ประเพณีแต่งงานบ่าวสาว

พระยาราชวรานุกูล (อ่วม) เรียบเรียง

----------------------------

บิดามารดาบำรุงเลี้ยงบุตรแลธิดามาจนมีอายุเจริญไวย สมควรจะออกจากอกไปทำมาหาเลี้ยงชีพได้โดยลำพังตนเมื่อใด ก็คิดอ่านให้มีภรรยาสามีเปนคู่ครอง เพื่อจะได้ตั้งวงษ์สกุลเปนอิศรภาพเฉภาะตนอิกส่วน ๑ ก็แลการที่บิดามารดาจะหาภรรยาสามีให้แก่บุตรแลธิดานั้นเปนการสำคัญอย่าง ๑ เพราะอาจจะเปนคุณฤๅเปนโทษแก่วงษ์สกุลของตนได้มาก ๆ ถ้าได้คนดีมาเปนเขยเปนสใภ้ก็จะพาสกุลของตนให้มีความเจริญ แต่ถ้าไปได้คนเสเพล ฤๅว่าบุตรแลธิดาของตนต้องตกเข้าไปอยู่ในสกุลคนพาล ก็จะได้รับแต่ความทุกข์ร้อนต่าง ๆ บิดามารดาจะให้บุตรธิดามีภรรยาสามีจึงต้องใคร่ครวญเลือกสรร ต่อเห็นว่าเปนอันเหมาะดีจะมีแต่ความศุขความเจริญถ่ายเดียวจึงได้ยินยอมให้ตกแต่งกัน เพราะฉนั้นเมื่อบิดามารดาเลือกหาผู้ที่จะให้เปนคู่ครองของบุตรแลธิดาได้สมประสงค์ จึงนับว่ามงคลอันจะนำความเจริญความศุขให้เกิดมีในวงษ์สกุล ผู้ที่อยู่ในวงษ์สกุลทั้ง ๒ ฝ่าย ก็มีความยินดีด้วย ช่วยกันตกแต่งให้ชายหญิงคู่นั้นเปนสามีภรรยากัน จึงได้เกิดประเพณีแต่งงานบ่าวสาวด้วยเหตุอันนี้ ถ้าชายหญิงสมัครักใคร่ได้กันเอง โดยผู้ปกครองไม่ยินยอมอนุญาต ถึงแม้จะเปนผัวเมียกัน โดยธรรมดาโลกฤๅโดยที่กฎหมายจะไม่ห้ามปรามก็ดี ถ้าแลมิได้แต่งงานตามประเพณี ชายหญิงคู่นั้นก็มิได้รับความอุปการะของวงษ์สกุล ก็มักจะต้องซัดเซระเหระหนไปโดยลำพังตน ในอัตภาพอันไม่พึงปราถนาของคนทั้งหลาย เพราะฉนั้นประเพณีทำการบ่าวสาวจึงทำกันเปนการพิธีใหญ่ให้ประจักษ์ ว่าวงษาคณาญาติทั้ง ๒ ฝ่ายนิยมยินดีเห็นชอบด้วยนั้นอิกประการ ๑.

ก็แต่ลักษณการพิธีแต่งงานบ่าวสาว แม้ในชาวสยามประเทศนี้ คนต่างพวกต่างภาษามีลัทธิทำต่างกันเปนหลายอย่าง แต่พิเคราะห์ดูมีประเพณีเดิมเปนเค้าเหมือนกัน ในวิธีการขอสู่อย่าง ๑ การรวมทุนสินอย่าง ๑ การประชุมญาติวงษ์อย่าง ๑ แลทำพิธีให้อนุมัติอย่าง ๑ แล้วจึงให้อยู่ด้วยกันเปนสามีภรรยา การต่าง ๆ ที่ว่ามานี้เปนหัวข้อของพิธีแต่งงานบ่าวสาวในชาวสยาม จะอธิบายลักษณการเหล่านั้นก่อน แล้วจึงจะว่าด้วยการพิธีต่อไป.

ลักษณการขอสู่นั้น ถือกันว่าเปนกิจธุระของบิดามารดาผู้ปกครองเจ้าบ่าวเจ้าสาว ความข้อนี้ คงจะเปนเพราะถือว่าการแต่งงานบ่าวสาวเปนการเชื่อมสกุลวงษ์ทั้ง ๒ ฝ่ายให้เกี่ยวดองเปนพวกเดียวกัน มิใช่แต่จะให้ชายหญิงอยู่สมรสด้วยกันเท่านั้น จึงถือว่ากิจของผู้ปกครองวงษ์สกุลทั้ง ๒ ฝ่ายที่จะปฤกษาหารือให้เห็นชอบพร้อมกัน แต่ประเพณีการขอสู่ที่ประพฤติกันในชาวสยามประเทศนี้ ต่างกันเปน ๒ อย่าง คือ อย่าง ๑ ผู้ปกครองข้างฝ่ายชายไปขอสู่ต่อผู้ปกครองข้างฝ่ายหญิง ใช้ประเพณีอย่างนี้แทบทั่วไป แต่ชาวมณฑลภาคพายัพใช้ประเพณีอิกอย่าง ๑ ตรงกันข้าม คือผู้ปกครองฝ่ายหญิงเปนผู้ขอสู่ต่อผู้ปกครองข้างฝ่ายชาย จึงเปนประเพณีชายขอหญิงอย่าง ๑ หญิงขอชายอย่าง ๑ มีอยู่ดังนี้ พิเคราะห์ดูเห็นว่าประเพณีทั้ง ๒ อย่างนี้ เห็นจะมาแต่คติเดิมอันเดียวกัน ที่กำหนดการสมรสบ่าวสาวว่าเปนอาวาหะมงคลอย่าง ๑ แลวิวาหะมงคลอย่าง ๑ คือถ้าให้หญิงมาอยู่กับชาย เรียกว่าอาวาหะมงคล ผู้ปกครองฝ่ายชายต้องขอหญิง ถ้าให้ชายไปอยู่กับหญิง เรียกว่าวิวาหะมงคล ประเพณีเดิมผู้ปกครองฝ่ายหญิงเห็นจะขอชาย ทั้ง ๒ อย่างนี้ทำนองจะถือเอาการที่จะปกครองทรัพย์สมบัติต่อไปภายน่าเปนหลัก ถ้าชายเปนผู้มีส่วนจะรับทายาทปกครองทรัพย์สมบัติของบิดามารดา รักษาถิ่นฐานวงษ์สกุลต่อไป ผู้ปกครองก็ให้ทำอาวาหะมงคล ถ้าหากว่าหญิงเปนกุลธิดาที่มีส่วนจะรับมรดกปกครองบ้านเรือนแลทรัพย์สมบัติ ผู้ปกครองก์ให้ทำวิวาหะมงคล มูลเหตุของประเพณีทั้ง ๒ อย่างน่าจะเปนเช่นนี้

การกองทุนสินนั้น ก็ประเพณีที่จำเปน คือที่ผู้ปกครองต่างออกทรัพย์เท่ากันทั้ง ๒ ฝ่าย รวมมอบให้แก่เจ้าบ่าวเจ้าสาว ซึ่งเปนสามีภรรยาไว้เปนทุนสำหรับประกอบการหาเลี้ยงกันต่อไป บางทีจำต้องสร้างเรือนใหม่สำหรับผู้ที่แต่งงานจะอยู่ด้วยกันต่อไป จึงเกิดประเพณีปลูกเรือนหอ แลการที่ปลูกเรือนหอนั้นเข้าใจว่าตัวเรือนของฝ่ายชายสร้าง ส่วนเครื่องแต่งเรือนเปนของฝ่ายหญิง

การประชุมญาตินั้น ก็เพราะแต่งงานบ่าวสาวเปนการเกี่ยวเนื่องถึงวงษ์สกุลทั้ง ๒ ฝ่าย ดังกล่าวมาแล้ว จึงต้องเชิญญาติวงษ์มาประชุมให้รู้เห็นยินยอมด้วย การประชุมญาติเหตุที่ต้องมีผ้าไหว้แลขันหมาก คือของคำนับเลี้ยงดูญาติวงษ์ที่มาประชุมกัน

การทำพิธีให้อนุมัตินั้น ลักษณที่ทำต่างกันตามเพศตามภาษา บางพวกใช้วิธีรดน้ำเจ้าบ่าวเจ้าสาว บางพวกก็ใช้เอาด้ายขวัญผูกข้อมือให้ แต่ถึงจะทำการพิธีอย่างไรก็ตาม คงอยู่ในให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวมาพร้อมกันเฉภาะหน้าญาติวงษ์ที่มาประชุมกัน พวกญาติวงษ์พร้อมกันแสดงการให้อนุมัติที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเปนสามีภรรยากัน แล้วก็มีการเลี้ยงดูรื่นเริงกันในบรรดาผู้ที่มาประชุม เมื่อเสร็จการพิธีเหล่านี้แล้ว จึงให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่กินด้วยกันต่อไป

ลักษณการพิธีแต่งงานบ่าวสาวของชาวสยามแต่โบราณมา ที่มีเหมือนกันทั่วทุกจำพวกเปนดังกล่าวมานี้ ลักษณการที่มีผิดเพี้ยนกันไปคงเกิดขึ้นในชั้นหลังเพราะความจำเปนต่างกันไปตามภูมิประเทศ แลคติความนิยมเปลี่ยนแปลงมา จะยกตัวอย่างดังเช่นลักษณที่รดน้ำแต่งงานบ่าวสาว ประเพณีแต่ก่อนพระสงฆนายกที่มาสวดมนต์ผู้รดน้ำองค์เดียว ความข้อนี้มีพรรณาไว้ถ้วนถี่ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ทั้งตอนแต่งงานพลายแก้วกับนางพิม แลตอนแต่งงานพระไวยกับนางศรีมาลา เพราะเปนประเพณีที่ใช้กันในสมัยเมื่อแต่งหนังสือนั้น ประมาณเวลาไม่เกินกว่าร้อยปีมา แต่ทุกวันนี้เปลี่ยนเปนให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในญาติวงษ์หลาย ๆ คนรดน้ำให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว ข้ออื่นก็คงมีเปลี่ยนแปลงตามความนิยมผันแปรมาจากประเพณีเดิมโดยทำนองเดียวกัน ทีนี้พรรณาลักขณการพิธีแต่งงานบ่าวสาวที่ทำกันเปนประเพณีในชนต่างพวกต่างภาษาในสยามประเทศนี้โดยพิศดารต่อไป

