ประวัติ ฮะกิม โอมาร์ คัยยาม

ฮะกิม โอมาร์ คัยยาม เกีดที่เมืองไนชาปูระ แคว้นคอรัสสาน ในราวปีพระพุทธศักราช ๑๕๙๕ ถึงมรณาสัญในปีพระพุทธศักราช ๑๖๖๖ อายุราว ๗๑ ปีเศษ มีประวัติอย่างกะพล่องกะแพล่งสืบมาถึงปัจฉิมะชนฉนี้

เบื้องนั้น ยังมีมหาปาโมกข์ผู้วิเศษคนหนึ่ง เปนศาสดาคณาจาริย์ที่มหาชนนิยมนับถืออย่างยวดยิ่ง ว่าทรงอัจฉริยะคุณะปรีชาญาณ มีความรู้แลมีธรรมวิเศษศักดิ์สิทธิ์ ถึงเชื่อกันว่าถ้าบุญใครได้ตกไปเปนศิษย์หาศึกษาคัมภีร์โก้หร่านด้วยแล้ว ย่อมจะได้ดีมียศมีทรัพย์ทรงอำนาจวาสนาเลีศสติปัญญาสามารถสืบไปในอนาคตะกาลนั้น อยู่ณมณฑลคอรัสสาน เปนนักปราชญ์ชราชนมายุถึง ๘๕ ศก นามอิมามโนวัฟฟัก เนานิวาศน์สถานณเมืองไนชาปูระ จึ่งบิดาไนซามอุลมุล์กเปนตระกูลอมาตย์ได้ส่งไนซามอุลมุล์กผู้บุตร์ให้ไปศึกษาณสำนักนั้น กับแอปดัสสะมัด หมอกฎหมายเปนพี่เลี้ยงกำกับไปอยู่ดูแลด้วย ครานั้นยังมีนักเรียนที่ต่อมาเปนคนมีชื่อเสียงสำคัญอิกสองคน มาอยู่ศึกษาในสำนักท่านมหาปาโมกข์นั้นด้วย คือ ฮะกิม โอมาร์ คัยยาม ชาวเมืองไนชาปุระ และ ฮะซัน สับบาห์ มฤจฉาทิฐิบุตร์ของเศรษฐีพวกนิกายอาลีอันใจร้าย นักเรียนทั้งสามนี้มีชนมายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แลปรีชาสามารถเสมอกัน ทั้งรักใคร่สนิทสนมต่อกัน ช่วยกันเอาใจใส่เล่าเรียนมาด้วยกันได้ถึง ๔ ปีปลายจึงสำเร็จศึกษา

อยู่มาวันหนึ่ง ฮะซันชวนไนซามแลโอมาร์ ให้ต่างให้สัตย์ปฏิญาณต่อกันว่า ต่อไปข้างหน้า ถ้าหากใครได้ดีไซร้ จะแบ่งปันผลประโยชน์สู่กันเสมอภาคทั้งสามเกลอ ไนซามอุลมุล์กแลสหายทั้งสามนี้ เมื่อเจรีญไวยะวุฒิขึ้นแล้ว ต่างคนก็ต่างมีอภินิหารต่างกันดังต่อไปนี้

ไนซาม อุลมุล์ก

ไนซาม อุลมุล์ก เสร็จเรียนศิลปศาสตร์พิทยาการแล้ว ก็ออกจากมณฑลคอรัสสานไปสู่เมืองแตรนโซเซียนา เมืองฆัชนี แลเมืองคะบูล ครั้นกลับคืนบ้านเกีดเมืองบิดรแล้ว ก็เข้าถวายตัวทำราชการในราชสำนักซุ่ลต่านอัล์ปอาร์สลาน พระราชโอรส แลซุ่ลต่านเมลิกชาห์ พระราชนัดาของซุ่ลต่าน ตอครุล เบค ชาติตาต ผู้ชิงไชยได้ราชสมบัติกรุงเปอเซียจากพระผู้อ่อนแอ อันผ่านพิภพสนองพระองค์ ซุ่ลต่าน มหมูดมหาราช ประดิษฐานพระราชวงศ์ เสลยุเกียขึ้น จนยั่วให้ฝรั่งประเทศยุโรปเกีดชุมนุมศาสนะยุทธ์ (คือครูเสด) กันอึกะทึกขึ้น ในที่สุด ไนซามอุลมุล์กได้เปนที่วิเซีย ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระเนตร์พระกรรณ์ของซุ่ลตานอัล์ปอาร์สลาน จึงสหายเก่าในโรงเรียนทั้งสองคนทราบกิดาการ ก็พากันมาขอพึ่งวิเซียตามสัญญาไว้ วิเซียก็กระทำตามคำที่ได้ให้สัตย์ปฏิญาณกันไว้แต่หนหลัง

