ณ บัดนี้ ‘อีปราง’ แม่พังเผือกจากชนบทได้บรรลุวัยกำดัดสาวอย่างสมบูรณ์ การอบรมบ่มชีวิตภายในบ้านของท่านผู้ดีด้วยการฝึกปรือของผู้เป็นเอตทัคคะเช่นคุณลมัยได้ลอกคราบ ‘อีปราง’ คนเก่า ออกทิ้งไปจนแทบจะหมดสิ้น ความกร้านเกรียมของผิวกายที่ได้มาจากแสงแดดกล้าในท้องทุ่ง จากน้ำโคลนตมในหนองบึง จากงานหนักสารพัดอย่าง ตามวิสัยของคนพวกลูกนาได้ถูกลบล้างไป ถึงผิวกายของเจ้าจะดูคล้ำ แต่ก็มีน้ำนวลละมุนละไมไม่สากคาย รูปทรงของเขาผึ่งผาย ดวงตาของเจ้าวาววามและคมภายใต้ขนตายาวงอน อาการช้อนชำเลืองของเจ้าน่ารัญจวนป่วนใจ ดังดวงตาที่กวีเสกสร้างให้แก่โฉมงามในนิยายประโลมโลก เจ้าเป็นเด็กหน้าเป็นร่าเริง เจ้าถูกดุด่าถูกตี หน้างอร้องไห้น้ำตายังไม่ทันแห้ง ประเดี๋ยวเจ้าก็หัวเราะเสียงใสออกมา เจ้าทอดสนิทกับคนง่าย แต่เจ้าก็ถูกอบรมจากเจ้านายของเจ้าให้มีความมักใหญ่ใฝ่สูง และเจ้าก็ซ่อนสิ่งนี้ไว้ในใจ ในวันหนึ่ง เมื่อ ‘อีปราง’ เก็บดอกไม้มาให้คุณลมัยบูชาพระและยิ้มระรื่นเข้ามาหา และเมื่อคุณลมัยสบดวงตางามของเจ้าเข้าแล้ว หล่อนก็ได้รำพึงถึงอนาคตของเจ้าด้วยความรู้สึกรื่นรมย์ใจ

* * *

นับแต่คุณหญิงอภิบาล ได้เข้ามาดูแลตัดทอนการใช้จ่ายในบ้านลงแล้ว แต่นั้นมา คุณหญิงก็เข้าควบคุมการใช้จ่ายต่าง ๆ ด้วยตนเอง แทนที่จะมอบหมายให้เป็นสิทธิ์ขาดแก่คุณลมัยดังแต่ก่อน เมื่ออำนาจทางเศรษฐกิจได้หลุดมือไป ตัวของคุณลมัยก็ชักจะเล็กลง และเสียงก็ไม่ดังเหมือนเช่นเคย ‘อีปราง’ ซึ่งเคยกินเงินเดือนของส่วนกลางได้ถูกตัดออกไป ภายหลัง ‘ดุลยภาพ’ ครั้งใหญ่ หากคุณลมัยประสงค์จะเลี้ยง ‘อีปราง’ ไว้ในบ้าน คุณลมัยก็จะต้องใช้เงินเดือนของคุณลมัยเลี้ยงดูเอาเอง และคุณลมัยก็จำต้องรับเอาเงื่อนไขอันนี้ คุณลมัยนั้นเป็นคนโสด และในบัดนี้เมื่ออายุใกล้จะถึงสี่สิบปีแล้ว ก็มิได้หวังจะมีหวังที่จะแต่งงานกับชายใด คุณลมัยได้รับเอา ‘อีปราง’ มาเลี้ยงไว้ประหนึ่งเป็นบุตรบุญธรรม เมื่อถึงคราวที่วาสนาบารมีของเจ้าคุณและคุณหญิงได้ผันแปรไป จนคุณหญิงเองก็บังเกิดความหวาดหวั่นพรั่นพรึงในอนาคตของท่านเช่นนั้น ก็ทำให้คุณลมัยอดคิดถึงอนาคตของตนเองไม่ได้ ครั้นเมื่อคุณลมัยมองดูความเฉิดฉายในความเป็นสาวของ ‘อีปราง’ และหวลคำนึงถึงภาษิตของท่านกวีโบราณ ที่คุณลมัยท่องจำไว้ได้อย่างขึ้นใจ และได้ยกขึ้นมาสั่งสอนอบรมแม่พังเผือกของหล่อนอยู่เสมอ เป็นต้นว่า ‘เป็นสตรีสุดดีแต่เพียงผัว จะดีชั่วก็แต่ยังกำลังสาว’ ดังนี้แล้ว คุณลมัยก็เว้นเสียมิได้ที่จะมองดู ‘อีปราง’ ด้วยความอุ่นใจว่า อีเด็กสาวชาวบ้านนอกคนนี้อาจจะเป็นที่พึ่งของหล่อนในภายหน้า

