๗
คนทั้งหลายมีความรู้สึกต่อกาลเวลาที่ผ่านไปไม่เหมือนกัน บางคนก็รู้สึกว่ากาลเวลาผ่านไปอย่างอ้อยอิ่ง เอื่อยเฉื่อยเหมือนถูกถ่วงไว้ด้วยลูกตุ้มอันหนัก บางคนก็รู้สึกว่า กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหมือนติดปีกบินไป หรืออย่างวูบวับฉับพลันเหมือนดาวที่ตกลง มาจากฟากฟ้า บางคนก็รู้สึกว่า กาลเวลาผ่านไปอย่างเซื่องซึม อย่างโง่ๆทุยๆ บางคนก็รู้สึกว่า กาลเวลาผ่านไปอย่างเฉียบแหลม และอย่างเร้าใจ บางคนก็รู้สึกว่ากาลเวลาที่ผ่านไปนั้น มีรสหวานราวกับน้ำผึ้ง บางคนรู้สึกว่ากาลเวลาที่ผ่านไป เป็นราวกับน้ำกรด
ไม่ว่าคนทั้งหลายจะรู้สึกต่อกาลเวลาที่ผ่านไปแตกต่างกันอย่างไร และไม่ว่าคนทั้งหลาย จะได้สำนึกหรือไม่ว่า ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างตรงกันข้ามเหล่านั้น ได้ถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากภาวะทางวัตถุที่แวดล้อมชีวิตของเขาอยู่ และกาลเวลาที่ผ่านไปก็มิได้ผ่านไปอย่างไร้ความหมาย กาลเวลามิได้ผ่านไปดุจว่ามันเป็นความว่างเปล่า และมิได้ทิ้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ข้างหลังมัน มันมิได้เคยเป็นเช่นนั้น และมันก็จะไม่เป็นเช่นนั้น ในอนาคตและตลอดอนันตกาล เบื้องหลังกาลเวลาผ่านไป ย่อมมีการพัฒนาของสรรพสิ่งเหลือไว้เป็นร่องรอยของมันเสมอ
การพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง จะต้องดำเนินไปเป็นนิจ คนทั้งหลายอาจไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินอยู่ เพราะภาพของการเปลี่ยนแปลงนั้นยังไม่ชัดเจน และก็อาจเป็นด้วยผู้คนไม่สนใจที่จะสังเกตดู เพราะผู้คนเคยชินกับการใช้ชีวิตไปตามยถากรรม และอย่างเรื่อยเฉื่อย แต่การพัฒนาและการเปลี่ยนแปลง ก็คงดำเนินไปตามธรรมชาติของมัน ถึงแม้ผู้คนจะไม่สังเกตเห็นมัน หรือสำคัญไปว่า ไม่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นคู่เคียงกับกาลเวลาที่ล่วงไป อย่างไรก็ดี จะต้องมีเวลาหนึ่งที่การเปลี่ยนแปลงนั้น จะปรากฏออกมาในรูปที่คนทั้งหลายจะเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อถึงเวลานั้นคนที่มิได้คาดคิดถึงมันก็จะตกตะลึงไป และคนที่ปรับตัวเข้ากับมันไม่ได้ ก็จะเป็นเหมือนศพที่ดองไว้ในสังคม
เมื่อกาลเวลาผ่านไป และทิ้งร่องรอยของมันไว้ในการพัฒนาเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งที่ดำเนินไปเป็นนิจนั้น ชีวิตของตัวละครหนุ่มน้อยของเราก็ได้หมุนไปตามกงล้อของการพัฒนาเปลี่ยนแปลงนั้นด้วย เขาทั้งหลายได้เผชิญชีวิตที่แผ่กว้างออกไปจากวงชีวิตแคบๆ ที่เขาได้เคยรู้จักมาในวัยเยาว์ เขาได้ลิ้มรสความตื่นเต้น และความสุขขนาดใหญ่กว่าที่เขาเคยได้ลิ้มรสมา เมื่อเขาได้รับความสำเร็จในความหวังใหม่ๆ และในขณะเดียวกัน เขาก็ได้ลิ้มรสความตกใจ ความทุกข์ใจ และความขมขื่นใจ ซึ่งเขาไม่เคยพบมาในวัยเด็ก การประสบเหตุการณ์ใหม่และความจัดเจนใหม่ ทั้งในชีวิตส่วนตัวและในความเป็นไปของสังคม ได้ก่อเกิดความรู้สึกนึกคิดใหม่ๆแก่เขา จิตใจของเขาได้คลี่คลายไป ตามความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของภาวะการณ์ที่แวดล้อมชีวิตของเขา และตามการศึกษาและการรับรู้ข้อเท็จจริงใหม่ๆของเขา
* * *
เซ้งได้ทำงานที่สำนักหนังสือพิมพ์ด้วยความคร่ำเคร่ง ประหนึ่งว่าเขาได้มอบชีวิตของเขาแก่งานหนังสือพิมพ์เสียแล้ว ชีวิตของเขาดูเหมือนจะหมุนกลิ้งไปกับลูกกลิ้งที่หมุนคลึงหมึกดำอยู่บนแท่นพิมพ์ ตั้งแต่เช้าจนค่ำคืนดึกดื่น เขายังคงทำงานแก้นาฬิกาต่อไปในตอนกลางคืน เว้นเสียแต่ในยามทำงานแก้นาฬิกาแล้ว จิตใจของเขาก็อยู่กับงานหนังสือพิมพ์ตลอดเวลา ก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่า เซ้งจะรักการอ่านหนังสือเพียงใด เขาก็มีหนังสืออ่านอย่างจำกัด ครั้นเมื่อเขาได้มานั่งทำงานที่สำนักหนังสือพิมพ์ เขาก็พบว่าโอกาสที่เขาจะได้อ่านหนังสืออย่างกว้างขวางนั้น ได้เปิดให้แก่เขาแล้ว เพราะว่าทางสำนักงานมักจะได้รับหนังสือใหม่ๆ ที่มีผู้ส่งมาให้เสมอ เซ้งได้เลือกหนังสือเหล่านั้น และขอยืมเล่มที่เขาพอใจไปอ่านที่บ้าน นอกจากนั้น นักหนังสือพิมพ์รุ่นผู้ใหญ่ ยังได้ช่วยแนะนำหนังสือดี ๆ แก่เขา และจัดหาให้เขาได้ยืมไปอ่าน ดังนั้นในระหว่างทำงานหนังสือพิมพ์ เซ้งจึงมีหนังสืออ่านอย่างจุใจ และเขาก็ได้อ่านมันเสียแล้วอย่างสมอยาก ในเช้าตรู่อันเยือกเย็นแห่งฤดูหนาว เซ้งยังคงลุกเซ้งยังคงลุกขึ้นมาตามเสียงนาฬิกาปลุก เพื่อที่จะอ่านหนังสือเหล่านั้น เขารู้สึกว่าเหตุการณ์ใหม่ๆ ของบ้านเมือง ที่เปลี่ยนแปลงผิดแผกไปจากที่เขาได้พบเห็นเมื่อยังเรียนหนังสืออยู่ ได้เรียกร้องให้เขาแสวงหาความรู้ เพื่อที่จะทำความเข้าใจในเหตุการณ์ ๆ ที่เกิดขึ้น ในเมื่อเขาปรารถนาจะเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ดี เช่นเดียวกับที่เขาได้พยายามเป็นนักเรียนที่ดีและบุตรที่ดีมาแล้ว
เขาได้เป็นประโยชน์แก่น้องทั้งสามคน ดังกับว่าเขาเป็นบิดา เขาได้จัดการส่งน้องชายเข้าโรงเรียน และปรารถนาที่จะได้เห็นน้องชายของเขาได้รับการศึกษาจนถึงชั้นมหาวิทยาลัยภายใต้การอุปถัมภ์ของเขา เมื่อน้องสาวเล็ก ๆ ของเขาค่อยโตขึ้นพอที่จะดูแลกันเองได้ มารดาของเขาก็แบ่งเวลาไปประกอบการค้าเล็กๆ น้อยๆ เพื่อช่วยบุตรคนโตในการหาเลี้ยงครอบครัว มารดาของเขาได้ทำห่อหมก แล้วก็นำไปขายส่งที่ตลาดทุกวัน รายได้ที่เพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่งนี้มารดาหวังว่าถ้าเหลือใช้ประจำเดือนก็เก็บสะสมไว้ใช้เป็นทุนเปิดร้านค้าขึ้นบ้าง เมื่อถึงเวลานั้นมารดาก็จะขอให้บุตรชายคนดีเลิกทำงานแก้นาฬิกาในตอนกลางคืนเสียที