๑๒

ด้วยท่าทีอันสง่าแต่แช่มช้อย ศิริลักษณ์ได้เดินเข้าไปหาท่านขุนวิบูลย์วรรณวิทย์ กลุ่มศิษย์ที่กำลังห้อมล้อมสนทนากับครู ได้ให้ที่และเปิดโอกาสให้เขาทักทายปราศรัยกับครู ซึ่งได้ต้อนรับเขาด้วยความยินดีเป็นพิเศษ เพราะว่าประการหนึ่ง เขาเป็นนักเรียนที่เรียนดีและมีความประพฤติดี ที่เรียกความจดจำของครูได้เป็นพิเศษ อีกประการหนึ่ง ครูรู้จักและเคารพนับถือท่านบิดาของเขา ภายหลังการสนทนาแลกเปลี่ยนข้อไต่ถามทุกข์สุขและการประกอบการงานกันตามสมควร เขาได้เหลือบไปเห็นนิทัศน์และกลุ่มนักเรียนร่วมชั้นของเขาต่างก็ยิ้มให้กัน แล้วศิริลักษณ์ได้ขออนุญาตครูลุกเดินไปหากลุ่มศิษย์รุ่นเดียวกัน เนื่องด้วยได้จากกันไปหลายปีนับแต่ได้ออกจากโรงเรียนและไม่ได้พบกันเลย เขาจึงมีเรื่องสนทนาซักถามกันมาก ในชั้นต้นก็ยังคุยกันอย่างกระดากนิดหน่อย ต่อเมื่อได้มีผู้รื้อฟื้นเอาความหลังในวัยเยาว์มาสนทนากันสักครู่ ความกระดากกระเดื่องก็คลายไป ในไม่ช้าการสนทนาของเขาก็ดำเนินไปด้วยความกระปรี้กระเปร่าขึ้น แต่ก็มิใช่ด้วยความสนิทสนมนักเพราะว่าเมื่ออยู่โรงเรียน ศิริลักษณ์มิใคร่จะแสดงความสนิทสนมกับใคร อย่างไรก็ดี เมื่อเขาโตขึ้นเขาก็เปลี่ยนแปลงไปบ้าง คือมีท่าทีที่ต้องการผูกมิตรมากขึ้นกว่าเดิม แต่การวางตนของเขาก็ยังมีอะไรบางอย่างที่แสดงว่า ไม่ใช่เป็นการง่ายนักที่ใครๆ จะแสวงหาความสนิทสนมจากเขา นิทัศน์เป็นเป็นผู้นำในการสนทนา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการซักถามถึงการศึกษาของศิริลักษณ์ในประเทศอังกฤษ เขาตอบคำถามต่างๆ ด้วยการประหยัดถ้อย และถามถึงทุกข์สุขของมิตรสหายในที่นั้นเพียงสั้นๆ จนเกือบจะเป็น การถามที่ถามพอเป็นพิธี และเขามิได้ถามถึงมิตรสหายอื่นที่มิได้อยู่ในที่นั้น ความแฉล้มอ่อนหวานอันเป็นสิ่งที่เคยมีค่ายิ่งบนดวงหน้าของเขา เมื่อโตขึ้นแล้วก็ยังเหลือเป็นเค้าอยู่ และยังคงมีอิทธิพลที่จะดึงดูดใครๆ ให้ชำเลืองแลดูเขาด้วยความรู้สึกนิยมในตัวเขาอยู่

อู๊ด เด็กอ้วนซึ่งเตี่ยของเขาตั้งร้านค้าขายอยู่ในตลาดขายของสด และซึ่งได้ออกจากโรงเรียนเมื่อเรียนถึงชั้นมัธยม ๖ ก็ได้มาร่วมงานฉลองของครูด้วย เขาเข้าไปแสดงความเคารพและทักทายครูสองสามคำก็ถอยออกมา เพราะเขาไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับครู คุณครูท่านขุนจำความอ้วนของเขาได้ ส่วนการเรียนของเขานั้น เมื่อทบทวนความจำของครูว่าเขาเป็นคนที่อ่อนวิชาคำนวณ ครูก็ระลึกได้ว่า ครูเคยสงสัยว่า การบ้านวิชาคำนวณที่เขาทำส่งครูนั้น เขาได้คัดลอกมาจากผลงานของผู้อื่น และเมื่อครูซักไซ้ไล่เลียง เขาก็รับสารภาพ ครูให้เขาสัญญาว่า เขาจะไม่คัดลอกผลงานของผู้อื่นอีกเลย จนกว่าจะเข้าใจคำตอบนั้นๆ ดี และสามารถที่จะทำด้วยตนเองได้โดยไม่ต้องดูแบบอีก เขาได้ให้คำรับรองแก่ครู และภายหลัง เมื่อครูได้ทำการพิสูจน์ ครูก็ได้พบว่าเขารักษาคำสัญญาของเขา

