เรื่องไปเมืองเตอร์กี

พระนิพนธ์

พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ

๏ เมื่อรัตนโกสินทรศก ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔ ค.ศ. ๑๘๙๑) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ข้าพเจ้าเปนราชทูตพิเศษเชิญพระราชสาส์นแลเครื่องราชอิศริยาภรณ์ ไปสู่ราชสำนักพระเจ้าแผ่นดินในยุโรปหลายพระนคร ที่ไปในครั้งนั้นก็ไม่ได้มีราชการจะต้องไปประเทศเตอร์กี แต่เมื่อไปคิดกะระยะที่จะเดินทางไปตามประเทศน้อยใหญ่ในยุโรป ตรวจดูในแผนที่ เห็นว่าระยะทางแต่รุสเซียไปเมืองครีส ถ้าไปทางเมืองเตอร์กีจะเปนทางใกล้แลไปได้สดวกกว่าทางอื่น อนึ่งประเทศเตอร์กีก็นับว่าเปนประเทศใหญ่อันหนึ่งในยุโรป ยังมิได้ปรากฎว่าไทยเราได้เคยไปแต่ก่อน เห็นเปนโอกาศอันดีที่จะได้ดูแลรู้เห็นไว้บ้าง จึงกะลงในระยะทางว่าเฝ้าเอมปเรอรุสเซียแล้วจะโดยสานเรือเมล์ข้ามทเลดำ ไปเมืองคอนสะแตนติโนปัลซึ่งเปนเมืองหลวงของเตอร์ก พักอยู่ที่นั่นสักสามสี่วันพอได้คราวเรือเมล์ก็จะโดยสานต่อไปเมืองครีส

เมื่อกะระยะทางวางลงดังนี้แล้ว มาปฤกษากันดูในเพื่อนข้าราชการเห็นว่าการที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ข้าพเจ้าออกไปราชการครั้งนั้น กิติศัพท์ก็ปรากฎอยู่ว่าเปนเจ้านายในราชตระกูลสยาม การที่จะผ่านไปในเมืองเตอร์กี ถึงว่าเตอร์กีกับกรึงสยามจะยังมิได้มีทางพระราชไมตรีต่อกัน แลข้าพเจ้าจะมิได้มีราชการอันใดที่จำเปนจะต้องไปสู่ราชสำนักสุลต่านพระเจ้าประเทศเตอร์กีก็จริงอยู่ แต่เมื่อเข้าไปถึงบ้านเมืองรัฐบาลเขาก็คงต้องรู้ จะทำเพิกเฉยเดินทางไปอย่างราษฎรดูก็เปนไม่มีอัธยาไศรยหาสมควรไม่ ควรจะบอกรัฐบาลเตอร์กีให้ทราบเปนคำนับ การที่เขาจะรับรองฤๅมิรับรองประการใดนั้นก็แล้วแต่การ ไม่ต้องถือเอาเปนประมาณแห่งความประสงค์ ปฤกษาเห็นชอบกันดังนี้แล้ว จึงขอให้พระสุริยานุวัติอุปทูตที่กรุงเบอร์ลินไปพูดกับราชทูตเตอร์กีในเมืองนั้นว่า ข้าพเจ้าปราถนาจะเดินทางจากรุสเซียผ่านไปทางเมืองคอนสะแตนติโนปัล เพื่อไปเมืองครีส จึงให้มาแจ้งต่อราชทูตว่า ถึงประเทศเตอร์กีกับกรุงสยามจะยังมิได้มีทางพระราชไมตรีต่อกัน แลข้าพเจ้ามิได้มีราชการอันใดที่เตอร์กีก็จริง แต่เมื่อจะได้เข้าไปถึงพระนครอันเปนพระราชอาณาเขตรของสุลต่าน ก็ย่อมมีความประสงค์โดยเห็นเปนการสมควรที่จะเฝ้าแสดงความเคารพต่อสุลต่านโดยมีน้ำใจนับถือว่าเปนกระษัตริย์อันประเสริฐพระองค์ ๑ โอกาศอันนี้จะควรสำเร็จได้ดังปราถนากฤๅประการใด ขอให้ราชทูตช่วยถามไปยังรัฐบาลเตอร์กีด้วย ราชทูตรับคำแล้วมีโทรเลขไปถาม แลได้รับตอบมาจากรัฐบาลเตอรกี ว่าสุลต่านทรงยินดีที่ข้าพเจ้าจะไปเมืองเตอร์กี จะทรงรับรองโดยเต็มพระราชหฤไทยทุกประการดังนี็ ก็เปนอันตกลงในการที่จะไปเมืองเตอร์กี

เมื่อข้าพเจ้ากับพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าจิระประวัติวรเดช แลข้าราชการมีรายชื่อคือ พระยาเทเวศรวงษ์วิวัฒน์ พระยาชลยุทธโยธินทร์ หม่อมเจ้าพร้อม พระสุริยานุวัติ พระวิจิตรวรสาสน์์ หลวงสุนทรโกษา มิศเตอร์ไวก์ ๑ ไปเฝ้าเอมปเรออะเล็กซานดราที่ ๓ พระเจ้าประเทศรุสเซีย ที่พระราชวังลิวาเดีย แลได้รับพระมหากรุณาเปนอเนกประการ เปนเสร็จราชการในรุสเซียแล้ว เอมปเรอได้ทรงทราบว่าข้าพเจ้าประสงค์จะมาทางเมืองเตอร์กี จึงโปรดให้จัดเรือพระที่นั่งพามาส่งจนถึงเมืองคอนสะแตนติโนปัล ๚

๏ วันที่ ๑๙ เดือนพฤศจิกายนเวลาเช้า เรือข้ามทเลดำมาถึงปากช่องบอสฟอรัสปลายแดนเตอร์กี แล่นเข้ามาครู่ ๑ พบเรือสติมลอนช์พาอาหะเม็ดปาชาราชองครักษ์ของสุลต่าน กับเจ้าพนักงานกรมวังมาขึ้นที่เรือใหญ่ ท่านทั้ง ๒ นี้แจ้งต่อข้าพเจ้าว่าสุลต่านได้ทรงทราบ (ตามโทรเลขที่ส่งมาแต่รุสเซีย) ว่าข้าพเจ้าจะมาถึงในวันนี้ จึงโปรดให้อาหะเม็ดปาชากับเจ้าพนักงานกรมวัง มาต้อนรับข้าพเจ้าในพระนามาภิไธยของพระองค์ถึงปลายพระราชอาณาเขตร อนึ่งมีรับสั่งให้มาแจ้งต่อข้าพเจ้าว่าสุลต่านมีพระราชหฤไทยยินดี ที่เจ้านายในราชตระกูลสยาม มาถึงพระนครเปนครั้งแรก ได้โปรดให้จัดวังแห่ง ๑ ไว้ให้เปนที่พัก แลจะให้จัดการรับรองอยู่ในราชสำนักตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าจะพอใจอยู่ในพระนครนั้น ข้าพเจ้าจึงสั่งต่อท่านเจ้าพนักงานทั้ง ๒ ให้นำความไปกราบทูลว่า ที่ทรงพระกรุณาโปรดทั้งนี้ข้าพเจ้าแลบรรดาผู้ที่มาด้วยกันรู้สึกพระเดชพระคุณ แลมีความยินดีหาที่สุดมิได้

เวลา ๕ โมงเช้าเรือถึงที่ทอดน่าพระราชวัง ได้สั่งเจ้าโอบาเลนสะกีราชองครักษ์เอมปเรอรุสเซีย ให้นำความไปกราบทูลขอบพระเดชพระคุณเอมปเรอ ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดให้เรือพระที่นั่งมาส่ง แลขอบใจอำลาพวกขุนนางรุสเซียที่มาส่งตามสมควร แล้วลงเรือสติมลอนช์มาขึ้นที่ท่าตำหนักน้ำ ขึ้นรถมีทหารแห่พาไปส่งที่วังแห่ง ๑ จะชื่อไรแลอยู่ตำบลใดใกล้ไกลประการใดหาทราบไม่ วังนี้ดูเปนทำนองวังทำไว้เปนที่ประพาศในสวน มีตึกสองชั้น ๓ ห้องหลังเล็ก ๆ ทำอย่างประณีตงดงามหลัง ๑ ซึ่งจัดไว้ให้เปนที่ข้าพเจ้าอยู่ แลมีตึกพอสถานประมาณ ขนาดตึกวรนาฏเกษมสานต์เก่าที่บางปอิน อยู่ใกล้กันอิกหลัง ๑ จัดให้เปนที่ผู้ที่ไปด้วยกันพัก เจ้าพนักงานแจ้งว่าวังนี้ไม่ใช่เปนเวังสำหรับรับแขกเมือง แต่เวลานั้นวังดัลมาบัชเชซึ่งสำหรับรับแขกเมืองชำรุดกำลังซ่อมแซมอยู่ จึ่งโปรดให้จัดวังแห่งนี้ขึ้นเปนที่รับรองข้าพเจ้า ที่เขาว่าเช่นนี้พิจารณาดูก็เห็นว่าเปนความจริง วังนี้คงจะเปนวังที่ปิดๆไว้ นานๆจึงจะใช้สักคราวหนึ่ง เครื่องตกแต่งใช้สอยไม่มีอันใดพรักพร้อม ตั้งแต่เวลาข้าพเจ้าไปถึง เห็นแต่รองงานแลเด็กชาทำโน่นขนนี่ไปมาขวักไขว่ไม่มีเวลาหยุด จนพวกที่ไปด้วยอดไม่ได้ไปถามท่านเจ้าพนักงานว่า การที่จะมาได้บอกกำหนดมาช้านาน เหตุใดจึงพิ่งตระเตรียมดูเปนการลำบากมากดังนี้ เขาตอบว่าราชการในเมืองเตอร์กีไม่ว่าอย่างใด ต้องมีรับสั่งก่อนจึงจะทำได้ การนี้พึ่งมีรับสั่งเมื่อวานนี้ จึงเปนโกลาหลอยู่สักหน่อย จะจริงเท็จเพียงใดก็ใช่วิไสยจะรู้ยิ่งไปได้กว่าที่เขาบอก จึงได้แต่ยุติเอาตามเขาบอกดังนี้

เมื่อพักอยู่ที่วังนี้ ไซเอดปาชาเสนาบดีว่าการต่างประเทศ แลผู้ว่าการแทนราชทูตรุสเซีย มาเยี่ยมเยียนปฏิสัณฐารกันตามธรรมเนียม แลผู้ว่าการแทนราชทูตรุสเซียนี้ ดูเหมือนจะได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้ช่วยเกื้อหนุนแก่ข้าพเจ้า เพราะได้อุส่าห์เปนธุระไต่ถามทุกข์ศุขแลเยี่ยมเยียนเสมอมิได้ขาด ที่สุดจนหนังสือพิมพ์ข่าวคราวในยุโรปก็จัดหาส่งมาให้อ่านเนือง ๆ ไม่ผิดกับเปนผู้ว่าการกงสุลไทยในที่นั้น ทั้งนี้ก็เปนพระเดชพระคุณของเอมปเรอรุสเซียเปนล้นพ้น แต่ว่าที่แท้เมื่อพิเคราะห์ดูโดยการที่สุลต่านทรงเปนพระราชธุระรับรอง ก็แลเห็นว่าจะได้เปนเพราะความสนับสนุนอันใดภายนอก ทำให้จำเปนยิ่งไปกว่าพระกรุณาของพระองค์นั้นก็หามิได้

เวลาบ่ายขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายกรมวัง เชิญพระราชปฏิสัณฐารของสุลต่านมาไต่ถามถึงความทุกข์ศุขที่เดินทาง แลแต่ได้มาพักอยู่ในพระราชอาณาเขตร ข้าพเจ้าได้สั่งให้ไปกราบทูลว่ามีความศุขสบายแลชื่นชมยินดีขอบพระเดชพระคุณยิ่งนัก ชรอยท่านกรมวังผู้นี้จะไปกราบทูลว่า ที่วังในสวนอยู่ข้างเยียดยัดไม่ใคร่พอกันอยู่ แลการตกแต่งยังไม่พร้อมมูลเรียบร้อยฤๅประการใดหาทราบไม่ ตกเวลาบ่ายเห็นพวกเด็กชาพากันขนของกลับออกไปเนือง ๆ แลได้ความจากอาหะเม็ดปาชาราชองครักษ์ ซึ่งโปรดให้เปนผู้มาอยู่ด้วยว่า สุลต่านมีรับสั่งจะให้ย้ายเข้าไปอยู่ในพระราชฐานในเวลาค่ำวันนั้น ได้ทราบดังนี้ให้ออกรำคานใจดูไม่พอที่ที่จะเปนต้นเหตุให้เขาพากันได้ความลำบากตั้งแต่ถึงวังในสวนนี้ก็เห็นแต่ผู้คนขวักไขว่ไม่มีเวลาหยุด พอจะเปนปรกติลงกลับจะต้องรื้อขนต่อไปอีกเล่า ยังการที่จะเข้าไปอยู่ในพระราชฐานนั้น ถ้าอย่างวังฝรั่งในยุโรปก็พอคิดเห็น แต่วังเตอร์กีนี้ไม่เหมือนกัน ไม่เคยรู้แบบแผนท่าทางจะคับขันอย่างไรก็คิดไม่เห็นออกหนักใจ จึงเรียกหาราชองครักษ์มาสั่งขอให้ช่วยนำความไปกราบทูลว่า ข้าพเจ้ามาเตอร์กีครั้งนี้ ตามความที่จริงใจก็มิได้นึกมาว่าสุลต่านจะโปรดให้รับรองถึงอยู่รั้ววังอย่างนี้ การที่ทรงพระกรุณาถึงเพียงนี้ก็เปนความยินดีรู้สึกพระเดชพระคุณเกินกว่าคาดหมายเปนอันมากอยู่แล้ว ที่จะโปรดให้ย้ายเข้าไปอยู่ในพระราชฐานนั้น ข้าพเจ้ามีความวิตกเห็นจะเปนการลำบากแก่เจ้าพนักงาน แลจะเปนพระราชภาระต้องทรงลำบากในการรับรองข้าพเจ้าเพิ่มเติมขึ้นอิกเปล่า ๆ ขอให้เปนยุติโดยพอใจของข้าพเจ้าแต่เพียงเท่านี้เถิด ท่านราชองครักษ์ไม่ยอมกราบทูล ตอบแต่ว่า ประเพณีในเตอร์กี สุลต่านมีรับสั่งอย่างใดแล้วต้องเปนอย่างนั้น ที่จะให้กราบทูลห้ามข่รามนั้นไม่ได้ ก็เปนอันจนใจ ต้องให้เอาเสื้อผ้ากลับบรรจุหีบ เพื่อจะได้ขึ้นไปยังพระราชฐาน เวลาค่ำขึ้นรถไปดูออปราเล่นที่ในเมือง พอให้เขาขนหีบปัดทางนี้หน่อยหนึ่งแล้ว ขากลับก็เลยเข้าไปในพระราชวัง รถขับขึ้นเขาวกเวียนผ่านประตูแลโรงทหารงหลายชั้นเปนหลายมินิต จึงเข้าไปหยุดน่าตำหนักมรัสซิม ซึ่งโปรดให้เปนที่พักใหม่ ตำหนักหลังนี้สองชั้นยาว ๆ เทียบกับขนาดตึกในกรุงเทพ ฯ ประมาณว่าจะยาวสักเท่าทิมดาบกรมวัง แต่กว้างกว่าแลทำด้วยไม้ดูข้างนอกเกลี้ยง ๆ ไม่สู้งดงามปานใด แต่เมื่อเข้าไปข้างในก็แลเห็นได้ทันทีว่า ตำหนักนี้ตกแต่งประดับประดาโดยประณีตอย่างยิ่ง เปนต้นว่าฝาผนังแลเพดานเขียนลวดลายปิดทองประสานสีอย่างฝรั่ง บางห้องเล่นลายไม้สลักแลประดับมุก ม่านน่าต่างใช้แพรบ้างกำมะหยี่หักทองขวางบ้าง พื้นปูพรมเตอร์กีอย่างดี ๆ บางห้องเขาชี้ให้ดูว่าเปนพรมไหมราคาถึงผืนละหลาย ๆ สิบชั่งก็มี โคมไฟที่ใช้ใช้ไฟฟ้าทั่วไปทุกแห่ง เครื่องตกแต่งใช้สอยเช่นตู้โต๊ะเก้าอี้ใช้ของฝรั่งอย่างงาม ๆ โดยมาก ยังเครื่องตั้งเปนของดูเล่นของปลาดต่าง ๆ ก็มีสิ่งละอันพรรณละน้อย ตั้งแต่นกสตัฟจนเครื่องลายครามเครื่องแก้วเครื่องศิลา ทั้งของบรรณาการที่ใครต่อใครถวาย แลของอื่น ๆ อันเหลือวิไสยที่จะพึงพรรณาให้ถี่ถ้วนทั่วไปได้ เมื่อว่าโดยย่อสิ่งใดซึ่งจะเปนของต้องตาต้องใจนักเลงอย่างฝรั่งคงจะจัดไว้ในตำหนักนี้ มีตลอดจนห้องหลังคากระจกสำหรับเล่นต้นไม้กระถาง แลห้องศิลาอ่อนสำหรับอาบน้ำร้อนอย่างเตอร์กี ตำหนักมรัสซิมหลังนี้ ได้ความว่าสร้างขึ้นไว้สำหรับรับแขกเมืองสลักสำคัญ ชั้นที่แผนฝรั่งเขารับไว้ในพระราชวัง แต่วังเตอร์กีมีข้างน่าข้างใน ไม่เปนอย่างบ้าน ๆ เช่นวังฝรั่ง จึงสร้างตำหนักหลังนี้ขึ้นในพระราชวังชั้นกลาง ทำนองอยู่ในท้องที่เช่นพระที่นั่งอนันตสมาคม กล่าวคือ อยู่ข้างน่า แต่ติดกับข้างใน มีทางฉนวน เปิดพระทวารให้เเขกเมืองเข้าไปเฝ้าถึงชั้นใน เช่นอยู่ในเรือนอันเดียวกันก็ได้ ฤๅจะใช้รถไปมาทางข้างนอกก็ได้ แลตำหนักนี้แต่เดิมว่าสร้างไว้แต่ตอนเดียว ครั้นเมื่อเอมปเรอเยอรมันพระองค์นี้ จะเสด็จมากับพระมเหษี สุลต่านจึงโปรดให้สร้างต่อออกมาอิกตอนหนึ่ง สำหรับเอมปเรอประทับ ตอนเก่าเปนส่วนของพระมเหษี ข้าพเจ้าไปไม่มากมายกี่คนนัก จึงรวมกันอยู่แต่ในตอนเดียว เขาเปิดอิกตอนหนึ่งให้ไปนั่งเล่นเดินเล่นเช่นคราว ๆ

