้ว มารดาก็ได้ใช้เวลาแห่งความอิสระที่ได้รับ ไปฟังธรรมที่วัดอยู่เนือง ๆ เพื่อนำชีวิตให้เข้าไปใกล้อิสรภาพอันไพบูลย์ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนไว้ ณ บัดนี้มารดาก็ได้ผละออกมาได้ตามสมควร จากชีวิตที่เต็มไปด้วยภาระหนักและความกระหืดกระหอบ และได้มีโอกาสรับความรื่นรมย์ใจจากการปฏิบัติความรักที่ค่อยคลายจากความเคร่งเครียด และได้มีเวลาให้จิตใจได้พักผ่อนเอนอิงอยู่กับธรรมะตามส่วน
ฝ่ายบังอรผู้อ่อนโอน และพอใจในการดำเนินชีวิตเรียบๆ ที่สงบ ซึ่งได้มีเหย้าเรือนไปแล้ว แม้ว่าจะติดตามความคิดความอ่านของน้องทั้งสองผู้ออกจะมีความคิดโลดโผนไม่ใคร่ทัน แต่โดยที่เธอได้มีส่วนร่วมกับมารดาในการเลี้ยงดูและส่งเสริมการศึกษาของน้องทั้งสอง เธอจึงมีความรักน้อง ด้วยความรักของพี่ที่ผสมด้วยความรักของมารดา เธอได้มาเยี่ยมเยียน และได้มานอนค้างที่บ้านของครอบครัวแทบไม่เว้นแต่ละเดือนและก็จากไปด้วยความอาลัยรัก ทั้งที่รู้ว่าจะมาพบกันอีกเมื่อไรๆ ก็ได้เพื่อแบ่งเบาภาระของน้อง และเพื่อเป็นการปฏิบัติธรรม ความกตัญญูกตเวทีต่อมารดา เธอได้มอบเงินให้มารดาใช้สอยในกิจส่วนตัว เช่นการทำบุญและการใช้สอยในการไปวัด เป็นประจำเดือน
ฝ่ายพยอม ซึ่งได้รับการส่งเสริมจากที่ชายให้เรียนพยาบาลจนสำเร็จ และได้ออกทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลของรัฐบาล แม้ว่าเมื่อตอนเยาว์วัยจะมีเรื่องทะเลาะโต้เถียงกับพี่ชายอยู่เนือง ๆ เพราะเหตุเป็นคนหัวแข็ง และชอบทำอะไรตามความคิดเห็นของตนก็ดี แต่แท้จริงแล้วก็มีความรักพี่ชายผู้ใจดีของเธออย่างดูดดื่ม ด้วยว่าในยามที่พี่ชายมีอารมณ์ดี เขาได้เอาใจใส่ต่อทุกข์สุขของเธอ ดุจว่าเขาเป็นบิดาของเธอ และในยามพักผ่อน เขาก็กลายเป็นเพื่อนเล่นที่สนิทและดีที่สุดของเธอ โดยเฉพาะเมื่อเขาได้เติบโตผ่านพ้นวัยเด็กมาแล้ว เธอได้เพิ่มความนับถือในพี่ชายยิ่งขึ้น ในฐานะที่เธอรู้สึกว่าเขาเป็นผู้มีวิชาความรู้สูงกว่าเธอมากมาย และในฐานะที่เขาได้เป็นที่ปรึกษาผู้มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยม ในการขบปัญหาชีวิตประจำวันได้สารพัดเรื่องนับแต่เรื่องที่เล็กน้อยที่สุด เช่นการขบปัญหาว่าเธอควรจะแต่งตัวอย่างไรจึงจะไม่ก่อความวุ่นวายให้แก่ตนเองมากนัก หากว่าเธอจะเลยไปดูหนังกับเพื่อน ๆ ภายหลังที่ไปในงานเผาศพแล้ว ไปจนถึงเรื่องที่ใหญ่ที่สุด เช่นเธอจะตัดสินเลือกเรียนวิชาใด เป็นวิชาชีพของเธอ และเมื่อเรียนจบแล้วเธอควรจะทำงานกับรัฐบาลหรือควรจะทำงานกับบริษัทเอกชน เมื่อเขาได้ช่วยขบปัญหาเหล่านี้ จนได้คำตอบที่แจ่มแจ้งและเป็นคุณแก่ตัวเธออย่างแทบจะทันทีทันควัน เธอก็มองดูพี่ชายของเธอดุจว่าเขาเป็นผู้มีสติปัญญาราวกับเทวดา ในบรรดาแขกที่มาหาพี่ชายเป็นครั้งคราวที่บ้านนั้น เธอรู้สึกมีความเป็นกันเองกับจันทายิ่งกว่าใคร ๆ เพราะว่าเธอได้รู้จักกับเขามาตั้งแต่เล็ก