พระราชนิพนธ์เรื่องพระเขี้ยวแก้ว

ทรงเมื่อเสด็จประพาศลังกาทวีป

----------------------------

เรื่องพระทันตธาตุ

ฤๅที่ชาวลังกาเรียกว่า ทาฒะ

อิกนัยหนึ่งเรียกเลือน ๆ ว่า ดาลาดา

๏ เรื่องนี้เขามีหนังสือ เรียกชื่อว่า ดาลาดา วังสะ แต่ไม่ได้อ่านต้นฉบับ เข้าใจว่าคงเปนเรื่องปาฏิหารต่าง ๆ เช่นรัตนพิมพวงษ์เปนต้น ที่จะเก็บความมากล่าวบ้างบัดนี้ จากหนังสือฉบับหนึ่งซึ่งเขาแต่งในภาษาอังกฤษ เปนของพวกโซไซเอตี การเล่าเรียนที่ถือสาสนาพระเยซูได้แต่งแลลงพิมพ์ เมื่อรัตนโกสินทรศก ๑๑๓ ในหนังสือนี้แต่งด้วยความมุ่งหมายที่จะยกเหตุผลแห่งความเชื่อถือในสิ่งซึ่งไม่น่าเชื่อของพุทธสาสนิกชนในเมืองลังกา แลกล่าวต่อไปถึงหนังสือที่อ้างว่าเปนพระพุทธวจนะ เช่นคัมภีร์ไตรภูมิ กล่าวถึงโลกเปนอยู่อย่างไร ตามความคาดคเนของคนโบราณที่ยังมีความสังเกตตรวจตราไม่พอ แลกล่าวถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งละเสียไม่ได้สั่งสอนให้นับถือผู้สร้างโลก ดังนี้ เปนต้น ซึ่งอาจจะแก้ได้ง่าย ๆ ในข้อที่ ๑ ว่า สาสนาคริสเตียน มีเครื่องที่อ้างว่าเปนของเกี่ยวข้องด้วยพระเยซูส์ฤๅนักบุญมากยิ่งกว่าสาสนาพระพุทธ เรื่องที่น่าหัวเราะก็ไม่น้อยกว่า ในข้อ ๒ เรื่องความรู้ว่าโลกนี้เปนอย่างไร ก็ย่อมเซอะซะอย่างยิ่งเหมือนกัน คือ แบ่งวันสร้างโลกใน ๖ วัน ไม่เสมอกันได้เปนต้น แต่ในข้อสามผู้ที่กล่าวไม่รู้พุทธสาสนาเลย พูดข้างเดียว ไม่ได้มุ่งต่อความจริงฤๅความประพฤติที่เปนธรรมอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะฉนั้น ในเหตุเหล่านี้ไม่ควรจะต้องกล่าวถึง ยกมาเปนข้อวินิจฉัยอันใด

แต่ถึงหนังสือฉบับที่ข้าพเจ้าได้อ่านนี้ เปนของผู้ซึ่งมีทิฎฐิอันกล่าวแล้วข้างต้นได้แต่งก็จริง แต่มีข้อความที่คัดจากหนังสือเก่า ๆ มีย่อดาลาดา วังสะ แลจดหมายเหตุการพอที่จะรู้เปนเค้า ไม่พักต้องอ่านหนังสือหลายเล่ม ข้าพเจ้าจะเก็บแต่ข้อความที่เห็นว่าจะต้องการรู้มากล่าว ไม่ได้คิดที่จะแปลหนังสือนั้นทั้งเล่ม ดังจะกล่าวต่อไปนี้

พระทันตะธาตุนี้ ได้กล่าวว่าเมื่อถวายพระเพลิงพระพุทธสริระพระอัฏฐิธาตุนอกจากที่เปนเท่านั้น เหลือพระทนต์ ๔ องค์ กับพระอัฏฐิที่โหนกพระปรางทั้งสองข้าง แลพระเศียร เจ้าประเทศราช ๘ องค์แย่งชิงกัน ภายหลังตกลงกันโดยสวัสดิภาพ แบ่งไปองค์ละส่วน ต่างองค์ต่างสร้างพระสถูปบรรจุไว้ พระบรมธาตุซึ่งเปนสำคัญนั้น คือ พระทนต์ทั้ง ๔ องค์หนึ่ง เทพยดาพาไป องค์ที่ ๒ นาคทั้งหลายพาไป องค์ที่ ๓ ตกไปเมืองคันธาระ อยู่ในตวันตกเฉียงเหนือแห่งชมพูทวีป องค์ที่ ๔ ตกไปอยู่เมืองกลิงคะ ทิศตวันออกเฉียงใต้ แห่งชมพูทวีป ข้อความทั้งนี้คัดมาจากหนังสือซึ่งเซอมอเนียวิลเลียมส์แต่ง ว่าด้วยพุทธสาสนา

ว่าด้วยองค์พระทันตธาตุ

ข้อความที่จะกล่าวต่อไปนี้ คัดจากหนังสือซึ่ง เซอ เย เอมเมอซอนเตนเนนต์แต่งด้วยเรื่องเมืองลังกา ผู้นี้เปนคนรับราชการอังกฤษ อาจที่จะหาผู้รู้ทั้งหลายช่วยสืบสวนทั้งฝรั่งแลลังกา หนังสือที่เขาแต่งว่าด้วยเรื่องเมืองลังกา เปนที่สรรเสริญว่าดีกว่าฉบับอื่น ๆ ทั้งหมด

ดาลาดา วังสะนั้น เขาแต่งเปนกลอนภาษาลังกา เล่าเรื่องพระทันตธาตุ ซึ่งเขาคเนกันว่าจะได้แต่งเมื่อพุทธศักราช ๘๕๓ ปี ก่อนจุลศักราช ๓๒๘ ปี แลได้แก้ไขอิกในระหว่างพุทธศักราช ๑๐๐๒ แล ๑๐๒๐ ก่อนจุลศักราช ๑๗๙ ปี แล ๑๖๑ ปี ตามชาวสิงหฬกำหนดว่าพุทธปรินิพพานก่อนคฤศตศักราช ๕๔๓ ปี ต้องกันกับเรา เพราะฉนั้นหนังสือฉบับนี้คงจะได้แต่งภายหลังพุทธปรินิพพาน ๘๕๐ ปี คำแปลลงเปนภาษาบาฬี เรียกว่าทาฒะวังสะ ได้ทำเมื่อพุทธศักราช ๑๗๔๓ จุลศักราช ๕๖๒ ธัมมะกิตติเถระเปนผู้แปล ในรัชกาลแห่งพระนางลิลาวดีตามข้อความที่กล่าวนั้น ว่าภิกษุผู้หนึ่งชื่อเขมะเปนสาวกแห่งพระพุทธเจ้า ได้นำพระทันตธาตุออกจากเชิงตะกอน แล้วถวายแด่พระเจ้าพรหมทัต พระเจ้ากรุงกลิงคะในพระนครทันตปุระ พระเจ้าแผ่นดินได้สร้างวิหารหุ้มด้วยทองประดิษฐานไว้เปนที่นมัสการมาหลายชั่วบุรุษ

ภายหลังพระทันตธาตุนั้นตกไปยังกรุงปาตลีบุต ได้สำแดงอิทธิปาฏิหารเปนหลายประการ เมื่อทิ้งลงในน่าเตาเพลิงก็บันดาลมีดอกบัวเกิดขึ้นมารับ ได้ทดลองประหารลงที่น่าแผ่นเหล็กก็ปรากฎติดอยู่ในแผ่นเหล็ก ไม่มีผู้ใดจะนำออกได้ จนสุภัทรภิกษุมาเชิญออกจึ่งออกได้ พระเจ้าคูหาสิวะ เจ้ากรุงกะลิงคะจึ่งได้เชิญพระทันตธาตุนั้น คืนยังพระนคร ประดิษฐานไว้ในวิหารเก่า เมื่อมีกองทัพมาประชิดพระนคร พระเจ้าคูหาสิวะจะเสด็จออกทำสงคราม จึ่งสั่งพระราชโอรสเขย ผู้มีนามว่าทันตกุมาร ผู้เปนสามีของนางเหมมาลาราชธิดาว่า ถ้าหากพระองค์ปราไชย สิ้นพระชนมชีพในกลางสนามยุทธ ให้เชิญพระทันตธาตุนี้ไปยังพระเจ้ากรุงสิงหฬ ครั้นเมื่อพระองค์ปราไชยสิ้นพระชนมชีพในกลางศึก พระราชโอรสเขยแลพระราชธิดาก็ปลอมพระองค์เชิญพระทันตธาตุไปด้วย เมื่อพบศัตรู นางเหมมาลาก็ซ่อนไว้ในพระเมาลี ครั้นเมื่อมาถึงกรุงตะมะลิตถิ ก็โดยสานเภตราไปยังกรุงลังกา

พระทันตธาตุถึงกรุงลังกา เปนเวลารัชกาลของพระเจ้ากฤตติสิริเมฆะวัณณะ ซึ่งประมาณว่าได้ขึ้นดำรงราชย์ในพุทธศักราช ๘๔๑ ก่อนจุลศักราช ๓๔๐ ปี สิ้นพระชนม์ในพุทธศักราช ๘๖๙ ก่อนจุลศักราช ๓๑๒ ปี ทรงกระทำสักการะบูชาเปนอันดี แลป้องกันรักษาโดยกวดขัน

ในกาลนั้นเกาะลังกาได้ความเดือดร้อนยิ่งนัก ด้วยทมิฬปัจจามิตรมาเบียดเบียนพระเจ้าอัครโพธิ ซึ่งได้เสด็จขึ้นดำรงราชย์ในปีมีพุทธศักราช ๑๓๑๒ จุลศักราช ๑๓๑ ไม่สามารถจะปราบปรามพวกทมิฬได้ จึ่งได้ย้ายพระราชธานีจากกรุงอนุราธปุระ ไปตั้งอยู่ณตำบลโปลันนาระวะ พระราชธานีตั้งอยู่ในที่นั้นจนถึงปีมีพุทธศักราช ๑๘๔๖ จุลศักราช ๖๖๕ มีระหว่างที่ต้องยักย้ายอยู่สองครั้ง ในปีที่กล่าวแล้วนั้น พระเจ้าภูวะเนกพาหุ ที่ ๑ ย้ายพระราชธานีไปตั้งณตำบลยาพาหุเปนโกรแล ที่ ๗ ในขณะนั้นพวกบันดยันทั้งหลายได้ลอบเข้าตีพระนครได้ เชิญพระทันตธาตุไปยังชมพูทวีป พระเจ้าปรักกมพาหุที่ ๔ ได้ดำรงราชย์สนองพระองค์ จึ่งได้เสด็จไปยังกรุงมธุระ ว่ากล่าวขอคืนพระทันตธาตุกลับมายังเกาะลังกา

