๑๐
เมื่อได้ลงมือรับประทานอาหาร และสนทนาไต่ถามทุกข์สุขจากกันและกันไปได้พักใหญ่ ความรู้สึกสนิทสนมอันเก่าระหว่างคนทั้งสองก็ค่อย ๆ กลับมาหาจันทา ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายนำในการสนทนา ครั้นได้ฟังเรื่องราวและความเปลี่ยนแปลงอันน่าเศร้าภายในบ้านปราสาทจากปรางพอสมควรแล้ว จันทาก็หันการสนทนาไปสู่เรื่องที่ก่อความพิศวงงงงวยให้แก่เขาเป็นนักหนา และเป็นเรื่องที่เขากระหายอยากรู้ คือเรื่องชีวิตของแม่เพื่อนสาวของเขาเอง
“ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคุณวัชระเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามฉันมิตรเก่า “พี่คิดว่า เธอได้ประสบโชคดีตามที่เธอได้ใฝ่ฝันไว้”
นัยน์ตาของหญิงสาววาววาม เธอกลืนตีนเป็ดที่กำลังเคี้ยวอยู่ลงไปในลำคอโดยเร็ว แล้วก็วางตะเกียบ พลางเอากระดาษซับที่ริมฝีปากเหมือนจะเตรียมตัวเข้าสู่การสนทนาอันยืดยาว
“ถูกละจ้ะ พี่จัน ฉันประสบโชคดี ฉันถูกล้อตเตอรี่จ้ะ แต่มันก็ไม่ยักใช่รางวัลที่หนึ่ง” หญิงสาวตอบ ยิ้มพราย
“ไม่ใช่” ฝ่ายชายทักท้วง “พี่ไม่ได้ถามเธอถึงเรื่องการแทงล๊อตเตอรี่”
ปรางหัวเราะงอ
“ก็ฉันบอกพี่ว่าจะเล่าเรื่องการแทงล๊อตเตอรี่เมื่อไหร่ล่ะ เขาพูดเปรียบเทียบหรอกจ้ะ พี่จันมัวแต่ซื่อตลอดศกอยู่ยังงี้ เมื่อไรถึงจะทันคนเขาล่ะ”
จันทาก็อดขันความซื่อหรือความเซ่อของตัวเองไม่ได้ เขาหัวเราะหึ ๆ
“ต่อไปซิ แม่ปราง” เขาพูดพลางเอาตะเกียบปล้ำงัดเนื้อปลากะพงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อหญิงสาวช่วยเอาซ่อมสะกิดให้เนื้อปลาหลุดออกมาสองชิ้นเขาก็เอาตะเกียบคีบชิ้นหนึ่งใส่ปาก แม้ว่าเขาจะไม่คุ้นกับอาหารจำพวกที่ท่านผู้ดีมีเงินท่านกินกัน แต่เขาก็ยอมรับว่ามันเป็นอาหารที่มีโอชารสอย่างวิเศษ
“โชคดีที่ฉันประสบนั้น มันไม่ตลอดรอดฝั่ง ฉันได้เป็นเมียคุณวัชระสมปรารถนา” ประกายแห่งความเปรมปรีดิ์ฉายอยู่ในดวงตาของหญิงสาวที่เหม่อมองออกไปข้างหน้า “แต่ในเวลาไม่นานคุณวัชระก็ทิ้งฉัน”
“คนใจดำ!” จันทาร้องขึ้น
“อย่ากล่าวโทษคุณวัชระเช่นนั้นเลย, พี่จัน อย่าว่าคุณเป็นคนใจดำ” หญิงสาวรีบร้องห้าม ในแววตาวาววามด้วยความคิดคำนึงถึงความหลัง เธอเหลือบตาขึ้นข้างบน และพูดต่อเหมือนหนึ่งจะรำพึงแก่ตนเอง
“คุณวัชระเป็นลูกผู้ดีมีตระกูล เป็นผู้ดีชั้นสูง เป็นเจ้าเป็นนายของฉัน คุณเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ ตัวฉันเหมือนหิ่งห้อย คุณเหมือนดวงเดือน ฉันเหมือนหยาดน้ำค้างที่เกาะอยู่ตามใบหญ้า คุณเหมือนมหาสมุทร ฉันเหมือนกับสายน้ำในลำห้วยเล็ก ๆ เมื่อพระอาทิตย์มาฝากรักกับหิ่งห้อย และรับเอาหิ่งห้อยเป็นเมียของท่านนั้น บุญคุณของท่านย่อมล้นเกล้า”
“ในระบอบประชาธิปไตยที่ฉันเล่าเรียนมา ไม่มีการเปรียบเทียบเช่นนี้” จันทาแย้ง “ในระบอบประชาธิปไตย ทุกคนไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใด ย่อมมีฐานะเสมอกันตามกฎหมาย ผู้ที่ทอดทิ้งภรรยาของตน ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นไหน ย่อมถือว่าเป็นผู้กระทำผิดศีลธรรมเสมอกัน”
“ความรู้แบบสมัยใหม่ของพี่ ไม่เหมือนกับความรู้ที่ฉันได้เรียนมาจากคุณลมัย ฉันไม่อาจจะคิดเห็นไปเช่นนั้นได้ ฉันคิดเห็นได้แต่ว่าคุณวัชระได้ลดตนถ่อมตนลงมาแต่งงานกับฉัน”
“คุณวัชระทำเช่นนั้น เพื่อเห็นแก่เธอ หรือเพื่อความสุขสำราญของคุณวัชระ” เพื่อนชายขัดขึ้น
“เราต่างก็สุขสำราญด้วยกัน” ความฝันถึงความสุขในอดีตฉายอยู่ในดวงตา เมื่อหญิงสาวกล่าวถ้อยคำประโยคนั้นออกมา
“พี่คิดว่า คุณวัชระเป็นผู้ทำลายเธอ”
“คุณเป็นผู้เชิดชูฐานะของฉัน การที่คุณเลือกฉันเป็นเมียคุณได้ให้ความเชิดหน้าชูตาแก่ฉัน”
“แล้วแม่ปรางจะมีคำชมเชยให้แก่คุณวัชระอย่างไร เมื่อตอนที่เขาทิ้งเธอ?”
“ฉันไม่ติเตียนคุณวัชระหรอก, พี่จัน คุณเป็นคน คนละชั้นกับเรา คุณมาจากฟ้า ฉันมาจากดิน ฉันเห็นใจและเห็นเหตุผลของคุณที่ไม่อาจรับฉันเป็นภรรยาโดยเปิดเผยได้ เมื่อถึงเวลาที่คุณจะต้องแต่งงานกับคุณสุภาพสตรีผู้หนึ่ง คุณจึงแยกจากฉันไปคุณบอกว่า ถึงเวลาที่คุณจะต้องตั้งหลักฐาน คุณไม่อาจจะแต่งงานกับฉัน ซึ่งมีฐานะแตกต่างกับคุณมาก คุณจำเป็นจะต้องแต่งงานกับสุภาพสตรีซึ่งเป็นคนชั้นเดียวกัน คุณเชื่อว่าฉันจะเห็นใจ”
“แล้วในส่วนที่แม่ปราง ต้องเสียความบริสุทธิ์ไป และต้องถูกทิ้งขว้างโดยไม่มีความผิดอะไร จะต้องถูกปล่อยให้ผจญชีวิตไปตามยถากรรมนั้น คุณวัชระว่ากระไรบ้างเล่า?” จันทาตั้งคำถามด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง คิ้วของเขาขมวด
ฝ่ายหญิงมองดูเพื่อนชายด้วยความรู้สึกสนเท่ห์
“เมื่อดูพี่จันแต่ภายนอก ฉันคิดไปว่า พี่จะเหมือนกับพี่จันคนเดิม แต่เมื่อได้สนทนากับพี่นานเข้า ฉันจึงเห็นว่าพี่จันเปลี่ยนแปลงไป พี่ดูเหมือนจะกลายเป็นคนชอบเอาเรื่องเอาราวกับผู้อื่นไปเสียแล้ว”
“จะว่าพี่ชอบหรือไม่ชอบ มันพูดยากนะ แม่ปราง” เขาพูดช้า ๆ
“พี่รู้สึกว่า เราควรจะสนทนาในเรื่องราวของบุคคลที่ก่อความทุกข์ยากเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เพื่อว่าเราอาจจะหาทางป้องกันมิให้การกระทำเช่นนั้นลุกลามต่อไป”
“พี่ไปได้นิสัยเช่นนี้มาจากไหน?” หญิงสาวยิ้มอย่างรู้สึกขัน
“แม่ปรางก็เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเหมือนกัน เธอได้ความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นมาจากที่ไหนเล่า?” เขาย้อนถาม
