เรื่องเที่ยวน้ำตกเจ้าอนัมก๊กที่เกาะกูด

พระนิพนธ์

สมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงษ์วรเดช

๏ ที่เกาะกูด (ระหว่างเกาะช้างแลเกาะกง) อันตั้งอยู่ใกล้ชายทเลฝั่งตวันออกแห่งอ่าวสยามนั้น มีคลองแลลำธารน้ำจืดใหญ่เล็กต่าง ๆ เปนอันมาก แทบจะว่าได้ว่ามีทุกอ่าวโดยรอบของเกาะนั้น คลองแลลำธารน้ำจืดเหล่านั้นย่อมมาจากที่น้ำตก น้ำพุน้ำซับต่างๆ กันเปนธรรมดา ในตำบลที่มีน้ำตกใหญ่ในเกาะนี้แห่งหนึ่ง ชาวเกาะเรียกว่า “น้ำตกเจ้านำกก” แต่เมื่อไล่เลียงถึงเหตุผลแห่งชื่อนี้แแล้ว ได้ความว่าเดิมนานมาแล้ว มีเจ้าญวนองค์หนึ่ง หนีจากบ้านเมืองของตนมาอาไศรยอยู่ที่ตำบลนั้น บางทีจะเปนครั้งองเชียงสือเจ้าเมืองไซ่ง่อนประเทศญวน หนีกองทัพองไกเซินเจ้าเมืองกุยเยิน เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ณกรุงเทพพระมหานครอมรรัตนโกสินทรนี้ เมื่อปีขานจัตวาศกจุลศักราช ๑๑๔๔ ตามที่ปรากฎในพระราชพงษาวดารว่า “ในปีขานนั้น ฝ่ายข้างแผ่นดินเมืองญวนองไกเซินเจ้าเมืองกุยเยินยกกองทัพมาตีเมืองไซ่ง่อน องเชียงสือเจ้าเมืองยกพลทหารออกต่อรบต้านทานมิได้ ก็แตกฉานพ่ายแพ้หนีทิ้งเมืองเสีย พาบุตรภรรยาแลขุนนางสมัคพรรคพวกลงเรือแล่นหนีมาทางทเล ขึ้นอาไศรยอยู่เกาะโดดน่าเมืองพุทไธมาศ ครั้นพระยาราชาเศรษฐี พระยาทัศดาได้แจ้ง จึงแต่งคนไปเจรจาเกลี้ยกล่อม ได้ตัวองเชียงสือกับทั้งสมัคพรรคพวกมาสิ้นแล้ว บอกส่งเข้ามาถวายณกรุง ฯ ทรงพระกรุณาให้เลี้ยงไว้ โปรดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบล “คอกกระบือ” แต่คำที่ว่า “เกาะโดดน่าเมืองพุทไธมาศ” นั้นดูเลือนอยู่สักหน่อย เมื่อคิดดูตั้งแต่สมัยโน้นถึงสมัยนี้ นับปีก็นานมาแล้วถึง ๑๓๓ ปี ๑๑๔ ปี สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเรียกชื่อเกาะชื่อตำบลไปได้ต่าง ๆ ฤาองเชียงสือจะไปอาไศรยอยู่ตามเกาะหลายเกาะ แลเกาะกูดนี้ก็มาพักอยู่ด้วยก็เปนได้ ฤาผู้จดหมายเหตุเดิมจะเข้าใจผิดกันไปอย่างใดก็เปนได้หลายประการ คงเปนสันนิฐานได้แลปรากฏว่า องเชียงสือเจ้าญวนองค์หนึ่งได้หนีจากเมืองญวน มาอาไศรยอยู่ในเกาะหนึ่งอันตั้งอยู่ในอ่าวสยาม ถ้าองเชียงสือได้มาที่เกาะกูดนี้ด้วย ก็จะสมเหตุผลแลเรื่องราวกันได้ทุกประการ จึงสันนิฐานว่าเดิมน้ำตกตำบลนี้ จะเรียกฤาที่ถูกควรเรียกว่า “น้ำตกเจ้าอนัมก๊ก” หากแต่ชาวเกาะแลผู้ไปมาภายหลังจำไม่ได้ฤาพูดไม่ชัด ก็พลาดพลั้งผิดเพี้ยนกันต่อมาจงเลือนเปน “นำกก” ไป ถ้าการเปนจริงตามนี้ก็นับว่าเกาะกูดนี้เปนเกาะสำคัญอันเปนที่รฦกแลเกี่ยวข้องกับพระราชพงษาวดารได้ตำบลหนึ่ง ทั้งนี้ก็ต้องแล้วแต่ผู้อ่านจะดำริห์การดูต่อไป

