๏ อาวาสโวหาร ๏
๑๏ ขอแสดงแจ้งกิจลิขิตไข | |
เป็นทางเพทโลกีย์คดีไทย | ด้วยเราได้ยินข่าวเขากล่าวกัน |
ว่าพวกหนึ่งสึกลาสิกขาบท | ออกไปอดรวนเรอยู่เหหัน |
ไม่สมหมายเหมือนคิดที่ติดพัน | ก็ป่วนปั่นป่นปี้เข้าทีจน |
จะวางสื่อสืบสายเล่นรายใหม่ | ก็ขัดในถุงเค้ากระเป๋าหล่น |
เขาล้วงตับกินสิ้นองค์ด้วยหลงกล | เหลือแต่ตนเจ็บยอกดังหอกตำ |
ยังพวกหนึ่งฮึกเหี้ยมไม่เจียมจิต | ไปแนบชิดนางโรงจนโครงบ๋ำ |
น้ำตาตกอกพร่องเป็นหนองช้ำ | จนเลยซ้ำมรณาชีวาวาย |
บางบุรุษรักนางที่ร่างรัด | หลงสัมผัสไปจนเลยเสวยหลาย |
เห็นแก่กินไม่รู้กาลประมาณกาย | ยังอีกรายหนึ่งหวังที่มั่งมี |
ครั้นเขาก่งทุนสินต้องผินกลับ | ไม่มีทรัพย์จะไปกองเขาต้องหนี |
ที่จริงจิตอยากจะได้แต่ไม่มี | ก็เสียทีปรารถนามาช้านาน ฯ |
๏ ฝ่ายสตรีก็อุบายหลายชนิด | บ้างชอบชิดเชื้อขุนนางอย่างวิถาร |
มีบ่าวไพร่ชายหญิงทรัพย์ศฤงคาร | พลอยเดินสารเข้าไปรักก็มักชุม |
บ้างชอบคนรูปเพราเป็นเจ้าชู้ | หมายเป็นคู่ร่วมหอมรสุม |
บ้างชอบเชื้อตระลาการศาลผู้คุม | บ้างชอบหนุ่มมีวิชาข้างหากิน ฯ |
๏ คดีโลกหญิงชายมีหลายอย่าง | เป็นต่างต่างฟังดูไม่รู้สิ้น |
เราคิดถึงอาตมาเป็นอาจิณ | ด้วยได้ยินข่าวคราวให้หนาวใจ |
ที่บางพวกข้างผัวดีมีสง่า | แต่ภรรยากลับเชือนข้างเลื่อนไหล |
ฉะเลาะตีด่ากันทุกวันไป | จนบ้านใกล้เรือนชิดระอิดระอา |
ที่พวกหนึ่งภรรยาอัชฌาชอบ | รู้รอบคอบตื้นลึกได้ศึกษา |
แต่ฝ่ายผัวทุจริตผิดตำรา | ต้องตีด่าเช้าเย็นไม่เว้นวัน |
ที่บางพวกโลโภโมโหหึงส์ | ใส่กันอึงทุ่มเถียงจนเสียงลั่น |
ไม่มีอายเพื่อนบ้านประจานกัน | พอลิ้นควันกลับฝืนมาคืนดี |
ทั้งผัวเมียเคี่ยวเข็ญไม่เป็นสุข | มีแต่ทุกข์หึงสาน่าบัดศรี |
มีเงินทองร้างเริดเกิดกุลี | ของเก่ามีพลอยม้วยเพราะป่วยการ ฯ |
๏ โอ้ตัวเราจะอย่างไรก็ไม่รู้ | มาตรองดูอาตมาน่าสงสาร |
เห็นเยี่ยงอย่างหญิงชายหลายประการ | จะอ้างอ่านเอาเป็นแบบไม่แยบคาย |
เราพิเคราะห์เสาะสอบระบอบเบื้อง | ตำรับเรื่องทำกินสิ้นทั้งหลาย |
คือความดีนี้แลจูงพยุงกาย | ทั้งหญิงชายเหมือนกันเป็นมั่นคง |
คนไม่ดีแม้นจะมีดังกำปั่น | ไม่กี่วันยับยุ่ยเป็นผุยผง |
เพราะผัวเมียสกปรกไม่ตกลง | จึงเสียวงศ์ความดีราศีมอม |
ถ้าแม้นดีทั้งเมียผัวไม่ชั่วช้า | อุส่าห์หารวมสิบคอยริบหอม |