มารดามีความรักและสงสารบุตรชายคนหัวปีอย่างจับใจ ที่เขาได้เข้าแบกภาระหนักของครอบครัวราวกับว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านความจัดเจนชีวิตมามาก และราวกับว่าเขาเป็นบุรุษที่แข็งแรงคนหนึ่ง เขาใช้ชีวิตของเขาราวกับว่าเขาผ่านพ้นวัยของชายหนุ่มมาเสียแล้ว มารดามีความห่วงใยในสุขภาพของเขา และได้สวดวิงวอนให้พระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองอย่าให้เขาต้องป่วยเจ็บลง เพราะว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ
ในระหว่างที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ของเซ้ง ได้นำเหตุการณ์ใหม่ๆ ทั้งในประเทศและทั่วโลก มาเสนอแก่สาธารณชนอย่างเป็นระเบียบสม่ำเสมอ และเซ้งก้มหน้าแปลข่าวต่างประเทศอยู่เป็นประจำ และในระหว่างที่นิทัศน์กับจันทา ใช้เวลากลางคืนศึกษาวิชากฎหมายและวิชาการเมืองอยู่อย่างขมักเขม้นนั้น การปกครองบ้านเมืองในระบบใหม่ ก็ดำเนินก้าวหน้าไปอย่างน่าทึ่ง มีปรากฏการณ์หลายอย่างในระบบใหม่ที่ก่อให้เกิดความหวังอันเปล่งปลั่งขึ้นในจิตใจของประชาชน นอกไปจากว่า ‘ประชาธิปไตย’ อันเป็นที่ชื่นชมอย่างยิ่งของคนทั้งหลายอยู่แล้ว คำว่า ‘ประชาธิปไตย’ และ ‘เสรีภาพ’ เป็นคำที่จับใจประชาราษฎร เขาพากันพูดถึงคำทั้งสองนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างไม่เบื่อหน่าย และดูเหมือนจะไม่ได้คาดฝันว่าอาจมีอะไรเกิดขึ้นอันจะมาทำให้เขาเกิดความเบื่อหน่ายมันนั้น เพราะว่าเหตุการณ์ทางการเมืองที่ดำเนินไปต่อหน้าต่อตาเขานั้น ในส่วนใหญ่ล้วนเป็นนิมิตรอันน่ายินดี โดยเฉพาะพวกเยาวชนในเมืองหลวง ซึ่งมองดูการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของประเทศ ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์เป็นพื้นฐาน เขาทั้งหลายต่างก็มีความหวังอันเจิดจ้า ในความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองและความผาสุกของประชาราษฎร ที่ระบอบการปกครองอันใหม่จะนำมาให้และพวกคนยากคนจนที่ชีวิตของเขาได้ผ่านมาในที่มีแต่ความมืดของราตรี ก็พากันคาดหมายว่า อรุโณทัยแห่งการเงยหน้าอ้าปากของเขาใกล้จะมาปรากฏอยู่แล้ว
มันเป็นสิ่งที่คนทั้งหลาย น่าจะหวังและคาดหมายกันเช่นนั้น เพราะว่าประเทศที่เคยปกครองด้วยกษัตริย์และเจ้านายและมหาดเล็กของเจ้านายเท่านั้น และได้ปกครองกันมาเช่นนั้นเป็นเวลานับตั้งร้อย ๆ ปีมาแล้ว ในบัดนี้ เมื่อประเทศได้ตกมาอยู่ภายใต้การนำของคนชุดใหม่ พร้อมด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘ประชาธิปไตย’ และ ‘เสรีภาพ’ ราชการของแผ่นดินก็ดำเนินก้าวหน้าไปได้โดยราบรื่นอย่างน่าพิศวง ด้วยกลไกปกครองที่ออกแบบกันขึ้นใหม่ และได้โยนทิ้งอันเก่าที่ได้ใช้กันมาแล้วตั้งหลายศตวรรษ