อู๊ดเดินเข้ามาหากลุ่มมิตรร่วมชั้นของเขาด้วยท่าทางอันสงบเสงี่ยมเจียมตัว เขาไม่มีท่วงทีสง่างามผสมกับความแช่มช้อย เช่นที่ศิริลักษณ์มี แต่เขามีประกายแห่งความตื่นเต้นยินดีที่ได้มาพบมิตรเก่าวาววามอยู่ในดวงตาของเขา ซึ่งศิริลักษณ์ไม่มี เขาเดินอย่างเมียงๆ เข้ามาและนิทัศน์ได้ทักทายต้อนรับเขาอย่างกุลีกุจอ เพื่อที่จะให้เขามีความมั่นใจว่า ทุกๆคนต้องการเขา เซ้งมองดูด้วยสายตาอันแสดงความรักใคร่นับถือ เพราะเขายังจำได้ดีว่า อีดเป็นผู้ริเริ่มชักชวนให้เพื่อนๆ ส่งนาฬิกาไปแก้ที่ร้านเขาในยามวิปโยคของเขา เซ้งและจันทาเป็นผู้สนทนาซักถามถึงการประกอบอาชีพของเขา และมิตรสหายก็ได้ทราบว่า หลังจากได้ช่วยเตี่ยทำการค้าขายอยู่ที่ร้านในตลาดระยะหนึ่ง เตี่ยได้ให้เงินเขาก้อนหนึ่งเพื่อเป็นทุนผ่อนซื้อรถยนต์ มาทำรถแท็กซี่และตัวเขาเองเป็นคนขับ ต่อมาอีกระยะหนึ่งเขาได้เปิดร้านค้าสองคูหาที่ตึกหน้าตลาดอีกแห่งหนึ่ง และในบัดนี้กิจการร้านค้าของเขาทั้งในตลาดและนอกตลาดก็ดำเนินไปดี เขาแต่งงานแล้วและมีบุตรสองคน เขาบอกว่าการแต่งงานออกจะเป็นของจำเป็นสำหรับคนค้าขายเช่นเขา เพราะว่าจะได้กำลังมาเพิ่มในการทำงาน อู๊ดตอบคำถามของนิทัศน์ เมื่อถูกถามถึงความสนใจในเรื่องการเมืองว่า เรื่องของเขาก็มีแต่เรื่องคิดอ่านทำมาหากินไปวันหนึ่งๆ เขาไม่มีเวลาจะไปสนใจในเรื่องการเมือง และเขาไม่มีความรู้ที่จะออกความเห็นในเรื่องการเมืองได้ ยิ่งมีลูกเต้าเป็นภาระขึ้นแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร ย่อมไม่ใช่ธุระของเขาทีเดียว พอนิทัศน์พูดอย่างขบขัน ระคนกับน้ำเสียงตำหนิว่า อู๊ดทำตัวเหมือนคนแก่ที่เตรียมจะออกไปจากโลกที่เขาอาศัยอยู่ ก็พอดีมีรถเก๋งใหญ่แล่นเข้ามา การสนทนาถึงเรื่องของอู๊ดจึงชะงักไป

ชายหนุ่มสองคนที่ลงมาจากรถเก๋งนั้น คนหนึ่งร่างสูงใหญ่ ท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียว เห็นได้จากกิริยาที่ก้าวลงมาจากรถ และการปิดประตูรถที่ส่งเสียงบึงปัง สีหน้าร่าเริง แต่งชุดขาวเหมือนกับคนอื่นๆ โดยมาก เนคไทที่เอียงไปข้างซ้ายเล็กน้อยและรอยยับที่ชายเสื้อนอก แสดงว่าเขาไม่สู้พิถีพิถันในการแต่งกายมากนัก มีเสียงร้องกระซิบกันในกลุ่มของนิทัศน์ว่า