จะกินอยู่ย่อมกำหนดสู้อดออม | รู้หว่านล้อมเบาหนักไม่ยักจน |
เป็นผู้ชายเรื่องเสียเพราะเมียรัก | ถูกที่นักเลงเล่นไม่เป็นผล |
ถึงหาได้วันละชั่งอย่ากังวล | คงจะจนเพราะด้วยเมียทำเรี่ยราย |
ถ้าเมียดีถึงผัวจะชั่วบ้าง | พอคัดง้างกันไว้ได้ไม่ให้หงาย |
ด้วยเงินทองอยู่ในมือเขามากมาย | เขากลัวขายเข้าเป็นข้าคอยว่าปราม |
นี่แลเราพวกบุรุษที่สุจริต | เร่งตรองคิดดูให้ดีอย่าผลีผลาม |
ถึงยากจนร่างรูปจะซูบทราม | เอาแต่ความสัตย์ซื่ออย่าถือเลย |
ถ้าใจเร็วด่วนได้ไม่พินิจ | มีเมียผิดเสียยี่ห้อนะพ่อเอ๋ย |
เหมือนปลูกเรือนผิดที่กะไม่เสบย | จะเปิดเผยหย่าขายก็อายคน |
เขาจะว่าสิ้นคิดตะบิดเบี้ย | ลงขายเมียกินเล่นไม่เป็นผล |
ครั้นกลัวอายเราไม่ทำก็จำจน | ด้วยเสียกลท่วงทีสตรีทำ |
แดนแผ่นดินนี้มิใช่เท่าใบพฤกษ์ | ควรจะนึกหาที่สตรีขำ |
แม้นหาจบมิได้พบต้องลำนำ | พึงอยู่ร่ำเดียวดายสบายดี |
อันร่วมเรือนเพื่อนชั่วย่อมมัวหมอง | เหมือนตั้งทองปนครั่งสังกะสี |
มีแต่ท่าเจ็บแค้นแสนทวี | ดังเรื่องมีแต่บุรำจะนำมา ๚ะ |
๏ ว่ายังมีสองสงฆ์ท่านทรงพรต | ถ้วนกำหนดคิดเสร็จเจ็ดพรรษา |
สำรวมศีลปฏิบัติอุปัชฌาย์ | ครั้นนานมาหน่ายนึกคิดสึกพลัน |
จึงปรึกษาปรองดองกันสองรูป | ว่าเราซูบซีดโศกโรคกระสัน |
เห็นสิ้นบุญที่ในคุณพรหมจรรย์ | จึงชวนกันเข้าไปหาพระอาจารย์ |
ว่ากระผมทั้งสองครองสิกขา | สิ้นศรัทธาแล้วขอรับต้องกับบ้าน |
นิมนต์โปรดผมด้วยช่วยพิจารณ์ | ดูฤกษ์การนั้นจะดีราศีใด |
ฝ่ายพระครูว่าดีแล้วชี้ต้น | สิ้นกุศลตามศรัทธาอัชฌาสัย |
หยิบกระดานมาพลันด้วยทันใด | เอาวันใส่ปีเดือนลงเรือนดู |
เก็บสอบสวนสิ้นกระบวนตำรับเวท | ก็แจ้งเหตุชัดเจนถึงเกณฑ์คู่ |
แต่องค์คราวเคราะห์เฉพาะกรู | พระศุกร์อยู่เสาร์แทรกเข้าแปลกปน |
พระอาจารย์บอกตรงว่าองค์นี้ | ชาตาดีสึกเถิดคงเกิดผล |
เนื้อคู่แท้ทิศอุดรอย่าร้อนรน | จะมีคนนำให้ได้สบาย |
แต่องค์นั้นเป็นเวลาชาตาขัด | ศุกร์สัมผัสเสาร์ทักอย่ามักง่าย |
ถ้าแม้นสึกแล้วคุณจะวุ่นวาย | ชาตาร้ายพารูดแทบทรุดเซ |
ทั้งเนื้อคู่ก็ซ้ำเป็นกำพร้า | ชันษาขัดสนระหนระเห |
อยู่ใต้ตัวเลขว่าอยู่อาคเนย์ | มักรวนเรทรัพย์น้อยไม่ค่อยมี |
ถ้าปีหน้าสิ้นเคราะห์แลเหมาะนัก | สึกก็จักนำให้ได้เศรษฐี |
จะมีคนชุบช่วยล้วนรวยมี | ชาตาดีเกณฑ์เลขเอกกระไร |