น้ำตกเจ้าอนัมก๊กนี้ตั้งอยู่ระหว่างเขา ๒ ลูกในเกาะนั้น ด้านนอกทิศตวันตกตรงอ่าวแห่งหนึ่งเรียกว่า “อ่าวเจ้าอนัมก๊ก” เหมือนกัน ตั้งอยู่ระหว่างลัดติจูด ๑๑ กับ ๑๙ ดีกรี ลองติจูด ๑๑๒ กับ ๓๐ ดีกรี เกือบจะเปนกลางเกาะนั้น แลอ่าวนั้นน้ำฦกเรือกลไฟใหญ่เข้าทอดได้ใกล้ แลไม่มีเกาะกำบังฤาโสโครกใต้น้ำอันใด เมื่อแลจากเรือไปที่เกาะดูเปนเทือกเขา ติดต่อกันยืดยาวโค้งไปข้างซ้ายสุดเกาะ แลเห็นเกาะไม้ซี (เกาะกูด) แลเกาะหมากเปนเทือกยาวสกัดอยู่ไกล แลเกาะช้างอยู่ลิบ ๆ ข้างขวาแลเห็นปลายเกาะกูดนั้นเองเปนสันตั้งยาวไป แต่ไม่สูงเหมือนด้านในทิศตวันออก

ในอ่าวเจ้าอนัมก๊กนั้น ข้างเหนือมีไหล่เขายื่นเปนแหลมเล็กออกมาหน่อยหนึ่ง มีก้อนศิลาใหญ่เล็กออกมาบ้างด้วย แลมีหาดทรายยาวขวางอยู่ เมื่อจะไปที่น้ำตกนั้น เดินเรือเล็กไปใกล้แหลมน้ำฦกเปนร่องไปตามท้องคุ้งเขาแห่งแหลมนั้น แล้วเลี้ยวหาดทรายที่ขวางยื่นอยู่เขนแหลมอ้อมวงไป ข้างในมีคลองใหญ่กว้างประมาณ ๘ วา เรียกว่า “คลองเจ้าอนัมก๊ก” เหมือนกัน ในที่นั้นมีเรือเป็ดทเลชำรุดอยู่บนโขดข้างซ้ายมือลำหนึ่ง ได้ความว่าเรือลำนั้น เมื่อปีกลายนี้มีพวกลูกจีนพาเรือมาที่ตำบลนั้นหลายลำ แลเจ้าของเรือลำที่ชำรุดอยู่ที่นั้นชื่อ “บ๊วย” ไปแทงปลากะเบน มีจรเข้เข้ากัดตาย พวกที่ไปเหล่านั้นแย่งเรือกันไม่ตกลงจึงต้องทิ้งเรือไว้ที่นั้น

ในคลองเจ้าอนัมก๊กต่อนั้นไป กว้างใหญ่เข้าไปไกล น้ำฦกมาก บางแห่งประมาณถึง ๗ วา ๘ วา สองฟากล้วนแล้วด้วยต้นกงกาง แรกเข้าไปเปนน้ำเค็มแลกร่อย ๆ เข้าไปทุกที แลลดเลี้ยวอ้อมเชิงเขาข้างขวามือไปจนถึงปากลำธาร อันมีศิลาก้อนใหญ่เล็กต่างๆ เรือต้องเลี้ยหลีกก้อนศิลาไปประมาณสักเส้นหนึ่ง จึงถึงที่ปลายธารน้ำตกเปนที่สุดของคลอง ตัวลำธารนั้นแยกเปนสองทาง ๆ ใหญ่ที่จะไปน้ำตกกว้างประมาณ ๕ วา ๖ วา คิดระยะทางตั้งแต่ปากคลองมาถึงที่สุดคลองนี้ประมาณ ๑๐๐ เส้น ลักษณะของคลองนั้นดูคล้ายคลึงกับคลองไปเมืองตราด