“หม่อมราชวงศ์รุจิเรข”

อีกคนหนึ่งแต่งชุดสีเทาอ่อนด้วยผ้าเนื้อดีจากต่างประเทศ เสื้อผ้าอาภรณ์ทุกชิ้นที่คลุมร่าง ได้รับการตบแต่งดูแลอย่างประณีต เขามีท่าทีอันสำรวม และมีสง่าราศีอยู่ในท่าทีอันสำรวมนั้น มีเสียงในกลุ่มนิทัศน์ออกนามชายหนุ่มว่า

“ท่านศุภมงคล”

แล้วก็มีเสียงถามเสียงตอบกันต่อไป

“ท่านศุภ รับราชการอยู่กระทรวงต่างประเทศ และรุจิเรขก็อยู่ที่กระทรวงเดียวกัน”

“ท่านไปเรียนอะไรมา ?”

“ได้ยินว่าท่านเรียนวิชาการเมืองและปรัชญาที่อังกฤษ สำเร็จการศึกษาที่อังกฤษแล้ว ไปต่อวิชาการทูตที่ฝรั่งเศส”

“รุจิเรขละ เขาเรียนทางไหน ?”

“เขาเรียนอยู่ที่ฝรั่งเศส แต่ไม่มีใครทราบว่า เขาสำเร็จทางไหน”

บุญครองมาถึงไล่หลังสองชายหนุ่มเชื้อพระวงศ์ เขาเข้าไปนั่งอยู่ในกลุ่มของครู และสนทนาอยู่กับสองชายหนุ่มเชื้อพระวงศ์อย่างเอิกเกริก ยิ่งเจริญวัย บุญครองก็ยิ่งมีความรักอย่างดูดดื่มในการวิสาสะกับบุคคลที่มีหน้ามีตาในสังคม จะเป็นผู้มาจากสกุลผู้ดีหรือเศรษฐีหรือจะมาจากที่ใดก็ตาม สะอาดหรือไม่สะอาดก็ตาม ถ้าเป็นผู้มีหน้าตาในวงสมาคมแล้ว เขาก็อยากคบหาวิสาสะด้วยทั้งนั้น จนกระทั่งถึงเวลารับประทานอาหาร คนทั้งสามจึงได้มาเข้ากลุ่มสหายร่วมชั้นของเขา

หม่อมราชวงศ์รุจิเรข ได้ทักทายเพื่อนร่วมชั้นอย่างทั่วถึง ด้วยอาการร่าเริงและอย่างเป็นกันเอง รวมทั้งจันทาและนิทัศน์ผู้เป็นคู่อริเก่าของเขา หม่อมเจ้าศุภมงคลแสดงท่าทีฉันมิตรกับทุกคน แต่ก็ประหยัดถ้อยคำในการสนทนา เว้นแต่กับศิริลักษณ์ และในบางครั้งคราวก็หันไปสนทนากับนิทัศน์ จันทากับเซ้งฟังมิตรกลุ่มผู้ดีสนทนากัน เขาจะพูดต่อเมื่อแน่ใจว่าจะมีผู้ฟัง ส่วนอู๊ดนั้นเขาพยายามถดถอยจากท่านหนุ่มผู้ดีเหล่านี้อยู่แล้ว เขาเจียมตัวว่าเขาไม่มีความรู้ และเขาก็ไม่รู้ว่าจะสนทนากับมิตรลูกผู้ดีเหล่านั้นด้วยเรื่องอะไร เพราะมิตรเหล่านั้นกับตัวเขา มีความสนใจในเรื่องที่แตกต่างกันมาก ทั้งเขาก็ไม่มีความทะเยอทะยานที่จะได้รับความสนิทสนมจากคนเหล่านั้น บุญครองพยายามติดอยู่ในกลุ่มของเพื่อนที่เป็นผู้ดีชั้นสูง ซึ่งมีศิริลักษณ์รุจิเรขและหม่อมเจ้าศุภมงคลและต่อมาก็มีเทียนหมิงเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง ซึ่งบุญครองจัดไว้ในหมู่คนชั้นสูงเหมือนกัน เพราะเทียนหมิงเป็นบุตรพ่อค้าใหญ่ และเป็นนักเรียนนอก นิทัศน์เป็นเหมือนสะพานที่ทอดอยู่ระหว่างกลุ่มทั้งสอง เขาทั้งหมดนั่งล้อมวงรับประทานอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน แต่การสนทนาของเขาเป็นสองกลุ่ม ในบางคราวเขาทั้งหมดก็รวมเป็นกลุ่มเดียวกัน เมื่อรุจิเรขหรือนิทัศน์ เสนอข้อถามหรือข้อสนทนาซึ่งเป็นที่สนใจแก่ทุกคน

