เรื่องเที่ยวทเลตวันออก

พระนิพนธ์พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์

๏ ทเลนี้ถึงอยู่ใกล้ ๆ ไปจากกรงเทพ ฯ ไม่กี่ชั่วโมงก็จริง แต่ผู้ที่ไม่ได้เคยไปเห็นทเลเลยนั้นมีอยู่มากนัก คนแต่ก่อน ๆ มาถ้าไม่มีกิจที่จะต้องไปทางทเลแล้วก็หาได้ไปไม่ อยู่จนอายุห้าสิบหกสิบฤาตายไปเสียไม่ได้เห็นทเลเลยก็มีมาก คนในปัจจุบันนี้อยู่ข้างจะได้ไปทเลมากกว่าคนผู้ใหญ่ ๆ แต่ก่อนมา ตั้งแต่ศก ๑๑๐ มา มีการเสด็จพระราชดำเนินไปประทับแรมที่เกาะสีชังทุก ๆ ปี ก็ยังมีผู้คนได้เคยไปทเลมากขึ้น ผู้ที่ไปทเลทั้งปวงที่ไปแต่ใกล้ ๆ เพียงเกาะสีชังเปนต้น ฤาผู้ที่ได้ไปแต่น้อยครั้ง ก็ไม่ใคร่จะได้เห็นอไรประหลาด ๆ ในทเลนัก ต่อผู้ที่ได้ไปไกล ๆ แลได้ไปมากครั้งจึงจะเห็นของต่าง ๆ ในทเลได้มาก ๆ ข้าพเจ้าผู้เรียบเรียงหนังสือนี้ถืออยู่ว่าตัวเปนผู้ได้เคยไปทเลมากครั้ง แลได้ไปไกลมากด้วยตลอดพระราชอาณาเขตรทั้งฝ่ายตวันออกแลปักษ์ใต้ฝ่ายตวันตก จึ่งจะขอนำสิ่งที่ได้พบได้เห็นมาเล่าให้ผู้ที่ไม่เคยไปทเล ฤาเคยไปแต่น้อยครั้ง ฤาไม่ได้ไปไกลนั้น ฟังพอเปนการสนุก แลเกื้อกูลแก่ความรู้ เหมือนหนึ่งคนไปเที่ยวป่าเที่ยวดงกลับมาแล้วเล่าสู่กันฟังฉนั้น ท่านผู้ที่เคยไปเที่ยวทเลมากแลไกลกว่าข้าพเจ้าอย่าติเตียนว่าเปนการจืดเลย คนที่ไม่เคยเห็นเคยฟังจะได้ทราบบ้าง จะพรรณาแต่ส่วนฝั่งทเลตวันออกอย่างเดียว เพราะถ้าจะพรรณาให้ทั่วทั้งปักษ์ใต้ฝ่ายตวันตกด้วยพร้อม การยืดยาวเหลือเกินนัก แลไม่มีเวลาพอที่จะเรียบเรียงด้วย พรรณาแต่ฝั่งตวันออกอย่างเดียวก็ยืดยาวเหลือเกินอยู่แล้ว ในปักษ์ใต้ฝ่ายตวันตกนั้น เมื่อท่านผู้อื่นที่ชำนาญในการไปเที่ยวทางนั้นอุสาหะที่จะพรรณาได้ ก็จงพรรณาอิกพแนกหนึ่ง เพื่อให้เปนการรุ่งเรืองในความรู้เทอญ

การที่จะพรรณาในการเที่ยวทเลตวันออกนี้ จะขอแต่งเช่นจดหมายระยะทางเดา ๆ ขึ้น พอให้ติดต่อเปนเรื่องกันไป ต่างว่าจะไปทเลตวันออก ไปเรือกลไฟ แล้วจะได้พรรณาการในทเลตามสมควรที่จะประสบ แลปรารภขึ้นในระยะทางนั้น ๆ

๏ วันที่ ๑ ออกเรือจากกรุงเทพฯ เรือใหญ่เข้าลัดไม่ได้ ต้องอ้อมไป พอพ้นลัดล่างหน่อยหนึ่ง ก็แลเห็นยอดพระสมุทรเจดีย์ยังแหลมอยู่ ไปอิกหน่อยหนึ่งจึ่งถึิง ถัดพระสมุทรเจดีย์ออกไปถึงป้อมผีเสื้อสมุทร ที่บนฝั่งข้างซ้ายมือเปนตัวเมืองสมุทปราการมีบ้านเรือนมาก เรือแล่นออกไปพ้นป้อมอิกแหลมหนึ่งจึ่งเห็นทเลเปนน้ำแลลิ่วไปสุดสายตาจดขอบฟ้าไม่เห็นฝั่ง แล้วออกไปถึงเรือทุ่นแดง พ้นเรือทุ่นไปแลเห็นทิวไม้สองฝั่งสุดสายตา ยิ่งแล่นออกไปทิวไม้ก็หมดเล็กเข้าไปทุกทีจนแลเห็นไม่ถนัด แล้วถึงประภาคาร คือเรือนตะเกียงเปนกระโจมตั้งอยู่กลางทเล ใกล้ร่องน้ำทางที่เรือจะไป เรือนตะเกียงนี้ดูไกล ๆ ก็เล็กนิดเดียวเท่านั้น แต่ถ้าได้ขึ้นไปบนนั้นแล้วไม่เล็กเลย ใหญ่โตกว้างขวางมาก มีพื้นสามชั้น ชั้นล่างเปนที่ไว้ของต่าง ๆ ไม่มีฝา ชั้นกลางเปนห้องคนอยู่มีฝากั้น ชั้นบนเปนที่จุดตะเกียง ตะเกียงนั้นก็ดวงเดียวเท่านั้น แต่แก้วรอบนอกเปนกลีบ ๆ ซ้อนเรียงกันฉายให้สว่างไกลไปได้มาก พ้นเรือนตะเกียงออกไปเปนสันดอนฤาหลังเต่า เรือข้ามได้แต่เวลาน้ำขึ้น ถ้าเวลาน้ำลงแล้วตื้นทีเดียว คนลงลุยได้ พ้นสันดอนออกไปถึงน้ำเขียว มีรอยน้ำโคลนกับน้ำเขียวไปชนกันอยู่ ไม่ปนกัน ข้างในเข้ามาเปนน้ำโคลนขุ่นสีแดง นอกออกไปเปนสีเขียว แต่การที่จะเห็นน้ำต่อกันเช่นนี้มักเปนคราว ๆ คือในฤดูน้ำเหนือไหลลง จึงจะมีน้ำต่อ ถ้าเปนเวลาแล้งน้ำเค็มขึ้นถึงกรุงเทพ ฯ แล้วไม่ใคร่จะเห็นน้ำต่อชัด เห็นสีจางเลือนค่อยเขียวออกไปทีละน้อย ๆ จนเขียวจัด ที่น้ำเขียวนั้นมีเรือค้าขายใหญ่ ๆ มาทอดหลายลำ คอยเวลาน้ำขึ้นจะได้ข้ามสันดอนเข้าปากน้ำ เรือที่ไปแล่นข้ามสันดอนแล้วตัดไปเกาะสีชัง สีชังนี้พอโผล่ปากน้ำออกไปก็แลเห็น ถ้าอากาศแจ่มใสดีก็เห็นชัด ถ้าอากาศไม่ผ่องใสก็เห็นเปนหมอกรัว ๆ อยู่ มีคำกลอนเขาว่าไว้ในนิราศฉลางฤาถลาง เมื่อเวลาออน้ำเขียว ดูตรงกันกับที่กล่าวนี้ถ้อยคำไพเราะควรฟัง จึงขอคัดมาลงไว้ด้วย

“ออกน้ำเขียวเกลียวคลื่นดูครื้นครึก ทเลฦกกว้างใหญ่ไกลหนักหนา ดูเบื้องซ้ายสายสมุทรสุดลูกตา ดูเบื้องขวาทิวไม้รำไรราย เห็นเมฆไกล่เมฆกลุ้มกระปุ่มกระปิ่ม ติดกับริมฟ้าเกลื่อนแล้วเลือนหาย ชมทเลเมฆาจนตาลาย ตวันสายคลื่นลมระดมดัง” คลื่นในทเลนั้นเปนฤดูมากบ้างน้อยบ้าง ต้นเหตุที่จะมีคลื่นนั้นก็ต้องมีลดพัดมาก่อนแล้ว คลื่นก็มีมาตามลมเปนคลื่นซัดมาถี่ ๆ ปลายคลื่นแตกเปนฟอง เรียกกันว่าคลื่นหัวแตก เปนตัวคลื่นแท้ ครั้นลมสงบคลื่นก็ค่อยซาไป กลายเปนคลื่นราบๆ ซัดมาห่างๆ ไม่มีฟอง เรียกกันว่าลูกกลิ้งบ้าง สางคลื่นบ้าง บางทีเรียกกันว่าคลื่นใต้น้ำ ที่เรียกว่าคลื่นใต้น้ำนี้ไม่ถูกเลย คลื่นมีแต่บนน้ำเท่านั้น เรียกว่าลูกกลิ้งฤๅสางคลื่นแลเปนการถูก เวลาที่คลื่นมีมาแล้ว เรือก็กระโดดไปตามคลื่น ทั้งคลื่นหัวแตกฤๅลูกกลิ้ง ถ้าลูกใหญ่ก็โดดแรง ถ้าลูกเล็กโดดน้อย ถ้าคลื่นมาตรงทางหัวเรือฤๅท้ายเรือ เรือกระโดดยกหัวยกท้าย ถ้าคลื่นมาข้างเรือซ้ายขวา เรือก็พลิกแคลงไปแคลงมา เวลาเรือกระโดดโลดเต้นฤๅแคลงแล้วคนในเรือก็เมาคลื่น ถ้าเรือแคลงทำให้เมามากกว่ายกหัวยกท้าย เวลามีคลื่นแล้วยืนก็ไม่ใคร่ตรงตัว ต้องเกาะยึดกราบเรือฤๅอไรไว้ หาไม่ก็มักหกล้ม บางทีซัดเข้าในเรือจนดาดฟ้าเปียกนองไปทั้งนั้น อาการที่เมาคลื่นนั้นให้วิงเวียนแลคลื่นเหียน ถ้ามากก็ถึงอาเจียน แต่ไม่มีอันตรายอันใด พอคลื่นสงบก็หาย คนที่เมาคลื่นแลไม่เมานั้นมีประเภทเปน ๓ อย่าง ที่เปนธรรมดานั้นคือคนที่ไม่เคยไปทเลเลยแรกไปก็เมา แล้วเคยหลายหนเข้าก็ไม่เมา อิกพวกหนึ่งตั้งแต่แรกไปทเลก็ไม่รู้จักเมาคลื่นเลย อิกพวกหนึ่งเปนผู้แพ้คลื่นเมาอยู่เสมอ ถึงจะไปสักสิบครั้งก็ไม่หายเมา ถ้ามีคลื่นมาเปนเมา จนสังเกตเปนปรอทวัดคลื่นได้ ถ้าเห็นคนที่ขี้เมาคลื่นนั้นลงนอนแล้ว ให้พึงรู้เถิดว่ามีคลื่นมาแล้ว ถ้าเห็นคนผู้นั้นเปนปรกติก็พึงรู้ว่าไม่มีคลื่น ที่เมาอย่างเอกแล้วนอนซมไปสามวันสี่วัน เข้าสักเม็ดหนึ่งก็ไม่พานฅอ แต่ก็ไม่เห็นเปนอไร คลื่นสงบแล้วก็กินอาหารได้เปนปรกติ สมกับคำกลอนที่หม่อมราโชไทย (กระต่าย) ได้กล่าวไว้ในนิราศลอนคอน ขอชักมากล่าวไว้ฟังเล่นเพราะ ๆ ในที่นี้ “แสนสงสารคุณพิจารณ์สรรพกิจ เมื่อจากมิตรเมาซบสยบสยอน พลอยเมาคลื่นเกลือกกลิ้งลงนิ่งนอน เรือขย้อนไปมาเฝ้าอาเจียน ใครจะว่าเสียให้ยากไม่อยากลุก ระทมทุกข์ถอนสอื้นทั้งคลื่นเหียน หมอบกระแตแน่นิ่งเฝ้าวิงเวียน สอิดสเอียนอาหารไม่พานฅอ”

เมื่อมาถึงเกาะสีชังแล้ว แลเห็นศิลาเปนเการน้อยอยู่ข้างเหนือ เรียกว่าสัมปะยื้อ มีประภาคารชื่ออัษฎางค์ประภาคาร รูปไม่เหมือนนประภาคารที่ปากน้ำ ที่นี้เปนประภาคารก่ออิฐถือปูนเปนรูปกลมสูงขึ้นไป มีเรือนกลมอยู่บนยอด จุดโคมในนั้นใช้โคมสีแดง ที่ศิลาสัมปะยื้อนี้ แต่เดิมเมื่อยังไม่ได้สร้างประภาคารนั้น มีนกนางนวลไปทำรังตกฟองอยู่ที่นั้นมาก นกนางนวลนี้เปนนกหากินอยู่ในทเลกินปลาเปนอาหาร บินก็ไปได้ไกล ๆ มาก จนไกลฝั่งลิบ ๆ เมื่อเหนื่อยก็ลงพักลอยอยู่ในทเล ว่ายน้ำก็ทน นกกระทุงแลนกอื่นๆ ก็มีบ้าง แต่ไม่ชุมเหมือนนกนางนวล นกนางนวลนี้เปนชุมมาก ใครไปก็คงจะได้เห็น ถึงเกาะสีชังแล้วทอดในระหว่างเกาะสีชังกับเกาะขาม แลเห็นเขาข้างฝั่งถนัด เวลากลางคืนอาบน้ำเค็ม น้านั้นตักขึ้นมาแล้วเปนแสงสว่างเปนเม็ดพราวๆ เหมือนหิ่งห้อยฤๅแมงคาเรือง น้ำที่ไหลถูกหัวเรือฤๅหางเสือฤาตีกระเชียงก็เปนแสงสว่างพราวเหมือนกัน น้ำเค็มที่พราวๆ นี้เปนด้วยตัวสัตว มีอธิบายอยู่ในหนังสือวชิรญาณวิเศษเล่ม ๗ แผ่นที่ ๔๑ ออกวันที่ ๒๘ กรกฎาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๑ น่า ๔๘๑ แล ๔๘๒ แล ๔๘๓ นั้นแล้ว จะอธิบายอิกก็จะซ้ำไป น้ำเค็มนั้นรศเค็มออกขม ๆ ด้วย อายเข้าแล้วมักจะเหนียวตัวเหนอะหนะ ถ้าอายแล้วเช็ดตัวเสียให้แห้งแล้วสวมเสื้อในทันทีจึงจะไม่เหนียวตัว ๚

