๑๑
หนุ่มสาวได้ใช้เวลารับประทานอาหาร และสนทนากันกว่าสองชั่วโมง เวลานั้นยังไม่ถึงสี่ทุ่ม นับว่าเป็นยามหัวค่ำสำหรับการใช้ชีวิตของสตรีเช่นปราง เธอบอกกับเพื่อนชายว่าในค่ำวันนั้นไม่ใช่วันนัดหมายที่สามีจะมาค้างคืนที่บ้านเธอ เธอจึงมีอิสระที่จะไปเที่ยวกับเขาที่ไหนๆ อีกก็ได้
“พี่จันเต้นรำเป็นไหม ?” ปรางถามขึ้น ขณะเอาผ้าที่ซับแป้งสีชมพูลูบไล้ตามหน้า ซึ่งมีกระจกบานเล็กส่องอยู่
“พี่เต้นไม่เป็นหรอก, แม่ปราง เธอถามทำไม ?” นัยน์ตาของจันทาจับอยู่ที่ตรงหน้าของมิตรสาวอันผุดผ่องด้วยเลือดฝาดเพราะฤทธิ์เบียร์
“น่าเสียดาย ถ้าพี่เต้นรำเป็น ฉันก็จะพาไปเที่ยวเต้นรำกันสักพักหนึ่ง ก่อนกลับบ้าน” ดวงหน้าแดงระเรื่อยังลอยอยู่ในกระจก
“สามีของแม่ปราง เขาไม่หึงหวงเธอหรือ?” ชายหนุ่มถามอย่างแปลกใจ
“หึงซี่จ๊ะ เขารู้ว่าฉันไปเที่ยวกับผู้ชายคนอื่น เขาคงจะโกรธ แต่เราจะไปเที่ยวให้เขารู้ทำไมล่ะ”
“ทำเช่นนั้น มันก็ไม่ซื่อกับเขาน่ะซี, แม่ปราง”
“ฉันก็ไม่ชอบทำหรอก, พี่จัน แต่พูดกันที่สัตย์จริง เรื่องความซื่อนี่น่ะ ฉันก็ไม่ใคร่เห็นคนกรุงเทพฯ เขานับถือจริงจังกันเท่าใด ก็มีแต่พวกบ้านนอกของเราเท่านั้นแหละพี่จัน คุณของฉันเขาก็มีเมียตั้งหลายคน บางทีเขาก็หายไปตั้งหลายวัน กว่าเขาจะมาที่บ้าน ฉันก็เหงาเหมือนกัน”
หลังจากที่หวีผมและเอานิ้วแตะที่ทรงผมสองสามครั้ง ปรางก็เก็บกระจกใส่กระเป๋าถือ และเงยหน้าขึ้น
“ถ้าไม่ได้เต้นรำ เราจะไปนั่งเล่นที่สวนลุมพินีกันก่อนไหมจ๊ะ?”
จันทาต้องยอมรับว่า ดวงหน้าที่เงยขึ้นรับสายตาของเขานั้น เป็นดวงหน้าที่มีเสน่ห์ ดวงตาที่แจ่มใสและวาบวามด้วยประกายนั้น ทำให้เขาสะท้านใจจนต้องหลบสายตาของเขา เขาอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบคำเชิญชวน เขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกบางอย่าง เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีภาพสวรรค์มาปรากฏในมโนภาพของเขา มีเทพธิดามากวักมือเรียกเขาให้เข้าไปในอุทยานที่แสนจะรื่นรมย์ใจ แต่พอเขาขยับจะตามไป ก็มีภาพนรกผุดขึ้นมาบังภาพสวรรค์ไว้ เปลวไฟลุกโพลง น้ำมันในกะทะทองแดงเดือดพลั่ก ชายหญิงที่เปลือยกายอาบเลือดกำลังตะเกียกตะกายอยู่บนต้นงิ้วระเกะระกะด้วยหนาม หน้าของเขาร้อนผะผ่าว ในที่สุดคำตอบก็ผ่านริมฝีปากของเขาออกมาด้วยเสียงที่ไม่สู้จะราบรื่น
“พี่คิดว่าอย่าไปเลย. แม่ปราง มันจะดึกเกินกว่าเราจะกลับถึงบ้าน ให้พี่ไปส่งเธอกลับบ้านเถอะ”