เจ้าพนักงานที่มากำกับแลรับใช้สอยมีเปนอันมาก ที่เปนตัวนายคือ อาหะเม็ดปาชาราชองครักษ์อยู่ประจำคน ๑ ท่านผู้นี้ดูเปนราชองครักษ์ประจำสำหรับรับแขกเมืองที่มีบันดาศักดิ์ ไม่ว่าใคร ๆ ไป จนอกไม่ใคร่พอจะติดตราที่แกได้ เมื่อข้าพเจ้ากลับเข้ามาแล้ว อ่านหนังสือพิมพ์ถึงเรื่องที่ใคร ๆ ไปเตอร์กีต่อมา ก็เห็นแต่ชื่ออาหะเม็ดปาชาคนนี้เปนผู้ใหญ่ไปอยู่ด้วย แต่ตะแกเปนคนคล่องแคล่วจริง แลยังมีวิชาเบ็ดเตล็ดอิกหลายอย่าง ช่างเชียนก็เช่น การไฟฟ้าก็เข้าใจ ดูเหมือนจะเปนคนโปรดปรานมาก นอกจากนี้ยังท่านกรมวังผู้หนึ่งชื่อไรจำหาได้ไม่ เปนผู้เดินเข้านอกออกในเชิญกระแสรับสั่งอยู่เสมอ ๆ ยังนายทหารแลล่ามแลพนักงานผู้น้อยก็อิกหลายนาย ดูผู้คนเกลื่อนกล่นไม่ใคร่ขาดในตา แต่ท่านเจ้าพนักงานแลคนใช้เหล่านี้ถ้าต่อหน้าทำกิริยาอาการยืนเดินกึกกักอย่างฝรั่ง พอลับหลังก็ลงนั่งขัดสมาธิกับพื้นอย่างแขก ข้าพเจ้าออกไปเจอเข้าหลายครั้งนึก ๆ ดูก็ขัน มิใช่จะติเตียนประการใด ขันที่เหมือนกับไทยเรารับฝรั่งมิได้มีผิด ถ้าพูดจากันเสียให้เห็นอก ถึงจะนั่งขัดสมาธิ์รับเสด็จ ข้าพเจ้าก็เห็นจะไม่ว่ากระไร

อนึ่งบรรดาเจ้าพนักงานที่มาอยู่กำกับ แลรับใช้สอยทั้งปวงนี้ แม้แต่พลทหารรักษาพระองค์ที่มายืนยามรักษา สังเกตดูที่อกผู้ใดจะว่างเปล่าจากเครื่องราชอิศริยาภรณ์ฤๅเหรียญอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นเปนว่าหามิได้ มีล่ามคนหนึ่งแต่แรกข้าพเจ้าไปถึงเห็นอกเปล่า ครั้นไม่กี่วันก็ได้ตราแขวนฅอดวงหนึ่งในระหว่างนั้นแอง ความข้อนี้ถ้าสังเกตดูแต่ตามตาเห็น ไม่พิเคราะห์ถึงขนบธรรมเนียมให้ตลอดแล้ว ก็น่าที่จะเข้าใจว่าตราเตอร์กีคงจะเปนของที่พึงจะได้โดยง่ายดาย ดังคำฝรั่งที่เปนคนคนอง ๆ ปากแกล้งใส่ความว่า ตราเตอร์กีเปนของยากที่ผู้ใดจะพึงหลีกหนีให้พ้นไปได้ ดังนี้ แต่ที่จริงประเพณีในเตอร์กี การรักษาพระองค์สุลต่านเปนการกวดขันอย่างยิ่ง เพราะเคยมีเหตุการประทุษร้ายมาแต่ก่อนเนืองๆ ต้องเลือกสรรผู้ที่จะรับราชการใกล้ชิดพระองค์ เอาแต่คนซึ่งใจฅอสัตย์ซื่อมั่นคงเปนที่ไว้วางพระราชหฤไทยได้จริง มาอยู่ประจำตัวมิให้คนแปลกปลอม เมื่อเปนนี้บรรดาคนซึ่งรับราชการอยู่ใกล้ชิด ถึงจะเปนตำแหน่งสูงต่ำประการใด ก็ย่อมจัดว่าเปนคนอย่างดีที่จะพึงเลือกสรรได้ในชั้นนั้น ก็ย่อมสมควรจะได้รับบำเหน็จพิเศษกว่าคนสามัญไม่เปนที่เสื่อมเสียฤๅควรจะเห็นว่าแปลกปลาดอันใด

คืนแรกมาอยู่ในพระราชวังนี้เกิดขลุกขลักหน่อยหนึ่ง ด้วยเรื่องเครื่องผิงไฟ คือตามแบบเรือนฝรั่งในห้องนอนย่อมมีตู้ฤๅเตาไฟให้อบอุ่นในฤดูหนาว เตาเช่นนั้นเขาทำปล่องแนบในฝาผนังเปิดให้ควันทลุขึ้นทางหลังคา แต่เตาผิงไฟอย่างแขกหาเช่นนั้นไม่ เขาใช้ตลุ้มทองขาวขนาดใหญ่สักเท่าตลุ้มของคาว เอาถ่านไฟบรรจุเต็มในตลุ้มนั้น มีเท่ากลบเกลี่ยข้างบน มีเหล็กเกือกม้าเก่า ๆ ที่ใช้แล้ว วางไว้บนเท่าอัน ๑ ตามความเข้าใจของข้าพเจ้าที่ได้รู้มาแต่ฝรั่ง ดูเหมือนแปลว่าเปนของมงคล กับขวดน้ำมันหอมตั้งไว้ริม ๆ ข้างขอบตลุ้มขวด ๑ เพี่อให้น้ำมันนั้นร้อนแลส่งไอให้กลิ่นหอมไปในห้อง คืนวันนั้นเขาเอาเตาอย่างนี้เข้าไปตั้งไว้ในห้องนอน ข้าพเจ้าไม่เคยรู้รศชาติ ก็ปิดน่าต่างประตูนอนอย่างอยู่เรือนฝรั่ง เห็นทางลมออกจะไม่พอฤๅอย่างไร รุ่งเช้าตื่นนอนขึ้นปวดหัวเปนกำลัง แต่แรกนึกว่าจะเปนไข้ แต่เมื่อไต่ถามในพวกที่ไป เห็นเปนอย่างเดียวกันหลายคน พิจารณาไปก็ได้เค้าว่า เพราะไอไฟที่เตานี้เอง อบห้องกลุ้มเข้าตลอดคืนจึงพาให้ปวดหัว จึงสั่งให้แจ้งแก่เจ้าพนักงานว่าอย่าให้เอาเตานั้นไปตั้งในห้องนอนอิกเลย แต่การที่สั่งนี้อย่างไรไปทราบถึงพระเนตรพระกรรณ โปรดให้เจ้าพนักงานจัดเตาอย่างฝรั่งมาเปลี่ยนในวันนั้น ข้าพเจ้าไปแลเห็นกำลังเอะอะจะเจาะฝา เพื่อจะสอดปล่องควันออกไปข้างนอก ได้ร้องทักท้วงห้ามปรามโดยแขงแรง ว่าฤดูนี้ก็ไม่หนาวปานใดนัก ว่าที่แท้แล้วไม่จำเปนจะต้องมีเตาไฟในห้องนอนเลย อิกประการหนึ่งฝาตำหนักเขียนไว้งาม ๆ จะมาเจาะเสียเพราะจะตั้งเตาไฟให้ข้าพเจ้าผิงนี้ ข้าพเจ้าขอเสียเถิด เขาก็ตอบแต่ว่ามีรับสั่งอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น ไม่สามารถจะขัดขวางได้ ถูกอีไม้นี้เข้าอิกก็ต้องลา ตกลงต้องแล้วแต่จะโปรด ฯ

๏ วันที่ ๒๐ เปนวันกำหนดจะเข้าเฝ้า แต่วันนั้นมีการพระราชพิธีสะลามลิก ได้รับพระราชทานอนุญาตให้ไปดูกระบวนเสด็จก่อน ต่อเสด็จกลับจากพระราชพิธีจึงจะโปรดให้เฝ้า การพระราชพิธีที่เรียกว่าสะลามลิกนี้ คือถึงวันศุกร ซึ่งเปนวันพระข้างแขก สุลต่านเสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยเสนามาตย์ราชบริพารทั้งหลาย ไปทรงนมัสการพระณสุเหร่าแห่ง ๑ เปนการเต็มยศคล้ายคลึงกับการถือน้ำของเรามาก

เวลาเที่ยงเศษข้าพเจ้ากับพวกที่ไปด้วยกัน แต่งเต็มยศขึ้นรถออกมาข้างน่าพระราชวัง เจ้าพนักงานจัดให้ขึ้นพักที่พลับพลาสูงซึ่งอยู่น่าพระที่นั่ง แลเปนที่แลเห็นได้ตลอดไปจนในลานสุเหร่า ที่นี้มีของว่างตั้งเลี้ยงเวลากลางวัน แลมีพวกฝรั่งต่างประเทศที่มีบันดาศักดิ คือ พวกราชทูตแลขุนนางรุสเซียที่มาส่งข้าพเจ้าเปนต้น ได้รับพระราชทานอนุญาตมาดูอยู่ด้วยหลายนาย แลพวกรุสเซียที่มาส่งข้าพเจ้านี้ ได้ทราบว่าแล้วโปรดให้เข้าเฝ้าแลได้รับพระราชทานตราด้วยทุกนาย

สุเหร่าที่สุลต่านจะเสด็จไปนมัสการพระวันนี้ เปนสุเหร่าในพระราชวัง ทำนองวัดพระแก้ว ตั้งแถวทหารม้า ทหารปืนใหญ่ แลทหารเดินเท้า ทหารเรือ กรมต่าง ๆ จุกช่องล้อมวงรายสองข้างทางตลอด ประมาณพลทหารไม่ต่ำกว่า ๕๐๐๐ คน แลมีแตรวงเปนอันมาก ทหารเตอร์กีนี้รูปร่างใหญ่โตล่ำสัน ถึงฝีมือก็ปรากฎว่าเข้มแขง แม้การฝึกซ้อมจะหย่อนกว่าทหารฝรั่ง เจ้าพวกแขกเหล่านี้ ในว่ามีภาษีกว่าที่ทรหดอดทนโดยกินง่ายอยู่ง่ายกว่าฝรั่ง ฤๅเท่า ๆ กันก็พอรับรอง เมื่อรบกับรุสเซีย เมื่อ ๑๗ ปีมาแล้วนี้ ทหารเตอร์กีกองโอสมานปาชาน้อยกว่ารุสเซีย ยังตั้งมั่นรับทัพกษัตริย์ไว้ได้ถึง ๕ เดือน ถึงทุกวันนี้ฝรั่งก็มิได้หมิ่นประมาท แลทหารที่มาล้อมวงในการพระราชพิธีสะลามลิกนี้ตามคำฝรั่งที่เขาเคยดูบอกว่า ตามธรรมดาไม่สู้มากมายเท่าใด ต่อมีแขกบ้านค้านเมืองพิเศษจึงกะเกณฑ์เลือกสรรมาเช่นนี้

การจุกช่องล้อมวงพร้อมแล้ว กระบวนพระประเทียบออกจากพระราชวังก่อน กระบวนนี้มีกรมวังเดินประสานมือนำน่า ๒ คน แล้วถึงรถเก๋งบุรฮุมอย่างฝรั่งรถ ๑ ได้ความว่าเปนรถพระที่นั่งพระชนนีพันปีหลวง ข้างหลังรถมีขันทีประสานมือตาม ๒ คน ต่อรถสมเด็จพระพันปีหลวงลงมาถึงรถเก๋งเหมือนกัน มีคนนำคนตามอย่างเดียวกันอิกรถ ๑ ไม่มีใครบอกว่ารถใคร ข้าพเจ้าก็สันนิฐานเอาในใจว่าเห็นจะเปนรถเจ้าจอม เพราะไม่ปรากฎว่าสุลต่านมีพระมเหษี ฤๅถึงจะมีก็ใช่วิไสยที่เราจะเข้าไปล่วงรู้ รถประเทียบทั้ง ๒ นี้ ขับเข้าไปถึงในลานสุเหร่าแล้ว ก็แก้ม้าปลดคานเข็นเข้าต่อกันไว้เปนยุติเท่านั้น ข้างในไม่ได้ลงจากรถ จนเสร็จการพระราชพิธี แล้วก็ขับกลับคืนเข้าพระราชวัง

เรื่องยุหนุกคือคนขันทีที่ได้กล่าวมาเมื่อแต่กี้นี้ ดูเปนเครื่องที่ฝรั่งชอบบุ้ยใบ้บอกให้ดู แต่แขกไม่อยากจะให้ซักไซ้ไต่ถามถึงเลย เขาว่ามาแต่เมืองนุเปียโดยมาก เปนของฝึกหัดกันมาแต่เล็ก ๆ คนพวกนี้มักจะผ่านจะพบแต่ตามทิ่ใกล้ ๆ รั้ววัง มีลักษณะที่จะสังเกตรู้ได้โดยง่ายที่เปนคนดำ แลถึงจะแก่จะหนุ่มฤๅแม้อายุเพียงสิบสามสิบสี่ปีก็ดี หน้าตาเหี่ยวแห้งแก้มตอบผิดกว่าคนปรกติ ดูพิกลนักหนา

กระบวนพระประเทียบไปแล้วครู่หนึ่ง มีเด็ก ๆ ผู้ชายสัก ๖ คนแต่งตัวเปนนายทหารกรมต่าง ๆ คนใหญ่ขนาดอายุราวสัก ๑๔ ปี คนปลายเถาราวสัก ๘ ขวบ เดินออกมาจากพระที่นั่งลงไปรายกันไปยืนตามน่าแถวทหาร ดูกิริยาท่าทางพวกนายทหารแสดงความเคารพฉันข้ากับเจ้า ข้าพเจ้าก็เข้าใจว่าคงจะเปนลูกเธอ หันไปถามล่ามเขาบอกว่าลูกเธอบ้างไม่ใช่บ้าง ข้าพเจ้าถามต่อไปว่าลูกเธอมีกี่พระองค์ด้วยกัน ดูเหมือนเขาบอกว่ามี ๖ พระองค์ แต่ครั้นไปถามคนอื่นก็กลายไป ๕ ฤๅเปน ๗ ดูไม่แน่ จึงเห็นว่าน่าที่คนเหล่านั้นบางคนจะไม่รู้ ฤๅมิฉนั้นจะเข้าใจว่า แขกเมืองละจะเปนฝรั่งไปหมด จึงมาเลยปิดเอาไทยเข้าด้วยก็จะเปนได้

อิกครู่หนึ่งถึงกระบวนขุนนางผู้ใหญ่่ฝ่ายทหารพลเรือน ประมาณสัก ๓๐ คน เดินเปนสองแถวอย่างตำรวจ ออกจากพระที่นั่งไปราย ๒ ข้างทาง ตั้งแต่ประตูกำแพงแก้วเข้าไปจนบันไดสุเหร่า ประเดี๋ยวได้ยินเสียงกระทั่งแตรเดี่ยวเปนสัญญาเสด็จออก ผู้คนคึกคัก ทหารขยายอาวุธยืนแถวโดยเรียบร้อย คอยรับเสด็จทุกหมวดหมู่ กระบวนเสด็จนั้นมีกรมวังเดินประสานมือนำน่าคู่หนึ่ง แล้วถึงรถพระที่นั่งอย่างรถ ๔ ล้อ เปิดประทุน เทียมม้าเทศสีขาว มีสารถีขับ ในรถนั้นสุลต่านประทับข้างใน โอสมานปาชาผู้มีฝีมือ ที่ได้เปนแม่ทัพรบรุสเซีย เปนเสนาบดีกระทรวงวังนั่งน่า ต่อรถพระที่นั่งมีนายทหารแลพลทหารรักษาพระองค์ประมาณ ๑๐๐ คนเดินแซงสองแถว พวกมหาดเล็กเด็กชาเกลื่อนกล่นไประหว่างกลาง ต่อมามีม้าพระที่นั่งผูกเครื่องคนจูงตามเสด็จประมาณ ๖ ม้า แล้วถึงรถพระที่นั่งรองเปนรถสี่ล้อเปิดประทุน เทียมม้าเทศขาวคู่แต่ไม่มีสารถี เปนหมดกระบวนเสด็จเท่านี้ รถพระที่นั่งมาใกล้แถวทหารถวายวันทิยาวุธ แตรวงเป่าเพลงสรรเสริญ พอรถพระที่นั่งตรงแถวทหารปล่อยมือขวาจากปืนมาถวายสะลาม แลร้องทำนองโห่ฮุเรถวายไชยมงคลดังนี้ทุกแถว เมื่อรถพระที่นั่งผ่านน่าพลับพลาสูง ข้าพเจ้ายืนถวายวันทิยาหัตถ์ พวกไปด้วยที่แต่งเปนพลเรือนก็ถวายคำนับ สุลต่านทรงสะลามรับเหมือนกันทั้งขาไปแลขามา เวลารถพระที่นั่งเข้าในกำแพงแก้วสุเหร่า พวกขุนนางที่ยืนแถวคอยรับเสด็จอยู่สองข้าง ต่างก้มลงถวายสะลามพร้อมกัน แลลักษณสะลามอย่างเตอร์กีนี้เขาอธิบายว่ามีเปน ๓ ชั้นคือ ชั้นต่ำยกมือขวาขึ้นมาแตะหน้าผากเปนการสะลามผู้ที่เสมอกัน ฤๅผู้ใหญ่รับสะลามผู้น้อย เทียบกับประเพณีไทยก็คืออย่างยกมือข้างขวาแสดงไมตรีฤๅรับไหว้กัน สะลามชั้นกลางนั้น เอามือมาสดุดปากเสียหน่อยหนึ่งแล้ว จึงเอาขึ้นแตะที่หน้าผาก เปนอย่างผู้น้อยสะลามผู้ใหญ่ แปลว่าเอาวาจาฤๅบารมีของท่านอันพึงเคารพจุบเสียก่อน แล้วจึงไหว้ณศิระประเทศ ทำนองอย่างประสานมือไหว้ของเรา สะลามอย่างสูงนั้น ก้มตัวลงเอามือขวาเอื้อมลงไปเกือบถึงดิน แล้วจึงยกมาจุบแลแตะหน้าผากเปนที่สุด แปลว่าช้อนเอาลอองธุลีพระบาทมาจบแล้วทูลไว้เหนือเศียรเกล้า ตรงกับถวายบังคมอย่างข้างไทย เพราะฉนั้น ย่อมใช้แต่ถวายสะลามสุลต่านพระองค์เดียว ขุนนางเข้าแถวอยู่มาก ๆ ถวายสะลามอย่างสูงดังว่ามานี้น่าดูมาก ดูมือขวักไขว่กันไปทีเดียว การสะลามอย่างนี้ถึงข้าราชการจะเพ็ดทูลฤๅรับ ๆ สั่งนิดหนึ่ง ก็ต้องสะลามครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้สังเกตในเวลาที่เฝ้าแลเวลานั่งร่วมโต๊ะเสวย ถ้าสุลต่านมีรับสั่งว่ากะไร ล่ามก็เปนต้องสะลามอย่างสูงครั้งหนึ่งแล้ว จึงแปลกระแสรับสั่งแก่ข้าพเจ้า ๆ สั่งให้กราบทูลตอบว่ากะไร กราบทูลแล้วก็ต้องถวายสะลามอิกครั้งหนึ่งดังนี้ไปทุกนัด มือล่ามเปนว่าจะหาเวลาหยุดได้โดยยาก แต่ถี่ ๆ อย่างนั้นก้มไม่ทัน ได้ยกมือขึ้น ๆ ลง ๆ ถวายบังคมแต่สังเขป แต่คิดๆ ดูก็ไม่ควรจะค่อนขอดขนบธรรมเนียมของเขา กิริยาของเราเช่นหมอบแลคลานนี้ ถ้าเขามาเห็นก็คงอาจจะเอาไปพรรณาเห็นลำบากลำบนได้เหมือนกันดอกกระมัง ทั้งนี้ก็อาไศรยความเคยเปนใหญ่ทั้งข้างเราแลฝ่ายเขา นี่ว่าประสาเห็นแปลก ๆ ก็เล่าสู่กันฟัง