เมื่อเราจะขึ้นไปที่น้ำตกนั้น ต้องปีนป่ายไปตามก้อนศิลาฤาพืชศิลาฤาลุยน้ำไปตามลำธารใหญ่นั้นดูง่ายกว่าอย่างอื่น ทั้งจะได้ดูน้ำไหลเปนท่าทางแปลกปลาดต่าง ๆ กันด้วย การที่จะไปตามลำธารนั้นไม่สู้ยากนัก เพราะศิลาไม่ลื่นแลนำไม่ฦก อย่างฦกเสมอเพียงเข่า ลำธารนั้นกว้างประมาณ ๗ วาโดยมาก บางแห่งถึง ๑๐ วา ๑๒ วาก็มี เมื่อจะกล่าวถึงทางบกถ้าได้มีเวลาทำทางไปแล้ว จะไปได้โดยง่ายแลเร็วกว่าเดินไปตามลำธารมาก ถ้าจะตัดทางก็จะทำได้โดยง่าย เพราะเราได้ลัดขึ้นบกไปบ้างก็เปนป่าโปร่งแลต้นไม้เล็ก ๆ ทั้งสิ้น การที่เดินไปตามลำธารดังนี้ประมาณสัก ๔๐ เส้น ๕๐ เส้น ก็ถึงที่น้ำตก เมื่อก่อนจะถึงประมาณ ๒ เส้น ๓ เส้น ได้ยินเสียงแลเห็นน้ำตกกว้างใหญ่ตามช่องไม้ก่อน เมื่อถึงน้ำตกนั้นมีก้อนศิลาใหญ่ ๆ เปนขอบสระที่รองรับน้ำตก สระนั้นกว้างใหญ่รีหน่อยเกือบจะกลมประมาณ ๒๐ วาแล ๒๕ วา น้ำฦกมากประมาณ ๕ วา ๖ วา เห็นจะได้ แลไม่เห็นมีก้อนศิลาในกลางสระนั้นเลย ขอบสระข้างขวามือเข้าไปเปนเขาลาดชันขึ้นไปโดยรอบ ข้างซ้ายมือก็เปนเขาเหมือนกันแต่ชันตรง ข้างล่างใกล้ ๆ น้ำเปนชวากรียาวเข้าไปคล้ายถ้ำฤาเพิงผา อันประดับด้วยต้นไม้แลหญ้าสีเขียวงดงามดี แลมีแห่งศิลาใหญ่รูปรีสี่เหลี่ยมก้อนหนึ่ง อยู่ริมต้นไม้ใหญ่กว้างประมาณ ๓ วา ๔ วา สูงพ้นน้ำประมาณ ๖ ศอก คล้ายแท่น ถ้าจะปลูกศาลาฤาเรือนบนนั้นสำหรับนั่งดูน้ำตกแลเปนที่พักก็จะสบายดี ฤาจะทำพลับพลาจะเหมาะดีอย่างยิ่ง

ตัวที่น้ำตกนั้นตรงกับลำธารมีน้ำตกจากเชิงผาสองทาง ๆ ข้างขวาใหญ่แพร่กว้างประมาณ ๓ วาเศษ มีชั้นศิลาใหญ่น้ำกระทบชั้นหนึ่ง ทำให้น้ำกระจายเปนฝอยฟองงามมาก ทางข้างซ้ายเล็กประมาณ ๒ วา ตกพุ่งแพร่ลงมาเหมือนกัน แลทางน้ำตกทั้งสองทางนั้น มีน้ำไหลบ่าออกจากช่องศิลาเล็กอิกสองสาย น้ำที่ตกลงถึงในอ่างทุกทางกระจายแพร่ออกเกือบจะจดกัน เพราะฉนั้นน้ำที่ตกรวมกันทั้งสองทางนี้จะแลเห็นกว้างประมาณ ๗ วา ๘ วาสูงประมาณ ๖ วาเศษ ในระหว่างเชิงผาที่น้ำตกนั้นเปนเพิงโพรงลดหลั่นต่างกันคล้ายถ้ำน้ำ แลมีก้อนศิลาใหญ่เล็กหลุดลอยก่ายกองอยู่ตามนั้นมาก น้ำตกแรงพุ่งแพร่ครอบเพิงแลชวากเหล่านั้น ทำให้ข้างในโปร่ง สามารถที่ผู้อาบจะเข้าไปใต้น้ำตกได้เหมือนอยู่ในครอบแก้ว ถ้าได้ตัดทางเลียบเชิงเขาขอบสระทั้งสองข้างไปที่น้ำตกแล้วจะสดวกง่ายดี ทั้งจะเปนที่สนุกที่จะได้ปีนป่าย แลชมสถานที่เกี่ยวข้องกับน้ำตกแลถ้ำเพิงต่าง ๆ นี้ได้ทั่วไป