“ฉันก็บอกไม่ถูกจ้ะ พี่จัน” ปรางตอบจริงใจ “ฉันเองก็ไม่ทราบว่า ตัวเองได้เปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด บางทีสิ่งที่ฉันได้ยินได้ฟังจากคนนั้นคนนี้ ได้พบได้เห็นจากที่นั่นที่นี่ มันอาจจะชักจูงฉันไปก็ได้กระมัง บางทีก็เป็นโดยฉันตั้งใจจะรับเอาไว้ เช่นคำสั่งสอนที่คุณลมัยได้ให้แก่ฉัน และบางทีก็อาจเป็นไปโดยที่ฉันมิได้ตั้งใจ ฉันตอบไม่ถูกหรอกพี่จัน”
“ถ้าแม่ปรางเห็นพี่เปลี่ยนแปลง พี่ก็คงจะได้ความเปลี่ยนแปลงมา ในทำนองเดียวกับที่เธอได้มันมาเหมือนกัน”
“แต่พี่กับฉันไม่เหมือนกันเลย ความคิดของพี่กับของฉันแตกต่างกันมาก”
จันทานั่งนึกตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงตอบว่า
“มันอาจจะเนื่องจากว่า เพราะเธอกับพี่ได้ยินได้ฟังมาคนละแห่งคนละทาง เพราะการดำเนินชีวิต และการคบหาสมาคมผู้คนของเธอกับของพี่แตกต่างกัน”
หญิงสาวผงกศีรษะรับฟังคำของเขา แล้วก็ชวนเขารับประทานอาหารต่อไป แสดงว่าเธอไม่สนใจในปัญหาที่สนทนากันอยู่ เธอก็เช่นเดียวกับคนทั้งหลาย โดยมากไม่สนใจว่า เธอและใคร ๆ ได้เปลี่ยนแปลงในนิสัยใจคอ และความคิดความอ่านมาจากที่ไหน และเธอก็ไม่สนใจว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น มันจะนำเธอและใครๆ ไปสู่ที่ใด ที่เธอตั้งคำถามในเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพียงแต่ว่าคำถามได้โผล่ขึ้นมาตามราวของการสนทนา โดยที่เธอไม่ได้ตั้งใจ
แต่จันทาไม่ได้มีความคิดเห็นอย่างเธอ เขาไม่ปล่อยให้การสนทนาเลื่อนไหลไปตามเพลงของมัน เขาสนใจใคร่ทราบเรื่องราวของมิตรหญิงโดยละเอียด เมื่อก้มหน้ารับประทานอาหารต่อไปตามคำเชิญของมิตรได้ครู่หนึ่ง เขาก็วางตะเกียบลงที่ขอบจานอาหารและกล่าวเตือนขึ้นว่า
“เล่าเรื่องของแม่ปรางต่อไปอีกซีจ๊ะ และอย่าลืมตอบคำถามที่พี่ได้ถามไว้ว่า คุณวัชระคิดถึงเธออย่างไรบ้าง เมื่อคุณวัชระได้ทิ้งขว้างเธอ”
“พี่จัน, อย่าคาดคั้นเอาผิดกับคุณวัชระเลย” สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นเศร้าเป็นครั้งแรก “บุญฉันน้อยลง จึงได้เสียเป็นเมียคุณในชั่วเวลาอันไม่นาน คุณบอกว่า คุณจำเป็นจะต้องแต่งงานกับสุภาพสตรีผู้หนึ่งแทนที่จะแต่งงานกับฉัน เพราะเหตุว่า ถ้าไม่ทำเช่นนั้น คุณหญิงอาจจะโกรธมาก และอาจจะตัดเธอออกจากผู้รับมรดก และคุณยังได้บอกฉันว่า คุณรักฉันยิ่งกว่าสุภาพสตรีที่คุณจะแต่งงานด้วย ฉันเศร้าโศกเสียใจที่ได้เสียคุณวัชระไป แต่ฉันก็ไม่มีถ้อยคำที่จะตำหนิติเตียนคุณเลย ฉันเห็นใจคุณ และมีแต่คิดถึงบุญคุณของคุณ”
จันทารู้สีกว่า เขาไม่อาจจะเหนี่ยวรั้งความรู้สึกที่เห็นแก่ความยุติธรรมไว้ได้ เขาจึงจำต้องกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้ออกมา