ท่านพระครูองค์นี้วิธีเลข | เป็นหมอเอกยอดตำราจะหาไหน |
ถ้าทักดีทักชั่วกับตัวใคร | ไม่เหลวไหลแม่นยำเป็นคำจริง ๚ะ |
๏ ฝ่ายสองสงฆ์ฟังสารอาจารย์บอก | ต่างลาออกมากุฎีดังผีสิง |
เข้าห้องล้มตัวนอนกับหมอนอิง | ไม่พูดนิ่งหน้าม่อยละห้อยทรวง |
องค์ที่ได้ฤกษ์ยามจึงถามไถ่ | เอออย่างไรฤกษ์ยามก็ห้ามหวง |
คุณจะสึกเป็นคฤหัสถ์มันขัดดวง | จะรอล่วงปีหน้าหรือว่าไร |
องค์เคราะห์ร้ายจึงตอบว่าชอบผิด | ลองเป็นทิดดูสักหนทนไม่ไหว |
จะยากจนแค้นรำคาญประการใด | ก็เป็นไปตามกรรมเราทำมา |
ปรึกษาพร้อมต่างลาสิกขาบท | ได้จริงหมดเหมือนท่านอาจารย์ว่า |
เจ้าทิดดีสึกไปได้ภรรยา | เชื้อแม่ค้าพ่อแม่อยู่แพชำ |
แต่ทิดร้ายเต็มขัดวิบัติสิ้น | จะหากินเจียนปิ้มไม่อิ่มหนำ |
มีเข้าของเปลื้องหมดปลดจำนำ | ครั้นจะทำจ้างขายก็อายชน |
ด้วยแต่ก่อนเขาเห็นเมื่อเป็นพระ | ก็ย่อมสะสวยแท้ครองแพรย่น |
เป็นนักเทศน์ฦๅชามหาพน | ครั้นสึกจนจ้างกินไม่สิ้นอาย |
จึงกลับจิตคิดว่าอนิจจาเอ๋ย | กระไรเลยเกิดก่อข้อฉิบหาย |
เราขืนอยู่ในเวียงไชยคงได้อาย | ไปซ่อนกายเรือกสวนเถอะควรการ |
เป็นลูกจ้างชาวบ้านนอกลอกท้องร่อง | พออิ่มท้องกว่าจะลับดับสังขาร |
ไม่มีใครทายทักรู้จักนาน | พอปิดการอายได้ไกลนคร |
จึงไปอยู่สวนล่างบางน้ำผึ้ง | พอไปถึงจ้างขุดไม่หยุดหย่อน |
ถึงหนักเบาก็ไม่พรั่นเฝ้าฟันฟอน | ค่ำก็นอนห้างสวนสงวนตน |
เจ้าของสวนเห็นดีที่ขยัน | ออกปากชมพูดกันไม่นับหน |
ว่าหนูลิ้มหลานเรายังเปล่าตน | ถ้าชอบกลจะให้อยู่เป็นคู่ครอง |
ทั้งผัวเมียพร้อมใจจึงไขท่า | ทำพูดจาแชเชือนเป็นเงื่อนสอง |
ว่าหลานเรานี้ผู้ใดพอใจปอง | ตรงเงินทองไม่ประมาณแต่การดี |
ถ้าคนชั่วถึงจะมีสักสี่หาบ | เราขอสาปเกลียดหน้ายิ่งกว่าผี |
ไม่อยากคบคนขี้ถังที่มั่งมี | เขาถือดีไว้ตัวไม่กลัวจน |
ถ้าคนดีมีพร้ามาสักเล่ม | เราก็เต็มใจให้ไม่ฉงน |
รู้จักหาก็ย่อมได้วิสัยคน | คงให้ผลมีมั่งสักครั้งคราว ๚ะ |
๏ ฝ่ายทิดร้ายฟังดูรู้ตระหนัก | ว่าเขารักเราแน่กระแสข่าว |
กลับขยันหนักขึ้นตื่นแต่เช้า | หมากมะพร้าวเก็บเขี่ยไม่เสียเลย |
ประมาณกาลเช่นนี้ปีหนึ่งได้ | เขาก็ให้แต่งงานเป็นหลานเขย |
ให้เงินชั่งสวนขนัดพอหัดเคย | ได้ชดเชยต่อปัญญาที่หากิน ฯ |
๏ ฝ่ายแม่ลิ้มหล่อนดีสตรีเรียบ | จะหาเปรียบเป็นไม่มีทุกที่ถิ่น |