เมื่ออำนาจของคุณลมัยได้ถูกบั่นทอนลง อันเป็นผลของอำนาจเศรษฐกิจที่ได้หลุดมือไปนั้น ความเกรี้ยวกราดและความยืนยันขนบประเพณีผู้ดีอย่างเคร่งครัดของคุณลมัยในกาลก่อน ก็ได้ลดหย่อนลงไป ทั้งนี้ใช่ว่าจะเป็นไปโดยความพึงพอใจของคุณลมัยก็หามิได้ หากเป็นไปตามการบังคับของสถานการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง เพราะว่าเมื่ออำนาจทางเศรษฐกิจ อันเป็นเหตุให้ผู้คนต้องยำเกรงกลัวคุณลมัย ได้เปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว ถึงคุณลมัยปรารถนาจะสำแดงความเกรี้ยวกราดต่อไปอีกมันก็ไม่มีผลศักดิ์สิทธิ์เหมือนแต่ก่อน แทนความศักดิ์สิทธิ์กลับมีปฏิกิริยาจากบ่าวชั้นต่ำ อันก่อความกระทบกระเทือนใจแก่คุณลมัยขึ้นมา เมื่อโทสะเกิดขึ้นและจะปรนปรือโทสะนั้นด้วยการใช้อำนาจลงโทษเจ้าพวกบ่าวเหล่านั้น ก็ทำไม่ได้ถนัดแล้ว เพราะฉะนั้นคุณลมัยจึงจำต้องยอมรับความพ่ายแพ้ที่สถานการณ์ได้บังคับให้ต้องรับเอา กล่าวตามความจริงแล้วการที่จำต้องยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้ ได้ทำให้คุณลมัย ดูมีความน่ารักขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย แต่คุณลมัยก็ไม่วายที่จะบ่นว่า อ้ายผู้คนสมัยนี้มันไม่รู้จักเคารพยำเกรงผู้ใหญ่ เหมือนสมัยที่พวกเจ้านายท่านปกครองบ้านเมืองคุ้มกะลาหัวมันอยู่

การเปลี่ยนแปลงท่าทีในการบังคับบัญชาผู้คนของคุณลมัย ได้ส่งผลมาถึงคนใกล้ชิดด้วย แม่สาวปรางค่อยมีอิสระขึ้น แม่ผีเสื้อน้อยก็มีโอกาสที่จะบินกรายไปกรายมาได้ทั่วทุกมุมบ้านและโดยไม่ถูกขัดขวางดุด่าจากคุณลมัย ดังที่เคยเป็นมา และเจ้าก็มีโอกาสได้พบปะสนทนากับพ่อ ‘พี่ชาย’ ผู้มาจากท้องทุ่งที่ราบสูงบ่อยครั้งกว่าแต่ก่อน ยามเย็นวันหนึ่ง เจ้าลงไปอาบน้ำในสระย่อม ๆ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปทางบริเวณหลังบ้าน เป็นสระที่พวกบ่าวผู้หญิงได้รับอนุญาตให้ลงไปอาบเล่นได้ และเป็นที่หวงห้ามมิให้พวกบ่าวผู้ชายเดินกรายเข้าไป ในบัดนี้กฎข้อนี้ได้ถูกเลิกล้างไปแล้วโดยทางพฤตินัย เพราะผู้คนที่เคยใส่ใจในกฎต่าง ๆ ก็ไม่มีเวลาพอที่จะไปมัวห่วงใยในกฎเหล่านั้นเสียแล้ว ด้วยต้องใช้เวลาไปในการคิดถึงความเป็นอยู่ของตัวเสียเป็นอันมาก เมื่อปรางนุ่งผ้ากระโจมอกขึ้นมาจากท่าน้ำในยามใกล้โพล้เพล้นั้น เจ้าคิดว่าเจ้าอยู่แต่เดียวดาย เจ้าก็เอาผ้าถุงผืนแห้ง ผลัดผ้าที่เปียกออกตามสบาย พลางก็ครวญเพลงเบาๆ อยู่ในลำคอ เมื่อเจ้านุ่งผ้ากระโจมอกงามของเจ้าเสร็จลง พลางเงยหน้าขึ้นสลัดผมยาวที่ประไหล่อยู่นั้น เจ้าก็สะดุ้งและร้องวี้ดขึ้น เมื่อแลเห็นดวงหน้าที่มีขากรรไกรใหญ่ของชายหนุ่มโผล่ขึ้นมาทางหลังพุ่มต้นเข็ม ซึ่งสูงแค่คอและอยู่ห่างออกไปเพียงสองสามก้าว

“พี่จัน มายืนซุ่มแอบดูอะไรอยู่นั่นน่ะ” เจ้าร้องทักออกไป สีหน้าคลายความตื่นลง เมื่อจำได้ว่าเป็นคนสนิทกัน

“พี่ไม่ได้ตั้งใจมาซุ่ม แอบดูอะไรหรอก พี่ออกมาเดินเล่นเท่านั้นแหละ” จันทาหัวเราะหึ ๆ “ทำไมปรางถึงต้องส่งเสียงทำหน้าตาตกอกตกใจอย่างนั้น”

“ฉันกลัวผู้ชายมาแอบดู...” เจ้าก้มหน้ามองลงไปที่กองผ้าเปียก ทำทีท่าสะเทิ้นอาย “พี่จันมาเห็นฉันทำอะไรบ้าง”

เจ้าหนุ่มลูกทุ่งบ้านโนนดินแดง เดินกรายออกมาจากพุ่มไม้ ท่าทางของเขาแสดงความเป็นชายหนุ่มแน่น แทบจะทัดเทียมกันกับความเป็นสาวปลั่งของปราง เขาย่างก้าวไปยืนตรงหน้าเจ้า จ้องดูหน้าเจ้าเสียเต็มตาจนแม่สาวตาคมต้องหลบตา

“แม่ปรางเอ๋ย พี่ขอยอมรับว่าเจ้าเติบโตเป็นสาวเต็มที่แล้ว พี่มัวแต่หลับตาเสียนาน” เสียงของเขาสะท้านและมีความจริงจัง

“อย่าทำไถล” ปรางเชิดหน้าขึ้นตอบคำทัก “ตอบฉันมาก่อนว่า มาเห็นฉันทำอะไรบ้าง”