ฮะซันสับบาห์

ฮะซันสับบาห์ ปราถนาจะใคร่ได้มียศมีอำนาจ วิเซียก็กราบทูลแนะนำซุ่ลต่านทรงพระกรุณาแต่งตั้งให้เปนมหาอมาตย์ แต่ฮะซันไม่พอปราถนาทเยอทยานที่เพียงได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งโดยค่อยเปนค่อยไป จึ่งคิดทรยศเอาใจออกหากไปเมื่อแผ่ต่อไท้ต่างด้าวท้าวต่างแดนราชศัตรูโดยขบวนส่อเสียด ทั้งพยายามจะทำร้ายเจ้านายที่ทรงชุบเลี้ยงฮะซันมา จึ่งเลยถูกถอดออกจากยศถาศักดิ์แลไล่ออกจากตำแหน่งราชการ เมื่อฮะซันมืดหน้าประพฤติเขวไขวผิดไปต่าง ๆ แลเที่ยวตุรัดตุเหร่หัวปั่นเข้าเมืองโน้นออกเมืองนี้พล่านไปจนสิ้นฤทธิ์แล้ว อย่างไรในที่สุดจึงกลายไปตกเปนตัวหัวหน้ามหาโจรเปอเซียอมหิดที่เรียกว่าพวกอิสไมเลีย คนจำพวกนี้ลอบชุมนุมกันคิดจะก่อการจลาจลในแผ่นดินมาช้านานแล้ว ครั้นลุ พ.ศ. ๑๖๓๓ ฮะซันยกกองโจรมาตีปล้นได้ตัวอะลามูตเมืองรูดบาอันตั้งอยู่แคว้นเขาเขีนข้างไต้ทเลคัสเปียน ที่ฝรั่งเรียกฉายาว่า “อ้ายเถ้าเขาเขีน” กองโจรพวกนี้ เที่ยวปล้นสดมข่มเหงพวกแขกนิกายมหมัด ถึงความพินาศลงอนันต์ ในจำพวกคนที่หาผิดมิได้ ซึ่งถูกมหาโจรพวกนี้ทำร้ายถึงสิ้นชีวิตเปนอันมากนั้น ก็พเอีนเปนตัววิเซียไนซามอุลมุล์กเพื่อนน้ำมิตร์ร่วมโรงเรียนเก่าแก่ของฮะซันด้วยผู้หนึ่ง จึ่งโอมาร์ปรารภเหตุการอันนี้ รจนารุไบยาตโอวาทโลกไว้ว่า

๏ “เปนโต, เปนใหญ่, พ้น ภยันตราย ไฉนนา
ยศะหยิ่ง, ศฤงฆาร, คาย คุ่มได้
กรุณา, นุเคราห์ขยาย คุณะยืด ยงนอ
อย่าสนิท, อย่าห่างไว้ ศักดิ์ลม้ายสายกลาง ดีแลฯ

อนึ่ง ยามวิเซียต้องอาวุธจวนจะขาดใจนั้น ก็ยังใช้น้ำคำของโอมาร์สหายรัก เฉลยปัจฉิมะวาจาไว้ว่า “โอ้พระเจ้าเจ้าข้าเอ๋ย! ข้าพเจ้าจะสิ้นใจไปในหัตถ์พระพายเสียบัดนี้แล้ว พระเจ้าข้า!”

