๙
ขณะที่เดินเบียดเสียดฝูงชนออกมาจากโรงภาพยนตร์ในยามค่ำ จันทาได้เดินกระทบสุภาพสตรีผู้หนึ่งที่ลงบันไดมาจากที่นั่งชั้นบน เขาจึงเงยหน้าหันไปทางสุภาพสตรีผู้นั้น ๆ และกล่าวคำขอโทษ เธอจ้องหน้าเขาแวบหนึ่งแล้วก็ร้อง “วุ๊ย!” และมียิ้มอันเปล่งปลั่งติดตามเสียงอุทานหวานนั้นมาโดยพลัน จันทาคิดว่าได้ทำให้เธอตกใจจึงกล่าวคำขอโทษซ้ำ พลางขยับเท้าก้าวเดินต่อไป พอจะย่างก้าวที่สอง ก็แว่วเสียงหวานร้องตามมาข้างหลังว่า “นั่นพี่จันนี่จ๊ะ!”
จันทาสะดุ้ง และขณะที่เขาหันหน้ากลับมา ชะแง้หาเจ้าของเสียง เขาก็ถูกเบียดออกไปนอกฝูงชน เขายืนงงอยู่ที่ริมทางครู่หนึ่ง สุภาพสตรีเจ้าของเสียงอุทานหวาน ก็แหวกกลุ่มคนออกไปปรากฏอยู่เบื้องหลังเขา
“พี่จัน” เจ้าของเสียงยิ้มอีก “จำฉันไม่ได้แล้วหรือ?”
จันทาทั้งตื่นและตะลึงไป เบื้องหน้าเขาจะเป็นใครก็ตาม แต่ที่ได้ปรากฏแก่สายตาและความรู้สึกของเขาในขณะนั้นก็คือ สตรีสาวผู้มีท่วงทีเป็นผู้ดี แม้ว่าจะดูปราดเปรียว ความงามขำแผ่คลุมไปทั่วสรรพางค์ผิวคล้ำ ทรวดทรงอันโสภาพึ่งผาย ได้รับการเปิดเผยออกมา จากผ้าถุงสีกรมท่าที่รัดกุม และเสื้อแพรสีไพรอันยวนตา ดวงหน้าแฉล้มอิ่มเอิบ ดวงตาหยาดเยิ้มด้วยเสน่ห์ ทรงผมทันสมัยรับกับความพริ้มเพราของวงหน้า ภาพอันงามเฉิดฉายสะกดจิตเขาให้ตะลึงไป และพูดไม่ออก
“พี่จันจำฉันไม่ได้หรือ ?”
เสียงทักทายปลุกให้ตะลึง เขารู้สึกประหนึ่งว่าเสียงนั้นได้กังวานมาจากทางไกล
“เธอหรือ แม่ปราง ?” เขาพึมพำออกมาอย่างไม่เต็มเสียง เขาไม่อาจที่จะใช้สรรพนามว่า ‘เจ้า’ แก่สุภาพสตรีผู้โสภาผู้นี้ ดุจที่เขาได้เคยใช้แก่ ‘อีปรางค์’ ในกาลก่อน
คุณสุภาพสตรีผู้อรชรหัวเราะเสียงใส
“หายงงเสียทีเถอะจ๊ะ และก็หายตื่นเสียด้วย เมื่อพี่จำฉันได้แล้ว” พูดพลางหญิงสาวตรงเข้าฉวยข้อมือชาย และพูดต่อไปว่า “ออกเดินกันต่อไปเถอะ มายืนทำท่าเร่อร่ายังงี้ คนเขาจะรุมกันมองดู”
เธอจึงมือเขาออกเดินไป และเขาเดินตามไปอย่างงงงวย
“พี่จันมีนัดหมายกับใครไว้หรือเปล่าจ๊ะ?” หญิงสาวถาม เมื่อทั้งสองออกมายืนที่บาทวิถีหน้าโรงภาพยนต์
“ไม่มีครับ”
คุณสุภาพสตรีหัวเราะคิก
“อย่าพูดครับกับฉันซีจ๊ะ, พี่จัน พี่หิวหรือยัง?”