ทั้งยังได้แอบยกย่องว่าทั้งจันทาและพวกพ้องพี่น้องของเขาเป็นเหมือนวีรบุรุษของเมืองไทย เพราะเหตุที่ตัวเขาตลอดจนครอบครัวและสังคญาติในหมู่บ้านของเขา ได้ต่อสู้กับอุปสรรคของชีวิตที่เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ มาอย่างทรหดอดทนและโดยไม่ปริปากบ่น ซึ่งยากที่ชาวกรุงเทพฯ จะอดทนได้เช่นเขา และความรู้สึกยกย่องมิตรรักของพี่ชายในส่วนนี้ ได้ฝังใจพยอมอยู่ตลอดมา ความรู้สึกยกย่องนี้ได้บังเกิดขึ้นคู่เคียงกันมาด้วยความสงสารเห็นใจ และยังมีความรู้สึกอย่างอื่นอีก ที่ติดตามความสงสารมา---
ในตอนกลางวันจันทาได้โทรศัพท์บอกไปยังนิทัศน์ว่า เขามีกิจจะไปสนทนากับนิทัศน์ที่บ้านและจะอยู่รับประทานอาหารเย็นด้วย เขามาถึงบ้านนิทัศน์ไล่หลังเจ้าของบ้านราวชั่วโมงครึ่ง เขานุ่งกางเกงแพรจีนสีตะกั่วตัดและสวมเสื้อนอกกระดุมห้าเม็ด ผ้าไหมสีนวลที่ญาติพี่น้องในหมู่บ้านของเขาได้ทอขึ้นใช้เอง เขาดูภูมิฐานมิใช่น้อย เมื่ออยู่ในเครื่องแต่งกายชุดนี้ ผ้าไหมนั้นเมื่อใช้นุ่งห่มกันหมู่บ้านของเขา ก็ดูเป็นของธรรมดา แต่เมื่อมากรุงเทพฯ ผ้าไหมเป็นของหายาก และเป็นของมีราคาและใช้กันแต่ในหมู่คนมีเงินหรือชนชั้นสูง ตามปกติจันทามิใช่คนพิถีพิถันในการแต่งกาย การแต่งตัวของเขามักจะรุ่มร่ามและมีอะไรที่ผิดส่วนสัดอยู่บ้างเสมอ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เมื่อจันทามาสู่หานิทัศน์ที่บ้าน เขามักจะแต่งกายอย่างเรียบร้อยบรรจงผิดปกติ สิ่งที่แก้ไขไม่ได้ก็มีแต่ผิวกายสีคล้ำของชาวบ้านนอกที่ติดอยู่กับเนื้อหนังของเขา และเส้นผมอันหยาบกระด้างที่ยากจะหวีให้เรียบลงได้ แต่แววตาและยิ้มที่สำแดงถึงความสัตย์ซื่อชั่วนิรันดร ในดวงหน้าใหญ่ค่อนข้างสี่เหลี่ยมของเขานั้น เป็นสิ่งที่มีเสน่ห์อันล้ำลึกในตัวเขา มิตรสหายของเขาในกรุงเทพฯ ที่หลงเสน่ห์อันนี้ของเขาเป็นคนแรกก็คือนิทัศน์ และเสน่ห์อันนี้ก็ได้ผูกพันมิตรภาพระหว่างชายหนุ่มทั้งสองไว้อย่างแน่นแฟ้นตลอดมา
ฝ่ายนิทัศน์ได้แต่งตัวรอเขาอยู่ในห้องรับแขก เมื่อได้ทักทายมิตรรักแล้ว จันทาก็เดินเข้าไปในครัว ไปแสดงความเคารพและทักทายมารดา ซึ่งได้กล่าวความยินดีอันสนิทสนมที่ได้พบเขา ดุจว่าเขาเป็นลูกหลานของท่านคนหนึ่ง ในครัวพยอมกำลังช่วยมารดาทำอาหารอย่างกุลีกุจอ เธอเงยหน้าขึ้นจากจานผักสด ต้อนรับเขาด้วยยิ้มอันเปล่งปลั่ง ถ้าเธอปรารถนาจะซ่อนความยินดีปรีดาในการที่ได้พบเขา ดวงตาของเธอก็ได้ทรยศต่อเจ้าของ
เมื่อจันทานั่งสนทนากับนิทัศน์ในห้องรับแขก พยอมก็จะวิ่งเทียวไปเทียวมาระหว่างห้องรับแขกและครัว จัดหาน้ำและของอื่นๆ มาให้ชายหนุ่มทั้งสอง และในบางคราวก็เข้าร่วมในการสนทนาด้วย
“ฉันดีใจมากที่จันทาจะได้ไปเป็นอัยการผู้ช่วย ในจังหวัดที่เป็นบ้านเมืองของเธอ” นิทัศน์เอ่ยขึ้น พลางหันไปทางน้องสาว ซึ่งยกแก้วน้ำมาตั้งแล้วนั่งฟังการสนทนาอยู่ด้วย “ชอบไหม, แม่ยอม?”