“แต่คุณวัชระไม่ได้เห็นใจแม่ปรางเลย คุณวัชระดูแลป้องกันความมั่นคงในอนาคตของคุณวัชระอย่างเต็มที่ แต่มิได้คิดถึงอนาคตของแม่ปรางเลย คุณวัชระกระทำต่อแม่ปรางอย่างไม่เป็นธรรม”
“คุณมีบุญคุณต่อฉัน” หญิงสาวยืนยัน
และเมื่อได้ฟังคำยืนยันของมิตรหญิงเช่นนั้น ชายหนุ่มแทบจะกลืนอาหารไม่ลง เขาได้แต่ก้มหน้าลงไปที่ชามข้าวต้มนกกระทา และตักข้าวต้มนกกระทาอันกล่าวกันว่าเป็นข้าวต้มอย่างวิเศษใส่ปาก โดยแทบจะไม่รู้สึกว่ามันมีรสชาติอย่างไร เขารู้สึกขุ่นเคือง และเศร้าใจระคนกันที่มิตรสาวของเขาไม่อาจมองเห็นความอยุติธรรมและความเหยียดหยามชีวิตที่เธอได้ประสบมาในชีวิตของเธอเอง เขาเศร้าใจเมื่อนึกต่อไปว่าจะมีสตรีอีกมากมายสักเท่าใดที่ได้ประสบชะตากรรม เช่นที่มิตรหญิงของเขาได้ประสบมา แล้วก็ยังคิดเห็นใจและเทิดทูนบุญคุณผู้ที่เหยียดหยามและประทุษร้ายชีวิตของเธออีกเล่า จันทาได้พบเป็นครั้งแรกว่า อิทธิพลของประเพณีช่างยึดน้ำใจคนไว้อย่างเหนียวแน่นเพียงไร อิทธิพลของประเพณีทำให้ผู้คนยอมรับความอยุติธรรมที่มีอยู่ในประเพณีนั้นเองอย่างชื่นตาชื่นใจ และยังพร้อมที่จะป้องกันมิให้ใครมาติเตียนหรือทำลายความอยุติธรรมนั้นเสียอีกด้วย จันทานึกถึงนิทัศน์ ถ้าเขามาได้ฟังเรื่องราวของปราง และคำพูดป้องกันคุณวัชระจากเธอ เขาคงจะแค้นเคืองมากทีเดียว และเขาคงจะพูดหักล้างคำพูดของปรางอย่างตรงไปตรงมา และเขาคงจะทำให้ปรางเห็นเท็จและจริงได้ ยิ่งกว่าที่จันทาจะสามารถกล่าวได้
เพื่อที่จะดึงจันทาออกมาจากความครุ่นคิดถึงเรื่องของวัชระ จนทำให้เขาเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง และเพื่อที่จะให้การสนทนาวิสาสะดำเนินไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า ปรางได้จัดแจงเติมเบียร์อีกสองแก้ว จันทายอมรับแก้วเบียร์แก้วที่สองมาดื่มโดยดี เขาไม่ทราบว่าทำไมเขาจึงไม่ปฏิเสธ เขารู้สึกว่า การพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจด้วยการสนทนาไต่ถามทุกข์สุข และการเชิญชวนให้รับประทานสิ่งนี้สิ่งนั้น ที่ปรางได้ปฏิบัติต่อเขาตลอดเวลานั้น เป็นรสใหม่ในชีวิตของเขา อาหารที่เขาไม่เคยรับประทานมาก่อนก็มีโอชารส รสเบียร์ก็กลมกล่อม และให้ความชุ่มชื่นอย่างพิกล ทั้งหมดนี้ได้น้อมใจเขาไปในทางเพลิดเพลิน ทำให้เขารู้สึกสบายที่มีรสใหม่และพอใจที่จะนั่งสนทนากับเพื่อนสาว นานเท่าใดก็ไม่เบื่อหน่าย ภายหลังที่ได้ดื่มเบียร์แก้วที่สองแล้ว ความรู้สึกขุ่นเคืองได้จางไปจากสีหน้าของเขา และความรู้สึกแช่มชื่นได้เข้ามาแทนที่ ปรางได้บรรยายเรื่องของเธอด้วยอาการแจ่มใสร่าเริงต่อไป และจันทาก็ได้ฟังด้วยความสนใจ