ตอนข้างบนเหนือเชิงผาตรงที่น้ำตกนั้น ดูข้างล่างเปนที่ว่างเกลี้ยงไม่มีต้นไม้กว้างใหญ่ มีแต่ศิลาพืชคล้ายแท่นยาว ๆ เปนแห่ง ถ้าจะไปเที่ยวบนนั้นต้องปีนเขาขอบสระข้างขวามือที่ชันนั้นตัดอ้อมขึ้นไปได้ อยู่ข้างลำบากหน่อยหนึ่ง แต่ทางไม่สู้ยาวไม่สู้สูงนัก ถ้าทำทางดีแล้วก็จะขึ้นได้ง่าย ข้างบนนั้นก็เปนลำธารกว้างใหญ่เช่นที่กล่าวมาแล้วเหมือนกัน แลมีพืชศิลาบ้างก้อนศิลาบ้างต่าง ๆ กัน ระหว่างตรงที่น้ำตกสองทางนั้น มีพืชศิลาเปนสองชั้น คล้ายเก้าอี้ยาว นั่งดูน้ำตกได้ใกล้สบายดี แลมีก้อนศิลาที่สุดข้างน้ำตกทางเล็กยื่นออกไป สำหรับนั่งดูน้ำตกข้าง ๆ ได้ดีตลอดไปด้วย ในลำธารชั้นบนนั้นมีต้นไม้ตายเล็ก ๆ บ้าง นอกนั้นเปนหญ้าแลตะไคร่น้ำในน้ำอย่างที่ไม่ฦกบ้าง กรวดทรายบ้าง มีน้ำตื้น ๆ เปนห้วง ๆ ทาง ๆ ตลอดไป ลำธารอย่างนี้ต่อขึ้นไปอิก ๒ เส้น ๓ เส้น ก็ถึงทางเล็กแยกเปนสองทาง แท้จริงต่อไปอิกหน่อยหนึ่งก็รวมกันเปนธารใหญ่อิก ในระหว่างสองข้างทางนั้นเปนเกาะยาวรีไม่สูงจากน้ำนัก มีต้นไม้ใหญ่เล็กโปร่ง ๆ ตัวธารชั้นบนดูน้ำไหลอ่อน ๆ บางแห่งไหลลงจากเทือกศิลาเปนกะพักแลตามซอกแซกเปนแห่ง ๆ ดูลำธารนั้นเรียวย่อมแลลาดตกต่ำต่อไป ชาวเกาะว่าลำธารนี้ยืดยาวต่อไปตามหว่างเขา แต่ไม่มีที่น้ำตกสูงใหญ่เช่นตำบลที่กล่าวแล้วนี้อิก ไม่มีเวลาจึงไม่ได้ตรวจให้ยืดยาวต่อไป เปนอันต้องระงับไว้แต่ชั้นนี้ทีหนึ่ง

เมื่อจะกลับกล่าวถึงอาการแห่งที่จะอาบน้ำในที่นั้นแล้ว ที่อย่างสนุกจะต้องอาบโดยปีนป่ายตรงใต้น้ำตก นับว่ามีทางอันตรายได้มาก นอกนั้นจะอาบอย่างว่ายน้ำได้ในสระ ซึ่งมีน้ำฦกแลกว้างใหญ่ไม่มีก้อนศิลากีดกันอันใดอย่างหนึ่ง ฤาถ้าจะอาบอย่างสบาย ๆ แลมีสนุกบ้าง ก็เลือกที่อาบได้ตามน้ำไหลตื้นฦกแลตามช่องก้อนศิลาในลำธารข้างบนฤาข้างล่างนั้น ฤๅถ้าเฉภาะแต่จะอาบน้ำแท้เท่านั้นแล้วก็จะอาบที่ตรงต้นทางริมปากสระได้สบาย โดยมีก้อนศิลาแลพืชศิลาใหญ่ ๆ เหนือน้ำใต้น้ำหลายอย่าง ตามแต่จะเลือกอาบที่น้ำฦกแลตื้นฤากว้างแลแคบต่าง ๆ กัน ของสำคัญอย่างหนึ่งที่ควรจำไว้คือจะต้องระวังทากอันมีอยู่บ้าง เมื่อเกาะเข้าแล้วก็มักไม่รู้สึก จนถึงแลเห็นโลหิตออกแล้วจึงรู้ตัว แต่ไม่เปนการร้ายแรงอันใดนัก ไม่เจ็บปวดอันใด วันเดียวก็หาย แลถ้าจะจัดการป้้องกันเสียอย่างอื่นก็คงจะแก้ได้