“หิวเหมือนกัน” ดวงหน้าของจันทาเหมือนกับรูปปั้น
“เราไปหาอะไรกินที่ราชวงศ์กันเถอะ”
หญิงสาวชักชวน และโดยไม่รอคำตอบ เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็น เธอกวักมือเรียกสามล้อที่กำลังผ่านมา พลางจูงมือเพื่อนชายเดินไปขึ้นรถอย่างคล่องแคล่ว
“พี่จันอ้วนขึ้น” หญิงสาวออกปากทัก เมื่อรู้สึกว่าร่างของเธอเสียดสีกับเขา ขณะที่หย่อนกายนั่งลงในรถ
จันทาขยับตัวนั่งเบียดชิดกับข้างรถเพื่อให้มีช่องว่างระหว่างเขาทั้งสอง
“นั่งตามสบายเถอะจ้ะ พี่จันกับฉันก็เหมือนกับพี่น้องกัน”
ทั้งนี้ผู้พูดได้พูดไปโดยซื่อ มิได้มุ่งหมายจะให้มีความหมายพิเศษอะไร แต่ถ้อยคำนั้น ก็ราวกับลมพายุที่หอบเอาความหลังกลับมา และกระพือวูบขึ้นในใจ
“เพราะเจ้าอ้างอ้ายความเป็นพี่เป็นน้องขึ้นมานี่น่ะซี เจ้าจึงไม่ยอมเป็นเมียพี่” ชายหนุ่มคิดคำนึง รู้สึกบาดแผลเก่าที่หัวใจเจ็บแปลบปลาบขึ้นมา
ขณะนั่งไปในรถเคียงข้างกับสาวงาม ความสัมพันธ์อันสนิทสนมในกาลก่อน ระหว่างตัวเขากับปรางก็ค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นเป็นลำดับ ความตื่นงงงวยก็ค่อยๆ ลดลง และความคุ้นเคยกับสาวงามก็ค่อยๆ กลับคืนมา แต่เขาก็ไม่วายจะรู้สึกอึกอัด เขาไม่แน่ใจว่าจะปฏิบัติตนต่อเธออย่างไร ถึงในบัดนี้เขาจะมีความแน่ใจแล้วว่าแม่สาวผู้นั่งชิดชนิดเขาอยู่นั้น คือแม่เพื่อนสาวผู้มาจากชนบท ซึ่งเคยเป็นที่รักของเขา และเป็นคนสนิทกันมาก็จริง แต่แม่โฉมฉายในเวลานี้ ก็ดูไม่แม้นเหมือนแม่ปรางคนที่เขาเคยรู้จักเลย เขารู้สึกเธอประหนึ่งว่าเธอมาจากชนชั้นอื่นที่อยู่เหนือเขาและอยู่ห่างไกลกับเขา ซึ่งในกาลก่อน เขาได้รับการอบรมสั่งสอนว่า เขาจะต้องนับถือยำเกรง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การศึกษาวิชาใหม่ๆ และการฝึกฝนใช้ความคิด โดยอาศัยเหตุผลค่อยๆคืบคลานเข้ามาแทนที่การหลับตาเชื่ออย่างงมงาย จะได้มาขัดเกลาเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดของเขาให้ผิดแผกจากเดิมไปไม่น้อยแล้วก็ดี แต่อิทธิพลของคำสั่งสอนอันเก่าแก่ก็ยังมิได้หมดสิ้นไป ดังนั้นจึงเป็นการไม่ง่ายนัก ที่เขาจะนึกถึงคุณสตรีผู้มีท่วงทีของชนชั้นที่สูงกว่าเขา เหมือนกับที่เขาจะนึกถึงแม่ปรางมิตรเก่าชาวบ้านนอกของเขา
“ตอนแรกพี่จันถึงกับจำฉันไม่ได้จริงๆ หรือ” มิตรสาวปราศรัยในระหว่างเดินทาง
จันทาเอียงหน้ามาทางคู่สนทนาเล็กน้อย แต่ก็ได้ตอบคำถามโดยมิได้สบสายตาเธอ
“ฉันจำไม่ได้จริงๆ และฉันขอโทษด้วย ฉันมิได้จะคิดจะล้อเล่นเลย”
คุณสุภาพสตรีอมยิ้ม ด้วยความพึงพอใจ
“ฉันเปลี่ยนแปลงไปมากหรือจ๊ะ?”