“พี่จาระไนไม่หมดหรอก ตั้งแต่ขึ้นจากน้ำมา เจ้าทำอะไรบ้างก็ตอบเอาเองเถอะ” สีหน้าของเจ้าหนุ่มระรื่น

“พี่ก็เห็นหมด...” เจ้าสะบัดหน้า ตาคมของเจ้าขุ่น

“ไม่หมดหรอก พี่เห็นเท่าที่เจ้ายินยอมให้เห็น”

“คนอะไร! ใครเขาไปยินยอม...” เจ้ากำมือยกขึ้นทุบที่ไหล่เขา

“มือกำของเจ้านุ่ม ไม่เหมือนกำมือของหญิงชาวนาเลย” จันทายิ้มละไม นัยน์ตาจ้องจับดวงหน้าของเจ้าอยู่ “แต่ระวังผ้าที่หน้าอก เจ้านุ่งไว้ไม่แน่น มันจะหลุดลุ่ยลงมา”

“ไม่ต้องมาตักเตือน” เจ้าค้อนคม พลางก็เอี้ยวกายหันข้างให้เจ้าหนุ่ม เพื่อขมวดผ้าที่กำบังทรวงอกให้แน่น แล้วเจ้าก็หันมาเผชิญหน้ากับเขา ด้วยอาการผึ่งผาย “แน่นแล้ว” เจ้าร้องบอกพร้อมกับหัวเราะร่าเริง

นัยน์ตาของจันทา ทอดอยู่บนสองไหล่ที่มีเนื้อเต็มของเจ้า แล้วก็เหลือบตาลงมา เจ้าจึงร้องขึ้นว่า “วันนี้ตาของพี่จันซุกซนนัก”

“เจ้าเป็นสาวแล้ว แม่ปรางเอ๋ย” เจ้าหนุ่มพูดเสียงเครือ

“ไม่ต้องมาบอกฉันหรอก ฉันรู้นานแล้ว ฉันไม่ได้มัวงมโข่งนั่งหลับอยู่กับตำรากฎหมาย เหมือนพี่จันนี่” เจ้าหัวเราะเสียงใส พลางก้มกายลงหยิบขันทองเหลืองที่วางอยู่บนพื้นดิน จันทาก็ทอดสายตาลงพิศสรรพางค์ของเจ้า แล้วเจ้าฉวยผ้าเช็ดตัวบนราวไม้มาคลุมไหล่ ชายตาหวานไปทางจันทา พลางเจ้าร้องขึ้นว่า “ฉันไปละ ฉันกลัวนัยน์ตาพี่จัน”

แล้วเจ้าก็ออกวิ่งดุ่ม ๆ ไป เจ้าหนุ่มแลตามร่างยวนใจนั้นไปไม่วางตา ประหนึ่งเขาได้เห็นมิตรหญิงของเขาเป็นครั้งแรก ภายหลังที่ได้ห่างเหินกันไปหลายปี

กลับมาถึงเรือนเข้าไปในห้องส่วนตัวของเจ้าแล้ว แทนที่จะหยิบเสื้อมาสวม แม่สาวปรางทรุดกายลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบกระจกมาส่องดูหน้า แล้วก็ส่องดูไหล่อันสล้างของเจ้า จ้องดูยิ้มและตาหวานของเจ้าในกระจก พลางก็ทอดถอนใจ ในวันนี้เจ้าป้วนเปี้ยนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เวียนส่องกระจกและพิถีพิถันในการแต่งกายนานกว่าปกติ ฝ่ายจันทาเมื่อถึงเวลาดูกฎหมาย ในตอนค่ำคืนดูหนังสือไปได้สักพักหนึ่งก็วาง แล้วก็ลุกจากโต๊ะหนังสือตัวเล็กๆ ที่เขาได้ต่อมันขึ้นเอง พร้อมด้วยเก้าอี้ไม้ขนาดพอเหมาะกับโต๊ะ เขาเดินไปยืนพิงขอบหน้าต่าง สายตาทอดออกไปภายนอก แม้ว่าจะเป็นคืนเดือนมืด ไม่สามารถที่จะมองเห็นอะไรที่น่าชมเลย เขาก็ยืนอยู่ ณ ที่นั้นเป็นเวลานาน สายตาของเขาจับอยู่ที่เรือนของคุณลมัยซึ่งเห็นตะคุ่มอยู่ในท่ามกลางความมืด และมีแสงไฟรำไรภายในเรือนนั้น เขาเดินกลับมาที่โต๊ะจับหนังสือพลิกไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แต่มิได้นั่งลงอ่าน เขาปูเสื่อลงนอนเล่น มือขวาก่ายหน้าผากมองดูเพดานไม้สกปรกเต็มไปด้วยหยากไย่ แล้วก็นอนหลับไป โดยไม่ได้กางมุ้งและดับตะเกียงหลอด

ตั้งแต่วันนั้นมา เจ้าหนุ่มลูกบ้านโนนดินแดง ก็รู้สึกว้าเหว่และเหงาหงอยไป จิตใจก็ออกจะเลื่อนลอย การทำงานและการอ่านหนังสือตำรา ไม่ดำเนินไปอย่างทะมัดทะแมงแข็งขันเหมือนเช่นเคย ในยามเย็นเขามักเว้นเสียมิได้ ที่จะเดินกรายไปมาอยู่ห่างๆ ทางบริเวณเรือนคุณลมัย ในบางครั้งคราว ปรางก็ออกมาเดินลับๆล่อๆ ให้เขาได้เห็นตัว และในบางครั้งคราวเมื่อเห็นว่าปลอดสายตาจากคุณลมัย ปรางก็จะหลบออกมาพบกับเขา และเขาทั้งสองก็ได้มีโอกาสสนทนาปราศรัยกันชั่วครู่ชั่วยาม อย่างไรก็ดี การพบปะสนทนากับมิตรสาวในตอนหลัง จันทารู้สึกว่า ความสนิทสนมเยี่ยงพี่เยี่ยงน้อง ระหว่างเขากับปรางแต่เก่าก่อน ดูจะจืดจางไป เขาอดรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยไม่ได้