ลักษณะของลำธารแลน้ำตกตำบลที่กล่าวแล้วนี้ ว่าตามแต่เมื่อขณะผู้แต่งเรื่องนี้ได้แลเห็น แลได้ไปตรวจดูเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ร.ศ. ๑๑๔ อันเปนเวลาที่ชาวเกาะบอกว่าฝนวายมาประมาณเดือนหนึ่งแล้ว แท้จริงเมื่อผู้แต่งอยู่ที่เกาะนี้ ๒ วัน ก็มีฝนทั้ง ๒ วัน แต่ไม่มากนัก จึงทำให้สงไสยว่าถ้าเปนฤดูแล้งจัดลงเช่นน่าหนาว บางทีน้ำตกตำบลนี้จะน้อยแลเล็กลงไปได้อิกบ้าง แต่ชาวเกาะว่ามีอยู่ตลอดปี เมื่อว่าตามนี้ก็พอจะแลเห็นจริงได้ เพราะในคราวเดียวกันนี้ผู้แต่งก็ได้แวะไปที่น้ำตกคลองมะยมเกาะช้างด้วยเหมือนกัน ได้ตรวจดูน้ำตกตำบลนั้นก็ไม่มากน้อยผิดกว่าที่ได้เคยเห็นในเวลาน่าหนาวนัก แลที่เกาะช้างนั้นชาวเกาะก็ว่าฝนแล้งมาประมาณเดือนหนึ่งเหมือนกัน เมื่อจะกลับกล่าวถึงอาการของลำธารแลที่น้ำตกแล้ว สังเกตตูเห็นว่าจะต้องมีขณะหนึ่งขณะใดที่จะเปนเวลาน้ำมากอย่างยิ่งสักครั้งหนึ่ ฤๅฤดูหนึ่ง จะเปนคราวหนึ่งในปีหนึ่ง ฤๅมีแล้วแต่ก่อนแต่บัดนี้ไม่เปนได้อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะเหตุว่าลำธารนั้นกว้างใหญ่แลมีรอยน้ำกัดศิลาต่าง ๆ อยู่ทั่วไปตลอดจนเปนถ้ำเพิงอันใดที่ขอบสระเหล่านั้นก็น่าจะเปนเพราะน้ำกัด ถึงตัวศิลาที่ตรงน้ำตกนั้นก็เหมือนกัน ย่อมมีท่าทางสำหรับน้ำตกมากยิ่งได้เปนหลายประการ ทั้งต้นไม้เล็ก ๆ กลางธารชั้นบนหลายต้นที่สูงกว่าน้ำประมาณ ๑ ศอก ๒ ศอก แลลู่เอนลงทางน้ำไหลมาก แลแรงกว่าที่เห็นนี้หลายเท่า ประการหนึ่งลำคลองเจ้าอนัมก๊กนั้นก็กว้างใหญ่แลฦกมากตลอดไป ที่สุดอยู่ที่ต้นธารน้ำตกนี้ ย่อมจะต้องได้รับน้ำตกทางนี้กับแรงมากมาชั่วนาน ตามพยานที่กล่าวแล้วดังนี้ ผู้อ่านจงวินิจฉัยดูตามควรเทอญ

เมื่อได้กล่าวถึงน้ำตก แลคลองแลอ่าวเจ้าอนัมก๊กที่เกาะกูดนี้จบลงแล้ว ผู้แต่งจะเว้นเสียไม่ได้เลย ที่จะได้กล่าวชมเกาะกูดสักสองสามคำ เพราะเหตุว่าเกาะกูดนั้นมักจะถือกันเสียว่า ไม่สนุกฤาไม่มีที่เที่ยวที่พึงใจอันใด จึงไม่ใคร่มีผู้ใดแวะไปเที่ยว บางทีจะเปนเพราะตั้งอยู่ไกลฝั่งมากหน่อยหนึ่ง แลอยู่ในระหว่างเกาะช้างแลเกาะกง อันปรากฎว่าเปนที่เที่ยวที่ไปเปนอย่างดีแล้วนั้น ทั้งการที่จะเที่ยวในเกาะทั้ง ๒ พอแล้ว แลกำหนดวันเวลาเที่ยวหมดเข้าจำเปนต้องย่นวัน แลละเลยที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เกาะกูดนั้นจึงเปนที่สำหรับงดเว้น แท้จริงเกาะกูดนี้ถึงดูแต่ไกลเปนเขายาวชันเปนสันตรงอยู่ ดูไม่งดงามเปนหลั่นลดเหมือนแลดูเกาะช้างแต่ไกลก็จริงอยู่ แต่เมื่อเวลาเข้าไปใกล้แล้วก็ดูงดงามยิ่งนัก ทุก ๆ อ่าวย่อมมีท่าทางแปลกปลาดต่างกัน ผู้แต่งเรื่องนี้มีความเสียดายที่ไม่สามารถจะเที่ยวตรวจดูให้ทั่วถึงรอบเกาะได้ ด้วยเกาะนี้ก็นับว่าเปนเกาะใหญ่ในอ่าวสยามฝั่งตวันออกเกาะหนึ่ง ถ้าจะแล่นเรือไฟไปโดยรอบไม่แวะแห่งใดเลยก็ดี เดินเรือประมาณ ๘ ฤๅ ๙ น็อตเช่นเรือ “เมดา” ก็จะไม่ต่ำกว่า ๔ ชั่วโมง ผู้แต่งจึงได้แวะเที่ยวแต่ ๒ อ่าว ๓ อ่าว อยู่ในระหว่างหัวเกาะข้างทิศเหนือ ด้านน่านอกแลน่าในต่าง ๆ กัน ก็ได้พบเห็นในอ่าวนั้น ๆ งดงามแลมีที่เที่ยวสนุกอยู่ จะขอยกขึ้นกล่าวบ้างแต่พอควร เช่นอ่าวแห่งหนึ่งเรียกว่า “อ่าวตะเภาแตก” อันตั้งอยู่ติดอ่าวเจ้าอนัมก๊กทิศเหนือ อ่าวนี้บนฝั่งงามมาก เปนพื้นที่ชานเขากว้างใหญ่ในระหว่างเขา ๒ ข้าง ริมทเลมีหาดทรายกว้างยาวไปจนสุดไหล่เขา มีคลองน้อยคล้ายธารน้ำจืดไหล ๒ ข้าง อ้อมตัดเข้าไปกลางพื้นที่กว้างนั้น ริมหาดมีต้นสนสูงใหญ่เรียงรายตลอดไป เปนอันมาก ทำให้เปนที่ร่มรื่นแลพื้นโปร่งไม่รก ภายในแถวต้นสนนั้นเปนที่เกลี้ยงมีหญ้าคล้ายสนามยืดยาวหลายตอน นอกนั้นต่อเข้าไปก็เปนป่าโปร่งต้นไม้ใหญ่เล็กต่าง ๆ กัน ในอ่าวนี้เปนทำเลที่ดีน่าควรจะตั้งบ้านเรือนแลที่พักได้งดงาม ฤาจะทำพลับพลาแรมก็เหมาะดี ดูเปนที่น่าสบายอย่างยิ่ง