ในที่นี้ เตนเนนต์ ผู้แต่งหนังสือ ได้กล่าวว่า เมื่อเวลากำลังบ้านเมืองเปนจลาจลนั้น พระทันตธาตุองค์ที่แท้ ได้พาไปเที่ยวซ่อนไว้ณตำบลต่าง ๆ ในเกาะลังกาเปนหลายตำบล คือตำบลแกนดี ลัพพารคาม แลโกติมาลัย ในภายหลังที่สุด เมื่อพุทธศักราช ๒๑๐๓ จุลศักราช ๙๒๒ พวกโปรตุเกสพบเข้า ได้พาไปยังเมืองคัวซึ่งเปนเมืองของโปรตุเกสอยู่ในชมพูทวีปฝ่ายทิศตวันตก แล้วมอบให้แก่ ดองคอน สแตนไตน์ เดอ บากันซา ซึ่งเปนไวศรอยผู้สำเร็จราชการฝ่ายโปรตุเกสในเขตรแดนอินเดีย สังฆราชโปรตุเกสได้เผาเสียต่อหน้าไวศรอยแลขุนนางเปนอันมาก

อันตรายแห่งพระทันตธาตุซึ่งเปนที่เลื่องฦๅนี้ เปนเรื่องแปลกประหลาดมาก พวกโปรตุเกสได้แต่งหนังสือต่างๆ กล่าวถึงเปนข้อความมั่นคง ได้ความเปนอันพระทันตธาตุองค์แรกนั้นได้สูญสิ้นไปในปีมีพุทธศักราช ๒๐๔๓ จุลศักราช ๘๖๒

เซอ เย อี เตนเนนต์ ได้คัดข้อความจากหนังสือพงษาวดารโปรตุเกส ซึ่งเรียกชื่อว่า ไดโค เดอเคาโต อันเปนผู้มีชีวิตอยู่ในเวลานั้นแต่ง เรื่องทำลายพระทันตธาตุอย่างไร มีเนื้อความว่า

พระเจ้ากรุงพม่า ได้ทรงทราบว่า พระทันตธาตุเปนที่นับถือทั่วไปของพุทธสาสนิกชนมีผู้ได้ไปดังนั้น จึ่งได้รับสั่งให้หามาติโน อาลฟองโซ เปนคนพ่อค้าโปรตุเกส ซึ่งเปนนายกำปั่นไปค้าขายอยู่ในเมืองหงษาวดี ให้กลับไปเมืองอินเดีย ขอให้ไวศรอยยอมให้พระทันตธาตุ จะต้องการอันใดแลกเปลี่ยนก็ให้ว่า จะยอมให้ทั้งสิ้น มาติโน อาลฟองโซ ทูลแนะนำให้แต่งทูตานุทูตไปยังไวศรอย ว่ากล่าวด้วยการเรื่องนี้ แลให้มอบอำนาจที่จะให้กล่าวข้อความสัญญาอันใดต่างพระองค์แลพระองค์จะรับอนุมัติตามทุกประการ

ครั้นเมื่อมาติโนอาลฟองโซได้ไปถึงยังเมืองคัว ในเดือนจิตร พุทธศักราช ๒๑๐๔ จุลศักราช ๙๒๓ แจ้งความให้ไวศรอยทราบในเรื่องมีทูตไปถึง เมื่อเสร็จการต้อนรับทูตแล้ว ก็เจรจากันด้วยราชการที่ทูตไป ข้างทูตขอให้มอบพระทันตธาตุ แลจะยอมสัญญาให้อันหนึ่งอันใดตามประสงค์ แลจะเปนไมตรีกับกรุงโปรตุคอลสืบไปชั่วฟ้าแลดินด้วย ทั้งรับที่จะส่งเสบียงอาหารไปยังป้อมของโปรตุเกสที่ตั้งอยู่ณเมืองมละกา ปลายแหลมมลายูทุกเมื่อตามเวลาที่ขอให้ส่ง ทั้งมีข้ออื่น ๆ ที่รับสัญญาอิกเปนอันมาก ไวศรอยนัดว่าจะตอบโดยเร็ว ในระหว่างนั้นก็นำข้อความแจ้งแก่บันดาขุนนางฝ่ายทหารพลเรือน คนทั้งนั้นก็มีความพอใจที่จะรับ เพื่อจะได้มาปลดเปลื้องความขัดข้อง ด้วยโปรตุเกสเวลานั้นอยู่ข้างจะขัดสนทรัพย์สมบัติที่จะใช้จ่ายมาก ข้อความเปนเหมือนหนึ่งจะตกลงกันอยู่แล้ว

ความทราบถึงหูสังฆราช เรียกว่า อาชบิชอบ ดอง คาสปา ก็รีบไปหาไวศรอยในทันใดนั้น ว่ากล่าวห้ามปรามมิให้ยอมให้ไถ่พระทันตธาตุ ถึงแม้ว่าจะได้ทรัพย์สมบัติอันใดซึ่งมีอยู่ทั่วโลกนี้ ด้วยเหตุว่าจะเปนที่เสื่อมเสียเกียรติยศของพระผู้เปนเจ้า แลเปนช่องให้พวกนับถือรูปเคารพทั้งหลาย ไหว้กราบกระดูกอันนี้ ด้วยเหตุว่าความไหว้กราบเช่นนั้น ย่อมควรแก่พระผู้เปนเจ้าองค์เดียว อาชบิชอบได้เขียนข้อความอธิบาย แลเทศนาบนธรรมาศน์ต่อหน้าไวศรอยแลขุนนางทั้งปวง ต่อสู้ห้ามปรามการที่จะให้ไถ่พระทันตธาตุ เพราะฉนั้น ดองคอนสแตนไตน์ ซึ่งเปนผู้ถือสาสนามั่นคง กลัวพระเจ้าแลอยู่ในบังคับอาราม จึ่งหยุดยั้งการเรื่องนี้ไว้ไม่ได้ทำให้สำเร็จ เพราะเหตุว่าไม่เปนที่เห็นชอบพร้อมกัน จึ่งได้ให้ประชุมสังฆราชบาดหลวงหัวน่าในสาสนา ทั้งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยพร้อมกัน นำข้อความอันนี้ปฤกษา ด้วยเหตุว่าเงินที่จะได้ค่าไถ่พระทันตธาตุนั้นมาก เวลานี้ราชการก็ขัดสน เงินไม่มีพอจะใช้จ่าย ถ้าได้ก็จะพอใช้ราชการทุกอย่าง เมื่อปฤกษาโต้ตอบกันเปนอันมาก ก็เปนอันตกลงว่าไม่ควรจะให้พระทันตธาตุ เพราะจะเปนการอุดหนุนแก่การไหว้กราบรูปเคารพ เปนการหมิ่นประมาทแก่พระผู้เปนเจ้า เพราะฉนั้นไม่ควรจะยอมเลย ถึงแม้ว่าประเทศนั้นฤๅโลกนี้จะฉิบหายไปหมดก็ตาม อันนี้เปนความคิดของสังฆราชบาดหลวงทั้งปวง

การตกลงกันนี้ ได้จดหมายลงชื่อเปนสำคัญทั่วกัน หนังสือฉบับนี้ยังอยู่ในออฟฟิศกรมจดหมายเหตุจนทุกวันนี้ ไวศรอยจึ่งได้เรียกให้ชาวคลังนำพระทันตธาตุออกมา ส่งให้แก่อาชบิชอบสังฆราช สังฆราชให้เอาครกมาตั้งตำด้วยมือตนเองจนเลอียดเปนผง แล้วเทลงในเบ้าสูบเผาจนเปนเท่า ทั้งเท่าพระทันตธาตุแลเท่าถ่าน เทลงในแม่น้ำต่อหน้าคนทั้งปวง ซึ่งได้ประชุมกันดูที่น้ำนั้นจากเฉลียงเรือนแลน่าต่าง

มีผู้ซึ่งไม่เห็นด้วยในความคิดไวศรอยก็มาก เพราะเห็นว่าไม่เปนเครื่องที่จะป้องกันพุทธสาสนิกชนไม่ให้ทำรูปเคารพอื่นขึ้นได้อิก เมื่อจะเอากระดูกอันหนึ่งอันใด มาทำรูปให้คล้ายกับพระทันตธาตุที่สูญไปนั้น ความเคารพไหว้กราบก็จะมีได้มากเสมอกัน ส่วนทองซึ่งได้บอกเลิกเสียไม่รับนั้น สามารถที่จะแก้ไขความขัดสนความร้อน ความจำเปนของบ้านเมือง ไม่ควรจะละทิ้งเสีย

เพื่อจะให้เปนที่รฦกถึงเหตุการณ์แลสำแดงน้ำใจ ในข้อที่ทำตามความเห็นของบาดหลวงทั้งหลาย โดยความศรัทธาประสาทะในคฤศตะสาสนา แลให้เปนพระเกียรติยศแก่พระเจ้า จึ่งได้คิดการที่จะทำต่อไปดังนี้ ให้ทำโล่ห์อันหนึ่ง มีรูปไวศรอยแลสังราชแวดล้อมไปด้วยเจ้าวัดแลบาดหลวง ซึ่งได้ไปประชุมในเวลานั้น ในท่ามกลางมีเบ้ากำลังสุมไฟ แลมีพุทธสาสนิกชนซึ่งไปยอมเสียเงิน เบื้องบนโล่ห์นั้นมีตัวอักษร ซี เปนอักษรต้นนามของ ดองคอนสแตนไตน์ซ้ำห้าครั้ง CCCCC เบื้องล่างมีห้าคำ คอนสแตนตินัส ซีลี คูบิดิเน ครูเมนาส เครมาวิต แปลความว่า คอนสแตนไตน์ซื่อตรงต่อสวรรค์ ไม่รับสมบัติทั้งหลายในพื้นแผ่นดิน ข้อความทั้งหลายนี้ได้คัดจากหนังสือที่เตนเนนต์แต่ง เรื่องเมืองลังกา เล่ม ๒ น่า ๒๑๓ ถึง ๒๑๕