บ่ายวันอาทิตย์วันหนึ่ง ขณะที่ปรางนั่งร้อยดอกไม้อยู่ในห้อง แลเห็นเงาคนทอดเข้ามาทางประตูที่เปิดไว้ เงยหน้าขึ้น เห็นจันทายืนขวางประตูอยู่ ก็แปลกใจแกมตกใจ เพราะว่าจันทาไม่เคยโผล่หน้าเข้าไปในห้องเจ้าเลย จันทาขยาดหวาดกลัวกฎผู้ดีของคุณลมัยนัก ทั้งเขาก็รู้อยู่ว่า คุณลมัยไม่ชอบหน้าเขา หากไม่มีกิจธุระแล้ว เขาไม่อยากแม้แต่จะเดินกรายเข้าไปใกล้เรือนคุณลมัย มีแต่ปรางที่เคยทำไถลมาหาแม่สาย แล้วก็แอบโผล่เข้าไปสนทนากับจันทาถึงในห้องของเขา

“พี่จันทามาทำไมน่ะ?” ปรางวางมือจากดอกไม้ ร้องถามออกไปด้วยสีหน้าตื่นๆนิดหน่อย “พี่ไม่สบายรึ? จะมาเอายาหรือจ๊ะ?”

จันทามีท่าทีลังเลใจ ในคำตอบของเขา

“ความจริงพี่ไม่สู้สบาย แต่ก็ไม่ถึงกับจะต้องกินหยูกกินยา”

“แล้วพี่จันมาที่ห้องฉัน มีธุระอะไรล่ะ”

“ธุระเจาะจงอะไรก็ไม่มีหรอกแม่ปราง” เสียงของเขาไม่สู้จะราบเรียบนัก “อยากจะมาคุยถามทุกข์สุขกันบ้าง ฉันไม่เคยมาเยี่ยมปรางถึงห้องเลย จะเข้าไปคุยกับเจ้าในห้องได้ไหม?”

“ฉันไม่รู้เหมือนกัน” ปรางตอบหน้าตาล่อกแล่ก แต่ในดวงตาของเจ้าก็ยังมีแววร่าเริง “ลองเข้ามาซิจ๊ะเมื่อพี่จันมาเยี่ยม ฉันก็ควรต้อนรับ”

จันทาก้าวข้ามธรณีประตูไปยืนงงอยู่ชั่วครู่หนึ่ง

“หับประตูเข้ามาหน่อยจ้ะกันคนปากบอนมันเดินอยู่ไกลๆ มองเข้ามา” ปรางร้องสั่งพลางปูเสื่อให้เรียบร้อย ขณะนั้นจันทาดึงประตูปิดเข้ามาจนแน่น ปรางจึงร้องขึ้นว่า “ปิดแน่นอย่างนั้นก็ไม่ดี ใครมันรู้เข้าจะถูกนินทาตาย เปิดปิดครึ่งถึงจะค่อยยังชั่ว” แล้วปรางก็เดินมาจัดแจงเรื่องหับประตูด้วยตนเอง

เมื่อนั่งลงบนเสื่อเรียบร้อยแล้วทั้งสองคน แม่สาวเจ้าบ้านได้ถามขึ้นว่า “พี่จันไม่กลัวคุณแม่ลมัยมาเจอเข้าหรือ?”

“ก็กลัวเหมือนกัน” จันทายิ้มแห้งๆ “แต่ความที่อยากพบเจ้ามันมีมากกว่าความกลัว”

“ไหนพี่จันบอกว่าไม่มีธุระอะไร?”

“ว่าอย่างนั้นก็ถูก พี่ทราบว่าคุณลมัยไปวัดกับคุณหญิง กว่าจะกลับก็ตกเย็นค่ำ จึงหาโอกาสมาคุยกับเจ้า”

“จะคุยกับฉันเรื่องอะไรล่ะ”

“ก็เป็นเรื่องความทุกข์สุข”

“ความทุกข์สุขของฉัน หรือของพี่?”

“แม้, เจ้าซักยังกะพี่มาให้การเป็นพยาน และเจ้าเป็นทนาย” จันทาหัวเราะเบาๆ รู้สึกคลายความตื่นเต้นลงบ้าง

“ไม่ซัก ทำไมจึงจะรู้ว่าจะคุยกันด้วยเรื่องอะไร” ปรางหัวเราะตอบ

“ก็คุยกันไปเรื่อยๆ มันก็ค่อยรู้ไปเอง”

“ฉันอยากรู้--ความทุกข์สุขของใคร”

“มันก็ปนๆ กัน ทั้งของเจ้าและของพี่”

ปรางช้อนสายตาขึ้นสบตาเจ้าหนุ่มแล้วก้มหลบแลไปทางอื่น

“แม่ปรางคิดถึงเรื่องอะไร?”

“คิดถึงว่าพี่จันจะพูดกับฉันเรื่องอะไร?” เจ้าทำนัยน์ตาชดช้อย

เขามองหน้าสาวเต็มตา ถามว่า “เคยคิดถึงพี่บ้างหรือเปล่า?”