ในพื้นที่หญ้าตำบลอ่าวนี้ มีโครงโรงเรือนแลขยายเพิงน้อย ๆ ต่าง ๆ อยู่หลายอย่าง ทั้งมีศาลเจ้าเล็กมุงจากอยู่ที่นี่ด้วย ได้ความว่าเดิมเมื่อแรกคนมาตั้งอาไศรยอยู่ในเกาะนี้ พักอยู่ที่นี้ ภายหลังลำบากกันดารด้วยอาหารแลการเลี้ยงชีพ เพราะที่นั้นไม่เปนทางเรือเดินไปมาสำหรับอาไศรยแลกเปลี่ยนซื้อขายกันได้ จึงได้พากันอพยพไปตั้งอยู่เสียที่อ่าวยายเกิด อันตั้งอยู่ที่คอแหลมเขาขาดน่าในทิศตวันออก ตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๑๓ เปนต้นไป บัดนี้ที่ตำบลนี้จึงรกร้างว่างเปล่าอยู่ สำหรับแต่ฝูงสัตวอาไศรย เช่นกวางแลหมูป่า ดังมีรอยเท้าตามหาดทรายปรากฎอยู่เปนต้น อิกไนยหนึ่งมีรอยเท้าสัตวอิกอย่างหนึ่งใหญ่ฦก ผู้ที่ไปพากันเข้าใจว่าไม่มีอย่างอื่น ต้องเปนรอยเท้าเสือใหญ่ ตามเหตุที่มีคำเล่าฦๅกันอยู่แต่ก่อนว่าที่เกาะกูดนี้มีเสืออยู่ชุกชุม แต่เมื่อพิจารณารอยเท้านั้นโดยเลอียดแล้ว ก็ไม่เปนเชิงรอยเท้าเสือแท้ จึงได้สอบถามชาวเกาะได้ความว่า เสือในเกาะกูดนี้ไม่มีแลไม่ปรากฎว่ามี แม้แต่อย่างเล็กที่สุดก็ไม่เคยพบปะเลย แลรอยเท้าสัตวใหญ่เช่นที่พบปะนี้ ชาวเกาะสงไสยว่าจะเปนรอยเท้าหมี ซึ่งชาวเกาะเคยทราบแลพบปะมีอยู่ตัวหนึ่ง เปนหมีสุนักข์ดำอย่างใหญ่ นานมาแล้วก็หายไป การที่ชาวเกาะว่าดังนี้จะควรเชื่อได้ละฤา แล้วแต่ผู้อ่านจะสันนิฐานเทอญ อันว่ารอยเท่าสัตวตามหาดทรายอย่างนั้นอาจเปนไปได้ต่าง ๆ ทุกประการ รับประกันได้แน่แท้แต่ว่าในเกาะกูดนี้ คงจะมีกวางแลหมูป่าใหญ่น้อยอยู่เปนอันมาก เพราะเหตุว่าผู้แต่งเรื่องนี้ได้เห็นตัวสัตวทั้ง ๒ อย่างนั้นเปนพยานอยู่บ้างแล้ว