รุจิเรขเป็นผู้ชี้แจงว่า วัชรินทร์ไม่ได้มาเพราะป่วย ส่วนปิ่นแก้วนั้นเป็นที่รู้กันว่า ออกไปเป็นนายอำเภออยู่ต่างจังหวัด ฝ่ายหม่อมหลวงอิทธิพรนั้นไม่ทันได้เรียนกับคุณครูท่านขุน แต่ก็ได้มีผู้ถามข่าวถึงเขาว่า เขาได้ออกรับราชการเป็นนายทหารอยู่ที่ไหน และรุจิเรขได้ตอบอย่างอ้อมแอ้มว่า อิทธิพรได้เปลี่ยนใจที่จะเรียนเป็นนายทหาร และได้ย้ายมาเรียนต่อที่ฝรั่งเศส ว่าจะเอาปริญญาด๊อกเตอร์อังดรัวท์ แต่แล้วก็เปลี่ยนความคิดอีก เมื่อกลับเข้ามาว่างงานอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดได้เป็นผู้จัดการโรงแรมของชาวยุโรป ส่วนตัวรุจิเรขเองนั้น เขาก็ไม่ได้แสดงว่าเขาได้ปริญญาอะไรกลับมา และก็ไม่มีใครถามถึงวิทยวุฒิของเขา

รุจิเรขเล่าถึงเรื่องการศึกษาของเขาและของอิทธิพรเพียงสั้น ๆ ที่เขาช่ำชองมากคือการใช้ชีวิตสำราญในปารีส เขาเล่าเรื่องระบำโป๊และโสเภณี ชังป์เอลิเซ่ โอเปร่า มาดเลน แถวบีคกาล และกลีชีอย่างครึกครื้น พรรณนาถึงรสอันเด็ดดวงของเวอร์มุธและแชมเปญจ์ บรรยายถึงความน่าตื่นตาของบรรดาคาบาเร่ต์ที่ขึ้นชื่อในปารีส ครวญถึงความสำราญอย่างเอ้อระเหย ขณะนั่งชมโฉมงามของแม่ทรามวัยชาวปารีสตามร้านกาแฟที่ถนนชังป์เอลิเซ่ และมาดเลนทั้งยามทิวาและราตรี เมื่อถูกขอร้อง หม่อมเจ้าศุภมงคลก็ได้เล่าเรื่องในประเทศอังกฤษ เรื่องที่เขานำมาเล่าไม่โลดโผนครึกครื้นเหมือนเรื่องของหม่อมราชวงศ์รุจิเรข แต่ชายหนุ่มหลายคนได้ฟังด้วยความสนใจ เขาเล่าเรื่องของร้านขายหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในลอนดอน หรืออาจจะเป็นในโลก คือร้านฟอยส์ซึ่งในร้านมีหนังสือถึงสามล้านเล่ม เขาเล่าถึงสถานที่ฝังศพของอังกฤษ คือวิหารเวสมินสเตอร์ เปรียบเทียบกับปังเตอองของฝรั่งเศส และเล่าถึงร้านอาหารจีนและร้านอาหารนานาชาติในภายสวนสาธารณะไฮด์ปาร์ค และการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของชาวอังกฤษที่มีอยู่เป็นประจำภายในสวนนั้น โดยที่ใคร ๆ ก็มีสิทธิ์จะไปกล่าวตำหนิติเตียนรัฐบาลได้ และโดยปราศจากการรบกวนขัดขวางของตำรวจ