รถพระที่นั่งจอดน่าบันไดสุเหร่า มีแขกแต่งตัวรุ่มร่ามออกมารับเสด็จคน ๑ ข้าพเจ้าคเนเห็นว่าจะเปนพระราชครูหะยีผู้อำนวยการพระราชพิธีนั้น สุลต่านเสด็จเข้าไปในสุเหร่าแล้วจะไปประทับที่ไหนฤๅบำเพ็ญพระราชพิธีประการใด ข้าพเจ้าเหลือรู้ เพราะแลเห็นเข้าไปไม่ถึง แต่สักครู่หนึ่งเห็นนักสวดคน ๑ ขึ้นบนหอสูงซึ่งอยู่ในบริเวณสุเหร่าร้องโหยหวนด้วยเสียงอันโด่งดังเฉียบแหลม ฟังดูเยือกเย็นเสียจริง ๆ แต่จะว่ากะไรก็ไม่เข้าใจ เขาบอกว่าเปนคำประกาศเตือนพลเมืองให้นมัสการพระ ต่อเวลานี้ก็เปนอันสงบเงียบสัก ๒๐ นาที เห็นแต่พวกมหาดเล็กเด็กชาข้าราชการยืนเดินเกลื่อนกล่นอยู่ในลานสุเหร่า ไม่ผิดทำนองเวลาเสด็จพระราชทานพระกฐินอยู่ในพระอุโบสถ

สักครู่หนึ่งได้ยินเสียงประโคมแตรวง แลไปดูเห็นน่าต่างสุเหร่าเปิด เขาบอกว่าสุลต่านประทับอยู่ตรงนั้น โปรดให้เดินกระบวนทหารถวายตัว พวกทหารหมวดกรมต่าง ๆ ที่จึกช่องล้อมวังตั้งแถวเดินเปนตับ ๆ เข้าประตูกำแพงแก้วสุเหร่าผ่านน่าพระที่นั่งเปนลำดับกันไป ออกประตูสุเหร่าด้านโน้นแล้ว กลับมายืนแถวรายทางอย่างเดิม พระเจ้าลูกเธอที่แต่งเปนนายทหารกรมใดก็ไปนำน่ากรมนั้น บางองค์ก็ทรงม้า บางองค์ก็เดินดิน แล้วแต่อยู่ในกรมทหารม้าฤๅทหารราย ทหารเดินถวายตัวเสร็จแล้ว สุลต่านก็เสด็จกลับพระที่นั่งโดยทำนองที่เสด็จไป ต่างกันแต่ทรงรถพระที่นั่งรอง ทรงขับเอง แลขากลับมีราชองครักษ์ขี่ม้าแซงสัก ๔ ม้า แต่ขาไปเหตุใดจึงไม่ขี่ก็ไม่ทราบ

เสด็จกลับแล้วประมาณสัก ๕ นาที เจ้าพนักงานกรมวังมาพาข้าพเจ้ากับพวกที่ไปด้วยเดินออกจากพลับพลาสูง ผ่านห้องน้อยใหญ่ไปครู่หนึ่งถึงท้องพระโรง มีขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหารพลเรือนยืนแถวอยู่ประมาณสัก ๑๕ คน สุลต่านแต่งพระองค์เต็มยศเสด็จออกมารับถึงพระทวาร ประทานพระหัดถ์ให้จับแล้ว มีรับสั่งให้ข้าพเจ้ากับพระองค์จิระ ตามเสด็จเข้าไปเฝ้าในห้องเล็กอิกห้อง ๑ มีแต่ล่ามตามเข้าไปแปลพระราชปฎิสัณฐาร ข้าราชการนอกจากนั้นคอยอยู่แต่ห้องนอก สุลต่านประทับพระเก้าอี้ แลโปรดให้ข้าพเจ้ากับพระองค์จิระนั่งณะที่สมควร พระราชทานพระโอสถกระดาษให้สูบก่อนแล้ว จึงมีพระราชปฏิสัณฐารถามถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าทรงสบายดีอยู่ฤๅประการใด ข้าพเจ้ากราบทูลว่า ตามข่าวที่ได้ทราบจากบ้านเมืองในคราวหลังที่สุดนี้ทราบว่าทรงพระสบายดีอยู่ สุลต่านมีพระราชดำรัสถามต่อไปถึงการที่ข้าพเจ้าได้เดินทางในยุโรป แลรับสั่งถามพระองค์จิระถึงการที่ทรงเล่าเรียน กับข้อปกิรณกะต่าง ๆ แลทรงแสดงพระราชหฤไทยยินดีที่ได้ทรงรับรองเจ้านายในราชตระกูลสยามมาสู่พระนครเปนครั้งแรก พอสมควรแก่เวลาแล้วเสร็จก็เสด็จจากพระราชอาศน์ พาข้าพเจ้ากับพระองค์จิระมาสู่ห้องท้องพระโรง ข้าพเจ้าจึงนำข้าราชการที่ไปด้วยให้เฝ้าโดยเฉภาะทั่วทุกคน สุลต่านก็ทรงนำให้ข้าพเจ้ารู้จักกับข้าราชการผู้ใหญ่ซึ่งอยู่ในที่นั้นทั่วกันแล้ว ก็กราบถวายบังคมลากลับมาที่พัก ได้ทราบจากเจ้าพนักงานว่าอิกครู่หนึ่งสุลต่านจะเสด็จมาเยี่ยมตอบ จึงไม่ได้เปลื้องเครื่องเต็มยศ นั่งคอยรับเสด็จอยู่อย่างนั้น

เวลาก่อนสุลต่านเสด็จมาเยี่ยมตอบ โปรดให้เจ้าพนักงานเชิญเครื่องราชอิศริยาภรณ์เตอร์กีมาพระราชทานข้าพเจ้า กับข้าราชการที่ไปด้วยกันตามควรแก่บันดาศักดิทั่วทุกคน แลมีพระราชดำรัสมาให้ถามข้าพเจ้าว่า สุลต่านมีพระราชหฤไทยยินดี ที่พระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จมาถึงเตอร์กีกับข้าพเจ้า ถึงแม้ว่าจะทรงพระเยาว์ ก็มีพระราชประสงค์จะใคร่พระราชทานตรา ให้เปนทีรฦกในการที่เสด็จมาถึงพระนคร แต่การทั้งนี้อยากจะทรงทราบก่อนว่า ข้าพเจ้าจะยอมให้พระองค์จิระรับเครื่องราชอิศริยาภรณ์ฤๅไม่ ข้าพเจ้าจึงสั่งให้เจ้าพนักงานนำความกลับไปกราบทูลว่า ที่ทรงพระกรุณาทั้งนี้เปนพระเดชพระคุณแลเปนความยินดีของข้าพเจ้าหาที่สุดมิได้ แต่ที่จะให้กราบทูลสนองพระราชดำรัสประการใดนั้น ยากเปนอย่างยิ่ง ด้วยการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดให้พระองค์จิระออกมาศึกษาวิชาการในประเทศยุโรปนี้ มีพระราชประสงค์แต่จะให้ทรงเล่าเรียนโดยเต็มพระปัญญาแลอุสาหะ จะได้พระราชทานเกียรติยศฤๅบริวารยศอย่างใดให้ยิ่งไปกว่าที่สมควรแก่การเล่าเรียนนั้นหามิได้ ในการที่โปรดให้พระองค์จิระเสด็จมากับข้าพเจ้าในครั้งนี้ ก็ให้มาแต่เปนอย่างนักเรียนตามควรแก่พระชนมายุ เพื่อพระราชประสงค์จะให้ได้เห็นบ้านเมืองต่างประเทศ แลขนบธรรมเนียมในราชสำนักต่าง ๆ อันจะเปนคุณในการศึกษาของเธอ ไม่ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตมาให้รับเครื่องราชอิศริยาภรณ์ในประเทศใด แต่ก็มิได้มีพระราชดำรัสห้ามปรามโดยเฉภาะอย่างใด จึงเปนการยากในส่วนตัวข้าพเจ้าผู้อยู่ในระหว่างไม่ทราบพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในข้อนี้จะกราบทูลรับฤๅจะปฏิเสธประการใดได้ แต่มาคิดเห็นว่าสุลต่านก็เปนพระมหากษัตริย์ในพระนครใหญ่อันหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเล่าก็เปนพระมหากษัตริย์ครอบครองพระนครอันหนึ่งเหมือนกัน การที่จะทรงพระราชดำริห์เห็นสมควรในทางพระราชไมตรีต่อกันประการใด เอาแต่กระแสพระราชดำริห์เปนใหญ่ อย่าหารือข้าพเจ้าซึ่งเปนผู้น้อย แลอยู่ในความขัดข้องดังได้ว่ามาแล้วนั้นจะดีกว่า ท่านเจ้าพนักงานกลับไปกราบทูล สักครู่หนึ่งกลับออกมาแจ้งแก่ข้าพเจ้าว่า คำซึ่งข้าพเจ้าสั่งให้ไปกราบทูลชี้แจงนั้น สุลต่านทรงพระราชดำริห์เห็นเปนการชอบแล้ว แต่มีพระราชประสงค์จะทรงแสดงพระราชหฤไทยยินดีที่พระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาถึงพระนคร ถึงแม้ว่ายังทรงพระเยาว์อยู่ ก็จะพระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์ให้เปนพระเกียรติยศพิเศษ จึงโปรดให้เชิญเครื่องราชอิศริยาภรณ์มาพระราชทานในเวลานั้น ข้าพเจ้าก็ยอมให้พระองค์จิระรับไว้ แลพากันติดตราเตอร์กีคอยรับเสด็จด้วยกันทุกคน

สักครู่หนึ่งสุลต่านเสด็จทรงรถมาทางถนนรอบพระราชวัง มีกระบวนแห่ทำนองที่เสด็จสุเหร่า ข้าพเจ้ากับพวกที่ไป ลงไปรับเสด็จถึงรถพระที่นั่ง เสด็จลงจากรถแลประทานพระหัดถ์ให้จับแล้ว เจ้าพนักงานกรมวังนำเสด็จไปยังห้องรับแขกซึ่งอยู่ชั้นต่ำในตำหนักมรัสซิม

ธรรมเนียมตามราชสำนักในยุโรป มักจะมีขุนนางผู้ใหญ่ในกรมวังนำเสด็จ ในสมัยกาลประกอบด้วยยศศักดิอย่างนี้แทบทุกแห่ง บางเมืองกรมวังถือไม้สักท้าวทองเปนเครื่องยศ บางเมืองก็ไม่ถือ ธรรมเนียมที่มีกรมวังนำเช่นนี้ เปนคุณแก่แขกเมืองเช่นข้าพเจ้าไปนี้เปนอันมาก เปนต้นว่าไปถึงวัง พอลงจากรถก็เจอท่านเหล่านี้เตรียมนำอยู่เสร็จ พอก้าวเข้าพระทวารแกก็นำทางเรื่อย เราคอยแต่ตามแกไปก็ไม่ต้องวิตกว่าจะเซอะซะ ฤๅต้องมีใครสกิดสเกาฉุดคร่าประการใด แต่ธรรมเนียมกรมวังนำเสด็จนี้ เขาว่าบางเมืองกรมวังต้องเดินถอยหลัง เพราะต้องหันหน้ามาเฝ้าเปนเคารพ แต่ที่ข้าพเจ้าได้เห็นมาในยุโรป ดูเขามักจะหยุดแลกลับหน้ามาดูต่อเมื่อถึงพระทวารฤๅที่เลี้ยวลด เพื่อเปนกิริยาที่จะรอมิให้เราหลง บางคนแก่ ๆ เห็นเดินเรื่อยไม่เหลียวหลังก็มี แต่ท่านกรมวังในเตอร์กีนี้ดูอยู่ข้างเคร่งเดินถอยหลังด้วย ต้องกราบเพ็ดกราบทูลถวายสะลามชั้นที่หนึ่งไปพลางด้วย จนออกวิตกกลัวแกจะสดุดอไรหกล้มลง แต่ก็ไม่ยักล้ม เห็นจะฝึกหัดชำนิชำนาญมามาก

สุลต่านเข้าไปประทับในห้องรับแขกนี้ แต่ด้วยข้าพเจ้า พระองค์จิระ กับเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศแลล่ามอิกคน ๑ ข้าพเจ้ากับพระองค์จิระกราบทูลขอบพระเดชพระคุณในส่วนตัว แลแทนพวกที่ไปที่ได้รับพระราชทานตรานั้นตามสมควร สุลต่านมีพระราชดำรัสว่า ทรงหวังพระราชหฤไทยว่าที่ข้าพเจ้าได้มาถึงพระนครในครั้งนี้ จะเปนเหตุให้สองพระนครมีทางพระราชไมตรีอันสนิทแก่กันต่อไป แล้วตรัสประภาษต่าง ๆ พอสมควรแก่เวลาแล้วก็เสด็จกลับ เปนเสร็จการเฝ้าเต็มยศในครั้งแรก ๚

๏ สุลต่านเตอร์กีพระองค์นี้ ทรงพระนามว่าพระเจ้าอับดุลฮามิด พระชนม์พรรษา (เมื่อ ร.ศ. ๑๑๐) ได้ ๔๙ พรรษา ครอบครองราชสมบัติมาได้ ๑๗ ปี เปนพระราชโอรสของพระเจ้าอับดุลเมดยิด แลเปนสุลต่านรัชกาลที่ ๓๔ ในพระราชวงษ์โอทมาน พิเคราะห์ดูพระศิริรูปสูงต่ำพอสันทัดแต่อยู่ข้างจะผ่ายผอม เหมือนหนึ่งผู้ซึ่งปราศจากศุขสำราญในอิริยาบถ เขาว่าเปนเพราะทรงพระอุสาหะในราชการบ้านเมืองมาก ไม่ว่าราชการใดใด ต้องเพ็ดทูลถึงพระเนตรพระกรรณ แลต้องทรงเปนพระราชธุระทั่วไปหมดทุกอย่าง ในว่าจนไม่ใคร่มีเวลาที่จะเข้าที่พระบรรทมได้เต็มพระเนตร ความข้อนี้เปนคำขุนนางแขกบอกเล่าจะจริงเท็จเพียงใดต้องไว้แก่ผู้กล่าว แต่ข้อที่ไม่ว่าอะไร ๆ เปนต้องทราบถึงพระเนตรพระกรรณนั้นเห็นงามจะจริง ได้ปรากฎแก่ตัวข้าพเจ้าด้วยเรื่องเตาผิงไฟครั้งหนึ่งแล้ว ยังมีพยานอย่างอื่นอิก คือ เมื่อข้าพเจ้าไปในยุโรปครั้งนั้น ได้เสาะหารวบรวมตัวอย่างตั๋วไปรสนีย์ตัวอย่างเงินแลรูปถ่ายต่าง ๆ ตามบรรดาเมืองที่ได้ไป ของเหล่านี้ถึงที่ใดมีเวลาก็เที่ยวซื้อหารวบรวมมาทุกแห่ง ครั้นมาถึงเตอร์กีเข้ามาอยู่ในที่คับขัน เห็นจะหาโอกาศไปเที่ยวเตร็จเตร่เร่ร่อนตามอำเภอใจไม่ได้อย่างเมืองฝรั่ง จึงว่าวานท่านเจ้าพนักงานให้ช่วยเปนธุระซื้อหาให้ตามประสงค์ ท่านเหล่านั้นรับปากไปนิ่ง ๆ เสีย คาดว่าเขาจะลืมจึงได้เตือน ก็ได้รับคำตอบว่า สิ่งของเหล่านั้นสุลต่านได้โปรดให้ตระเตรียมไว้พระราชทานแล้ว ดังนี้ จึงเข้าใจว่ากิริยาฤๅวาจากรรมอย่างใดใด ที่ข้าพเจ้าได้ประพฤติในที่นั้น คงจะมีผู้นำความไปกราบทูลหมดทุกอย่างเปนแน่แท้ ตั้งแต่นั้นมาถึงจะอยากได้อะไรก็มิได้บอกให้เจ้าพนักงานทราบ ๚

๏ ราชประเพณีเตอร์กีนี้ ตามที่ได้อ่านมาในหนังสือแลฟังจากคำฝรั่งผู้ได้อยู่ในเมืองนั้นช้านานเขาบอกเล่า ทั้งที่ได้สังเกตเห็นด้วยในตาของตนเอง ดูเปนการซึ่งควรจะพิศวงฤๅจะว่าควรคิดเห็นเปนเครื่องสลดใจก็ว่าได้ คือพวกเตอร์กีนี้เปนแขกอิสลาม ต้องถือประเพณีตามคัมภีร์โกหร่านซึ่งพระมะหะหมัดบัญญัติไว้มิให้เคลื่อนคลาศ การสืบวงษ์อันบังคับไว้ในโกหร่านนั้น ผู้อยู่ในตระกูลมีบันดาศักดิชั้นเดียวกัน ผู้ใดมีพรรษาแก่กว่าย่อมต้องได้เปนใหญ่ก่อนผู้เปนเด็กกว่า เปนต้นว่าถ้าสุลต่านพระองค์ ๑ มีพระราชบุตร ๓ พระองค์ แลสุลต่านนั้นล่วงไป พระราชบุตรองค์ใหญ่ได้ครอบครองราชสมบัติ จะมีลูกเธอมากน้อยเท่าใดก็ตาม ถ้าสุลต่านพระองค์ที่ ๒ ล่วงไปเมื่อใด น้องยาเธอต้องได้ครอบครองราชสมบัติโดยลำดับกัน จนหมดน้องยาเธอแล้ว จึงจะถึงลูกเธอสุลต่านพระองค์ที่ ๒ แลต่อกันลงไปโดยทำนองนั้น