โอมาร์ คัยยาม

ฝ่ายโอมาร์ คัยยาม ก็มาหาวิเซียเพื่อจะขอพึ่งร่วมสุขตามคำที่ได้ปฏิญาณไว้ต่อกันนั้นด้วยบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ต้องการยศศักดิ์อำนาจวาศนาบารมีในราชการอย่างไรเลย โดยกล่าวว่า “ความกรุณานุเคราห์อย่างยวดยิ่งที่ท่านจะอำนวยให้แก่ข้าพเจ้านั้น ก็คือ ขอแต่เพียงให้ข้าพเจ้าได้พึ่งพาอาไศรยเลี้ยงชีพอยู่ ณ ซอกมุมใดมุมหนึ่งในร่มไม้ชายคาบุญบาระมีของท่าน พอเปนโอกาศให้ได้เผยพิทยาคุณ อันเปนสาธารณะประโยชน์ต่อมนุษย์ะนิกรแผ่ไพศาลยิ่งขึ้น ทั้งจะได้วิงวอนนมัศการพระเจ้าจอมสวรรค์ เพื่อให้ท่านเจรีญทฤฆายุชนม์แลศุภะสวัสดิสถาพรยิ่งๆขึ้นไป สมปราถนาของข้าพเจ้าเท่านั้น” เมื่อวิเซียเห็นโอมาร์ปฏิเสธยศศักดิ์แลตำแหน่งราชการ บรรดาที่จะได้ทรงอำนาจเปนใหญ่เปนโตที่วิเซียจะกราบทูลให้ ซุ่ลต่านอำนวยพระราชทานอย่างจริงใจมิใช่มารยานั้น ก็เลยไม่เขี้ยวเข็ญโอมาร์อิกต่อไป เปนแต่ช่วยกราบทูบให้โอมาร์ได้รับพระราชทานเงินปีเปนทองคำศกละ ๑๒๐๐ มิถกาล จากท้องพระคลังหลวง เมืองไนชาปูระ เลี้ยงสำเรีงชีพอยู่โดยสมถะ สั่งสมคุณะวิชาสมประสงค์ เมื่อฉนี้โอมาร์ก็เลยดำรงชนม์แลสิ้นชีพ อยู่ในเมืองไนชาปูระโดยยถาสุข แท้จริง โอมาร์เปนผู้ทรงศีลทรงธรรม อุดมด้วยขันตีพิรียะภาพฉันท์สุจริตะจารีย์บัณฑิตย์ พอใจทำงารเสมอ เพื่อแสวงหาคุณะวิชาความรู้ใส่ตนใม่เลือกว่าอย่างใหม่อย่างเก่า มิพักหยุดหย่อน จึ่งรอบรู้สกลวิทยาศาสตร์ แทบใม่ว่าประเภทไหน ๆ จบเจนประจักษ์แก่ใจหมด แต่วิทยาถนัดนั้นก็โหราศาสตร์ มีชื่อเสียงมากกว่านักดาราศาสตร์ทั้งปวงในยุคนั้น โอมาร์ได้ไปสู่เมืองเมอฟในแผ่นดินซุ่ลต่านเมลิกชาห์ แลได้รับคำสรรเสริญ ในการสำแดงคุณะวิทยาถ่องแท้ ปรากฏแก่ตาโลกในครั้งนั้นมาก ชุ่ลต่านก็ทรงพระกรุณา

ปางซุ่ลต่านเมลิกชาห์ทรงพระราชดำริห์จะใคร่แก้ไขวิธิใช้ศุภมาศสำหรับแผ่นดินให้ดีขึ้น โอมาร์ก็ได้เปนข้าหลวงผู้หนึ่ง ในคณะนักปราชญ์ราชบัณฑิตย์เอก ๆ ที่สำคัญ ๆ ในครั้งนั้น อันชุมนุมกัน ๘ ท่าน ผลนั้นก็ได้เกีดศุภมาศชะลาลีขึ้น (ออกจากศรัพท์ชะลาลอุดดิน เปนพระนามาภิธัยของมหาราชพระองค์หนึ่ง) ดีกว่าศุภมาศแบบยุเลียนแลถูกต้องเกือบจะดีถึงแบบเครโคเรียน อนึ่งโอมาร์ได้รจนาตำราโหราศาสตร์ไว้ก็หลายตำหรับ มีที่เรียกว่าตำราซิชีมะลีกชาหิเปนต้น ทั้งได้รจนาตำราคิดเลขอัลเยบร้า ซึ่งฝรั่งเศสได้แปลออกมาสอนนักเรียนเปนปฐม