มีอัชฌากิริยาเป็นอาจิณ | ไม่ดูหมิ่นว่าผัวจนเหมือนคนพาล |
รู้รอบคอบเก็บเขี่ยไม่เสี่ยส่าย | จะซื้อขายสันทัดข้างจัดจ้าน |
ทั้งหุงต้มกินอยู่รู้ประมาณ | ผัวทำงานเข้าปลาหาสำรอง |
เมื่อผัวกลับยกสำรับมาวางเทียบ | ใส่โต๊ะเตียบตามมีวิธีของ |
เขากินแล้วจึงจะมาหาใส่ท้อง | ถ้วยชามกองเก็บกวาดสะอาดดี |
สิ่งใดเหลือท่าทางจะค้างได้ | ปิดงำไว้รุ่งเช้าอุ่นเผาจี่ |
เป็นของบูดล้างเทคะเนมี | น้ำปลาดีกะปิหมักคอยตากทำ |
ถ้าปลาร้าก็อุส่าห์เอาเกลือใส่ | ไม่ทิ้งให้หนอนค้างไข่ขางคร่ำ |
ทั้งไหเกลือวางใกล้เตาไฟดำ | กลัวเป็นน้ำชิดไฟไม่ละลาย |
เมื่อจะกินล้างทำจนดำหมด | รู้กำหนดผ่อนเผื่อไม่เหลือหลาย |
เป็นสองมื้อฤาสามความเสียดาย | ไม่เรี่ยรายสมแท้เป็นแม่เรือน |
เมื่อยามค่ำน้ำท่าหาใส่ขัน | สิ้นตะวันจุดไฟไว้เป็นเพื่อน |
น้ำล้างหน้าไว้บนม้าไม่ต้องเตือน | น้ำล้างเท้าวางเลื่อนข้างบาทา |
ผ้านุ่งผัวตากเก็บขาดเย็บร้อย | แล้วจีบห้อยวางเรียงไว้เคียงฝา |
ผ้านุ่งตัวพับวางห่างลงมา | หมากพลูหากระโถนบ้วนไว้ควรกัน |
ทั้งที่นอนหมอนเมาะเก็บเคาะปัด | บรรจงจัดส่วนตัวแลผัวขวัญ |
เข้าไสยาก็วันทาผัวทุกวัน | ทั้งนวดฟั่นสุจริตเหมือนบิดา |
เมื่อขึ้นเตียงเคียงหมอนนอนด้วยผัว | ขยับตัวลดทำให้ต่ำกว่า |
ถึงยามเชยก็ไม่ห้ามตามอัชฌา | ซื่อสัจจาเที่ยงธรรม์ไม่ผันแปร |
ถ้าเห็นผัวนอนหลับค่อยยับยั้ง | จะเดินนั่งพูดจาไม่หวาแหว |
เมื่อแขกมาหาสู่คอยดูแล | จะมาแต่เหนือใต้ฤๅใกล้ไกล |
ถ้าคุ้นเคยมาไกลไปจะหิว | ไม่บิดพลิ้วเข้าปลาย่อมหาให้ |
ใครมีคุณโต้ตอบเป็นขอบไร | จัดแจงให้หมากส้มพอสมควร |
กิตติศัพท์เล่าลือออกชื่อยิ้ม | ว่าแม่ลิ้มเมียทิดร้ายอยู่ท้ายสวน |
อัชฌาสัยรอบคอบระบอบขบวน | น่าสงวนจริงจริงเป็นหญิงดี |
ใช่จะชมเซ็งแซ่แต่มนุษย์ | เทพบุตรที่รักษาซึ่งราศี |
ชวนกันชมเสียงสนั่นอัญชุลี | ว่าหญิงดีปฏิบัติภัสดา |
ครั้นได้พรเทพบุตรมนุษย์ประสิทธิ์ | ก็ดูผิดขึ้นทุกวันชันษา |
ทั้งเข้าของขายก็ไวได้ราคา | จนฦๅชาบางน้ำผึ้งออกอึงดัง ฯ |
๏ ฝ่ายทิดร้ายแสนสุขไม่ทุกข์ร้อน | ลงนั่งนอนคิดถึงตนแต่หนหลัง |
เป็นคราวเคราะห์อนิจจาโอ้น่าชัง | เที่ยวเซซังแสนโซพุทโธอา |
หากกุศลดลให้ได้แม่ลิ้ม | จึงได้ยิ้มแย้มสรวลสำรวลร่า |