เมื่อตึกที่สร้างด้วยหินอ่อนอย่างวิจิตร ซึ่งเคยเป็นพระที่นั่งของพระเจ้าแผ่นดินได้ถูกนำมาใช้เป็นที่ประชุมของผู้แทนราษฎรจากจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย และเมื่อเวลาของการใช้ได้ผ่านไปพอสมควรแล้ว ประชาชนก็รู้สึกว่า สง่าราศีของตึกหินอ่อนหลังนั้น ไม่มีเหตุที่จะต้องเสียใจเลยที่ได้มารับหน้าที่อันใหม่นั้น และก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีหน้าที่ใดที่มันควรจะภาคภูมิใจยิ่งไปกว่าหน้าที่ซึ่งมันได้กระทำอยู่ในขณะนั้น คือหน้าที่ต้อนรับบรรดาบุคคล ซึ่งพวกชาวนาและคนงานได้ออกเสียงเลือกเป็นตัวแทนของเขา ไปประชุมพิจารณาวินิจฉัยราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์แก่เขาทั้งหลาย อันเป็นบุคคลส่วนใหญ่ประกอบขึ้นเป็นชาติไทย ราษฎรทั้งหลายได้ทราบว่า ผู้แทนของเขา ได้ทำงานอย่างคู่ควรแก่สง่าราศีของตึกหินอ่อนนั้น เขาซักไซร้โต้ตอบปัญหาการเมืองกับฝ่ายรัฐบาลอย่างคล่องแคล่วฉาดฉาน และฝ่ายรัฐบาล ไม่อาจดูหมิ่นสติปัญญาของเขา ผู้แทนราษฎรที่ไปจากชนบท แม้ว่าจะยังไม่สันทัดจัดเจนการอภิปราย แต่รัฐบาลก็ไม่อาจสงสัยในความซื่อสัตย์สุจริตของพวกเขาต่อประโยชน์ของราษฎรที่ได้ส่งเขาเข้าไป และก็ไม่อาจคิดไปว่า เขาเป็นคนที่ไร้ปัญญา เมื่อกาลเวลาล่วงไป พวกเขาก็ได้รับความรู้ในการบริหารประเทศ และได้รับความชำนิชำนาญในการปฏิบัติหน้าที่ของเขาเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ พวกเขาได้นำความเดือดร้อนของราษฎรในปัญหาต่าง ๆ ขึ้นเสนอต่อรัฐบาล และได้คัดค้านการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่เป็นการนำความเดือดร้อนมาสู่ราษฎร ฝ่ายรัฐบาลซึ่งประกาศตนว่าเป็นรัฐบาลของราษฎร ก็ให้คำมั่นสัญญาแก่ผู้แทนราษฎรเหล่านั้น ว่าจะได้นำข้อเสนอและข้อวิพากษ์วิจารณ์ของเขาไปพิจารณาด้วยดี ประชาราษฎรซึ่งได้ทราบพฤติการณ์เหล่านี้ ที่ได้กระทำกันภายในตึกศิลาอ่อนจากหนังสือพิมพ์บ้าง และจากคำบอกเล่าลือบ้างต่างก็พากันอนุโมทนาสาธุการ และให้ศีลให้พรแก่บรรดาบุคคลเหล่านั้นที่ได้ใช้สติปัญญาทำงานเพื่อประโยชน์สุขแก่เขาทั้งหลาย
ราษฎรบางคนได้หวนระลึกถึงคำที่กล่าวกันว่า “เมืองไทยนี้ดีเพราะมีนาย เป็นยอดชายฉลาดสามารถจริง” คำนั้นอาจเป็นความจริงในคาบใดสมัยใดในอดีตกาลก็ตาม แต่ในกาลบัดนี้ เมื่อเขาได้ทราบพฤติการณ์ที่ดำเนินไปภายในตึกศิลาอ่อนนั้นแล้ว เขาก็ไม่คิดว่า ‘เมืองไทยนี้ดีเพราะมีนาย’ ถึงแม้ว่านายผู้นั้นจะมิใช่ยอดชายนายโข่ง แต่เป็นยอดชายชาญฉลาดก็ตาม ในกาลบัดนี้ เขาคิดว่า ‘เมืองไทยนี้ดี เพราะมีรัฐบาลที่เป็นรัฐบาลของราษฎร’ เพราะราษฎรได้มีสิทธิเลือกผู้แทนของเขาเข้าไปนั่งในสภา ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะผู้แทนบางคน ที่พวกราษฎรได้เลือกไปนั้น