นามเชีงกวีของโอมาร์ว่าคัยยามนั้น แปลว่าคนสร้างทัพกะท่อม ด้วยครั้งหนึ่งโอมาร์เคยหาเลี้ยงชีพอยู่ได้โดยขบวนนิพนธ์กาพย์โคลงต่าง ๆ บางทีจะก่อนเวลาที่วิเซียได้กรุณานุเคราห์ให้มีอิศะภาพ มิพักต้องกังวลถึงการหาเลี้ยงชีพ แต่ในชั้นหลังความรู้ โอมาร์ คัยขาม แก่กล้าขึ้น ถึงแก่แต่งรุไบยาตแสดงธรรมะนิเทศ เรื่องโลกิยะทิฏฐธรรมที่โอมาร์นฤมิตร์ขึ้นใหม่ เที่ยวเทศนา ทำให้เปนสาเหตุแหนงใจต่อพวกนับถือศาสนาอิสลาม พากันรังเกียจเกลียดชังหาใครนิยมมิได้ ตั้งแต่ซุ่ลต่านลงมา จนถึงตัวโอมาร์เองได้กล่าวเปรียบเปรย ถิึงนามะฉายาของตัวเองเปนคำโคลงไว้ฉนี้ว่า:-

๏ “คัยยามคนสร้างทัพ ะวิทยา นี้นอ
พลัดตก, เตาโศกผวา วอดไหม้
ตไกรโชก, ตัดเชือกชิวา กระหวัดทัพ ทลายแฮ
หวังสั่ว, ขายตัวได้ เปล่าเปลี้ยเสียคน” ๚

อนึ่ง ควาชาห์นีสามิเมืองสมากันด์ ศิษย์ของโอมาร์ได้เล่าถึงอุทานของอาจาริย์โอมาร์ เมื่อจวนจะสิ้นชีพนั้นว่า ควาชาห์นีสามิเคยนั่งสนทนากับโอมาร์ คัยยาม ปิยาจาริย์อยู่ในสวนเนืองๆ เพื่อสดับพิทโยวาทบรรเทองญาณ แลรับรศะธรรมะธิโรวาทอันโอมาร์นิมิตร์ขึ้น อนุศาสน์ให้มิใคร่จะว่างเว้น ด้วยควาชาห์นีสามินับถือถึงออกปากว่า ในขบวนวิทยาศาสตร์แล้วโอมาร์คัยยามเปนเอกไม่มีตัวจับ จัดเปนแก้วดวงหนึ่งในยุคของโอมาร์ชั้นโน้นได้ อยู่มาวันหนึ่ง อยู่ดี ๆ จะมีเหตุหรูปรารภขึ้นในญาณของโอมาร์ไฉนไม่มีใครตระหนัก โอมาร์คัยยามเอ่ยขึ้นลอย ๆ ว่า “ต่อหลุมฝังศพข้า คงจะตกอยู่ในที่อันหนึ่ง ซึ่งลมเหนืออาจจะพัดพรรณะบุบผชาติมาร่วงโรยท่วมทับได้” ควาชาห์นีสามิพิศวงในน้ำวาจาที่เอ่ยอุทานปราถนาขึ้นเฉยๆฉนี้ ด้วยรู้ชัดว่า ขึ้นชื่อว่าอุทานะวาจาของท่านอาจาริย์ผู้นี้ ลงได้เอ่ยขึ้นแล้ว เปนมีธรรมูประมัยอย่างใดอย่างหนึ่งใม่มีเปล่าเปลือยเลย ครั้นจำเนียระกาลนานมาอิกหลายศก ควาชาห์นีสามิได้กลับไปเยี่ยมเมืองไนชาปูระอิก จึ่งได้ตรงไปสู่ปัฉิมะสถาน ของมหาปิยาจาริย์โอมาร์คัยยามนั้น อโห! ไฉนเฉภาะตั้งอยู่ชิดกะนอกสวนแห่งหนึ่ง มีต้นไม้ใหญ่อันทรงกุสุมสุคนธรศต้นหนึ่ง ยื่นกิ่งข้ามกำแพงสวนออกมาปรกเปนฉัตร์กั้น แลโปรยดอกโปรยใบร่วงลงมาท่วมทับที่ฝังศรีระธาตุของท่าน จนต่อมสิลาส้อนมิดอยู่ใต้กองเสาวคนธโกสุมอันไร้ชีพ เฉลีมขวัญท่านผู้หวังดีต่อโลกสมปราถนา โอ้อนารถหนอ!