“พี่จันถามทำไม?” เจ้าเหลือบตาสบกับเขาอีก

จันทาก็สบตาเจ้าไม่วาง จนเจ้าหลบตาไปเจ้าหนุ่มลูกบ้านโนนดินแดงจึงพึมพำขึ้นว่า

“นัยน์ตาของเจ้าหวานนัก”

“ไหนพี่จันว่าจะพูดเรื่องทุกข์สุข?” คราวนี้เจ้าก้มหน้า

“ก็นี่แหละเป็นเรื่องทุกข์สุขของเรา” เจ้าหนุ่มยิ้มอย่างอาจหาญ

“แปลก!” เจ้าอุทานพลางหัวเราะเบาๆ “นัยน์ตาของฉันจะหวานหรือจะเปรี้ยวเค็มอย่างไรไม่เห็นจะไปเกี่ยวข้องกับความทุกข์สุขของใคร”

“ทำไมจะไม่เกี่ยว มันทำให้พี่นอนไม่หลับ”

“เป็นอะไรไปเล่าจ๊ะ” เจ้าถามเสียงใส แต่มิได้เงยหน้า

“พี่คิดถึงและอยากจะได้ไว้” จันทาระบายลมหายใจยาว เมื่อได้พูดประโยคที่เขาคิดว่าสำคัญนักหนาออกไปแล้ว

ปรางรู้สึกว่าอบอุ่นไปทั่วกาย เอามือกรีดไปตามเสื่อ นิ่งอยู่นิดหนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นทันที ทำกิริยาร่าเริงเป็นปกติ หัวเราะพลางพูดว่า “อย่ามาควักเอานัยน์ตาของฉันไปเลยจ้ะ ถ้าพี่จันชอบของหวาน ฉันจะไปยกลูกตาลเชื่อมมาให้รับทาน ฉันก็ลืมหาของมาเลี้ยงพี่จัน”

พอปรางขยับตัวจะลุกขึ้น จันทาก็เอื้อมมือมายึดแขนเจ้า เจ้าก็ต้องนั่งลงดั่งเดิม หนุ่มยังคงจับแขนสาวประคองไว้ พร้อมกับพิศดูท่อนแขนอ่อนละมุนของเจ้าพลางก็บีบเบา ๆ ปรางปลดมือเขาออก หน้าของเจ้ามีสีโลหิตเรื่อ ๆ

“ปล่อยแขนฉันเถอะพี่จัน ใครเขาเห็นเข้ามันจะไม่งาม”

เขาคลายมือออกโดยดี รำพันว่า “ไม่รู้เลยว่า แขนของเจ้าอ่อนนุ่มถึงปานนี้”

เจ้าเอาแขนไขว้ไปข้างหลัง นัยน์ตาชะม้อย

“อย่าชมโฉมฉันนักเลยพี่จัน แล้วก็อย่าจ้องมองฉันนักซี” เสียงสาวสะเทิ้น

“ก็ปรางเกิดมาเป็นคนสวยเอง จะโทษใครได้เล่า” เสียงหนุ่มสะท้าน

สีหน้าของเจ้าอิ่มเอิบแสดงความระรื่นใจ แต่เจ้าก็เสแสร้งพูดกลบเกลื่อนเสียว่า “พี่จันว่าจะมาพูดเรื่องทุกข์สุข ก็ทุกข์สุขกันจริง ๆ เถอะ”

จันทาทอดถอนใจ นั่งก้มหน้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “จะขอบอกเจ้าตามตรงว่า พี่รักแม่ปรางจะว่ากระไรพี่ไหม”

เจ้าสะดุ้ง ถึงแม้จะเป็นการเปิดเผยความรู้สึกที่ไม่ไกลเกินความคาดหมายของเจ้า เจ้าก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้เมื่อมาได้ยินกะหู เจ้ารู้สึกปรีดิ์เปรมที่ได้ฟังถ้อยคำฝากรัก แต่เจ้าไม่อยากตอบ ทั้งรู้สึกลำบากใจที่จะตอบ

“ฉันก็ไม่ว่ากระไรหรอก” เจ้าเมินหน้าไปทางอื่น “แต่อยากทราบว่า รักฉันอย่างไหน”

“ฉันรักแม่ปรางอย่างหนุ่มรักสาวนั่นแหละ”

“พี่จันไม่ได้รักฉันอย่างพี่รักน้องดอกหรือ?” เจ้าทำไก๋

“ก็รักอย่างพี่น้องด้วย แล้วก็รักอย่างหนุ่มสาวด้วย”

“อย่ารักฉันอย่างหลังเลย” เจ้าก้มหน้า

จันทายิ้มแย้มด้วยนึกว่าเจ้ากระดาก “เป็นไรไปเล่าปรางเอ๋ย?”

“ฉันรับรักอย่างนั้นของพี่ไม่ได้” เสียงของเจ้าเบา

เขาอึ้ง “แม่ปรางไม่รักพี่หรือ?”

“ฉันรักพี่ อย่างน้องรักพี่”

สีหน้าของเขาแจ่มขึ้น “แล้วมันจะแปลกอะไร ถ้าจะปรุงรักนั้นเสียใหม่”

“ฉันปรุงไม่ได้ ฉันไม่ปรารถนาจะปรุงให้มันเป็นอื่น”

“เหตุใดเล่า?”