ได้มีโอกาสเข้าร่วมในคณะรัฐบาล เพราะผู้แทนของเขามีสิทธิที่จะตำหนิทักท้วง การกระทำที่ไม่ดีของรัฐบาลและเรียกร้องให้รัฐบาลกระทำสิ่งที่ดี เป็นคุณประโยชน์แก่ชีวิตของประชาราษฎรเขาเห็นว่า ‘เมืองไทยนี้ดี เพราะมีบุคคลที่เป็นมิตร และไปจากราษฎรเป็นผู้ปกครองประเทศ’ เขาเหล่านั้นได้ปกครองประเทศโดยอาศัยอำนาจที่ได้มีการประกาศรับรองกันแล้วว่า เป็นอำนาจของเขาเหล่าราษฎร มิใช่เป็นอำนาจที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า มิใช่เป็นอำนาจของพระสยามเทวาธิราชที่ประทานให้แก่ผู้เกิดมาเป็น ‘นายคนใดคนหนึ่ง หรือพวกใดพวกหนึ่ง’ เขาเหล่านั้นได้ประกาศว่าเขาเป็นผู้รับใช้เหล่าราษฎร เขามิใช่เป็น ‘นาย’ ของราษฎร, เหมือนดังที่รัฐบาลหรือพวกที่ปกครองบ้านเมืองในปางก่อนได้เป็นกันมา ราษฎรก็ชื่นใจในคำแถลงประกาศเช่นนั้นเป็นนักหนา เพราะการมีรัฐบาลซึ่งเป็นมิตรสหายหรือเป็นผู้รับใช้นั้น ย่อมจะน่าเป็นสุขสบายใจยิ่งกว่าการมีรัฐบาลที่แสดงตนเป็น ‘นาย’ หรือเป็น ‘พ่อ’ ของราษฎรเป็นแน่
เมื่อราษฎรพากันไปเที่ยวเล่นที่ลานพระบรมรูปทรงม้า หรือในอุทยานเขาดิน แล้วทอดสายตาไปที่ตัวตึกและโดมของพระที่นั่งอนันต์ เขาก็ไม่รู้จะรู้สึกว่า พระที่นั่งอันบรรเจิดและสิ่งต่าง ๆ ภายในบริเวณพระที่นั่งนั้นเป็นที่ห่างไกลจากชีวิตของเขาราวฟ้ากับดินที่เขาเคยรู้สึกในกาลก่อน เพราะเขาได้ทราบว่า ภายในพระที่นั่งอันสง่าภาคภูมินั้น ณ บัดนี้พวกพ้องของเขาที่มาจากจังหวัดต่างๆ ได้มานั่งประชุมกัน และก็มิได้มานั่งประชุมกันด้วยกิจการที่กระทำกันบนฟ้า หากได้ประชุมถกเถียงปัญหาต่าง ๆ ด้วยเรื่องที่เกี่ยวพันกับทุกข์สุขของพวกเขาทั้งนั้น ทั้งการถกเถียงกันนั้นเล่าก็มีความมุ่งหมายสำคัญอยู่ที่ว่า จะบำบัดทุกข์ที่พวกเขาได้ประสบอยู่และส่งเสริมสุขที่พวกเขาขาดแคลนให้ได้ผลดีที่สุดที่จะทำได้ ราษฎรได้พบเห็นบุคคลที่เข้าไปประชุมทำงานของแผ่นดินเพื่อพวกเขา และเดินกลับออกมาจากพระที่นั่งหินอ่อนนั้น ด้วยอากัปกิริยาที่มิได้แสดงว่าเป็นคนใหญ่โตอะไรเลย และส่วนมากก็มิได้นั่งมาในรถยนต์อันใหญ่โตโอ่โถง ส่วนมากมีกิริยาท่าที่ง่าย ๆ เป็นคนธรรมดาสามัญ เช่นพวกเขาทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้พวกราษฎรจึงมองดูตึกหินอ่อนอันสง่างามด้วยความรู้สึกว่า พระที่นั่งหลังนั้นและสิ่งต่าง ๆ ภายในบริเวณรั้วเหล็กนั้น เป็นสิ่งที่ใกล้ชิดชีวิตของเขาเป็นสิ่งที่น่าทอดทัศนา เพราะมันดูคล้ายกับว่าเขาได้มีส่วนเป็นเจ้าของมันด้วย มันได้กลายมาเป็นพระที่นั่งที่มีความเป็นกันเองและสนิทสนมกับเขา และเขาก็พอจะเข้าใจในความสวยงามของมันได้ เขาแลเห็นความสวยงามของมันพวยพุ่งขึ้นมาอย่างแจ่มจ้าและอย่างมีชีวิต เป็นความสวยงามที่มีความเคลื่อนไหวและสดชื่นต่างกว่าในกาลก่อน แม้แต่ตำรวจซึ่งพวกเขาไม่เคยรัก และไม่เคยรู้สึกว่าเป็นมิตรกับเขาเลย แต่เมื่อเขาได้มาเห็นตำรวจ ที่ยืนอยู่ข้างประตูเหล็กของพระที่นั่งแล้ว เขาก็มองดูตำรวจด้วยสายตาอันชื่นชม และด้วยความรู้สึกว่าตำรวจเหล่านั้น น่าจะเป็นมิตรของเขา เพราะว่าตำรวจได้มาทำหน้าที่รักษาการณ์สถานที่ซึ่งผู้แทนของเขาได้มาประชุมปรึกษาราชการแผ่นดิน เพื่อความผาสุกของพวกเขา