“แต่ในประเทศของเรา เมื่อหนังสือพิมพ์คัดค้านรัฐบาลที่ใช้งบประมาณหนักไปในทางการทหาร หนังสือพิมพ์ก็ถูกคุกคาม” เซ้งเสนอข้อสังเกตขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ

“เราคิดว่า ในยามเช่นนี้ ประเทศของเราควรสนใจในการบำรุงการศึกษาและเศรษฐกิจ ประเทศของเราควรจะช่วยคนยากจนให้มีโอกาสได้รับการศึกษาดีขึ้น และช่วยให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น” จันทาเสริม

“ในประเทศอังกฤษ ใครจะคัดค้านรัฐบาลอย่างไรก็ได้” ศิริลักษณ์ชี้แจง และเขาช่างพูดขึ้นเมื่อมีผู้สนใจในเรื่องที่เขาเล่า “จะคัดค้านในหนังสือพิมพ์ หรือโดยการประชุมสาธารณะหรือโดยการเดินขบวนก็ได้ การคัดค้านรัฐบาล เป็นของที่กระทำกันเป็นการประจำ ในรัฐสภาหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านของอังกฤษยังได้รับเงินเดือนในฐานที่ทำหน้าที่ค้านรัฐบาลด้วย และจะเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกก็ทำได้”

“แล้วไม่มีตำรวจไปเที่ยวคุกคามผู้ที่เรียกร้องให้รัฐบาลลาออกหรือ?” เซ้งถาม “มีบ้างไหมที่นายทหารยกพวกเข้าไปในโรงพิมพ์ แล้วพูดจาข่มขู่พวกหนังสือพิมพ์ที่แสดงความเห็นคัดค้านงบประมาณการทหาร?”

“ไม่มีเลยคุณ ไม่เคยมีเลย” ศิริลักษณ์ตอบเน้นเสียง

“ไม่มีแม้แต่ความคิดของตำรวจหรือของทหารคนใดคนหนึ่งที่คิดจะกระทำเช่นนั้น” หม่อมเจ้าศุภมงคลเสริม

“แล้วตำรวจเขาทำอย่างไร เมื่อมีการคัดค้านรัฐบาลกันอย่างรุนแรงเช่นนั้น?” เป็นคำถามของบุญครอง เขาคิดว่าตำรวจควรที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งในยามเช่นนั้น

“ตำรวจก็อยู่เฉย ๆ ซิคุณ” ศิริลักษณ์ตอบ ดูเขามีความพอใจที่ได้มีโอกาสแสดงความรู้เรื่องประชาธิปไตยในประเทศอังกฤษให้มิตรสหายฟัง “ตำรวจก็มีความคิดเหมือนราษฎรทั้งหลาย คือคิดว่าการคัดค้านรัฐบาลเป็นของปกติธรรมดาในประเทศของเขา ตำรวจอังกฤษก็เป็นพลเมืองอังกฤษคนหนึ่งเหมือนกัน ตำรวจก็ต้องการรักษาเชิดชูสิทธิเสรีภาพของพลเมือง ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพของเขาเองด้วยเหมือนกัน”

“ตำรวจไม่ได้เป็นพวกของรัฐบาลหรือ คุณศิริลักษณ์?” บุญครองถาม สีหน้าของเขาแสดงความฉงนสนเท่ห์ในประชาธิปไตยของอังกฤษเป็นอันมาก