คิดถึงครูจากท่านมานานช้า | จะไปหาเยี่ยมครูดูสักที |
จึงบอกเมียว่าแม่ลิ้มช่วยชิมส้ม | ที่ไม่ขมเนื้อหวานน้ำตาลปี๋ |
เอาสักร้อยจะไปหาอาจารีย์ | กับหมากดีสงดิบสักสิบอัน |
ฝ่ายเมียแต่งแจงจัดไม่ขัดข้อง | จีบพลูซองแกล้มกับสำรับฉัน |
ทั้งคาวหวานเทียบทำเป็นสำคัญ | พอแจ้งตะวันเช้าตรู่ขนสู่เรือ |
สำรับผัวจัดใส่ไว้ต่างหาก | หยิบหีบหมากมาก่อนกับหมอนเสื่อ |
ให้บ่าวไพร่ปูวางไว้กลางเรือ | สำรับเหลือผัวพากันมากิน |
เรียกบ่าวไพร่พร้อมมืออย่าถือสา | กินเข้าปลาเสียให้เสร็จสำเร็จสิ้น |
จะอยู่จะไปไม่พะวงที่ตรงกิน | ไกลบุรินด่วนด่วนจะจวนเพล ฯ |
๏ ครั้นสรรพเสร็จห่มนุ่งใส่ถุงเสื้อ | ลงสู่เรือมาหาขรัวตาเถร |
บ่าวก็แจวนายก็นั่งจนหลังเอน | พอจวนเพลถึงท่าหน้าวัดอรุณ |
ภัสดาพาเมียขึ้นบนวัด | บ่าวก็จัดของตามออกหลามหนุน |
ขึ้นกุฎีนมัสการอาจารย์คุณ | พระครูบุญจำไม่ได้นี่ใครมา |
เกล้ากระผมคือศิษย์ชื่อทิดร้าย | เออเอ็งหายหน้าไปอยู่ไหนหวา |
รับประทานเคราะห์กรรมต้องจำลา | ไปสู่ป่าสวนเรือกกินเผือกมัน |
เออเอ็งค่อยวัฒนาฤๅหาหือ | หายหน้าชื่อกูคิดว่าเอ็งอาสัญ |
ที่จนมีรับประทานก็ปานกัน | ด้วยผมนั้นเลขชาตาเป็นกาลี |
ได้แต่ส้มหมากหยาบหยาบมากราบเท้า | เป็นของชาวคนขัดน่าบัดศรี |
ถ้าแม้นคล่องต้องตำราชาตาดี | คงจะมีของถวายหลายชนิด |
สนทนาพอเพลประเคนของ | พระครูครองฉันดื่มจนลืมศิษย์ |
มือแม่ลิ้มรสพานข้างหวานชิด | ยิ่งฉันติดใจชิมไม่อิ่มเลย |
พอสำเร็จโภชนาภัตตากิจ | เรียกลูกศิษย์เข้ามาสั่งไม่นั่งเฉย |
เอ็งหยิบผ้าพับหนึ่งมาอย่าช้าเลย | เงินด้วยเหวยห้าตำลึงพึงเอามา |
ศิษย์ก็ไขตู้หีบหยิบถวาย | เออทิดร้ายนี่ข้าให้เอ็งไปหนา |
ด้วยอยู่ห่างต่างบ้านนานนานมา | ข้าถามหาก็ไม่รู้อยู่แห่งใด |
รับประทานเจ้าประคุณอย่าวุ่นเลย | กระผมเคยพึ่งพาได้อาศัย |
นิมนต์โปรดของเข้าจงเอาไว้ | อย่าให้ไปเลยขอรับไม่รับประทาน |
เอ็งเอาไปเถิดหนาข้าทำขวัญ | เราจากกันตั้งแต่สึกนึกสงสาร |
ผัวจึงว่าแม่ลิ้มจ๋าท่านอาจารย์ | ท่านให้ทานต้องเอาไปจนใจนัก |
ทั้งผัวเมียต่างรับคำนับนอบ | ตามระบอบการุณตระกูลศักดิ์ |
นั่งพูดจาตามสบายเห็นบ่ายนัก | ก็ซบพักตร์ลาอาจารย์ไปบ้านตน ฯ |
๏ จะกลับกล่าวถึงทิดดีราศีคล่อง | ได้คู่ครองลูกชาวแพชื่อแม่ผล |
อยู่คลองคู้บางลำพูข้างเบื้องบน | ไม่ยากจนบ่าวไพร่มีใช้อึง |