พระทันตธาตุชั้นที่ ๒

ในทางที่กล่าวว่า พระทันตธาตุที่ ๒ ได้ทำขึ้นนั้น เซอ เย อี เตนเนนต์ ได้กล่าวดังนี้

เมื่อพุทธศักราช ๒๑๐๙ จุลศักราช ๙๒๘ พระเจ้าหงษาวดีคือเมืองพะโคฤๅบิคู มีผู้ทูลว่า จะได้เจ้าหญิงเมืองลังกาเปนพระอรรคมเหษี จึงได้แต่งทูตออกไปขอวิวาหะ แต่เจ้าแผ่นดินลังกาซึ่งดำรงราชย์เวลานั้น ชื่อ ดองยวง ตามชื่อที่เข้ารีด ชื่อเดิม ธัมมะปาละ พเอิญไม่มีพระราชโอรสแลธิดา คำทำนายนั้นเกือบจะเปนอันไม่ถูกต้องอยู่แล้ว พอมีขุนนางกรมวังผู้หนึ่งซึ่งนับเนื่องอยู่ในเชื้อพระวงษ์ กราบทูลแนะนำที่จะให้ส่งบุตรสาวของตนออกไปแทน เพิ่มความชั่วขึ้นในความไม่สุจริต โดยล่อลวงให้ทูตรามัญทั้งหลายเชื่อว่า ยังมีพระทันตธาตุเปนของแท้เก็บซ่อนไว้ได้ พระทันตธาตุซึ่งพวกฝรั่งเมืองคัวทำลายเสียนั้นเปนของทำปลอมไว้ ความคิดล่อลวงอันนั้น เปนอันได้สำเร็จ หญิงซึ่งต่างว่าเปนเจ้านั้น ก็ได้ต้อนรับที่เมืองหงษาวดีโดยอภิเศกมงคล ตั้งอยู่ในตำแหน่งอรรคมเหษี แลส่งราชทูตทั้งหลายออกไปยังสิงหฬทวีป รับพระทันตธาตุซึ่งภายหลังได้ตกไปอยู่เมืองอารคัน

เตนเนนต์ ผู้แต่งหนังสือ ได้คัดข้อความจากหนังสือซึ่งเดอเคาโตพรรณาข้อความพิสดารต่อไป ดังนี้

ว่าเมื่อพรัหมะ พระเจ้าแผ่นดินเปคูประสูตร โหรทั้งหลายได้ทำนายว่า จะได้พระราชธิดากรุงลังกาเปนชายา จะมีลักษณรูปโฉมเช่นนั้นเช่นนั้น จะมีส่วนพระหัดถ์ พระบาท เช่นนั้น ๆ พรัหมะมีความปราถนาที่จะให้สมดังคำทำนาย จึ่งได้ส่งทูตานุทูตออกไปยังดองยวง พระเจ้ากรุงคอตตา ในพระราชสาส์นนั้นยกย่องเหมือนหนึ่งว่า พระเจ้าดองยวงเปนผู้ที่สืบกษัตริย์เที่ยงแท้ ไม่เปนแต่พระเจ้าแผ่นดินโดยเอกเทศองค์หนึ่งของเกาะลังกา ขอพระราชธิดา เพื่อจะอภิเศกแลส่งเครื่องราชบรรณาการ ล้วนสิ่งของอันมีค่าซึ่งไม่เคยมีในเกาะลังกา เต็มลำเภตรา กับทั้งแพรผ้าแลเพ็ชร์พลอยอันมีราคา ทูตานุทูตมาถึง ในเวลาซึ่งพระเจ้าแผ่นดินได้ทิ้งคอตตามาอยู่ในกำแพงป้อมเมืองโคลัมโบ พุทธศักราช ๒๑๐๗ จุลศักราช ๙๒๖ พระเจ้าดองยวงได้ต้อนรับทูตโดยความยกย่องเปนอันมาก ทราบความประสงค์ที่ทูตมาแล้วปิดบังความจริงเสียในข้อที่โหรทั้งหลายได้ทายผิด เพราะเธอไม่มีโอรสฤๅธิดาเลย จึ่งได้นำบุตรสาวแห่งอำมาตย์ผู้ใหญ่ในกรมวังซึ่งเปนเชื้อพระวงษ์ แลนางคนนั้นได้ถือสาสนาพระเยซูส์แล้วโดยความคิดอ่านของคอเวอนเนอ ผู้ชื่อว่า ฟรานซิสโก บาเรตโต อันอำมาตย์กรมวังผู้นั้น ได้รับเปนชื่อตัวด้วย แลนอกนั้นยังได้ยอมให้อ้างว่าเปนเชื้อพระวงษ์ เพราะอำมาตย์ผู้นี้มีอำนาจมากดังนั้น จึ่งได้แนะนำเจ้าแผ่นดินให้ทำตามความคิดตัว หญิงผู้นั้นได้ยกย่องให้มีเกียรติยศทุกประการอย่างพระราชธิดา เมื่อทูตานุทูตมาถึง ได้โปรดให้นางนั้นเสวยร่วมภาชนะด้วยพระองค์ แลรับสั่งเรียกดังพระราชธิดาด้วยประการทั้งปวงนี้ จึงส่งไปให้เปนพระอรรคมเหษีพระเจ้ากรุงหงษาวดี

ข้อขัดขวางซึ่งพระเจ้าดองยวงกลัวเกรงอยู่มากนั้น คือ กัปตันเยเนอราลเมืองโคลัมโบ แลแฟรนศิสแกง คือพวกพระทั้งหลาย ถึงแม้ว่านางนั้นเปนผู้ถือสาสนาพระพุทธ เขาย่อมเห็นอยู่ว่าเปนลูกแกะอยู่ในฝูงของเขา ซึ่งสามารถจะบังคับให้ถือสาสนาพระเยซูส์เมื่อใดก็ได้ เพราะเหตุฉนี้คนทั้งหลายเหล่านั้นน่าที่จะขัดขวางมิให้นางนี้ออกไปจากลังกาทวีปได้ เจ้าแผ่นดินได้ปฤกษากับกรมวังผู้ใหญ่ผู้นี้ ซึ่งเปนคนมีทุนรอนแลมีความคิด เมื่ออำมาตย์ผู้นั้นชี้แจงอันใด เจ้าแผ่นดินย่อมเชื่อถือทุกอย่าง จนบังคับกดขี่ให้ละทิ้งเมืองคอตตามาได้ความยากจน ด้วยความมุ่งหมายที่จะมั่งมี โดยค้าขายกับเมืองหงษาวดี จึ่งได้ตกลงยอมจะส่งนางผู้นี้ออกไปให้พระเจ้าแผ่นดินรามัญ เว้นไว้แต่ต้องให้เปนความลับ อย่าให้โปรตุเกสที่โคลัมโบทราบ

แต่ฝ่ายอำมาตย์กรมวังได้ทำยิ่งกว่านั้น คือคิดพร้อมกับเจ้าแผ่นดิน นำเขากวางมาแกะเปนรูปพระทันตธาตุ เหมือนอย่างเช่นที่ดองคอนสแตนไตน์ได้นำไปเสียแล้วนั้น หุ้มด้วยทองคำบัญจุในพระเจดีย์อันมีค่าประดับด้วยพลอยต่าง ๆ อำมาตย์กรมวังผู้นั้น ซึ่งถือว่าเข้ารีดสาสนาพระเยซูส์แล้ว ยังมีน้ำใจนับถือพระพุทธสาสนา เมื่อสนทนากันกับทูตานุทูตแลพระสงฆ์ซึ่งมาด้วยในเวลาก่อนที่จะไปนมัสการถวายเครื่องสักการบูชาพระพุทธบาทที่ยอดเขาอะดัม ได้แจ้งให้ทราบเปนความลับว่าพระเจ้าดองยวง เจ้ากรุงสิงหฬ ยังมีพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงอยู่ สิ่งซึ่งดองคอนสแตนไตน์จับไปได้นั้น เปนของปลอม ตัวเขาเปนกรมวังผู้ใหญ่ได้เก็บซ่อนพระทันตธาตุไว้ที่เรือน พระเจ้ากรุงลังกาได้ถือสาสนาพระเยซูส์เสียแล้ว ทูตานุทูตแลพระสงฆ์ได้ทราบดังนั้น สำคัญว่าจริงก็มีความยินดี ขออนุญาตที่จะได้เห็น อำมาตย์นั้นก็ไม่ใคร่จะยอม แต่ครั้นเมื่อภายหลัง ขอให้ปลอมตัวไปที่บ้านในเวลากลางคืน นำพระทันตธาตุจำลอง ซึ่งบรรจุในเจดีย์ ตั้งอยู่บนที่บูชาแวดล้อมไปด้วยเครื่องหอมแลประทีป ครั้นเมื่อคนทั้งหลายเหล่านั้นได้เห็นก็กราบลงเหนือภาคพื้น ทำสักการบูชาแลสวดคำนมัสการล่วงเวลาเปนอันมากในราตรีนั้น ภายหลังจึ่งได้ว่ากล่าวอ้อนวอนกับอำมาตย์กรมวัง ขอให้ส่งพระบรมธาตุไปถวายพระเจ้ากรุงหงษาวดีกับเจ้าหญิงนั้นด้วย รับสัญญาว่าจะให้มีการมหรศพใหญ่ เนื่องในการอาวาหะภิเศกมงคลนั้นด้วย พระเจ้าพรัหมะจะส่งทองสิบหมื่นในชั้นแรก แลจะส่งเภตราอันบรรทุกเต็มด้วยเข้าเปลือกปีละลำทุกปีไป สิ่งของอื่น ๆ เมื่อจะต้องการอันใดก็จะส่งให้ตามปราถนา การซึ่งสัญญากันนี้เปนความลับรู้กันแต่เฉภาะพระเจ้าแผ่นดินแลอำมาตย์กรมวัง