๏ วันที่ ๒ เวลาเช้าขึ้นเที่ยวเกาะสีชัง เกาะสีชังนี้แต่ก่อนไม่สู้มีอไรนัก มีแต่วัดอยู่ปลายแหลมวัดหนึ่ง กับบ้านหมู่หนึ่ง แลมีบ้านทางไร่บนอิกหมู่หนึ่งเท่านั้น นอกนั้นก็เปนป่าเปนไร่ เดี๋ยวนี้ครึกครื้นเปนบ้านเปนเมืองสนุกสนานกว่าแต่ก่อน จะของดการที่จะพรรณาถึงเกาะสีชังไว้ เพราะเปนเรื่องที่ควรจะแยกพรรณาต่างหากอิกเรื่องหนึ่งได้ ขอกล่าวถึงการเที่ยวทเลต่อไป สายหน่อยออกเรือไปช่องแสมสาร เวลาเย็นขึ้นเที่ยวเดินตามหาดทราย หาดทรายนี้มีทั่วทุกแห่งไป ไม่ว่าที่ไหน กว้างบ้างแคบบ้าง ลาดบ้างชันบ้าง ทรายหยาบบ้างทรายเลอียดบ้าง ทรายสีขาวสอาดงาม ไม่เปนสีม่วงเหมือนทรายบางพูด ทรายทเลนี้น่าโรยถนนฤาจะทำเปนสวนมีทางเล็กทางน้อย เอามาโรยก็ดี ถ้ามีเรือแล้วบรรทุกมาสักเท่าใดก็ได้ แต่ต้องลงทุนมาก จึงไม่มีใครเอามาขาย ถ้ามีอยู่ใกล้ ๆ เสมอเพียงปากน้ำแล้ว ทรายบางพูดสู้ไม่ได้เลย ตามชายหาดที่จดทเลนั้น มีคลื่นซัดอยู่เสมอ ถ้าคลื่นใหญ่ก็มีเสียงดังกึกก้อง ถ้าคลื่นน้อยก็เบา แต่มีคลื่นซัดอยู่เสมอเปนนิจ ไม่นิ่งเหมือนน้ำใส่อ่างไว้เลย ในพื้นท้องทเลนั้นก็ต่างกันเปนแห่ง ๆ ที่เปนทรายล้วนนั้นมาก แต่ไม่เรียบเปนน่ากลอง เปนนูน ๆ เปนร่อง ๆ ไปเหมือนคลื่นฤๅเหมือนท้องร่อง ที่เปนลูกเล็ก ๆ ก็มีบ้าง บางแห่งก็มีปะการังชุม บางแห่งก็เปนหินโสโครก ที่ใกล้ปากน้ำก็มักเปนโคลนมาก พักนอนช่องแสมสารคืนหนึ่ง

๏ วันที่ ๓ เช้าออกเรือจากช่องแสมสารข้ามอ่าวระยองไปพักที่ช่องเสม็ด ในเวลาเดินเรือนั้นถ้าออกฦกแล้วแลไม่เห็นอไร เห็นแต่ฟ้ากับน้ำเท่านั้น เรียกว่าฟ้าครอบน้ำได้ สมกับคำกลอนที่สุนทรภู่ผู้เลิศในทางกลอน ได้กล่าวไว้ในอไภยมณีปกรณัมว่า “จะเหลียวซ้ายสายสมุทรสุดสายตา จะแลขวาควันคลุ้มกลุ้มโพยม จะเหลียวดูสุริยแสงเข้าแฝงเมฆ ให้วิเวกหวาดองค์พระทรงโฉม ฟังสำเนียงเสียงคลื่นคังครืนโครม ยิ่งทุกข์โทมนัศในฤไทยทวี” แลน้ำที่สีเขียวนั้นถ้าตกฦกออกไปมากก็กลายเปนสีน้ำเงิน คนที่เขาได้ไปไกลเขาเล่าว่าถ้าเปนในมหาสมุทรอินเดียนฤามหาสมุทรแอตแลนติก ฤๅเปศิฟิกแล้ว เขาว่าสีออกดำทีเดียว การที่เห็นน้ำเปนสีต่าง ๆ นั้น ด้วยอำนาจฦกมากฦกน้อย แต่ที่จริงนั้นตักขึ้นมาแล้วใสเปนน้ำฝนทั้งนั้น เดินใกล้เกาะใกล้ฝั่งแล้วก็แลเห็นเขาเปนหมอกรัว ๆ ที่หัวเขาท้ายเขาฤาหัวเกาะท้ายเกาะนั้น แลเห็นยกขึ้นพ้นน้ำ ด้วยอำนาจอยู่ไกล อากาศฉายน้ำขึ้นจึงเปนไปดังนั้น ถ้าใกล้แล้วหัวท้ายไม่ยก แลค่อยเห็นชัดเข้าทุกที จนแลเห็นต้นไม้ใบไม้เปนที่สุด บ่ายขึ้นเที่ยวเกาะเสม็ด ที่ตามหาดทรายมีฟองเต่าชุม เต่าที่มาตกฟองนั้นว่ามีสองสามอย่าง คือจะละเม็ดอย่าง ๑ กระอย่าง ๑ กับอไรอิกนึกไม่ออก จะเปนตนุฤาอไรแหละ วิธีที่หานั้นคนเคยเขารู้ว่ารอยอยู่ที่ไหนแล้วไปหาที่นั่น แลรอยนั้นมีหลายรอย สามรอยบ้างสี่รอยบ้าง มีฟองอยู่รอยเดียวเท่านั้น นอกนั้นเปนหลุมพราง การที่มีหลุมพรางดังนี้ ว่ากันเปนสองเสียงอยู่ เสียงหนึ่งนั้นว่าตัวเต่านั้นมีสติปัญญาที่จะป้องกันรักษาฟองของตนมิให้เปนอันตราย จึ่งทำที่ลวงไว้ให้ศัตรูฉงนดังนี้ เสียงหนึ่งว่าเปนธรรมดาของมันอย่างนั้นแอง ที่ว่าเปนธรรมดานั้นแลเปนการถูก เพราะได้ทราบจากผู้ที่ได้เคยเห็น เล่าบอกในเรื่องนี้ แต่เปนข้างหัวเมืองตวันตก หาใช่ทางตวันออกนี้ไม่ ถึงดังนั้นก็คงเปนลักษณะอันเดียวกัน ผู้ที่เล่านั้นเขาว่าเขาได้ไปพยายามคอยดูอยู่ที่หาดทรายที่ตัวจะละเม็ดนั้นจะขึ้นออกฟอง จนเกือบคืนยังรุ่ง จึ่งได้เห็นตลอดสำเร็จความประสงค์ แรกขึ้นมาก็มาขุดหลุมด้วยมือข้างน่า ขุดแล้วหยุดพักหอบเหนื่อยเสียที แล้วก็ขุดต่อไปอิก เหนื่อยเข้าก็พักไป ขุดอยู่ดังนี้ จนหลุมฦกได้ที่แล้วก็ออกฟอง คนเข้าไปเอามือคอยรองรับฟองอยู่มันก็เฉย ออกฟองเรื่อยไปจนหมด เสร็จแล้วก็เขี่ยทรายกลบหลุมแล้วเขาอกลงไถให้เกลี้ยง แล้วไปทำที่ให้เกลี้ยง ๆ ริม ๆ นั้นอิกสองสามแห่ง แล้วก็คลานลงน้ำ เวลาที่คลานลงน้ำเอาโคมไปวางขวางไว้ก็ไม่หลีก โดนเขาโคมล้ม นี่แลพึงเห็นได้ว่าการที่ทำหลุมพรางนั้น ไม่ใช่เปนอุบายที่จะป้องกันอันใด เปนธรรมดาของมันเช่นนั้นเอง ยังมีการเล่าบอกอิกอย่างหนึ่ง เปนเรื่องต่อนี้ไปว่า ครั้นมันออกฟองฝังไว้แล้วก็ไม่ต้องมีความเอื้อเฟื้ออิกต่อไป จนฟองนั้นเปนตัวแล้วก็ระเบิดหลุม ปลิวขึ้นในอากาศพร้อมกันแล้วลงน้ำไปหมด การที่กล่าวภายหลังนี้จริงเท็จอันใดไม่ทราบ การที่จะหาฟองนั้น เมื่อรู้ว่าที่ใดมีฟองตามความสังเกตของเขา แล้วก็เอาแซ่ปืนแทงลงไปแล้วชักขึ้นมา ถ้ามีฟองแล้วแซ่นั้นถูกฟองแตกฟองติดแซ่ชักขึ้นมาทรายก็ติดขึ้นมา ถ้าไม่ถูกฟองแล้วทรายก็ไม่ติดแซ่เหล็ก เมื่อพบหลุมที่มีฟองแล้วขุดลงไปก็ได้พบฟอง หลุมหนึ่งได้อยู่ในตั้งแต่ ๔๐ ขึ้นไป จนถึง ๘๐ ฟอง ฤาบางทีก็ถึง ๑๐๐ แลฟองเต่านี้มีภาษีเรียกว่าอากรรักษาเกาะ คือรักษาไม่ให้ผู้ใดเก็บฟอง เก็บขายได้แต่เจ้าภาษีคนเดียว ฟองเต่านี้มีที่เกาะครามชุมมากกว่าที่อื่น เจ้าภาษีก็ตั้งรักษาอยู่ที่เกาะคราม อนึ่งตัวเต่านั้นเจ้าภาษีเขาก็ห้ามไม่ให้ใครจับใครฆ่า ตัวอยู่ข้างโตมาก เท่ากะด้งใหญ่ๆ ก็มี พักนอนเกาะเสม็ดคืนหนึ่ง

๏ วันที่ ๔ เช้าออกเรือจากเกาะเสม็ด ข้ามอ่าวแกลงไปพักแหลมสิงห์ปากน้ำเมืองจันทบุรี การเดินเรือในทเลนี้ ถ้าคลื่นใหญ่แล้วลำบากน่ากลัวที่สุด เรือที่ใช้เดินกันในทเลนั้น เรือกำปั่นแลกลไฟที่ใหญ่ ๆ มีหลายอย่าง จะพรรณาไปก็จะไม่ทั่วถึงได้ จะขอกล่าวแต่เรือเล็กสองอย่างที่ใช้ในทเลชุกชุมเปนพื้นมากกว่าอย่างอื่น ๆ คือเรือฉลอมอย่างหนึ่ง เรือเป็ดทเลอย่างหนึ่ง เรือฉลอมหัวแหลมท้ายแหลม เรือเป็ดทเลหัวตัดท้ายตัด เรือทั้งสองอย่างนี้ต่อรูปโป้ง ๆ โดดคลื่นดี ใช้แล่นใบ ถ้าเวลาเดินใกล้ ๆ ก็ใช้แจว เวลาแล่นใบนั้นลมกินใบเรือเอียงไปข้างหนึ่ง ถ้าคลื่นใหญ่ก็ซัดน้ำเข้าเรือเปียกปอนไปทั้งนั้น ได้ยินพวกญวนหาปลาที่เมืองจันทบุรีเล่าว่า เวลาน่าเข้าพรรยาเดือนเจ็ดเดือนแปดแล้วเปนฤดูคลื่นใหญ่ทางเมืองจันทบุรี แลเปนฤดูที่จะหาปลาด้วย เพราะปลาชุมในฤดูนี้ แต่ต้องไปหาไกลถึงเกาะกง ที่ใกล้ๆ ก็ไม่ใคร่ชุมด้วยพวกหาปลาที่เคยไปเสมอทุกปีนั้นเองก็ยังออกขยาด เมื่อเวลาโผล่ปากน้ำออกไปเห็นคลื่นแล้วก็ท้อใจ แต่ด้วยอำนาจอยากได้ทรัพย์ก็ขันแขงไปดังนั้น นี่และคลื่นในทเลนี้เปนที่น่ากลัวนัก แต่คนหาปลาที่เคยเดินเรืออยู่เสมอยังออกขยาด จะป่วยกล่าวไปไยถึงคนที่ไม่เคยนั้นเล่า เรื่องนี้ก็สมกับถ้อยคำของหม่อมราโชไทย (กระต่าย) ที่กล่าวไว้ในนิราศลอนดอนเมื่อข้ามอ่าวบิสเกนั้น แสดงความที่คลื่นเปนไภยใหญ่น่ากลัวว่า

“จะข้ามอ่าวบิสเกทเลร้าย ยิ่งหมองม่ายหม่นจิตรคิดกระสัน ด้วยแจ้งข่าวอ่าวนี้ทุกวี่วัน พายุนั้นสามารถทายาดพอ แต่อังกฤษตัวกล้าเหมือนปลาใหญ่ ยังตกใจขวัญหนีแทบดีฝ่อ ถ้าพวกเราไม่พักบอกคงกลอกฅอ คลื่นมันยอคงจะโยกลงโงกงอม”๚