ศาสนาของโอมาร์ คัยยาม

ยามปฐมะวัยโอมาร์คัยยามศึกษาคัมภีร์โก้หร่านแลนับถือปฏิบัติตามจริยะลัทธิศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด ครั้นมีความรู้ทั้งคดีโลกคดีธรรมเพียบพูลมากขึ้นมากขึ้น กลับสิ้นศรัทธาพระมะหมัดเห็นหลอกลวงหลงไหลเหลวทั้งเรื่อง ขืนเพ้อปฏิบัติตามก็เสียชาติที่เกีดมาเปล่า ๆ ลงท้ายจึงประกาศศาสนาโลกิยะทิฎฐธรรมอย่างใหม่ขึ้นตามเห็น ใม่เชื่อนรกใม่เชื่อสวรรค์ ใม่เชื่อว่ามีองค์พระอ้าหล่า ทั้งใม่เชื่อว่าได้ทรงสร้างโลกแลสัตวโลก ใม่ทราบแลใม่เอื้อต่อชาติก่อนชาติหน้า ที่แลใม่เห็นด้วยญาณะจักษุ แลไม่เห็นเกี่ยวกันกะอัตระภาพนี้ นอกจากบรรพะบุรุษสืบพืชชนกชนนี แลโลกะจารีย์ในปัตยุบันะชาติที่ทราบได้ด้วยจักษุญาณ (แต่ใม่รู้จักพระพุทธศาสนาเลย ใม่เคยได้สดับพระอริยสัตย์แลทราบพระนิพพาน) จึ่งถือแต่ทางธำรงธรรมะสุจริต ใม่เบียดเบียฬใคร แผ่กรุณานุเคราะห์ต่อเพื่อนชาติตามยถาพะลัง ตรงกะพุทธศาสนะนัยว่า สัพ์พปาปัส์สอกรณํ กุสลัส์สูปสัมปทา แต่องค์ท้ายของพระพุทธศาสนาว่า สจิต์ตปริโยทปนํ นั้น ถือเพียงว่า พอที่จะกอบโกยความสุข ให้เปนกำไรแก่ชีวิต สมที่เกีดมาได้เพียงใด ก็พยายามเพียงนั้น เพราะหมดห่วงโลกหน้าเสียแล้ว จึงชวนโลกให้ดื่มน้ำองุ่นสด หาได้หมายความว่าชวนเสพสุราเมรัยใม่ (ด้วยตัวโอมาร์ก็ใม่ดื่มน้ำเมา) เปนแต่อุประมัยเพราะอาสาวะดีรศเปนน้ำเมาแต่สดชื่นโอชารศ ทำนองเบญจพิธะกามะคุณ คือสรรพะเหตุที่สำเรีงตา สำเรีงหู สำเรีงจมูก สำเรีงลิ้น แลสำเรีงกาย บรรดาช่วยเฉลีมใจให้สำเรีงสุขเท่านั้น

แต่ครั้งนั้น ใม่มีใครเชื่อใม่มีใครนับถือ นอกจากศิษย์คนสนิทน้อยคน กระนั้นโอมาร์คัยยามก็ยังใม่วายปฏิบัติแลใม่วายหวังว่า โลกิยะทิฏฐธรรมของโอมาร์ที่ปั้นขึ้นใหม่นี้ คงจะมีวันเผยแผ่ธรรมะรังษีเปนคุณะประโยชน์ต่อสัตวโลกในอนาคตะกาลสืบไป

รุไบยาต ของ โอมาร์ คัยยาม

ฝรั่งมาฟื้นพบคำภีร์รุไบยาตของโอมาร์ คัยยาม เปนภาษาอาหรับได้มาตกอยู่ ในหอสมุดมหาวิทยาลัยออกซเฟอด เขียนบนหนังแกะ แปลออกก็เลยพากันตื่นเต้น ด้วยรู้ว่าโอมาร์ คัยยามเปนผู้มีปรีชาสามารถ แลทรงคุณะวิทยาบรรดามนุษย์นักปราชญ์จะพึงรู้ได้ในสมัยโน้นทุกประการ ทั้งทางโลกแลทางธรรม กล้าคิดธรรมะนิเทศอย่างใหม่ ที่น่ากลัวภยันตรายต่อชีวิตก็มิพักครั่นคร้าม แลตัวเองก็ปฏิบัติตามธรรมะนั้นจนลงหลุมไป ทั้งโลกิยะทิฎฐธรรมของโอมาร์นั้น ก็ถูกอารมณ์ฝรั่งชั้นใหม่ ๆ นี้โดยมาก ยิ่งรู้ศึกว่าแขกแต่ครั้งโบราณ ๘๐๐ ปีมาแล้ว ยังมีญาณะวโรภาศร่วมความคิดกะคนสมัยใหม่ ที่ต่างเชื่อตัวว่า ทรงคุณะวิทยาปรีชาสามารถกว่าคนโบราณชั้นนี้ได้ ก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นถึงเทียบนัยนิพนธ์รุไบยาต โลกิยะทิฎฐธรรมของโอมาร์คัยยามนั้น เปนกาพย์ฝรั่งพิมพ์จำหน่ายแพร่หลายไปมาก