ประเพณีสืบวงษ์อย่างนี้ เปนต้นเค้าให้มีความกินแหนงระแวงกันในราชตระกูล ตั้งแต่พระยายะหรีดกับอิมามหุเซนหลานพระมะหะหมัด เกิกฆ่าฟันกันขึ้นเองเปนปฐมสืบต่อมาตราบเท่าทุกวันนี้ เมื่อพิเคราะห์ดูก็แลเห็นเหตุผลได้โดยง่าย เปรียบว่าพี่น้องสองคนแก่กว่ากันสามปี คนพี่ได้ครองสมบัติ ถำพี่มีชีวิตรอยู่ไปได้จนแก่เถ้าประมาณว่า ๗๐ ปี น้องชายจะได้ครองสมบัติก็ต่อเมื่ออายุของตนได้ถึง ๖๗ ปี ถ้าอายุอยู่ได้เท่าพี่ก็คือจะได้ครองสมบัติแต่เพียง ๓ ปีเท่านั้น ถ้าพี่อายุสั้นยิ่งสิ้นชีวิตรเร็วเข้าเท่าใด โอกาศที่น้องจะได้ครอบครองสมบัติก็ยิ่งยืดยาวออกไป เมื่อเช่นนี้ก็เปนธรรมดาที่พี่กับน้องย่อมต้องมีความกินแหนงต่อกัน ฝ่ายพี่สงไสยว่าน้องคงคอยแช่งชักฤๅคิดหาโอกาศทำอันตรายเพื่อจะช่วงชิงเอาสมบัติโดยเร็ว ฝ่ายน้องที่ชั่วก็จะเปนได้เช่นนั้น ที่ดีก็จำต้องระมัดระวังตัว เมื่อว่าโดยย่อก็คือเปนยากที่จะมีความไว้วางใจต่อกันได้ ยกตัวอย่างอันจะแลเห็นในปัตยุบัน คือผู้ที่จะรับราชสมบัติต่อสุลต่านพระองค์นี้ ชื่อ เมเหเมด เรชัด เอฟเฟนดี เปนน้องยาเธอชนมายุอ่อนกว่าสุลต่าน ๒ ปี เขาบอกว่าท่านผู้นี้อยู่วังแห่ง ๑ มีผู้คอยควบคุมดูแลอย่างนักโทษ จะเกี่ยวข้องคบหาข้าราชการคนใดไม่ได้ ถ้าใครไปมาหาสู่คบหากับเจ้าองค์นี้ ไม่ช้าก็ต้องราชไภยต่าง ๆ มีถูกเนียรเทศเปนต้น ผู้เปนรัชทายาท แม้มิได้เปนลูกเธอฤๅผู้ซึ่งมีอายุอ่อนกว่าสุลต่านมาก ๆ จำต้องรับความเดือดร้อนเช่นนี้ เปนประเพณีมาแต่เก่าก่อน จะได้เปนแต่เจ้าองค์นี้เท่านั้นหามิได้ ตกอยู่ในผู้ใดเปนผู้จะรับราชสมบัติผู้นั้นก็เสมออภัพสัตว์ ไม่ได้โอกาศที่จะศึกษาราชการบ้านเมือง ซึ่งจะต้องเปนภาระของตนต่อไปในกาลครั้งหนึ่ง ฤๅจะได้คบหาสมาคมกับข้าราชการ ให้รู้จักกำลังพาหนะที่จะได้อาไศรยในภายน่า การเปนดังนี้ เขาจึงว่าสุลต่านพระองค์ใดจะครอบครองบ้านเมืองได้ ดีฤๅเลวประการใด อาไศรยแต่ด้วยอุปนิไสยอันมีมาแก่พระองค์เปนประมาณ

ผลของประเพณีสืบวงษ์ดังว่ามาแล้วนี้ ยังมีข้อควรสลดใจอิกด้วยเรื่องลูกเธอ เวลาพระชนกมีพระชนม์ถึงจะทรงอุปถัมภ์บำรุงเลี้ยงโดยพระกรุณาประการใต ก็เสมอแต่หยิบยืมเกียรติยศมาไว้ใช้สอยรื่นรมย์แต่ชั่วคราวหนึ่ง ความเคารพนบนอบอันใดของบรรดาข้าราชการก็เสมอว่าแกล้งทำแต่พอให้ถูกพระไทย สุลต่านล่วงไปเวลาใด ลูกเธอเหล่านี้ก็จำต้องห่างเหินเข้าเมฆหมอกไป จนกว่าจะได้ประสบพบทุกขลาภเข้าในอนาคต

ราชตระกูลในเตอร์กีมีประเพณีสืบวงษ์ เปนโรคประจำอยู่ดังอธิบายมานี้ เจ้านายจึงไม่ได้มีโอกาศออกหน้าฤๅเกี่ยวข้องแก่ราชการบ้านเมืองเลย เมื่อข้าพเจ้าไปอยู่ในเตอร์กี ได้รู้จักบรรดาข้าราชการที่เปนคนสลักสำคัญแทบทั่วตัว แต่จะได้พบปะเจ้านายแต่สักองค์หนึ่งองค์เดียวนั้นหามิได้ เมื่อเฝ้าสุลต่านวันแรก ได้กราบทูลชมเชยพระเจ้าลูกเธอที่แต่งเปนนายทหาร ไปรับเสด็จในพระราชพิธีสะลามลิก ก็เปนแต่รับสั่งว่า ให้ฝึกหัดไว้เพื่อจะให้รับราชการเท่านี้ ไม่ได้โปรดให้พบปะฤๅจะมีรับสั่งเรื่องเจ้านายต่อไปประการใด

การเรื่องประเพณีสืบวงษ์ดังได้พรรณามานี้ บางทีท่านทั้งหลายจะนึกสงไสยว่ามีโทษอยู่อย่างนั้น เหตุใดเขาจะไม่คิดเห็น แลมิได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงเปนอย่างอื่น ความข้อนี้ข้าพเจ้าได้นึกสงไสย แลได้ไต่ถามผู้บอกเล่า เขาว่าการเรื่องนี้แขกเขาก็คิดเห็น ถ้าเปลี่ยนได้สุลต่านคงจะได้ตั้งพระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงเสียนานแล้ว แต่การหากติดอยู่ด้วยเปนบัญญัติในคัมภีร์โกหร่าน เปนของสาปสรรไว้มิให้เปลี่ยนแปลง ถ้าไปทำเข้าราษฎรก็จะแลเห็นเปนการมิจฉาทิฐิ แม้มิเรียบร้อยจะเปนเหตุให้เกิดจลาจลขึ้นแก่บ้านเมือง จึงต้องจำทนด้วยเหตุนี้ อนึ่งจะเปนด้วยผลแห่งประเพณีสืบวงษ์ทีได้อธิบายมาแล้วฤๅจะเปนด้วยปัจจัย อันอยู่ภายนอกความรู้เห็นของข้าพเจ้าออกไปประการใดด้วย หาทราบชัดไม่ เขาว่าการรักษาพระองค์ของสุลต่านนี้เปนอย่างกวดขันอย่างยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้าได้เคยรู้เห็นมาแต่ในที่ใดๆ ผู้คนซึ่งจะเข้าได้ใกล้ชิดพระองค์ก็จำกัดเลือกสรรมิให้แปลกปลอม แลมิได้เสด็จไปที่ใดใดภายนอกพระราชวังยิ่งกว่าปีละครั้งเดียว คือไปนมัสการพระตามสุเหร่าใดสุเหร่าหนึ่งเปนการปี ทำนองเสด็จพระราชทานพระกฐิน แต่กระนั้นในว่าไม่บัตรหมายให้รู้ว่าจะเสด็จสุเหร่าใด จนเวลาจวนแจในวันหนึ่งสองวัน อนึ่งแต่ก่อนมาการพระราชพิธีสะลามลิก สุลต่านก็เคยเสด็จตามสุเหร่าต่างๆ ผลัดเปลี่ยนเวียนกันไป ครั้นสุลต่านพระองค์นี้ ก็โปรดให้สร้างสุเหร่าขึ้นเสียในพระราชวัง เพื่อจะได้ไม่ต้องเสด็จไปสุเหร่าอื่นตั้งแต่ก่อน ความข้อนี้ข้าพเจ้าเองก็คิดไปไม่เห็น ว่าทำไมจึงต้องรักษาพระองค์กวดขันถึงปานนี้ ครั้นจะไต่ถามเอาความที่พวกแขกก็จะเปนอันปราศจากความเคารพ แลที่ไหนเขาจะบอกความตามที่เปนจริง ๆ ซักไซ้ฝรั่งผู้บอกเล่า เขาชี้แจงให้เปนแต่เลา ๆ ว่าการคิดประทุษร้ายในเตอรกีนี้มักจะมีขึ้นง่าย ๆ สุลต่านอับดุลเมดยิด พระชนกาธิราชของสุลต่านพระองค์นี้ ก็ล่วงไปด้วยถูกวางยาพิศม์ สุลต่านอับดุลอาลิส ซึ่งเปนพระเจ้าอาว์ได้รับราชสมบัติต่อมาได้ ๑๕ ปีก็ถูกเนียรเทศเสียจากราชสมบัติ ไม่ช้านานเท่าใดก็มีผู้ร้ายลอบสำเร็จโทษเสีย ต่อมาสุลต่านมุรัต พระเจ้าพี่ของสุลต่านได้ครอบครองราชสมบัติได้ ๓ เดือนเสียพระจริต ก็ถูกเนียรเทศเสียอิก แลยังอยู่ในที่คุมจนทุกวันนี้ ต่อมาจึงถึงสุลต่านพระองค์นิ้ได้ครอบครองราชสมบัติ เขาชี้แจงให้ฟังว่า เมื่อสุลต่านได้ทอดพระเนตรเห็นภยันตรายมีมาแก่สุลต่านถึง ๓ พระองค์ติด ๆ กัน ปรากฏแก่พระไทยอยู่เช่นนี้ ก็เปนธรรมดาที่จะต้องระมัดระวังพระองค์มิให้เปนเช่นเดียวกันได้ แต่เขาว่าสุลต่านพระองค์นี้ มีความสามารถในราชูปนิไสยมาก เมื่อได้ขึ้นครองราชสมบัติเปนเวลาบ้านเมืองถึงยุคเข็ญ ภายในกำลังเกิดการขบถประทุษร้าย ภายนอกรุสเซียก็กำลังจะเบียดเบียน พอการภายนอกเรียบร้อย สุลต่านก็เปนพระราชธุระกำจัดพวกเหล่าร้ายที่ก่อการกำเริบในบ้านเมืองเรียบร้อยราบคาบได้จนทุกวันนี้ นี่ว่าตามที่เขาบอกเล่า จะจริงเท็จเพียงใดต้องอยู่แก่ผู้กล่าว แต่ข้าพเจ้ายังติดใจข้อที่ว่าไม่เสด็จออกนอกพระราชวังเลยนี้อยู่ไม่รู้หาย เห็นเปนพ้นวิไสยที่จะพึงทนได้ แต่ความข้อนี้ว่ากันเปนปากเดียวทั่วไป ข้าพเจ้าจึงมานึกสันนิฐานเอาในใจว่า ถึงจะไม่เสด็จออกนอกพระราชวังโดยทางราชการ คงจะมีเวลาเสด็จปลอมพระองค์ไปเที่ยวประพาศตามแผนกาลิฟแต่ก่อน ๆ บ้างเปนแน่แท้

ในเวลาค่ำวันที่ ๒๐ นั้น กินอาหารแล้ว ได้รับกระแสรับสั่งโปรดให้ข้าพเจ้ากับพวกที่ไป เข้าไปดูการเล่นที่โรงลครพระราชวังชั้นใน เขาพาให้เดินทางพระทวารที่ต่อกับตำหนักมรัสซิม แต่จะไปทิศทางเหนือใต้อย่างใดหาทราบไม่ เปนแต่เดินผ่านห้องน้อยใหญ่ลดเลี้ยวไปมาครู่หนึ่ง ก็ถึงห้องที่สุลต่านประทับ ประทานพระหัดถ์ให้จับแลมีพระราชปฏิสัณฐารพอสมควรแล้ว เสด็จพาข้าพเจ้ากับพระองค์จิระเข้าไปยังห้องที่ประทับทอดพระเนตรลคร

โรงลครนี้ทำอย่างโรงลครฝรั่ง จุดไฟฟ้าแลประดับประดางดงาม แต่เปนขนาดเล็กย่อมกว่าโรงลครในหอพระสมุดวชิรญาณนี้สักหน่อยหนึ่ง ที่นั่งดูยกพื้นสูงเปนระเบียง (แคลเลอรี) รอบทั้งสามด้าน ด้านสกัดที่ตรงกับน่าโรงลคร จัดเปนห้องที่ประทับอยู่ข้างซ้ายตอน ๑ ห้องต่อไปข้างขวา เปนห้องสำหรับข้างในดู ห้องนี้ข้างน่ามีไม้ระแนงปิดทองตีเปนตาตรางแทนมุลี่ ยังตามิให้แลเข้าไปเห็นถึงภายใน ต่อไปข้างด้านยาวถัดห้องข้างในเปนที่ขุนนางสนมกรมวังนั่ง ข้างด้านยาวตรงกันข้ามเปนที่พวกข้าราชการแลพวกไทยนั่งดู ใต้ระเบียงนี้มีแต่พวกขันทีซึ่งประจำราชการ ต่อออกไปก็พวกดนตรีสาหรับทำในการเล่นนั้น

การเล่นในวันนี้มิใช่ลคร เปนแต่พวกพิณพาทย์หลวงขับร้องเพลงฝรั่งสลับกันกับพวกญวนหก เล่นดัดตนแลหกคเมนท่าต่าง ๆ แลการเล่นนี้ แบ่งเปนสองตอน ตอนแรกเล่นจบแล้วมีรับสั่งเรียกพระสุธารศชามีน้ำตาลเจือเข้ามาพระราชทาน ครั้นเล่นจบตอนหลังแล้วโปรดให้ไปกินอาหารว่างในห้องอิกแห่ง แต่มิได้เสด็จไปประทับเสวยด้วย กินแล้วจึงไปทูลลากลับออกมาที่พัก

เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าที่โรงลครวันนี้ สุลต่านมีรับสั่งถามว่าข้าพเจ้าอยู่เตอร์กีสักกี่วัน ข้าพเจ้ากราบทูลว่าหมายจะอยู่สัก ๔ วันพอวันจันทร์ได้คราวเรือจะกราบถวายบังคมลาไปเมืองครีส สุลต่านมีรับสั่งว่า ที่จะอย่เพียง ๔ วันนั้นน้อยนัก ที่ไหนจะดูอะไรได้ทั่วถึง จะอยู่ต่อไปอิกสักสี่ห้าวันไม่ได้ฤๅ ข้าพเจ้ากราบทูลว่า ที่ทรงพระกรุณาทั้งนี้ เปนพระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าก็อยากจะปฏิบัติตามพระราชประสงค์ แต่หากเห็นจำเปนจะต้องกราบถวายบังคมลาไปในวันจันทร์ ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือประการที่ ๑ ได้ว่าโดยสานเรือไว้เสียแล้ว กับประการที่ ๒ ซึ่งข้าพเจ้าจำต้องกราบทูลความตามจริงใจที่รู้สึกอยู่ว่าข้าพเจ้ามาสู่พระนครครั้งนี้ จะได้มีราชการอันใดให้จำเปนต้องทรงรับรองก็หาไม่ ที่ทรงเปนพระราชธุระแลแสดงพระกรุณาเปนอเนกประการดังนี้ ก็ย่อมเปนพระราชภาระเพิ่มเติมเกินขึ้นเพราะข้าพเจ้าเปนเหตุ จะอยู่นานวันก็เห็นเปนประหนึ่งว่าเพลิดเพลินในความศุขสบาย ไม่รฦกยำเกรงพระบารมี ด้วยเหตุเหล่านี้เปนใหญ่ จึงมีความเสียใจที่จะเลื่อนวันต่อไปมิได้ สุลต่านมีรับสั่งตอบว่า ข้อที่ได้ว่าโดยสานเรือไว้แล้วนั้น ไม่เปนการสำคัญอันใด จะโปรดให้เจ้าพนักงานไปว่ากล่าวคืนแก่เขาเสีย แลจะโปรดให้จัดเรือหลวงไปส่งข้าพเจ้าโดยเฉภาะให้ถึงเมืองครีส แลข้อที่ข้าพเจ้าเกรงพระบารมีนั้น รับสั่งว่าทรงรับรองข้าพเจ้ากับพวกที่ไปด้วยในคราวนี้โดยเต็มพระราชหฤไทยที่ทรงยินดีจริง ๆ มิได้มีความรังเกียจแต่สิ่งใด อนึ่งสุลต่านแต่ก่อน ๆ มาในพระราชวงษ์นี้ ย่อมมีพระเกียรติยศปรากฏแก่นานาประเทศว่า เปนผู้เอาพระไทยใส่ในการต้อนรับแขกมิได้เว้นแต่ละพระองค์ การที่ข้าพเจ้าจะไปเสียโดยเร็วนี้ จะปรากฏเหมือนหนึ่งว่าเพราะไม่เปนพระราชธุระรับรองให้พอใจที่จะอยู่ ก็จะเสื่อมเสียพระเกียรติยศ เพราะฉนั้นขอให้ข้าพเจ้าเลื่อนกำหนดวันออกไปแม้แต่เพียงสักสามวัน นึกว่าให้เปนพระเกียรติยศดังพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อน ๆ นี้เถิด มีรับสั่งดังนี้ ก็เปนอันหมดท่าที่จะกราบทูลได้อย่างอื่น จึงกราบทูลว่า ถึงข้าพเจ้าจะเปนคนต่างชาติต่างภาษา เมื่อมาอยู่ในพระนครก็เหมือนเปนข้า สุลต่านเปนพระมหากษัตริย์มีรับสั่งประการใด ก็ได้แต่จะต้องกระทำตาม ด้วยเหตุนี้จึงเปนอันเลื่อนกำหนดออกไปจนวันพฤหัศบดี ต้องโทรเลขกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินครีส ขอเลื่อนกำหนดซึ่งได้กราบทูลไว้แต่เดิมด้วย ๚

๏ รุ่งขึ้นวันที่ ๒๓ เดิมกำหนดว่าจะมีการเลี้ยงพระราชทานที่พระที่นั่ง แต่สุลต่านโปรดให้เลื่อนกำหนดไป เพราะพระวิจิตรวรสาสน์ยังไม่หายป่วย จะไปนั่งโต๊ะด้วยไม่ได้ การที่พระวิจิตรป่วยนี้ ตั้งแต่วันแต่งเต็มยศไปดูพระราชพิธีสะลามลิก ไปเปนลมต้องขึ้นรถกลับมาที่พัก หาได้เฝ้าแหนกับเขาไม่ พอเหตุทราบถึงพระเนตรพระกรรณก็โปรดให้หมอหลวงทั้งแขกทั้งฝรั่งมารักษาพยาบาล แลเปนพระราชธุระทรงไต่ถามถึง แลให้มหาดเล็กมาถามอาการไปกราบทูลเนือง ๆ เมื่อการเลี้ยงเลื่อนไป วันนี้จึงตกลงพากันขึ้นรถไปตามในเมือง

ประเทศเตอร์กีนี้ ภูมิ์แผนที่ตั้งคาบเกี่ยวอยู่ทั้งในยุโรปแลเอเซีย แลยังมีอาณาเขตรเกี่ยวเข้าไปในอาฟริกาด้วย ถ้าจะว่าตามคติโบราณของเรา ก็เปนอย่างเมืองอกแตกซึ่งถือว่าเปนอวะมงคล ทำนองต้องธรณีสาน คติอันนี้จะเปนของไทยแท้ฤๅจะมาแต่คัมภีร์เพศภาษาใด แลจะได้อาไศรยหลักฐานอันใดเปนที่สังเกตมาแต่ดึดำบรรพ์ก็ตาม แต่เมื่อพิเคราะห์ดูเรื่องราวของเมืองเตอร์กี เห็นเปนข้อก่อเกิดความเดือดร้อนรำคานให้แก่รัฐบาลมาไม่ขาด เข้าเค้าตามตำราต้องธรณีสานประหลาดอยู่ ความข้อนี้จำต้องเล่าเรื่องราวของเตอร์กีสักเล็กน้อย ท่านทั้งหลายจึงจะเข้าใจ