๏ วันที่ ๕ เช้าออกจากปากน้ำเมืองจันทบุรี ข้ามอ่าวขลุงเข้าช่องแหลมสิงห์ไปทอดที่เกาะช้างข้างน่าตวันออกตรงคลองมะยม ขึ้นเที่ยวน้ำพุที่คลองมะยม น้ำพุที่นี้งามนัก ถ้าใครไปทางนั้นแล้ว ควรจะแวะชมสักเวลาหนึ่ง เข้าในคลองมะยมนิดหนึ่งแล้วก็เดินบกไปอิกหน่อยหนึ่งถึงน้ำพุ ตกลงจากเขาสูง ถ้าอุสาหะอยู่แล้วปีนเขาอ้อมขึ้นไปนิดหนึ่ง ถึงชั้นสองมีลำธารแลเปนห้วง ๆ เหมือนอ่าง แลมีที่น้ำตกอิก ถ้ายังไม่สิ้นอุสาหะก็ให้ปีนต่อไปแลลงเดินตามลำธารข้างอยู่ข้างไกลหน่อย จะไปถึงที่น้ำตกสูงงามมากนัก ที่นี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปหลายครั้ง ได้โปรดให้สลักอักษรเปนพระนามย่อ จ, ป, ร, ไว้ในแท่งศิลาอันหนึ่ง แลลงศักราชปีที่เสด็จพระราชดำเนินไว้ด้วยในที่นั้น กำหนดเรียกว่า จ, ป, ร, ที่ ๑ ถ้าอุสาหะจะปีนต่อไปอิกก็ยังสนุกอิกมาก ต้องปีนอ้อมเขาขึ้นไปอิกหน่อยหนึ่ง แต่ปีนยากด้วยเขาอยู่ข้างชันมาก ต้องเหนี่ยวต้นไม้แลเถาวัลย์ขึ้นไป ไปถึงชั้นบนแล้วเปนที่ราบ ที่นี้ดูเหมือนจะเปนย่าเขา ดูพื้นที่เปนแผ่นดินทีเดียว มีลำธารเปนคลองเหมือนคลองสวน แต่ก่อนต้องเดินในลำธาร เพราะบนบกรกมาก ในท้องธารเปนกรวดก้อนโต ๆ มีศิลาเปนแก่งบางแห่ง ในที่นี้ก็เสด็จพระราชดำเนินถึง เสด็จลุยน้ำที่แก่งนั้น จึงพระราชทานชื่อแก่งนั้นว่าแก่งทรงลุย แล้วเสด็จพระราชดำเนินต่อไปตามลำธารนั้นอิกมากยังไม่สุดลำธาร หมดเวลาต้องเสด็จกลับ แลในที่สุดทางที่เสด็จถึงนั้น โปรดให้จารึกอักษรพระนาม จ, ป, ร, ไว้ที่ก้อนศิลาอันหนึ่งริมลำธาร กำหนดเรียกว่า จ, ป, ร, ที่ ๒ ครั้นเสด็จพระราชดำเนินในคราวหลังอิก โปรดเกล้า ฯ ให้ตัดทางขึ้นได้สดวก ไม่ต้องปีนป่ายมาก แลเสด็จพระราชดำเนินพ้น จ, ป, ร, ที่ ๒ ไปอิกมาก ถึงที่เขาชันมีน้ำตกสูงถึง ๒๓ วา โปรดให้จารึกอักษรพระนาม จ, ป, ร, ไว้กำหนดเรียกว่า จ, ป, ร, ที่ ๓ แล้วเสด็จพระราชดำเนินต่อไปอิก ต้องข้ามเขาลูกหนึ่งสูงจากพื้นทเลถึง ๗๐๐ ฟิต แล้วไต่ไปตามข้างลำธารอิกไกลมากจนหมดเวลา โปรดให้จารึกอักรพระนาม จ, ป, ร, ไว้ที่ก้อนศิลาใหญ่เปนเทือกเขา กำหนดเรียกว่า จ, ป, ร, ที่ ๔ ตามระยะทางในตอนบน ๆ นี้ ยิ่งงามวิจิตรพิศดารด้วยก้อนศิลามากขึ้นทุกทีเหลือที่จะพรรณาให้ปรากฎแก่ผู้ฟังเหมือนตาเห็นได้ แลมีเขาสูงสองข้างลำธารนี้ไปในระหว่างเขา น้ำพุที่นี้ใสบริสุทธิไม่มีหินปูนระคนเหมือนน้ำพุที่อื่น ๆ ซึ่งมักจะระคนด้วยหินปูนจับตามศิลาที่ตกเปนรอยอยู่ ในที่นี้ไม่มีรอยจับเลย มีแต่ตะไคร่น้ำเท่านั้น ในที่ จ, ป, ร, ที่ ๔ นี้สูงแลไกลมาก ผู้ใดได้ไปถึงที่นั้นแล้วนับว่าเปนผู้เลิศในการขึ้นเขาได้

อนึ่งที่เกาะช้างนี้ มีสัตวสี่เท้าสองเท้าอยู่มาก มีคำกล่าวเล่าฦๅว่าแต่ก่อนเสือชุม แต่บัดนี้ไม่ปรากฎชัดเลยว่าใครได้ปะเสือ เปนแต่เล่าฦๅกันมา แลเกาะกลางทเลที่มีสัตวนั้นมีหลายแห่ง มีกวางแลหมูป่าชุมมาก คิด ๆ ดูก็เปนน่าประหลาด ด้วยว่าเกาะอยู่กลางทเล ทำไมจึ่งมีสัตวไปอยู่ได้ ถ้าเปนนกก็ตามทีเถิดเพราะมีปีก สัตวสี่เท้านี้ดูน่าประหลาดมากนัก เล่ากันมาอย่างเหลว ๆ ว่าปลาทเลแก่เข้ากลายเปนสัตวสี่เท้าได้ เรื่องนี้เช่นทิฏฐิของคนที่เห็นสัตวกลายได้ คือปลาไหลกลายเปนพังพอน ไส้เดือนกลายเปนตะพาบน้ำเปนต้น ไม่มีพยานที่จะเห็นจริงได้เลย สัตวที่มีในเกาะได้นั้น คงจะไปจากฝั่งเปนแน่ ที่เกาะช้างนั้นตรงแหลมลิงเปนช่องแคบมาก สัตวคงจะข้ามที่ตรงนั้น ด้วยเห็นตัวอย่างเนื้อที่เกาะหมากเกาะกระดาษ ลงว่ายน้ำทเลข้ามไปข้ามมาได้ แต่เกาะที่ห่างฝั่งมากนั้น ชรอยจะมีผู้เอาเนื้อฤๅหมูไปปล่อยไว้สักสองสามตัว ในกาลครั้งใดครั้งหนึ่ง สัตวนั้นมีอาหารกินบริบูรณ์ ก็สืบพงษ์พันธุ์ต่อไปมากขึ้นทุกที จึงมีสัตวในเกาะสืบมา ที่ปลาจะกลับกลายเปนสัตวสี่ตีนนั้นเหลือวิไสย แต่คนที่เชื่อยังมีมากนัก เชื่อเอาง่าย ๆ ไม่สอบสวนให้เห็นจริงก่อนเลย ยังสัตวเล็กสัตวน้อย เช่นเหี้ย,ตะกวด,ก็มี สัตวเหล่านี้อาไศรยกินฟองจะละเม็ด แลสัตวเล็กน้อยต่อไปอิก แลทีฆชาติงูต่าง ๆ ก็มี สัตวอย่างเล็กคือจิ้งเหลน,กิ้งก่า,ไส้เดือน,กิ้งกือ,ก็มี ตัวแมงต่าง ๆ ก็มี เช่นแมงอไรตัวแดง ๆ ติดกันอยู่เปนหมู่ ๆ แต่สัตวเล็ก ๆ นี้เคยเห็นแต่เกาะสีชัง ที่อื่นจะมีฤๅไม่มีไม่ทราบ จักรจั่นฤาแม่ม่ายลองไนอิกอย่างหนึ่งมีชุมนัก แทบทุกเกาะได้ยินเสียงร้องออกแส้ไป สมกับในหนังสือต่าง ๆ กล่าวไว้หลายแห่ง ดังในมหาชาติกัณฑ์มหาพนกล่าวว่า “หริ่ง ๆ เรไรร้องทุกราวรุกข์ระงมป่า แจ้ว ๆ จักรจั่นจ้าประจำดง” ฤาในนครกัณฑ์กล่าวว่า “เสียงจักรจั่นพรรณเรไรระรี่เรื่อย ฟังนี้ก็ฉ่ำเฉื่อยชื่นอาวรณ์” แลในหนังสือกลอนอื่น ๆ ก็มีอิกมาก จะคัดมาไว้ก็จะฟั่นเฝือยืดยาวเกินไป ๚

๏ วันที่ ๖ ออกเรือจากเกาะช้างไปทอดที่เกาะหมาก ที่เกาะนี้มีปะการังมาก ปะการังนั้นอยู่ใต้น้ำ เปนหิน ๆ เหมือนกับเปลือกหอย มีรูปร่างต่าง ๆ เปนลวดลายวิจิตรงามมาก สีขาวสอาดงามบางอย่างเปนกิ่งก้านสาขาแลมีรูปรุ ๆ บางอย่างเปนกลีบ ๆ เหมือนดอกไม้ บางอย่างเปนก้อนกลม แลมีลวดลาย ยากที่จะพูดให้เข้าใจตามของที่เปนจริงเหมือนตาเห็นได้ ปะการังนี้มีเต็มเกลื่อนไปเปนแห่งๆ ถ้าเรือโดนเข้าก็แตกได้ เปนที่น่ากลัวเหมือนหินโสโครกซึ่งจะกล่าวในภายหลังเหมือนกัน ยังมีของในน้ำอิกอย่างหนึ่งจะเปนต้นไม้ก็ไม่ใช่ จะเปนหินก็ไม่ใช่ คือกัลปังหา เปนกิ่งเหมือนกิ่งไม้ อยู่ใต้ท้องทเล เมื่ออ่อนนั้นสีขาวเปนหินหักเปราะ แก่เข้าเปนสีแดง แก่มากเข้าสีดำเหนียวหักไม่ออก เนื้อเหมือนเขาสัตว มีโตบ้างเล็กบ้าง ที่โต ๆ ใช้ทำด้ามมีด แลทำอไรอไรได้หลายอย่าง ข้างฝรั่งเขาว่าเปนตัวสัตว เพราะเอาขึ้นมาใหม่ ๆ แล้วเหม็นเน่าเหมือนหอย เปนการสมจริงอยู่ อนึ่งในท้องทเลนั้นมีผักอย่างหนึ่งที่เรียกว่าสาหร่าย แต่สีไม่สู้เขียวสดนัก ใช้ทำอไรได้บ้างไม่ทราบ เห็นมีลอยเกลื่อน ๆ อยู่ในทเลเปนแห่ง ๆ อนึ่งที่เกาะหมากนี้มีต้นไม้อย่างหนึ่งเรียกว่ามะพร้าวสีดา มีผลขนาดหมากเหลาหลกใหญ่ ๆ รูปร่างก็คล้ายหมากเหลาหลก มีแก่นข้างในเปนกระลา แลมีเนื้อในเหมือนลูกกระทิง ใช้ทำกระบวยได้ใหญ่กว่ากระบวยลูกกระทิงแลที่อื่น ๆ ก็มีบ้าง แต่ไม่สู้มากเหมือนที่เกาะหมากนี้ ๚

๏ วันที่ ๗ เช้าออกเรือจากเกาะหมากไปทอดที่เกาะกูฏ การเที่ยวทเลนี้มีอันตรายสองอย่างซึ่งถูกกันโดยชุกชุม คือหอยเม่นอย่าง ๑ เห็บอย่าง ๑ หอยเม่นนั้นเปนหอยอยู่ในทเล แต่รูปร่างแปลกประหลาดมาก มีเปนตัวอยู่สักเท่าลูกจันทน์ รูปร่างก็แบน ๆ รี ๆ คล้ายลูกจันทน์ มีหนามรอบตัวสีดำ ๆ ยาวประมาณ ๘ นิ้ว ๙ นิ้วฤาคืบหนึ่ง แต่หนามนั้นไม่แขงไม่เหนียว อ่อนแลเปราะยุ่น ๆแลกลวงในแต่ปลายแหลม มักจะแทงฝ่ามือฝ่าเท้า ถ้าแทงแล้วบ่งก็ไม่ออก ยิ่งบ่งยิ่งยุ่นแลฝังเข้าไปในเนื้อบวมปวด ต้องขยี้แลทาปูน เมื่อถึงกำหนดที่จะหายก็หาย ในเวลาเมื่อหอยเม่นนั้นอยู่ในน้ำมักอยู่เปนขยุ้ม แลดูดำเปนหมู่ ๆ ครืดไปทั้งนั้น ถ้าพิจารณามองดูใกล้ ๆ เห็นที่ปากนั้นเปนสีขาวสีเขียวงามมาก ตัวหอยนั้นถ้าตายแล้วเราะหนามออกเสีย เอาแต่เปลือกมาร้อยเปนพวงสำหรับเด็ก ๆ เล่น เห็บนั้นเปนแมงอย่างหนึ่งคล้าย ๆ กับเรือด แต่ร้ายยิ่งกว่าเรือด เมื่อเวลากัดนั้นไม่รู้สึก กัดจนตัวฝังเข้าไปในเนื้อ นานเข้าจึงรู้สึกออกเจ็บ ๆ พอถูกเข้าแล้วออกเจ็บแกะก็ไม่ออก ต้องแขงใจจับให้มั่นแล้วกระชากออกมาเต็มแรงจึ่งออก เนื้อติดออกมาเปนแว่นทีเดียว แผลที่เห็บกัดนั้นไม่ใคร่จะหายเลย แห้งเปนสเก็ดแล้วสเก็ดล่อนออกมา แล้วเปนสเก็ดอิก กล่าวกันว่าถึงสามสิบสามสเก็ดจึงหาย แต่ก็ไม่ต้องรักษาอไรมาก ทิ้ง ๆ ไว้นานเข้าก็หายเอง อันตรายสองอย่างนี้เยนอันตรายอย่างเตี้ย ๆ แต่มักมีคนถูกกันชุม ถ้าถูกแล้วอยู่ข้างเดือดร้อน ๚