ประเพณีแต่งงานบ่าวสาวอย่างไทย

----------------------------

ลักษณแต่งงานบ่าวสาวตามประเพณีไทยนั้น ถ้าบิดามารดาญาติพี่น้องที่มีบุตรหลานชาย เห็นสมควรจะแต่งงานมงคลแล้ว ก็สืบสวนแสวงหาบุตรหลานหญิงของท่านผู้มีตระกูลแลทรัพย์สมบัติ อันสมควรจะทำงานมงคลให้อยู่กินด้วยกันเปนสามีภิริยาตามสมควรแก่ตระกูลตน เมื่อหาได้ถูกใจแล้วก็หาผู้มีบันดาศักดิฤๅผู้ใหญ่ที่มีอายุเปนเถ้าแก่ไปพูดจาว่ากล่าวทาบทามฟังดูถ้อยคำบิดามารดาญาติฝ่ายหญิงนั้น เปนการเงียบ ๆ กันก่อน ว่าจะยอมยกให้ฤๅไม่ ฝ่ายบิดามารดาญาติหญิงถึงจะเต็มใจยอมยกบุตรหลานสาวให้ก็มักต้องขอวันเดือนปีผู้ชายที่จะมาเปนเขยมาให้โหรตรวจดูชตาราษีกับบุตรหลานสาว ว่าจะถูกต้องตามตำราสมควรทำการมงคลด้วยกันได้ฤๅไม่ บางทีบิดามารดาญาติชายหญิงทั้งสองฝ่ายที่รักใคร่กันสนิท ก็ว่าแล้วแต่กุศลอกุศล ไม่ขอวันคืนปีเดือนชายซึ่งจะทำการมงคลมาสอบสวนตามตำหรับก็มี ที่จริงแท้ใช่ว่าดูวันคืนเดือนปีดีแล้วจะมีความเจริญไปตามตำราทุกการมงคลก็หาไม่ แต่บางทีถ้าไม่เชื่อตำราก็มีเหตุอันตรายได้จริงๆเหมือนตำรากล่าวไว้ ยากที่จะพิจารณาแก้ไขให้ชัดแจ้งได้ แต่การที่ขอให้หมอดูชตาเสียก่อนเช่นว่ามานี้ เปนอุบายที่ดีอิกสถาน ๑ ด้วย เพราะถ้ามีความรังเกียจในตัวชายฤๅในสกุลชาย แม้ไม่อยากจะยกเหตุที่คิดเห็นมาอ้างให้ขัดใจกัน ก็อาจจะบอกได้แต่ว่าชตาไม่ต้องกัน ถ้าขืนให้ตกแต่ง ก็จะเกิดไภยอันตราย บางทีจะเปนด้วยเหตุนี้ด้วย จึงชอบประพฤติกันโดยมาก

การมงคลรายใดผู้ปกครองทั้ง ๒ ฝ่ายกำหนดตกลงจะให้แต่งกันแล้ว ก็ให้เถ้าแก่ทั้ง ๒ ฝ่ายพูดจาสัญญากันกำหนดทุนสินสอดแลหอขันหมากผ้าไหว้ตามสมควรแก่ตระกูล ครั้นตกลงยอมพร้อมกันเปนคำสัญญาทั้ง ๒ ฝ่ายแล้ว ถึงวันฤกษ์ดีบิดามารดาญาติข้างฝ่ายชาย ก็ให้เถ้าแก่นำขันหมากมั่นไปให้แก่บิดามารดาผู้ปกครองหญิง บิดามารดาญาติฝ่ายหญิง ก็หาเถ้าแก่มาคอยรับขันหมากมั่นตามสมควร ขันหมากมั่นนั้นมีขันใส่หมากทั้งผลกับพลูใบขันหนึ่ง กับทองคำ จะเปนทองทรายฤๅทองใบอันมีน้ำหนักเท่าที่ตกลงกันไว้ แลมีขนมต่าง ๆ ตามแต่จะจัดไปได้ แต่บางทีก็ไม่มีขันหมากมั่นต่อกัน เพราะบิดามารดาญาติทั้ง ๒ ฝ่ายรักใคร่เชื่อถือกันอยู่แล้ว ขันหมากมั่นนั้นเพื่อจะให้ประกันให้แน่นอนตามถ้อยคำสัญญาข้างฝ่ายชาย ถ้าฝ่ายชายไม่ได้ทำการวิวาหะมงคลตามสัญญา ขันหมากมั่นนั้นฝ่ายชายจะขอคืนไม่ได้ต้องเสียเปล่า หญิงนั้นเรียกกันว่าเปนม่ายขันหมาก เว้นแต่ถ้าหญิงมีเหตุชั่วไปไม่ได้ทำการมงคลแก่ชายตามสัญญา ขันหมากมั่นนั้นต้องคืนแก่ฝ่ายชายจงครบ

เมื่อมั่นกันเสร็จแล้ว จึงได้กำหนดวันเดือนที่จะทำการมงคลตอนนี้ถึงเวลาที่สร้างเรือนหอ ที่เรียกว่าเรือนหอนั้น ก็คือเรือนอันจะเปนที่อยู่ของชายหญิงซึ่งจะทำการมงคลด้วยกัน ผู้ปกครองข้างฝ่ายชายต้องปลูกหาจัดที่บ้านฝ่ายหญิงให้แล้วเสร็จก่อนวันทำการวิวาหะมงคล บางทีฝ่ายปกครองของหญิงยอมยกเรือนที่มีอยู่แล้วให้เปนหอ คิดเอาราคาแก่ฝ่ายชายพอสมควรมิให้ต้องสร้างใหม่ให้ลำบากก็มี บางทีบ้านฝ่ายหญิงอยู่ริมแม่น้ำ ใช้แพเรือนหอก็มี แม้ที่สุดถ้าเปนตระกูลประกอบการค้าขาย ใช้เรือบรรทุกสินค้าเช่นเรือเข้าเปนเรือนหอสำหรับจะให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้ไปค้าขายด้วยกันก็มี ถ้าแลต้องปลูกเรือนหอ ประเพณีโบราณฝ่ายพวกข้างเจ้าสาวต้องเลี้ยงดูคนที่มาทำงาน บางทีจะเปนเหตุเพราะจะไม่ให้ต้องเปลืองค่าเลี้ยงดูนั้นเอง จึงมักเปนประเพณีที่ต้องปลูกเรือนหอเปนการเร่งรัด มักจะปรับปรุงตัวไม้มาแต่ที่อื่นให้เสร็จแล้วขนมา ปลูกให้เสร็จในวันฤกษ์ที่ยกเรือนนั้น บางทีเรือนหอปลูกเปนแต่เรือนเครื่องผูกหลังย่อม ๆ พออยู่ได้ชั่วคราว ชนิดนี้เข้าใจว่าเปนประเพณีเกิดขึ้นชั้นหลัง แต่งงานบ่าวสาวซึ่งตกลงกันว่าจะให้หญิงไปอยู่บ้านชายภายหลัง แต่บิดามารดาผู้ปกครองหญิงมีความสงสารลูก จึงให้ทำวิวาหะมงคล ประสงค์จะให้ลูกสาวอยู่บ้านเดิมกับสามีจนคุ้นเคยกันก่อน แล้วจึงจะให้ไปอยู่บ้านสามี เพราะฉนั้นจึงไม่ต้องปลูกหอให้เปนของมั่นคงถาวร

เมื่อปลูกเสร็จแล้ว ครั้นถึงวันก่อนจะถึงฤกษ์แต่งงานเรียกว่าวันสุกดิบ เวลาตอนเช้าผู้ปกครองข้างฝ่ายชายก็ให้ขนผ้าไหว้แลขันหมากไปยังบ้านเจ้าสาว ผ้าไหว้นั้นเปนของกำนันสำหรับเจ้าบ่าวให้เพื่อจะให้บิดามารดาฝ่ายหญิงคนละสำรับ แล้วมีผ้าขาวสำหรับไหว้ผีบิดามารดาฤๅปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้วอิกสำรับหนึ่ง เมื่อเสร็จการมงคลแล้ว ผู้ปกครองฝ่ายหญิงก็เอาผ้าขาวไหว้ผีนั้นตัดเย็บย้อมเปนสบงจีวร ฤๅเย็บเปนมุ้งถวายพระสงฆ์ออุทิศส่วนกุศลไปตามเจตนา ขันหมากซึ่งฝ่ายชายต้องจัดหานั้นเปน ๒ อย่าง เรียกขันหมากเอกอย่าง ๑ ขันหมากเลวอย่าง ๑ ทำนองเปนของสำหรับเลี้ยงแขกนั้นเอง ที่เรียกกันว่าขันหมากเอกนั้น เปนขันใส่เข้าสารหมากผลพลูจีบลำดับเรียงรอบปากขัน มีฉัตรระย้าทองอังกฤษปักเปนยอดตั้งขันไปบนพานแว่นฟ้า มีเตียบคู่หนึ่งสองคู่สามคู่สี่คู่บ้าง คือตะลุ่มฤๅโต๊ะใส่หมากพลหมูต้มห่อหมกขนมจีน มีฝาปิดแล้วหุ้มผ้าลายผ้าเกี้ยวผ้าไหมอิกชั้นหนึ่ง มีอ้อยมะพร้าวอ่อนเหล่าใส่ขันพานถั่วงาที่หนึ่ง สิ่งที่กล่าวมานี้นับว่าเปนขันหมากเอก ขันหมากเลวนั้นมาก ตั้ง ๕๐ ที่ฤๅ ๑๐๐ ที่ ตามแต่จะตกลงกันเปนขนมส้มกล้วยลูกไม้ต่าง ๆ ส่งไปก่อนวันฤกษ์ดีวันหนึ่ง เรียกกันว่าวันสุกดิบ

ครั้นเวลาเย็นนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์ที่เรือนหอ ฝ่ายเจ้าบ่าวแต่งตัวเต็มยศไปกับเพื่อนบ่าวหลายคน ไปฟังสวดที่เรือนหอ ครั้นพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์จบแล้ว บิดามารดาฝ่ายหญิงจึงพาเจ้าสาวออกมา ให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวนั่งใกล้กัน มีเถ้าแก่ฝ่ายข้างผู้หญิงนั่งคั่นกลางอยู่คนหนึ่ง ให้พระสงฆนายกสวมมงคลเจ้าบ่าวกับเจ้าสาว เปนมงคลคู่มีสายสิญจน์ล่ามติดกันเรียกว่า มงคลแฝด ฝ่ายเพื่อนบ่าวก็นั่งเรียงเจ้าบ่าวต่อมาฝ่ายหนึ่ง เพื่อนสาวก็นั่งเรียงต่อเจ้าสาวไปฝ่ายหนึ่งที่น่าเรือนหอนั้น พระสงฆ์สวดชยันโตพร้อมกัน แลพระสงฆนายกก็ซัดน้ำพระพุทธมนต์ ให้เปียกทั่วกันทั้งพวกเจ้าบ่าวพวกเจ้าสาว เวลานั้นเปนการสนุกรื่นเริงทั้ง ๒ ฝ่าย พวกเจ้าบ่าวก็เบียดเสียดเจ้าบ่าวเข้าไปให้ใกล้เจ้าสาว พวกเจ้าสาวก็เบียดเจ้าสาวเข้ามาให้ใกล้เจ้าบ่าว พวกหนุ่มสาวทั้ง ๒ ฝ่ายเบียดเสียดกันชุลมุน จนบางทีหญิงเถ้าแก่ที่นั่งกั้นกลางอยู่นั้นหลีกห่างออกมา เจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าไปนั่งชิดกันก็เปนเสร็จซัดน้ำ ในคืนวันนั้นเจ้าบ่าวต้องนอนอยู่ที่หอ มีเครื่องดนตรีดีดสีตีเป่าขับร้อง เรียกว่ากล่อมหอคืนหนึ่ง