“มากทีเดียว” เขารับรองโดยทันที “เธอเปลี่ยนแปลงไปเกือบหมด เกือบไม่มีแม่ปรางคนเก่าเหลืออยู่เลย”
“นอกจากว่าฉันยังคงจำพี่จันได้ดี หญิงสาวพูดพร้อมกับสำรวล”
“เพราะว่าฉันก็คงเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย” หน้าของเขายังเหม่อมองไปทางอื่นมิใช่ที่ดวงหน้า หรือที่ใดที่หนึ่งบนร่างกายเธอ
“ที่จริงพี่จันก็เปลี่ยนแปลงไปบ้างเหมือนกันแหละจ้ะ” หญิงสาวติง “พี่อ้วนขึ้นและท่วงทีกิริยาก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น”
ตามร้านรวงสองข้างทางที่เขานั่งรถผ่านไป มีแสงไฟฟ้าสว่างสองข้างบาทวิถีคนมากหน้า เดินเอื่อยๆตามสบายอยู่ไปมา ผู้คนเดินเข้าออกขวักไขว้ตามร้านขายของ และมีคนเป็นกลุ่ม ๆ นั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้านอาหาร ด้วยท่าทางอันรู้สึกเอร็ดอร่อยในรสอาหาร ในขณะที่ความจำเก่า ๆ กลับคืนมาสู่เขานั้น ๆ ภาพที่เขาได้เห็นอยู่นั้น ได้สะกิดใจเขาให้ระลึกไปถึงเหตุการณ์ในวัยเด็กในคืนวันหนึ่งที่เขาได้เดินท่อมๆ ชมร้านรวงอยู่ในงานภูเขาทองด้วยความหิวโหยและน้ำลายไหล เมื่อจ้องมองดูอาหารตามร้านและตามหาบที่ตั้งขายอยู่ริมทาง โดยที่เขาไม่อาจจะกินได้เพราะเขาเป็นเด็กที่ยากจน ทั้งไม่มีแม่พ่อที่จะให้สตางค์แก่เขา เมื่อเขาเติบโตและสามารถหาเงินที่จะจับจ่ายซื้อของกินได้ด้วยตนเองแล้ว เขายังได้ทราบว่า มิใช่จะมีแต่เด็ก ๆ จำพวกเขาเท่านั้น ที่ต้องอดอยากอยู่ในพระนครอันรุ่งเรือง และในท่ามกลางสารพัดอาหารอันอุดมสมบูรณ์นี้ แม้พวกผู้ใหญ่ที่ยังชีวิตอยู่ด้วยความอดอยากปากแห้ง ก็มีอยู่มิใช่น้อยเหมือนกัน
เมื่อไปถึงราชวงศ์ คุณสุภาพสตรีสั่งให้รถจอดที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง และเดินนำจันทาเข้าไปในร้านอาหาร โดยปราศจากอาการสะทกสะเทิ้น เจ้าของร้านชาวจีนได้เข้ามาปราศรัยด้วยกิริยานอบน้อม คำปราศรัยนั้นแสดงว่าเขารู้จักมักคุ้นกับเธอเป็นอันดี ก็ยิ่งทำให้จันทาแน่ใจขึ้นว่า มิตรสาวของเขามิใช่คนเล็กน้อยเสียแล้ว เจ้าของร้านนำเธอกับชายหนุ่มเข้าไปนั่งในห้องทางตอนหลังของร้าน ซึ่งเป็นที่รับประทานอันมิดชิด
เมื่อทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว เธอก็ร้องบอกเขาด้วยเสียงใส