๏ วันที่ ๘ เช้าออกเรือจากเกาะกูฏไปทอดที่เกาะกง ที่ตามฝั่งหลังเกาะกงเข้าไป เปนศิลาน่านั่งนอนสนุกมาก คนมาเที่ยวทเลนั้น ถึงทเลจะใหญ่กว้างเปนที่อยู่ของฝูงปลาเปนอันมากก็จริง แต่ไม่ใคร่จะมีใครได้เห็นปลาเลย ที่มีในหนังสือแต่งชมปลากะโห้โลมาราหูเปนต้น นั้นเปนของเขาแต่งให้ไพเราะ ปลาที่จะเห็นได้ตามที่เคยเห็นนั้น คือ ปลาบินอย่างหนึ่งตัวเล็ก ๆ ขนาดสองนิ้วมือขึ้นเปนฝูงใหญ่ตั้งหมื่นตั้งพัน โดดขึ้นจากน้ำสูงประมาณสองสามศอก ตามกันเปนฝูงใหญ่ ๆ ดูงามมาก เขาเรียกว่าปลานกกระจอก ปลาโลมาอิกอย่างหนึ่ง โตประมาณเท่าหมูอย่างกลาง ๆ ขึ้นเปนหมู่ ๆ มีกระโดงที่หลัง มักชอบว่ายน้ำแข่งเรือ ว่ายเร็วมาก เรือไฟแล่นตามไม่ทัน ว่ายจม ๆ ไปพอแลเห็นหลังดำ ๆ แล้วโผล่ทีหนึ่งโผล่ตามกันเปนฝูง ๆ มีมาก ฝูงหนึ่งหลาย ๆ สิบตัว น่าชมน่าพิศวงมาก บางอย่างสีขาวก็มี ปลาอิกอย่างหนึ่งจะเปนปลาวานฤาปลาอไรไม่ทราบ แลไม่เห็นตัว พ่นน้ำอย่างสูงที่สุด เห็นแต่น้ำพุ่งตรงขึ้นจากท้องทเลสูงถึงสามศอกสี่ศอก แลดูงามเหมือนน้ำพุ นานนานเห็นครั้งหนึ่ง ปลาฉลามอิกอย่างหนึ่ง ไม่ใคร่เห็นตัวในน้ำ เห็นแต่เขาลงอวนได้ตัวเล็ก ๆ เปนปลาฉลามหนู ปลาฉลามใหญ่นั้นไม่เคยเห็นตัว คนที่เขาเคยเห็นเขาว่าตัวใหญ่มาก แลว่าเปนปลาดุร้ายอย่างเอก ในท้องทเลเปนที่เกรงขามกันนัก เหมือนหนึ่งเสือในทเล มีชุมเปนแห่ง ๆ ถ้าคนตกในทเลที่มีปลาฉลามแล้วก็ต้องเปนเหยื่อของปลาฉลาม แลเขาเล่าว่าที่สัตตหีบแต่ก่อนนี้เปนที่สลัดปล้นเรือชุม ถ้ามีเรือลูกค้ามาที่นั้นแล้วพวกสลัดเข้าล้อมยิงฆ่าเจ้าของเรือตายแล้วปล้นเอาของ ปลาฉลามเคยได้กินทรากศพ จนถึงว่าถ้าใครไปยิงปืนขึ้นที่นั้นแล้ว ปลาฉลามขึ้น เพราะเคยได้กิน แต่เปนการเก่าแก่มานานแล้ว เดี๋ยวนี้ถ้าจะเอาปืนไปยิงที่สัตตหีบ ปลาฉลามก็คงไม่ขึ้น เพราะสลัดในแถบนั้นเดี๋ยวนี้ไม่มี เรือค้าขายไปมาได้สบาย ถึงการที่ยิงปืนปลาฉลามขึ้นนี้ก็หนักใจอยู่ จะเอาเปนจริงแท้นักไม่ได้ พักนอนที่เกาะกงคืนหนึ่ง เวลากลางคืนหอมดอกไม้รื่นมาจากเกาะ ชาวบ้านแถบนั้นเขาว่าดอกสเดาป่า ดูหอมฟุ้งมาได้ไกลมาก สมกับคำกลอนที่มีในเรื่องหนังสืออิเหนา เมื่ออุณากรรณเดินดงว่า “ลมหวนอวลกลิ่นบุหงา หอมตลบอบมาแต่ป่าใหญ่ เหมือนเมื่ออยู่ในถ้ำอำไพ รวยรื่นชื่นใจด้วยมาลา” แลในเรื่องอื่น ๆ ที่ชมดงมีอิกหลายแห่ง ยกมาว่าพอเปนตัวอย่าง แต่แรกหมายว่าจะเปนการไม่จริง เปนแต่แกล้งแต่งให้เพราะ เมื่อมาพบเข้าดังนี้แล้ว ต้องยอมเห็นว่าหนังสือที่แต่งชมดงนั้นว่าตามการที่เปนจริง ไม่สักแต่ว่าให้เพราะเท่านั้น ๚

๏ วันที่ ๙ ออกเรือจากเกาะกงไปเกาะเสม็ด ที่เกาะนี้เกือบจะสุดแดนไทยอยู่แล้ว ไปอิกหน่อยหนึ่งก็ถึงอ่าวกะพงโสมแดนเขมรขึ้นเที่ยวบนเกาะ ที่เกาะนี้มีกล้วยไม้มาก ต้นไม้ต่าง ๆ ก็มีมาก เครื่องยามีสารพัด เนื้อแลหมูป่าก็มี แลในแถบนี้มีเบี้ยใหญ่ ๆ ที่ใช้ขัดผ้าชุมมาก เบี้ยนี้ถ้าพิจารณาดูแต่เปลือกแล้วก็จะเห็นว่าข้างป้านเปนหัว ข้างแหลมเปนก้น ต่อมาเห็นตัวเปน ๆ จึงรู้ได้ว่าข้างแหลมนั้นเปนข้างหัว เนื้อนั้นสีดำ ๆ ขาว ๆ ออกสกปรกเหมือนทากโผล่ออกมาจากเปลือกนั้นคลานไปได้ ที่อาไศรยนั้นอยู่ในท้องทเลตามซอกปะการัง คนลงงมจึงจับได้ แลในท้องทเลที่ปนอยู่กับปะการังนี้ มีหอยอิกอย่างหนึ่งเรียกว่าหอยมือเสือ เปนหอยอยู่กับที่เดินไปไหนไม่ได้ มีรากฝังอยู่ในทรายโตขนาดเท่าลูกมะพร้าว กายข้างหนึ่งก็เท่ามะพร้าวผ่าซีก เปลือกเปนริ้ว ๆ ใหญ่ ๆ มีเนื้อกินได้ ในเวลาเมื่อมันอยู่ในทเลนั้น มันอ้ากายออกเปนที่น่ากลัวนัก ถ้าคนลงเดินลุยทเลไม่ทันสังเกต เอาเท้าเหยียบลงไปในกายที่มันอ้าอยู่แล้ว มันจะงับเอาเท้าขาดทีเดียวด้วยกายมันคมนัก ยังมีของน่าเกลียดอิกอย่างหนึ่งที่กลับมาเปนอาหารอย่างดีได้ คือปลิงทเลตัวกลมๆ ยาวๆ ขนาดเท่าข้อมือเด็ก ๆ บ้าง เล็กกว่าบ้าง โตกว่าบ้าง ยาวอยู่ในหกนิ้วเจ็ดนิ้ว มีสองอย่าง อย่างหนึ่งเกลี้ยง ๆ อย่างหนึ่งเปนหนาม ๆ นอนกลิ้งอึดทึดเปนพรหมลูกฟักอยู่ในท้องทเล ตามริมหาดคนเขาเที่ยวเก็บมาเอามาต้มให้สุกแล้วย่างให้แห้ง เอามาขายกันเปนสินค้าอย่างดี จีนใช้ทำของกินเจือในเกาเหลาบ้าง เจิอน้ำตาลกินเปนของหวานเหมือนวุ้นบ้าง รศชาดอร่อยดี ถ้าไม่เห็นตัวแล้วกินได้สบาย ถ้านึกถึงตัวเปน ๆ ขึ้นมาแล้วกินไม่สนิท ออกสอิดสเอียน ค้างที่เกาะเสม็คคืนหนึ่ง ๚

๏ วันที่ ๑๐ ออกเรือจากเกาะเสม็ดแต่เช้ามืด ตัดตรงขึ้นมาเกาะกระดาษ ถึงบ่ายหน่อย ขึ้นเที่ยวบนเกาะ เกาะในทเลนี้มีสองอย่าง คือเกาะมีเขาอย่างหนึ่ง เกาะไม่มีเขาอย่างหนึ่ง เกาะที่มีเขานั้นแลเห็นได้แต่ไกล เกาะที่ไม่มีเขาเห็นได้ต่อเมื่อเข้าใกล้ อนึ่งแผ่นดินที่จดกับน้ำในทเลนั้นมีประเภทเปน ๑ อย่าง คือเปนเขาจดถึงน้ำอย่าง ๑ เปนหาดทรายอย่าง ๑ เปนป่าถึงริมน้ำอย่าง ๑ ที่เกาะกระดาษนี้เปนเกาะไม่มีเขา มีเบี้ยเล็ก ๆ ชุม เรี่ยรายไปตามหาดทั่วไป เดินไปตามหาดประเดี๋ยวหนึ่งก็เก็บได้เปนกอง เกาะที่มีเบี้ยชุมนี้มีเปนแห่ง ๆ ไม่มีทั่วไปทุกเกาะ แต่เบี้ยนั้นไม่เหมือนเบี้ยจักกระจั่นฤๅเบี้ยไทยที่มีมงคลข้างบนแลเบี้ยอีแก้ เปนเบี้ยรูปยาว ๆ คล้ายเบี้ยหมู แต่เปนสีม่วง ๆ เหมือนเมล็ดมะปรางฤๅเหมือนหัวหอมที่เปนลายอย่างเบี้ยหมูก็มีบ้าง ยังมีหอยอิกอย่างหนึ่ง ถึงคนที่ได้เคยไปทเลก็คงเคยได้กิน คือหอยเสียบ มีรศอร่อยนัก กินกับเข้าต้มก็ได้เข้าสวยก็ได้ แต่อยู่ข้างเค็มหน่อยเพราะเขาดองน้ำเกลือต้องบีบน้ำมะนาวจึงจะดี หอยเสียบนั้นหมกอยู่ในทราย มีชุมเปนแห่ง ๆ ที่เกาะกระดาษนี้ก็มีชุม แต่ยังไม่สู้ที่เกาะเสม็ดนอก ที่นั้นชุมมากกว่านี้ เอามือคุ้ย ๆ ลงที่หาดทรายตื้น ๆ ก็ปะถมไป คนเขาเที่ยวหานั้นมีถังใบ ๑ กับไม้แป้นอัน ๑ สำหรับขุด ประเดี๋ยวเดียวก็ได้เกือบครึ่งถัง พวกเราที่ไปไม่ต้องการจะเอามากิน เปนแต่ขุดเล่น แล้วเอาวางลงที่หาดที่คลื่นซัดถึง พอคลื่นซัดมาถูกตัวหอยเข้าก็แลบเนื้อออกมาจากกาย เสียบลงในทรายตั้งตัวขึ้น พอคลื่นซัดมาอิกก็จมลงไปอิกทีละน้อย คลื่นซัดมาสองสามทีก็จมมิดตัว เขาพอใจขุดขึ้นแล้วเอามาวางให้มันลงหมกทรายแข่งกันว่าของใครจะมิดตัวก่อน ด้วยกิริยาที่เสียบลงในทรายดังนี้แลจึงเรียกชื่อว่าหอยเสียบ เที่ยวเกาะกระดาษแล้วพักนอนที่น่าเกาะกระดาษคืนหนึ่ง ๚

๏ วันที่ ๑๑ แต่เช้ามืดออกเรือจากเกาะกระดาษมาเกาะช้างเข้าที่ช่องสลักเพ็ชร ขึ้นเที่ยวบ้านสลักเพ็ชร ทางที่ขึ้นไปนั้นเปนลำคลอง สองข้างคลองมีไม้โกงกางมาก ตามธรรมดาของลำคลองแลแม่น้ำที่อยู่ชายทเล ไม้ที่มีในที่ใกล้ทเลเหล่านี้มีอยู่สองสามอย่าง คือไม้แสมอย่างหนึ่งเห็นแต่ไกล ๆ พรรณาลักษณะไม่ใคร่ได้นัก ประโยชน์ที่ใช้นั้นตัดลำต้นเปนฟืน ใช้การทั่วไปมาก ไม้ลำพูอย่างหนึ่งมักขึ้นตามเลน มีรากแทงขึ้นมาแหลม ๆ ตามใต้ต้น มีหิ่งห้อยจับเวลากลางคืนแล้วเห็นพราวไปทั้งนั้น ดูงามดีมาก ประโยชน์ที่ใช้ไม่ใคร่ปรากฎนัก เปนแต่รากใช้ทำของใช้เบ็ดเตล็ดเช่นจุกขวดเปนต้น แลทำจรเข้ของเล่นเด็ก ๆ ก็ได้บ้าง ไม้ตะบูนอย่างหนึ่ง เปนไม้ใหญ่ ต้นแจ้ๆ มีผลโตขนาดเท่าผลมะขวิด ห้อยอยู่ตามต้น ประโยชน์ที่ใช้นั้นใช้ตัดลำต้นเปนฟืนบ้าง เผาเปนถ่านบ้าง ใช้การได้มาก ไม้โกงกางอย่างหนึ่ง เปนไม้ใหญ่ใบหนาแลทึบ รากขึ้นมาเก้งก้างอยู่ตามโคนต้น ประโยชน์ที่ใช้เหมือนไม้ตะบูน ใช้ได้ทั้งถ่านทั้งฟืน อิกอย่างหนึ่งเรียกไม้โกงกอน เหมือนกับไม้โกงกางทุกอย่างทั้งรูปพรรณสัณฐาน แลประโยชน์ที่ใช้แปลกกันอยู่ แต่ต้นสูงกว่าต้นโกงกางแลตรงมาก ต้นโกงกางนั้นกิ่งก้านสาขาชักเรือนต้นแบนไป เที่ยวสลักเพ็ชรแล้วพักทอดนอนที่นั้นคืนหนึ่ง ๚

๏ วันที่ ๑๒ เที่ยงแล้วออกเรือจากเกาะช้างมาเข้าปากน้ำเมืองจันทบุรี ทอดนอนที่แหลมสิงห์ เมื่อมาตามทางบ่ายนี้ ได้เห็นลมดูดน้ำในทเล ฝรั่งเรียกว่า ออเตอสเปาต์ ข้างจีนเขาว่ามังกรพ่นน้ำ ลมดูดน้ำนี้คนเดินเรือในทเลได้เห็นเนือง ๆ แลแต่ไกลเปนลำโตประมาณเท่าลำตาลฤาโตกว่าบ้างเล็กกว่าบ้าง สีดำเหมือนเมฆเวลามืดฝน ลำนี้ตั้งขึ้นจากน้ำไปจดเมฆ ข้างล่างที่จดน้ำเรียวหน่อยหนึ่ง ข้างบนอยู่ข้างโต แล้วบานแผ่ออกไปจดเมฆ เมื่อแรกเปนนั้นดำมืดมาก นานเข้าก็ทางออกไปทุกที จนปลายข้างจดน้ำนั้นขาด ส่วนบนก็หดสั้นหายเข้าไปในเมฆ เขาว่าเปนด้วยลมบ้าหมูอย่างแรง ชักดูดเอาน้ำในทเลขึ้นไปบนอากาศ ถ้าเรือแล่นเข้าไปใกล้ก็อาจจะเปนอันตรายถึงกับล่มจมอับปางได้ เมื่อเวลาที่เปนขึ้นใกล้เรือแล้ว ถ้ามีปืนใหญ่ต้องยิงปืนใหญ่ที่ตรงนั้น เมื่อยิงปืนแล้วลำที่ตั้งขึ้นนั้นก็ขาด เรือก็รอดพ้นอันตรายไปได้ ๚