รุ่งขึ้นถึงวันฤกษ์ดีเวลาเช้าพระสงฆ์มาพร้อมแล้ว เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวต้องใส่บาตรร่วมขันเดียวกัน ตักด้วยทัพพีเดียวกัน ประเพณีแต่งงานบ่าวสาวเช่นกล่าวมานี้เปนแบบโบราณ แม้ทุกวันนิ้ยังมีทำกันอยู่ในประเทศบ้านนอกชาวสวนชุกชุม แต่ในประจุบันนี้ท่านผู้มียศมีทรัพย์ทำการมงคลแต่งงานบุตรหลานในวันฤกษ์ดีวันเดียว เวลาเช้าเลี้ยงพระสงฆ์ ถวายไทยทานต่าง ๆ แลมีกระถางมังกรมีเข้าสารกับสิ่งของกล้วยส้มขนมต่าง ๆ มีฝาชีปิดปากกระถาง สิ่งของถวายพระสงฆ์นั้นบิดามารดาญาติข้างชายข้างหญิงแบ่งปันกันหาถวายพระตามที่ตกลงกัน ครั้นพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้ว บิดามารดาญาติฝ่ายหญิงจัดของคาวสำรับ ๑ ของหวานสำรับ ๑ ไปให้แก่บิดามารดาญาติฝ่ายชาย ในเวลาเช้าวันเลี้ยงพระสงฆ์แล้วนั้นก่อน คือจะบอกเหตุให้รู้ว่าการเลี้ยงพระเสร็จแล้วให้นำชันหมากไปเถิดเท่านั้นฤๅอย่างไร บิดามารดาญาติฝ่ายชายเมื่อได้รับของเลื่อนแล้ว จึงให้เถ้าแก่ผู้ใหญ่นำทุนสินผ้าไหว้ขันหมากไปยังบ้านฝ่ายหญิง ลักษณแห่ขันหมากก็เปนอย่างประเพณีเดิม ต่างกันแต่แห่ช้ามาอิกวัน ๑ เท่านั้น

ลักษณแห่ขันหมากนั้น ผู้ปกครองข้างฝ่ายชายต้องเลือกสรรชายหญิงที่รูปร่างหมดจดแต่งตัวตามตระกูล ยกทุนสินผ้าไหว้ขันหมาก มีผู้คนแห่ห้อมไปพร้อมมูลกัน ไปบกฤๅไปเรื่อแล้วแต่ทางที่จะต้องไปยังบ้านบิดามารดาฝ่ายหญิง มีฆ้องตีนำขันหมากฤๅบางทีก็มีเครื่องดีดสีตีเป่าไปสำคัญฤๅไปเงียบ ๆ ก็มีโดยมาก แต่ขันหมากเอกนั้นจัดให้หญิงรุ่นสาวแต่งตัวยกไปน่าเตียบ ๆ นั้นจัดหาหญิงที่มีตระกูลมีสามีแล้วยกไปเปนคู่ ๆ กัน ต่อเตียบลงไปก็เปนผ้าไหว้แล้วถึงขันหมากเลว ให้เด็กผู้ชายยกตามไปโดยลำดับ ครั้นถึงบ้านธิดามารดาฝ่ายหญิงที่ในบ้านก็ตีฆ้องรับ แล้วจัดผู้ใหญ่นำเด็กแต่งตัวถือขันพานรองมีหมากพลูลงไปรับ เรียกว่า เชิญขันหมากขึ้นมาบนเรือนหอนั้น บิดามารดาฝ่ายหญิงให้เถ้าแก่ออกมารับขันหมาก แล้วจัดหาผู้มีตระกูลทั้งสามีภิริยาแต่งตัวเต็มยศ หญิงนุ่งจีบห่มผ้าห่มนอนคลุมทั้ง ๒ บ่า มารับเปิดเตียบเปนคู่ ๆ กันตามมากแลน้อย แล้วเถ้าแก่ฝ่ายหญิงยกเตียบกับขันใส่เหล้ามะพร้าวอ่อนพานผ้าไหว้ผีไปไว้ในเรือน บิดามารดาฝ่ายหญิงเส้นบอกผีปู่ย่าตายายตามประเพณีที่นับถือกันต่อ ๆ มา บางทีบิดามารดาฝ่ายหญิงไม่ให้ฝ่ายชายต้องจัดหาขันหมากเอกแลเตียบมีเครื่องเส้นไป ฝ่ายบิดามารดาหญิงจัดหาสิ่งของเครื่องเส้นเองไม่ให้ลำบากด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย ถ้าเช่นนั้นก็มีแต่ทุนสินผ้าไหว้ตามสมควร

เมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงเส้นผีเสร็จแล้ว ฝ่ายเถ้าแก่ข้างเจ้าบ่าวเรียกเอาทุนฝ่ายหญิงแต่เถ้าแก่ บิดามารดาเจ้าสาวก็เอาทุนออกมาที่เรือนหอนับตรวจครบถ้วนด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่ายตามกำหนด แลมักให้มีเงินเถาบ้าง เงินสลึงเงินเฟื้องเปนเศษนอกจากทุนออกไปบ้าง เปนเคล็ดที่จะให้ทุนทรัพย์นั้นงอกงามมีความเจริญสืบไป เถ้าแก่ข้างชายหญิงพร้อมกันนำเงินทั้ง ๒ ฝ่ายมารวมเคล้าด้วยถั่วงาแป้งน้ำมันหอมแล้วมอบให้บิดามารดาฝ่ายหญิงไว้ เมื่อเคล้าเงินทุนเสร็จแล้ว ฝ่ายข้างเจ้าสาวจัดสำรับคาวหวานเลี้ยงเถ้าแก่ แลผู้ยกทุนสินผ้าไหว้ขันหมากตามผู้ดีแลไพร่พร้อมกัน แล้วจัดสิ่งของต่าง ๆ ให้แก่เถ้าแก่กับผู้ยกขันหมากเอกเตียบผ้าไหว้ แต่ขันหมากเลวนั้นแจกเงินคนละสลึงบ่างคนละเฟื้องบ้าง ฤๅแจกเปนผ้าขาวย้อมสีบ้าง แต่คนที่ยกทุนสินนั้นเปนธรรมเนียมถือกันว่าต้องให้ชั่งละบาท เรียกว่าเปนของแถมพก ครั้นจัดการเลี้ยงแถมพกกันเสร็จแล้ว เถ้าแก่ข้างเจ้าสาวแบ่งขันหมากเลวเปน ๒ ส่วน คืนไปให้ข้างบิดามารดาเจ้าบ่าว (สำหรับไปเลี้ยงพวกเจ้าบ่าว) ส่วนหนึ่ง ฝ่ายข้างเจ้าสาวถ่ายเอาไว้ส่วนหนึ่ง เถ้าแก่ฝ่ายชายก็นำพวกที่ยกทุนสินขันหมากกลับไป

ครั้นเวลาบ่ายเจ้าบ่าวกับพวกแต่งตัวตามยศตามศักดิ์ ก็พากันไปบ้านเจ้าสาว มีเครื่องมโหรีด้วยฤๅไปเงียบ ๆ ก็มี