โลหิตขับขึ้นสู่ผิวหน้าของหญิงสาว
“ฉันจะไปรู้รึจ๊ะ ฉันไม่ใช่คนไปอยู่นี่” เธอตอบด้วยท่าทีอันงามงอน
“แม่ยอมจำไม่ได้หรือ เมื่อเล็กๆเธออยากได้ผ้าไหมมาตัดเสื้อ ถึงกับจะหาที่ดินปลูกต้นหม่อนเพื่อเลี้ยงตัวไหม ตามหมู่บ้านที่ศรีสะเกษเต็มไปด้วยต้นหม่อนและใบหม่อน เธอจะไม่ชอบหรือ?”
“พิลึกละ! พี่ทัศน์ พูดราวกับว่า ฉันจะถูกย้ายไปเป็นอัยการผู้ช่วยอยู่ที่นั่นยังงั้นแหละ ถามผู้ถามผู้ไปอยู่เขาดูเองเถอะ”
พูดแล้ว หญิงสาวก็ลุกขึ้นวิ่งเข้าไปในครัว นิทัศน์ชำเลืองตามหลังน้องสาวด้วยสายตาแสดงความเอ็นดูรักใคร่ ฝ่ายชายหนุ่มผู้เป็นแขกมองตามเธอไปด้วยสายตาแสดงความยกย่อง
“คราวนี้ นายฉันบอกว่า ฉันจะไปอยู่ต่างจังหวัดนานหน่อย” จันทาปรารภ “แต่อีกสองสามเดือนจึงจะได้ย้ายไป”
“ฉันดีใจที่เธอจะได้ไปอยู่ใกล้ชิดกับพวกพี่น้องชาวนาของเธอจะได้มีโอกาสช่วยเหลือเขา อย่างน้อยก็ในเรื่องป้องกันเขาจากการกระทำอันอยุติธรรม” นิทัศน์ให้กำลังใจ
จันทาก้มหน้า และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ในดวงตาของเขามีแวววิตกกังวล
“ฉันสงสัยจริงๆ ว่า ฉันจะช่วยพี่น้องชาวนาของฉันได้สักแค่ไหน ตั้งแต่ฉันได้อ่านคำพิพากษาของศาลพิเศษ ตัดสินคดีของศิริลักษณ์แล้วฉันก็รู้สึกแทบหมดหวังในประชาธิปไตยของเรา”
“พวกมนุษย์ใจร้าย! พวกคนป่าชนิดกินคน !” นิทัศน์ร้องออกมาด้วยความชิงชัง “เขาเอาคนไปประหารชีวิตเสียตั้งหลายคน เพราะความโกธรแค้นส่วนตัวเท่านั้น แต่เขาได้อ้างเอาประเทศชาติ และนำเครื่องมือของประเทศ เช่น ตำรวจ ศาล และกฎหมายมาใช้เพื่อบำบัดความเจ็บใจส่วนตัวของเขาเท่านั้น”
“ศิริลักษณ์นับว่าเคราะห์ดีหน่อยที่ยังไม่ตาย แต่ก็เป็นเรื่องน่าสลดใจจริงๆ ที่เขาต้องถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต”
“เมื่อฉันพบกับภรรยาของศิริลักษณ์ เป็นสาวสวยน่ารักและก็น่าสงสารจริงๆ เธอบอกว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำมาปรักปรำเพื่อจะเอาผิดแก่สามีเธอนั้น ล้วนแต่เป็นพยานเท็จทั้งนั้น มีความจริงที่เกี่ยวกับศิริลักษณ์อยู่เพียงข้อเดียว คือศิริลักษณ์ไม่ชอบรัฐบาล และเคยวิจารณ์รัฐบาลทั้งโดยทางวาจาและการเขียนหนังสือ เพียงเท่านี้แหละที่เอากันถึงจำคุกตลอดชีวิต เป็นการทารุณโหดร้ายจริงๆ”
“เมื่ออ่านคำพิพากษาของศาลแล้วฉันรู้สึกว่า หลักกฎหมายที่เราได้เรียน เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอาญาและลักษณะพยาน ได้ถูกละเมิดหมด”