๏ วันที่ ๑๓ เช้าออกเรือจากแหลมสิงห์ปากน้ำจันทบุรี มาทอดที่เกาะเสม็ด ในระยะทางนี้มิศิลาใต้น้ำ เรียกกันตามภาษาชาวทเลว่าโสโครก หินโสโครกนี้มีมากหลายแห่ง เปนที่น่ากลัวอันตรายแก่เรือมาก ถ้าแล่นไปโดนเข้าแล้วเปนบอกจบได้ โสโครกนี้บางแห่งมีมากบางแห่งมีน้อย ที่มีทุ่นทอดบอกไว้ก็มี เช่นที่เกาะเสม็ดนี้ก็มีโสโครก มีทุ่นทอดอยู่เหมือนกัน ศิลานี้อยู่ฦกก็มีตื้นก็มี อย่างฦกเวลาน้ำลงอย่างต่ำพอแลเห็นอยู่ใต้น้ำ อย่างตื้นถึงเวลาน้ำขึ้นก็เห็นได้ อย่างที่ไม่ขึ้นพ้นน้ำ ฤาบางอย่างขึ้นมาโผล่เสมอน้ำ คลื่นตีกระทบเปนฟองขาวจึงสังเกตได้ อาการที่คลื่นกระทบเช่นนั้นเรียกกันว่าเล่นน้ำ แต่ถึงจะเปนที่น่ากลัวก็ดี ชาวเรือเขาชำนาญสังเกตได้ว่า ที่ตรงนั้นตรงนี้มีโสโครก พวกเรือปลามักจะไปหาปลาในที่โสโครกนั้น เพราะปลามักจะไปอาไศรยอยู่ในที่เช่นนั้นชุกชุม ที่เกาะเสม็ดนี้เปนแขวงเมืองระยอง เมืองระยองที่ขึ้นชื่อฦานามในการทำเยื่อเคยดี จนเรียกชื่อว่ากะปิระยอง เยื่อเคยแลน้ำปลาดีไปจากเมืองระยองโดยมาก เขาทำด้วยกุ้งตัวเล็ก ๆ มีวิธีทำพิศดาร แต่ไม่ควรกล่าวในที่นี้ เพราะเปนวิธีที่จะแต่งได้อิกเรื่องหนึ่งต่างหาก พักนอนเกาะเสม็ดคืนหนึ่ง ๚

๏ วันที่ ๑๔ ออกเรือเช้า ข้ามผ่านอ่าวระยองมาเข้าช่องแสมสาร ทอดที่สัตตหีบ เวลาเย็นขึ้นเที่ยวเล่นเก็บหอยเก็บปูที่หาดทราย มีหอยแลกรวดงาม ๆ มาก ที่สัตตหีบนี้ไม่สู้ชุมนักทั้งหอยแลกรวด หอยมีชุมที่นอก ๆ ออกไปเช่นเกาะกระดาษเปนต้น กรวดมีชุมที่เกาะคราม กรวดนี้ก็เปนธาตุอันเดียวกันกับศิลา แต่ศิลาเปนของใหญ่ กรวดเปนของเล็ก กรวดก็คือชิ้นศิลาเล็ก ๆ นั้นเอง กรวดนี้มีสีต่างๆ ดำก็มี แดงก็มี เหลืองก็มี ขาวก็มี เขียวก็มี สมกับคำที่ท่านชมสีศิลาไว้ในมหาชาติกัณฑ์มหาพนว่า “มีพรรณเขียวขาวแดงดูอดิเรก ดังรายรัตนนพมณีแนมน่าใคร่ชม” หอยต่าง ๆ ที่งาม ๆ ดี ๆ มีมาก หอยเล็กชนิดหนึ่ง ชาวทเลเขาเรียกหอยอไรไม่ทราบ พวกชาวเราที่ไปเที่ยวสมมุติเรียกกันว่าหอยสิงโต ตัวเล็ก ๆ ขนาดเม็ดมะกล่ำตาช้าง รูปแบน ๆ แลเปนรอยเวียนตามลักษณที่มาบัญญัติเรียกลายมือลายเท้า ที่วงเวียนเข่นขดเข้าไปว่าลายก้นหอย เพราะก้นหอยมันเวียน ๆ ดังว่ามานี้ ใช่แต่หอยสิงโตอย่างเดียว หอยอื่นก็มีก้นเวียนเช่นนั้นโดยมาก แต่เวียนซ้ายเปนอุตราวัฏทั้งนั้น ที่เวียนขวาเปนทักษิณาวัฏหายาก ถ้าใครพบมักจะเปนของวิเศษถึงทูลเกล้า ฯ ถวายได้ เช่นสังข์ทักษิ์ณาวัฏ หอยสิงโตนี้มีสีงาม ๆ ต่าง ๆ กัน ที่สีแดงก็แดงสุกสดเปนสีทับทิม, สีลิ้นจี่, สีบานเย็น, ที่เปนสีเมล็ดมะปรางก็มี ม่วงก็มี เหลืองก็มีแลมีลายสลับต่าง ๆ หอยอิกอย่างหนึ่งรูปเหมือนหอยสังข์ แต่เล็กกว่า ขนาดเท่าลูกหมากดิบเท่านั้น ชาวทเลเขาเรียกหอยอไรมิรู้ จุ๊ ! อไรหนอนึกไม่ออกเสียแล้ว ดูเหมือนที่เกาะสีชังเขาเรียกหอยแหวนฤๅกะไรแหละ แต่พวกเราบัญญัติเรียกกันว่าหอยสังข์ เพราะมันเหมือนสังข์ หอยเช่นนี้ก็อยู่ข้างมีชุม หอยอิกอย่างหนึ่งที่เขาเอามาเปนเบี้ยหมากรุกรูปกลม ๆ แบน ๆ นูนน่าหนึ่ง ราบน่าหนึ่ง เขาเรียกว่าหอยตาวัว เขาว่าเอาน้ำมะนวบีบเข้าแล้วเดินไป ช่างเถอะ! เขาหลอกให้นะ! เปนการไม่จริงเลย แต่แรกหมายว่าอ้ายกลม ๆ นั้นและเปนตัวหอย ที่แท้ก็เปนฝาสำหรับอุดปากเท่านั้น ตัวมันมีต่างหาก รูปคล้ายหอยขม แต่เขื่องกว่า ที่ตามแถบทเลตวันออกนี้ตัวไม่สู้ใหญ่ ข้างแถบตวันตกใหญ่ ๆ มาก จนอ้ายกลม ๆ ที่อุดปากนั้นโตเท่างบน้ำอ้อยก็มี หอยกาบอิกชนิดหนึ่งอยู่ข้างมีชุม รูปร่างเหมือนหอยเสียบไม่ผิดอไรเลย แต่โตกว่าหอยเสียบมาก มีสีแลลายต่างๆ สีม่วง, สีเหลือง, เปนพื้น หอยนอกจากนี้ยังมีอิกหลายอย่างแต่ไม่สู้ชุม แลที่รู้จักชื่อก็มี ไม่รู้จักก็มีชื่อนั้นก็มักเปนชื่อที่เราบัญญัติเรียกขึ้นเองโดยมาก จะว่าถึงแต่ที่ตัวใหญ่ๆ แลที่รู้จักชื่อ คือหอยนมสาว รูปร่างเหมือนหอยสิงโตแต่เขื่องมากกว่าหอยสิงโตหลายเท่า หอยสังข์หนามรูปร่างคล้ายสังข์ แต่มีหนามแหลม ๆ รอบตัว แลมีพวยยาวกว่าหอยสังข์หอยพลูจีบฤๅหอยพระเจดีย์ รูปยาว ๆ ขดเปนเกลียวก้นหอยปลายแหลมเรียว ยังหอยเล็กหอยน้อยอิกเปนอันมากเหลือจะพรรณากล่าวแต่ที่เห็นแลรู้จักกันโดยมาก

ยังมีสัตวอิกอย่างหนึ่งที่เปนโจรของหอย เรียกว่าตัวสามสวนฤาเสฉวน มีก้ามสองก้าม แลมีหนวดเครายุ่มย่ามแลก้นแหลม มีลักขณะคล้ายกุ้งมาก มักเข้าอยู่ในหอย เดินไปไหนก็ลากเอาหอยไปด้วย แต่แรกเห็่นหมายว่าหอยทเล เนื้อมันเปนเช่นนั้น แลมันเดินเร็วดังนั้น ต่อเขาบอกจึงได้รู้ความว่ามันจับหอยกินเนื้อเสียแล้วแย่งเอาเปลือกเปนที่อาไศรย พวกเราที่ไปเที่ยวเห็นเข้าอยากจะรู้ว่าตัวมันเปนอย่างไร คิดอ่านฉุดลากมันออกมาก็ไม่ออก อยู่ข้างหวงเปลือกหอยมาก ต้องเอาไฟลนก้นหอย มันร้อนเหลือทนเข้าจึงออกมาหมด ก้นแหลมเปนยางเหนอะหนะสกปรก รอยมันเดินตามหาดทรายเปนทางไปเหมือนตีนตะขาบ

ยังมีสัตวอิกอย่างหนึ่งที่มีชุกชุมตามหาดทราย คือปูลม มันอยู่รูตามหาดทรายนั้นเอง วิ่งเร็วเปนที่สุด ที่ได้ชื่อว่าปูลม ก็เพราะอาไศรยความที่วิ่งรวดเร็วเสมอด้วยลมพัดนี้แลมาบัญญัติเปนชื่อ เราไล่จับมันไม่ใคร่ทันเลย มันวิ่งปราดเดียวลงรูหายไปเงียบ เราอยากได้ตัวมันทนขุดรูตามเข้าไป รูนั้นอยู่ข้างฦกซึ้งมาก ไม่ใคร่จะได้ตัวมันเลย ลางทีทรายก็พังทับอุดรูเสียเลยไม่เห็น บางทีก็พอจับตัวได้บ้าง

ที่หาดแขวงสัตตหีบแสมสารนี้มีหญ้าอย่างหนึ่ง มีลูกกลมเปนหนามแหลมรอบตัว อย่างใหญ่เท่าลูกมะพร้าว อย่างเล็กเท่าส้มเรียกว่าลูกลม ถ้าเวลาลมพัดแล้วกลิ้งไปตามหาดทรายได้ไกล ๆ มาก เปนเครื่องเล่นของพวกเราอย่างหนึ่ง ที่เอาไปวางให้มันกลิ้งแข่งกันเปนการสนุก พักนอนสัตตหีบ ฯ

๏ วันที่ ๑๕ ออกเรือจากสัตตหีบมาพักนอนที่บางพระ ระยะทางวันนี้ผ่านบ้านนาเกลือมา ที่มีนามหมู่บ้านว่าบ้านนาเกลือ น่าจะเข้าใจว่าทีนี้เขาทำนาเกลือ ครั้นสืบสวนเข้าก็ได้ความว่าหาได้ทำนาเกลือไม่ ชรอยจะเปนที่เขาทำนาเกลือมาแต่โบราณ นามอันนั้นจึงติดมา การทำนาเกลือในบัดนี้ ทำกันอยู่ทางแขวงเมืองสมุทสาคร สมุทสงคราม เพ็ชรบุรี เกลือนี้ก็ทำด้วยน้ำเค็มในทเลนั้นเอง ข้าพเจ้าได้เห็นตามแอ่งศิลาที่ชายทเล ซึ่งคลื่นซัดน้ำเค็มขึ้นไปค้างอยู่ แล้วแลถูกแสงแดดแผดเผาแห้งไปนั้น เปนแผ่นขาว ๆ บริสุทธิงามดี แต่มาชิมดูรศเค็มขมเปนดีเกลือทีเดียว ข้าพเจ้าได้ลองเอาน้ำเค็มมาเคี่ยวลองดูว่าจะเปนอย่างไรบ้าง ครั้นงวดเข้าก็เปนดีเกลือเหมือนกัน แต่ไม่สู้ขาวบริสุทธิเหมือนดีเกลือที่ค้างอยู่ตามแอ่งศิลา แต่ที่จะทำให้เปนเกลืออย่างที่เราบริโภคกันนี้มีวิธีพิศดาร ต้องไขน้ำผ่อนกันไปหลายชั้น เขาว่าเมื่อเกลือแห้งได้ที่แล้ว ที่ตรงกลางเปนดีเกลือ รอบนอกเปนเกลือ แลเกลือที่ทำด้วยน้ำเค็มนี้เรียกว่าเกลือสมุทร เปนเกลือที่ชาวเราบริโภคอยู่ เกลือที่บังเกิดแต่สิ่งอื่นก็มี เช่นเกลือสินเธาว์เปนต้น ชาวเมืองที่อยู่ห่างทเลไม่สามารถะหาเกลือสมุทรบริโภคได้ ก็ต้องบริโภคเกลือสินเธาว์ ชาวยุโรปเขาบริโภคเกลือแร่ สีขาวบริสุทธิมากกว่าเกลือสมุทรที่เราบริโภคกันอยู่นี้ ที่พรรณามานี้อยู่ข้างยืดยาวเพลิดเพลินเกินไปเสียแล้ว เรื่องที่กล่าวนี้ตั้งใจจะกล่าวด้วยการในทเล ไม่เกี่ยวกับเกลือแร่เกลือสินเธาว์ ขอยุติกลับพรรณาถึงการทเลต่อไป

เมื่อแล่นเรือมาวันนี้ ได้แลเห็นมูลปลาวานลอยอยู่ในน้ำเปนเทือกยาวสุดสายตาสีเหลือง ๆ มัวๆ เปนฟอง ๆ เมื่อเรือแล่นผ่านไปใกล้ ได้กลิ่นเหม็นคาว ๆ ขื่น ๆ มูลปลาวานนี้เปนนามศัพท์ที่ชาวทเลกำหนดเรียกขึ้นโดยเดาว่าปลาวานจะถ่ายมูลไว้ แต่ข้างนักปราชญ์ฝรั่งเขากล่าวว่าเปนสัตวอย่างหนึ่ง ฤาไนยหนึ่งว่าเปนฟองของปลาทเล จะเปนอไรแน่ยังไม่มีสิ่งที่จะสอบให้เห็นเปนพยานได้ มูลปลาวานนี้ลอยมาเปนเทือกใหญ่ มีเปนคราว ๆ ชาวบ้านชาวเกาะเขาเล่าว่า ถ้าซัดมาขึ้นที่หาดแล้วเหม็นอยู่หลาย ๆ วัน ต่อฝนตกจึงจะหายไป บางคนเขาว่ามูลปลาวานนี้แลแห้งเข้าเปนอำพัน ที่เรียกว่าอำพันคี่ปลา