ครั้นถึงบ้านเจ้าสาว บิดามารดาญาติหญิงนั้นให้ผู้ใหญ่พาเด็กแต่งตัวถือพานหมากมาเชิญเจ้าบ่าว ๆ ต้องมีบำเหน็จให้แก่เด็กที่มาเชิญนั้นสี่บาทบ้างแปดบาทบ้าง ตามยศไม่มีกำหนดมากน้อย แล้วผู้ใหญ่ก็พาเด็กกลับขึ้นเรือนก่อนเจ้าบ่าว ๆ ตามขึ้นไปภายหลัง พวกเจ้าสาวถือแพรสีบ้างสายสร้อยทองคำบ้างคนละข้างยืนกั้นขวางทางประตูไว้ตามธรรมเนียม ๑ ชั้น ไม่ให้เจ้าบ่าวขึ้นไป ที่หนึ่งประตูบ้าน พวกเจ้าบ่าวถามว่าประตูอะไร พวกเจ้าสาวที่กั้นขวางไว้นั้นบอกว่าประตูเงิน ชั้นที่สองประตูเรือน พวกเจ้าบ่าวถามว่าประตูอะไร พวกเจ้าสาวตอบว่าประตูทอง ชั้นที่สามประตูเรือนหอพวกเจ้าบ่าวถามว่าประตูอะไร พวกเจ้าสาวบอกว่าประตูแก้ว บอกชื่อประตูถูกต้องดังนี้แล้ว พวกเจ้าบ่าวผู้ใหญ่คนหนึ่งเรียกว่าบ่าวนำ ต้องให้เงินแก่พวกเจ้าสาวที่กั้นขวางประตูไว้นั้น คนละสลึงบ้าง สองสลึงบ้าง บาทบ้างเปนชั้น ๆ กัน ถ้าพวกเจ้าสาวบอกชื่อประตูไม่ถูกต้องตามแบบแล้ว พวกเจ้าบ่าวก็ไม่ใคร่จะให้เงิน ฤๅบางทีพวกเจ้าสาวกั้นขวางทางไว้มากถึงหลายแห่ง พวกเจ้าบ่าวก็ต้องแจกเงินให้ทั่วไปตามสมควร กว่าจะขึ้นเรือนหอได้ก็เสียเงินมากหลายตำลึง พวกเจ้าสาวยกพานหมากน้ำชามาเลี้ยงพวกเจ้าบ่าวคนละที่ ครั้นเวลาเย็นพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ เจ้าบ่าวก็ฟังพระสงฆ์สวดแต่ผู้เดียว เจ้าสาวหาได้มาฟังสวดมนต์พร้อมกันไม่ การสวดมนต์ในชั้นหลังมา เปลี่ยนเปนทำบุญขึ้นเรือนใหม่ หาได้ให้พระสงฆ์สวมมงคลฤๅสาดน้ำดังแต่ก่อนไม่ ครั้นพระสงฆ์สวดจบแล้วก็พักรออยู่พอสมควร เวลาที่ท่านผู้มีบันดาศักดิแลผู้ใหญ่ญาติพี่น้อง ซึ่งได้เชิญมารดน้ำทั้ง ๒ ฝ่ายพร้อมกันแล้ว ฝ่ายข้างเจ้าสาวก็จัดที่รดน้ำมีเตียงปูเสื่ออ่อนปูพรมน้ำมันตามสมควร มีม่านกั้นบังให้เจ้าบ่าวเข้าไปอยู่ในที่นั้นก่อน แล้วเถ้าแก่พาเจ้าสาวออกมานั่งข้างซ้ายผู้ชาย ท่านผู้ใหญ่หยิบมงคลคู่ซึ่งพระสงฆ์ทำไว้มาสวมเศียรทั้ง ๒ เคียงกันหมอบก้มหน้าอยู่ ท่านผู้มีบันดาศักดิแลบิดามารดาญาติทั้ง ๒ ฝ่าย พร้อมกันรดน้ำพระพุทธมนต์ด้วยน้ำสังข์แลขันสำริดให้พร พระสงฆ์สวดชยันโตอิกครั้ง ๑ แต่บางแห่งก็ให้พระสงฆ์กลับวัดเสียก่อน จึงรดน้ำ พระสงฆ์ที่สวดในการวิวาหะมงคลนั้นมีวิธีอาราธนาพระสงฆ์เปนคู่ ๘ รูป ๑๐ รูป ๑๒ รูป ๑๔ รูปบ้าง ฝ่ายชายนิมนต์กึ่งหนึ่งหญิงนิมนต์กึ่งหนึ่ง ครั้นรดน้ำเสร็จแล้ว เจ้าบ่าวออกมาผลัดผ้านุ่งมีเงินขอดชายผ้านุ่งไว้ตามสมควร ผ้านุ่งที่ผลัดนั้นเด็กฝ่ายเจ้าสาวต้องมารับไปซักตากเก็บไว้ ถ้าไม่มีเงินขอดผ้าไว้แล้ว ผ้านั้นเด็กที่รับไปก็ได้ไว้ไม่ต้องคืนให้เจ้าบ่าว แล้วพวกเจ้าสาวก็จัดแจงเลี้ยงดูกันตามสมควรทั้ง ๒ ฝ่าย ท่านที่มารดน้ำก็กลับไป

เสร็จพิธีรดน้ำแล้ว บิดามารดาหญิงให้เชิญเจ้าบ่าวเข้าไปในเรือนบิดามารดาเจ้าสาว เอาผ้าขาว ๔ ศอกปูลงกลางเรือน ยกเตียบกับขวดเหล้ามะพร้าวอ่อนกับผ้าไหว้มีวางบนผ้าขาว เจ้าบ่าวจุดเทียนแฝดคู่ ๑ ธูปคู่ ๑ แล้ว เถ้าแก่นำเจ้าสาวมาไหว้ผีปู่ย่าตายายพร้อมกับเจ้าบ่าว เถ้าแก่ให้เจ้าบ่าวยกมือขวาขึ้นข้าง ๑ เจ้าสาวยกมือซ้ายขึ้นข้าง ๑ ประนมประสานกราบลงพร้อมกัน ๓ ครั้ง แล้วเจ้าบ่าวออกมาไหว้บิดามารดาญาติเจ้าสาวตามที่ได้จัดผ้าไหว้ไปนั้นเรียงไปโดยลำดับ บิดามารดาญาติหญิงที่รับไหว้ให้พรแลให้เงินสิ่งของแก่เจ้าบ่าว แล้วจัดสิ่งของแถมพกเพื่อนเจ้าบ่าวตามสมควร เพื่อนเจ้าบ่าวพากันกลับไป ฝ่ายเถ้าแก่เจ้าสาวก็จัดเสื่อหมอนที่นอนม่านมุ้งเครื่องเรือนเข้าไปปูดูตกแต่งพร้อมแล้วเชิญให้ท่านผู้ใหญ่ผู้มีตระกูลทั้งสามีภิริยา ซึ่งมีความวัฒนาเจริญด้วยกันนั้นชำระกายสอาดแล้วเข้าไปปูที่นอน เอาฟักเขียวผลหนึ่ง หม้อใหม่ใส่น้ำหม้อหนึ่ง พานถั่วงาที่เหลือจากเคล้าทุนสินพานหนึ่งเข้าไปวางไว้ข้างที่นอน เปนวิธีท่านผู้ใหญ่จะให้พรทั้ง ๒ ซึ่งทำการมงคลให้มีผลน้ำใจใสสอาดอยู่เย็นเปนศุขดังอุทกธาราแลฟัก ให้มีน้ำใจรักกันหนักหน่วงดุจศิลา ถั่วงานั้นเพื่อจะเสี่ยงว่าทั้ง ๒ จะมีความเจริญถาวรไปภายน่า ขอให้ถั่วงางอกงามบริบูรณ์ เถ้าแก่ทั้ง ๒ ผู้มีตระกูลวางหมอนหนุนศีศะเรียง หญิงให้นอนซ้ายชายให้นอนขวาตามตำราโบราณ ทั้งสองเถ้าแก่ผัวเมียนอนก่อนเปนสังเขปแล้วให้สีลพรตามสมควร เอาถั่วงามาประมวญโปรยในพื้นดิน ถ้าถั่วงางอกงามยินดีมาก คืนวันนั้นมีมโหรีกล่อมหอเปนเพื่อนเจ้าบ่าว ส่วนที่จะส่งตัวเจ้าสาวกับเจ้าบ่าวที่เรือนหอนั้น หาฤกษ์อิกอย่างหนึ่ง ตามตำราที่เรียกว่าวันเรียงหมอน ได้ฤกษ์เมื่อใดบิดามารดาจึงจะส่งตัวเจ้าสาวให้เจ้าบ่าว บางทีเจ้าบ่าวต้องนอนเฝ้าหออยู่คนเดียวหลายวัน บางทีฤกษ์ส่งตัวเจ้าสาวกับฤกษ์ทำการมงคลร่วมวันเดียวกันในวันนั้น มารดาฤๅเถ้าแก่ก็นำเจ้าสาวมาส่งให้แก่เจ้าบ่าวที่เรือนหอในเวลายามหนึ่งฤๅยามเศษ ประเพณีการแต่งงานบ่าวสาวดังกล่าวมาเปนอย่างที่สองนี้มักทำกันโดยมาก แต่ทุกวันนี้วิธีให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวเข้าไปเส้นผีไหว้ผีปู่ย่าตายายในเรือนบิดามารดาหญิง แลให้เจ้าสาวฟังสวดธารณะใส่บาตรกับเจ้าบ่าวนั้นไม่ใคร่จะมีผู้ใดทำ เพราะจะคิดเห็นไปว่าเปนที่ลอายแก่เจ้าสาวมาก พิเคราะห์ดูที่ถูกแล้วก็เห็นว่าของโบราณท่านทำมานั้นเปนการถูกมาก แต่การซัดน้ำเจ้าบ่าวเจ้าสาวอย่างแบบโบราณเล่นกันรื่นเริงเกินไป การรดน้ำเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ทำกันโดยมากทุกวันนี้เปนการดีสมควรแก่การมงคลแล้ว

ลักษณการส่งตัวเจ้าสาวนั้น แต่โบราณก็มีประเพณือย่างหนึ่ง คือเมื่อถึงวันฤกษ์จะส่งตัว บิดามารดาก็สั่งสอนบุตรสาวให้มีคารวะนบนอบยำเกรงเจ้าบ่าว แล้วให้เถ้าแก่ ๒ คน ๓ คน พาเจ้าสาวไปส่งเจ้าบ่าวที่เรือนหอ เถ้าแก่ให้เจ้าสาวกราบเจ้าบ่าว แล้วพาคลานเลยเข้าไปนั่งอยู่ในม่าน เจ้าบ่าวก็เคารพไหว้เถ้าแก่เปนคำนับแล้ว เถ้าแก่ให้เจ้าบ่าวยื่นมือเข้าไปในม่าน ให้เจ้าสาวยื่นมือมาจับเกี่ยวกันไว้แสดงความว่าได้ยอมยกทั้งสอง ให้เปนคู่สิทธิขาด แล้วเถ้าแก่สอนให้เจ้าสาวกราบหมอนผู้ชายแล้ว นอนลงในเบื้องที่ของเจ้าสาวก่อนเจ้าบ่าว เพื่อจะให้เปนลัทธิให้เจ้าบ่าวมีความยำเกรงเจ้าสาว แล้วสอนเจ้าสาวว่า เมื่อเวลาจะนอนพร้อมกันสืบไปให้กราบบาทเจ้าบ่าวเสียก่อนทุกวัน จะได้เปนศรีแก่ตนมีความเจริญไปภายน่า เสร็จการสั่งสอนกันแล้ว เถ้าแก่ก็ออกไปนั่งพูดอยู่กับเจ้าบ่าว พูดจาฝากฝังเจ้าสาวว่ายังเปนเด็กเล็กไม่รู้อะไร ให้เจ้าบ่าวสั่งสอนไปตามชอบใจเถิด เสร็จแล้วเถ้าแก่ก็ลาเจ้าบ่าวออกไปจากเรือนหอ แต่ลักษณที่ทำกันโดยมากนั้น ในกลางคืนวันที่รดน้ำนั้นเอง พอมารดาสั่งสอนเจ้าสาวแล้ว มารดาเองฤๅเถ้าแก่ก็พาเจ้าสาวไปส่งให้เจ้าบ่าวที่ในเรือนหอ ไม่ได้ทำพิธีเกี่ยวก้อยกันอย่างโบราณ ลักษณการแต่งงานบ่าวสาวดังกล่าวมานี้ เปนประเพณีที่ไทยประพฤติกันโดยมาก แต่ยังมีแปลกไปเปนอย่างอื่นบ้าง จะกล่าวไว้ ให้ปรากฎบ้างบางอย่าง

ลักษณแต่งงานบ่าวสาวของไทยชาวเมืองพัทลุง สงขลา

(ได้มาแต่หม่อมเจ้าวัชรินทร์)