ครั้นเมื่อเวลาจะส่งนางสาวลังกาไป ก็ได้ปิดบังด้วยความฉลาด กับตันแห่งเมืองโคลัมโบ แลเดสเดเมโลฤๅบาดหลวงทั้งหลายก็ไม่มีใครทราบ แลไม่มีใครสงไสย พระเจ้ากรุงลังกาแต่งให้แอนคริสบายัน มุททลิยา ขุนนางลังกาเปนราชทูตไปด้วยกับนาง ไม่มีเหตุการอันใด เปนปรกติตามทาง จนถึงท่าใต้เมืองโกสมีจึ่งกราบทูลแจ้งข่าวอันพระราชเทวีเสด็จมาถึง ไปให้พระเจ้าแผ่นดินแลขุนนางทั้งปวงทราบ ต่างคนมีความยินดีเปนอันมาก

พระมหาอุปราชราชโอรสแห่งพระเจ้าแผ่นดิน เสด็จลงมารับถึงท่าเรือ พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกมารับที่ประตูพระราชวัง จัดตำหนักให้อยู่ ประกอบไปด้วยห้องอันตกแต่งเปนอันงาม ทั้งห้องประธม ที่ประทับ ที่แต่งพระองค์ อันสมควรแก่ตำแหน่งพระอัครมเหษีที่พระเจ้าแผ่นดินอันบริบูรณ์ไปด้วยราชสมบัติ แลมีพระเดชานุภาพใหญ่ แล้วก็พระราชทานทรัพย์ศฤงฆารส่วยสาอากรข้าไท มอบให้เปนใหญ่ในพระราชวัง เสด็จไปประทับอยู่ด้วยเสมอมิได้ขาด โปรดให้ตั้งพระราชพิธี ให้ชนทั้งปวงถวายสัตย์สาบาลยกย่องนางนั้นเปนเจ้าของตนทั่วหน้า

ฝ่ายพระสงฆ์ทั้งหลายแลทูตานุทูตทั้งปวง ก็กราบทูลเรื่องราวแห่งพระทันตธาตุ ซึ่งเปนที่นับถืออันยังคงรักษาไว้ได้ มิได้เปนอันตราย แลได้จัดการตกลงกับผู้ซึ่งรักษาตลอดแล้วนั้น พระเจ้าพรัหมะก็ทรงพระปรีดา ด้วยสมดังพระประสงค์ ทรงเข้าพระไทยว่าเปนพระทันตธาตุแห่งพระของพระองค์ แลนับถือยิ่งกว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น มิได้ช้าก็ส่งพระสงฆ์แลทูตานุทูตสำรับนั้น กับทั้งเครื่องบรรณาการอันวิเศษไปยังพระเจ้ากรุงลังกา แลสัญญาว่าจะส่งสืบไปอิก ให้มีราคายิ่งกว่านั้น ทูตานุทูตก็ไปถึงเมืองโคลัมโบ ว่ากล่าวตกลงกันโดยความลับกับดองยวง ก็มอบพระทันตธาตุจำลองกับทั้งเจดีย์ที่ตั้งให้แก่ทูตานุทูต ด้วยแสดงความอาไลยแลเปนความลับ ทูตานุทูตก็ทูลลามาโดยเรือเดิมนั้น ตราบเท่าถึงประเทศรามัญ

การรับพระทันตธาตุซึ่งสำคัญว่าเปนของจริง

ในเมื่อก่อนที่จะเข้าไปถึงท่าโกสมีซึ่งเปนท่าเมืองหงษาวดี สักสองสามวัน ข่าวก็ระบือฦๅเลื่องไปโดยเร็ว พระสงฆ์ทั้งหลายแลราษฎรก็มาประชุมกันด้วยความเลื่อมใส เพื่อจะนมัสการพระทันตธาตุ แล้วให้ผูกแพตกแต่งด้วยเครื่องประดับให้งดงาม จึงอัญเชิญพระทันตธาตุตั้งบนภาชนะทองเงิน แลสิ่งอื่น ๆ อันมีค่า ข่าวก็ทราบไปถึงพระเจ้าพรัหมะในกรุงหงษาวดี ในทันใดนั้น ก็รับสั่งให้บันดาข้าราชการลงมาช่วยกันรับพระทันตธาตุ ทรงทอดพระเนตรจัดทำที่สำหรับจะประดิษฐานพระทันตธาตุด้วยพระองค์เอง แลประดับด้วยมหัคฆภัณฑ์ อันพระองค์สามารถที่จะรวบรวมมาได้แลมีอยู่ ด้วยอาการเช่นนี้ พระทันตธาตุได้ขึ้นไปโดยระยะทางชลมารคในท้องนที อันดาษดาไปด้วยเรือทั้งหลาย ซึ่งแวดล้อมแห่แพมณฑปทรงพระทันตธาตุ เวลาค่ำก็จุดประทีปสว่างดุจเวลากลางวัน

ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินเมื่อทรงตระเตรียมการทั้งปวงเสร็จแล้ว ก็เสด็จลงเรือพระที่นั่งอันวาดเขียนประดับด้วยลายทอง แลประกอบด้วยแพรพรรณเครื่องปักต่าง ๆ ล่องลงมาสองวัน เพื่อจะพบกระบวนแห่ ครั้นเมื่อทอดพระเนตรเห็นแต่ไกลก็เสด็จเข้าสู่ที่สรง ชำระพระองค์ประพรมไปด้วยเครื่องหอม แล้วแต่งพระองค์ด้วยราชาภรณ์อันมีค่า ยื่นพระหัดถ์ไปจับแพอันทรงพระทันตธาตุแล้วกราบถวายบังคม ด้วยโสมนัสศรัทธาเลื่อมใสจะประมาณมิได้ แล้วเสด็จเข้าไปยังน่าที่ตั้งเครื่องสักการ อันประดิษฐานพระทันตธาตุแล้ว ทรงรับพระทันตธาตุจากผู้ซึ่งกำกับขึ้นมา ยกขึ้นวางเหนือพระเศียรเกล้าเปนหลายครั้ง ด้วยสักกัจจเคารพแลทัฬหปะสาทะ แล้วก็อัญเชิญลงประดิษฐานณที่เดิม เสด็จดำเนินแห่ไปในกระบวน เมื่อมาตามระยะทางชลมารค อันหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นเครื่องหอมทั้งหลาย ซึ่งมีทุกลำเรือกระบวน ครั้นเมื่อถึงฝั่ง พระสงฆ์ทั้งหลายแลข้าราชการทั้งปวง กับทั้งพระเจ้าแผ่นดิน แลผู้ซึ่งเปนหัวน่าในหมู่ชนทุกหมู่เหล่า พากันลงไปในน้ำ อัญเชิญบุษบกพระทันตธาตุขึ้นเหนือบ่าแบกไปยังพระราชวัง แวดล้อมไปด้วยประชุมชนทั้งปวงอันจะนับประมาณมิได้ บันดาเศรษฐีคฤหบดีทั้งหลาย ก็เปลื้องเครื่องแต่งตัวอันมีค่าลงปูลาดไว้ตามทางเพื่อจะให้ผู้ซึ่งเชิญพระทันตธาตุ เดินเหยียบไปบนผ้าทั้งหลายนั้น

พระทันตธาตุนั้น ภายหลังได้ตั้งไว้ในกลางสนาม ภายในพระราชวัง ภายใต้มณฑปซึ่งปลูกขึ้นใหม่ พระเจ้าแผ่นดินแลผู้มีบันดาศักดิทั้งหลายก็ถวายเครื่องสักการบูชา แล้วประกาศนามแลโคตร มีอาลักษณ์ซึ่งได้ตั้งไว้เปนตำแหน่งสำหรับจดชื่อนั้น คอยจดอยู่ แต่สักการบูชาเช่นนั้นสิ้นสองเดือน จนวิหารซึ่งได้สร้างขึ้นแล้วสำเร็จด้วยราคามากพ้นประมาณ ราวกะว่าจะให้เกิดการจลาจลขึ้นในพระนครนั้น

พระทันตธาตุชั้นที่ ๓

เซอ เย อี เตนเนนต์ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้โดยย่อ จะยกมาลงไว้ก่อน “พระเจ้ากรุงแกนดีซึ่งทรงนามว่าวิกรมพาหุ เมื่อได้ทรงทราบว่าพระญาติซึ่งอยู่เมืองคอตตา ได้ทำการล่อลวงพระเจ้าหงษาวดีโดยส่งพระราชธิดาปลอมไปดังนั้น เพื่อจะแก้ไข จึ่งจะยอมให้พระราชธิดาของพระองค์เอง แลว่าจะส่งพระทันตธาตุที่จริงแท้อันซ่อนไว้ กล่าวว่าพระทันตธาตุซึ่งส่งไปแต่เมืองโคลัมโบก็ดี ซึ่งว่าโปรตุเกสทำลายเสียที่เมืองคัวก็ดี เปนแต่ของจำลอง พระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า มีแท้แต่ที่ของเธอองค์เดียว จะส่งไปเปนทุนสินในการแต่งงานด้วย พระเจ้าหงษาวดีกอบไปด้วยทิฏฐิมานะ ไม่ยอมที่จะให้ปรากฎว่าพระองค์ถูกล่อลวง”