แต่แม่ผลที่เป็นเมียนั้นเสี่ยส่าย | หล่อนฟูมฟายหมดเปลืองเฟื้องสลึง |
จะพูดจาน่าอดสูล้วนกูมึง | ทะลุทะลึ่งทะเล้นเหมือนเช่นชาย |
จะหากินเช้าเย็นไม่เป็นท่า | ทั้งเข้าปลาไหม้ดิบทิ้งฉิบหาย |
จะแกงปลาล้างซาวคาวไม่วาย | ใส่หม้อดายน้ำเย็นออกเหม็นคาว |
กะปิน้ำปลาบ่นบ่อนเป็นหนอนคึ่ก | ไม่มีนึกตากทำเที่ยวสำหาว |
ถึงยามกินหนอนไหน่ใส่ทุกคราว | ไข่ขางขาวใส่ต้มโสมมมอม |
จะจ่ายหาไม่กำหนดของสดแห้ง | ถูกแลแพงซื้อใช้ไม่ถนอม |
กินไม่หมดขว้างเทเสเพลพร้อม | กระเทียมหอมพริกมะเขือเหลือประมาณ |
เมื่อทำครัวมือเปื้อนเหมือนเรื้อนโรค | เช็ดกระโพกทุกเวลาจนผ้าด้าน |
จะชิมแกงชิมด้วยจ่าน่ารำคาญ | ดูลนลานเหมือนหนึ่งลาวเหม็นคาวปือ |
ทั้งผ้านุ่งมุ้งม่านขี้คร้านเก็บ | ไม่ซักเย็บสาบสางอย่างกระสือ |
ผ้านุ่งเมียปนผัวมั่วกระพือ | ลางทีถือว่าของตัวหนุนหัวนอน |
ขันล้างหน้าหล่อนก็คว้าไปล้างเท้า | จะเดินก้าวหนักกระเทือนเรือนกระฉ่อน |
จะกินอยู่กิริยาเหมือนวานร | ถึงผัวสอนก็ไม่ยักหัวมักจำ |
ยังวิชาข้างนักเลงก็เก่งจัด | โปกำตัดหวยไพใส่จนหงำ |
ครั้นหมดเงินแหวนผ้าคว้าจำนำ | ลงสิ้นต้ำใช้ปัญญาเที่ยวหาเงิน |
ที่ความชั่วเขาก็รู้อนุสนธิ์ | ว่าแม่ผลเหลือแต่องค์กระทงเหิน |
สังเวชผัวพลอยอาภัพมายับเยิน | โอ้เผอิญได้เมียเสียจริงจริง |
ใช่จะเกลียดแต่เหล่าชาวมนุษย์ | เทพบุตรซ้ำสาปว่าหยาบหญิง |
ไม่รักตัวริเล่นเหมือนเช่นลิง | ใครแอบอิงดังเอาไฟมาใส่ตน |
ทั้งมนุษย์เทวดาพากันติ | สิ้นสิริเกิดวิบัติให้ขัดสน |
ทั้งบ่าวทาสตายหนีไม่มีคน | แสนจะจนจนไม่มีเป็นหนี้นุง |
แต่ทุนเดิมรวมริบสักสิบชั่ง | แม่ผลตั้งปลิ้นปล้อนจนล่อนถุง |
ยังเป็นหนี้เขามาทวงเป็นห่วงนุง | ลงยับยุ่งคิดแต่แพจำนำ ฯ |
๏ ฝ่ายทิดดีเหลือแค้นแน่นอุระ | เหมือนเขาฉะเชือดเถือเนื้อขยำ |
นั่งกอดเข่าโศกาจนหน้าดำ | โอ้ระยำยับจริงด้วยหญิงพาล |
ขรัวพ่อดูคู่สร้างแต่ปางก่อน | ทิศอุดรว่าเป็นหลักอัครฐาน |
ก็ได้จริงเหมือนตำราพระอาจารย์ | นี่เหตุการณ์เป็นไฉนจึงได้จน |
ฤๅท่านคูณเลขขาดจะพลาดพลั้ง | จึงไม่ตั้งตัวติดคิดฉงน |
มีแต่ก่อกองทุกข์ออกรุกร้น | ทั้งผู้คนหนีหายตายบรรลัย |
ไปขอดูอีกสักทีจะดีร้าย | ให้แม่นหมายชัดลงสิ้นสงสัย |
ลงเรือเล็กรีบล่องมาว่องไว | บัดเดี๋ยวใจถึงท่าวัดอรุณ |