โลกิยะทิฎฐธรรมของโอมาร์คัยยาม

แท้จริงโลกิยะทิฎฐธรรมของโอมาร์คัยยามนั้น เข้าทางพระพุทธศาสนา ฝ่ายโลกิยะธรรมโดยมาก แต่เมื่อรลึกถึงโลกุตรธรรมแล้ว ตัวข้อมุ่งหมายคือน้ำองุ่นของโอมาร์นั้น เปนตัวแสลงของพระพุทธศาสนาอย่างขาวเปนดำทีเดียว ด้วยโอมาร์ถือว่ากำไรของชีวิตมนุษย์ที่เกีดมา ก็มีแต่ดื่มน้ำองุ่นหรูเปนยอดความสุข พระพุทธศาสนาถือน้ำองุ่นนั้นเปนตัวส่อทุกข์ เพราะยังมีปราถนาอยู่ตราบใดแล้ว ยามใม่ได้สมประสงค์ก็เปนทุกข์ เมื่อใม่ปราถนาเสียเลยแล้วทุกข์จะมีมาแต่ไหนเล่า แต่ก็นั่นและ พระโลกุตรธรรมก็อยู่ข้างสูงเกีนกว่าบุถุชนอันไร้อุปนิสัยเสียโดยมาก เหตุฉนั้นพระพุทธเจ้าจึงมิได้ทรงบังคับให้สัตวโลกทิ้งโลกิยะธรรมหมด ปล่อยสุดแท้แต่ใจ เปนแต่ตรัสบอกทางเกษมบริสุทธิ์ที่สุดคือพระอมฤตยมหานฤพาน เมื่อใครขี้เกียจไปฤๅใม่มีกำลังพอจะไปไหว พระบรมโลกนารถศาสดาของเรา ก็ปล่อยตามยถาพะลัง ใม่เหมือนการเบียดเบียฬกัน แลการไม่กรุณานุเคราะห์ต่อกัน พระองค์ทรงห้าม พุทธศาสนิกะชนขาดมิให้ประพฤติ ทั้งมิได้ทรงห้ามเรามิให้ฟังธรรมศาสนะลัทธิอื่น แต่กลับทรงสรรเสรีญการพหูสูตร์ยิ่งสดับมากยิ่งดี การแปลเปลื้องเค้าความรุไบยาตของโอมาร์คัยยามมหากวีโหราจาริย์กรุงเปอเซียมารจนาเปนโคลงสุภาพสยามสู่กันอ่านนี้ไม่บาปฤๅกลับจะเปนบุญด้วยซ้ำไป แม้ไม่ใช่ทางพระพุทธศาสนูเบกษ์ ก็ใกล้พระพุทธศาสนามากกว่าใกล้ศาสนาอิสลาม ฤๅศาสนาคฤสตัง แลใกล้กว่าพระพุทธศาสนาเองที่ยายแก่ตาเถ้า ฤๅพวกที่งมงายหลับตาเชื่อกันนั้นเสียอิกมาก แทบจะเปรียบว่านากใกล้ทองคำกว่าดีบุกฉนั้นก็เกือบจะว่าได้