เรื่องพิสดาร เดอเคาโต ได้กล่าวต่อไปดังนี้ “เพื่อจะให้จบเรื่องพระทันตธาตุนี้ ข้าพเจ้าจะเล่าถึงเหตุการณ์อันได้เกิดขึ้น เมื่อปีต่อมาในระหว่างพระเจ้ากรุงแกนดี แลพระเจ้าพรัหมะ เจ้ากรุงหงษาวดี ในเหตุการเรื่องที่ดองยวงเจ้าแผ่นดินสิงหฬได้ทำนั้น ในการที่ดองยวงได้ผลประโยชน์จากพระเจ้าหงษาวดี แลเรื่องพระทันตธาตุได้ทราบถึงพระกรรณพระเจ้ากรุงแกนดีโดยเร็ว เมื่อทราบว่าทรัพย์สมบัติเปนอันมาก ซึ่งพระเจ้าพรัหมะได้ส่งมาก็มีความทยานพระไทยด้วยความฤษยา (เพราะเหตุว่า ดองยวงกับพระองค์ ได้เกี่ยวข้องเปนสัมพันธวงษ์แก่กัน โดยได้ทำอาวาหมงคลด้วยพระน้องนาง ฤๅบางปากกล่าวว่าพระธิดาของพระองค์) ไม่ช้าก็ส่งพระราชสาส์นให้ทูตถือไปยังกรุงหงษาวดี พระเจ้าหงษาวดีก็ต้อนรับโดยเกียรติยศ ราชทูตก็แจ้งการตามพระราชประสงค์ของเจ้าตน ว่านางซึ่งดองยวงได้ส่งไปว่าเปนพระราชธิดานั้น หาใช่เปนพระราชธิดาไม่ เปนแต่ธิดาของอำมาตย์กรมวังผู้ใหญ่ พระทันตธาตุซึ่งได้ทรงรับไว้ด้วยมหุฬารด้วยสักการเคารพนั้น ทำด้วยเขากวาง แลกล่าวต่อไปว่า พระเจ้ากรุงแกนดีมีพระราชประสงค์ยิ่งนักที่จะใคร่ได้เปนสัมพันธมิตรด้วยพระเจ้ากรุงหงษาวดี จึ่งได้แต่งให้ตัวมา เพื่อจะได้บอกถวายพระราชธิดา ซึ่งเปนพระราชธิดาเกิดจากพระองค์แท้ ไม่เปนแต่สักว่า นอกนั้นอิกได้กราบทูลให้ทราบว่า พระเจ้ากรุงแกนดีเปนผู้ซึ่งได้รักษาพระทันตธาตุแท้จริงของสมเด็จพระพุทธเจ้าไว้ พระทันตธาตุซึ่งว่าดองคอนสแตนไตน์จับได้ที่ แยฟนา ฤๅที่พระเจ้ากรุงหงษาวดีได้ไว้ อันถือว่าเปนของแท้จริงนั้น ไม่เปนของแท้จริง แลได้ทรงตระเตรียมที่จะสำแดงจดหมายเหตุโบราณ ซึ่งจะให้เห็นเปนพยานสำคัญได้ด้วย

พระเจ้าพรัหมะได้ทรงฟังข้อความดังนั้น ก็ทรงพระดำริห์ลังเลในพระไทย แต่ทรงเห็นว่าเจ้าหญิงองค์นั้น คนทั้งปวงได้ทำสัตยานุสัตย์ถวายว่าเปนพระราชินีอรรคมเหษีแล้ว พระทันตธาตุเล่าก็ได้กระทำสักการบูชารับรองเปนการโตใหญ่ แลได้ตั้งไว้ในวิหารซึ่งสร้างขึ้นเฉภาะ จึงได้ตกลงพระไทยที่จะรงับเหตุการอันนั้นเสีย เพื่อจะมิให้ต้องทรงรับว่า พระองค์ถูกการล่อลวง เมื่อทรงพระราชดำริห์ดังนั้นแล้ว จึงได้รับสั่งตอบว่า พระองค์มีพระไทยยินดีในการที่จะได้มีเกียรติยศเปนสัมพันธวงษ์ด้วยราชตระกูลกรุงแกนดี กับทั้งจะได้รับพระทันตธาตุนั้นด้วย แลขอบพระไทยพระเจ้ากรุงแกนดี เพื่อจะให้เปนเครื่องหมายแห่งความนับถือ จึงได้แต่งเรือกำปั่นบันทุกของเต็มลำส่งไปด้วยทูต พระองค์ให้แต่งเรือสองลำบันทุกเข้าแลผ้าต่าง ๆ อันมีราคาลำหนึ่งส่งไปยังดองยวง ลำหนึ่งส่งไปยังพระเจ้ากรุงแกนดี ลำที่ส่งไปถึงดองยวงนั้น ส่งพวกคนในบังคับโปรตุเกสทั้งหลายซึ่งได้จับไว้เปนชเลยไปด้วย ในพวกชาวโปรตุเกสเหล่านั้น มีผู้หนึ่งชื่อแอนตอเนียว โตสคาโน ซึ่งได้เปนผู้เล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ข้าพเจ้าฟังเปนหลายครั้ง เรือทั้งสองลำนั้นได้มาถึงเกาะลังกา เว้นไว้แต่ลำซึ่งสำหรับท่าเมืองแกนดี ถูกเจาะจมเสียก่อนที่จะได้ขนสินค้าขึ้น สิ่งของทั้งปวงก็สูญหมด ทูตก็จมน้ำตาย บางคนกล่าวว่าการอันนี้ได้ทำตามคำสั่งของดองยวง ถ้าเปนเช่นนั้นจริง ก็คงเปนความคิดของอำมาตย์กรมวังผู้ใหญ่ เพราะเหตุว่าเจ้าแผ่นดินนั้นไม่สู้เปนผู้เจ้าความคิดจริงจังอันใดในเรื่องนี้นัก การก็เปนอันจบกันอยู่เพียงนั้น”

คัดจากหนังสือ เตนเนนต์ ว่าด้วยเมืองลังกา หน้า ๒๑๕ ถึงหน้า ๒๒๑

พระทันตธาตุอื่นอิก

เตนเนนต์ได้กล่าวไว้ว่า “ชาวสิงหฬไม่มีความกระดากใจในการที่จะเพิ่มให้มากขึ้น ซึ่งพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า” กุบลายข่านซุ่นตี่ พระเจ้าแผ่นดินกรุงจีน ต้นวงษ์ปัจจุบันนี้ อันทรงพระเดชานุภาพยิ่งใหญ่ ให้มาทวงบรรณาธิการพระเจ้าหงษาวดี ทูตจีนนั้นเปนคนหยาบคาย พระเจ้าหงษาวดีไม่ฟังคำตักเตือนเสนาบดี จับทูตนั้นประหารชีวิตรเสีย กุบลายข่าน เจ้าแผ่นดินกรุงจีน ก็ยกมาตีเมืองพม่า เข้าตีปล้นพระนครอยู่ในประมาณพุทธศักราช ๑๘๒๔ จุลศักราช ๖๔๓ ให้ไปว่ากล่าวเอาจากพระเจ้ากรุงลังกา ได้พระทันตธาตุสององค์ กับทั้งพระเกษธาตุแห่งพระพุทธเจ้าซึ่งบรรจุในกล่องศิลาเปนอันงาม จดหมายอันนี้เปนของ มาโคโปโล เปนชาวเมืองเวนิสชอบเที่ยว ได้รับราชการอยู่ในกุบลายข่านหลายปี

คัดจากหนังสือเตนเนนต์ แต่งด้วยเรื่องเมืองลังกา เล่ม ๒ หน้า ๒๐๒

ความเห็นของข้าพเจ้าเอง

ในเรื่องเมืองลังกาที่ได้เกี่ยวข้องกับกรุงหงษาวดี ตามที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นนี้ พิเคราะห์เห็นว่าจะเปนเวลาแผ่นดินของพระมหาปิฎกธร ซึ่งรับพระนามภายหลังว่า พระเจ้าศรีสากยวงษ์ธรรมเจดีย์ มีเกี่ยวข้องกับเมืองลังกาเปนอันมาก เมื่อเทียบดูศักราชก็พลาดกันไปเล็กน้อย ในหนังสือราชาธิราช ลงจุลศักราชไว้ว่า เมื่อมหาปิฎกธรถวัลยราชจุลศักราช ๙๔๙ ปี เปนภายหลังพระเจ้าลังกาส่งนางที่อ้างว่าเปนราชธิดามานั้น ๒๑ ปี ถ้าจะเชื่อว่าศักราชในหนังสือราชาธิราชแน่ เวลานั้นก็คงจะเปนเวลาที่ว่างไม่มีเจ้าแผ่นดิน เพราะเวลานั้นเจ้าแผ่นดินหงษาวดีเปนสัตรี ตกขึ้นไปอยู่กรุงอังวะถึง ๒๒ ปี เห็นว่าไม่ควรที่จะเชื่อถือศักราชในหนังสือราชาธิราช ด้วยลงเลอะเทอะ ควรจะสอบได้ว่าไม่แน่หลายแห่ง ถ้าตกลงใจว่าเหตุการณ์อันกล่าวแล้วข้างต้นได้เกิดขึ้นในแผ่นดินพระเจ้าศรีสากยวงษ์ธรรมเจดีย์แล้ว ก็มีเรื่องราวที่พึงจะสอบกันได้ ดังจะกล่าวต่อไปนี้

ดูเหมือนจะดำรงราชย์ล่วงไปไม่ช้านัก คงจะเปนเพราะเหตุที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกมาก เห็นหนังสือต่าง ๆ ซึ่งชาวลังกาแต่ง พรรณาเรื่องราวเมืองลังกาวิเศษต่าง ๆ มีมหาวงษ์ แลทีปวงษ์ เปนต้น จึงได้แต่งให้พระสงฆ์แลช่าง มีพระพุทธโฆษาจารย์เปนประธาน ไปถ่ายอย่างปราสาทแลพระพุทธบาทวิหารต่าง ๆ แต่หาปรากฎว่าได้ไปปีใดชัดเจนไม่ แลเหมือนกันกับเมืองเรา ที่ไม่ได้รู้ชัดเจนมาแต่ก่อนว่าราชวงษ์เมืองลังกา ภายหลังที่กล่าวแล้วในหนังสือมหาวงษ์นั้นเปนอย่างไร รู้แต่ว่าเจ้าแผ่นดินยังมีอยู่ ฝรั่งมีอำนาจเกี่ยวข้องในบ้านเมือง แต่จะมีอาการเกี่ยวข้องกันอย่างใดก็ไม่ทราบความชัด ด้วยเหตุหลายประการ เพราะระยะทางไกลไปมายาก เพราะไม่รู้ภาษา เพราะไม่พอใจไต่ถาม ด้วยความปราถนาที่จะเกี่ยวข้องกับลังกา ย่อมมีความประสงค์อย่างเดียวแต่ที่จะสืบข่าวคราวพระพุทธสาสนา ค้นหาหนังสือซึ่งยังไม่มีบริบูรณ์มาเปนเครื่องเทียบทานหนังสือที่มีอยู่ จดหมายเหตุแห่งผู้ไปลังกา ย่อมเดินตามแนวหนังสือมหาวงษ์อันกล่าวล้วนแล้วแต่ด้วยเรื่องสาสนา ในจดหมายเหตุทั้งหลายที่เราได้เห็นย่อมกล่าวถึงเรื่องสากัจฉา คือโต้ตอบกันในเรื่องทางธรรมบ้าง ทางวินัยบ้าง เปนการอวดความรู้ภาษามคธฤๅบาฬี ซึ่งเปนภาษาตายด้วยกันทั้งสองฝ่าย อวดความรู้ที่ได้อ่านหนังสือมาก โดยแก้ปัญหาขัดข้องต่าง ๆ ให้ต้องตามธรรมวินัย ถ้าจะเปนการสนทนาเล่าบอกกันก็เปนแต่สาสนปวัติ ความเปนไปของพระสาสนาที่เปนอยู่ในเมืองแห่งตนแลตน ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยความมุ่งหมายในทางราชการฤๅทางค้าขายเลยทีเดียว ข้าพเจ้าได้พบผู้มีชื่อเสียงซึ่งได้ออกไปเมืองลังกา เช่นพระยาสุธรรมไมตรี (ห้อง) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ศรี) แลผู้น้อยอื่น ๆ อิก ได้ฟังเล่าบอกเรื่องราวก็ไม่มีอย่างอื่น นอกจากเรื่องสาสนา ถ้าเราจะถามถึงการบ้านเมืองอย่างใด ก็เล่าได้แต่เพียงการอยู่การกินแลการเดินทาง ในทางราชการฤๅการค้าขายแล้ว ไม่สามารถจะบอกอันใดได้เลย ข้าพเจ้าจึงสันนิฐานว่า เวลาที่มอญคบกับลังกาในตอนนี้คงไม่ผิดอันใดกับเรานัก