นิทัศน์หน้าแดงยิ่งขึ้น และเสียงของเขาสั่นน้อย ๆ เมื่อเขาพูดต่อไป
“ก็มันเป็นคำพิพากษาของศาลเสียเมื่อไหร่ล่ะ” เขาร้องขึ้น “มันเป็นคำพิพากษาของโจทก์ต่างหาก หรือจะให้ถูกยิ่งกว่านั้นก็ต้องกล่าวว่ามันเป็นคำพิพากษาของคู่ศัตรูที่จะพิพากษาศัตรูของเขา ทั้งที่พยานในคดีนั้น ดูจะเป็นพยานเท็จเสียเป็นอันมาก แต่น้ำหนักของพยานหลักฐานในคดีก็ยังห่างไกลต่อการที่จะนำมายืนยันความผิดของจำเลย อย่างมากก็เพียงแต่ชวนให้เกิดความสงสัย และศาลก็จะลงโทษจำเลยเพราะความสงสัยไม่ได้ มันขัดกับกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๒๗ ในคดีนี้ศาลได้ลงโทษจำเลยโดยอาศัยความสงสัยเป็นส่วนใหญ่ และอาศัยความคิดเห็นของศาลยิ่งกว่าจะอาศัยพยานหลักฐานที่นำมาสืบ เพราะฉะนั้นคำพิพากษาคดีนี้จึงมิใช่เป็นคำพิพากษาของศาล แต่เป็นคำพิพากษาของพวกนักเลงโต ที่ใช้แก่คู่อริของเขา ฉันเห็นว่าประชาธิปไตยในประเทศของเรากำลังดำ เนินเข้าสู่ความมืดมน และชื่อเสียงของคณะราษฎรกำลังตกอยู่ในอันตราย--”
นิทัศน์ยกมือขึ้นเสยผม แล้วก็เอามือกุมศีรษะไว้ พลางก้มหน้านิ่งอยู่ด้วยความอัดอั้นตันใจ
“ในเวลานี้ มีเสียงพูดกันหนาหูว่า ประชาธิปไตยของเราจะไปไม่รอด” จันทาพูดด้วยเสียงเบาและเศร้า “ตลอดเวลาหลายปีมานี้ไม่มีความสำเร็จอะไรสักอย่าง ที่จะมีผลไปถึงพี่น้องชาวนาของเราจำนวนมากมายในชนบท แม้พวกที่ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำในเมือง ชีวิตของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นไปกว่าเดิม เขาเคยลำบากยากแค้นมาอย่างไรในสมัยก่อน ในสมัยนี้เขาก็คงอยู่กับความลำบากยากแค้นอันเดิมนั่นเอง พวกคนยากคนจนที่เคยมีหวังและศรัทธาในรัฐบาลของระบอบใหม่ ก็เสื่อมศรัทธาลงเป็นลำดับ มีเสียงพูดกันว่า พวกคนชั้นสูงเขาวิจารณ์ว่า เมื่อราษฎรเอือมระอารัฐบาลใหม่แล้ว พวกราษฎรก็จะกลับเรียกร้องให้คนชั้นสูงกลับมาปกครองเขาอีก”
นิทัศน์เงยหน้าขึ้นอย่างฉับไว นัยน์ตาของเขาลุกวาวด้วยประกายแห่งความมั่นใจ