“วันนี้ฉันขอเลี้ยงพี่จัน ขอให้พี่เลือกสั่งอาหารตามแต่จะพอใจ”
“ฉันสั่งไม่ถูกหรอก ฉันไม่เคยเข้ามากินในร้านใหญ่ ๆ เช่นนี้ ฉันไม่รู้ว่าจะสั่งอะไร” เขาตอบอย่างซื่อตามลักษณะนิสัยของเขา
หญิงสาวส่งเมนูให้เขา
“ดูในบัญชีอาหารซีจ๊ะ พี่จะต้องการอะไรก็เลือกสั่งเอา”
เขารับเอาเมนูมาอ่านดู เขาอ่านรายชื่ออาหารในเมนูด้วยอาการตั้งใจดุจเดียวกับที่อ่านตัวบทกฎหมาย ภายหลังที่ได้อ่านไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกประหม่า และจนกระทั่งเวลาล่วงไปหลายนาที เขาก็ยังมิได้สั่งอาหารและจนกระทั่งจีนผู้รับใช้ ซึ่งยืนรอคำสั่งอยู่ต้องกล่าวคำเตือนขึ้น
เขาเงยหน้าขึ้นสบตาสาวเป็นครั้งแรก และพูดด้วยน้ำเสียงแกมวิงวอน
“ราคามันแพงเหลือเกิน มันเกินฐานะคนอย่างฉันที่จะกินมันลง ฉันมองหาอ้ายที่ราคาถูกสักหน่อย ก็ไม่พบเลย ฉันสั่งไม่ลงจริง ๆ แม่ปรางวานสั่งให้ฉันทีเถอะ”
คุณสุภาพสตรียิ้มด้วยสีหน้าแสดงความปราณี
“ชอบหูปลาฉลามไหมจ๊ะ พี่จัน?” เธอถาม
“ฉันก็ไม่รู้ว่าจะชอบหรือไม่ เพราะฉันไม่เคยกินเลยตั้งแต่เกิดมา”
“ถ้ายังงั้นก็ลองดูนะจ๊ะ ฉันรับรองว่าพี่จันจะต้องชอบแน่”
“ทำไมเธอถึงไม่สั่งเนื้อปลาฉลาม ทำไมถึงไปสั่งเอาหูมันมากิน”
ความอยากรู้เหตุผลตามนิสัยของนักศึกษาที่ได้รับอบรมในการศึกษาวิชากฎหมาย ทำให้เขาอดมิได้ที่จะตั้งคำถาม ซึ่งทำให้คุณสุภาพสตรีต้องหัวเราะน้อย ๆ ออกมา และจีนผู้รับใช้หัวเราะเสียงดัง
“พวกผู้ดีเขากินกันแต่ที่หูของมันเท่านั้นแหละจ้ะ เขาว่ามันเป็นส่วนที่น่ากินที่สุดในตัวของมัน”
จันทาพยักหน้ารับฟังคำอธิบายช้า ๆ แต่คิ้วของเขายังคงขมวดอยู่
“หูปลาฉลามสองถ้วย” หญิงสาวสั่งผู้รับใช้ “แล้วก็นกกระจิบทอด--”
“มันจะกินกันอิ่มหรือจ๊ะ แม่ปราง ตัวมันเล็กนิดเดียว?” เขาถามสอดขึ้นมาด้วยความพิศวง
“เราสั่งมากินหลาย ๆ ตัวจ้ะ แล้วเรายังจะมีอาหารอื่น ๆ อีก ตีนเป็ดผัดหน่อไม้จีน ชอบไหมจ๊ะตีนเป็ด?”
“ถ้าให้ฉันเลือก ฉับคงจะเลือดเนื้อเป็ดมากกว่า ฉันชอบเป็ดย่างที่พวกเจ๊กชายเจี๊ยะโปเขาหาบขาย”
“พวกมาที่นี่เขาชอบตีนเป็ดกันจ้ะ ปลากะพงเจี๋ยน—”
“มันหลายอย่างเหลือเกินนี่ แม่ปราง เราจะกินเข้าไปหมดหรือ ?”