ปรางได้พรรณนาถึงชีวิตอันแสนสำราญเป็นเวลาหนึ่งปี ที่เธอได้ร่วมชีวิตสามีภรรยากับคุณของเธอ วัชระจัดแจงให้เธอได้มีชีวิตอิสระในบ้านเช่าที่น่าอยู่หลังหนึ่ง ในฐานะคุณนายที่มีบ่าวผู้หญิงคนหนึ่ง และบ่าวผู้ชายที่มีอายุคนหนึ่ง กิจของคุณนายปรางค์ก็มีอยู่แต่การปรนนิบัติบำเรอให้คุณผู้ชายเป็นสุขเท่านั้น และปรางก็มีความสุขความเพลิดเพลินอย่างดื่มต่ำในฐานะอันใหม่นี้ ปรางบอกกล่าวแก่เพื่อนเก่าชาวชนบทว่า ในระหว่างเวลาที่ใช้ชีวิตเช่นนั้น เธอรู้สึกประหนึ่งว่าได้สถิตอยู่ในวิมานแมน เพียงแต่ว่าวิมานนั้นได้ทลายไปในชั่วเวลาเพียงหนึ่งปี คุณของเธอได้นำเธอเข้าสู่วงสมาคมของพวกบุรุษสตรีที่เปิดการชุมนุมขึ้น เพื่อที่จะเอาชีวิตทอดลงไปในกระทะแห่งความสุขสำราญ ที่มีน้ำมันเดือดเป็นฟอง จนกระทั่งชีวิตนั้นกรอบเกรียมและไหม้ เมื่อผ่านชีวิตเช่นนั้นมาได้หนึ่งปีปรางก็เต้นรำได้คล่อง ได้เรียนรู้ศิลปในการแต่งกาย ในการเจรจาพาที และการแสดงกิริยาท่าที อันเป็นที่นิยมกันว่าสง่างามในหมู่คนพวกนั้น และชื่อเสียงของปรางก็เป็นที่รู้จักกันในหมู่คนพวกนั้น ว่าเป็นสตรีที่มีเสน่ห์น่ารักคนหนึ่ง คุณธรรมบางอย่างที่ปรางได้มาจากชีวิตชนบท แม้ว่าจะจางไป แต่ก็ยังคงเหลืออยู่บ้าง ทำให้เธอมีความน่ารักยิ่งกว่าสตรีแห่งเมืองหลวงหลายคนในวงสมาคมประเภทนั้น
เมื่อวัชระตัดเธอจากความต้องการของเขาแล้ว เธอก็เป็นเหมือนว่าวที่ขาดลอย เธอได้ใช้ชีวิตระหกระเหินของนางเต้นรำอาชีพอยู่ระยะหนึ่ง เพราะจะกลับไปอยู่กับคุณลมัย ร่วมชายคาเดียวกับคุณหญิงก็ไม่ได้ ด้วยคุณหญิงได้ตั้งรังเกียจเสน่ห์ของ ‘อีปราง’ และการที่ไม่อาจจะรับปรางมาอยู่ร่วมบ้านได้นั้น ก็เป็นเหตุข้อหนึ่งที่ทำให้คุณลมัยต้องแยกทางจากคุณหญิง ในระหว่างที่มาอยู่กับคุณลมัย ในฐานะเสมือนบุตรบุญธรรมของนาง และปรางก็ยังคงดำเนินอาชีพเป็นนางเต้นรำอยู่นั้น เธอได้พบกับนายธนาคารผู้หนึ่ง ซึ่งรู้จักเธอแต่สมัยที่ยังเป็นเมียเก็บของวัชระ และเคยนิยมเธอมาแต่ครั้งนั้น เมื่อเขาทราบว่าเธอกำลังว่างคู่ครอง เหตุนั้นภายหลังที่ได้มาพบ และเลือกเธอเป็นคู่เต้นรำได้สามราตรี เธอก็ได้รับคำเชิญให้เป็นเมียเก็บของเขา ปรางก็สละอาชีพของนางเต้นรำและกลับสู่ฐานะของคุณนาย และมีบ้านอยู่เป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง
“ฉันทั้งเกลียดและกลัวชีวิตของชาวบ้านนอก ฉันอยากมีชีวิตอย่างพวกนางฟ้า ตามที่ฉันได้ยินได้ฟังมาแต่ยังเด็ก ๆ และเดี๋ยวนี้ฉันก็ได้เป็นนางฟ้าที่สถิตอยู่ในวิมานอีกครั้งหนึ่งแล้ว” เธอลงท้ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“แม่ปรางคิดว่า จะอยู่ในวิมานไปได้นานสักเท่าใด? คิดว่าสามีใหม่ของเธอ เขารักเธอจริงๆ หรือ?” จันทาถามด้วยความห่วงใย
“ฉันไม่รู้ทั้งสองอย่าง” ปรางตอบอย่างเห็นเป็นเรื่องที่ไมมีปัญหาอะไร
“แล้วทำไมเธอจึงยอมเป็นเมียเขา?”