----------------------------

ดำเนินความว่า เมื่อบิดามารดาฝ่ายชายเห็นสมควรจะขอบุตรสาวผู้ใดทำการมงคลกับบุตรชายของตนแล้ว ถึงวันฤกษ์ดีบิดามารดาฝ่ายเจ้าบ่าว จึงแต่งให้เถ้าแก่ไปแยบถามบิดามารดาฝ่ายเจ้าสาวว่า คนนั้น ๆ จะมาขอลูกสาวทำการมงคลกับบุตรชายคนนั้นจะได้ฤๅไม่ได้ ถ้าบิดามารดาเจ้าสาวจะไม่ให้ก็กล่าวคำว่ากับผู้เถ้าผู้แก่ว่า บุตรสาวยังเด็กเล็กอยู่ยังไม่รู้จักการเย่าเรือน อย่าเพ่อมาขอเลย ถ้าจะให้ก็ว่าให้แต่งขันหมากมาตามประเพณีเถิด จะควรทำการมงคลด้วยกันได้ฤๅไม่ได้ก็สุดแล้วแต่หมอจะบูรณทาย เถ้าแก่ที่มาแยบก็กลับบอกกับบิดามารดาเจ้าบ่าวตามคำบิดามารดาเจ้าสาวกล่าวนั้น

ครั้นได้วันฤกษ์ดี บิดามารดาเจ้าบ่าวก็จัดหาขัน ๑๒ นักษัตร ๓ ขันแล้วเอาพลทั้งกำหมากทั้งลูกลำดับใส่ลงในขันเต็มทั้ง ๓ ขัน แล้วจัดหาเถ้าแก่ที่เปนคนมีตระกูลตามสมควร ๒ คน ๓ คนกับคนถือขันหมาก ๓ คนนำขันหมากไปเรือนบิดามารดาเจ้าสาว ๆ ก็จัดแจงปูเสื่อรับขันหมาก เถ้าแก่ผู้นำขันหมากไปนั้น ก็กล่าวถ้อยคำขอหญิงโดยไมตรี บิดามารดาเจ้าสาวก็รับถ่ายเขาหมากพลูในขันไว้ เถ้าแก่ก็ลากลับไป บิดามารดาเจ้าสาวก็เอาหมากพลูที่มาขอลูกสาวนั้นแจกให้ตามบรรดาญาติพี่น้องอันสนิทแล้วปฤกษาหารือกันว่า คนนั้นให้เถ้าแก่มาขอบุตรสาวทำการมงคลแก่บุตรชายคนนั้น บรรดาพวกพี่น้องทั้งปวงจะเห็นประการใดบ้าง ถ้าเจ้าบ่าวเปนคนประพฤติการชั่วฤๅเปนคนเกียจคร้านไม่ทำมาหากิน ญาติพี่น้องก็ทักท้วง ฤๅเจ้าบ่าวคนประพฤติการทำมาหากินสุจริตแล้ว ญาติพี่น้องทั้งปวงก็เห็นดี ควรจะทำการมงคลด้วยกันได้ ครั้นอยู่มา ๙-๑๐ วัน บิดามารดาเจ้าบ่าว จึงให้เถ้าแก่ไปถามบิดามารดาเจ้าสาวว่าที่มาขอบุตรสาวไว้นั้นได้ปฤกษาตกลงกันอย่างไร ถ้าบิดามารดาเจ้าสาวจะไม่ยอมยกบุตรสาวให้ก็ตอบว่า ได้ถามบุตรสาวดูแล้วบุตรสาวว่าไม่สมัครักใคร่กับชายคนนั้น บางทีก็พูดว่าปฤกษากับญาติพี่น้อง ๆ เขาไม่เห็นดีด้วย ถ้าจะให้บิดามารดาเจ้าสาวก็กล่าวคำว่ากับผู้เถ้าผู้แก่ว่า ได้ปฤกษาญาติพี่น้องเห็นดีพร้อมกันแล้ว ถึงวันดีก็ให้มาขันหมากบูรณสัก ๓๐ ขัน ๕๐ ขัน (ตามคุณานุรูปของเจ้าบ่าวเจ้าสาว) เถ้าแก่ก็กลับไปแจ้งความกับบิดามารดาเจ้าบ่าวตามคำบิดามารดาเจ้าสาวกล่าวนั้น บิดามารดาเจ้าบ่าวจึงหาฤกษ์แล้วแต่งให้คนไปแจ้งแก่บิดามารดาเจ้าสาวว่า ณวันเดือนนั้นขึ้นแรมเท่านั้นเปนวันดี จะให้เถ้าแก่นำขันหมากบูรณไป ฝ่ายบิดามารดาเจ้าสาวก็จัดแจงตระเตรียมหาของสำรองไว้ ที่จะรับเลี้ยงตามสมควร

ครั้นถึงกำหนดวันดี บิดามารดาเจ้าบ่าวก็จัดขัน ๑๒ นักษัตร ๓ ขัน นอกกว่านั้นใช้ขันเลว ๓๐ ขันฤๅ ๕๐ ขัน แต่ขัน ๑๒ นักษัตร ๓ ขันนั้นเรียกว่าขันหัวขัน ๑ ขันคางขัน ๑ ขันฅอขัน ๑ ใช้หมากสงปอกเปลือกแล้วทั้งลูก แล้วเอาพลูลำดับเปนยอดขึ้นไป เอาหมากใส่ไว้กลางขันทั้ง ๓ ขัน นอกแต่นั้นใช้หมากสงทั้งเปลือกกับพลูพอเต็มขัน แล้วเอาแพรต่างสีคลุมขันหมากหัว ขันหมากคาง ขันหมากฅอ รวม ๓ ขัน ขันหมากพลทั้งนั้นคลุมผ้าลายสี่เหลี่ยม ครั้นแต่งขันหมากแล้วก็จัดคนเถ้าแก่ผู้ชาย ๔-๕ คน ผู้หญิง ๔-๕ คน กับหมอสำหรับที่จะดูบูรณทายคน ๑ กับผู้หญิงถือขันหมากแต่งตัวสอาดเรียบร้อยครบกับขันหมาก ครั้นได้ฤกษ์ก็ยกขันหมากไป บิดามารดาเจ้าบ่าวก็ไปด้วย ครั้นไปถึงบันไดเรือนบิดามารดาเจ้าสาวให้คนเอาหม้อน้ำมนต์ออกไปยืนคอยประพรมขันหมากอยู่ที่บนชานเรือนริมบันได แล้วคนที่ถือขันหมาก ๓ ขันนั้น ก็ถือเลยเข้าไปตั้งไว้ที่ปูผ้าขาวในประธานเรือนบิดามารดาเจ้าสาว แต่ขันหมากพลนั้นวางไว้บนเสื่อข้างนอก แล้วบิดามารดาเจ้าสาวก็จัดสำรับคาวหวานเลี้ยงดูเถ้าแก่แลพวกถือขันหมากทั้งนั้น เสร็จแล้ว ๆ พวกถือขันหมากทั้งนั้นก็กลับไป ฝ่ายบิดามารดาเจ้าบ่าวกับบิดามารดาเจ้าสาวแลเถ้าแก่ พร้อมด้วยญาติพี่น้องทั้ง ๒ ฝ่าย ก็เรียกหมอดูมาข้างเจ้าบ่าว ๑ เจ้าสาว ๑ ข้างละคน บอกปีเดือนวันคืนขึ้นแรมเวลานาทีเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้หมอตรวจดูชตาราษี หมอก็คำนวณดูนาคสมพงษ์ แลลักษณชตาเจ้าบ่าวเจ้าสาวทั้งสอง ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องกัน บิดามารดาเจ้าสาวก็กล่าวคำว่าจะแต่งให้อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะปีเดือนวันคืนไม่ถูกต้องกัน ถ้าเห็นว่าลักษณจันทร์เกาะกุมภ์ถูกต้องกันดีแล้ว บิดามารดาเจ้าสาวก็กำหนดกับบิดามารดาเจ้าบ่าวว่า หมอให้ทำการปีนั้นการมงคลวิวาหะออกให้ ให้มาขันหมากใหญ่ตามประเพณีเถิด แล้วบิดามารดาเจ้าสาวก็กล่าวตกทอดสินสอดขันหมากกับบิดามารดาเจ้าบ่าวต่อหน้าผู้เถ้าผู้แก่แลหมอทั้ง ๒ คนว่า จะเอาทองสัก ๕ ตำลึง ฤๅ ๓ ตำลึง ฤๅ เท่าใดตามควร เงินสักสองร้อยเหรียญฤๅร้อยเหรียญฤๅห้าสิบเหรียญ ผ้าขาวสักห้าพับฤๅสามพับ ธูปเทียนสิ่งละ ๕ แพฤๅสิ่งละ ๓ แพ ขันหมากสัก ๑๕๑ ขัน ฤๅ ๕๑ ขัน ตามคุณานุรูปคนทั้งสอง ฝ่ายบิดามารดาเจ้าบ่าวก็รับตามคำบิดามารดาเจ้าสาวตกทอด แล้วบิดามารดาเจ้าบ่าวแลเถ้าแก่ก็กลับไปบ้าน แต่นั้นบิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาว ก็ไปมาหาสู่เยี่ยมเยือนถามข่าวศุขทุกข์ซึ่งกันแลกันอยู่เสมอ