ขึ้นกุฎีพระอาจารย์คลานประณต | น้ำตาหยดเหมือนเต่าเขาเผาอุ่น |
ฝ่ายท่านขรัวสัพพัญญูพระครูบุญ | เสียงวายวุ่นถามไปว่าใครมา |
รับประทานผมคือศิษย์ชื่อทิดดี | เออไอ้นี่เจ็บไข้ฤๅไรหวา |
ดูผอมเผือดผิดแรกแปลกนัยน์ตา | ฤๅมึงพากันไปเป็นไข้โรง |
รับประทานเจ็บไข้ไม่ใช่หมด | ผมรันทดเพราะฉิบหายแทบตายโหง |
มีข้าวของขายกินสิ้นกระโปรง | จนแพโรงก็จำนำระยำบอน |
ขรัวพ่อดูว่าจะดีไม่มีร้าย | กลับฉิบหายสิ้นสุดไม่หยุดหย่อน |
นิมนต์โปรดดูอีกทีราศีจร | จะป่นปอนเที่ยงแท้ฤๅแปรปรวน |
พระครูจึงหยิบกระดานมาหารเลข | สองสามเปกรู้รอบทั้งสอบสวน |
ก็เห็นดีในราศีทุกกระบวน | จึงใคร่ครวญว่ามันจนด้วยกลใด |
ฤๅจะเป็นอยู่ที่เมียเสียสิริ | เป็นตำหนิลายผ่านแลปานไฝ |
จึงพากันจนยากลำบากใจ | ทำไฉนหนอจะดูให้รู้ชัด ฯ |
๏ พระครูจึงพาทีทิดดีเอ๋ย | ไม่ชั่วเลยราศีไม่มีขัด |
ข้าเรียนดูมานานทั้งบ้านวัด | ยังไม่พลัดพลาดพลั้งเหมือนครั้งนี้ |
เออทิดร้ายปีเดือนเขาเหมือนเจ้า | ฤๅว่าเปล่าคนละอย่างต่างราศี |
เอ็งจำได้บอกกูดูสักที | มันมั่งมีอื้ออึงบางผึ้งฦๅ |
ฝ่ายทิดดีว่าปีเดือนเขาเพื่อนร้าย | จำมั่นหมายครั้งเป็นสงฆ์ไม่หลงชื่อ |
บอกอาจารย์คูณเลขเสียงเปกฮือ | ทิดร้ายฤๅเลขอุบาทว์ขาดชาตา |
ก็ทำไมมันมั่งมีอย่างที่เห็น | ดูไม่ถูกกูก็เป็นเช่นหมอหมา |
เอ็งไปย้ายเคหาลงนาวา | ชวนเมียมาจอดนี่สักสี่วัน ฯ |
๏ ฝ่ายทิดดีกราบลามายังบ้าน | ย้ายสถานลงเรือแต่เมื่อนั่น |
พาเมียมาจอดนัดหน้าวัดพลัน | ขึ้นไปวันทาครูให้รู้ความ |
ฝ่ายพระครูมาดูรู้ตำรับ | เห็นอาภัพท่วงทีมันผลีผลาม |
ไม่เรียบร้อยทีกระบวนข้างลวนลาม | จึงเกิดความข้อวิบัติให้ขัดทรัพย์ |
ที่ฤกษ์ยามสอบสวนก็ถ้วนถี่ | ล้วนแต่ดีทักทายมาหลายกลับ |
เพราะร่วมหญิงแพศยาจึงอาภัพ | พาย่อยยับความดีราศีตน |
ส่วนทิดร้ายฤกษ์ยามก็ห้ามขาด | กลับประหลาดมั่งมีทวีผล |
เห็นเมียมันจะประกอบข้างชอบกล | เป็นมงคลคุ้มชั่วของผัวมัน |
พระครูบุญอยากจะดูให้รู้ชัด | ให้คฤหัสถ์ลงไปถามเอาความมั่น |
ก็รู้แน่ว่าแม่ลิ้มคนสำคัญ | หล่อนขยันจัดจ้านงานการดี |
จึงคุ้มครองความชั่วของผัวได้ | ไม่มีภัยอาเพศเป็นเศรษฐี |
กูจะดูไปไม่ถึงมันจึงมี | ตั้งแต่นี้เราเป็นหมอต้องขอยอม ฯ |
๏ นี่แลเราหญิงชายที่หมายคู่ | สลับดูแบบบุรำจำถนอม |