“ทั้งตำรวจและทหารไม่ได้เป็นพวกของรัฐบาล” ศิริลักษณ์พูดช้าด้วยการระมัดระวังถ้อยคำ “ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ไปตามที่กฎหมายข้อบังคับกำหนดไว้เช่นเดียวกับข้าราชการทั้งหลายการปฏิบัติ หน้าที่ของตำรวจอาจจะต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล แต่ตำรวจไม่จำเป็นจะต้องเห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล และไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ตำรวจย่อมไม่ไปกะเกณฑ์เคี่ยวเข็ญให้คนทั้งหลายปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล เพราะนโยบายของรัฐบาลไม่ใช่กฎหมาย นโยบายของรัฐบาลไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนจะต้องเคารพ และปฏิบัติตามเช่นกฎหมาย ตำรวจมีอำนาจหน้าที่ภายในขอบเขตของกฎหมายเท่านั้น ถ้าตำรวจกระทำเกินไปกว่านั้น ตำรวจก็ไม่กระทำการชอบด้วยกฎหมาย ตำรวจไม่ไปเกี่ยวข้องกับประชาชนในเรื่องที่เขาจะชอบหรือไม่ชอบนโยบายของรัฐบาล ถ้าตำรวจสอดเข้าไปเกี่ยวข้อง ตำรวจย่อมได้ชื่อว่าละเมิดสิทธิเสรีภาพของพลเมือง เป็นสิ่งที่ตพรวจอังกฤษย่อมไม่กระทำกันและไม่มีความคิดที่จะกระทำด้วย โดยทั่วไปตำรวจไม่รู้จักแค้นเคืองผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล และไม่ไปเจ็บร้อนแทนรัฐบาลในเรื่องเช่นนั้น”

ทุกคนสงบฟังคำเล่าของศิริลักษณ์ด้วยความสนใจ แม้แต่อู๊ดซึ่งไม่เอาใจใส่ในเรื่องการเมืองและนั่งอยู่ห่างจากศิริลักษณ์ ก็ขยับเก้าอี้ให้ใกล้เข้าไปอีกหน่อย ตลอดเวลานิทัศน์ฟังด้วยความสงบและไม่ได้ร่วมในการซักถาม เพราะเขาเข้าใจหลักการของประชาธิปไตยตามที่ได้ศึกษามาจากมหาวิทยาลัยดีอยู่แล้ว และสีหน้าของเขาก็ฉายให้เห็นความพอใจของเขาที่มีต่อข้อเท็จจริงที่ปฏิบัติกันอยู่ในประเทศอังกฤษที่ศิริลักษณ์นำมาเปิดเผย จันทาก็มีความรู้สึกทำนองเดียวกับนิทัศน์ เซ้งฟังด้วยความทึ่ง สีหน้าของบุญครองเต็มไปด้วยความสนเท่ห์ตลอดเวลา ความคิดของเขาติดตามประชาธิปไตยในประเทศอังกฤษไม่ทัน

“ประชาธิปไตยของเราเป็นประชาธิปไตยแบบไหน?” เซ้งถาม

“เป็นประชาธิปไตยแบบอังกฤษ” ศิริลักษณ์ตอบ

“แต่ทำไมการปฏิบัติในประเทศของเราจึงแตกต่างกับการปฏิบัติในประเทศอังกฤษมากนัก?” เป็นข้อถามของจันทา “โดยเฉพาะการปฏิบัติในทางคุกคามเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น”

ศิริลักษณ์ยึดอกขึ้น เขาตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ

“ผมไม่อาจตอบปัญหาข้อนี้ คุณต้องไปถามท่านพวกผู้ก่อการเขา” น้ำเสียงของศรีลักษณ์มีความรู้สึกขมขื่นระคนอยู่

“บางทีบุญครองอาจจะตอบแทนพวกผู้ก่อการได้กระมัง เพราะเขาใกล้ชิดกับท่านเหล่านั้น” หม่อมราชวงศ์รุจิเรขโพล่งออกมาแล้วหัวเราะ ท่าทางของเขาแสดงว่า พูดด้วยอารมณ์สนุกมากกว่าจะหมายให้เป็นการจริงจัง แต่ถึงกระนั้นก็ทำให้บุญครองหน้าแดงและรู้สึกอึกอัก

“ผมไม่มีความรู้ในเรื่องการเมือง” บุญครองรีบออกตัว “ผมรู้จักนับถือท่านเหล่านั้นบางคนเป็นการส่วนตัว ผมไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง”

“มีข่าวว่าถ้ามีตำแหน่งสมาชิกประเภทสองว่างลง คุณก็เป็นคนหนึ่งที่มีหวังจะได้รับการแต่งตั้งกับเขาด้วยไม่ใช่หรือ” รุจิเรขยั่วต่อไป

“เปล่าครับ-ผมไม่มีหวังอะไรเลยครับ” บุญครองปฏิเสธพัลวัน “ผมยังรุ่นเด็กมากนัก”