“ฉันไม่คิดจะเป็นเมียพี่ ถึงแม้ฉันจะรักพี่”

เขาอึ้งไปอีกคราวนี้สีหน้าของเขาเริ่มสลดลง

“เจ้าพูดอย่างไรพี่ไม่เข้าใจ เจ้ารักพี่ แต่ไม่คิดจะเป็นเมียพี่”

“ก็จริงอย่างนั้นนี่จ๊ะ” เสียงของเจ้าเครือ “ฉันรักพี่จันฉันพี่เท่านั้น”

เขามีทีท่าตกใจ “เจ้ามีคนรักเสียแล้วหรือปราง?”

“ยังหรอกพี่”

“แล้วทำไมจะรักพี่ยิ่งกว่าพี่น้องไม่ได้”

“ฉันไม่ปรารถนาจะเป็นเมียพี่”

หน้าของเขาสลดใจของเขารันทด

“พี่เป็นคนชั่วช้าอย่างไรหรือ?”

“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก พี่เป็นคนดีเหลือเกิน” คราวนี้เจ้าเงยหน้าขึ้นดวงหน้าของเจ้าเศร้า ดวงตาของเจ้าโศก “ฉันไม่อยากเป็นเมียพี่ เพราะฉันเกลียดชีวิตบ้านนอก อย่างเข้ากระดูกดำ”

“ทำไมจึงคิดเช่นนั้นเล่า น้องเอ๋ยตัวเจ้าก็มาจากบ้านนอก”

“เพราะเหตุว่า ฉันมาจากบ้านนอกนะซีพี่จัน เพราะว่าฉันรู้เช่นเห็นชาติชีวิตบ้านนอกว่ามันเป็นอย่างไรน่ะซิ ฉันถึงได้เกลียดชีวิตเช่นนั้น” เจ้าพูดด้วยน้ำเสียงอันแสดงความรู้สึกจริงจังและจริงใจ “มันเป็นชีวิตที่ยากแค้น ขาดแคลนไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง บางคราวก็อดอยาก ตลอดชีวิตมีแต่ความลำบากยากจน พี่จันรู้จักมันดียิ่งกว่าฉันเสียอีก ฉันทั้งเกลียดและกลัวมันจ้ะ ฉันจะไม่ยอมกลับไปหามันอีกเลย จะดีจะชั่วอย่างไรฉันก็จะขอตายอยู่ในกรุงเทพฯ นี้แหละ”

“แล้วทำไมปรางถึงมาตัดรอนพี่ มาพลอยเกลียดพี่ไปด้วยเล่า”

“เป็นความสัตย์ ฉันไม่ได้เกลียดพี่เลย” เจ้ามองดูเขาด้วยสายตาละห้อย “พี่มาจากบ้านนอกและพี่เคยบอกฉันว่า พี่จะไม่ลืมชาวบ้านนอกของพี่ และวันหนึ่งพี่จะกลับไปอยู่กับเขาอีก แล้วก็อ้ายบ้านนอกในบ้านเมืองของพี่ มันยิ่งน่ากลัวไปกว่าบ้านนอกที่ไหน ๆ หมด ฉันกลัวและเบื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นบ้านนอก”

“เจ้าไม่ควรลืมถิ่น ไม่ควรจะทอดทิ้งพี่น้องชาวนาของเจ้า”

“พี่จันอย่ามาพูดชักจูงฉันเลยไม่สำเร็จหรอก” เมื่อเจ้ามองข้ามไหล่เขาไปนั้น นัยน์ตาของเจ้าหม่นหมองและมีแววหวาดกลัว “เมื่อฉันยังเล็ก ๆ อยู่ คืนวันหนึ่ง แม่ออกไปที่ท้องนากับน้าไปเที่ยวปักเบ็ดจับปลาตามหนอง ฉันอยู่ที่บ้านได้ยินเสียงลมพายุพัดอู้ ได้เห็นฟ้าแลบแปลบปลาบได้ยินเสียงฟ้าร้องลั่น และได้ยินเสียงเหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา ฉันตกใจถึงกับร้องไห้ อีกครู่ใหม่ ๆ น้าวิ่งฝ่าฝนเปียกโชกมาจากทุ่งนาเข้ามาในบ้านด้วยหน้าตื่นกลัวและร้องไห้ คนในบ้านร้องถามว่า แม่ของฉันไปอยู่ที่ไหน จึงยังไม่มา น้าร้องไห้โฮบอกว่า แม่ถูกฟ้าผ่าล้มกลิ้งอยู่ในทุ่งนา เมื่อพวกในบ้านพากันออกไปช่วยเหลือ ก็ได้พบแม่ตายเสียแล้ว ตามตัวแม่เขียว มีรอยไหม้ เลือดออกทางจมูกทางปาก นึกถึงแล้วขนลุก” เล่าถึงตอนนี้ปรางนัยน์ตาแดง ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมออกมา “ฉันจะไม่ขอกลับไปอยู่บ้านนอกให้ถูกฟ้าผ่าตายอย่างน่าสยดสยองเหมือนแม่อีกคนหนึ่ง พี่จันเป็นผู้ชายจะทำประโยชน์ให้พวกพ้องของพี่ได้ อยากจะกลับก็กลับไปเถอะ แต่ฉันน่ะจะไม่ขอกลับไปเหยียบบ้านเดิมของฉันอีกแล้ว ฉันสวดมนต์ภาวนาอยู่ทุกค่ำคืนวัน อย่าได้ไปผุดไปเกิดเป็นเด็กบ้านนอกอีกเลย ทั้งโง่เง่า ทั้งลำบากยากแค้นสารพัดอย่าง ฉันไม่โง่เหมือนควาย และมีความสุขสบายกับเขาบ้างก็เมื่อมาอยู่ในกรุงเทพฯ นี้แหละ ฉันจะขอเอากรุงเทพฯ เป็นเรือนตาย”

เจ้าพูดจาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนจันทารู้สึกสะท้านใจ

“ปรางจะตายกับใครในกรุงเทพฯ?”