เมื่อมองดูเหตุการณ์ ที่ดำเนินเคลื่อนไหวไปรอบๆตัวเขา ราษฎรก็ได้พบเห็นพฤติการณ์ที่น่าชื่นชม และนำความหวังในชีวิตที่ดีกว่าอดีต มาเพิ่มพูนให้เขาอยู่เรื่อยๆ พวกคนงานก็แลไปข้างหน้าด้วยความโสมนัส และนึกวาดภาพชีวิตในอนาคตของพวกเขาและครอบครัวของเขา ด้วยมโนภาพอันแจ่มใส เมื่อเขาได้ทราบและได้เห็นความเคลื่อนไหวของคนงานบางหมู่บางเหล่า เพื่อรวมกำลังกันแก้ไขชีวิตความเป็นอยู่ของคนงานส่วนรวม เรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมที่จะพึงได้จากการออกแรงทำงานอย่างหนัก และแสวงหาทางหยุดชะงักการขูดรีดที่ได้กระทำต่อชีวิตของพวกเขา อันได้ดำเนินมาหลายชั่วโคตรแล้ว ความเคลื่อนไหวของคนงานในรูปนี้ ไม่เคยปรากฏได้ในกาลก่อน แต่เมื่อมาถึงสมัยที่เรียกกันว่าประชาธิปไตย ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ ได้ปรากฏออกมา และกำลังจะขยายตัวออกไป โดยที่รัฐบาลของระบอบใหม่มิได้ทำการขัดขวาง และตำรวจก็มิได้เข้ามายุ่มย่าม แสดงอำนาจว่าจะปราบปราม ราษฎรก็พากันพิสมัยในประชาธิปไตย และพากันรู้สึกว่า ประชาธิปไตยนี้ดีแน่นักหนา เพราะพวกเขาคนยากคนจน มีสิทธิที่จะร้องตะโกนความคับอกคับใจของเขา ให้คนทั้งหลายได้ยินกันทั่วไปได้ คนงานบางส่วนได้ดูความเคลื่อนไหว อันอาจหาญชาญชัยของพวกเขา ด้วยความพิศวงงงงวย พวกเขาบางส่วนไม่เคยคิดว่า พวกคนยากคนจนหาเช้ากินค่ำเช่นพวกเขา จะได้รับโอกาสระบายความคับอกคับใจของเขาออกมาได้ถึงปานนี้ พวกเขาบางส่วนคิดว่า เมื่อเขาเกิดมาเป็นคนชั้นต่ำแล้วเขาจะต้องยอมทนรับความทุกข์ยากของชีวิตไปจนกว่าจะตาย รวมตลอดไปถึงลูกหลานของเขาด้วย พวกเขาคิดว่า มันเป็นเวรกรรมของพวกเขาและพวกเขาไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงมันได้ การแก้ไขชีวิตของเขาให้ดีขึ้นบ้างนั้น หากว่าเขาจะหวังเขาก็จะต้องมอบความหวังนั้น ไว้ให้เป็นธุระของพวกขุนมูลนายผู้ปกครองบ้านเมือง เขาจะตะโกนเรียกร้องอะไร ด้วยลำพังตัวเขาเองไม่ได้ การกระทำเช่นนั้นจะถูกถือว่าเป็นการแสดงความกำเริบเสิบสาน ของคนชั้นต่ำต่อคนชั้นสูง จะถูกถือว่าเป็นการก่อกวนให้เกิดความเกลียดชังระหว่างคนต่างชั้น จะถูกถือว่าเป็นการก่อกวนความไม่สงบในบ้านเมืองของท่าน และก็เป็นหน้าที่ของตำรวจ ที่จะมาลากคอพวกเขาไปใส่ตะราง แต่ในบัดนี้ เขาได้รับคำอธิบายจากสหายคนงานด้วยกันว่า พวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน และเมื่อพวกเขาเป็นพวกที่ทำงาน พวกเขาก็มีสิทธิจะได้อยู่ได้กิน ไม่แตกต่างอย่างไกลลิบลับกับท่านที่มั่งมีศรีสุข ซึ่งมิได้ทำงานหนักไปกว่าพวกเขา ซ้ำยังมีไม่น้อย ที่ไม่ได้ทำการงานเป็นประโยชน์แก่สังคมอย่างไร แต่ก็ได้ใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เขาได้รับคำอธิบายว่า ในระบอบประชาธิปไตยนี้ พวกเขามีสิทธิเท่าเทียมกับชนชั้นอื่นๆ ที่จะเรียกร้องให้มีการแก้ไขความอยุติธรรม ที่สุมอยู่บนชีวิตของพวกเขามาแต่กาลนาน พวกคนงานที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากสหายของเขาบ้าง ได้อ่านจากหนังสือพิมพ์ และได้ฟังจากที่คนทั้งหลายพูดจากันในเรื่องสิทธิเสรีภาพของราษฎรบ้าง ก็พากันมีศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยยิ่งขึ้น และก็พากันคอยการปฏิบัติของรัฐบาล ที่เขามีความเชื่อถือไว้วางใจว่า จะจัดการพลิกชีวิตของพวกเขาจากด้านร้ายให้ไปสู่ด้านดี เขาต่างก็รอคอยอยู่ด้วยความฝันอันสวยงาม
ฝ่ายพวกชาวนา ซึ่งอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางบริหารราชการแผ่นดินและความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ที่ได้ดำเนินไปในนครหลวง ก็สามารถจะมีความหวังในชีวิตอันแจ่มใสกว่าที่เป็นมาแต่เดิมได้เหมือนกัน ในเมื่อได้มีข่าวคราวจากนครหลวง ผ่านเข้าไปในตำบลหมู่บ้านของเขาเป็นครั้งคราว จากผู้ที่ได้เข้ามาในเมืองและรวบรวมข่าวเล่าลือไปสู่กันฟัง จากข้าราชการที่ไปตรวจราชการในท้องที่, จากพระสงฆ์องค์เจ้าที่มีโอกาสพบปะกับบุคคลที่ไปจากกรุงเทพฯและจากผู้แทนราษฎรของเขาเอง ถึงแม้การคมนาคมอันแสนกันดาร และภาวะทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งกำหนดวิถีชีวิตของเขา จะได้บังคับให้พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในวงความรู้ความเห็นอันจำกัดอย่างยิ่ง ประดุจคนผู้อาศัยอยู่ในถ้ำก็ตาม แต่ข่าวเล็กๆน้อยๆที่ได้กระพือไปจนถึงพวกเขานั้น เมื่อพวกเขาได้นำมารวบรวมปะติดปะต่อกันเข้าแล้ว พวกเขาก็ได้ข้อเท็จจริง ที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาว่า นับแต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบโบราณซึ่งอาจมีการเอาลูกมะพร้าวห้าวยัดปาก ผู้ที่พูดจาพล่อยๆ เสียก็ดี มาเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว พวกราษฎรแม้แต่จะเป็นชาวนาเช่นพวกเขา ก็มีโอกาสที่จะตำหนิติเตียนการกระทำของรัฐบาลอย่างเปิดเผยได้ เขาได้ยินว่า พวกราษฎรมีสิ่งที่เรียกว่า ‘เสรีภาพ’ ซึ่งพวกเขาไม่สู้เข้าใจนักว่า มันหมายความว่ากระไร แต่เขาได้ยินมาว่าอ้าย ‘เสรีภาพ’ นี้ มันเป็นของวิเศษนักหนา มันดูราวกับว่าเป็นต้นกัลปพฤกษ์ ที่มีประจำอยู่ทั้งสี่มุมเมือง ในยุคสมัยที่พระศรีอาริย์จะมาโปรด