“ไม่กินหลาย ๆ ๆ อย่างมันจะอร่อยหรือจ๊ะ เหลือก็ช่างมันเถอะอย่าเป็นห่วงมันเลย คนมาที่นี่ เขาก็กินกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละจ้ะ” เธอเงยหน้าสั่งจีนผู้รับใช้ “สุดท้ายเอาข้าวต้มนกกระทามากิน และใส่ไข่นกกระทาด้วยนะ”
“ทำไมถึงไม่กินไข่ไก่ล่ะ แม่ปราง?” เขาถามสอดขึ้นอีก
“ไข่นกกระทาดีกว่าจ้ะ พวกพ่อค้านายห้างเขานิยมรับประทานกัน?” หญิงสาวชี้แจงด้วยดวงหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา “พี่จันจะดื่มเบียร์หรือวิสกี้จ๊ะ”
จันทาสั่นศีรษะ พลางตอบว่า “พี่ไม่เคยกิน”
“พี่จันดูไม่ใคร่จะเป็นผู้ชายกับเขาเลย” เธอหัวเราะ “กินของดี ๆ ก็ไม่เป็น เดี๋ยวนี้ฉันเป็นผู้ชายมากกว่าพี่จันเสียอีก เบียร์อร่อยดีนะจ๊ะ ฉันได้ลองมาแล้ว ไม่ถึงกับเมาหรอกจ้ะ ถ้าดื่มไม่มากมายนักมันทำให้มึนและสบาย-----คืนนี้เราลองดื่มกันดูสักขวดหนึ่งนะจ๊ะ”
เมื่อคุณสตรีสั่งเบียร์กลอสเตอเขาก็ท้วงขึ้นว่า ทำไมไม่สั่งเบียร์ไทยก็ได้รับคำอธิบายจากเธอว่า
“พวกผู้ดีเขาไม่ลืมกันหรอกจ้ะเบียร์ไทย”
เขางวยงงต่อแบบแผนการครองชีวิตที่มิตรสาวได้แสดงให้ปรากฏแก่เขา โดยการสั่งอาหารแปลกๆ ที่เขาไม่เคยกินมาก่อนเลยในชีวิต และโดยความคิดเห็นของเธอที่มีต่อการดื่ม เขาปล่อยให้เธอจัดการไปตามความพอใจ เขาพิศวงอย่างยิ่งว่าแม่เพื่อนสาวชาวชนบทของเขาไปได้แบบแผนการครองชีวิตที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้มาจากที่ไหน
* * *
หลังจากที่เจ้าคุณอภิบาลราชธานีถูกปลดจากราชการ อันเป็นเหตุให้คุณหญิงต้องตัดทอนรายจ่ายในบ้านลงเป็นอันมากนั้น จันทาก็คิดคำนึงอยู่ว่าเขาควรจะอาศัยอยู่ในบ้าน ซึ่งค่อยๆแปรสภาพเป็นปราสาทร้างต่อไป หรือว่าควรจะกลับไปอยู่กับท่านอาจารย์ที่วัดดังเดิม และภายหลังที่เขาได้ฟังคำตัดรอนรักจากปรางได้ไม่นาน เขาก็กราบลาท่านเจ้าคุณและคุณหญิงกลับไปอยู่วัด อุปการคุณของท่านทั้งสองที่ส่งเสริมให้เขาได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดโรงเรียนหนึ่งของสยาม ทั้งยังส่งเสริมเขาให้เข้ารับราชการอีกด้วยนั้น เขาได้จดจำไว้มิรู้ลืม เหตุการณ์ภายในบ้านปราสาทหลังจากที่เขาได้ออกจากบ้านมาแล้ว ตามที่ปรางได้เล่าให้เขาฟังในระหว่างรับประทานอาหาร ประกอบกับที่เขาได้เคยทราบมาก่อนบ้างแล้ว อาจสรุปได้ดังนี้
ความเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปในทางทรุดโทรมได้บังเกิดขึ้นภายในบ้านปราสาทหลายด้านด้วยกัน ในประการแรก สุขภาพของท่านเจ้าคุณได้เสื่อมลง จากการเบียดเบียนของโรคเบาหวาน ซึ่งมักจะเป็นกันชุกชุมในหมู่ชนชั้นผู้มั่งคั่ง ทำให้สังขารของท่านผันแปรไปสู่ชราภาพโดยรวดเร็วเกินไป ความผิดหวังและความกังวลต่างๆ ที่คุณหญิงได้ปล่อยให้จิตใจของท่านต้อนรับมันเข้าไว้เกินกว่าความจำเป็นนั้น นอกจากว่าจะนำความระทมใจมาสู่คุณหญิงแล้ว ยังทำให้คุณหญิงบังเกิดความหงุดหงิดหัวเสียอยู่บ่อยๆ และบังเกิดความไม่พอใจในสิ่งต่างๆโดยง่ายจนกลายเป็นนิสัย ด้วยเหตุนั้น คุณหญิงจึงมองเห็นสิ่งต่างๆ ทั้งในบ้านและนอกบ้านเป็นเครื่องบาดหมางใจไปเสียแทบทั้งนั้น เมื่อจิตใจของผู้เป็นใหญ่ในครอบครัวตกลงสู่ภาวะเช่นนี้แล้ว ภายในบ้านก็เต็มไปด้วยความร้อนปราศจากความสงบเย็นเป็นสุข แม่ก็รำคาญลูก ลูกก็เบื่อแม่ ส่วนบริวารที่ยังไม่มีทางไปก็อยู่ไปด้วยความจำใจ ความจงรักภักดีจางลง ผู้ที่มีหนทางจะไป ก็หลีกออกไป วัชระบุตรคนโต ซึ่งได้รับเลี้ยงดูแบบพะเน้าพะนอ ตามใจมาตั้งแต่เด็ก และท่านบิดามารดาไม่เคยปฏิเสธคำขอใดๆ ของเขาเว้นเสียแต่เขาจะขอเอาดาวกับเดือนเท่านั้น ก็ได้เติบโตขึ้นมาด้วยการไม่เคยรับภาระใดๆ ในชีวิตของตนเองและของครอบครัวเลย ด้วยเหตุนั้นเมื่อมารดาต้องเผชิญกับภาระหนัก เขาก็ปล่อยให้มารดารับภาระนั้นไปแต่ลำพัง เขาไม่อยากได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่หนักอกหนักใจใดๆ ทั้งสิ้น เขามิได้กระทำแม้แต่จะออกปากถามมารดาว่า มีความหนักอกหนักใจอะไรบ้าง เขาต้องการใช้ชีวิตตามสบายไปตามหนทางของเขา คือหนทางที่ปัดความรับผิดชอบทั้งปวงออกไปให้พ้นตัวเขา หนทางที่ใฝ่หาแต่ความสุขสำราญเฉพาะตัวไปวันหนึ่งๆ หนทางที่หย่าขาดจากอนาคต และสำหรับปัจจุบันนั้น เขามีปรัชญาของเขาว่า “โลกมันจะเป็นอย่างไร ก็ช่างหัวมัน” การใช้ชีวิตที่ฉลาดที่สุด ตามความคิดเห็นของเขาก็คือ ใช้มันไปตามคำพังเพยของฝรั่งที่ไม่ได้สติว่า “กิน, ดื่ม และสนุกสำราญกันให้บานตะไทไปเลย เพราะว่าพรุ่งนี้เราอาจจะตายไปก็ได้” ด้วยการยึดถือปรัชญาชีวิตแบบนั้น และเมื่อคุณหญิงได้กลายเป็นคนขี้บ่น กล่าวโทษสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ไม่ขาด วัชระก็คอยแต่จะหลบเลี่ยงการเข้าหน้ามารดา แม่ลูกก็ห่างเหินกันไป จนแทบจะลืมไปว่า คนใดคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่