ทูตรามัญออกไปลังกาคราวแรกตามที่ได้กล่าวมานี้ ถ้าคิดระยะดู ก็ต้องเปนเวลาที่ย้ายจากเมืองอนุราธมาแล้ว ข้อที่ไปถ่ายอย่างต่าง ๆ เช่นที่กล่าวไว้นั้น เปนที่น่าสงไสยเปนอันมาก เพราะในที่อื่น ๆ นอกจากอนุราธปุระแล้ว หายากที่จะมีสิ่งใดในเมืองลังกาอันควรจะถ่ายอย่าง

ต่อมามีในจดหมายเหตุพงษาวดารรามัญนั้นว่า พระเจ้าหงษาวดีได้รับพระราชสาส์นจากพระนครต่าง ๆ ถามเชื้อวงษ์ เพื่อจะส่งธิดาไปถวาย พระเจ้าหงษาวดีมีพระราชสาส์นตอบ อุปมายกพระพุทธวงษ์ขึ้นเปนข้อเปรียบ ไม่แจ้งวงษ์ของพระองค์ แต่ตามหนังสือนั้นกล่าวว่า บรรดาเมืองทั้งปวงพอใจในสำนวนหนังสือของพระเจ้าหงษาวดี พระเจ้าเชียงใหม่เปนคนแรกที่ได้ส่งธิดาไปถวาย ตามข้อความนั้น เหมือนหนึ่งพระเจ้าเชียงใหม่ก็ดี ธิดาก็ดี เชื่อว่าพระเจ้าหงษาวดีองค์นี้จะได้เปนพระพุทธเจ้า อยากจะใคร่เปนพ่อตาแลเปนเมียพระพุทธเจ้า เมืองอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงก็ได้ส่งราชสาส์นไปถามปัญหา ตอบแก้ปัญหา ส่งเครื่องบรรณาการกันทุกเมือง

การซึ่งเกี่ยวกับเมืองลังกาที่กล่าวอิก ก็เรื่องถามปฤษณา ในว่าเปนพระเจ้ากรุงลังกาแต่งเรือสำเภาส่งมาให้ถามปฤษณา นับว่าเปนครั้งที่ ๒ ที่เรือลังกาได้มาถึงเมืองหงษาวดี ครั้งแรกนั้นคือมาแต่ครั้งพระยาอู่ เจ้าช้างเผือก เพราะเหตุที่เกียรติยศอันได้รับทูตลังกานี้มีช้านานครั้งหนึ่งดังนี้ จึงเปนที่ยินดีของพระเจ้าหงษาวดียิ่งนัก จัดการต้อนรับยิ่งกว่ารับทูตประเทศอื่น แต่ไม่ได้กล่าวถึงนางราชธิดา แลพระทันตธาตุที่ได้รับ ที่สุดจนทูตชั้นหลังที่มาจากเมืองแกนดี ก็ไม่ได้กล่าวถึง ชรอยจะเปนด้วยเรื่องกระดากใจ เพราะมีเหตุปรากฎกลับกลายไป เปนที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศ เพราะจดหมายเหตุในเมืองพม่ารามัญเหล่านี้ จะเอาเปนแน่แท้อย่างไรไม่ได้ ถ้าสิ่งใดที่เปนการเสียแล้วก็ไม่จดฤๅแก้เสียอย่างอื่น เช่นเมื่ออังกฤษมาตีเมืองพม่าคราวแรกเขาจดหมายว่า อังกฤษมาตีปล้นพระนคร พวกทหารออกสู้รบก็ไม่ได้ไชยชนะ เจ้าแผ่นดินแผลงธนูลูกทองคำออกไป ข้าศึกจึงได้ปลาศนาการไปทั้งสิ้น

ในตอนซึ่งว่าเกี่ยวข้องด้วยเมืองจีน ก็ได้มีในหนังสือพงษาวดารรามัญ ที่แปลเปนภาษาเราหลายตอน แต่ข้าพเจ้าสงไสยว่าจะมิใช่ตอนมหาปิฎกธรนี้ คงจะเปนตอนพระเจ้าราชาธิราช มีความเสียดายที่มิได้มีฉบับอังกฤษมาซึ่งมีศักราชแน่นอนกว่า แลเปนเรื่องพงษาวดารแท้ เก็บรวมทั้งพงษาวดารมอญแลพม่าอาสัม เรื่องราชาธิราชแปลเปนไทยนี้ ตรงกับชื่อที่เรียก คือต้องการจะกล่าวถึงพระเจ้าราชาธิราชองค์เดียว คือเนื้อความก็พระเจ้าราชาธิราชเปนนายโรงแห่งเรื่องหนังสือนี้ ที่กล่าวถึงผู้อื่นเปนแต่เรื่องประกอบเท่านั้น เมื่อพิเคราะห์ตามอาการกิริยาข้างพระเจ้าศรีสากยวงษ์ธรรมเจดีย์แล้ว เปนผู้สมควรที่จะต้องถูกลังกาหลอกเช่นนั้นแท้ทีเดียว