“เพราะฉันเกลียดและกลัวความลำบากยากจนในชีวิต ฉันเคยเกลียดกลัวความลำบากยากจน ที่ฉันได้พบมาในสมัยที่เป็นเด็กบ้านนอกอย่างเข้ากระดูก ฉันต้องการจะหนีไปจากชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากทรมาน ฉันจึงยอมเป็นเมียเก็บของเขาด้วยความเต็มใจ”
“ถ้าแม่ปรางถูกเขาทอดทิ้งเหมือนอย่างที่คุณวัชระได้กระทำต่อเธอ?” เขาถามด้วยความอยากรู้ว่า เธอได้ตระเตรียมตัวไว้อย่างไร
“ก็สุดแต่บุญกรรมเถอะ, พี่จัน ฉันก็ไม่รู้ว่าชีวิตข้างหน้ามันจะเป็นอย่างไร ฉันได้แต่จะหาความสุขไปวันหนึ่ง ๆ เมื่อมีโอกาส เหมือนอย่างที่คนทั้งหลายเขาประพฤติกัน” หญิงสาวตอบเสียงเบา มีความรู้สึกไม่ปลอดโปร่งใจอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“แม่ปรางใช้ชีวิตของเธอ เหมือนกับเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการพนัน” ในน้ำเสียงของเขามีทั้งความรู้สึกห่วงใยปรานี และการตำหนิระคนกัน “เธอต้องอยู่อย่างเสียงโชคเสี่ยงภัยตลอดเวลา พี่คิดว่าชีวิตของมนุษย์ควรได้รับการยกย่องนับถือสูงกว่านั้น”
หญิงสาวยกมือทั้งสองขึ้นลูบหน้าและลูบผมทั้งสองข้างอย่างละมุนเหมือนกับจะพยายามปิดความคิดบางอย่างที่มารบกวนจิตใจของเธอออกไปจากศีรษะ
“พี่จันอย่ามาชวนให้ฉันคิดถึงเรื่องชีวิตเลย ฉันไม่เคยคิดว่าการใช้ชีวิตที่ดีและเลวเป็นอย่างไร ฉันคิดถึงแต่ว่า จะทำอย่างไรชีวิตของฉันจึงจะไม่ประสบกับความทุกข์ยากเหมือนอย่างชีวิตของคนบ้านนอกที่ฉันได้เห็นและได้รู้รสมา จะตะเกียกกะกายหนีมันไปให้ไกลได้เท่าใด ฉันก็เอาทั้งนั้น เมื่อไม่มีทางอื่นก็ต้องเลือกเอาทางที่เหมือนกับเข้าไปนั่งอยู่ในบ่อนการพนัน และเอาชีวิตวางลงเป็นเดิมพันอย่างที่พี่จันว่า ฉันไม่มีอะไรจะวางลงไปนี่ พี่จันจ๋า นอกจากเนื้อตัวนอกจากชีวิตของฉันเอง”
พอเขานำไอสกรีมเยลลี่สองแก้วมาตั้งลงบนโต๊ะ หญิงสาวก็ร้องขึ้นพร้อมด้วยสีหน้ายิ้มย่อง
“อย่าไปคิดถึงมันเลยจ้ะ, พี่จัน มากินไอสกรีม และคุยเรื่องเพลินๆ กันเถอะ”
ก่อนจะลงมือตักไอสกรีม ชายหนุ่มพึมพำออกมาด้วยเสียงอันเศร้าว่า “บางทีเมื่อคนเรารู้ว่า ชีวิตที่ดีเป็นอย่างไรแล้ว เขาก็ยังไม่มีโอกาสที่จะใช้มัน”