เมื่อจะกล่าวถึงข้างฝ่ายทเลในอ่าวตะเภาแตกนี้ มีน้ำใสสอาดมาก แลน้ำฦกจอดเรือใหญ่ ๆ ได้ใกล้ๆ ฝั่ง แต่จะต้องควรทราบไว้อย่างหนึ่งว่า ที่ริมฝั่งตอนข้างเหนือมีกองศิลาใต้น้ำอยู่หมู่หนึ่ง อันเนื่องมาจากเชิงเขาในเกาะนั้นเอง เวลาน้ำลงจะแลเห็นยอดศิลาเหล่านั้นกองปุ่มป่ำได้บ้าง ศิลาใต้น้ำนี้อยู่ใกล้ๆ หาดทรายอันไม่น่าจะเปนที่ควรตกใจ เพราะไม่มีเรือใหญ่ลำใดจะควรเดินเรือฤาจอดเรือใหญ่ในที่ใกล้ฝั่งถึงที่ศิลากองอยู่นั้น กองศิลาอันนี้แลทำให้เปนที่ปรากฎของชื่ออ่าวนี้ คือชาวเกาะเล่าว่าเดิมมีเรือสำเภาลำหนึ่งมาอับปางลงตรงน่าอ่าวนี้ ภายหลังคลื่นซัดเรือสำเภาลำนั้นมากระทบติดค้างอยู่ที่กองศิลาหมู่นี้ จนเรือสำเภาลำนั้นแตกกระจายย่อยยับไป จึงปรากฎเรียกว่าอ่าวตะเภาแตก

อนึ่งที่อ่าวตะเภาแตกนี้ มีที่เสียอยู่อิกอย่างหนึ่งที่ไม่มีเกาะเกียนที่กำบังลมใต้แลตวันตกเลย ถ้าเปนน่าลมตะเภาก็ย่อมจะเปนที่ลำบากด้วยคลื่นลมอยู่ ถ้าจะเลือกอ่าวที่สำหรับจอดเรือให้บังคลื่นได้ดีในเกาะนี้ ตามที่ได้แลเห็นแล้วควรจอดที่อ่าวแรด อันตั้งอยู่เหนืออ่าวตะเภาแตกนี้ไปอิกหน่อยหนึ่ง เพราะที่อ่าวแรกนี้มีเกาะบังอ่าวอยู่ ๒ เกาะ คือเกาะใหญ่หน่อยหนึ่งในแผนที่เรียกว่าเกาะแรดใหญ่ แต่ชาวเกาะเรียกว่าเกาะไม้ซี (ในหมู่เกาะกูด) แลข้างใต้มีเกาะเล็กอิกเกาะหนึ่ง แลข้างเหนือบังแหลมเกาะกูด แลมีเกาะหมากขวางสกัดอยู่ไกล ทั้งเปนชวากกว้างใหญ่เปนที่สบายมากด้วย ถ้าจะพรรณาถึงอ่าวแลภูมิ์ประเทศเกาะกูดนี้ ก็จะไม่มีที่สุดลงได้ ขอระงับไว้คราวหนึ่ง บัดนี้จะขอกล่าวในเรื่องชาวเกาะต่อไปสักเล็กน้อย