ครั้นถึงกำหนดปีที่มงคลวิวาหะออกให้ตามหมอดูทำนายไว้นั้นบิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ให้หมอคำนวณหาวันดีที่จะทำการวิวาหะมงคล ครั้นหมอคำนวณดูรู้ว่า ต่อวันนั้นเดือนนั้นขึ้นแรมเท่านั้นเปนอุดมฤกษ์ดี แล้วบิดามารดาเจ้าบ่าวก็ไปจัดแจงปลูกเรือนหอที่บ้านบิดามารดาเจ้าสาวตามสมควรเสร็จแล้ว บิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จัดแจงปลูกเปนโรงใหญ่เรียกว่าโรงมัด ตระเตรียมซื้อหาสิ่งของจะทำการ แล้วบิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จัดแจงแต่งสำรับคาวหวาน ยกไปให้ตามพวกญาติพี่น้องแลพระหลวงขุนหมื่นแลกรมการผู้มีบันดาศักดิ การบอกแขกช่วยทำการวิวาหะมงคลตามสมควรทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วบิดามารดาเจ้าบ่าวจัดหมากซองเอาไปให้บุตรขุนนางที่หนุ่มๆเชิญเปนเพื่อนบ่าวตามสมควร แล้วก็จัดแจงเหล้าเข้าคาวหวานเครื่องสำหรับเลี้ยงแขกไว้พร้อมแล้ว ก็จัดที่แต่งขันหมากดาดเพดานด้วยผ้าขาวปูพรมปูผ้าขาว แล้วเอาขันหมากวางลงบนผ้าขาว ใช้ขัน ๑๒ นักษัตร ๓ ขัน ขันหมากพล ๑๕๑ ขันฤๅ ๑๐๑ ขัน ฤๅ ๕๑ ขันวางลงไว้บนเสื่อพร้อมกันแล้ว เชิญเถ้าแก่ที่เข้าใจการมาให้จัดลำดับพลูเปนยอดพนมขึ้นไป ใช้หมากสงปอกแล้วทั้งลูกใส่กลางขันทั้ง ๓ ขัน แล้วเอาแพรอย่างดีสีต่าง ๆ กันคลุมลงทั้ง ๓ ขัน แต่ขันหมากพลูทั้งนั้นใส่หมากพลูเต็มทุกขัน แล้วจัดเหล้ากะถาง ๑ ไก่ต้มตัว ๑ เป็ดต้มตัว ๑ ธูปเทียนเข้าเหนียวเข้าเจ้าขนมพร้อม ใส่ในโต๊ะปิดฝาชีสำรับ ๑ เรียกชื่อว่าขันวัดดาม เอามะพร้าวอ่อนปอกเปลือกแล้ว ๓ ผลโต๊ะ ๑ กล้วยสุกโต๊ะ ๑ อ้อยตัดเปนท่อน ๆ โต๊ะ ๑ ทองคำใส่พานถม เงินใส่ขันถม ครั้นจัดขันหมากเสร็จแล้ว ก็เลี้ยงดูญาติพี่น้องผู้ที่มาช่วยการ แลคนที่จะถือขันหมากก็ต้องเอาหมากพลูไปบอกออกปากวักวานทุกคน

ครั้นรุ่งขึ้นเช้าเปนวันมหาสิทธิโชคอุดมฤกษ์ดีแล้ว ก็จัดผู้หญิงมีตระกูลให้ถือขันหมากหัว ขันหมากคาง ขันหมากฅอ ๓ ขัน แลขันหมากพลทั้งนั้นให้ผู้หญิงสาว ๆ แต่งตัวสอาดเรียบร้อยถือคนละขัน ครั้นได้ฤกษ์หมอลั่นฆ้องแล้ว เถ้าแก่คนผู้ดีมีตระกูลประมาณห้าคนหกคน ออกเดินนำน่าขันหมาก แต่ขันหัวคางฅอทั้ง ๓ ขันนั้น ต้องมีคนกางร่มไปทั้ง ๓ ขัน แล้วก็ออกเดินเปนลำดับเรียงตัวกันไปเปนจังหวะเรียบร้อย มีผู้ชายถือปืนเดินเคียงข้างละเก้าคนสิบคน แล้วจัดหมากพลูใส่ขันถมเล็ก ๆ ให้คนที่เข้าใจถือล่วงน่าไปเรือนบิดามารดาเจ้าสาวก่อน ขันหมากบอกให้รู้ว่าคนมากน้อยเท่านั้นจะไปถึงเวลานั้น บิดามารดาเจ้าสาวจะได้จัดแจงการรับรองตามธรรมเนียม ครั้นขันหมากเดินพ้นประตูบ้านเจ้าบ่าวออกไปถึงกลางถนน ก็ยิงปืน ๔ นัด ๕ นัด เพื่อจะให้รู้ไปถึงบ้านเจ้าสาวว่าคลี่กระบวนขันหมากเดินแล้ว ครั้นไปถึงประตูบ้านเจ้าสาวก็ยิงปืนอิกครั้ง ๑ แล้วเดินเข้าไปถึงบันไดเรือน ฝ่ายบิดามารดาเจ้าสาวก็แต่งให้เถ้าแก่ถือหม้อน้ำมนต์ออกไปคอยรับอยู่ที่บันไดเรือน ครั้นขันหมากถึงก็เอาน้ำมนต์ประพรมขันหมากทุก ๆ ขัน แล้วนำขันหมากเข้าไปข้างใน แต่ขันวัดด้ามกับขันหมาก ๓ ขัน กับพานใส่ทองขันใส่เงินนั้น ผู้ถือต้องถือเลยขึ้นไปวางที่บนผ้าขาวในห้องเรือน แล้วญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวก็จุดเทียนขึ้น ๒ เล่ม เปนเทียนเจ้าบ่าวเล่ม ๑ เทียนเจ้าสาวเล่ม ๑ ประกาศบอกปู่ย่าตายายวักเส้นเสร็จแล้ว จึงจัดแจงสำรับคาวหวานเลี้ยงดูเถ้าแก่แลคนถือขันหมากเสร็จแล้วก็กลับไป

ทีนี้ฝ่ายข้างบิดามารดาเจ้าบ่าว ก็จัดแจงจัดสำรับคาวหวานเลี้ยงเถ้าแก่แลเพื่อนบ่าว ครั้นเลี้ยงแล้ว จึงแต่งตัวเจ้าบ่าวให้หมอเศกน้ำมันใส่ผมเศกแป้งผัดหน้าเศกขี้ผึ้งสีปาก แล้วนุ่งผ้าใส่เสื้อให้เปนสง่าราษี พอได้ฤกษ์ดีในเวลาเช้าเถ้าแก่ก็นำเจ้าบ่าวลงจากเรือนไป เพื่อนบ่าวก็เดินห้อมล้อมเจ้าบ่าวไป พอออกจากประตูบ้านก็ยิงปืนครั้ง ๑ เก้านัดสิบนัด ไปถึงกลางทางยิงครั้ง ๑ ยี่สิบนัดสามสิบนัด ไปถึงประตูบ้านเจ้าสาวยิงอิกครั้ง ๑ ยี่สิบนัดสามสิบนัด ฝ่ายพวกเจ้าสาวก็ยิงปืนรับยี่สิบนัดสามสิบนัดเหมือนกัน แต่พวกเจ้าสาวปิดประตูบ้านไว้ก่อน เจ้าบ่าวต้องให้คนเอาเงินให้ผู้ปิดประตูประมาณสัก ๔ ย่ำไป ๕ ย่ำไป ๆ หนึ่งนั้นคือเงินรูเปียสามสลึง นายประตูจึงเปิดประตูให้ เถ้าแก่ก็นำเจ้าบ่าวเลยเข้าไปถึงบันได บิดามารดาเจ้าสาวก็แต่งตัวบุตรฤๅหลานที่ยังไว้จุกออกไปคอยล้างเท้าให้เจ้าบ่าว ครั้นเจ้าบ่าวไปถึงแล้ว เด็กนั้นก็เอาขันถมฤๅขันเงินตักน้ำล้างเท้าให้เจ้าบ่าว เจ้าบ่าวก็เอาเงินให้เด็กนั้นประมาณ ๑๔ ย่ำไป ๑๕ ย่ำไป แล้วเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาวก็เอากรรชิงกางรับเจ้าบ่าว จูงมือขึ้นไปที่โรงมัด แลที่โรงมัดนั้นดาดเพดานปูเสื่อตั้งม้าตัว ๑ มีเครื่องบูชาพระเทียน ๙ เล่ม หมาก ๙ คำ ดอกไม้ ๙ ดอก หมอนใบ ๑ เอาหมาก ๓ คำ เทียน ๓ เล่ม เงิน ๓ สลึงวางเรียงไว้บนหมอน พวกญาติพี่น้องของเจ้าสาวก็มาคอยรับอยู่ที่โรงมัดนั้น ครั้นเจ้าบ่าวถึงโรงมัดแล้ว เจ้าบ่าวก็กราบพระลง ๓ หน แล้วกรายลงอิกหน ๑ แล้วเอามือกวาดหมากกับเงินซึ่งอยู่บนหมอนข้างซ้าย แล้วกราบลงหน ๑ กวาดหมากแลเงินข้างขวา แล้วกราบลงหน ๑ กวาดหมากแลเงินกลางหมอนเข้ามาหาตัว เสร็จแล้วกราบอิก ๓ หน รวมเปน ๙ หน แล้วเอาใบพลู ๓ ใบดับเทียนข้างซ้าย ดับเทียนข้างขวา ดับเทียนกลางหมอนแล้วเถ้าแก่ข้างเจ้าสาวก็ออกไปจูงมือเจ้าบ่าวเข้าไปในห้องที่เจ้าสาวอยู่เจ้าบ่าวต้องเสียเงินค่าเปิดประตูห้องอิกประมาณ ๔ ย่ำไป ๕ ย่ำไป ครั้นเจ้าบ่าวเข้าไปถึงในห้องแล้ว เจ้าสาวก็เอาผ้าเสื้อให้เจ้าบ่าวผลัดแล้ว เถ้าแก่จึงให้เจ้าสาวกราบเจ้าบ่าว ๓ หน แล้วเถ้าแก่จึงพาเจ้าบ่าวเจ้าสาวออกไปที่โรงมัด ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งบนอาศนะที่ตั้งบายศรี ให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวหมอบชิดใกล้กัน พวกญาติพี่น้องแลเถ้าแก่เพื่อนบ่าวทั้งนั้นก็นั่งล้อมโดยรอบ ตาหมอก็ชักวงสายสิญจน์ แล้วจุดเทียนคำนับครู สวดสัคเค นโมจบแล้ว ก็กล่าวถ้อยเชิญขวัญเจ้าบ่าวเจ้าสาว ลั่นฆ้องไชยโห้ร้องเปนการเอิกเกริก แล้วเปิดคลุมบายศรีเวียนเทียน ตาหมอก็สวดชยันโตโปรยเข้าตอก เวียนเทียนได้เจ็ดรอบเก้ารอบแล้วดับเทียน โบกควันไปข้างเจ้าบ่าวเจ้าสาว แล้วตาหมอก็เอาช้อนมุกตักน้ำมะพร้าวอ่อนให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวกินคนละช้อน แล้วเถ้าแก่ทั้ง ๒ ฝ่ายก็อวยไชยมงคลให้พร แล้วเขาเงินเจิมขวัญให้คนละ ๒๐ ย่ำไปบ้าง ๓๐ ย่ำไปบ้าง คนละ ๒๐ เหรียญบ้าง ๓๐ เหรียญบ้าง คนละ ๖๐ เหรียญบ้าง ๗๐ เหรียญบ้าง ตามถานานุรูป ครั้นเสร็จการทำขวัญแล้ว เจ้าสาวก็กลับเข้าข้างใน เจ้าบ่าวก็จัดสำรับคาวหวานเหล้าเข้าเลี้ยงดูเถ้าแก่แลเพื่อนบ่าวเปนการสนุกอย่างยิ่ง แล้วข้างบิดามารดาเจ้าสาวก็จัดของแถมพกให้แก่เถ้าแก่แลเพื่อนบ่าว บรรดาที่ได้เจิมขวัญตามมากแลน้อยทั่วทุกคน แล้วต่างคนก็ต่างกลับไปบ้าน ฝ่ายเจ้าบ่าวก็กลับเข้าไปในห้องที่เจ้าสาวอยู่ เจ้าสาวก็ยกสำรับคาวหวานมาตั้งให้เจ้าบ่าว แล้วเจ้าสาวเข้าไปเปิดฝาชีฝาถ้วยชามนั่งคอยปฏิบัติเจ้าบ่าวอยู่จนรับประทานแล้ว ๆ เจ้าบ่าวก็ถอดแหวนใส่ในพานผ้าเช็ดมือให้เจ้าสาววงหนึ่ง ครั้นเวลาเย็นใกล้จะค่ำให้นิมนต์พระสงฆ์ ๕ รูปมารดน้ำมนต์เปนเสร็จการพิธี ต่อมาในวันนั้น พอค่ำลงประมาณยามเศษ เถ้าแก่นำเจ้าสาวออกไปส่งให้เจ้าบ่าวที่ในห้อง การมงคลบ่าวสาวชาวเมืองพัทลุงสงขลากล่าวมาเปนสังเขปแต่เท่านี้