“ฉันยังไม่รู้หรอก”

“ถ้าพี่จะอยู่และตายในกรุงเทพฯ ปรางจะตายกับพี่หรือไม่?”

“พี่อย่าพูดอย่างนั้นเลย พี่มีความคิดไม่เหมือนฉัน พี่ไม่ยอมทิ้งพวกพ้องของพี่หรอก” เจ้ามองหน้าเขาด้วยสายตาที่เหมือนกับสายตาของคนผิด แสวงหาการยกโทษ “ฉันรักพี่จันอย่างพี่ และฉันจะไม่เป็นเมียพี่ ฉันจะมีผัวเป็นชาวกรุงเทพฯ ฉันจะมีผัวเป็นชาวกรุงเทพฯ และจะหาความสุขอย่างคนในกรุงเทพฯ”

“ปรางเห็นว่า พี่ไม่คู่ควรกับเจ้า เพราะพี่เป็นคนบ้านนอก”

“พี่จันอย่าติเตียนฉันเลย พี่เป็นคนประเสริฐ แต่ฉันมันใจแตกเสียแล้ว” เจ้าพูดด้วยน้ำเสียงวิงวอน

“เจ้าคงมีหวังในคู่ครองที่เป็นชาวกรุงเทพฯ แล้วละกระมัง”

“ยังหรอกพี่จัน แต่ฉันก็จะตะเกียกตะกายดิ้นรนไปให้พบจนได้”

“มันไม่น่าละอายหรือ ถ้าเจ้าคิดเช่นนั้น?”

“คำโบราณท่านว่าไว้ว่า ‘เป็นสตรีสุดดีแต่เพียงผัว จะดีชั่วก็แต่ยังกำลังสาว’”

เมื่อเจ้าอ้างคำของท่านโบราณาจารย์ขึ้นมาสนับสนุนความคิดเห็นของเจ้า จันทาก็อ้ำอึ้งไป ถึงแม้เขาออกจะสงสัยในความถูกต้องของคำชี้แนะที่ท่านโบราณาจารย์ได้แสดงไว้ เขาก็ยังหาเหตุผลที่ดีพอมาหักล้างไม่ได้

“คุณลมัยบอกฉันว่า รูปของฉันจะเป็นทรัพย์ และรูปของฉันอาจจะทำให้ฉันได้เป็นผู้ดีกับเขาสักวันหนึ่ง” เจ้าพรรณนาต่อไป

“เจ้าออกจะฝันใหญ่โตเกินไปเสียแล้วกระมัง”

“ฉันฝันจริงจ้ะพี่จัน แต่ก็ไม่ใหญ่โตเกินประเพณีเขาไปหรอก” เจ้าเชิดหน้าพูด แต่ไม่ยอมสบตากับเจ้าหนุ่มผู้กำลังมีน้ำตาไหลรินอยู่ในใจ “คนไม่มีสกุล ไม่มีใครรู้จักหัวนอนปลายตีนได้เป็นหม่อมเป็นคุณนายกันถมไป ดูคุณอบเชย คุณบานชื่นเป็นตัวอย่างซิพี่จัน แต่ก่อนเธอก็เป็นบ่าวอยู่ในบ้านนี้ แล้วเดี๋ยวนี้เขาเป็นอะไร ฉันอยากได้รับการเลี้ยงดูเป็นสุขสบายอย่างนี้บ้าง”

“เจ้ามีความทะเยอทะยานมาก” จันทาส่ายหน้าคอตก

“เกิดมาเป็นคนจน มันต้องคิดอ่านดิ้นรนกันไปซิจ๊ะ พี่เป็นชายก็หาวิชาดิ้นรนไปทางหนึ่ง ฉันเป็นหญิงก็จะใช้รูปร่างของฉันดิ้นรนไปทางหนึ่ง”

“แม่ปรางเอ๋ย บางทีเจ้าจะเลือกทางผิดเสียแล้วกระมัง ถ้าพี่จะห้ามปราม ก็เหมือนพี่จะห้ามเพราะเห็นแก่ตัว”

“อย่าห้ามฉันเลย พี่จัน ฉันได้บอกกะพี่แล้วว่า อีปรางมันใจแตกเสียแล้ว”

“เจ้าใฝ่ฝันจะเป็นคู่ครองของคุณวัชระหรือแม่ปราง” จันทากลั้นใจเมื่อเขาตั้งคำถามนี้ออกไป เขาปรารถนาจะได้ฟังคำที่ปฏิเสธ แต่ปรางตอบเขาว่า

“พี่รู้ใจฉันได้อย่างไร?”

