๏ จะกลับกล่าวถึงท้าวหัสเนตร |
อันเรืองเดชอยู่ในดาวดึงส์สวรรค์ |
เสด็จยังแท่นรัตน์เวไชยันต์ |
ระคายคันวรองค์พระอินทรา |
จึ่งเผยสิงหพิมานทะยานเยี่ยม |
เล็งเลียบเลียมทั่วโลกทิศา |
เห็นพระจันทโครบกุมารา |
ที่โจรป่าฟาดฟันให้บรรลัย |
เพราะหญิงร้ายรักชายไม่เลือกเช่น |
มันจึ่งเป็นทุจริตผิดวิสัย |
จะสาปซ้ำให้ระยำอยู่กลางไพร |
แล้วจะไปช่วยชุบกุมารา |
อำมรินทร์ตรึกสิ้นดังนั้นเสร็จ |
ก็เสด็จจากดาวดึงสา |
แล้วแปลงกายกลายรูปพระอินทรา |
เป็นเหยี่ยวร่าร่อนลงที่ริมชล |
ทำกินเหยื่อเนื้อย่างให้นางเห็น |
แล้วโลดเต้นไต่ไม้แล้วไซ้ขน |
สมรมิ่งโมราพิรากล |
อยู่ฝั่งชลทอดทัศนามา |
เห็นเหยี่ยวกินเนื้อย่างแล้วพลางแล |
นางชะแง้แหงนดูซึ่งปักษา |
ด้วยลำบากอดอยากหลายวันมา |
กัลยาวิงวอนด้วยคำคม |
พี่เหยี่ยวเหยื่อเนื้อย่างได้ไหนมา |
น่ามีรสโอชาประเสริฐสม |
น้องนี้อดอาหารมานานนม |
พี่ทรามชมเอ็นดูด้วยช่วยชีวัง |
ขอทานเหยื่อเนื้อย่างให้น้องนิด |
พอชูจิตชื่นในนํ้าใจหวัง |
เอ็นดูได้ก็จงให้เหมือนวาจัง |
ชีวิตยังก็จะแทนพระคุณไป ฯ |
๏ อำมรินทร์อินทราพญาเหยี่ยว |
ทำกล่าวเกี้ยวล่อหลอกเฉลยไข |
พี่เห็นพักตร์ก็ให้รักเจ้าสุดใจ |
เว้นแต่ไม่แจ้งในนํ้าใจนาง |
ถึงก้อนเนื้อเหยื่อเราจะเข้าปาก |
เจ้าบอกอยากแล้วจะให้ไม่ขัดขวาง |
แต่ตัวเราอารมณ์นิยมนาง |
จะขอบ้างแล้วจะเบือนไม่เหมือนใจ |
แม้นอนงค์ปลงรักเหมือนเรียมคิด |
ถึงดวงจิตก็จะเด็ดให้เจ้าได้ |
เจ้าตกไหนพี่จะตามเจ้างามไป |
ไม่อาลัยแก่ชีวิตชีวาวัน ฯ |
๏ เยาวมาลย์ฟังสารพญาเหยี่ยว |
ประโลมเกี้ยวลิ้นลมเจ้าคมสัน |
อารมณ์พาลมิได้คิดว่าผิดพรรณ |
จึ่งเสกสรรตอบสารด้วยมารยา |
พี่เหยี่ยวเห็นน้องอยากออกปากขอ |
จึ่งกล่าวล่อลวงเล่ห์เสน่หา |
ถ้าแม้นพี่มีคุณแก่ฉันมา |
ธรรมดามิทจิตก็มิทใจฯ |
๏ เหยี่ยวพระอินทร์ฟังสิ้นสารสวัสดิ์ |
ก็รู้เชิงประดิพัทธ์พิสมัย |
จึ่งแกล้งกล่าวพจมานประจานใจ |
ซึ่งความในยังไม่แจ้งประจักษ์ความ |
แม้นน้องแก้วอนุกูลไม่สูญรัก |
จงประจักษ์อย่าให้มีราคีขาม |
จะโยนเหยื่อเนื้อย่างให้นางงาม |
จะผ่อนตามหรือที่ว่ายุพาพิน ฯ |
๏ นางโฉมฉายอายใจอยู่ในจิต |
ทำจริตค้อนควักให้ปักษิณ |
นี่หากพี่มีเนื้อเป็นเหยื่อกิน |
มาล่อลิ้นให้ระกำด้วยคำคม |
พี่เห็นมีภัคนีที่ไหนมั่ง |
มานิ่งนั่งให้บุรุษภิรมย์สม |
หญิงนี้ควรหรือจะชวนให้ชายชม |
แต่อารมณ์มิได้ดังเหมือนอย่างคำ ฯ |
๏ เหยี่ยวพระอินทร์ฟังจินตนาสาร |
อีหญิงพาลกาลีไม่มีส่ำ |
มัฆวานแกล้งประจานให้เจ็บจำ |
พี่ขอบคำที่ไม่ขัดให้เคืองใจ |