ลักษณแต่งงานบ่าวสาวอย่างลาวพุงดำ

----------------------------

ประเพณีการมงคลแต่งงานบ่าวสาว ในประเทศเมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมืองลำพูน เมืองน่าน ที่เรียกว่าลาวพุงดำนั้น บรรดาเจ้านายท้าวพระยาราษฎรที่มีบุตรสาว ถ้าเห็นว่าบุตรสาวของตนสมควรจะทำการมงคลแก่บุตรชายของผู้ใด ที่บิดามารดาหญิงมีใจรักใคร่นั้น ครั้นถึงวันฤกษ์งามยามดี บิดามารดาหญิงก็พูดจากับบิดามารดาของชายนั้นว่า จะขอเอาบุตรชายไปเปนบุตร เมื่อตกลงกันฝ่ายบิดามารดาชายก็บอกปีเดือนวันคืนบุตรชายของตนนั้นให้แก่บิดามารดาหญิง ๆ ก็บอกปีเดือนวันคืนบุตรสาวตนให้แก่บิดามารดาชาย ต่างคนก็หาหมอโหรามาดูปีเดือนวันคืนบุตรที่จะทำการวิวาหะมงคล ถ้าไม่ถูกต้องกัน ก็พูดจาบอกกล่าวกันว่าปีเดือนบุตรชายหญิงซึ่งจะทำการวิวาหะมงคลไม่ถูกต้องกัน จะให้ทำการมงคลกันไม่ได้ ถ้าถูกต้องตามตำราดีเปนที่ตกลงพร้อมกันแล้ว บิดามารดาชายหญิงทั้ง ๒ ฝ่ายก็หาวันฤกษ์ดี กำหนดทำการมงคลบุตรชายหญิงด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย

ครั้นถึงกำหนดวันฤกษ์ดี บิดามารดาฝ่ายชายหญิง ต่างคนบอกญาติพี่น้องมาประชุมพร้อมกันที่บ้านเรือนบิดามารดาชายหญิงทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วบิดามารดาฝ่ายหญิงก็จัดขันหมากขันพลู ๘ กรวย เทียน ๘ คู่ เข้าตอกดอกไม้ใส่ในขันหนึ่ง เรียกว่าขันไกว่ผี แล้วจัดขันอิก ๒ ขันมีเทียน ๘ คู่เข้าตอกดอกไม้ เรียกว่าขันขออนุญาตบิดามารดาฝ่ายชายคนละขัน ให้ญาติพี่น้องเถ้าแก่ฝ่ายหญิงไปให้แก่บิดามารดาชาย บิดามารดาชายรับเอาสิ่งของไว้ แต่เทียนดอกไม้หมากพลูของไกว่ผีนั้น บิดามารดาชายแบ่งไว้ ๔ คู่ คืนให้เถ้าแก่แลญาติฝ่ายหญิงกลับคืนไป ๔ คู่ เมื่อเวลาเถ้าแก่หญิงเอาสิ่งของไหว้ผีแลขันหมากไปขอชายนั้น บิดามารดาญาติพี่น้องฝ่ายชายพร้อมกันจัดสำรับคาวหวานเหล้าเข้าเลี้ยงดูตามสมควรแล้ว เถ้าแก่ฝ่ายชายก็นำเจ้าบ่าวกับเพื่อนบ่าวแลญาติพี่น้องเจ้าบ่าว ไปบ้านบิดามารดาหญิงพร้อมกับเถ้าแก่ญาติพี่น้องฝ่ายหญิงในวันเวลาเดียวนั้น บิดามารดาฝ่ายหญิงจัดให้เถ้าแก่ ๓-๔ คนมาคอยรับเจ้าบ่าวอยู่ที่ประตูบ้าน ครั้นเจ้าบ่าวไปถึงประตูบ้านแล้ว เถ้าแก่เจ้าบ่าวก็พูดจากับเถ้าแก่เจ้าสาวว่านำเอาแก้วมาให้เปนสวัสดิมงคลอยู่ดีมีศุข เถ้าแก่เจ้าสาวก็ตอบว่าดีแล้วจะได้เปนไชยมงคลขอรับเอาไว้ เถ้าแก่เจ้าสาวก็จูงมือเจ้าบ่าวไปขึ้นเรือนบิดามารดาเจ้าสาว บิดามารดาเจ้าสาวแต่งขันขอพรญาติพี่น้องไว้ ให้พอกับญาติพี่น้องที่เปนผู้ใหญ่สมควรจะให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวขอพรนั้น มีเข้าตอกดอกไม้เทียน ๔ คู่ แล้วให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวมาพร้อมกัน ต่างคนต่างหยิบขันเข้าตอกดอกไม้เทียนไปให้แก่บิดามารดาญาติพี่น้องผู้ใหญ่ทุก ๆ คนแล้ว ก็ยกมือไหว้ขอพรทั่วกัน ฝ่ายญาติพี่น้องที่ได้รับขันขอพรแล้ว ต่างคนก็ให้สินให้พรแก่เจ้าบ่าวเจ้าสาว ครั้นเสร็จแล้วบิดามารดาชายหญิงเชิญแก่บ้านมาเปนพยานด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย แก่บ้านถามชายเจ้าบ่าวว่าทรัพย์สิ่งของเจ้าบ่าวมีมาสู่เจ้าสาวเปนทุนทำมาหากินเท่าใด ถ้าชายมีทรัพย์สิ่งของ ๆ ตนมีมาเท่าใด ก็บอกให้แก่บ้านทำบาญชีไว้ตามมากแลน้อย พร้อมด้วยเถ้าแก่ญาติพี่น้องทั้ง ๒ ฝ่าย ถ้าชายไม่มีทรัพย์สิ่งของ ก็บอกว่าไม่มีสิ่งใด จะช่วยกันทำมาหากินเลี้ยงกันไป ญาติพี่น้องฝ่ายหญิงก็จัดสำรับคาวหวานเหล้าเข้าเลี้ยงดูจ้อยซอกัน จ้อยซอนั้นคือหมอเป่าปี่หมอขับรำ ตามเพศพุงดำตามสมควรแก่เวลา แล้วเถ้าแก่กับญาติพี่น้องทั้ง ๒ ฝ่าย ต่างคนต่างก็ไปบ้าน ฝ่ายเถ้าแก่เจ้าสาวจัดที่ซ่อมปูเสื่อที่นอนหมอนมุ้งแล้ว พาเจ้าสาวไปไว้ในซ่อมนั้น ๆ คือห้องเรือนของบิดามารดาเจ้าสาวนั้นเอง ทำเปนฝากั้นไว้แต่เฉภาะห้องหนึ่งสองห้องบ้าง แล้วเถ้าแก่ก็จูงมือเจ้าบ่าวเข้าไปในซ่อมให้อยู่กับเจ้าสาว ๒ คน เถ้าแก่ก็กลับออกมา

ครั้นเจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่ด้วยกันครบ ๗ วันแล้ว บิดามารดาเจ้าสาวเรียกตัวเจ้าบ่าวมา พูดจามอบบ้านเรือนที่นาช้างม้าโคกระบือข้าคนให้กับเจ้าบ่าว ให้เอาใจใส่ระวังปกปักรักษาทำมาหากินต่อไป แต่ทรัพย์สิ่งของฝ่ายบิดามารดาจะให้แก่บุตรชายบุตรสาวทุนสินทำมาหากินด้วยกันนั้น บิดามารดาฝ่ายชายฝ่ายหญิงหาได้หยิบยกให้ไม่ ให้แต่ของตกแต่งเมื่อเวลาทำการวิวาหะมงคลเท่านั้น ต่อภายหลังบิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาวถึงแก่กรรมแล้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาวจึงจะได้ทรัพย์ส่วนของบิดามารดาตามสมควร เปนประเพณีการมงคลบ่าวสาวในประเทศพุงดำดังนี้

ประเพณีแต่งงานบ่าวสาวอย่างลาวพุงขาว

----------------------------

การมงคลแต่งงานบ่าวสาวตามแบบอย่างทางเมืองชนบท แลประเทศลาวพุงขาวฝ่ายตวันออกนั้น เดิมบิดามารดาข้างฝ่ายชายให้เถ้าแก่ผู้หญิงไปพูดจากับบิดามารดาข้างเจ้าสาวว่า บิดามารดาเจ้าบ่าวให้มาพูดจาอยากจะให้บุตรชายมาเปนลูกเปนเต้า ข้างฝ่ายบิดามารดาเจ้าสาวก็เรียกบุตรสาวมาไต่ถามต่อหน้าเถ้าแก่ ว่าบุตรชายผู้นั้นให้เถ้าแก่มาขอเอง ๆ จะเอาเขาฤๅไม่เอา ข้างบุตรสาวถ้าไม่ขัดขวางก็บอกว่าสุดแล้วแต่บิดามารดาจะเห็นดี เถ้าแก่กับบิดามารดาข้างเจ้าสาวก็ปฤกษากันหาวันฤกษ์งามยามดี ที่จะให้จัดหาขันหมากมาตามสมควรแก่กำลัง แล้วเถ้าแก่ก็ลาไปพูดจากับบิดามารดาข้างผู้ชาย ครั้นถึงวันดีบิดามารดาข้างผู้ชาย ก็จัดแจงหมาก ๔ คำใส่พานแล้วเอาผ้าขาวปิดบนพานหมาก ให้เถ้าแก่ผู้ชาย ๓ คนถือพานหมากไปถึงเรือนเจ้าสาว บิดามารดาเจ้าสาวก็จัดแจงรับรองเถ้าแก่ตามสมควร แล้วบิดามารดาเจ้าสาวก็ไปเชิญญาติพี่น้องมาพร้อมกัน เถ้าแก่ข้างผู้ชายก็ยกพานหมาก ๔ คำ ให้บิดามารดาญาติพี่น้องเจ้าสาวกิน บิดามารดาญาติพี่น้องเจ้าสาวก็กินหมาก ๔ คำนั้นแล้ว บิดามารดาญาติพี่น้องข้างเจ้าสาวจึงปฤกษาหารือกำหนดจะเอาสินสอดกับเถ้าแก่ข้างผู้ชายเท่าหนึ่งเท่าใด ตามที่จะตกลงกัน เปนต้นว่าเงิน ๑๐ ตำลึง ทองคำหนักบาท ๑ เหล้า ๔ ไห ปลาหาบ ๑ เนื้อหาบ ๑ ถ้าเปนคนขัดสนก็ลดหย่อนผ่อนผันตามสมควรแก่กำลัง เถ้าแก่ก็ลากลับไปบอกกับบิดามารดาข้างเจ้าบ่าวว่า บิดามารดาญาติพี่น้องข้างเจ้าสาวจะเอาเงินทองสิ่งของเท่านั้น ฝ่ายบิดามารดาข้างเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็หาหมอมาตรวจดูชตาราษีข้างเจ้าบ่าวเจ้าสาว แลดูวันเดือนฤกษ์ยามที่จะทำการมงคล แล้วกำหนดวันเดือนฤกษ์ยามให้ตามสมควร