ฝ่ายนางหงส์วัชรีนั้น ด้วยความไม่ประสาในชีวิต และกิจการบ้านเมืองก็ยังคงพากเพียรสงวนศักดิ์นางหงส์ของเธออยู่ ยังคงสถิตอยู่ในถ้ำทอง และยังฝันถึงการสมรสกับพญาหงส์อยู่ แม้ว่าตัวเธอจะไม่มีประโยชน์อันใดแก่การแบ่งเบาภาระของครอบครัวไปจากมารดา แต่ก็ได้รับเอาความหงุดหงิดหัวเสียของมารดาไว้ ด้วยความเห็นอกเห็นใจ แม้ว่าด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของมารดา และมิได้มีเจตนาเลยที่จะเพิ่มเติมความทุกข์ระทมลงไปในชีวิตของบุตรี แต่ด้วยความเขลาต่อชีวิตของผู้เป็นมารดา บุตรีก็ต้องรองรับความทุกข์ระทมที่มารดาได้นำมาสุมให้โดยปราศจากความจำเป็น จิตใจของสตรีสาวผู้ไร้เดียงสาก็ได้สัมผัสกับความหม่นหมองเป็นครั้งคราว และความเปล่งปลั่งสดชื่นแห่งวัยสาวของนางหงส์ก็ได้รับความกระทบกระเทือน
เมื่อความฝันว่าท่านพวกเจ้านายจะกลับคืนสู่อำนาจ พร้อมกับการกลับคืนสู่วาสนาบารมีเดิมของท่านเจ้าคุณสามี ได้เลือนลางไปเสียแล้ว คุณหญิงจึงได้ตัดสินใจขายบ้านปราสาท การขายบ้านปราสาทนั้นเป็นการยอมรับความตกต่ำแห่งฐานะและความเสื่อมบุญวาสนาอย่างปราศจากการปิดบังอำพราง การตัดสินใจในเรื่องนี้ ได้กระทำไปในท่ามกลางความนองน้ำตาของสมาชิกในครอบครัวและบ่าวผู้จงรักภักดีสองสามคน วัชระมิได้อยู่ในจำนวนนี้ เขาไม่เคยเสียสละน้ำตาให้แก่สิ่งใดและเพื่อผู้ใด และก็บุคคลผู้มีจิตใจเช่นนี้แหละ ที่ปรางได้ใฝ่ฝันที่จะแสวงความสุขจากเขาและฝากชีวิตไว้กับเขา ในเวลานั้นเจ้าคุณอภิบาลอยู่ในสภาพของคนป่วยแล้ว แม้ว่าจะมีความอาลัยในบุญวาสนาเก่าอันรุ่งโรจน์ แต่ความทะเยอทะยานในชีวิตก็ได้มอดลงแล้ว ท่านรับการปรึกษาหารือจากคุณหญิงและให้ความเห็นชอบไปดุจกลไก ส่วนวัชรีนั้น ตรงกันข้ามกับท่านบิดา การสูญเสียถ้ำทองของนางหงส์นั้นเธอรู้สึกว่าความทะเยอทะยานอันโชติช่วงของเธอ ได้ถูกทำลายอย่างย่อยยับ เธอรู้สึกประหนึ่งว่า ได้หล่นวูบลงมาจากวิมานและมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่บนพื้นดินเช่นคนธรรมดาสามัญทั้งหลาย งเธอมีความหวาดกลัวนัก และเธอไม่เคยคิดว่าจะต้องเป็นไปเช่นนั้น เธอไม่เคยคิดว่าจะอยู่กับคนทั้งหลายไปได้อย่างไร เธอเฝ้าแต่ร้องไห้ปิ้มว่าใจจะขาด ทำให้คุณหญิงต้องโศกศัลย์รันทดอย่างสาหัสไปด้วยกับเธอ ทั้งมีความสงสารเห็นใจในกันและกันแต่ทั้งแม่และลูก ก็ได้แต่จะเพิ่มเติมความทุกข์ให้แก่กันและกัน
ความสับสนอลหม่านในการเผชิญกับปัญหาชีวิต ได้แยกคุณสมัยออกมาจากคุณหญิงที่ตรงหัวเลี้ยวนี้ และแม่พังเผือกปราง คู่บารมีของคุณลมัย ก็ได้ติดตามเจ้าของไป.