ข้อความทั้งนี้ เก็บมาจากหนังสือราชาธิราชตั้งแต่หน้า ๔๙๔ ถึงหน้า ๕๔๘

การเปิดพระทันตธาตุให้คนดู

พระทันตธาตุนี้รักษาอยู่ในที่ซึ่ง เรียกว่า ดาลาดามาลิกาวะ ณเมืองแกนดี ซึ่งเปนเมืองหลวงเก่าอยู่ในท่ามกลางเกาะ วิหารที่เก็บนั้นไม่ใหญ่โตอันใด ตั้งอยู่ในกำแพงพระราชวัง หันหน้าต่อทิศตวันตก มีลานปลูกหญ้าอยู่กลาง ด้านเหนือเปนเทวสถานพระเปนเจ้า ๔ องค์แลพระราชวัง ข้างทิศใต้เปนสระน้ำใหญ่ อิกฟากสระข้างหนึ่งตรงกันกับวิหารพระทันตธาตุ เปนที่ตั้งวัดบุบผาราม ไนยหนึ่งชาวลังกาเรียกมาลิวัตตวิหาร ซึ่งว่าพระอุบาลีเถระได้ผูกพัทธสิมาในที่นั้น แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ไป ด้านน่าของวิหารนั้น มีผนังแลซุ้มประตูศิลาลายสลัก ลวดลายทำนองเดียวกันกับโบโรบุโด ที่เมืองชวา แต่ข้าพเจ้ามีความสงไสยเปนอันมากว่าจะไม่ใช่ของทำขึ้นเฉภาะสำหรับที่นี้ น่าที่จะรื้อมาจากวิหารเก่าแห่งใดแห่งหนึ่งในเมืองอนุราธปุระซึ่งเปนมหานครโบราณตอนข้างฝ่ายเหนือของเกาะ ด้วยเหตุว่าเครื่องศิลาเช่นนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นแต่สามแห่ง คือเสาศิลาตั้งนาฬิกาแดดอยู่หลังเรือนที่เรียกว่า กวีนส์ เฮาส์ คือ เรือนเจ้าเมือง ที่เมืองโคลัมโบ มีจารึกไว้ว่า เซอ อารเทอ เอลิแบงก์ แฮฟว์ลอก ได้มาแต่อนุราธปุระ อิกแห่งหนึ่งที่ตำหนักเจ้าแผ่นดินลังกา มีศิลาเปนวงพระจันทร์ครึ่งซีก กลางสลักเปนกงรถสำหรับวางหน้าประตู อิกแห่งหนึ่งก็ที่วิหารพระทันตธาตุ ข้าพเจ้าจึงสันนิษฐานว่าจะเปนรอมาจากวิหารแห่งหนึ่งแห่งใดในเมืองอนุราธปุระ เมืองแกนดีนี้ชาวลังกาเรียกว่าสิงขันดะ เปนเมืองหลวงภายหลังเรื่องมหาวงษ์เหมือนกันกับพระทันตธาตุ ซึ่งมาภายหลัง ไม่ใช่เปนเจดียสถานเก่าซึ่งปรากฎในเรื่องมหาวงษ์ เมื่อสังเกตดูตามหนังสือต่าง ๆ ที่เขาได้แต่ง แลรูปที่เขาได้ถ่ายลอกจำลองมากับทั้งคำบอกเล่าของผู้มีบันดาศักดิ์ในประเทศนี้ ซึ่งควรเชื่อถือ ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ชาติลังกาเดี๋ยวนี้ ไม่เหมือนอย่างแต่ก่อน ฤๅเกือบจะมิใช่คนเชื้อวงษ์อันเดียวกันกับแต่ก่อน เปรียบประดุจเขมร ครั้งพระนครวัด แลเขมรในปัจจุบันนี้ ความคิดแลฝีมือทำการช่างต่าง ๆ เปนคนละอย่างคนละประเภท ถ้าจะหยิบเอาสิ่งซึ่งทำแต่โบราณ แลสิ่งซึ่งทำใหม่มาวางเข้าสองสิ่ง จะไม่ต้องกันเลยทั้งความคิดทั้งฝีมือ สามารถที่จะให้เข้าใจผิดว่า เปนคนละเมืองกันได้ เหตุทั้งนี้เปนได้ด้วยคนที่มาอยู่เมืองลังกาแต่ก่อน คงจะเปนเชื้อชาติชาวเมืองฝ่ายเหนือในชมพูทวีป ซึ่งมีความเจริญก่อนกว่าข้างใต้ ลงมายังเกาะนี้ด้วยเรือแล้วตั้งอยู่ เช่นที่ปรากฎในเรื่องมหาวงษ์ นำฝีมือช่างแลความคิดข้างฝ่ายเหนือลงมาด้วย พวกนี้เองได้แผ่พ่านไปจนกระทั่งถึงเกาะชวา ฝีมือจึงได้ละม้ายคล้ายคลึงกัน เมื่อภายหลังตั้งเปนบ้านเมืองขึ้นแล้ว ชนในชมพูทวีปฝ่ายใต้อาศรัยความบริบูรณ์ของเกาะนี้ ไปมาค้าขาย แลลงมาตั้งอยู่มากขึ้นทุกที เมื่อเกิดการจลาจลขึ้นในเมือง บางคราวก็มีอำนาจแซกแซงขึ้นเปนเจ้านายได้ ความคุ้นเคยแลความนับถือกันแลกันกับคนในพื้นเมืองที่มาแต่ฝ่ายเหนือก็เจริญขึ้น จนถึงอาวาหวิวาหมงคลกันแลกัน เกิดบุตรแลหลานกลายเปนชาติชาวลังกาขึ้นใหม่อิกอย่างหนึ่ง ซึ่งจะเรียกว่าชาวลังกาแท้ก็ได้ ภายหลังเมื่อเกิดจลาจลอันใด ฆ่าฟันกันตายไปมาก ๆ พวกในชมพูทวีปข้างใต้ก็เพิ่มเติมมากขึ้นตามลำดับ ข้าพเจ้าได้ทราบจากผู้ที่ควรเชื่อบอกว่าคนในเกาะลังกา เดี๋ยวนี้น้อยกว่าแต่ก่อนเปนอันมาก ที่เมืองอนุราธปุระยังค้นพบรอยซึ่งเปนที่คนอยู่ กว้างออกไปเสมอมิได้ขาด ข้าพเจ้าจะยังไม่กล่าวยืดยาวในเรื่องนี้ ด้วยเหตุว่ายังไม่สมควรจะกล่าวเลย เพราะยังไม่ได้ไปเห็นเมืองอนุราธปุระ ซึ่งเปนเมืองมีการก่อสร้างอันวิเศษของโบราณ น่าที่จะดียิ่งกว่าเกาะชวาเปนอันมาก ที่กล่าวบัดนี้ เพื่อจะรวมความว่าเมืองลังกาตอนกลางลงมาหาใต้ ซึ่งข้าพเจ้าได้มาอยู่บัดนี้ ไม่เปนถิ่นที่ซึ่งกล่าวไว้ในคัมภีร์มหาวงษ์ ซึ่งเราทั้งหลายมีความพิศวงเลื่อมใสเปนอันมากนั้น พระทันตธาตุนี้ ไม่เปนสิ่งสำคัญ ซึ่งเรามีน้ำใจชื่นชมยินดีต่อมาแต่ก่อน เปนการสมควรแท้จริง เมื่อได้เห็นถิ่นที่ แลได้เห็นสิ่งของทั้งปวง ก็ไม่เปนเครื่องที่น่าพิศวงฤๅน่าเลื่อมใสอันใด อากูลมูลมองไปด้วยสิ่งแลด้วยเรื่องที่จะพึงน่ารังเกียจฤๅน่ากระดากใจหลายประการอันไม่ควรจะกล่าวในที่นี้

เมื่อจะกล่าวถึงวิธีซึ่งเปิดพระทันตธาตุให้คนดูฤๅนมัสการ ก็จะต้องข้ามเรื่องที่จะพรรณาถึงเหตุการเหล่านั้นเสีย กล่าวต่อไปว่า พระทันตธาตุนั้นร้อยอยู่ในห่วงลวด ซึ่งปักอยู่ในกลางดอกอุบลทำด้วยทองคำ มีพระเจดีย์ครอบเปนชั้น ๆ จนถึงชั้นในที่สุดเปนกล่องประดับเพ็ชรพลอย พระเจดีย์บางองค์ใน ๗ ชั้นนั้น ประดับเพ็ชรพลอยงามดี องค์นอกที่สุดมีสังวาลหลายอย่าง สังเกตได้แต่ว่าเปนอย่างพม่านั้นสายหนึ่งสวมอยู่ สัณฐานพระทันตธาตุก็ไม่ผิดอันใดกับที่จำลองนัก แต่จะเปนด้วยเก่า ฤๅด้วยจะเปนสีดอกพิกุลแห้ง จึงได้มีสีคล้ำมัว เหมือนงาที่ทำเครื่องมืออันใช้เก่า ๆ แต่ไม่เปนสีเดียวเสมอกัน ที่ซึ่งเก็บนั้นเปนห้องไม่มีหน้าต่าง มีแต่ประตูด้านเดียว มีประแจสามดอก ผู้ซึ่งรักษาซึ่งเรียกว่า ระเตมะหัตตะเมยะ ซึ่งแต่งตัวนุ่งผ้ายาว ๒๗ วาเก็บดอกหนึ่ง พระเก็บสองดอก ในนั้นมีสิ่งอื่น ๆ ที่มีราคาหลายอย่าง แต่ยากที่จะเห็นได้ถนัด เพราะมืดต้องจุดไฟ แลไม่จุดหลายดวงนัก ดูเหมือนเจ้าพนักงารผู้รักษาจะพอใจให้เปนเช่นนั้นด้วย การที่จะบูชาด้วยประทีป ย่อมไม่สู้เปนที่ต้องใจของผู้รักษา ข้าพเจ้าได้เห็นหนังสือเขียนด้วยลานทองสองผูก ผูกหนึ่งซึ่งเข้าใจว่า ส่งไปแต่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐกรุงสยาม ๑๕๐ ปีเศษมาแล้วนั้น ข้าพเจ้าได้พลิกดูร้อยลานกลับต้นเปนปลาย เขียนด้วยอักษรขอม ขึ้นต้นเปนวิธีอุปสมบทแล้วกฐิน ผูกแลถอนสิมา ข้างปลายมีบานแพนกเขียนแปลร้อยได้คำที่จารึกนั้นมา ศักราชลงว่า ๑๐๐๐๕ ถ้าจะเข้าใจโดยคำว่าพันห้า ก็เปนก่อนเวลาแผ่นดินพระเจ้าบรมโกษฐ แลทั้งสังเกตดูถ้อยคำในนั้น ประกอบด้วยรูปตัวอักษรเห็นเปนหนังสือขอมที่เขมรเขียน หาใช่ไปจากกรุงสยามไม่ อิกผูกหนึ่งนั้นไม่ได้ดู ด้วยผู้รักษาหวงแหนเหลือเกิน ราวกับว่าผู้หนึ่งผู้ใดจะวิ่งราวไปจากที่นั้น ยังมีพระแก้วอิกองค์หนึ่ง ซึ่งหน้าตักประมาณสัก ๔ นิ้ว สังเกตดูไม่ใช่ฝีมือลังกา สีคล้ายมรกฎส่องโปร่ง มีที่ชำรุดบ้าง จะสังเกตว่าเปนเนื้อศิลาฤๅอันใดก็ยากด้วยสว่างไม่พอ แลเขาไม่สู้จะให้ดูนานนัก ทั้งในห้องนั้นก็ไม่มีทางลมซึ่งจะหายใจได้มาก คนก็เข้าไปเต็มแน่น ถ้าผู้ใดขืนอยู่ช้าก็อาจจะเปนลมได้ ด้วยต้องการลมสำหรับหายใจ ข้าพเจ้าได้คัดคำบานแพนก ในคัมภีร์นั้นมาลงไว้ในที่นี้ ด้วยเห็นว่าการที่คัดนั้นมิใช่ง่าย ต้องทำทุกกระกิริยาเปนอันมาก

การที่จะเปิดพระทันตธาตุให้คนดูเปนการเปิดเผยนั้น นาน ๆ มีครั้งหนึ่ง ในเวลาเมื่อพระเจ้าแผ่นดินลังกายังมีอยู่ เปิดครั้งหลังที่สุดแผ่นดินพระเจ้ากฤตติสิริ ในราวพุทธศักราช ๒๓๑๘ จุลศักราช ๑๑๓๗ เปนปีที่พระอุบาลีเถระกับราชทูตกรุงสยาม ตามคำเชื้อเชิญของพระเจ้ากฤตติสิริ ให้ไปสืบสาสนวงษ์ในเมืองลังกา เพราะเวลานั้นพระสงฆ์ในเมืองลังกาสาบสูญสิ้นไป พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐจึงได้ทรงจัดพระสงฆ์ ๑๐ รูปกับทูตานุทูต ให้เชิญพระพุทธรูป พระธรรม แลพระราชสาส์นออกไป ซึ่งจดหมายรายระยะทางของราชทูต แลวิธีซึ่งเชิญพระทันตธาตุออกให้ราษฎรดูอย่างไร ยังมีอยู่ในห้องอาลักษณ์ แลได้ลงพิมพ์ในหนังสือวชิรญาณ แต่จะเปนฉบับใดข้าพเจ้าจำไม่ได้ ต่อมาอิกมีครั้งหนึ่งเมื่อพุทธศักราช ๒๓๗๑ จุลศักราช ๑๑๙๐ แลเมื่อไม่กี่ปีนี้อิกครั้งหนึ่ง การที่เปิดให้คนดูเช่นนี้ เพื่อประสงค์จะได้เงินปฏิสังขรณ์ที่วิหารพระทันตธาตุ ชนชาวสิงหฬทั้งปวงย่อมพากันแตกตื่นไปนมัสการ แลเข้าเรี่ยรายทั่วทั้งสกลลังกาทวีป