ของที่ลอยในน้ำ ที่ใด้เห็นชุกชุมมีอิกอย่างหนึ่ง คือแมงกะพรุน สีขาว ๆ เหมือนวุ้น ศีศะกลม ๆ มีหางเปนสาย ๆ รุงรัง อย่างใหญ่ประมาณเท่าลูกมะพร้าวแก่ อย่างย่อมก็เท่ามะพร้าวอ่อน แลที่เล็กจณเท่าผลส้มก็มี มักจะพบชุมเปนแห่ง ๆ ตามที่ปากอ่าวมักจะมีมาก ถ้าปะหมู่ใหญ่แล้วดูออกเต็มไปทั้งนั้น เนื้อมันออกยุ่น ๆ คล้ายวุ้น แต่อ่อนกว่าวุ้น แลดูอยู่ข้างจะเปื่อย กระทบแจวฤากระเชียงฤาเอาไม้เขี่ยเข้า ก็ขาดฉีกออกโดยง่าย มันว่ายน้ำได้ด้วยเครื่องรุงรังที่หางนั้นเอง เขาว่าพวกจีนทำแท่ ฤา แช่ ที่เราเอามายำแลมาจิ้มน้ำพริกเผากินกันอยู่นี้ ว่าทำด้วยแมงกะพรุนนี้เอง

อนึ่งผู้ที่เดินเรือในทเลมักจะได้เห็นพระอาทิตย์พระจันทร์ เวลาอุไทยแลอัษฎงค์เนืองๆ เวลาอุไทยนั้นเห็นแสงสว่างสางๆ ก่อน แล้วแสงนั้นก็สว่างขึ้นทุกที จึงเห็นดวงพระอาทิตย์โผล่ขึ้นจากขอบน้ำที่จดกับขอบฟ้า มีสีอันแดงแลดวงโตมาก แลไม่มีแสงสู้ส้าที่จะบาดตาให้แลไม่ได้นั้นด้วย ต่อโผล่ขึ้นพ้นน้ำแล้วแลค่อยสูงขึ้นดวงก็ย่อมเข้า มีแสงอันแปรดแปร๋แรงกล้าขึ้นจนไม่อาจจะแลด้วยตาเปล่าได้ เวลาอัษฎงค์ก็มีลักษณเช่นนี้เหมือนกัน พอเย็นเข้าพระอาทิตย์ค่อยตกต่ำลง ดวงค่อยโตขึ้น แสงอันส่องจ้าคลายไปออกเปนสีแดงจัดกว่าเวลาอุไทย แลดูท้องฟ้าในที่ใกล้ก็แดง ต่ำลงต่ำลงจดขอบน้ำ แล้วก็จมลง ๆ เฮือก ๆ ลงไป เปนที่น่าดูมากกว่าเวลาอุไทย จมไปจมไปประเดี๋ยวก็ผลุบหาย ในระหว่างตั้งแต่ขอบพระอาทิตย์จดถึงน้ำจนจมมิดดวงไปนั้น อยู่ใน ๓ มินิตเศษ ๆ เท่านั้น ได้เอานาฬิกาตั้งลองดูหลายหนแล้วไม่เกินไปกว่านี้ แต่เศษสกันด์นั้นผิด ๆ กันไป เพราะตามตำราโลกสัณฐานฝ่ายยุโรป (ซึ่งมิได้กล่าวถึงเขาพระสุเมรุแลเขาสัตตบริภัณฑ์นั้น) เขากล่าวด้วยโลกสัณฐานเดินรอบพระอาทิตย์ แลหมุนเวียนอไรต่าง ๆ นั้น แต่ในที่นี้ไม่ประสงค์จะกล่าวให้พิศดารทั่วไปถึงโลกสัณฐานทั้งปวง จะกล่าวแต่เฉภาะเรื่องพระอาทิตย์เท่านี้ การที่พระอาทิตย์จมลงช้าบ้างเร็วบ้างนั้น เป็นที่พิภพเดินเวียนรอบพระอาทิตย์นั้น มิได้เวียนไปโดยกลมตามรูปวงเวียน ย่อมเดินซัดรีไป เวลาที่พิภพเดินห่างพระอาทิตย์ออกมาก็แลเห็นดวงพระอาทิตย์เล็กลง คือในฤดูฝนเวลาที่พิภพเดินใกล้พระอาทิตย์เข้าไปแลเห็นดวงโตขึ้น คือเปนในฤดูหนาว เพราะดังนี้ เมื่อเวลาพระอาทิตย์ดวงเล็กจึ่งจมมิดดวงเร็วเข้า เมื่อเวลาพระอาทิตย์ดวงโตจึ่งจมมิดดวงช้าลง ถ้าจะอธิบายตามตำราไตรภูมิโลกสัณฐานข้างฝ่ายเราก็อาจจะอธิบายได้ คือพระอาทิตย์อันเดินส่องสกลโลกธาตุรอบเขาพระสิเนรุราชนั้น ย่อมมีวิถีที่จะเดินสามทาง คือ นาควิถี โคณวิถี อัชวิถี นาควิถีเปนทางสูง โคณวิถีเปนทางกลาง อัชวิถีเปนทางต่ำ เมื่อพระอาทิตย์เดินในวิถีที่สูงไกลแผ่นดิน มณฑลรัศมีจึ่งเล็ก เมื่อเดินในวิถีที่ต่ำใกล้แผ่นดินมณฑลรัศมีจึ่งใหญ่ โหรเขาเรียกว่ารวิพิมพ์ มีเวลาใหญ่เล็กเหมือนกัน มีวิธีคำนวณอยู่ในคัมภีร์สารัมภ์ที่สำหรับทาบสุริยุปราคาจันทรุปราคา เพราะเหตุที่รวิพิมพ์มีเวลาที่ใหญ่แลเล็กไม่เท่ากัน จึงเห็นพระอาทิตย์เวลาตกน้ำช้าบ้างเร็วบ้าง การที่อธิบายมาตามคัมภีร์ทั้งสองอย่างนี้ เพื่อจะให้ผู้อ่านเข้าใจโดยอย่างใดอย่างหนึ่งตามควรแก่อัธยาไศรย เพราะผลของความอธิบายจะให้เข้าใจได้เปนอย่างเดียวกัน แลพระจันทร์นั้นเวลาขึ้นแลเวลาตก ก็มีลักษณเหมือนกับพระอาทิตย์ทุกอย่าง มีดวงอันโตแลสีอันแดง เมื่อเวลาขึ้นแลลงที่ขอบน้ำเหมือนกัน แต่ไม่แดงแจ๋เหมือนพระอาทิตย์ เปนแดงเจือเหลือง การที่เห็นพระอาทิตย์แลพระจันทร์ขึ้นแลตกนี้ ไม่ใคร่จะเห็นทุกวัน เพราะบางวันก็มีเมฆก้อนใหญ่ ๆ บังเสีย ดวงพระอาทิตย์แลพระจันทร์เข้าไปหายในเมฆ ต่อวันใดท้องฟ้าผ่องใสปราศจากเมฆจึ่งจะแลเห็นถนัด

อนึ่งถ้าเปนฤดูฝนมักจะเห็นรุ้งกินน้ำในทเลเนือง ๆ ในเวลาบ่าย ๆ ฤาเช้า ๆ รุ้งในทเลนี้แลเห็นยาวกว่าที่เห็นบนบก แลเห็นได้ตลอดปลายทั้งสองข้างที่จดถึงน้ำ บางทีก็เห็นแต่ข้างเดียวที่จดน้ำ อิกข้างหนึ่งหายขึ้นไปอยู่บนฟ้า รุ้งนี้เปนด้วยแสงพระอาทิตย์ฉายกับน้ำฝนที่อยู่บนอากาศนั้นเอง เหมือนหนึ่งเราจะเอาถ้วยแก้วอันมีน้ำอยู่ในนั้นส่องเข้ากับแสงแดด ก็อาจจะฉายออกมาเปนสีต่าง ๆ เหมือนสีรุ้งได้เหมือนกัน ที่กล่าวกันว่ารุ้งเปนคันธนูของพระอินทร์ ฤๅอไร ๆ นั้นเปนของสมมุติกันมาข้างเพศไสยสาตร ฤาที่กล่าวกันว่าเปนสัตวกายสิทธิใครชี้ตรง ๆ แล้วนิ้วด้วน ต้องมีวิธีแก้ไขที่จะมิให้นิ้วด้วน แลกล่าวกันว่าปลายที่สุดของรุ้งเปนหมูนั้น เปนของหลอกเด็กทั้งนั้น ถ้าเปนหมูแล้วรุ้งที่เห็นในทเลเห็นจะต้องเปนหมูน้ำเพราะปลายลงจดน้ำ หาได้ลงในแผ่นดินไม่ อิกประการหนึ่งที่กล่าวกันว่ารุ้งกินน้ำแล้วทำให้ฝนแล้ง เพราะตัวหมูฤาอไรนั้นมากินน้ำฝนเสียหมด ข้อนี้ก็เปนเพราะรุ้งนั้นมักจะมีในปลายฤดูฝนโดยชุกชุม ฤๅจะมีกลางฤดูก็มีในฤดูที่ฝนน้อย ถ้าเวลาฝนมากแล้วน้ำฝนในอากาศนั้นหนาทึบเปนแท่งเมฆใหญ่ ๆ ไม่อาจจะฉายให้เปนสีหรูหราได้ ผู้ที่กล่าวว่ารุ้งกินน้ำแล้วฝนน้อย ถือเอาเหตุอันนี้ ที่จริงฝนน้อยก่อนจึ่งมีรุ้งกินน้ำขึ้นภายหลัง จะเปนเช่นว่าคือรุ้งกินน้ำฝนเสียหมดฝนจึ่งแล้งก็หามิได้ การที่พรรณามานี้ท่านทั้งหลายย่อมทราบอยู่มากแล้ว บางทีจะเห็นว่าข้าพเจ้านำเอาข้อความซึ่งท่านทั้งหลายทราบอยู่แล้วมาเล่าซ้ำให้ฟัง เปนการที่เรียกว่าชิดดิศ ถ้าจะว่าเช่นนั้นก็ต้องยอมรับเพราะกล่าวความเพลิดเพลินเลื้อยเจื้อยไป ถึงในข้ออื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ฤาจะกล่าวต่อไปนี้ก็คงเปนชิดดิศโดยมาก แต่มีความประสงค์ที่จะรวบรวมข้อความอันได้เห็นได้ทราบแล้วมารวบรวมไว้เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่ไม่เคยเห็นเคยทราบ จะได้ทราบความอันนี้ แลรุ้งกินน้ำนี้ใช่จะเห็นแต่เวลากลางวันก็หามิได้ ในเวลากลางคืนก็ย่อมจะเห็นบ้าง แต่มิในเวลาเดือนหงายเท่านั้น เขาเรียกว่ารุ้งพระจันทร์ เพราะเปนด้วยแสงพระจันทร์ฉายอย่างเช่นแสงพระอาทิตย์ที่ว่ามาแล้ว แต่รุ้งพระจันทร์นี้น้อยเวลาที่จะได้เห็น ตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมาก็พึ่งเคยเห็นหนเดียวเท่านั้น เห็นในเวลาไปทเลเวลาตกสักสามยามเศษ กับได้ยินลงพิมพ์ในหนังสือบางกอกไตม์อิกครั้งหนึ่งว่ามีผู้เห็น รุ้งกลางคืนแลรุ้งกลางวันก็มีสีสรรวรรณะอย่างเดียวกัน ไม่แปลกประหลาดอไรกว่ากัน ฯ

๏ วันที่ ๑๖ ออกจากบางพระมาทอดที่อ่างหิน ที่เรียกอ่างหินนี้ตามชาวบ้านเรียก คนผู้ดีเขาใช้คำสูงเรียกว่าอ่างศิลาก็มีโดยมาก ตามศิลาชายเขาแลตามหาดทรายในที่นี้ฤาที่อื่น มีหอยอย่างหนึ่งซึ่งมีรศอร่อยคนชอบกินมาก คือหอยอีรมฤาหอยนางรม ฤานางลม หอยอย่างนี้ไม่ได้เปนตัวเที่ยวเดินไปเดินมาได้เหมือนหอยสามัญ มันเกาะเปนพืดอยู่ตามศิลาเปนหมู่ใหญ่ ๆ คนที่เที่ยวหามีไม้ค้อนฤาท่อนเหล็กอันหนึ่ง กับไม้เล็ก ๆ อันหนึ่งไปเที่ยวต่อยแล้วแคะเอาเนื้อมา หอยอีรมนี้ประกอบเปนอาหารได้หลายอย่าง คือดองน้ำเกลือแล้วเอามาปรุงเครื่องจิ้มผักเหมือนดังไตปลาก็ได้ ฤากินสด ๆ ต้มกับเข้าต้มก็ได้ ฤาเอามาดิบ ๆ ปรุงบีบน้ำมะนาวเจือน้ำปลา ปรุงพริกขิงหอมกระเทียม กินกับเข้าก็อร่อยเหมือนกัน ฤาจะกินดิบอย่างฝรั่งเอามาเคล้าน้ำส้มเจือพริกไทยกินเปล่า ๆ ฤๅกินกับขนมปิ้งก็ได้ หอยอีรมข้างตวันออกนี้ตัวเล็ก ๆ ขนาดนิ้วแม่มือเท่านั้น ข้างทเลตวันตกมีตัวใหญ่ ๆ มาก ขนาด ๒ นิ้ว ๓ นิ้วก็มี สัตวทเลอันบังเกิดเช่นหอยอีรมนี้มีอิกหลายอย่าง ถ้ามีโอกาศจะได้กล่าวถึงต่อไปในภายน่าบางอย่าง ถ้าไม่มีโอกาศก็จะตัองของดเสีย