โอมาร์คัยยามเกีดพ้นเพลามนุษย์เปนชาติคนป่าเถื่อน รู้ศึกตัวว่าใม่มีฤทธิ์เดช เมื่อขณะภีตะภัยมารันทำ แลเห็นดวงอาฑิตย์สว่าง ดวงไฟพลุ่งโพลง แลงูเปนอสรพิษม์ร้ายกาจเปนต้น ก็นึกว่ามีมหิทธิ์ฤทธิ์เที่ยวร้องให้ช่วยขอเปนที่พึ่ง เลยไถลไปจนเจอตง่อหินต้นไม้ ฤๅใม่ว่าอไรจนฟ้าร้องฟ้าแลบ บรรดาที่รูปพิลึกพิลั่นฤๅตึงตังน่ากลัวก็เชื่อว่าจะมีฤทธิ์เดช นับถือไปหมด จนผีสางซึ่งเลือนมาจากบรรพะบุรุษ ต่อมาอิกชั้นหนึ่งมนุษย์ค่อยฉลาดรู้คิดรู้อ่านดีขึ้น ตั้งกอบการกษิกรรมเลี้ยงชีพเปนแหล่งหลัก รู้ศึกว่าตัวเลว คงจะมีสิ่งอไรวิเศษกว่ามนุษย์อยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่รู้เลยนึกหน้า ว่านั่นคงเปนทำนองมนุษย์ เลยถวายพระนามว่าพระพรหมฤๅพระอิศวรบ้าง พระอ้าหล่าบ้าง พระยะโฮวาบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน จึ่งเลยให้ชื่อว่าสวรรค์ นึกเอาทั้งนั้นเปนลำดับมาว่า ท่านคงสร้างโลกแลสร้างสัตวโลก คงบำเหน็จแลลงโทษคนจนเลยหลงเชื่อกันตามมาเปนจริงเปนจัง อิกชั้นหนึ่งคนเชื่อว่า ชีวิตตายแล้วเวียนเกีดใหม่วนอยู่เปนสังสารวัฏ ฉนี้และจึงเกีดมีศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพระเยซูคฤศต์ แลศาสนาอิสลามเปนต้นตาม ๆ กันขึ้น สมัยนี้และ โอมาร์ คัยยาม เกีดผลที่สุดที่มุ่งหมายก็แต่ให้สัตวโลกประพฤติชอบ พระเจ้าจะได้โปรดพาขึ้นไปอยู่บนสวรรค์กะพระองค์ ร้องเพลงเปีว ๆ อยู่ชั่วนิรันดร พระพุทธเจ้าของเราอุบัติขึ้นในหมู่พราหมณ์ แต่ได้ตรัสรู้พระอนุตระสัมมาสัมโพธิญาณ ตั้งพระศาสนาใหม่ ถือว่าโลกทั้งหลายเปนเองไม่เที่ยงวนสังสารวัฎไปตามปัจจัยจะปรุงแต่งโดยธรรมดาโลกะวิไสย ความสุขทุกข์ของสัตวโลก ล้วนผลของกรรมที่ทำด้วยกายวาจาใจเองสิ้น รูปคือร่างกาย นามคือดวงวิญญาณ ล้วนเปนของเปนเองตามรหัตปัจจัยจะประกอบเปนขันธ์ต่าง ๆ ธาตุดินน้ำไฟลมอากาศวิญญาณเปนต้น ที่ประกอบกันเปนขันธ์ เปนของกลางมิใช่ของใคร เกีดเจรีญขึ้นเสื่อมลงแต่ก็ดับขันธ์อันตรธานเปนไปใหม่เล่า สันชาติสัตวโลกเกีดแล้ว ย่อมมีอุปาทาน ถือว่าตัวเปนของตัว เพราะมีความรู้ ศึกกระหายยินดี อยากให้สิ่งรักอยู่กะตัว ถึงไม่รักไปเสียให้พ้น ท่านเรียกว่าตัณหา เพราะตัณหาเท่านี้และ โลกจึงกระสับกระส่ายดีบ้างร้ายบ้างติดต่อมา แต่ดึกดำบรรพ์จนกระทั่งกาละทุกวันนี้ แลคงจะยังเปนเช่นนี้อิกต่อไป แท้จริงอไรก็ใม่ใช่ของใครหมด สมมตกันเล่นเช่นลครสิ้น จะถือไฉนก็ถือได้ เพราะฉนั้นส่วนโลกิยะธรรม พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนใม่ให้เบียดเบียฬกัน ให้กรุณานุเคราะห์ต่อกันตามยถาพะลัง เพื่อหาสุขบรรเทาทุกข์ ตามส่วนกุศลากุศลที่สามารถสนองผลได้ แต่ยังมีความบริสุทธิ์ที่สูงสุด คือ พระนฤพาน เราละตัณหาเสียหมดก็หมดทุกข์ จึ่งตรัสสอนตรัยศึกษาอันเปนอริยะมรรคไปสู่พระนฤพาน คือให้สมาทานข้อวิรัติเลีกทำบาปลามกะกรรม รักษาจิตร์ให้สงบผ่องใส ตรองธรรมดาเปนเองของโลกให้คุ้นใจ ฝึกสังขารจนเลีกที่หลงถือว่าตัวเปนของตัว ตามสมมตได้สิทธิ์ขาดแล้ว ก็เปนอันจบพรหมจรรย์