ออกมาจากห้องจันทาเห็นชายหญิงนั่งอยู่ตามโต๊ะรับประทานอาหารเต็มไปหมด แทบไม่มีที่ว่างเลย หน้าของคนเหล่านั้นมันและกล่ำด้วยรสอันเลิศของอาหารและสุรา ไม่เหมือนกับใบหน้าที่ราบเรียบด้วยความบริสุทธิ์ของนิทัศน์และเซ้งเลย ภายหลังที่ได้รับประทานอาหารอันวิเศษและได้ดื่มเบียร์ที่ทำให้ใจคอของเขาดูพิกลไปแล้ว จันทารู้สึกกระดากอาย เมื่อนึกถึงว่าใบหน้าของเขาก็คงจะมันและกล่ำด้วยฤทธิ์เบียร์เช่นเดียวกับท่านชายหญิงเหล่านั้นเหมือนกัน เขาจึงควักผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหน้า
ในตอนขากลับ เขานั่งปล่อยตัวตามสบายบนรถสามล้อเคียงข้างกับมิตรสาว แม้ว่าทั้งอาหารและเบียร์ จะเป็นของจะเป็นของที่มีราคาแพง และการรับประทานจะเป็นการใช้ชีวิตที่ฟุ่มเฟือย แต่เขาก็รับประทานมันด้วยความรู้สึกเอร็จอร่อยและด้วยความเป็นสุข และขณะนั่งมาในรถเขาก็ปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปในความคิดคำนึงอันรื่นรมย์ เขาโล่งใจ เมื่อปรางบอกแก่เขาว่าคุณลมัยยังอยู่ที่บ้านเดิมของหล่อน มิได้ย้ายมาอยู่กับเธอ เขาพลอยปลื้มใจกับเธอ เมื่อเธอบอกว่า เธอคิดถึงคุณลมัยเหมือนคิดถึงมารดาและเธอได้ส่งเงินไปสนองบุญคุณคุณลมัยทุกเดือน จันทายังคงหวาดหวั่นครั่นคร้ามการถือยศถือเกียรติของคุณลมัย
“เดี๋ยวนี้คุณแม่ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว” ปรางชี้แจง “ถึงพี่จันพบท่าน ก็ไม่ต้องกลัวเหมือนแต่ก่อนหรอก ตั้งแต่ท่านเจ้าคุณสิ้นวาสนาแล้ว คุณแม่ก็เปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว”
จันทาก็รับทราบด้วยความยินดี แต่ก็ไม่วายแปลกใจ
เมื่อรถมาถึงบ้านแล้ว ปรางยังไม่ยอมให้เขากลับ เธอชวนเขาเข้าไปในบ้าน เจ้าหนุ่มลังเลแต่ก็ได้เดินตามสาวไป เหมือนถูกสะกดด้วยเวทมนต์ หญิงรับใช้เปิดประตูรับนาย เมื่อได้ยินเสียงเรียกแล้วหล่อนก็ได้รับคำสั่งจากคุณนายให้ไปพักผ่อนได้ ปรางน้ำจันทาเข้าไปในห้องรับแขก และผ่านไปห้องรับประทานอาหาร เธอเปิดตู้เย็นออกและร้องเชิญเพื่อนชายว่าจะดื่มเบียร์เพิ่มเติมอีกสักหน่อยไหม จันทานึกถึงความรื่นรมย์ใจจากรสเบียร์ เขาอ้ำอึ้งอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วปฏิเสธ
ปรางมองดูหน้าเขา หายใจสะท้อนพลางก็พูดออกมาว่า
“ฉันก็ไม่อยากให้พี่มาพลอยเสียไปกับฉัน”
ชายหนุ่มสะดุ้ง