ประเทศตอนต่อยุโรปกับเอเซีย ซึ่งเปนอาณาเขตรเตอร์กีในบัดนี้ แต่เดิมเปนเมืองฝรั่งนับถือสาสนาคฤศเตียน มีกษัตริย์ปกครองโดยนามอาณาเขตรรวมกันว่า ประเทศใบเซนไตน์ ตั้งเมืองคอนสะแตนติโนปัลเปนเมืองหลวง แลแขกเติ๊กพวกนิ้ภูมิ์ลำเนาเดิมอยู่กลางเอเซียห่างไกลกับยุโรปมาก ตั้งต้นอพยพกันออกมาตั้งทำมาหากินใกล้ยุโรปเมื่อสักพันปีมานี้ ครั้นต่อมาอิกสักสองร้อยปี เกิดผู้มีบุญขึ้นในหมู่แขกเติ๊กพวกนี้ผู้หนึ่งชื่อโอทมาน มีอานุภาพปราบปรามบ้านเล็กเมืองน้อยที่ใกล้เคียงได้เปนอาณาเขตร จนกระทั่งตั้งตนขึ้นเปนกษัตริย์มีอิศรภาพ ทรงพระนามว่าพระเจ้าโอทมานเปนปฐมกษัตริย์ ซึ่งสืบพระวงษ์ต่อลงมาในเตอร์กีจนตราบเท่ากาลบัดนี้ นับเปนชั้นแรกที่พวกแขกเติ๊กจะมีกำลังแลอำนาจขึ้น แลแขกเติ๊กพวกนี้เปนแขกอิสลามนับถือสาสนาพระมะหะหมัดดังได้กล่าวมาแล้ว เมื่อมีกำลังสามารถขึ้นก็คิดอ่านแผ่อำนาจเจริญรอยอย่างพระมะหะหมัดได้กระทำมา กล่าวคือตั้งหน้าแผ่สาสนาแลอาณาเขตรเปนอันหนึ่งอันเดียวกันไป เห็นเมืองใดยังเปนมิจฉาทิฏฐิ ชักชวนโดยดีแล้วไม่ยินยอมเข้ารีดก็ยกทัพไปปราบปรามร่างกาย อันเปนเจ้าสำนักแห่งทิฏฐิของคนพวกนั้น แลเอาบ้านเมืองเปนอาณาเขตรต่อ ๆ ออกไป แม้ได้บ้านเมืองแล้ว พวกที่เคยเปนศัตรูคนใดยอมเข้ารีดก็รับทำนุบำรุงเปนอย่างกันเองให้เสมอหน้ากัน ถ้าศัตรูที่ตกอยู่ในเงื้อมมือยังละทิฏฐิเดิมไม่ได้ ก็ไม่ฆ่าฟันแต่ไม่ได้รับความยกย่องอันใด คงให้เปนแต่พลเมืองอย่างต่ำ ทำนองชเลยอยู่ในพื้นบ้านพื้นเมือง เปนประเพณีที่แขกอิสลามปราบปรามบ้านเมืองมาดังนี้

เมื่อพระเจ้าโอทมานล่วงไป กษัตริย์ซึ่งสืบพระวงษ์องค์ใด ๆ มีอานุภาพ ก็ตั้งความพยายามขยายเขตรแดนกว้างขวางออกไปทุกที จนเมื่อคฤศตศักราช ๑๔๕๓ ปี ตีได้เมืองคอนสะแตนติโนปัล ซึ่งเปนเมืองหลวงของฝรั่งประเทศใบเซนไตน์แล้ว ย้ายมาตั้งเมืองหลวงของเตอร์กีเข้ามาอยู่ในยุโรปแต่นั้นมา เวลาเมื่อเตอร์กีมีอำนาจครั้งนั้นตีได้เขตรแดนเข้าไปในยุโรปมาก จนกระทั่งถึงยกทัพเข้าไปประชิดติดชานเมืองเวียนนา ซึ่งเปนเมืองหลวงประเทศออสเตรียทุกวันนี้ ก็ครั้งหนึ่ง แต่อำนาจมีธรรมดาเหมือนกับสายน้ำ กล่าวคือ ถึงจะไหลหลังท่วมทุ่งท่าป่าดงไปเท่าใดย่อมมีเวลาถึงที่สุดแล้ว ก็กลับไหลลดลงเปนลำดับ เปนความจริงเช่นนี้ โดยฉันใดก็ดี อานุภาพของเตอร์กีเมื่อขึ้นถึงที่สุดแล้ว ก็เปนยุติตันอยู่เพียงได้ตีเข้าไปถึงชานเมืองเวียนนาเปนที่สุด แต่นั้นมาฝรั่งต่างชาติมีรุสเซียเปนต้น มีกำลังขึ้นก็ตีเขตรแตนกลับคืนไปได้เปนลำดับ แต่กระนั้นอาณาเขตรเตอร์กีทุกวันนี้ก็ยังกว้างใหญ่ คาบอยู่ทั้งในยุโรปแลเอเซีย แลเกี่ยวไปในอาฟริกาด้วย นับเช่นมหาประเทศอันหนึ่งในยุโรป เรื่องราวของเตอร์กีมีมาโดยสังเขปดังนี้ ข้อที่ว่าต้องธรณีสานได้ความเดือดร้อนนั้นคือข้อต้นเพราะอาณาเขตรก้าวก่ายดังว่ามาแล้ว พลเมืองที่อยู่ในอำนาจเตอร์กีต่างชาติต่างภาษา แลถือสาสนาต่างกัน ตอนข้างเอเซียแลอาฟริกาพลเมืองเปนแขกนับถือสาสนาอิสลามมาก แต่ตอนข้างยุโรปเปนฝรั่งถือสาสนาคฤศเตียน มากกว่าแขกที่ถือสาสนามะหะหมัด พวกพลเมืองที่เปนฝรั่งนับถือสาสนาคฤศเตียนย่อมรู้สึกว่าต้องถูกกดขี่อยู่ในอำนาจคนต่างชาติต่างภาษา เพราะเหตุที่ปู่ย่าตายายเสียบ้านเมืองแก่เขา ยังมีใจคิดทึ่จะเอาบ้านเมืองคืนมาอยู่ในปกครองของฝรั่งที่ร่วมชาติแลสาสนาอันเดียวกันมิได้ขาด เวลาน้ำท่วมปากต้องจำทน ถ้ามีช่องทางอย่างใด ก็คอยก่อการกำเริบจะเอาตนออกหากจากอำนาจเตอร์กีเนือง ๆ พลเมืองพวกนี้เปรียบเหมือนมูลฝอยเชื้อไฟ ถ้าเกะกะขึ้นคราวใด รัฐบาลปราบปรามด้วยกำลังแขงแรง ก็เอาเหตุที่เพราะตนเปนคนถือสาสนาคฤศเตียนถูกพวกแขกมิจฉาทิฏฐิกดขี่อย่างปู่ย่าตายายนั้น ออกป่าวร้องประกาศวิงวอนไปตามเมืองฝรั่งที่ร่วมสาสนาเกิดเร่าร้อนลุกขึ้นเปนเปลวไฟ กระพือพัดถึงผู้ปกครองประเทศใหญ่ ๆ เช่นเอมปเรอรุสเชีย อันเปนประธานในการสาสนาคฤศเตียนฝ่ายคริกนิกาย แลผู้ปกครองแผ่นดินฝรั่งเศส ผู้เปนหัวน่าอุปถัมภ์สาสนาคฤศเตียนฝ่ายโรมันนิกาย ต้องเข้าว่ากล่าวเปนปากเสียง บางคราวก็สงบไปได้ด้วยความผ่อนผันของเตอร์กี บางคราวก็เลยลุกลามเกิดเปนศึกสงคราม ถ้าเตอร์กีพ่ายแพ้ก็มักเลยถูกลิดเขตรแดนแลถูกปรับไหมยับเยินมาหลายคราว ข้อนี้แลเปนความยากยิ่งของรัฐบาลเตอร์กีอยู่อย่างหนึ่ง ต้องระวังผ่อนผันสั้นยาวชิงไหวพริบอยู่เสมอ แต่ครั้นผันผ่อนหย่อนมือไปยกย่องเอาใจพวกคฤศเตียนหนักเข้า เจ้าพวกพลเมืองฝ่ายแขกก็เสียงเขียวคอยจะหาเหตุว่าทำผิดแผนโกหร่าน เปนการผะอืดผะอมเช่นนี้ประการหนึ่ง

อิกประการหนึ่งบรรดาฝรั่งทั้งหลาย ย่อมแลเห็นอยู่ว่าแผ่นดินที่เตอร์กีมาครอบครองอยู่เดี๋ยวนี้เปนเมืองเดิมของฝรั่ง แขกเติ๊กเหมือนกับนกกิ้งโครง ซึ่งมาแย่งอยู่ในโพรงนกเอี้ยง จึงเปนธรรมดาที่จะต้องเกิดหยุกหยิกในบ้านเมืองไม่ใคร่ขาด การเช่นนี้ที่สุดก็มีอย่างเดียวแต่เมื่อพวกแขกเติ๊กถูกขับไล่กลับคืนออกมาอยู่ในเอเซียตามเดิมเมื่อใด เมื่อนั้นแลบ้านเมืองเหล่านี้จึงจะได้ความศุขปราศจากความกดขี่กันแลกัน แม้ความเห็นแลความต้องการของฝรั่งเช่นดังนี้โดยมาก ก็ยังเปนไปไม่ได้ถึงที่สุด เพราะเหตุ ๒ ประการ คือประการที่ ๑ พวกแขกเติ๊กยังมีกำลังมาก ถ้าหน้าไหนจะกรากเข้ามาขับไล่ก็คงจะต้องรบกันขนานใหญ่ ถึงว่าฝรั่งชาติใหญ่ ๆ เช่นรุสเซียเปนต้น มีกำลังพอจะพากเพียรขับไล่พวกเติ๊กให้ออกจากยุโรปได้ก็จริง แต่ก็ทำไม่ได้ด้วยความขัดข้องในเหตุประการที่ ๒ กล่าวคือ ถ้าไล่พวกเติ๊กออกได้แล้ว บ้านเมืองเหล่านี้จะเปนของใคร จะให้เปนอาณาเขตรของรุสเซีย ฤๅชาติใหญ่ ๆ ชาติหนึ่งชาติใต ชาติอื่นก็ไม่ยอม เพราะจะเปนกำลังของชาตินั้นแรงกล้ายิ่งขึ้นในยุโรป เปนที่หวาดหวั่นของชาติอื่นอยู่ ครั้นจะให้แก่ชาติเล็ก ๆ มีชาติคริกซึ่งเปนเจ้าของเดิมเปนต้น อ้ายการที่ชาติใหญ่จะเอาชีวิตรคนมาแลกนับด้วยหมื่นแลจะลงทุนนับด้วยล้าน ไม่เอากำไรอันใด นอกจากทำความศุขแลประโยชน์ให้แก่ชาติอื่น นี่ก็เหลือวิไสยที่ชาติใดจะทำ การติดอยู่ด้วยความขัดข้อง ๒ ข้อนี้ กลับกลายเปนประกันแก่เตอร์กี จึงแก้อวะมงคลที่ต้องธรณีสานอยู่ได้ในทุกวันนี้

เมืองคอนสะแตนติโนปัล ซึ่งเปนเมืองหลวงของเตอร์กีตั้งอยู่สองฟากฝั่งทเล เรียกช่องบอฟะรัส แลดูภูมิ์แผนที่เล่นไกล ๆ ดูงามกว่าเมืองใด ๆ บรรดาที่ข้าพเจ้าได้โดยเห็นมาทั้งสิ้น ด้วยช่องทเลนั้นน้ำฦกแต่แคบเพียงสักสามสิบเส้น มีเรือกำปั่นใหญ่น้อยแล่นไปมาไม่ใคร่ขาดตา ที่จอดก็จอดเรียงรายกันเปนแถว เสากระโดงระดะแลดูตลิ่งสองฟากเปนเนินเขาลาดขึ้นไป มีเรือกสวนเรือนชานสลับสลอนซ้อนซับกันไปเปนชั้น ๆ เหมือนกับเรือนตุ๊กกระตาที่เขาแกล้งเอามาจัดตั้งไว้ให้ดูเล่น เมื่อว่าโดยย่อ เพราะเปนท้องที่อันจะเหลียวแลดูไปได้ถนัดสุดสายตาทุก ๆ ด้าน จึงน่าเพลิดเพลิน ถึงจะยืนแลดูสักหลาย ๆ นาทีก็ไม่เบื่อ แต่เมื่อผ่านไปตามท้องถนน ดูบ้านเมืองใกล้ ๆ เข้าก็กระนั้นเอง ด้วยเรือนเตอร์กีมักทำด้วยไม้หลังย่อม ๆ ทาปูนเกลี้ยง ๆ ฤๅขัดแคร่ถือปูนเปนพื้น ถึงที่เปนตึกกว้างที่สุดจนห้างหอถ้ามิใช่รั้ววัง ก็เปนสถานประมาณเลวกว่าในเมืองฝรั่ง ถนนก็แคบ ๆ ไม่สู้สอาดสอ้านนัก แลยังผิดกับเมืองฝรั่งอิกอย่างหนึ่ง ที่สุนัขชุมอย่างที่สุด เที่ยวเพ่นพ่านอยู่ตามท้องถนน พบฝูงละตั้งโหลก็มี รูปร่างสุนัขเหล่านี้อย่างอ้ายตูบอ้ายแดงของเราไม่มีผิด เห็นเข้าก็นึกขันที่ทำไมจึงเรียกของเราว่าหมาไทย ก็เมื่อพวกมันมีอยู่เมืองแขกในยุโรปออกเปนกองเช่นนี้ เรามาเรียกเสียว่า หมาเตอร์กีบ้างไม่ได้ฤๅ การที่สุนัขเกลื่อนกล่นไปตามท้องถนนเช่นนี้ พวกเตอร์กีเลยคุยส่งว่า โรคสุนัขบ้า ไม่ใคร่จะมีในเมืองของเขา เพราะเขาไม่ได้กดขี่กักขังสุนัขอย่างเมืองฝรั่ง เขาว่านี้ก็ชอบกล แทบจะรับเปนองคพยานเข้าไปด้วย แต่มาเฉลียวใจนึกดูก็เห็นว่าใช่เหตุ เรื่องอื่นมีพูดถมไป

ในเมืองคอนสะแตนติโนปัลนี้ มีสิ่งซึ่งน่าดูหลายอย่าง ข้าพเจ้าได้ไปดูวันละสองแห่งสามแห่ง จะพรรณาเรียงตามรายวันที่ไปเห็นจะไม่ชัดเจน จึงจะพรรณาว่าไปเปนอย่าง ๆ ที่หนึ่งคือสุเหร่าใหญ่ ๆ ซึ่งเปนของโบราณ แลทำด้วยฝีมือช่างอย่างดีมีหลายสุเหร่า ที่สำคัญที่สุดนันคือสุเหร่าซึ่งฝรั่งเรียกว่า แซนโซเฟีย เปนตึกศิลาอันนับว่าทำด้วยฝีมืออย่างเอกแห่งหนึ่งในโลก สุเหร่าแซนโซเฟียนี้ เดิมเปนวัดคฤศเตียนสร้างไว้แต่ครั้งยังเปนเมืองฝรั่ง ครั้นแขกตีเมืองได้ ก็ทำลายรูปพระเยซูแลรูปนักบุญทั้งหลายเสีย แล้วเอาวัดนั้นเช่นสุเหร่าต่อมา เปนข้อเจ็บแสบของพวกคฤศเตียนอยู่ด้วยเรื่องวัดนี้อย่างหนึ่ง การที่คนต่างสาสนาจะเข้าไปดูในสุเหร่าแขกมีข้อขัดข้องอยู่ด้วยเรื่องรองเท้า เพราะธรรมเนียมแขกเข้าสุเหร่าต้องถอด แต่ข้างฝรั่งไม่ยอมถอด ทำอย่างไรจึงจะเข้าไปดูได้ ความขัดข้องอันนี้แขกเขาช่างคิดแก้ไขได้ด้วยวินัยกรรมอย่างหนึ่ง ดูดีนักหนา คือเขาชี้แจงว่าเขามิได้รังเกียจรองเท้า ที่เขาถอดออกเสียเพราะรองเท้าย่ำเหยียบดินทรายเปื้อนเปรอะ จะขึ้นไปบนพรมเจียมที่เขาปูลาดไว้กราบพระในสุเหร่าไม่ควร ถ้าฝรั่งไม่ให้ดินทรายติดเข้าไปในสุเหร่าแล้ว ถึงจะสวมรองเท้าเข้าไปก็ไม่ว่า เพราะฉนั้น เวลาเมื่อจะเข้าสุเหร่า ถ้าไม่ถอดรองเท้า ก็ขอให้สวมรองเท้าที่สอาดซ้อนเข้าข้างนอกเสียอีกชั้นหนึ่งแล้วจึงเข้าไป เปนการผ่อนผันตกลงกันมาอย่างนี้ จึงเลยเปนธรรมเนียม มีพวกข้าพระหารองเท้าสลิบเปอสำหรับสวมชั้นนอก มาคอยไว้ให้เช่าที่ประตูสุเหร่าเหล่านี้ทุก ๆ แห่ง แต่การที่สวมสลิบเปอชั้นนอกเข้าสุเหร่านี้ เปนความรำคานมิใช่เล่น ด้วยสลิบเปอสำหรับรับจ้างล้วนแต่ขนาดใหญ่โต เพราะเขาจะให้ใช้ได้แก่บุทคลทุกขนาดเท้า ตั้งแต่ยักษ์ลงมาจนคนรู จะได้ไม่ต้องจู้จี้เลือกฟั้นให้ลำบากแก่เจ้าของ รองเท้าใหญ่โตอย่างนี้ เมื่อสวมต้องมีสายเชือกล่ามมาผูกพันเข้าไว้กับข้อเท้าจึงจะอยู่ เวลาติดสลิบเปอเข้าสุเหร่า ท่าทางที่เดินต้องระวังตัวเหมือนกับเด็กแรกตั้งไข่ ดูขบขันกลั้นหัวเราะไม่ได้ คิด ๆ ดูก็สมนำหน้า ถ้ายอมถอดรองเท้าเสียอย่างแขกก็จะแล้วกัน ไม่ลำบากลำบนฤๅเปื้อนเปรอะอันใด นี่เพราะไปดื้อดึง เขาจึงแกล้งหาวินัยกรรมมาทำโทษเสียให้สะแก่ใจ