อันเกาะกูดนี้แต่ก่อนมาไม่ปรากฏว่ามีคนอาไศรยประจำอยู่ แต่บัดนี้มีอยู่ประมาณ ๓๐ คน ๔๐ คน ได้ความว่าพึ่งมาตั้งอยู่ไม่กี่ปีนัก มักเปนคนที่มาจากเกาะช้าง มีบ้านสลักเพ็ชรแลบ้านสลักคอกเปนต้น ชาวเกาะเหล่านั้นพูดว่ามีอยู่แต่หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ที่อ่าวยายเกิดน่าในอันกล่าวแล้วแห่งเดียว สังเกตดูหมู่บ้านที่อ่าวยายเกิดนั้นก็เปนโรงเล็ก ๆ คล้ายกระท่อม มีเรือนหนึ่งปลูกอยู่ในน้ำดูแปลกปลาด แลมีเรือที่ไปมาค้าขายแลกเปลี่ยนอาหารแลสินค้าแก่กันประมาณ ๒ ลำ ๓ ลำ เปนเรือเป็ดทเล ไต่ถามได้ความว่ามาแต่เมืองตราดข้างจันทบุรีบ้าง ส่วนการหากินเลี้ยงชีพของคนที่อยู่ประจำอยู่ในเกาะนั้นไล่เลียงได้ความว่า การหาไม้หอม คือเนื้อไม้เปนใหญ่ เพราะเหตุว่าในเกาะนั้นมีเนื้อไม้ชุกชุม เนื้อไม้มีขายแทบทุกกระท่อม ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ดีเลวต่าง ๆ กัน ขายได้ราคาดี การหาเลี้ยงชีพอิกอย่างหนึ่งก็คือการปาณาติบาตทำปลาบ้าง ไล่สัตวบ้าง การทำปลานั้นไม่ต้องอธิบาย เพราะไม่ปลาดอันใด แต่การไล่สัตวนั้นดูชอบกลอยู่ คือ มักใช้เลี้ยงสุนักข์สำหรับไล่สัตวกันชุกชุม ในเวลาไปหาไม้หอมก็พาสุนักข์ของตนไปด้วย สุนักข์พบสัตวก็ไล่ติดตามกัดบ้างสกัดไว้บ้าง ถ้าสุนักข์หลายตัวก็ล้อมกันหลอกล้อฤาสู้กันกับสัตวนั้น แลเห่าร้องจนเจ้าของไปถึงแล้ว เจ้าของก็ช่วยสุนักข์ทำอันตรายแก่สัตวนั้น การที่เจ้าของจะฆ่าสัตวนั้นก็ไม่มีอาวุธอย่างอื่นนอกจากมีดแลขวาน เมื่อเวลามีท่าทางอันดีแล้วก็เอาขวานฟันที่สำคัญของสัตวมีศีศะเปนต้น เมื่อสัตวตายแล้วก็พาเอาเนื้อแลเขาเขี้ยวต่างๆ มาเปนอาหารแลเก็บไว้ฤๅแจกจ่ายต่อไปตามเพื่อนบ้าน ถ้ามีเรือไปมาก็ซื้อขายแลกเปลี่ยนต่อกันไปตามราคามากน้อยสุดแต่โชคนั้น ถ้าไม่มีเรือไปมาเหลือกินก็ทำเนื้อเค็มส่งไปขายที่เกาะช้าง เปนราคากำหนดชั่งละเฟื้องหนึ่งเท่านั้น สัตวที่สุนักข์ไล่ได้ดังนี้มักเปนแต่หมูป่าแลกวางชุกชุม ถ้าเปนหมูป่าก็มักได้แลต้องฆ่าในป่าเขา ถ้าเปนกวางสุนักข์มักไล่ลงทเลแลจับกุมทำอันตรายได้โดยง่าย ตามคำที่ชาวเกาะพูดว่าหมูป่าแลกวางในเกาะนี้มีมากจนเหลือไล่แลต้องการ บางทีพบปะแล้วต้องจับสุนักข์ไว้เสียไม่ให้ไล่แลทำอันตรายแก่สัตวนั้น เพราะเหตุว่าเรือที่ไปมาในเกาะนั้นน้อยเวลาแลน้อยลำ ถ้าไล่สัตวมากไปก็ป่วยการแลเสียเที่ยว ทั้งเปนการลำบากที่จะแบกขนเอาเนื้อสัตวนั้นกลับมาบ้านด้วย จึงค่อย ๆ ทำอันตรายแลปล่อยไว้สำหรับได้เปนที่หากินต่อไปยืดยาววัน ผู้ที่ชำนาญการหาไม้หอมแลไล่สัตวแลที่มีสุนักข์ดีอย่างยิ่งในเกาะนี้ ทั้งที่นับว่าเปนหัวน่าชาวเกาะในเวลาที่ผู้แต่งเรื่องนี้ไปเที่ยวที่เกาะนั้น เปนจีนชื่อเขียง มีภรรยาเปนญวน มีบุตรชาย ๒ หญิง ๑ ล้วนแต่หนุ่ม ๆ เด็ก ๆ บุตรชายอายุ ๑๘ ปี คนหนึ่ง อิกคนหนึ่งอายุ ๑๓ ปี บิดาใช้สอยแลได้กำลังช่วยเหลือในการหากินเหล่านี้เหมือนกับผู้ใหญ่ แต่ท่านบิดามารดานั้นสูบบุหรี่ (คือฝิ่น) ทั้ง ๒ คน จีนเชียงนั้นเปนผู้ชำนาญแลรู้เหตุการในเกาะกูดนี้มาก ถ้าผู้ใดจะไปเที่ยวณเกาะกูดนี้ก็ควรไปยังอ่าวยายเกิดอันเปนที่ตั้งแห่งหมู่บ้านที่ชาวเกาะอาไศรยอยู่นั้นก่อนแล้ว ก็คงจะได้ทราบเหตุการตลอดได้ทุกสิ่งทุกประการ ๚

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