ปรางหยิบน้ำหวานออกมาสองขวดแล้วก็ปิดตู้เย็น เขาเดินกลับมานั่งบนเก้าอี้ที่มีเบาะรองและมีหมอนพิงในห้องรับแขก สักครู่เจ้าของบ้านนำถาดรองน้ำหวานสองแก้ว มาวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้าเขา พลางเธอก็นั่งบนเก้าอี้ใกล้ๆ เขา
“ดื่มน้ำหวานกันเถอะ พี่เป็นคนดี”
เขาไม่สู้เข้าใจว่า เธอหมายความว่ากระไร แต่เขาก็มิได้ซักถาม ภายหลังการสนทนาราวครึ่งชั่วโมง เขารู้สึกใจคอวูบวาบอย่างพิกล เมื่อระลึกว่า เขานั่งอยู่กับหญิงสาวเพียงสองต่อสอง ภายในบ้านที่ผู้คนดูเหมือนจะหลับนอนกันหมดแล้ว และไม่มีเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงสนทนาเบาๆ ระหว่างเขาทั้งสอง เมื่อรู้สึกดังนั้น เขาก็เตรียมตัวกลับ เมื่อหนุ่มสาวลุกขึ้นยืนประจันหน้ากัน และมองตากันครู่หนึ่ง สาวก็เอาหน้าซบลงไปบนไหล่เพื่อนชาย และเอามือซ้ายโอบหลังเขาไว้ จันทาก็ตระกองกอดร่างสาวไว้อย่างครึ่งงงครึ่งปรารถนา เมื่อสาวเงยหน้าขึ้นเจ้าหนุ่มก็คลายแขนออก
“เมื่อไรพี่จันทาจะมาหาฉันอีก?” สาวฉอ้อนถาม
“เธอมีเจ้าของแล้วนะ, แม่ปราง” เขาเตือนสติและบางทีเขาก็จะต้องการให้คำที่ได้กล่าวออกไปนั้น เป็นคำเตือนสติเขาด้วย
“ฉันมีเจ้าของแล้วก็จริง แต่ฉันก็เป็นเหมือนสินค้าเถื่อน”
“แต่เธอก็ได้เลือกเป็นเอง ไม่มีใครเขาไปบังคับเคี่ยวเข็ญเธอ”
“จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันเลือกผิดหรือถูก” สายตาของเธอเพ่งอยู่ที่ดวงหน้าเพื่อนชาย “ถึงจะไม่ใช่คนดี แต่ฉันก็บูชาคนดี ฉันเพิ่งแน่ใจในวันนี้ว่า ฉันรักพี่จันทั้งอย่างน้องสาวและอย่างหญิงสาว”
แล้วหน้าของเธอก็ซบลงไปบนไหล่ของเขาอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้จันทาก็สวมกอดเธอด้วยความตั้งใจ
เมื่อเงยหน้าขึ้นในครั้งหลังนี้ มีหยาดน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของหญิงสาว
“พี่จันอย่ามาหาฉันอีกเลยก็ดี” เธอพูดเสียงเครือ “ฉันไม่อยากให้พี่ต้องมาเสีย เพราะความเห็นแก่ตัวของฉัน”
แล้วหนุ่มสาวก็จากกัน
จันทาออกมาจากบ้านของสตรีผู้เป็นถ่านไฟเก่าอย่างมึนงง ถนนใหญ่หน้าปากซอยบ้านปราง เป็นถนนที่ค่อนข้างสงัดผู้คนและยวดยาน เขาเดินไปเงียบๆ ภายใต้แสงไฟฟ้าเรืองๆ สองข้างทางรำพึงถึงปรางและเรื่องราวที่ออกจะน่าตื่นเต้นที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาในชั่วเวลาสามสี่ชั่วโมงของตอนหัวค่ำวันนั้น