จนพวกเขาบางส่วนถึงกับซุบซิบกันว่า “นี่พระศรีอาริย์ท่านลงมาโปรดแล้วหรือ?” และผู้ที่มีความเชื่อเช่นนั้น ก็เปล่งอนุโมทนาสาธุ แล้วก็ยกมือท่วมหัว แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า เป็นธรรมดาของพวกเขาที่ย่อมจะคิดค่าสิ่งใดที่ดีวิเศษย่อมจะลงมาจากฟากฟ้าทั้งนั้น สิ่งที่ดีวิเศษจะโผล่ออกมาจากพื้นดินหาได้ไม่ เพราะว่าบนพื้นดินนั้น มันย่อมเป็นได้แต่ที่สิงสู่ของพวกที่โง่เขลายากจนข้นแค้นเช่นเดียวกับพวกเขาทั้งหลายที่ได้ใช้ชีวิตกันมาเช่นนั้น ก็ได้เฝ้าคอยวันที่จะถูกนำไปสู่ต้นกัลปพฤกษ์ และรับเอาสิ่งของต่างๆจากต้นกัลปพฤกษ์นั้น
นอกจากสิ่งที่เรียกว่า ‘เสรีภาพ’ แล้ว เขาก็ได้ยินว่า สิ่งที่เรียกว่า ‘รัฐธรรมนูญ’ นั้น เป็นของสำคัญหนักหนา เพราะว่าเป็นสิ่งที่ต้องอัญเชิญเทิดทูนไว้ด้วยหัตถ์ของเทพธิดานางฟ้า เขาได้ยินว่า ท่านองค์ ‘รัฐธรรมนูญ’ นี้ เป็นที่นับถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์นัก ต้องอัญเชิญออกแห่แหนและทำความเคารพสักการะกันทุกปี ผู้ใดไม่ว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตสักเท่าใด ก็จะไปละเมิดล่วงเกินท่านองค์นี้ไม่ได้ แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินที่เคยมีศักดิ์เสมอกับเทพยดา ก็ยังต้องอยู่ใต้อำนาจของท่าน ท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันสูงสุด การณ์เป็นไปต่างๆ ในแผ่นดิน จะต้องดำเนินไปตามลิขิตของท่าน ดุจเดียวกับที่เชื่อกันว่า ชีวิตของคนทั้งหลาย ย่อมเป็นไปตามลิขิตของพระพรหม ถ้าผู้ใดไปทำการละเมิดล่วงเกินท่าน ก็จะต้องเกิดวิบัติเป็นอันตรายไปทีเดียว พวกเขาบางคน ก็อดคิดไปไม่ได้ว่าชะรอยท่าน ‘รัฐธรรมนูญ’ องค์นี้ จะเป็นองค์พระศรีอาริย์จำแลงกายมาเสียละกระมัง เช่นเดียวกับที่ท่านเทพบดี ซึ่งสามารถจะจำแลงกายของท่านได้ต่างๆนานา
ความจริงในเรื่องเหล่านี้ที่พวกเขาได้คิดคะเนกันไป จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ข้อที่เป็นความจริงอันแน่นอน ที่พวกเขาได้ยินได้ฟังมาตรงกันก็คือ ในบัดนี้ เรื่องราวแห่งความเป็นอยู่ อันเต็มไปด้วยความทุกข์ยากเดือดร้อนนานาประการของพวกเขานั้น ได้มีการนำขึ้นพูดจากันแล้วภายในตึกศิลาอ่อน ซึ่งเคยเป็นซึ่งเคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน และพวกผู้แทนราษฎรก็ได้เรียกร้องให้รัฐบาล เข้าทำการแก้ไขปรับปรุงชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้น และรัฐบาลก็ให้สัญญาว่า จะได้กระทำตามคำเรียกร้องนั้น ทั้งรัฐบาลยังได้บอกว่า รัฐบาลมีโครงการอยู่แล้วที่จะช่วยพวกเขา เมื่อพวกเขาได้ฟังคำบอกเล่าเช่นนั้น พวกเขาก็ยกมือไหว้ท่วมหัว แล้วก็เปล่งวาจาว่า “สาธุ! สาธุ! ขอให้พวกท่านที่เห็นหัวอกคนยากคนจน จงจำเริญ จำเริญเถิด เจ้าประคู้ณ”