“คนพวกหนึ่ง อาจจะทำให้ประชาธิปไตยของเราล่มจมลง แต่ก็จะต้องมีคนอีกพวกหนึ่งมากู้มันขึ้น และทำให้กลไกของมันเดินคล่องขึ้น และดีขึ้นเป็นแน่” เสียงของเขาหนักแน่น “ไม่มีวันเสียละที่จะถอยกลับไปข้างหลัง เราหลุดออกมาจากหนองน้ำของพวกจรเข้และเมื่อต้องเผชิญกับเสือ เราจะกลับถอยเข้าไปในปากจรเข้อีกหรือ มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม, จันทา ? ทางเลือกของราษฎรมีอยู่แต่ทางเดียว คือเราจะต้องฟันฝ่าอันตรายในดงเสือและค้นหาทางออกไปข้างหน้าเท่านั้น ถ้าพวกคนชั้นสูงเขาคิดว่าราษฎรจะกลับเรียกร้องให้พวกเขามาปกครองประเทศอีก ก็นับว่าพวกเขาได้ฝันไปอย่างน่าสงสาร เดี๋ยวนี้ราษฎรพอจะรู้กันอยู่แล้วว่า เมื่อพวกคนชั้นสูงปกครองประเทศนั้น เขาปกครองเพื่อประโยชน์ของใคร เขาปกครองเพื่อประโยชน์ของสามัญชนนับล้านๆ ทั้งในเมืองและในชนบทหรือ ? ถ้าเขาปกครองเพื่อสามัญชนจริงๆ คนแทบทั่วประเทศคงจะไม่ต้องประสบความลำบากยากแค้น อย่างเช่นที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ พวกคนชั้นสูงเขามีปัญญาจริง แต่ก็อย่าไปหลงหรือหวังพึ่งในปัญญาของเขาเลย เพราะว่าโดยทั่วไปแล้วเขาย่อมใช้ปัญญาของเขาไปในทางรักษาผลประโยชน์ของเขา และก็มีอยู่บ่อย ๆ ทีเดียวที่ปัญญาของเขากลับเป็นอันตรายร้างแรงแก่ผลประโยชน์ของสามัญชน พวกคนชั้นสูงมีเพียงหยิบมือเดียวราษฎรตั้งสิบกว่าล้าน จะยกประเทศให้เขาไปปกครองตามความพอใจของเขาได้อย่างไร”
ชายหนุ่มทั้งสองได้สนทนากันถึงเรื่องการบ้านเมืองต่อไปอีกจนถึงเวลารับประทานอาหาร ซึ่งพยอมได้มาร่วมรับประทานด้วย การสนทนาที่โต๊ะอาหารได้เปลี่ยนไปสู่เรื่องความทุกข์สุขส่วนตัว และเรื่องเบาๆ ข่าวที่นิทัศน์จะเข้าสอบชิงทุนไปศึกษาวิชากฎหมายต่อในประเทศอังกฤษ และข่าวที่จันทาจะออกไปรับราชการ ในจังหวัดที่เป็นบ้านเกิดของเขานั้น แม้จะเป็นข่าวอันน่ายินดี แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็เป็นข่าวที่นำมาซึ่งความเศร้า เพราะว่ามันจะทำให้มิตรสนิททั้งสอง และพี่น้องต้องจากกันเป็นเวลาหลายปี
และเมื่อนิทัศน์กล่าวว่า “เราอาจจะต้องจากกันเป็นเวลานานถ้าการสอบชิงทุนของฉันประสบความสำเร็จ” ทั้งที่ยังไม่มีความแน่นอนว่าพี่ชายจะชนะการชิงทุนหรือไม่ น้องสาวก็เริ่มมีน้ำตาคลอ เธอมีความเชื่อมั่นในพี่ชายเธอ เมื่อเขาตกลงใจว่าจะเข้าสอบแล้ว เธอไม่สงสัยในความสำเร็จของเขาเลย
และเมื่อนิทัศน์กล่าวอีกว่า “กว่าฉันจะกลับเข้ามา จันทาก็คงจะมีลูกแล้ว” ที่โต๊ะอาหารก็สงบเงียบไปครู่หนึ่ง จันทาก้มหน้าซ่อนยิ้มเอียงอาย พยอมเชิดหน้าที่ยังมีหยาดน้ำตาคลออยู่ในดวงตา เมินมองไปทางอื่น เสมือนหนึ่งไม่ได้ยินถ้อยคำของพี่ชาย.