ในตำบลอ่างศิลานี้ มีเครื่องตักปลาในทเลอย่างหนึ่งที่เรียกว่าละมุฤาโป๊ะ ที่อื่นก็มีเหมือนกัน ยังเครื่องดักปลาอิกอย่างหนึ่งซึ่งมีที่ปากน้ำเรียกว่ารั้ว ซึ่งลืมไปเสียไม่ได้กล่าวไว้ข้างต้น เมื่อออกจากปากน้ำ จะขอมากล่าวในที่นี้ด้วย แลจะได้รวบรวมเปนเรื่องเดียวกับโป๊ะด้วย จะขอกล่าวถึงรั้วเสียก่อน รั้วนี้สำหรับดักปลาทูเปนพื้น แลปลาอื่นบ้าง มักปักไว้ในที่ซึ่งมีกระแสน้ำไหล มีปากอ่าวเปนต้น ที่ปากน้ำเจ้าพระยามีอยู่ที่ข้างเรือนตะเกียง รั้วนั้นเปนไม้ขนาดข้อมือบ้าง เล็กกว่าบ้าง ปักสูงพ้นน้ำ เวลาน้ำลงเห็นยาวประมาณ ๓ ศอก ๔ ศอก เวลาน้ำขึ้นเกือบ ๆ มิดน้ำ เพราะน้ำทกเลขึ้นมากลงมากตั้ง ๔ ศอก ๕ ศอก หาเหมือนกับน้ำในแม่น้ำไม่ รั้วนั้นปักเปนปีกกาถ่างออกไปสองข้างแล้วเปนซองแคบเข้ามาทุกที ระยะรั้วห่างกันประมาณศอกหย่อน ๆ จนแคบเข้ามาที่สุด มีเสาใหญ่สองเสาปักสกัดในที่สุดนั้น แลเขาว่ามีอวนดักปลา แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นเวลาเขากู้ เปนแต่ถามเขา ๆ เล่าให้ฟังว่า ถ้าปลาพลัดเข้าไปทางปากช่องปีกกาแล้วไม่ออกตามข้าง ๆ ระหว่างรั้วร่นมาออกที่ปลายปีกกาจึ่งเข้าติดในอวนที่เขาสกัดไว้ ถึงเวลาแล้วเจ้าของก็เอาเรือฉลอมมากู้อวนเอาปลาขึ้นเรือ เขาว่าได้มาก ๆ แทบเต็มลำ แลกล่าวกันว่าในเวลานั้นถ้ามีเรือแวะเข้าไปขอปลาแล้วเจ้าของโกยให้ตั้งปุนกี๋ทีเดียว ไม่มีความหวงแหนเลย จริงเท็จไม่ทราบ ถ้าจริงก็เห็นจะเปนด้วยมากล้นเหลือเฟือฟาย ซึ่งทำให้ความหวงแหนเบาบางลง นี่แลวิธีดักจับปลาด้วยรั้วซึ่งเห็นที่ปากน้ำเจ้าพระยา ส่วนทางแถบอ่างหินแลบางปลาสร้อยเหล่านี้ เขาใช้โป๊ะฤาไนยหนึ่งเรียกว่าละมุ มีวิธีผิดกับรั้ว คือต้องใช้ไม้ไผ่หลาวเปนไม้เรียวผูกเปนเฝือกติดกับเสากระทู้ หยั่งถึงดินสูงขนาดรั้วปลาที่กล่าวมาแล้ว กั้นคอกเปนวงกลมกว้างขนาดเรือฉลอมฤาเรือเป็ดทเลเข้าไปในนั้นได้สองลำสามลำ เขาถักแน่นหนามั่นคงเรียบร้อยมาก ลงทุนตั้ง ๕๐ ชั่ง ๖๐ ชั่ง ถ้าทำไม่มั่นคงถูกพายุตีแตกก็เปนการพินาศอันใหญ่ ที่ปากคอกที่วงนั้นมีช่องขนาดพลเรือเข้าไปได้ ต่อปากช่องออกมาก็มีรั้วเปนปีกกาเหมือนรั้วที่กล่าวมาแล้ว เวลาที่ปลาจะเข้าไปก็มีอาการอย่างเดียวกัน ผิดกับรั้วแต่ที่ปลายปีกกาที่สุดของรั้วไม่มีอวน ปลาว่ายเข้าไปตามรั้วก็เข้าไปอยู่ในคอกนั้นหมด ครั้นถึงเวลาที่จะจับปลา คือในเวลาน้ำลง ไม่ว่ากลางวันกลางคืนเขาเอาเรือไปสองลำ มีเครื่องมือไปพร้อม เข้าไปในวงโป๊ะนั้นทั้ง ๒ ลำ ฤาบางทีก็ ๓ ลำ แล้วเอาอวนลงในโป๊ะนั้นอิกทีหนึ่ง กู้อวนขึ้นมา เอาปุนกี๋ตักได้ปลามาก ๆ แล้วลงอวนอิก อยู่ในสองหนสามหนเปนพอ ได้ปลาแทบเต็มลำ วิธีจับปลาด้วยโป๊ะฤาละมุเปนดังนี้

บรรดาปลาทเลที่หาได้โดยชุกชุมนั้น ก็เปนปลาที่เรารู้จักกันซีมซาบอยู่โดยมาก คือปลาทู ปลากุเรา ปลาแป้น ปลาจละเม็ด ปลากะพง ปลากระบอก ปลาอินทรี ปลาอื่น ๆ มีอิกหลายอย่าง แต่ไม่เปนของซึมซาบแลนึกชื่อไม่ออกหมดด้วย อ้อนึกได้อิกหน่อยควรจะพรรณาไว้ตามที่ได้เคยเห็นหนหนึ่งฤาสองหน คือปลาอย่างหนึ่งสีเขียว ๆ ปากงอ ๆ ตัวกลม ๆ โตขนาดผลสัปรด เขาเรียกว่าปลานกแก้ว ดูงามมาก แลว่ากินเปนอาหารได้ อิกอย่างหนึ่งจะว่าหอยก็ใช่ จะว่าปลาก็ใช่ รูปร่างแฉก ๆ เปน ๕ แฉกสีเทา ๆ เรียกแปลจากภาษาฝรั่งตามที่เขาเรียกกันนั้นว่าปลาดาว ไทยเรียกอไรไม่ทราบ สมควรจะเรียกปลาดาวตามฝรั่งเขาเรียก ปลานี้เห็นในรูปเขียนบ่อย ๆ แต่ไม่ใคร่จะน่าเชื่อ ฤาเชื่อแต่นึกว่าไม่มีในอ่าวของเรา ต่อได้เห็นด้วยตาเองจึงรู้แน่ว่ามีจริง ยังปลาเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นปากเป้า, ปลาซิว, ปลาหัวตะกั่ว, ก็มีมากหลายอย่าง สีเขียวๆ แดง ๆ ม่วง ๆ ดูงามดีมาก แต่ไม่เปนอาหาร เพราะเปนปลาเล็ก อนึ่งในทเลนี้มีงูอย่างหนึ่งฤๅสองอย่างสามอย่างจำชื่อไม่ได้หมด นึกได้ชื่อเดียวแต่สมีลัง งูเหล่านี้มีอาการเหมือนปลา คือว่ายอยู่ในน้ำ ที่อ่างศิลานี้เปนที่ชุมอย่างยิ่ง เวลากลางคืนเรือทอดอยู่มืด ๆ เห็นงูเหล่านี้ว่ายน้ำเปนประกายเรือง ๆ. เต็มไปทั้งนั้น บางทีเอาถังตักน้ำทเลก็เลยตักเอางูขึ้นมาด้วย ที่ในโป๊ะเวลากู้อวนก็มักมีงูติดขึ้นมากับปลาโดยมาก ถ้ามีงูเช่นนั้นแล้ว คนโกยปลาจับเอาหางงูเหวี่ยงทิ้งน้ำเสีย ดูน่ากลัวจะแว้งกัด แต่เขาแคล่วคล่องว่องไว งูไม่ทันจะแว้งกัดเขาได้เลย ฯ

๏ วันที่ ๑๗ ออกเรือจากอ่างศิลามาทอดที่บางปลาสร้อย คือตัวเมืองชลบุรีตั้งอยู่ที่นี้ ที่ตำบลบางปลาสร้อยนี้ เปนที่หมู่บ้านอยู่ริมทเล แลมีอาการแปลกกว่าฝั่งทเลตำบลอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว คือพื้นทเลเปนเลนตมตื้นลาดไกลออกมามาก เปนด้วยโคลนในลำแม่น้ำบางปะกงไหลหลั่งออกมาประทะอยู่ เรือใหญ่เข้าทอดใกล้ไม่ได้ ต้องทอดอยู่ไกลลิบลับจนแลเห็นบ้านเรือนที่ฝั่งได้แต่รัว ๆไม่ชัดเจน จะขึ้นฝั่งต้องลงเรือเล็กเข้าไปช้านานตั้งสองสามชั่วโมง แลเข้าได้ถึงตะพานแต่เวลาน้ำขึ้น ถ้าน้ำลงก็ติดเลนลาดพ้นตะพานท่าขึ้นออกมามาก ตะพานท่าขึ้นนั้นก็ไกลมาก มีหลายตะพาน แต่ที่ยาวที่สุดแลที่มั่นคงนั้นคือตะพานหลวง ได้ลองเดินนับก้าวคเนดูสัก ๑๑ เส้นฤากะไรจำไม่ได้ถนัด เมื่อขึ้นไปถึงบนฝั่งก็เปนบ้าน ๆ เราธรรมดา นี้เอง ไม่แปลกประหลาดที่จะต้องพรรณาอันใด ขอกลับวกมาพรรณาถึงเรื่องเลนที่ลาดออกมาตามชายฝั่งนั้น เวลาน้ำแห้งเห็นมีปลาอย่างหนึ่งที่เรียกว่าปลากาฤาปลาตีน เต้นโลดกระเดือกอยู่ตามเลนชุกชุม มียานเครื่องไปในเลนอย่างหนึ่ง เรียกว่ากระดานถีบ อาการที่ไปด้วยกระดานถีบนั้น เรียกว่าถีบกระดาน คือมีกระดานแผ่นหนึ่งกว้างศอกหนึ่งฤาไม่ถึงศอก คนขึ้นคุกเข่าบนกระดานนั้นข้างหนึ่ง เท้าอีกข้างหนึ่งถีบไปในเลน กระดานนั้นก็แล่นไปตามความประสงค์ที่จะไปทางไหน ที่หัวกระดานนั้นงอสูงหน่อยหนึ่งสำหรับไม่ให้ตำเลน เพื่อแล่นไปได้สดวก กระดานถีบนี้สำหรับเที่ยวหาหอยต่าง ๆ อันอยูในเลน มีตะกร้าวางไปที่หัวกระดานด้วยใบหนึ่ง อาการที่เขาถีบเลนนั้นน่าดูมาก ถีบแล่นเร็วจี๋ทีเดียว เมื่อถีบไปนานเมื่อยเข้าก็เปลี่ยนเอาขาโน้นขึ้น เอาขานี้ลง เขาถีบแข่งพนันกันเหมือนวิ่งวัวฤาแข่งม้าก็ได้ ใช่แต่ใช้หาหอยอย่างเดียว ใช้ไปมาต่างเรือช่วงก็ได้ คือ ถ้าเรือฉลอมแล่นมาถูกเวลาน้ำลงเรือเข้าชิดฝั่งไม่ได้ ถ้ามีธุระร้อนจะคอยน้ำขึ้นกลัวเสียเวลา เขาก็ลงกระดานถีบเข้าไปขึ้นฝั่งได้ โดยที่สุดกระดานสำหรับถีบอย่างที่ว่านี้ไม่มี เอากระดานที่ปูเรือใช้ถีบแทนก็ได้เหมือนกัน แลกล่าวกันพิศดารต่อไปอิกว่า ถ้าเวลาลมดี ๆ แล้ว เขาแล่นใบเรือฉลอมไปบนเลนก็ได้ ไม่ต้องมีน้ำ ข้อนี้จะจริงเท็จฉันใดหาได้เห็นเองไม่ เปนแต่คำเขาเล่า

แลหอยที่เขาเก็บในเลนนั้นมีหอยแครงเปนพื้น หอยแครงรูปร่างอย่างไรดูไม่น่าจะต้องพรรณา เพราะถึงไม่ได้ไปในที่นั้นเราก็เคยเห็นเขาเอามาขายในบ้านเราซึมซาบดีทีเดียว ฤๅจะพรรณาเสียหน่อยพอเปนพิธีก็ได้ คือมีฝาสองฝาเปนกาบสีขาว แลกายนั้นเปนริ้วๆ ร่อง ๆ ปลายจัก ๆ พรรณาเท่านี้เห็นจะพอแล้ว ยังหอยแมงภู่อิกอย่างหนึ่งเราก็รู้จักซีมซาบเหมือนกัน มีกาบสองกาบยาว ๆ รี ๆ เขียว ๆ ดำ ๆ ดังที่เราเคยเห็นกันอยู่แล้ว แต่หอยนี้ไม่ได้อยู่ในชายทเลดังหอยแครง มักเกาะตามเสาตามหลัก เขาเอาหลักไปปักไว้กลางทเลมันก็มาเกาะเปนกลุ่ม ๆ เปนสัตวเกิดอยู่กับที่ไม่ได้เดินไปข้างไหน เกาะอยู่ที่ไหนแล้วก็อยู่ที่นั้น ดูเกาะกันเปนกลุ่มแน่นไปทั้งนั้น ใหญ่บ้างเล็กบ้าง เขาว่าที่หอยแมงภู่ว่ากันว่ากินแล้วท้องร่วงนั้นเปนหอยที่เกาะไม้ตาตุ่ม ด้วยยางตาตุ่มเปนยาถ่ายอย่างแรง ถ้าเกาะไม้อย่างอื่นแล้วไม่เปนไร ยังหอยกระพงอิกอย่างหนึ่ง มีลักษณแลอาการคล้ายหอยแมงภู่ แต่เล็กกว่า เปนของรู้จักซึมซาบเหมือนกัน หอยที่กล่าวมาสองสามอย่างนี้ เปนหอยเกิดในทเลที่เปนพื้นโคลนตม ทเลที่เปนพื้นทรายไม่ปรากฎว่ามี สัตวที่เกาะอยู่กับที่เช่นนี้ยังมีอิกอย่างหนึ่ง แต่ไม่เปนอาหารดังหอยทั้งหลายที่กล่าวมาแล้ว แลจะว่าเปนหอยก็ไม่เชิง สำหรับแต่จะทำให้เสียของเท่านั้น เขาเรียกว่าเพรียง มักเกาะตามเสาแลท้องเรือฤาอะไร ๆ ที่แช่อยู่ในทเล ก้อนศิลาก็เกาะ มีลักษณคล้ายหอยอีรมแต่เล็กเลอียดกว่าหอยอีรม แลที่เกาะท้องเรือใหญ่ ๆ อิกอย่างหนึ่งเขาเรียกว่าสนับทึบ ดูมีลักษณคล้ายกัน จะเปนเพรียงนี้เองฤาต่างกันหาทราบชัดไม่ เรือกลไฟที่ไปทอดอยู่ในทเลนาน ๆ แล้วสนับทึบจับท้องเรือหนาจนแล่นช้าไปได้ แต่เขาว่าถ้าเข้าน้ำจืดแล้วหลุดออกได้ แต่ได้ยินว่าเรือที่ถูกสนับทึบจับเช่นนี้ต้องขูดก็มี จะเปนด้วยที่ว่าหลุดนั้นหลุดไม่หมดฤาอย่างไรไม่ทราบ