ครั้นถึงวันดีเถ้าแก่เอาสินสอด เหล้า ๔ ไห ปลาหาบ ๑ เนื้อหาบ ๑ ไปส่งให้บิดามารดาเจ้าสาว แล้วเถ้าแก่ก็ลากลับมา ครั้นรุ่งเช้าบิดามารดาเจ้าบ่าว ก็หาหญิงผัวเดียวเมียเดียวมาจัดพาขวัญเอาผ้าขาวห่อหมากห่อ ๑ มีหมากพลูจีบ ๔ คำ ยอดคูน ยอดยอ ยอดอ้อย ยอดกล้วย เข้าต้มกล้วยใส่โต๊ะ มีดหมากเล่มหนึ่ง เอาด้ายดิบทำเปนสายสำหรับหามไป มีผ้าขาวหุ้มนอก มีก่องเข้า ๑ น้ำเต้าน้ำ ๑ เสื่อผืน ๑ เสร็จแล้ว ครั้นถึงเวลาฤกษ์ดีบิดามารดาเถ้าแก่ ก็เรียกบุตรชายออกมากับผู้ชายที่ยังไม่มีภรรยาคน ๑ ซึ่งเปนเพื่อนบ่าว ถือเข้าตอกร้อยเปนพวงมาไลยสวมยอดตองอ่อนที่ยังไม่ได้คลี่คนละยอด นั่งพนมมือเคียงกันอยู่ที่พาขวัญ ๆ นั้น คือ สำรับบายศรีปากชาม แล้วหมอก็เรียกขวัญ เสร็จแล้ว ก็จัดให้ผู้ชายแบกพาขวัญ เด็กผู้หญิงอายุ ๑๑ ปี ๑๒ ปี ๓ คน หามโต๊ะห่อหมาก ๒ คน หาบน้ำเต้าใส่น้ำก่องเข้าเสื่อปูนอนคน ๑ แล้วเถ้าแก่ก็พาเจ้าบ่าวกับเพื่อนบ่าวคน ๑ ถือยอดตองสวมเข้าตอกเปนพวงมาไลยคนละยอดมาถึงประตูบ้านเจ้าสาว เถ้าแก่ข้างเจ้าสาวก็ลงไปปิดประตูไว้ แล้วเถ้าแก่เจ้าบ่าวเอาเหล้าขวดหนึ่ง หมาก ๒ คำให้เถ้าแก่ข้างเจ้าสาว ๆ จึงเปิดประตูให้เข้าไป ครั้นมาถึงบันไดเจ้าบ่าวขึ้นยืนบนหิน แล้วเด็กผู้หญิงเอาน้ำใส่ขันล้างเท้าให้เจ้าบ่าว แล้วเถ้าแก่ข้างเจ้าสาวกจูงมือเจ้าบ่าวขึ้นบนเรือน เถ้าแก่ข้างเจ้าสาวก็รับเอาโต๊ะห่อหมากกับหาบน้ำเต้าก่องเข้าเสื่อไปวางไว้บนที่นอนเจ้าสาว เจ้าบ่าวกับเพื่อนเจ้าบ่าวเอายอดตองที่ถือมานั้นเหน็บไว้บนหลังคาเรือน บิดามารดาเจ้าสาวเถ้าแก่จึงเอามีดหมากปาดห่อหมากออกไว้ใต้ที่นอนเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั้น ๓ คืนแล้วก็เก็บทิ้งเสีย แต่มีดหมากเล่ม ๑ นั้นบิดามารดาเจ้าสาวเก็บไว้ เมื่อบุตรสาวมีบุตรก็เอามีดหมากเล่มนั้นใส่ในกระด้งครกเมื่อออก มีดหมากเล่มนั้นเรียกว่ามีดผ่าขวัญ เถ้าแก่ก็พาเจ้าสาวออกมานั่งเคียงกับเจ้าบ่าว แล้วยกพาขวัญข้างเจ้าสาวมาให้เจ้าบ่าวจับไว้ ยกพาขวัญเจ้าบ่าวมาให้เจ้าสาวจับไว้ แล้วหมอก็เรียกขวัญเสร็จแล้ว เถ้าแก่ก็เอามีดผ่าขวัญนั้นตัดไข่ขวัญให้เจ้าบ่าวกินครึ่งหนึ่ง ให้เจ้าสาวกินครึ่งหนึ่ง แล้วบิดามารดาญาติพี่น้องข้างเจ้าสาวเอาด้ายดิบผูกข้อมือเจ้าบ่าวเจ้าสาวจับมือเจ้าบ่าวไว้ให้บิดามารดาพี่น้องผูกขวัญ ก็ให้สินให้พรตามเพศบ้านเมือง ฝ่ายบิดามารดาญาติพี่น้องเจ้าบ่าวผูกขวัญเจ้าสาว เจ้าบ่าวก็จับมือเจ้าสาวให้บิดามารดาพี่น้องผูกขวัญให้พรอย่างเดียวกัน ครั้นเสร็จแล้วพวกเจ้าสาวก็ยกสำรับเลี้ยงเจ้าบ่าวแลญาติพี่น้องที่มาประชุมกันทั้ง ๒ ฝ่ายเถ้าแก่กับเจ้าบ่าวแลพวกเจ้าบ่าวก็พากันกลับไปบ้าน

ในวันนั้นต่อมาอิกสักครู่หนึ่ง ญาติพี่น้องข้างเจ้าสาวก็พาเจ้าสาวไปไหว้บิดามารดาข้างเจ้าบ่าว มีวงษ์ญาติที่ไปด้วยช่วยกันแบกฟูกหมอนเสื้อผ้านุ่งผ้าห่มข้างเจ้าสาวไปเปนของสำหรับไหว้ ครั้นไปถึงเรือนบิดามารดาเจ้าบ่าว เด็กก็เอาน้ำล้างเท้าเจ้าสาวแล้วก็ขึ้นไปบนเรือน เจ้าสาวก็ไปนั่งอยู่ที่พาขวัญกับเพื่อนเจ้าสาว แล้วหมอก็เรียกขวัญเจ้าสาวเสร็จแล้ว เจ้าสาวก็ไหว้บิดามารดาญาติพี่น้องข้างเจ้าบ่าว แล้วยกฟูกหมอนเสื่อผ้านุ่งผ้าห่มให้ บิดามารดาญาติพี่น้องเจ้าบ่าว ๆ ก็เอาด้ายขาวผูกข้อมือเจ้าสาว แล้วเอาเงินแลสิ่งของทำขวัญเจ้าสาวตามสมควร แล้วพวกข้างเจ้าบ่าวก็ยกสำรับมาเลี้ยงญาติพี่น้องเจ้าสาว เสร็จแล้วญาติพี่น้องแลเจ้าสาวก็ลาบิดามารดาญาติพี่น้องเจ้าบ่าวกลับมาบ้าน

ครั้นเวลาค่ำประมาณทุ่ม ๑ เถ้าแก่ก็พาเจ้าบ่าวไปส่งที่บ้านเจ้าสาว ครั้นไปถึงเรือนแล้วเจ้าบ่าวก็ไหว้บิดามารดาเจ้าสาว ๆ ก็ให้สินให้พรตามสมควร แล้วเจ้าบ่าวก็เข้าไปในเรือน พวกเถ้าแก่ข้างเจ้าบ่าวก็พากันกลับไปบ้าน แล้วบิดามารดาข้างเจ้าสาวจัดดอกไม้ธูปเทียนใส่พาน ให้เจ้าสาวถือไปขอษมาเจ้าบ่าวก่อน แล้วให้อยู่กินด้วยกันในเรือนบิดามารดาเจ้าสาว ซึ่งกั้นฝาเปนห้องไว้ครึ่งขื่อห้องหนึ่งเท่านั้น เพราะธรรมเนียมเรือนลาวยาว ๕ ห้องบ้าง ๗ ห้องบ้าง ขื่อกว้างประมาณ ๓ วา ๔ วา จึงกั้นเปนห้องอยู่ครึ่งขื่อ ถ้ามีบุตรหญิงหลายคน บิดามารดาก็ต้องต่อเรือนให้ยาวออกไปอีกจนพอกับบุตรหญิง บางทีบุตรหญิงใหญ่ได้สามีเกิดบุตรออกเรือนไปต่างหากแล้ว บุตรหญิงผู้น้องจะมีสามี บิดามารดาก็ให้อยู่ในห้องเรือนบิดามารดานั้น ไม่ต้องต่อเรือนให้ยาวออกไป ถ้าเปนคนบริบูรณ์มีเรือนอยู่หลายหลัง ก็ยกเรือนให้แก่บุตรเขยบุตรสาวอยู่ด้วยกัน ประเพณีการมงคลแต่งงานบ่าวสาวในประเทศลาวพุงขาวฝ่ายตวันออก มีธรรมเนียมดังกล่าวมานี้.

----------------------------

  1. ๑. คำว่า แยบถาม ก็คือถามโดยแยบคาย

  2. ๒. ขัน ๑๒ นักษัตร เปนขันทองเหลืองอย่างโบราณ จำหลักลายรูป ๑๒ นักษัตรไว้ที่ขอบ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