หมอว่าดีกลับชั่วต้องมัวมอม | เพราะปลักปลอมแอบอิงกับหญิงพาล |
เขาย่อมนำความชั่วมาพัวพอก | เหมือนดังดอกอุตพิดที่ชิดถาน |
ย่อมพาเหม็นชื่อเสียงสำเนียงนาน | แค้นรำคาญขุ่นเคืองเพราะเรื่องเมีย |
จะทิ้งขว้างฤๅก็การสงสารลูก | เป็นห่วงผูกคออยู่ต้องสู้เสีย |
ทำหน้าชื่นอกไหม้ดังไฟเลีย | ใครมีเมียผิดเหมือนติดเรือนจำ |
อย่าหลงเลยรักนางด้วยร่างรูป | จะพาซูบโทรมทรามเพราะงามขำ |
คนไม่ดีรูปรวยถึงสวยล้ำ | ก็กลับต่ำต้องตำหนิเขาติเตียน |
ที่รูปชั่วความดีเขามีอยู่ | ย่อมเชิดชูพาสำอางเหมือนนางเขียน |
อันนายช่างร่างลงบรรจงเจียน | เดิมก็เขียนทีท่าไม่น่าดู |
ครั้นตัดเส้นลงทองก็ผ่องผาด | งามสะอาดน่ารักเป็นอักขู |
ดังหนึ่งหญิงร่างร้ายกายพธู | ได้เฟื่องฟูความดีดังศรีทอง |
ถึงสตรีก็เหมือนกันฉันจะสั่ง | ถ้าแม้นหวังมีเรือนเป็นเพื่อนสอง |
จงพินิจตื้นลึกพึงตรึกตรอง | อย่าหมายปองรูปดีว่ามีจน |
อันเงินทองตรองเถิดเกิดทีหลัง | ชีวิตยังเพียรไปคงได้ผล |
ที่คนมีมั่งคั่งอย่ากังวล | ถึงโสภณหน่อยก็กลับขยับโทรม |
ถ้าผัวดีอุปมาดังว่าพ่อ | มีแต่ก่อปึกแผ่นให้แสนโสม |
ไม่สร้างทรัพย์ยับหายด้วยร้ายโลม | จะครื้นโครมแผ่ซ่านแต่การดี ฯ |
๏ ข้างฝ่ายชายเมียดีก็มีหน้า | เหมือนมารดาชูพักตร์เป็นศักดิ์ศรี |
อาศัยกันสองฝ่ายชายสตรี | ที่คนดีดีชอบประกอบกัน |
ถ้าคนดีแม้นปนกับคนชั่ว | ก็พาตัวเป็นราคีสิ้นศรีสรรพ์ |
มีแต่กรมขมขื่นทุกคืนวัน | พึงเลือกสรรสืบสวนให้ควรการ |
เรานำข้อคำพยานออกอ่านอ้าง | เป็นตัวอย่างแบบบุราณมาบรรหาร |
ถ้าถูกใจใครบ้างอย่างตำนาน | รับประทานขอโทษอย่าโกรธเลย |
ใช่จะแกล้งแต่งเปรียบมาเทียบทัด | เป็นความสัตย์หญิงชายทั้งหลายเอ๋ย |
อันตัวเราก็มิใช่จะได้เคย | ไม่พบเลยเชื่อเถิดแต่เกิดมา |
แต่ได้ยินข่าวคราวนั้นฉาวหู | ว่ามีคู่แสนยากมากนักหนา |
ดั่งกลิ้งครกขึ้นเขาเขาเล่ามา | จะแกล้งว่าฤๅจริงยังกริ่งใจ |
ฉันเป็นคนขลาดอยู่แต่รู้ข่าว | แต่นึกหนาวตนร้อนไปก่อนไข้ |
ถ้าถูกดีก็จะเห็นไม่เป็นไร | คงชื่นใจพอขยับไม่อับอาย |
ถ้าแม้นจริงเจอะแท้เหมือนแม่ผล | ฉันไม่ชนแน่แน่กลัวแม่ขาย |
ผิดก็อยู่ภาวนาเอกากาย | เมื่อตัวตายก็จะพ้นกังวลเอย ๚๛ |
----------------------------
-
๑. เรื่องอาวาสโวหารอยู่ในตอนท้ายสมุดไทยเอกสารเลขที่ ๓๖๗ ↩