“ถ้าถึงรอบของคุณบุญครองเมื่อไหร่ ผมขอฝากตัวด้วยนะครับ” ใครคนหนึ่งสอดขึ้นแล้วก็มีเสียงหัวเราะกัน บุญครองเลยหน้าแดงยิ่งขึ้นเขาหัวเราะแหะ ๆ พร้อมกับบ่นพึมพำ

“เมื่อได้ฟังคุณศิริลักษณ์เล่าเรื่องประชาธิปไตยในอังกฤษแล้ว ผมเห็นว่าในเวลานี้ประเทศเราไม่ได้เป็นประชาธิปไตย-ปแตย อะไรกับเขาเลย” อีกเสียงหนึ่งสอดขึ้นมา

เมื่อเหลือบไปเห็นเทียนหมิงนั่งกระสับกระส่าย รุจิเรขก็รอ้งขึ้นว่า

“นายห้าง มีอะไรจะพูดบ้างไหมล่ะ”

เทียนหมิงกระพริบตาถี่ ๆ และยิ้มอย่างไม่สู้จะแจ่มใสนัก

“ผมคิดว่าเราพูดกันถึงเรื่องประชาธิปไตยในอังกฤษอย่างที่คุณศิริลักษณ์เล่าให้ฟังนั้น ก็เป็นการพอสมควรแล้ว”

“แล้วยังไง..” รุจิเรขหาเรื่องคุยต่อไป

“ก็ไม่ยังไงหรอก ผมคิดว่าเราควรจะจำกัดการพูดคุยของเราไว้เพียงแค่อังกฤษดีกว่า อย่ามาถกกันถึงเรื่องการเมืองไทยเลย”

“เพราะอะไร” หม่อมราชวงศ์ผู้ชอบการสนุกสนานรุกเร้า

“เพราะตำรวจไทยไม่เหมือนกับตำรวจอังกฤษนะซิ” นิทัศน์พูดแซงขึ้นมา

ศิริลักษณ์กับหม่อมเจ้าศุภมงคล ยิ้มละไม

“นั่นไม่ใช่ความเห็นของผมนะ” เทียนหมิงร้องปฏิเสธทันควัน “ผมไม่มีความเห็นเกี่ยวกับตำรวจไทย”

“นายห้าง อย่าตกใจไปเลยที่นี่ไม่มีใครเป็นตำรวจหรอกน่า” รุจิเรขยั่ว “เว้นเสียแต่บุญครองจะแอบไปเป็นเข้าแล้ว ที่เขาเรียกกันว่าสายลับน่ะ”

“เลิกล้อเรื่องพรรค์ยังงี้กันที่เถอะ คุณชาย” บุญครองอุทธรณ์ เขารู้สึกว่าเรื่องราวที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น ช่างไม่มีรสเสียเลย “ผมเห็นด้วยกับคุณเทียนหมิง เราคุยกันเรื่องสนุก ๆ ดีกว่า อย่าคุยเรื่องการเมืองเลย”

“บุญครองก็ใกล้ชิดกับรัฐบาลอยู่แล้ว ไม่ควรจะร้อนใจไปเลย ข้างนายห้างเขาน่ะ เขามันอีกอย่างหนึ่ง เขามันต้องติดต่อค้าขายกับรัฐบาล ถ้าเขาไปพูดอะไรกระทบรัฐบาล เขาก็จะเสียผลประโยชน์ทางการค้าขายของเขา” เป็นคำยั่วของหม่อมราชวงศ์

“พ่อค้าไม่พูดเรื่องการเมืองหรอกคุณ” เป็นคำโต้ของเทียนหมิง

“เทียนหมิงยังพูดไม่จบนี่” นิทัศน์เข้าร่วมในการสัพยอกด้วย “ที่เทียนหมิงต้องการพูดนั้นคือ...พ่อค้าไม่พูดเรื่องการเมืองที่จะเป็นการเสียผลประโยชน์ของเขา”

แล้วที่ชุมนุมก็หัวเราะขึ้น พอดีท่านขุนวิบูลวรรณวิทย์เดินมาที่กลุ่มของเขาเพื่อจะสนทนาปราศรัยด้วยการสนทนาจึงเปลี่ยนไปสู่เรื่องอื่น.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