วังในเมืองคอนสะแตนติโนปัลมีมาก แลมักจะทำประณีตงดงามแทบจะทุกวัง แต่วังที่สำคัญนั้นมีอยู่ ๓ วัง คือ วังเดิมแห่ง ๑ วังดัลมาบัชเชซึ่งเปนวังปูนกลางแห่ง ๑ วังยิลดิศเปนวังสร้างใหม่ แลเปนที่สุลต่านประทับอยู่ทุกวันนี้แห่ง ๑ ข้าพเจ้าจะพรรณาเปนลำดับกันไป วังเดิมนั้นเปนวังแขกอย่างเก่าอยู่ริมทเล สร้างไว้แต่แรกแขกได้เมืองคอนสะแตนติโนปัล เดี๋ยวนี้ใช้เปนคลังที่รักษาเครื่องราชูประโภคของโบราณ แลของวิเศษต่าง ๆ มีฉลองพระองค์พระมะหะหมัดเปนต้น แต่ฉลองพระองค์นี้เปนของศักดิสิทธิสำคัญปิดแน่น จะอย่างไรไม่ทราบ ข้าพเจ้าได้ดูแต่เครื่องราชูประโภคแลของวิเศษอย่างอื่น ในพวกเครื่องราชูประโภคนั้น ที่สำคัญคือทำเปนรูปหุ่นแต่งเครื่องทรงของกษัตริย์เตอร์กีแต่ก่อน ๆ เรียงเปนลำดับกันไว้ทุกพระองค์ หุ่นเหล่านี้เปนของน่าดูมาก ด้วยเครื่องแต่งพระองค์นั้น ตั้งแต่แต่งอย่างรุ่มร่ามแลติดเพ็ชรพลอยต่าง ๆ เช่นลำดับมา จนเรียวลงปลายคล้ายอย่างฝรั่งเข้าทุกที เปนเครื่องที่จะพึงเห็นได้ว่าประเพณีแลความนิยมของแขกพวกนี้ผันแปรมาตามความคบค้าสมาคมใกล้ชิดติดกับฝรั่งเข้าโดยลำดับ ว่าโดยย่อก็จะไม่ห่างไกลกับอย่างเมืองเรานัก ของวิเศษในคลังนี้จะพรรณาให้สิ้นสุดก็เหลือกำลัง แต่ของที่ต้องตาข้าพเจ้ามีบางอย่าง คือมรกฏแท่งใหญ่มีอยู่ ๓ ชิ้น ชิ้นหนึ่งทำเปนด้ามกระบี่ทหาร โตเล็กพอเท่าด้ามกระบี่ที่ทหารใช้ ชิ้นหนึ่งเจียรไนไว้เปนแผ่นหนาสักนิ้ว ๑ กว้างสัก ๕ นิ้ว ยาวสัก ๖ นิ้ว อิกชิ้น ๑ ย่อมลงมาสักหน่อยหนึ่ง ของประหลาดนอกจากนี้มี เพ็ชร ทับทิม ไข่มุก แลพลอยต่าง ๆ อย่างละมาก ๆ เขื่องบ้างย่อมบ้าง ว่าโดยรูปแลขนาดก็ไม่ผิดกว่าของซึ่งได้เคยพบเห็นมา แต่พิฦกอยู่อย่างหนึ่งที่ของเหล่านี้เหตุใดจึงใส่ไว้ในชามปากไปล่อย่างละเกือบเต็ม ๆ ชาม ที่ว่านี้ท่านทั้งปวงอย่าได้สงไสยว่าจะหลอกลวง ข้าพเจ้าได้เห็นด้วยตาตนเอง แลผู้ที่ได้ไปเห็นก็หลายคน ไม่เชื่อก็จงถามเขาดูเถิด ยังได้นึกเห็นขันว่าชามอย่างนี้ราษฎรของเราใช้กันออกป่นปี้ ไม่ได้นึกว่าจะได้เปนของดีถึงใช้ใส่เพ็ชรพลอยอไรเลย น่าที่ชามปากไปล่ในเมืองเตอร์กีจะเปนของหายาก ด้วยไม่ใคร่มีใครใช้สอย นาน ๆ มีไปใบหนึ่ง จึงเลยเปนของปลาดไปเท่านั้น ของเช่นนี้จะยกตัวอย่างให้เห็นในเมืองเราบ้างก็ได้ คือ แถบทองอย่างหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า เส้นหยาบ ที่มักใช้ขลิบฉลองพระองค์ครุยเจ้านายในเมืองเรานี้ ข้าพเจ้าได้เห็นเขากองขายตามร้านแผงลอยในตลาดเมืองอินเดียจริง ๆ เพราะเขาใช้แถบเช่นนี้ ขลิบชายเสื้อผ้าพวกโนราชาตรีของเขา ดังนี้ ก็เพราะเราใช้น้อยไม่ใคร่มี จึงกลายเปนของดี ไม่ควรติเตียนฤๅจะเห็นเปนอัศจรรย์อันใด

วังดัลมาบัชเช ซึ่งเปนวังปูนกลางนั้น ก็เปนวังอยู่ริมทเลเหมือนกัน พึ่งสร้างเมื่อชั้นหลัง ทำทำนองเปนอย่างวังฝรั่ง ดูข้างนอกไม่สู้กะไรนัก ด้วยก่ออิฐถือปูนขาวเกลี้ยง ๆ แต่ข้างในทำประดับประดาอย่างวิจิตรเหลือเกิน ไม่เคยเห็นวังในเมืองฝรั่งแห่งใดจะเทียบเทียมได้ เปนต้นว่าลูกมะหวดบันไดใหญ่กิทำล้วนแล้วแต่ด้วยแก้วเจียรไนหนามขนุน เฝืองฝาแลเพดานที่ใดที่จะพึงประดับได้ด้วยฝีมือช่างอย่างใด ก็เปนเล่นกันด้วยฝีมือช่างอย่างเอก อันเสาะหามาแต่ยุโรป โดยมิได้เสียดายเงิน วังนี้เดิมใช้เปนที่ประทับ แต่เมื่อมาเกิดเหตุเรื่องมีผู้ประทุษร้ายเนียรเทศสุลต่านถึง ๒ พระองค์ติด ๆ กัน ชรอยจะเห็นไม่เปนราชฐานอันมั่นคงฤๅอย่างไร สุลต่านพระองค์นี้จึงย้ายขึ้นไปประทับเสียที่วังยิลดิศ วังดัลมาบัชเชคงเปนแต่วังเปล่า ไว้สำหรับรับเจ้านายต่างเมือง แลใช้ในการพระราชพิธีใหญ่ ๆ บางมื้อบางคราว

ส่วนพระราชวังยิลดิศซึ่งเปนที่สุลต่านเสด็จประทับอยู่นั้น ถึงข้าพเจ้าจะได้เข้าไปอยู่ในกำแพงหลายวัน ก็เปนธรรมดาที่จะไปเที่ยวเดินเห็นดูแลเล่นให้ทั่วถึงไม่ได้ จำต้องพรรณาให้ท่านทั้งหลายฟังแต่บริเวณภายนอก วังนี้อยู่บนเนินเขา สังเกตภาคภูมิ์ดูเหมือนสร้างแต่ด้วยความมุ่งหมายสองอย่าง คือเพื่อวางการแวดล้อมให้มั่นคงอย่าง ๑ กับเพื่อความศุขสำราญอย่าง ๑ เพราะตั้งลานวังลงไปจนเชิงเขา มีเรือนไม้หลังเล็ก ๆ งดงามอยู่เรี่ยรายไปตามริมรั้วเหล็กชั้นนอกข้างด้านน่า ข้าพเจ้าคเนดูเห็นว่าจะเปนเรือนสำหรับข้าราชการที่มีน่าที่ประจำซองในพระราชวัง ฤๅข้าราชการที่ใกล้ชิดพระองค์อย่างใดอย่างหนึ่งนี้ เข้าประตูชั้นนอกแล้ว ต้องเดินวกเวียนเข้าไปไกลแลต้องผ่านโรงทหารไปก่อน แล้วจึงถึงสุเหร่าแลพลับพลาสูง ซึ่งเนื่องอยู่กับท้องพระโรง มีกำแพงอิกชั้นหนึ่งต่อออกจากตอนท้องพระโรงนี้อ้อมรอบไป ต้องผ่านโรงทหารแลเข้าประตูกำแพงนี้จึงจะถึงชั้นกลาง มีเพิงพลแลโรงทหารโรงพักพนักงานต่าง ๆ เรียงรายตามริมเชิงกำแพงพระราชวังชั้นใน กำแพงวังชั้นนี้สูงสักสามวา แต่ในนั้นจะเปนอย่างไรต่อเข้าไปหาทราบไม่ ได้เห็นในรูปถ่ายที่ปิดสมุดพระราชทาน เห็นเปนสวนแลสระ มีเรือลอนช์ไฟฟ้าจอดแอบฝั่งอยู่ลำ ๑ เขาบอกว่านั่นเปนสวนสำหรับประพาศอยู่ในพระราชวังชั้นใน ส่วนตำหนักมรัสซิมที่ข้าพเจ้าพัก อยู่ในท้องที่พระราชวังชั้นกลางดังได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว บริเวณนอกตำหนัก ทำเปนสวนอย่างฝรั่งออกไปจนจดกำแพงชั้นกลาง มีเรือนกระจกอบไอร้อน สำหรับปลูกต้นพริกมะเขือแลพรรณผักต่าง ๆ ไว้ดูเล่น แลมีกรงเลี้ยงนกพิราบแลไก่ต่าง ๆ พรรณเปนอันมาก พอเปนที่เทียวดูเล่นเพลิดเพลินได้ในเวลาว่าง เสียแต่จะเดินไปไหนมีเจ้าพนักงานคอยควบคุมอย่างเงาติดตามตัวไม่ต่ำกว่า ๔ คน ๕ คน จะเที่ยวนั่งลุกเดินเหินเล่นตามอารมณ์ก็เกรงใจเขา จะต้องไปคอยคุมแกร่วอยู่ด้วย วันหนึ่งข้าพเจ้าคบคิดกับพระองค์จิระแลพระยาชลยุทธ ลองหลบเจ้าพนักงานออกไปเดินเล่นในสวนแต่ลำพัง ไปไม่ได้กล่าว ได้ยินเสียงฝีเท้าตุบตับเหลียวไปเห็นท่านเจ้าพนักงานวิ่งกระหืดกระหอบตามมาเปนแถว ชรอยจะได้ความจากทหารยามที่ยืนเฝ้าประตูฤๅอย่างไร แต่ที่เขาคอยคุมเช่นนั้น ดักล์ากีคิกเพื่นว่าเปนกรงจ้างชน เพราะพวกเราสิเปนแขกบ้านค้านเมืองไปอยู่ในพระราชฐาน ไม่รู้จักลู่ทางหัวนอนปลายเท้า ถ้าไม่คอยควบคุมไว้ ใครจะรับประกันว่าจะไม่เซ่อซ่าเข้าไปในประตูดินฤๅประตูย่ำค่ำ ถ้าไปต้องจับกุมฉุดคร่ากันก็จะเสื่อมเสียพระเกียรติยศ จึงว่าคุมกันไว้เสียและดีกว่าอย่างอื่น ลานพระราชวังชั้นนอกด้านหลังเปนโรงม้าโรงรถ ม้าหลวงอยู่ในโรงเหล่านี้เบ็ดเสร็จประมาณสัก ๑๕๐ เปนม้าอาหรับอย่างดี ๆ โดยมาก เพราะเมืองอาหรับอยู่ในพระราชอาณาเขตรของสุลต่าน ย่อมเสาะหามาได้โดยง่าย บนกำแพงวังชั้นนอกด้านหลัง มีพลับพลาอย่างพระที่นั่งไชยชุมพลหลัง ๑ ดูเหมือนจะเปนที่สำหรับเสด็จออกทอดพระเนตรฝึกซ้อมทหาร เพราะสนามซ้อมอยู่น่าพลับพลานี้ ต่อสนามออกไปเห็นเปนโรงทหารแถวยาว

พระราชวังยิลดิศนี้ ตัวตึกรามตั้งแต่ท้องพระโรงเปนต้น ทำเปนหลังย่อมๆ ติดต่อกัน ไม่มีตึกใหญ่โตอันใด ถึงฝีไม้ลายมือที่ประดับประดาเปนอย่างค่อนข้างประณีต เมื่อได้เห็นวังดัลมาบัชเชแล้ว ก็ต้องว่าเปนแต่กระนั้นเอง แต่การรักษาพาใจ วังยิลดิศนี้สอาดสอ้านตลอดบริเวณ โดยธรรมดาที่อยู่ใกล้พระเนตรพระกรรณ ทั้งการที่จะเข้าออกก็เปนการกวดขันยิ่งนัก พวกฝรั่งที่ไปหาข้าพเจ้าเคยเข้าไปบ่นว่าต้องรอคำสั่งอยู่ที่ประตูวังเกือบชั่วโมงจึงได้อนุญาตให้เข้า

๏ วันที่ ๒๒ เดือนพฤศจิกายน ร.ศ. ๑๑๐ เวลาเช้าไปดูตลาดใหญ่แห่ง ๑ เรียกว่าบาซา เปนตลาดขายของแขกต่าง ๆ ตลาดนี้ว่าโดยย่อก็ทำนองตลาดสำเพ็งของเรา ผิดกันแต่ทางที่เดินมีหลังคาครอบแลลดเลี้ยววกเวียนไปมา หาตรงลิ่วอย่างสำเพ็งไม่ กับจะสอาดกว่าสำเพ็งสักหน่อยหนึ่ง ได้ซื้อหาสิ่งของเล่นบ้างตามสมควร แต่ซื้อยากด้วยเขาเห็นเปนเจ้านาย คาดว่าจะมีโรงกระสาปน์อยู่กับบ้าน จึงตั้งราคาค่างวดอยู่ข้างจะเหลือเกิน

เวลาค่ำวันนี้มีการเลี้ยงอย่างเต็มยศ พระราชทานที่พระที่นั่งรับแขกเมืองเปนเกียรติยศ ผู้ซึ่งนั่งร่วมโต๊ะเสวย ในฝ่ายเตอร์กีมีแต่เสนาบดีกับพวกกรมวังแลราชองครักษ์ รวมทั้งพวกไทยเบ็ดเสร็จสัก ๔๐ คน สุลต่านประทับตรงหัวโต๊ะ โปรดให้ข้าพเจ้านั่งข้างขวา พระองค์จิระนั่งข้างซ้ายที่ประทับ ต่อนั้นไปขุนนางเตอร์กีกับไทยนั่งสลับกันลงไปเปนลำดับ เครื่องตั้งแลเครื่องใช้ที่โต๊ะเสวย ใช้เครื่องทองคำเปนพื้น แต่เครื่องเสวยนั้นเปนอย่างฝรั่ง แลมีแตรวงเป่าเพลงต่าง ๆ ตลอดเวลาเสวย พระราชปฏิสัณฐารในค่ำวันนี้ รับสั่งถามด้วยเรื่องการทหารในเมืองไทย แลข้อเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ เวลาเสวยแล้วทรงทักทายปราไสพวกไทยทั่วถึงกันโดยพระกรุณา จนเวลายามเศษจึงโปรดให้ทูลลากลับมาที่พัก ฯ

๏ วันที่ ๒๓ เวลาเช้าโปรดให้ช่างหลวงขึ้นมาถ่ายรูป ได้แต่งเต็มยศติดตราเตอร์กีถ่ายเปนรูปหมู่พร้อมกันแล้ว ลองแต่งตัวอย่างเตอร์กีถ่ายเปนที่รฦกพร้อมกันด้วยอิกรูป ๑ การที่แต่งตัวอย่างเตอร์กีนี้ไม่ใช่ยากลำบากอันใด ด้วยแต่งตัวอย่างพลเรือนของเตอร์กี ก็คือแต่งอย่างฝรั่งนั้นเอง ผิดกันแต่สวมหมวกเติ๊กแดงเข้าอิกใบ ๑ เมื่อไปเที่ยวตลาดได้ซื้อหมวกอย่างนี้มาคนละใบ เอาหมวกครอบเข้ากับเครื่องแต่งตัวที่แต่งอยู่ทุกวันก็กลายเปนเติ๊กไปเท่านั้น หมวกกลม ๆ ที่เราเรียกว่าหมวกเติ๊กเปนของเคยเห็นอยู่ด้วยกัน แต่ใครได้เคยคิดบ้างฤๅไม่ว่าเหตุใดเขาจึงติดภู่ไว้ข้างบน? ความข้อนี้ข้าพเจ้าได้ฟังคำเขาอธิบายให้ทราบในเมืองเตอร์กีว่า ภู่หมวกนั้นสำหรับปัดแมลงวัน แต่โบราณมักทำโต ๆ เวลาแมลงวันตอม สบัดหน้าเข้า ภู่หมวกก็กวัดไกวช่วยไล่แมลงวันไม่ให้ตอมหน้าตอมตา เหมือนอย่างปัดด้วยแส้ แต่ไม่ต้องถือให้ลำบาก ครั้นต่อมาจะเปนด้วยแมลงวันน้อยไปฤๅคนรำคานน้อยลงประการใด ภู่หมวกก็เรียวเล็กลงทุกที จนมีแต่พอเปนธรรมเนียมเท่าทุกวันนี้ รูปที่ถ่ายเมื่อแล้วมาได้ลงชื่อส่งไปถวายสุลต่าน เพื่อเปนที่รฦกแลแสดงความเคารพของพวกไทย ซึ่งได้รับพระมหากรุณาในครั้งนั้นอย่างละรูป เมื่อวันข้าพเจ้าไปเฝ้ากราบถวายบังคมลา มีรับสั่งว่าเปนที่พอพระราชหฤไทยในรูปเหล่านั้น เฉภาะรูปที่แต่งเปนเตอร์กีนั้นเปนอันมาก แลจะโปรดให้เก็บรักษาไว้เปนที่รฦก มิให้สาบสูญได้

เวลาค่ำโปรดให้เเครนวิเซียผู้เปนอรรคมหาเสนาบดี กับเสนาบดีว่าการต่างประเทศ มากินอาหารกับข้าพเจ้าที่ตำหนักมรัสซิม ด้วยค่ำวันนั้นจะโปรดให้เข้าไปดูลครในพระราชวังอิกครั้งหนึ่ง แลท่านทั้ง ๒ นั้นจะได้เข้าไปด้วย

การเลี้ยงดูที่ตำหนักมรัสซิมนี้ ถึงจะเปนเมืองแขกก็จริง แต่ไม่ได้เลี้ยงแกงมัสหมั่นเข้าบุหรี่แลน้ำสะระบัดอะไรต่ออะไรเหล่านั้น อาหารเลี้ยงดูเปนอย่างฝรั่งทั้งสิ้น ที่สุดจนสุราฝรั่งต่าง ๆ ซึ่งเปนของห้ามตามสาสนาแขก ก็อุส่าห์หามาเลี้ยงดู ใช่แต่เท่านั้น ท่านเจ้าพนักงานแขกที่มากินอยู่ด้วยกัน ยังพลอยดื่มเข้าไปด้วยบ้าง เวลาอยู่คุ้น ๆ กันหลายวันเข้า มิสเตอว์ไวก์เปนคนคนองวาจา อุตริไปถามเขาเข้าวันหนึ่งว่า ตามสาสนาแขกพระมะหะหมัดห้ามไม่ให้เสพสุรา เขามาดื่มแชมเปนเช่นนี้ไม่กลัวบาปฤๅ เขาก็ตอบดีถึงใจว่าแชมเปนเปนของพึ่งมีขึ้นไม่กี่ร้อยปี ก็เมื่อเปนของยังไม่มีในครั้งพระ จะว่าพระห้ามอย่างไร เวลากินอาหารเป็นที่ตำหนักมรัสซิม สุลต่านมักจะโปรดให้แตรวงแลมโหรีแขกของหลวง ผลัดเปลี่ยนกันมาดีดสีตีเป่าให้ฟังแทบทุกวัน ดูเหมือนดนตรีจะเปนของที่พอพระราชหฤไทยของสุลต่านอย่างหนึ่ง เพราะคนพวกนี้เอง ที่เข้าไปร้องเพลงแลทำท่าญวนหกต่าง ๆ ในพระราชวัง เมื่อไปดูวันก่อน เมื่อถึงคราวคนไหนจะเล่นอย่างไร สุลต่านมักจะรับสั่งบอกแก่ข้าพเจ้าก่อนว่า เจ้าคนนั้นเล่นอย่างนั้นดี คนนี้เล่นอย่างนี้ดี พิเคราะห์ดูจึงเห็นว่าคนพวกนี้คงจะได้ซักซ้อมเล่นหัวถวายตัวเนือง ๆ จึงได้ทรงคุ้นเคยแทบทั่วทุกตัวคน มโหรีแขกที่มาเล่นให้ฟังนั้น มีต้นบทร้องรับกระจับปี่สีซอแลรำมนาวง คล้ายกับยี่เก เพราะยี่เกเรานี้ก็คือ เปนลูกศิษย์มาแต่มโหรีแขกนั้นเองมิใช่อื่น แต่ที่ว่านี้ ต้องเข้าใจว่ามโหรีแขกเขาเปนแต่ขับลำต่าง ๆ ฟังเล่นเพราะ ๆ มิใช่ออกเต้นแขกครูแลแขกรดน้ำมนต์ ที่เราเอามาประดิษฐออกไปจนสกปรก