เขาเดินมาด้วยความรัญจวนป่วนใจในรสสัมผัสจากการตระกองกอดสาวไว้แนบกาย แต่ความรู้สึกผิดชอบในใจก็บอกเขาว่ามันเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ดี เขาก็มีคำแก้ตัวว่า เขามิได้เป็นฝ่ายริเริ่ม เขาต้องการจะปลีกตัว แต่เขาก็ถอยออกมาไม่ได้ อำนาจความเพลินในการสนทนาวิสาสะกับสตรีผู้มีเสน่ห์ ความเพลินในรสอาหารอันวิเศษและรสเบียร์ ได้ผลักดันเขาไป ในเวลาที่ตกอยู่ในความเพลินนั้นเขารู้สึกว่าตัวของเขาลอยไปอย่างมึนงง อย่างคนครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ เหมือนเรือที่ไม่มีคนถือท้าย มันอาจจะแล่นไป ไปชนอะไรต่ออะไรแตกและคว่ำลงได้โดยไม่ยาก เขาตกใจเมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เขาตกใจเมื่อแลเห็นอันตรายจากความเพลินในสิ่งเหล่านี้ เขาดื่มเบียร์เข้าไปสามแก้ว ฤทธิ์เบียร์ทำให้เขาลืมตัวไปเป็นพักๆ เขาคิดถึงและขอบคุณ คุณพระพุทธพระธรรม ขอบคุณครูบาอาจารย์และกัลยาณมิตร และคุณธรรมที่เขาได้รับมาจากชีวิตชนบท ที่คอยปลุกให้เขาตื่นจากความลืมตัว และเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ให้เขากระทำสิ่งที่ไม่สมควรมากไปกว่านั้น
เขาได้สำนึกว่า ในความเอร็จอร่อยของรสอาหารที่ฟุ่มเฟือยและรสเครื่องดื่มที่ได้รับความมึนเมานั้น มีปีศาจสิงอยู่ และคอยที่จะทำร้ายทุกคนและทุกขณะที่เผลอตัว เขาเงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็พบกับราตรีที่มืดมนปราศจากแสงเดือน เพราะหมู่เมฆที่อุ้มฝนเข้าบดบังไว้ ลมเย็นพัดวูบมาข้างหลัง เขารู้สึกสะท้านทั้งกายและใจ ชีวิตที่ผ่านมาในความสว่างอาจประสบความมืดเข้าได้ในขณะใดขณะหนึ่ง เมื่อเจ้าของชีวิตนั้นมีความประมาท
ระลึกถึงอาหารและค่าเบียร์ที่ปรางได้จ่ายไป เขาก็สะดุ้งใจ มันอาจใช้เป็นอาหารของเขาได้ตั้งครึ่งเดือน และเมื่อนึกชีวิตของเด็กวัดที่เขาได้ผ่านมาแล้ว ค่าขนมของเด็กวัดตั้งปี ก็ไม่เท่ากับค่าอาหารมื้อเดียวที่ปรางได้เลี้ยงดูเขาในตอนหัวค่ำ ปรางได้ค่าอาหารอันฟุ่มเฟือยเหลือเฟือนั้น มาจากคุณสามีผู้เป็นนายธนาคารและท่านผู้นั้นได้เงินทองมากมายมาจากไหน ?
เขามองเห็นปลากะพงเจี๋ยนราคาแพงเหลืออยู่อีกครึ่งจาน และหมี่ผัดหน้าไก่อีกค่อนจาน ที่ปรางได้สั่งมาเพิ่มเติม อาหารเหล่านั้นทิ้งอยู่บนโต๊ะ เขาทั้งสองกินเข้าไปไม่ลง มันมากมายเหลือเฟือเกินไปและก็ไม่มีใครที่นั่นต้องการมัน และเขาระลึกได้ว่า มีคนที่อดอยากนั่งขอทานอยู่บนบาทวิถีไม่ไกลจากร้าน และมีขอทานผอมกะหร่องบางคนเดินอยู่แถวนั้น แต่อาหารที่เหลือเฟือเหล่านี้แทนที่จะ ผ่านเข้าไปในท้องของผู้ที่ต้องการและตะเกียกตะกายหา มันกำลังจะถูกทิ้งไปในถังขยะอาหาร