เมื่อได้กล่าวพรรณาถึงหอยต่าง ๆ มามากแล้ว ยังขาดหอยที่รู้จักกันซึมซาบอิกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ควรจะเว้นเสีย คือ หอยจุ๊บแจง หอยนี้ดูเหมือนจะเปนหอยบกแกมน้ำ ทางแถบตวันออกนี้ก็ไม่เคยปะ เขาว่ามีทางท่าในแม่กลอง มีเรื่องราวซึ่งท่านสุนทรภู่จินตกระวีที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทางกลอนได้กล่าวไว้ ในนิราศเมืองเพ็ชร เห็นได้ความดีแลไพเราะอยู่ จะพรรณาก็ซ้ำซาก ขอคัดเอาคำกลอนนั้นมาลงทีเดียวก็จะรู้ความได้ตลอด คำของสุนทรภู่กล่าวไว้ในนิราศเมืองเพ็ชรในเรื่องนี้ว่า “โอ้เอนดูหนูน้อยร้องหอยเหาะ ขึ้นไปเกาะกิ่งตลอดยอดพฤกษา ล้วนจุ๊บแจงแผลงฤทธิเขาปลิดมา กวักตรงหน้าเรียกให้มันได้ยิน “จุ๊บแจงเอยเผยฝาหาเข้าเปียก แม่ยายเรียกจะได้ไปกะฐิน ทั้งช้างงวงช้างงาออกมากิน ช่วยปัดริ้นปัดยุงกระทุงราย เขาร่ำเรียกเพรียกหูได้ดูเล่น มันอยากเปนลูกเขยทำเงยหงาย เยี่ยมออกฟังทั้งตัวกลัวแม่ยาย โอ้นึกอายโอ้จุ๊บแจงแกล้งสำออย เหมือนจะรู้อยู่ในเล่ห์เสนหา แต่หากว่าพูดยากเปนปากหอย เปรียบเหมือนคนจนทุนทั้งบุญน้อย จะกล่าวถ้อยออกไม่ได้ดังใจนึก”

๏ วันที่ ๑๘ วันนี้เปนวันเสร็จสิ้นการเที่ยวทเลตวันออก เปนวันกลับถึงกรุงเทพฯ ออกเรือจากบางปลาสร้อยตัดมาเข้าปากน้ำเจ้าพระยา ในระยะทางเที่ยวที่ล่วงมาแล้วได้พรรณาสรรพสิ่งในทเลหลายสิ่งหลายอย่างแล้ว ยังขาดอิกสามสิ่งอยู่กับริมฝีปากทีเดียว พรรณาถึงขอทเลสารพัด นึกถึงของเหล่านี้ไม่ได้ พึ่งนึกออกเดี๋ยวนี้เอง คือ ลิ้นทเล ปูทเล แมงดาทเล ลิ้นทเลนั้นรูปร่างแบนๆ ยาวๆ รีๆ เหมือนรูปลิ้นสีขาว เนื้อยุ่นๆ คมๆ มีเปลือกแขงข้างหนึ่ง ท่านทั้งหลายคงจะเคยรู้จักอยู่โดยมากแล้ว ที่จริงนั้นมิใช่ลิ้น เปนกระดองปลา เขากล่าวกันว่ากระดองปลาหมึก ประโยชน์ที่ใช้แต่ก่อนมาเคยเห็นแต่สำหรับขัดกระจก บัดนี้ได้ทราบว่าพวกช่างทำรถก็ใช้ขัดทาสีรถให้เปนเงา ใช้ลิ้นทเลเหมือนกัน แลดูเหมือนจะสำหรับใส่ขนมถ้วยฟูด้วยฤๅกะไรไม่แน่ ดูรู้มาแว่วๆ ฤๅจะฝันไปไม่ทราบ

ปูทเลรูปร่างอย่างไร ท่านทั้งหลายก็เคยได้เห็นและได้รับประทานแล้ว จะพรรณาก็เปนพิธีอิกนั่นแหละ เพราะฉนั้นของดพรรณารูปร่างเสียที พรรณาแต่ที่อยู่แลการที่เขาจับมาอย่างไร แลความประพฤติของมันอย่างไร แทนพรรณารูปร่างเถิด ที่อยู่นั้นมีแต่ในที่ๆเปนเลน ที่ทรายไม่มี ลักษณที่จะจับนั้นดูง่าย เอาไม้หลักไปปักไว้แล้ว เอาเชือกปอฤๅป่านผูกปลายไม้ข้างหนี่ง อิกข้างหนึ่งผูกกับไม้เครื่องดักเปนไม้สานๆรูปร่างเหมือนเข่งปลาทูฤๅเข่งปลาทูเองก็ได้ แล้วเอาเหยื่อคือของเน่าๆฤๅคาวๆวางลงบนเข่งนั้น เอาอิฐฤๅหินถ่วงให้จมลงในน้ำ ปูนั้นมากินเหยื่อเอาเท้าสอดลงไปในช่องเข่งปลาทูก็เลยติดอยู่ไปไม่รอด ถึงเวลาที่ควรเขาก็เอาเรือมาที่ไม้ปักชักเชือกเอาเข่งปลาทูขึ้นมาก็ได้ตัวกันเท่านั้นเอง เอาขึ้นมาแล้วเขาก็จับมัดด้วยเชือกปอจนมั่นคง อาการที่มัดแคล่วคล่องว่องไว ไม่ต้องวิตกว่ามันจะหนีบได้ ส่วนความประพฤติของมันนั้นชอบกลอยู่ มีกล่าวในนิราศเมืองเพ็ชร ขอคัดมาลงไว้ ให้ไพเราะแลได้เนื้อความด้วยดังนี้ “เห็นปูเปี้ยวเที่ยวไต่กินไคลเค็ม บ้างเก็บเล็มลากก้ามครุ่มคร่ามครัน โอ้เอนดูปูไม่มีซึ่งศีศะ เท้าระกะก้อมโกงโม่งโค่งขัน ไม่มีเลือดเชือดฉะปะแต่มัน เปนเพศพรรณไร้ผัวเพราะมัวเมา แม้นเมียออกลอกคราบไปคาบเหยื่อ เอามาเผื่อภรรยาเมตตาเขา ระวังดูอยู่ประจำทุกค่ำเช้า อุส่าห์เฝ้าฟูมฟักเพราะรักเมีย ถึงทีผัวตัวลอกพอออกคราบ เมียมันคาบคีบเนื้อเปนเหยื่อเสีย จึงเกิดไข่ไร้ผัวเที่ยวยั้วเยี้ย ยังแต่เมียเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยแพ”

เมื่อกล่าวถึงปูทเลแล้ว บางทีท่านผู้อ่านจักทักท้วงว่าปูแสมทำไมไม่กล่าวด้วย เพราะเปนของรู้จักกันอย่างดีเหมือนกัน คือที่เขาทำปูเค็ม คู่กับปลาทูทีเดียว ปูแสมนี้เปนปูบกมีในป่าแสม หาใช่ปูน้ำไม่ ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นแลไม่คุ้นเคยในความประพฤติของมัน รู้จักแต่เมื่อเปนปูเค็มมาแล้ว เพราะฉนั้นของดที่จะพรรณาเรื่องปูแสมนี้เสียทีหนึ่ง แลทั้งลิงแสมอิกอย่างหนึ่งก็ของดเสียด้วย อย่าต้องพรรณาเลย หาไม่เรื่องนี้จะลงเอยไม่ได้

แมงดาทเลนั้นรูปร่างผิดกันกับแมงดานามาก มีกระดองกลม ๆ มีปากอยู่ใต้ท้อง ตีนยุ่มย่ามอยู่ริมปาก แลมีหางแหลมประโยชน์ที่ใช้เห็นใช้แต่ไข่กินเปนอาหาร ผัตบ้าง ยำบ้าง แกงบ้าง เนื้อหนังที่จะพึงเปนอาหารก็ไม่เห็นมี เห็นแต่กระดองแขง ๆ สีสรรวรรณะอย่างปูทเล การดองนั้นเขาใช้เผาไฟกันตะพ่านด้วยฤากะไรไม่แน่ ค่อนข้างจะฝัน ๆ อิกนั้นแหละ ยังเรื่องราวความประพฤติของแมงดาที่น่าจะพรรณายังมีอิก แต่จะต้องเอานิราศเมืองเพ็ชรมาลงอิก ขอท่านผู้อ่านอย่าเห็นว่าคลั่งนิราศเมืองเพ็ชรเลย เห็นว่าเขาเพราะแลได้ความดีกว่าที่จะแต่งว่าขึ้นใหม่ จึงขอคัดมาลงต่อไปนี้ “อกเอ๋ยโอ้เอนดูหมู่แมงดา ให้สามีขี่หลังเที่ยวยั้งแฝง ตามหล้าแหล่งเลนเค็มเล็มภักษา เขาจับเปนเห็นสมเพชเวทนา ทิ้งแมงดาผัวเสียเอาเมียไป ฝ่ายตัวผู้อยู่เดียวเที่ยวไม่รอด เหมือนตาบอดมิได้แจ้งตำแหน่งไหน ต้องอดอยากจากเมียเสียน้ำใจ ก็บรรไลยแลกลาดดาษดา”

จะหมดเรื่องพรรณาการเที่ยวทเลอยู่แล้ว ยังลืมไปอิกนิดหนึ่งจะต้องกล่าวไว้ ข้อความก็ไม่มีสาระอันใด แต่เปนของซึมซาบในหมู่พวกที่ไปทเลจะต้องรู้ เพราะเปนของที่มักเล่ากันในเวลาเมื่อไปทเล คือนิทานเรื่องหนึ่งว่า มีชายผู้หนึ่งชื่อตาม่องไล่ มีภรรยาชื่อแม่รำพึง มีลูกสาวชื่อนางโดย รูปร่างงดงาม ฝ่ายชายหนุ่มผู้หนึ่งชื่อเจ้าลาย จะเปนเจ้าเปนนายอย่างไรไม่ชัดในเรื่องนิทาน เจ้าลายนั้นมีความรักใคร่มาขอนางโดย ตกลงจะแต่งงานกัน ฝ่ายเจ้ากรุงจีน (ฤาเรียกเจ้าเมืองกงจีนตามเสียงที่เขาเรียกในนิทาน) ได้ทราบข่าวก็จะใคร่ได้นางโดยเหมือนกัน จึ่งแต่งสำเภาห้าร้อยบรรทุกสิ่งของเครื่องขันหมากพร้อมมาขอนางโดย ถ้าไม่ได้จะแย่งชิงเอา ฝ่ายตาม่องไล่ก็มีความอัดอั้นตันใจมิรู้ที่จะทำอย่างไร ครั้นจะให้แก่เจ้ากรุงจีน ก็ได้ให้แก่เจ้าลายเสียแล้ว ครั้นจะให้แก่เจ้าลาย ก็กลัวอำนาจเจ้ากรุงจีน ตาม่องไล่จึ่งจับขานางโดยทั้งสองข้างฉีกออกเปนสองท่อนโยนไปให้เจ้าลายท่อนหนึ่ง ให้เจ้ากรุงจีนท่อนหนึ่ง ท่อนที่โยนไปให้เจ้าลายนั้น ไปตกที่น่าเขาสามร้อยยอดฝั่งทเลตวันตก กลายเปนเกาะนมสาวแห่งหนึ่ง ท่อนที่โยนไปให้เจ้ากรุงจีนนั้น ไปตกที่น่าปากน้ำจันทบุรีฝั่งทเลตวันออก กลายเปนเกาะนมสาวแห่งหนึ่ง แล้วตาม่องไล่ก็ไปยืนอยู่ที่ใกล้เกาะหลักตรงฝั่งทเลตวันตกแขวงเมืองประจวบคิรีขันธ์ กลายเปนศิลาไป ฝ่ายแม่รำพึงนั้น ก็ไปโศกเศร้าถึงบุตรอยู่ที่อ่าวในฝั่งทเลตวันตกแขวงเมืองกำเนิดนพคุณ ข่าวนั้นจึงปรากฏชื่อว่าอ่าวแม่รำพึงมาจนทุกวันนี้ ฝ่ายเจ้าลายเมื่อไม่ได้นางโดยสมปราถนาก็มีความโทมนัศ มิได้กลับไปบ้านเมือง นอนอยู่ที่แหลมแห่งหนึ่งฝั่งทเลตวันตกแขวงเมืองเพ็ชรบุรี ต่อกับเมืองปราณบุรี ก็กลายเช่นศิลาไป แหลมนั้นจึ่งปรากฏชื่อว่าแหลมเจ้าลายมาจนบัดนี้ ฝ่ายเจ้ากรุงจีนเมื่อไม่สมประสงค์ก็มีความเสียพระไทย จึ่งสั่งให้ขนเอาของเครื่องขันหมากที่บรรทุกมาในสำเภาห้าร้อยนั้นทิ้งทเลเสียทั้งสิ้น แล้วก็กลับไปเมืองจีน ของที่ทิ้งไว้นั้นจึ่งกลายเปนหอยแลเบี้ยแลปะการังต่าง ๆ อยู่ในทเลมาจนบัดนี้ นิทานมีเค้าเรื่องอย่างนี้ แต่จะถูกต้องตามเรื่องที่เขาเล่ากัน ฤาจะคลาศเคลื่อนไปบ้างอย่างไรไม่ทราบ เพราะข้าพเจ้าได้ฟังเขาเล่ามาช้านานจนเคลิบเคลิ้มไปเสียแล้ว

เรื่องราวที่กล่าวมาทั้งปวง เกรงว่าจะยังขาดตกบกพร่องอยู่เปนอันมาก กล่าวแต่ตามที่นึกได้ ซึ่งจะกล่าวให้หมดจดจนไม่มีข้อความอันใดตกค้างเหลือหลงอยู่นั้น เปนอันยากยิ่งนัก จะมัวรอตริตรองนึกให้ได้หมด หนังสือเรื่องนี้ก็จะไม่มีเวลาจบลงได้ จึงขอยุติเรื่องการเที่ยวทเลตวันออกเพียงเท่านี้แล ๚

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