เวลากินอาหารเย็นแล้ว ในวันนั้นเจ้าพนักงานนำเข้าไปเฝ้าที่โรงลครอย่างวันก่อน แต่ลครที่เล่นวันนี้ หา “ออปราฝรั่ง” ซึ่งมาตั้งเล่นอยู่ในเมืองเข้ามามีถวายตัว

อนึ่งเวลาวันนี้ ข้าพเจ้าได้รับโทรเลขพระราชทานออกไปจากกรุงเทพ ฯ ให้เชิญพระราชดำรัสขอบพระไทยในการที่รับรองข้าพเจ้ากับพระองค์จิระไปทูลสุลต่าน เมื่อข้าพเจ้าไปเฝ้าที่โรงลครจึงได้กราบทูลตามสำเนาพระราชโทรเลขนั้น สุลต่านมีรับสั่งให้ข้าพเจ้าเชิญพระราชดำรัสแสดงความนับถือ กราบบังคมทูลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แลให้กราบบังคมทูลว่า สุลต่านทรงยินดีในการที่ได้รับรองเจ้านายในราชตระกูลสยามเปนอันมาก อิกประการ ๑ ให้ข้าพเจ้ากราบบังคมทูลว่า ถ้าหากว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาศประเทศยุโรปเมื่อใด ขอให้เสด็จไปถึงเมืองเตอร์กีด้วย จะเปนที่ยินดีของสุลต่านที่จะได้รับรองเปนอย่างยิ่ง ดังนี้

เมื่อเฝ้าสุลต่านในวันนี้ เห็นจะเปนด้วยได้อยู่ในราชสำนักหลายวันทรงคุ้นเคยเข้า พระอัธยาไศรยแลพระกรุณาพึงเห็นได้ว่าสนิทสนมยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ข้อความที่มีพระราชดำรัสในวันนี้ ข้อ ๑ มีรับสั่งถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระชนมายุเท่าใด ข้าพเจ้ากราบทูลตอบแล้ว มีรับสั่งถามต่อไปว่า ทรงทราบภาษาต่างประเทศภาษาใดบ้างฤๅไม่ ข้าพเจ้ากราบทูลว่า ทรงทราบภาษาอังกฤษชัดเจนทีเดียว อิกข้อ ๑ มีรับสั่งถามว่า ราชทูตไทยมีประจำอยู่ในยุโรปที่เมืองใดบ้าง ข้าพเจ้ากราบทูลว่า มีอยู่ที่เมืองอังกฤษแห่ง ๑ ฝรั่งเศสแห่ง ๑ กับเยอรมันแห่ง ๑ แต่ราชทูตเหล่านี้ มีน่าที่สำหรับราชสำนักอื่น ๆ ด้วย สุลต่านมีรับสั่งว่า ถ้ากรุงสยามกับเตอร์กีมีทางพระราชไมตรีต่อกัน แม้จะโปรดให้ราชทูตเหล่านี้คนใด มีน่าที่ในราชสำนักเตอร์กีด้วย ก็จะเปนได้โดยสดวก แลสุลต่านมีพระราชดำรัสถามต่อไปว่า เมืองไทยใช้กฎหมายอย่างไร ข้าพเจ้ากราบทูลว่า กฎหมายไทยใช้กฎหมายโบราณที่ได้แบบแผนมาจากมัชฌิมประเทศ มีพระธรรมสาตรเปนต้น กับพระราชบัญญัติซึ่งพระมหากษัตริย์แต่โบราณได้ตั้งขึ้นไว้ แลทรงเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมเปนลำดับมาจนทุกวันนี้ อิกข้อ ๑ มีรับสั่งถามว่า ธรรมเนียมเมืองไทยมีภรรยามากฤๅน้อย ข้าพเจ้ากราบทูลว่า ธรรมเนียมมีภรรยาในเมืองไทย ที่จะได้มีกฎหมายจำกัดให้มีมากน้อยเท่าใดนั้นหามิได้ ใครจะมีมากน้อยเท่าใดก็มีได้ แต่พิเคราะห์ดูตามปรกติในประเพณีบ้านเมือง พลเมืองมักจะมีภรรยาแต่คนเดียวโดยมาก ต่อผู้ที่มีกำลังพาหนะซึ่งจะเลี้ยงได้มากจึงมีหลายคน สุลต่านทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตรัสว่า ขนบธรรมเนียมเมืองไทยนี้ ดูคล้ายกับเตอร์กีมาก พระราชดำรัสนอกจากนี้ เปนแต่ไต่ถามถึงการเมืองไทยเปนข้อเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ มีการเล่าเรียน การรักษาโรคไภยไข้เจ็บ แลเรื่องแขกถือสาสนาอิสลามที่อยู่ในเมืองไทยเปนต้น

ลครเล่นชุดหนึ่งแล้ว โปรดให้ทูลลากลับออกมา แลมาเลี้ยงสับเปอที่ตำหนักมรัสซิม ทราบว่าลครมีต่อไปอิกชุดหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะมีให้ข้างในดู จึงโปรดให้ผู้ชายกลับออกมาเสียเมื่อจบชุดแรก

ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงการเลี้ยงดูที่ตำหนักมรัสซิม ว่าเขาเลี้ยงดูเปนอย่างฝรั่งทั้งสิ้นนั้น มานึกขึ้นได้ว่า เครื่องบริโภคบางอย่างซึ่งเขาให้ลองของอย่างแขกก็มีบ้าง ซึ่งจะพรรณาต่อไว้ในที่นี้ คือเวลากินอาหารแล้วเลี้ยงกาแฟอย่างแขกทุกเวลา ที่เรยกว่ากาแฟอย่างแขกเพราะใส่ถ้วยเล็ก ๆ ขนาดถ้วยตวง ถ้วยนี้ยังมีปลอกข้างนอก รูปร่างเหมือนอย่างถ้วยใส่ไข่ไก่ ทำด้วยทองคำประดับเพ็ชรสวมอิกชั้นหนึ่ง ตัวน้ำกาแฟนั้นไม่เจือนมโค แต่ชงค่นจนแลดูสีสันวรรณะเหมือนยาน้ำสมอมากกว่าอย่างอื่น รศชาติที่กินก็หวานๆ หอม ๆ บางคนก็ชอบแต่บางคนก็เฉย เครื่องบริโภคอย่างแขกนอกจากกาแฟ มีมรกู่แขกสำหรับสูบอิกอย่างหนึ่ง เปนมรกู่อย่างขวดแก้วแลสูบด้วยยาเตอร์กี มีพบปะในเมืองเราบ่อย ๆ ผิดกันแต่ของเหล่านั้นเปนเครื่องราชูประโภค ต้องประดับเพ็ชรเปนธรรมเนียมขาดไม่ได้ ยังมีกล้องอิกอย่างหนึ่ง ภาษาเตอร์กีเรียกว่า ชยุก คือกล้องเราตามธรรมดานี้ แต่ยาวสัก ๓ ศอกเศษ วิธีที่จะสูบนั้นเปนการใหญ่มิใช่เล่น คือผู้จะสูบต้องไปนั่งเข้าแถวฤๅล้อมกันให้เปนวงแล้ว คนใช้จึงเชิญกล้องนั้นมาส่ง เพราะกล้องยาวถึง ๓ ศอกเศษ ผู้สูบต้องถือแต่ข้างดูด ข้างปลายต้องวางไว้กับพื้นมีถาดรอง กันฟืนไฟที่จะตกหล่นลงบนพรม กล้องเหล่านี้บรรจุยาเตอร์กีมีถ่านไฟวางไว้ข้างบนเปนเครื่องจุดพร้อมเสร็จ ดูดกันไปสักครู่หนึ่ง จนเห็นจวนฅอจะแห้งคนใช้จึงเชิญเครื่องแก้ออกมา กล่าวคือ มีผลไม้กวนอย่างแยมชาม ๑ ผู้สูบตักแยมนี้กินช้อนหนึ่ง พอให้หวานติดปากติดฅอออกอยากกินน้ำแล้ว ก็ดื่มน้ำตามเข้าไปเลยหายฅอแห้ง เปนสำเร็จเสร็จการพิธี ชยุก ดังนี้ ของเหล่านี้พระราชทานออกมาให้ทดลองเล่นเปนคราว ๆ อย่างเราชวนฝรั่งกินหมาก แต่ของแขกที่เราคบคิดกันลองเอาเองก็มี คือเมื่อวันไปตลาด พระยาเทเวศร์ตาไว ไปเห็นลูกอินทผาลำสดที่เขาขาย กลับมาปรารภว่า มาถึงเมืองแขกไม่ได้กินลูกอินทผาลำสดจะเสียไป ลงเนื้อเห็นชอบพร้อมกัน จึงแต่งทูตไปกระซิบสั่งท่านเจ้าพนักงาน ให้หาอินทผาลำสดมาได้ในเวลาวันหนึ่ง เมื่อนั่งกินของคาวพิจารณาดูรูปร่างอินทผาลำสดคล้ายกับลูกหมากเหลาหลก แต่เปลือกสีเหลืองแลบางอย่างทำนองเปลือกตะโก ถึงของหวานปลิดมากินลองดูกึ่งลูก พอรู้รศก็ออกเสียใจ รศชาติเหมือนกับลมุดไทยเรานี้เอง แต่จะหยาบกว่าแลหวานกว่า ถ้าจะเทียบกับลมุดก็สู้ลมุดไม่ได้ ได้รู้เห็นทดลองมาดังนี้ จึงขอแนะนำไว้แก่ท่านทั้งหลายเผื่อแขกฤๅใครจะมาอวดว่า อินทผาลำสดอร่อยแล้ว อย่าได้เชื่อเลยเปนอันขาด อินทผาลำนี้เหมือนเครื่องลายคราม ต้องแห้งสนิทหมดเขม่าไฟแล้วจึงจะเปนของดี ๚

๏ วันที่ ๒๔ เวลากลางวัน แครนวิเซียผู้เปนอรรคมหาเสนาธิบดีเชิญไปเลี้ยงอาหารที่บ้าน เมื่อกล่าวขึ้นถึงแครนวิเซียผู้เปนตำแหน่งอรรคมหาเสนาธิบดีในราชการเมืองเตอร์กี บางทีท่านทั้งหลายจะอยากทราบว่า ตำแหน่งเสนาบดีในเมืองเตอร์กีมีอย่างไร ตำแหน่งเสนาบดีในเมืองเตอร์กี จำแนกเปน ๑๔ ตำแหน่ง ยกเปนชั้นสูงเสมออรรคมหาเสนาบดี ๓ ตำแหน่ง คือตำแหน่งแครนวิเซียเปนประธานในราชการแผ่นดินทั่วไปตำแหน่ง ๑ ตำแหน่งชิกอัลอิสลาม เปนประธานในการพระสาสนาตำแหน่ง ๑ ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวัง เปนประธานการภายในพระราชนิเวศน์ แลการในพระองค์สุลต่านตำแหน่ง ๑ ตัวแหน่งเสนาบดีนอกจากนี้นับเปนชั้นรองลงไปอิก ๑๑ ตำแหน่ง คือ เสนาบดีว่าการต่างประเทศ ๑ มหาดไทย ๑ ทหารบก ๑ ทหารเรือ ๑ ธรรมการ ๑ ศึกษาธิการ ๑ โยธาธิการ ๑ พระคลัง ๑ ยุติธรรม ๑ สภานายกรัฐมนตรี ๑ พระคลังข้างที่ ๑ รวม ๑๔ ตำแหน่งนี้เปนเสนาบดีสภา มีเวลาประชุมปฤกษาราชการกันในพระราชวังเปนครั้งเปนคราว แต่เขาว่าสุลต่านหาได้ประทับในที่ประชุมด้วยไม่ ราชการในน่าที่กระทรวงใด เสนาบดีกระทรวงนั้นก็รับผิดชอบบังคับบัญชาไปโดยเฉภาะตน เขาว่าประเพณีแต่ก่อนมา ตำแหน่งแครนวิเซียมีอำนาจสิทธิขาดราชการบ้านเมือง ไม่ว่ากระทรวงใด ๆ แครนวิเซียต้องเปนผู้นำขึ้นกราบทูล แลรับพระราชดำริห์มาสั่งแก่เสนาบดีอื่น ๆ แต่ไม่เปนการพอพระราชหฤไทยของสุลต่านพระองค์นี้ จึงโปรดให้เสนาบดีทั้งปวงนำข้อราชการในกระทรวงของตนขึ้นกราบทูล แลรับรับสั่งได้ถึงพระองค์ทุกตำแหน่ง แครนวิเซียคงเปนแต่ประธานในราชการ เพียงเท่าที่สุลต่านจะโปรดให้ตรวจตราว่ากล่าวอย่างใดเพียงใด ตำแหน่งชิกอัลอิสลาม ซึ่งนับเสมอชั้นอรรคมหาเสนาบดีฝ่ายพระสาสนานั้น ว่าที่แท้ก็คือเปนพระสังฆราชฤๅพระมหาราชครู กล่าวคือเปนพระอย่างข้างแขก แต่เหตุใดที่มานับเปนเสนาบดี จำต้องอธิบายลงไว้สักเล็กน้อยท่านทั้งหลายจึงจะเข้าใจ

คือเมื่อพระมะหะหมัดจะล่วงไป ได้สั่งการไว้แก่สานุศิษย์ให้เลือกผู้อำนวยการสาสนาอิสลามแทนพระมะหะหมัดต่อ ๆ มา อย่าให้ขาดได้ ผู้อำนวยการสาสนาแทนพระมะหะหมัดนี้ แขกเรียกว่ากาลิฟ แต่แรกก็ได้เลือกสรรพวกสานุศิษย์พระมะหะหมัดมีอาบูเบะกะเปนต้น ขึ้นเปนกาลิฟ ผู้ใดได้เปนกาลิฟ บรรดาแขกถือสาสนาอิสลาม ถึงจะอยู่บ้านใดเมืองใดเปนชาติใดภาษาใด ถึงจะไม่ได้เปนข้าขอบขัณฑเสมาของกาลิฟ ก็ต้องนบนอบมัสการ โดยฉันที่เปนผู้แทนพระมะหะหมัดเปนธรรมเนียมมาแต่ครั้งนั้น ครั้นต่อมาตำแหน่งกาลิฟเปนที่ต้องการของบรรดากษัตริย์แขกซึ่งมุ่งหมายอำนาจ เพราะเหตุที่มีข้อบังคับไว้ในสาสนาให้คนจำนิยม จึงเกิดรบพุ่งช่วงชิงกันเปนกาลิฟ จนตกลงเปนกษัตริย์องค์ใดมีอำนาจก็แย่งได้กาลิฟ แลส่งสืบกันลงมากับราชสมบัติ ไม่ต้องเลือกสรรอันใดดังชั้นแรก เมื่อพวกแขกเติ๊กมีอำนาจมาก ติได้ตำแหน่งกาลิฟนิ้มาอยู่ในสุลต่านเตอร์กี สืบต่อกันลงมาในกษัตริย์เตอร์กี จนกระทั่งสุลต่านพระองค์นี้ จึงถือว่าบรรดาแขกอิสลามทั้งหลายจะอยู่ในยุโรปฤๅอินเดีย ถ้าในเมืองเรายังต้องสวดมนต์ให้พรนบนอบแก่สุลต่านมิได้ขาด เมื่อว่าโดยย่อสุลต่านเปนทั้งเจ้าแผ่นดินเตอร์กี แลเปนหัวน่าสาสนาในอิสลามทั่วไป เพราะเหตุนี้ จึงต้องมีเสนาบดีสำหรับสาสนาอิสลามผู้ ๑

การในกระทรวงเสนาบดีอื่น ๆ จะจัดสรรปันน่าที่กันอย่างใดฤๅที่สุดการบังคับบัญชาจะดีเลวประการใด จำต้องอยู่ในเมืองนั้นนาน ๆ ทั้งต้องรู้ภาษาแลได้เที่ยวเตร็จเตร่ปะปนไปมาในพื้นบ้านพื้นเมืองจึงจะรู้เห็นความจริงได้ชัดเจน คนเดินทางเที่ยวดูโลกอยู่แห่งละสี่ซ้าห้าวันเช่นข้าพเจ้า ใช่วิไสยที่จะรู้เห็นความจริงได้ตลอด แต่ถึงกระนั้น เมื่อพิจารณาดูการบ้านเมือง ตามที่ตาเห็นแลฟังคำคนบอกเล่า ดูการปกครองเมืองเตอร์กีนี้จะเปนการยากอย่างยิ่ง ข้อสำคัญคือที่ต้องธรณีสานดังกล่าวมาแล้วข้างต้น เพราะพลเมืองที่เปนแขกเปนฝรั่งเหมือนน้ำกับน้ำมัน ถึงว่ารัฐบาลจะเปนแขก จะบังคับการตามใจแขก พวกฝรั่งก็มีชาติใหญ่ ๆ ในยุโรปเช่นด้าม คอยเข้าแซกแซงคัดง้างอยู่เสมอ รัฐบาลจำต้องผ่อนผันอลุ้มอล่วยไปในระหว่างกลาง เปนต้นว่ากฎหมายบ้านเมืองก็ต้องมีกฎหมายสำหรับพลเมืองที่เปนแขกอย่าง ๑ ต้องเอากฎหมายโค๊ดนะโปเลียนมาใช้สำหรับพลเมืองของตนซึ่งเปนฝรั่งอิกอย่าง ๑ การเกณฑ์คนเปนทหารก็ต้องเกณฑ์แต่พลเมืองที่เปนแขก พลเมืองที่เปนฝรั่งต้องใช้เก็บเงินค่าราชการแทน เพราะเหตุที่จะไว้ใจให้ถืออาวุธไม่ได้ แลดูแต่การเหล่านี้เปนตัวอย่าง ก็ต้องแลเห็นว่าเปนเมืองปกครองยาก ว่าตามเสียงฝรั่งมักจะติเตียนว่าเตอร์กีปกครองบ้านเมืองไม่ดี จึงไม่ใคร่เรียบร้อย แต่ข้าพเจ้ามานึกๆดูตามใจของตน กลับเห็นน่าจะสรรเสริญ ด้วยเหตุว่าเมืองเตอร์กีเปรียบเหมือนบุทคลซึ่งแข้งขาพิการ ถึงจะเดินไม่รวดเร็วอย่างฝรั่ง เมื่ออัตตภาพมีโรคไภยประจำตัวอยู่เช่นนั้น เพียงอุส่าห์เดินขะย่องขะแย่งมา ก็ต้องควรนับว่าเปนการดี