จันทาคิดคำนึงถึงความอดอยากปากแห้ง และความอัตคัดขาดแคลนอาหารของพวกเด็กวัดและพี่น้องชาวชนบทในบ้านเมืองของเขาแล้วก็เศร้าสลดใจ ทำไมหนอในที่หนึ่งจึงอดอยากและในอีกที่หนึ่งจึงมีกินอย่างเหลือเฟือ จนถึงเอาอาหารดีๆ ไปเททิ้งเสียทุกวันทุกคืน เขาคิดว่าจำนวนอาหารที่เอาไปเททิ้งเสียเช่นนั้น ในวันหนึ่งๆ เมื่อรวมกันเข้าทั้งหมดแล้ว คงจะมีจำนวนมิใช่น้อยทีเดียว จะไม่มีทางใดหรือที่จะจัดการให้อาหารที่เหลือเฟือในที่หนึ่ง ไปถึงปากท้องของผู้ที่ไม่มีจะกินทั้งในชนบทและในเมือง
เขาครุ่นคิดถึงปัญหาข้อนี้และข้ออื่น ๆ อีก ทำไมหนอสตรีที่ได้รับการปฏิบัติจากบุรุษอย่างอยุติธรรม เช่นที่ปรางได้รับการปฏิบัติจากคุณวัชระ จึงกลับไปยกย่องผู้ที่ทอดทิ้งตนเสียอีกเล่า ความรู้สึกอย่างคนตาบอด ที่ปรางได้แสดงให้เขารู้เห็นอย่างน่าสมเพชนั้น เป็นที่ประทับใจเขา คำตอบปัญหาเหล่านี้ยังคงเป็นความลับสำหรับเขา แต่เขาคิดว่า คำตอบจะต้องมี ดังที่นิทัศน์มักจะพูดแก่เขาอยู่เนือง ๆ ในเวลาที่เขาไม่อาจจะตอบปัญหาบางอย่างได้ และถ้าเขาขวนขวายที่จะหาคำตอบนั้น สักวันหนึ่ง เขาคงจะพบคำตอบ
“เป็นสตรีสุดดีแต่เพียงผัว จะดีชั่วก็แต่ยังกำลังสาว” เขาสงสัยว่าสุภาษิตโบราณบทนี้ ที่ปรางได้รับการสั่งสอนให้ยึดถือเป็นสรณะนั้น จะนำเธอไปสู่ทางตันของชีวิต แล้วความสงสารมิตรหญิงผู้มาจากชนบท ก็แล่นเข้าจับหัวใจเขา ขณะนั้น ละอองฝนได้กระเซ็นอยู่ทั่วกาย เพิ่มความยะเยือกใจแก่เขายิ่งขึ้น
* * *
ในวันหนึ่ง ข่าวได้เริ่มแพร่ไปในบรรดาศิษย์เก่าของท่านขุนวิบูลวรรณวิทย์ว่า ท่านได้รับตั้งเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์ ข่าวนั้นค่อย ๆ แพร่ออกไปในวงกว้างขึ้น โดยที่คุณครูท่านขุนเป็นที่รักและนับถืออย่างแน่นแฟ้นของบรรดาศิษย์ พวกศิษย์จึงติดต่อกล่าวความชื่นชมยินดีกัน และได้นำไปสู่การเสนอและปรึกษาหารือกันถึงเรื่องที่จะจัดให้มีการชุมนุมศิษย์เก่าและมีการเลี้ยงฉลองการรับตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ และก็ได้มีการตกลงกันในเรื่องนี้โดยไม่ช้า การชุมนุมได้จัดขึ้นที่โรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์ การมีเลี้ยงอาหารแบบบูเฟ่ โต๊ะอาหารตั้งเรียงรายอยู่ริมสนาม เตรียมไว้สำหรับรับรองศิษย์เก่าของคุณครูประมาณสองร้อยคน งานเริ่มเวลา ๑๘.๐๐ น.