ในระหว่างซึ่งมิได้มีการเปิดให้คนนมัสการมากเช่นนั้น ย่อมเปิดให้ผู้มีบันดาศักดิ์ต่างประเทศสำคัญ ๆ ดูบ้างเปนครั้งเปนคราว แต่โดยปรกติที่เปิดให้ชาวลังกาบูชานั้น เปนแต่ไปนมัสการภายนอก หาได้เห็นองค์พระทันตธาตุไม่

เมื่อจะกล่าวตามคนต่างประเทศเขากล่าว ที่เขาได้พิจารณาวาดเขียนจำลองถ้วนถี่ เขาว่าทำด้วยงาช้างซึ่งเสียสี เปนของพระเจ้าวิกรมพาหุคิดทำขึ้น ไม่เปนสัณฐานพันธุ์มนุษย์ เพราะสิ่งที่จริงแท้นั้น โปรตุเกสได้ทำลายเสียที่เมืองคัวดังได้กล่าวมาแล้ว แต่ตามความเห็นของข้าพเจ้าเห็นว่า ถึงพระทันตธาตุซึ่งว่าโปรตุเกสทำลายเสียนั้น จะเชื่อว่าแท้ก็ไม่ได้ ด้วยพาไปซ่อนเร้นหมกฝังเสียเปนหลายครั้งมาแล้ว

แห่เประหะระ

พระเจ้าแผ่นดินในลังกาชั้นหลัง ๆ ลงมา ย่อมเปนเชื้อสายแห่งฤๅเปนฮินดู่โดยมาก เพราะฉนั้นในเมืองแกนดีจึงได้มีเทวสถานอย่างฮินดู่เปนอันมาก เปนธรรมเนียมที่ต้องแห่พระเปนเจ้าของฮินดู่ทุกปี ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพระพุทธสาสนา ครั้นเมื่อพุทธศักราช ๒๓๑๘ พระเจ้ากรุงลังกาได้เชิญพระสงฆ์กรุงสยาม ออกไปให้อุปสมบทชำระพระพุทธสาสนา ให้พระสงฆ์ประพฤติอยู่ในศิลบริสุทธิ์อย่างสูงเสร็จแล้ว พระอุบาลีเถระเจ้าได้ยินเสียงอื้ออึงตระเตรียมการที่จะแห่พระเปนเจ้าฝ่ายฮินดูดังนั้น จึงได้ถวายพระพรแก่พระเจ้าแผ่นดินในเวลาเย็นวันนั้นว่า ควรที่จะเชิญพระสถูปขึ้นประดิษฐานเหนือช้างพระที่นั่งแห่ไปหน้าพระเปนเจ้าทั้งหลาย เพื่อให้การบูชาทั้งหลายนี้เปนพุทธบูชา แต่พระสงฆ์ทั้งปวงหาได้เข้ากระบวนแห่ฤๅช่วยจัดการอันใดไม่ นอกจากให้ยืมช้างวัดแลพระเจดีย์ ซึ่งทำประหนึ่งว่าทรงพระทันตธาตุ แต่หาได้มีพระทันตธาตุในนั้นไม่ กับทั้งมณฑปเงินก้าไหล่ทอง ซึ่งเปนที่ประดิษฐานพระเจดีย์

กระบวนแห่นี้ได้แห่เปนเวลากลางคืนสว่างไปด้วยแสงไต้ ประโคมสังข์แตรฆ้องกลองปี่ แลมีคนโลดเล่นเต้นรำไปในกระบวน ช้างที่ทรงพระเจดีย์นั้น ปกคลุมไปด้วยผ้าสักหลาดแดงติดขลิบทอง ที่ผ้าคลุมหน้าใต้โขมดลงมาปักไหมทองเปนพระพุทธรูปนั่ง มีเครื่องสูง บังสูรย์ จามร ทำด้วยแพรสีต่าง ๆ แต่รูปร่างไม่เหมือนเครื่องแห่ของเรา เหมือนตาลิปัตรวินัยธร วินัยธรรมหัวเมือง ฤๅสมุห์ใบฎีกาบ้างต่าง ๆ เมื่อข้าพเจ้าไปเขาก็จัดการแห่นี้ขึ้นให้ดูเปนการพิเศษ แลแห่ผ่านมาหน้าที่อยู่ แต่ข้าพเจ้าหาได้ออกไปดูไม่ ซึ่งกล่าวถึงได้ดังนี้ เพราะเขาจัดมาเรียงรายตามทางพร้อมทั้งเครื่องประโคมต่าง ๆ ตลอดสองข้างทาง ในเวลาที่จะขึ้นไปบนวิหารพระเขี้ยวแก้วนั้นด้วย

เรื่องพระสงฆ์ลังกา

เวลาที่ข้าพเจ้าไปอยู่น้อยนัก ไม่พอที่จะไต่สวนอันใด อาไศรยแต่สังเกตด้วยตา แลฟังคำเล่าบอกบ้างเล็กน้อย คงได้ความว่าแยกหมู่แยกคณะกันเปนอันมาก ไม่มีผู้ใดเปนใหญ่บังคับบัญชาทั่วไป ฝ่ายอาณาจักรก็มิได้เกี่ยวข้องอันใดในการสาสนา เขามิได้รื้อถอนคุมเหงเหมือนครั้งโปรตุเกส แต่อาศรัยที่ไม่มีผู้ใดจะตราสินข้อที่ถูกที่ผิด หมู่ใดมีทิฏฐิอย่างใดก็ประพฤติตนไปตามทิฏฐิตน ที่เปนหมวดใหญ่ฤๅต่างวงษ์กันอยู่นั้นสามจำพวก คืออุบาลีวงษ์ ฤๅนัยหนึ่งเรียกว่าสยามวงษ์นี้มากทั่วไปทั้งเกาะ พวกที่สอง คือ อมรปุรวงษ์ฤๅมรัมมะวงษ์ พวกพม่าพวกหนึ่ง มักจะอยู่ตามชายทเลฝ่ายใต้ พวกที่สาม คือรามัญวงษ์ตั้งขึ้นใหม่ ก็ตั้งอยู่ตามชายทเลเหมือนกัน ในสามพวกนี้แบ่งกันออกไปอิก พวกละหลาย ๆ คณะ ไม่อยู่ในบังคับกัน มีทิฏฐิต่าง ๆ กัน เปนต้นว่า พวกอุบาลีวงษ์โดยมากไม่ห่มคลุมเลย จะไปแห่งหนึ่งแห่งใดก็ห่มพาดควายเท่านั้น ไมใช้ราตคดอก อิกพวกหนึ่งห่มคลุม แลเลิกผ้าขึ้นข้างล่างเหมือนอย่างพระมหานิกาย ในสองพวกนี้ก็เถียงกัน ข้อที่เถียงนั้นก็เลวทรามเต็มที พวกที่ไม่ห่มคลุม อ้างว่าไม่เห็นรูปพระพุทธเจ้าที่ทำไว้แห่งไรห่มสองไหล่ พวกที่ห่มคลุมแต่เลิกผ้าข้างล่าง ทราบลัทธิธรรมยุติกาในกรุงเทพฯ บ้าง ค้นวินัยพบลงเนื้อเห็นด้วยว่าไม่สู้เปนปริมณฑล เปลี่ยนแปลงแหวกผ้าทางลูกบวบยกลูกบวบขึ้นบ่า แต่คงม้วนขวาอยู่ตามเดิม แต่พวกอื่นห่มอย่างรามัญ คือม้วนซ้ายแต่ไม่ยกผ้าชายในขึ้นบ่าฤๅอย่างไร พาดขึ้นไปบนบ่าแล้วแลเห็นผิดกันกับธรรมยุติกา ที่ห่มคล้ายธรรมยุติกามีอยู่น้อยองค์ ที่ได้เข้ามากรุงเทพฯ ข้างฝ่ายรามัญถือไม่ใช้รองเท้าไม่กั้นร่ม ใช้แต่ใบตาลป้องศีร์ษะไม่ห่มแพร พวกไม่ห่มคลุมนั้น มักใช้จีวรแพรต่วนเหลืองอนุวาตเล็ก ๆ กั้นร่มแพร สวมรองเท้าอยู่ข้างจะสูง คนในเกาะลังกาย่อมสรรเสริญพระรามัญนิกาย มากกว่านิกายอื่น ๆ พระสงฆ์ข้างฝ่ายเมืองแกนดีไม่สู้เอื้อเฟื้อในการสั่งสอนมาก ข้างฝ่ายท่าอยู่ข้างจะเอื้อเฟื้อแลรู้ตื้นลึกหนาบาง อุบาลีวงษ์บางนิกายโกนคิ้ว ดูอาการกิริยาคล้ายพระกรุงเทพ ฯ เห็นว่าต้องการอยากจะประพฤติเหมือนพระในกรุงมาก ข้อเถียงกันต่าง ๆ มีมากนัก ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวในที่นี้ การปกครองฝ่ายอังกฤษถือเหมือนราษฎรสามัญ ข้าพเจ้ามีความสงไสยมาก ว่าถ้าทำผิดด้วยอาณาจักรไม่ถึงปราชิกแล้ว เขาจะลงโทษทั้งเพศสมณะฤๅประการใด แต่ครั้นเมื่อถามขึ้นก็กลั้นหัวเราะไม่ได้ ด้วยไม่ควรจะเขลาเช่นนั้นเลย คือเมื่อทำผิดอันใด ที่โทษควรจำคุก เขาก็ให้เสื้อกางเกงที่สำหรับคนคุกแต่ง จะสึกฤๅมิสึกก็ตามใจ เมื่อต้องสวมเสื้อกางเกงแล้วก็เปนพระต่อไปไม่ได้อยู่เอง ๚

เรือพระที่นั่งจักรกรี

ในมัชฌันตรวิถี ทเลอาหรับ

วันที่ ๒๗ เมษายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๖

ศักราช ๑๐๐๐๕ สังเขปพระราชโองการ รามาธิบดีศรีสินทร ภูมินทรวเนศวร กัมพลกัมพุชาธิราช บรมราชบรมบพิตร ควรนสังเขป พระจักรวัติศรีสินทร ยโสธรบรมราชชายามหาอรรคมเหษี พระพิธรณินธรเชษเชษฐ สัทธาสาสนลิขิตักษร สุวัณณปัตตกัมมวาจา นิพพานปัจจโยโหตุ อนาคเตกาเล จิรํติฏฐตุสัทธัมโม ๚

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