แครนวิเซียคนน์ ชื่อดเยอเวดปาซา อายุสัก ๔๐ ปีเศษ เดิมเปนแต่ผู้ว่าราชการเมืองแคนเดีย แต่จะมีความชอบในราชการอย่างใดอย่างหนึ่ง ครั้นตำแหน่งแครนวิเซียว่างลงเมื่อก่อนข้าพเจ้าไปสักสองเดือน สุลต่านจึงโปรดเลือกสรรท่านผู้นี้เลื่อนข้ามเสนาบดีแลขุนนางผู้ใหญ่ตำแหน่งอื่น ๆ ขึ้นมาเปนแครนวิเซียทีเดียว เปนข้อที่ไม่ใคร่พอใจในขุนนางแขก มักกล่าวหาว่าแครนวิเซียใหม่นี้ไม่ใคร่รู้จักขนบธรรมเนียมราชการ แต่ข้างฝรั่งนั้นดูเปนที่พอใจ ได้ยินสรรเสริญกันว่าท่านผู้นี้เปนคนตรง ๆ แลมีอัธยาไศรยกว้างขวางผิดกว่าขุนนางแขกอย่างเก่า ๆ

แครนวิเซียนี้ มีบ้านหลวงเปนที่อยู่ประจำตำแหน่งไม่ห่างจากพระราชวังนัก เสนาบดีตำแหน่งอื่น ๆ ข้าพเจ้าก็เข้าใจว่าอยู่บ้านหลวงสำหรับตำแหน่งเหมือนกัน แต่แครนวิเซียคนนี้พึ่งย้ายมาอยู่ในบ้านหลวง กำลังตกแต่งบ้านช่องยังไม่สู้จะพรักพร้อม

ข้อความที่สนทนากับแครนวิเซียในวันนี้ ว่ากันด้วยเรื่องคนนับถืออิสลามซึ่งอยู่ในเมืองไทยเปนพื้น ด้วยแขกเตอร์กีย่อมเข้าใจว่าไทยที่เปนแขก ฤๅแขกที่อยู่เมืองไทยทั้งปวง คงสวดมนต์กราบไหว้สุลต่านผู้เปนกาลิฟอยู่เสมอ ใช่แต่เท่านั้น ดูเหมือนจะเข้าใจต่อไปว่าพระยาราชบังสรร แลหลวงลักษณมานาเหล่านี้ จะพูดภาษาอาหรับได้คล่องแคล่วทีเดียวด้วย ไต่ถามข้าพเจ้าว่ากฎหมายแลธรรมเนียมของคนถือสาสนาอิสลามที่อยู่ในเมืองไทยเปนอย่างไร ข้าพเจ้าตอบว่าคนถือสาสนาอิสลามในเมืองไทย เปนไทยพวก ๑ เปนมลายูพวก ๑ นอกจากการที่ถือสาสนา ภาษาที่พูดแลขนบธรรมเนียมในพวกไทยก็เปนอย่างไทย ในพวกมลายูก็เปนอย่างมลายู แครนวิเซียถามต่อไปว่า คนที่ถือสาสนาอิสลามในเมืองไทย รักษาวงษ์ตระกูลอยู่แต่ในพวกเดียวกัน ฤๅเกี่ยวข้องพงษ์พันธุ์กับไทยที่ต่างสาสนากันบ้าง ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่มีการเกียจกันอันใดในข้อนี้ ถึงต่างสาสนาเขาก็แต่งงานต่อกันชุกชุม แครนวิเซียถามต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้นบุตรที่เกิดมาจะนับถือสาสนาใด ข้าพเจ้าตอบว่าตามประเพณีในเมืองไทย บุตรนับถือสาสนาของบิดาเปนพื้น ถ้าพวกอิสลามได้ภรรยาไทย มีบุตรก็นับถืออิสลามตามบิดา ถ้าหากว่าหญิงอิสลามได้สามีเปนไทย มีบุตรก็นับถือสาสนาพระพุทธเจ้า แครนวิเซียชมว่าธรรมเนียมเช่นนี้ดีมาก แล้วกล่าวต่อไปว่า ถ้าเตอร์กีกับกรุงสยามมีทางพระราชไมตรีต่อกัน พวกอิสลามที่อยู่ในเมืองไทยคงจะมีความยินดีมาก ข้าพเจ้าตอบว่า ถึงทางพระราชไมตรีจะมีฤๅมิมีต่อกันประการใด ที่พวกอิสลามจะได้รับความอุปถัมภ์บำรุงของรัฐบาลให้เปนที่ยินดียิ่งกว่าที่เปนอยู่แล้ว เห็นจะไม่ได้ ด้วยเหตุว่ากฎหมายแลขนบธรรมเนียมในเมืองไทย มิได้บังคับเกี่ยวข้องแก่สาสนาใด ๆ ใครพอใจจะถือสาสนาใดก็ได้ ไม่ได้ห้ามปรามฤๅยกย่องคนที่ต่างสาสนากันให้ผิดกันประการใด แครนวิเซียออกปากชมว่าดีกว่าในยุโรปนี้มาก ที่เมืองเตอร์กีเปนไม่ได้อย่างนั้น ๚

๏ วันที่ ๒๕ เจ้าพนักงานพาสิ่งของพระราชทานมามอบหลายอย่าง ส่วนหนึ่งเปนเครื่องราชบรรณาการซึ่งสุลต่านโปรดให้จัดสรร ส่งให้ข้าพเจ้าคุมเข้ามาทูลเกล้า ฯ ถวาย ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยพระราชหฤไทยทรงยินดี สิ่งของต่างๆ นอกจากนั้นอิกหลายอย่าง พระราชทานแก่ข้าพเจ้าแลบรรดาผู้ที่ไปด้วยให้เปนที่รฦกถ้วนทั่วทุกตัวคนตลอดจนบ่าวไพร่ เปนพระเดชพระคุณเหลือล้นพ้นที่จะพรรณา

วันนี้เปนวันตระเตรียมการที่จะออกจากเมืองเตอร์กี มีการที่ได้รู้เห็นแลหลงลืมยังไม่ได้เล่าอยู่หลายอย่าง จึงจะรวบรวมจดลงไว้ในที่นี้ คือโรงเรียนต่าง ๆ ในเมืองเตอร์กี ซึ่งข้าพเจ้าได้ไปดูหลายโรง เปนต้นว่าโรงเรียนชั้นสูงสอนภาษาต่างประเทศแห่ง ๑ โรงเรียนสอนวิชาช่างปั้นช่างเขียนแห่ง ๑ โรงเรียนฝึกสอนนายทหารบกแห่ง ๑ โรงเรียนฝึกสอนนายทหารเรือแห่ง ๑ โรงเรียนเหล่านี้ การที่จัดก็ควรสรรเสริญว่าดีพอใช้ที่อุส่าห์เอาอย่างฝรั่ง แต่ยังคงดีไม่ได้ถึงโรงเรียนในเมืองฝรั่งอยู่เปนธรรมดา เพราะฉนั้นจะพรรณาให้พิศดารก็เห็นไม่เปนประโยชน์อันใดนัก ถ้าจะว่ากันในเรื่องนี้ ไว้พรรณาว่าด้วยเรื่องโรงเรียนในเมืองฝรั่งจะดีกว่า

นอกจากโรงเรียนยังได้ไปดูมิวเซียมแห่ง ๑ พึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ ไม่สู้มีอะไร แลได้ไปดูคลังเครื่องสรรพยุทธแห่ง ๑ ก็คือโรงสำหรับเก็บปืนใหญ่น้อยต่าง ๆ ไม่สู้ปลาดอันใด ในคลังนี้มีปืนเมาเซออย่างใหม่บรรจุได้หลายนัด ส่งมาไว้มาก แต่ในเวลานั้นยังไม่ได้จ่ายไปรับราชการ ทหารปืนเล็กยังใช้ปืนมาตินีแฮนรี แต่โปลิศใช้ปืนวิลเช็สเตอร์

เตอร์กีมีโรงแสงโรง ๑ เปนของอยู่ข้างน่าดู ด้วยมีเครื่องมือมาก ทำได้ทั้งปืนใหญ่ปืนเล็ก แต่การทำปืนใหญ่นั้น ถึงทำได้ก็ดูไม่สู้มีประโยชน์อันใดนัก ด้วยทำไม่ได้ถูก ไม่ได้ดี แลไม่ได้เร็วเท่าสั่งที่ห้างใหญ่ ๆ ในยุโรป เช่นห้างกรุปบ์แลห้างอามสตรองเปนต้น คงใช้เครองมือนั้น เพียงสำหรับกลึงแก้ปืนเก่า ๆ ที่มีอยู่ให้เปนปืนอย่างใหม่ แต่เครื่องมือสำหรับทำปืนเล็กนั้นดูมีประโยชน์จริง ด้วยทำการแก้ไขซ่อมแซมได้เองทุกอย่าง ตั้งแต่ทำเครื่องปืนตลอดจนเหลาราง แลทำกระสุนปัสตันเสร็จ

การเหลารางปืนเล็ก ข้าพเจ้าได้ยินเขาโจทย์กันอยู่แต่ก่อนว่าเปนของเขากลึงทั้งสิ้น แต่คิดไม่เห็นว่า ของแบน ๆ ยาว ๆ แลรูปร่างไม่สม่ำเสมอกันเช่นนั้น จะกลึงอย่างไร ความรู้อันนี้พึ่งเข้าใจแจ่มแจ้ง เมื่อไปเห็นที่โรงแสงเมืองเตอร์กี คือ วิธีที่จะทำรางปืนเล็กนั้น เริ่มแรกเขาตีเส้นรูปร่างปืนลงบนกระดานขนาดหนา ๒ นิ้วกึ่ง เอาเลื่ยยโกรกออกเปนรูปร่างปืนโกลน แล้วก็เอาเข้าเครื่องกลึงอย่างหนึ่ง ซึ่งสำหรับกลึงของชนิดนี้ กล่าวคือมีรางปืนจริง ๆ เปนหุ่นขนาดติดไว้ข้างหนึ่ง เอารางปืนโกลนติดไว้ตรงกันอิกข้างหนึ่ง เครื่องมือสำหรับกลึงอยู่กลาง ติดสายพานหมุนรางปืนหุ่นกับรางปืนโกลนไปพร้อมกัน ด้ามเครื่องมื่อเข้าไปจดรางปืนหุ่น เปนที่บังคับให้ปลายเครื่องมือกินรางปืนโกลนหนักเบามากน้อยลงไปจนเท่ารูปร่างปืนหุ่น กลึงรวดเดียวก็เปนรูปร่างปืนเกลี้ยงเกลา ไม่ต้องถากไสอันใด ได้เห็นดังนี้จึงต้องยอมว่ารางปืนเล็ก เปนของเขากลึงจริง

อนึ่งเมื่อพรรณาถึงตำหนักมรัสซิม ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แต่ก่อนว่ามีห้องอาบน้ำอย่างเตอร์กีทำไว้ในตำหนักนี้ด้วย แต่ยังหาได้พรรณาถึงวิธีอาบน้ำอย่างเตอร์กีไม่ วิธีอาบน้ำอย่างเตอร์กีว่าที่แท้ก็อย่างเราเรียกว่าเข้ากระโจมนั่นเอง คือ มีห้อง ๒ ห้อง พื้นแลฝาผนังทำด้วยศิลาอ่อน เอาไฟสุมไว้ที่ใต้ถุนฤๅแห่งใดแห่งหนึ่ง อบห้องทั้ง ๒ นี้จนร้อนจัดประมาณปรอทห้องใน ๑๑๐ ดีกรี ห้องนอกประมาณสัก ๑๐๐ ดีกรี เวลาจะไปอาบน้ำอย่างเตอร์กีต้องคลุมเสื้อฤๅผ้าอย่างหนาไปจากที่อยู่ เพราะเหตุว่าอากาศปรกติข้างนอกหนาวปรอทเพียง ๖๐ หย่อนๆ ถูกเปลี่ยนร้อนเปลี่ยนหนาวทันที ถ้าไม่ระวังมักจะจับหนาว จึงต้องคลุมผ้าฤๅเสื้อหนา ๆ ไปให้อบตัวให้อุ่นไว้ก่อน พอเข้าประตูห้องชั้นนอกเปลื้องเสื้อผ้าที่หนาออกก็พอรู้สึกไม่เปลี่ยนอากาศสักกี่ดีกรีนัก ในห้องชั้นนอกนี้มีพรมปู แลตั้งเก้าอี้เบาะเปนที่นั่งเปลื้องเครื่องแลแต่งตัว มีเครื่องผลัด กล่าวคือ ผ้าขาวเล็ก ๆ สำหรับพันกายผืน ๑ ผ้าขาวสำหรับถูตัวผืน ๑ เตรียมไว้ให้ ผลัดผ้าเสร็จแล้วต้องขึ้นรองเท้าเขียงเดินเข้าไปห้องใน เพราะพื้นศิลาร้อนจัดทนเดินเท้าเปล่าไม่ใคร่ได้ ในห้องในมีอ่างศิลาอ่อนอ่าง ๑ มีตั่งไม้ตั้งไว้ในอ่างนั้น สำหรับให้ลงไปนั่งแล้วเปิดท่อน้าร้อนไหลลงในอ่าง เอาผ้าขาวชุบมาถูเนื้อล้างตัวไปตามความพอใจ แลการถูตัวนี้ ถ้าเราต้องการจะเรียกเจ้าพนักงานเข้ามาถูให้ก็ได้ แต่ข้าพเจ้าได้ยินกิติศัพท์อยู่แต่ก่อนว่าอยู่ข้างเปนการอุจาด นึกลอายจึงยอมถูตัวเอาเองหาได้อาบเต็มตำราไม่ เมื่ออาบจนพอแก่ใจแล้วก็กลับออกมาห้องนอก เอาผ้าขนหนูเช็ดตัวจนแห้งแล้วแต่งตัวกลับมา เปนเสร็จวิธีอาบน้ำอย่างเตอร์กี ดังนี้ ดูก็เบาตัวสบายดี ๚

๏ วันที่ ๒๖ เวลากลางวัน แต่งตัวเต็มยศขึ้นรถพากันไปเฝ้ากราบถวายบังคมลาสุลต่านณท้องพระโรง การเฝ้าแหนก็เปนอย่างเดียวกับเมื่อแรกมา

สุลต่านมีรับสั่งให้ข้าพเจ้านำความเข้ามากราบบังคมทูลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า การที่ได้ทรงรับรองเจ้านายในราชตระกูลสยามครั้งนั้น เปนที่มีพระราชหฤไทยยินดียิ่งนัก ทรงหวังว่าจะเปนต้นเหตุให้ทั้ง ๒ พระนครมีทางพระราชไมตรีต่อกันต่อไป แลที่สุดขอให้กราบบังคมทูลว่าสุลต่านทรงหวังพระราชหฤไทยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาศเมืองเตอร์กีสักครั้ง ๑ ดังนี้ แล้วก็โปรดพระราชทานพระพรแก่ข้าพเจ้าแลบรรดาผู้ที่ไปด้วยกัน ให้เดินทางไปโดยสดวก แลพ้นภยันตรายทั้งปวงเปนต้น ข้าพเจ้ากราบทูลขอบพระเดชพระคุณโดยส่วนตัวของข้าพเจ้าเอง ทั้งในนามของบรรดาพวกที่ไปด้วยกัน ซึ่งได้รับพระราชทานความอุปถัมภ์บำรุงแลพระกรุณาเปนอเนกประการ อันพ้นวิไสยที่จะพึงพรรณาให้สิ้นสุดฤๅจะพึงละลืมเสียได้ โดยถ้อยคำแลความเคารพตามสมควรแล้วก็กราบถวายบังคมลา กลับไปผลัดเครื่องแต่งตัวขึ้นรถไปแวะที่ตึกราชทูตรุสเซียเพื่อจะแสดงความขอบคุณซึ่งเขาได้ช่วยสงเคราะห์ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าอยู่ในเตอร์กี แล้วจึงไปลงเรือย๊อตหลวงชื่อดาเลีย เปนเรือจักรข้าง ๒ ปล่อง ซึ่งสุลต่านโปรดให้จัดโดยเฉภาะการที่จะไปส่งข้าพเจ้าถึงเมืองครีส พร้อมด้วยอาหะเม็ดปาชาราชองครักษ์ กับล่ามนาย ๑

เวลายามเศษออกเรือจากน่าเมืองคอนสแตนติโนปัล เปนสิ้นรายงานไเปมืองเตอร์กีเพียงเท่านี้

ท่านทั้งหลายผู้ได้อ่าน แลทราบข้อความเรื่องไปเมืองเตอร์กีที่ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงมานี้ ถ้าพิเคราะห์ก็คงจะแลเห็นว่า การที่ข้าพเจ้าไปเมืองเตอร์กีในครั้งนั้น จะได้มีราชการอันใดซึ่งจำเปนที่สุลต่านจะต้องทรงรับรองแต่อย่างใดนั้นหามิได้ แม้ที่สุดจะโปรดให้เฝ้าตามธรรมเนียมแขกเมืองมาสู่พระนคร แต่หนเดียวก็ไม่มีเหตุอันใดที่จะควรติเตียนฤๅเสียใจได้สักอย่างหนึ่ง นี่หากสุลต่านพอพระราชหฤไทยที่จะแสดงพระกรุณา จึงได้รับเกียรติยศแลความศุขสำราญถึงเพียงนั้น อันใดเล่าที่เปนเหตุให้ทรงยินดีมีพระราชหฤไทยรับรองใช่ว่าจะได้ทรงรู้จักคุ้นเคยกับตัวข้าพเจ้าฤๅผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งได้ไปด้วยกันในครั้งนั้น จะได้ว่าเปนการที่ทรงยินดีในเฉภาะตัวบุคคลคนหนึ่งคนใด การทั้งนี้เมื่อคิดดูแล้วก็จะต้องแลเห็นว่า เปนโดยมีพระราชหฤไทยไมตรีต่อกรุงสยาม จึงได้ทรงรับรองเจ้านายในราชตระกูล ซึ่งได้มิโอกาศไปถึงพระนครให้สมควรแก่เกียรติยศ ตัวข้าพเจ้าแลผู้ที่ไปด้วยกันเหมือนแต่เปนคนทรง พเอิญไปประสบพบโอกาศเข้าจึงได้เปนองคพยานจดจำข้อความมาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง ๚

----------------------------

  1. ๑. กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช

  2. ๒. เจ้าพระยาเทเวศรวงษ์วิวัฒน์

  3. ๓. (ม.ร.ว. หลาน กุญชร ณกรุงเทพ)

  4. ๔. พระยาชลยุทธโยธินทร์ (เดอ ริชลิว)

  5. ๕. พระองค์เจ้าพร้อมพงษ์อธิราช พระยาสุริยานุวัติ (เกิด บุนนาค)

  6. ๖. เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)

  7. ๗. พระประดิพัทธภูบาล (คอยู่เหล ณระนอง)

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