นิทัศน์ ถูกกำหนดให้เป็นกรรมการรับรองคนหนึ่งในรุ่นของเขา บัดนี้นิทัศน์มิได้เป็นครูแล้ว หลังจากที่สอบไล่ได้ปริญญาธรรมศาสตร์บัณฑิต เขาได้ย้ายไปรับราชการเป็นจ่าศาล รอคอยเวลาที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาต่อไป เช่นเดียวกับจันทาที่ได้ย้ายเข้ากรมอัยการแล้ว นิทัศน์ได้มาถึงโรงเรียนก่อน ๑๘.๐๐ น. เพื่อตรวจตราสถานที่และเตรียมพร้อมในการรับรอง เขาเป็นคนทำงานด้วยความสำนึกในความรับผิดชอบ และออกจะเข้มงวดในการตระเตรียมการต่าง ๆ ให้ดีที่สุดที่จะดีได้ ดังนั้นเขาจึงมีท่าทีดุจเป็นหัวหน้าคนหนึ่งโดยที่เขามิได้ตั้งใจ มิตรสหายนิยมนับถือในสติปัญญาและความเอางานเอาการของเขา แต่ในขณะเดียวกันก็มีมิตรสหายบางคน ที่ไม่ชอบทำอะไรจริงจัง ได้บ่นถึงความเข้มงวดของเขา
แขกทยอยกันมาเรื่อย ๆ ภายในเวลาหกโมงครึ่งก็แทบจะมากันพร้อมเพรียง คุณครูท่านขุนยืนรับคารวะ และการปฏิสันถารแสดงความยินดีของศิษย์ด้วยใบหน้าอันอิ่มเอิบ ในความรักและความกตัญญูที่ศิษย์ทั้งหลายได้แสดงต่อท่าน ใบหน้าเช่นนี้ศิษย์ไม่ใคร่จะมีโอกาสได้พบในเวลาที่เรียนหนังสืออยู่กับท่าน ที่พวกเขาได้พบอยู่เป็นประจำนั้น คือใบหน้าอันคร่งขรึม แม้ในยามแห่งความอิ่มเอิบใจนี้ พวกเขาก็ยังจำอาการชายชำเลืองอันว่องไวและคมของท่านได้ ซึ่งศิษย์ทุกคนไม่ไว้ใจเลยว่าความซุกซนของเขาที่ลอบกระทำกันในห้องเรียน เป็นต้นว่าการงัดขนมออกมาแบ่งกันกิน จะรอดจากการชายชำเลืองของท่านไปได้ ศิษย์บางคนได้พูดสัพยอกครูว่า “ในวันนี้ถ้าพวกผมทำอะไรผิดไปบ้าง คุณครูคงจะไม่เรียกไปตีที่หน้าโต๊ะอาหารนะครับ” คุณครูก็ยกมือขึ้นตบไหล่เขา พลางพูดพร้อมกับหัวเราะน้อย ๆ ว่า “วันนี้เชิญพวกเธอสนุกกันให้เต็มที่ เชิญพวกเธอตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจครู”
ครูเป็นคนค่อนข้างบอบบาง แต่กำลังงานของครูแข็งแกร่งเกินตัว ครูไม่แสดงความเบื่อหน่ายเหน็ดเหนื่อยในการทำงานเลย ครูรักการสอนหนังสือเป็นชีวิต ครูรู้สึกพวกเด็กนักเรียนเหมือนกับบุตรของครู ปรารถนาให้เขาทุกคนได้บรรลุความดีและความเจริญในชีวิตยิ่งไปกว่าครู ครูเคยพูดว่าอาชีพของครู เป็นอาชีพที่พวกศิษย์จะผ่านหน้าครูไป แต่ครูก็ยินดีที่จะอยู่ข้างหลัง เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมให้ศิษย์ทั้งหลาย ได้ผ่านครูไปสู่ตำแหน่งแห่งที่ซึ่งสูงยิ่งไปกว่า คำพูดอันจริงใจของครูเช่นนี้ เป็นที่จับใจศิษย์และทำให้ศิษย์ทั้งหลายไม่ลืมความรักและความนับถือในครูผู้น่ารักของเขา นอกจากนี้ความมีอาวุโสและคุณวุฒิในวิชาชีพของครู ยังเป็นที่ปรากฏแก่คนทั้งหลายว่า ครูมิใช่คนที่ยึดมั่นอยู่กับความคิดและประเพณีเก่า ๆ อย่างดื้อดึง ครูเป็นผู้สนใจศึกษาเหตุการณ์ และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เป็นไปในโลก แม้ว่าครูอาจจะไม่เข้าใจมัน และบางทีก็อาจไม่ชอบมัน แต่ครูก็ไม่ปฏิเสธความจริงที่มันได้มาปรากฏขึ้นแล้วเท่ากับแสดงว่ามันจะอยู่ต่อไป คุณสมบัติเหล่านี้รวมกันทั้งหมด ได้ส่งครูขึ้นสู่ตำแหน่งอาจารย์ใหญ่