โอมาร์คัยยามก็เกีดทัน แต่ใม่มีโอกาศได้พบพระบวรพุทธศาสนา แต่แม้ถ้าได้ประสรบก็คงใม่กล้าเย้ยหยันล้อเล่นเช่นศาสนาคฤสตังแลอิสลามนัก แต่ก็เห็นจะใม่คิดไปพระนฤพาน ตามเสด็จพระพุทธองค์ กระนั้นก็ไม่น่าจะติเตียนโอมาร์คัยยามมากกว่านึกถึงตัวเราเองบ้าง มีใครนักฤๅในพุทธศาสนิกะชนทุกวันนี้ ที่มีอุปนิสัยจะเอื้อนเอาพระนฤพานจริงๆจังๆ เพราะโอมาร์เห็นปลายชีวิตเพียงขาดใจเท่านั้นแล้ว ไฉนเลยจะยอมเสียเวลาดื่มองุ่น อันเปนดวงชีวิตของโอมาร์ ไปตกายพยายามเจรีญสมณะธรรมเอาพระนฤพานได้เล่า

โคลงสุภาพสยามนี้ ได้รจนาตามเค้าความรุไบยาตของโอมาร์คัยยาม มีข้อเข้าใจยากก็ที่อ้างถึงนามพระ แลพระนามมหาราช นามนักปราชญ์นักพรตต่าง ๆ ยังนอกนั้นใจความก็ลึกล้ำ เปนคำทำเนียบเปรียบเปรยอุประมัยเย้ยหยันศาสนะลัทธิ อ่านแล้วใม่ตรองก็ใม่เข้าใจฤๅเข้าใจแคบ ยิ่งตรองยิ่งกว้างเหมือนเที่ยวถ้ำมหาสนุก ใครอ่านใครแปลได้ลึกมากลึกน้อยสุดแท้แต่ปรีชาญาณแลความรู้ แต่พอค่อนเข้าใจได้แล้ว ก็อ่านเที่ยวเดียวฤๅแม้แต่ ๓ ฤๅ ๔ เที่ยวใม่ใคร่ได้ มักชวนซ้ำอิกแลซ้ำอิกซำอิกร่ำไป เพลีดเพลีนเบีกบานสำราญรมณ์ ด้วยอ่านได้ไม่รู้จักจืด อ่านแล้วชวนตรอง ตรองแล้วชวนฉลาด ฉลาดแล้วชวนได้บุญฤๅได้บาปสุดแท้แต่กิเลศจะปัดไป เปนโคลงน่าอ่านของนักปราชญ์ เปนยานอนหลับของคนโง่แกมหยิ่ง เปนดุริยางค์เพื่อนเหงาของกวี เปนเครื่องเก๋ของโซด เปนยาขมของเด็ก แลบางทีก็อาจจะเปนเหยื่อครหาของคนอยากจะครหาได้อิกด้วย เหมือนกันกะอาจจะเปนเหยื่อประโยชน์ของปรีชาญาณฉันนั้นเท่านี้และ พอที่จะเพ้อพจน์เปนข้อปริภาสาแลจบ

๏ มหาสนุกนามล้ำลึก มเหาฬาร เลิศเฮย
ยิ่งบุก, ยิ่งสนุกสนาน ยอกย้อน
รุไบยาต, วาดอุทานะญาณ หยั่งยิ่ง ลึกแฮ
ยิ่งตรึก, ซึกซึ้งป้อน เหยื่อเย้าเชาวน์เฉลียว ๚
๏ ร่วมทาง, พุทธศาสน์ล้า หลงนิยม
เบ็ญจพิธ, ะกามคุณชม ฉอ้อน
โลกิยะ, ทิฎฐธรรมสม เสนอชื่อ โคลงนา
แผก ศฤสต์, อิสลามข้อน ฉลาดล้วนชวนถวิล ๚

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