ใจของจันทาหายวาบ

“พี่ลองถามดู เพราะพี่เคยเห็นคุณวัชระมายืนคุยกับเจ้าที่หน้าห้อง”

นัยน์ตาของเจ้าวาววาม ด้วยความรู้สึกเคลิ้มฝัน

“คุณวัชระเคยซื้อช็อกโกเลตและน้ำอบฝรั่งมาให้ฉัน คุณบอกว่าความสวยของฉัน ควรได้รับการดูแลอย่างเด็กผู้ดี”

“เจ้าก็หลงเขาละซี”

เจ้าเอียงคอยิ้ม แล้วก็พึมพำออกมาว่า “มันก็น่าหลง” เจ้าถอนใจนั่งยิ้มพริ้มพรายอยู่ครู่หนึ่ง มันเป็นยิ้มที่เชือดเฉือนใจเจ้าหนุ่มที่นั่งซึมเซ่ออยู่ตรงหน้า แล้วเจ้าก็พรรนาต่อไป “ท่านเป็นผู้ดีมีศักดิ์สูง ถ่อมตัวลงมาพูดคำหวานกับเรา คุณวัชระบอกว่า เคยคิดจะพาฉันไปนั่งรถยนต์เที่ยวเล่น แต่กลัวๆ จะรู้ไปถึงคุณหญิง คุณวัชระบอกว่า ที่เขาเปลี่ยนแปลงการปกครองกันนี่ก็ดีไปอย่าง คุณหญิงมัวแต่กลุ้มใจไม่มีเวลาที่จะมายุ่งกับเรื่องของลูกๆ เหมือนแต่ก่อน คุณคงจะพาฉันไปนั่งรถยนต์เที่ยวด้วยกันได้ในไม่ช้า คุณว่ามันเป็นสมัยของเสรีภาพ”

เสรีภาพ !

มันเป็นคำที่จับใจจันทาอยู่เหมือนกัน เช่นเดียวกับที่มันเป็นที่จับใจประชาชนทั่วไป เขากำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่ในกฎหมายรัฐธรรมนูญและจากบทความต่างๆ ในหนังสือพิมพ์ แต่เสรีภาพของคุณวัชระที่ปรางได้เอ่ยถึงนั้น มันเป็นเสรีภาพที่ทำให้เขารู้สึกเสียวปลาบขึ้นมาในใจ

เหมือนกับคนที่ถูกชกล้มคว่ำลงไปแล้ว ก็ลุกขึ้นมาตั้งคำถามแก่ผู้ชนะด้วยนัยน์ตาเลื่อนลอย เพราะความมึนงงเขาถามสาวว่า

“คุณวัชระเขาบอกว่า เขารักเจ้ารึ?”

“คุณยังไม่ได้บอก เมื่อถึงเวลาอันสมควร คุณคงจะบอก” ทั้งน้ำเสียงและทั้งแววตาของเจ้า แสดงว่าเจ้ากำลังท่องเที่ยวอยู่ในวิมานแห่งความฝัน “คุณวัชระบอกว่า จะสอนให้ฉันเต้นรำ คุณว่ามันทำให้เพลินใจ ดีกว่าเจ้ารำวง และอะไรต่างๆ ที่เราเคยเล่นกันตามบ้านนอกมากมายนัก คุณจะสอนให้ฉันเต้นรำอย่างที่ฝรั่งเขาเต้นกัน แล้วก็จะสอนให้ฉันร้องเพลงฝรั่ง และหัดพูดภาษาอังกฤษ แล้วก็---” เจ้าหยุด ทรวงของเจ้าสะท้อนด้วยความลิงโลดใจ

“เจ้ารักคุณวัชระ ยิ่งกว่ารักพี่เสียแล้วหรือแม่ปราง ?”

เสียงของเจ้าหนุ่มสั่นเครือ เสียงของเขาเต็มไปด้วยกังวานของความปวดร้าวใจ คำถามนี้แล่นกระทบใจปราง ทำให้เจ้าสะท้านใจ และตื่นจากภวังค์

“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก พี่จัน ฉันรักและนับถือพี่มากจริงๆ” สีหน้าของเจ้ากลับมาสู่ความละห้อย แววตาของเจ้าแสดงความวิงวอนขอความเห็นใจ “ฉันอยากรักคุณวัชระ ก็เพราะว่า ฉันคิดถึงความสุขสบายของฉันเท่านั้นเอง”

“เจ้าไม่เหมือนกับแม่ของพี่” เจ้าหนุ่มพูดด้วยเสียงแค้น จ้องหน้าเจ้าจนเจ้าต้องหลบสายตา “เจ้าไม่มีความมั่นคง ใจเจ้าไม่ซื่อตรง เจ้ารักพี่ แต่เจ้าก็ดิ้นรน จะไปเป็นเมียของชายอื่น”

“พี่จันจ๋า ฉันกลัวและเบื่อชีวิตบ้านนอกเสียเหลือเกิน ขอให้เห็นใจฉันเถอะ” เจ้าคร่ำครวญ

“พี่คิดว่า เจ้าเดินทางผิด เจ้าถูกนำไปในทางที่ผิด พี่เกรงว่าในภายหน้า เจ้าจะได้ความลำบาก” หน้าของหนุ่มเคร่งขรึม และสงบนิ่งเหมือนรูปปั้น

“ก็สุดแต่บุญกรรมเถิดพี่ ใจฉันมันแตกเสียแล้ว” เจ้าสะอื้น

จันทามองเจ้าด้วยสายตาที่มีความรู้สึกทั้งแค้นและทั้งปรานี พลางเอื้อมมือไปจับมือเจ้าลูบคลำเบาๆ เจ้าก็ยอมให้เขาจับต้อง โดยไม่มีตระแหน่แง่งอน

“มือเจ้าอ่อนนุ่ม แต่ใจเจ้าไม่งามเหมือนมือของเจ้า” เขาพูดด้วยความรันทดใจ “น้ำใจของเจ้าไม่เหมือนกับน้ำใจของแม่”

เจ้าก้มหน้าสะอึกสะอื้นไม่ได้โต้ตอบ หยาดน้ำตาหยดลงต้องแขนจันทา และไหลเป็นทางลงไปบนเสื่อ จันทามองดูสายน้ำตาของเจ้าแล้วก็ทอดถอนใจ.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