พวกศิษย์เมื่อได้ทักทายปราศรัยกับครูแล้ว ต่างก็จับกลุ่มชุมนุมคุยกันตามรุ่นของตน ในวันนั้นครูได้สั่งให้เปิดตึกเรียนที่เป็นตึกของนักเรียนชั้นสูง เพื่อว่าพวกศิษย์จะได้ไปชมห้องเรียนที่เขาได้เคยนั่งเรียนมากับครู และชมสถานที่ที่เขาได้เคยอยู่มาคนละหลายปี พวกศิษย์ต่างจับกลุ่มกันชมห้องเรียน บางคนก็ชมห้องเรียนของตัว แล้วก็ร้องอวดแก่กัน บ้างก็เดินชมสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่เขาได้คุ้นเคยมาในวัยเยาว์ แล้วก็พูดคุยกันถึงวันเวลาอันสวยงามในอดีต หลังจากนั้น เขาก็มาจับกลุ่มสนทนาในสนาม ที่โต๊ะเครื่องดื่มก็มีคนออกันอยู่ไม่ขาด
พวกศิษย์รุ่นเดียวกับนิทัศน์ที่เคยรู้จักเขามาแล้ว ก็ได้มาชุมนุมหลายคน พวกที่ไปศึกษาในต่างประเทศได้กลับกันมาหมดแล้ว มิตรคู่แรกในรุ่นเดียวกันที่นิทัศน์ได้มีโอกาสต้อนรับ คือ จันทา เซ้ง แม้ว่าเซ้งจะออกจากโรงเรียนเสียก่อนที่จะเรียนกับครูท่านขุน แต่เขานับถือท่านเป็นครูในฐานะที่เคยแนะนำในการเขียนหนังสือให้เขา นอกจากนั้น เขาก็ใคร่จะได้พบกับมิตรเก่า ๆ ที่ได้เคยเรียนกันมานานปี มีมิตรบางคนที่เคยขอคำอธิบายบทเรียนจากเขา และจำความกรุณาของเขาได้เข้ามาทักทายยกยอบุญคุณของเขา เขาก็รู้สึกเป็นสุข แต่ไม่วายกระดาก เพราะว่ามิตรเป็นผู้มาจากตระกูลผู้ดี และในปัจจุบันมีฐานะในการงานเหนือว่าเขา มิตรบางคนที่เคยนำนาฬิกาไปให้เขาแก้ ได้เข้ามาไต่ถามถึงโชคชะตาของร้านแก้นาฬิกาของเขา เมื่อเขาตอบอ้อมแอ้มว่า เขาเปลี่ยนอาชีพจากนายช่างแก้นาฬิกา ไปเป็นนักเขียนเสียแล้ว มิตรผู้นั้นก็ร้องไชโยให้แก่อาชีพใหม่ของเขาและซักถามถึงรายละเอียดในการดำเนินอาชีพใหม่ของเขาด้วยความทึ่ง ในขณะที่ศิษย์กลุ่มน้อย ๆ ในรุ่นของนิทัศน์นั่งบนเก้าอี้ล้อมวงสนทนากันอยู่ที่สนาม มีรถยนต์เก๋งเลี้ยวเข้ามาในโรงเรียน เมื่อประตูรถเปิดออก มีชายหนุ่มร่างระหง ผิวพรรณผุดผ่อง ใบหน้างามหวาน ก้าวลงมาจากรถ ด้วยท่าทีแช่มช้อยและสง่า ดวงตาหลายคู่จ้องจับไปที่เขาเป็นจุดเดียวกันด้วยความรู้สึกชื่นชมและทึ่ง เครื่องแต่งกายชุดสากลของเขาสีน้ำตาลอ่อน เป็นผ้าเนื้อดีจากต่างประเทศซึ่งคนอื่น ๆ ไม่ใคร่จะได้พบเห็น เนคไทสีน้ำตาลแก่จุดขาว ผูกไว้ที่คออย่างบรรจง และดูงามเด่นกว่าเน็คไทบนคอของทุกคน ผ้าเช็ดหน้าสีนวลที่แลบออกมาจากกระเป๋าข้างซ้ายได้เพิ่มสีสรรพ์ของเครื่องแต่งกายให้สะดุดตาขึ้น
“ศิริลักษณ์” จันทาร้องขึ้น
“เขาเพิ่งกลับจากอังกฤษ” เซ้งเสริม “หนังสือพิมพ์ของฉันลงข่าวการกลับของเขาเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาเป็นเนติบัณฑิตอังกฤษ”
“ฉันหวังว่าศิริลักษณ์จะเป็นฝ่ายประชาธิปไตย” นิทัศน์ตั้งความปรารถนา.