อารมณ์น้องเหมือนหนึ่งท้องทะเลลึก |
ตามแต่นึกปรารถนาจะอาศัย |
อย่าว่าแต่พี่เกี้ยวประเดี๋ยวใจ |
ถึงสัตว์ใดแต่บรรดาในป่าดอน |
ขยับแย้มเจ้าก็เยื้อนไม่เบือนพักตร์ |
พอบอกรักก็ได้ร่วมสโมสร |
มิทันจืดแต่พอจางก็ร้างจร |
ใจสมรมิได้เลือกสมาคม |
แต่ผัวรักแล้วยังยักกระบวนบิด |
มาปลงจิตให้อ้ายโจรภิรมย์สม |
พอโจรจดรู้รสแล้วร้างชม |
ยังไม่สมสากะใจฤๅไรเจียว |
สองมนุษย์แล้วมิหนำยังซ้ำสัตว์ |
พอแก้ขัดเข็ดฟันที่คันเขี้ยว |
มึงฆ่าผัวเสียจนตัวต้องเดินเดียว |
จะซ้ำเหยี่ยวเข้าเป็นสามยามกันดาร |
กูเป็นเจ้าดาวดึงส์วิมานมาศ |
อันสัญชาติหญิงร้ายไม่หมายสมาน |
กูรู้เช่นอยู่ว่าเป็นกาลีพาล |
จะประจานไว้ให้แจ้งทั้งโลกา |
ว่าหญิงกาลกินีกาลีทวีป |
จนสิ้นชีพมิให้ชายปรารถนา |
ให้ฝูงค่างกลางดงเป็นภัสดา |
ชาวโลกาให้เขาเรียกชะนีนาง |
ให้สมจิตแพศยาที่ฆ่าผัว |
ทั้งกายตัวก็ให้คล้ายกับกายค่าง |
พอขาดคำอำมรินทร์ที่สาปนาง |
สารพางค์กายกลับไปฉับพลัน |
ทั้งแข้งขาหน้าเนื้อแต่พื้นขน |
ก็วิ่งวนเข้าป่าพนาสัณฑ์ |
อันภูษาผ้าผ่อนไม่มีพัน |
แต่กายนั้นเปลี่ยวเปล่าไปกลางไพร |
ให้คลับคล้ายคลับคลาภาษาคน |
ที่บาปตนฆ่าผัวนั้นนึกได้ |
ที่เคยมีความอายให้หายไป |
ขึ้นไต่ไม้ทรมานประจานตัว |
ครั้นสิ้นสายสุริยแสงแดงอากาศ |
รำลึกชาติขึ้นมาได้ว่าเลือดผัว |
เที่ยวร่ายไม้ห้อยโหนแล้วโยนตัว |
ร้องเรียกผัวเสียงชัดภาษาคน |
นั่นแลชะนีจึ่งไม่มีตัวผู้ผัว |
เพราะหญิงชั่วสาระยำทุกแห่งหน |
ได้เชยค่างต่างเพศเป็นผัวตน |
ด้วยเดิมคนต้องคำอำมรินทร์ ฯ |
๏ สมเด็จท้าวมัฆวานประธานภพ |
เลิศลบดินฟ้าชลาสินธุ์ |
เมื่อเสร็จสาปโมรายุพาพิน |
อำมรินทร์รีบเหาะระเห็จไป |
ครั้นถึงที่กเฬวรากซากอศภ |
เห็นพระจันทโครบที่ตักษัย |
ท้าวโกสินทร์รินน้ำมันออกทันใด |
แล้วลูบไล้สารพางค์ชะโลมทา |
จึ่งซ้ำเสกทิพมนต์สมานจิต |
ก็กลับติดขึ้นได้ดั่งปรารถนา |
อ่อนละมุนอุ่นจิตดั่งนิทรา |
อำมราตรัสเรียกให้รู้องค์ ฯ |
๏ ปางกระษัตริย์ขัตติยาวราเดช |
เห็นตรีเนตรนั่งชิดพิศวง |
เครื่องประดับวับวามอร่ามทรง |
สำหรับองค์เลิศลํ้าในโลกี |
ดั่งนํ้าแก้วมรกตสดสะอาด |
ภูวนาถมิได้รู้ว่าโกสีย์ |
แต่มิใช่โจรป่าที่ราวี |
รัศมีผ่องผิดประชาชน |
จึ่งตรัสว่าข้าแต่พระผ่านเกล้า |
ขอถามท้าวให้แจ้งในเหตุผล |
ข้าถึงกาลวิสัญญีไม่มีชนม์ |
ไฉนพ้นมรณาพิราลัย ฯ |
๏ อำมรินทร์อินทร์เจ้าจอมอากาศ |
จึ่งแย้มเยื้อนเทวราชสนองไข |
เราอยู่ดาวดึงสาสุราลัย |
นามชื่อหัสนัยน์สุเรนทร |
ด้วยเจ้าเกิดเป็นชายไม่เสียสัจ |
กรรมวิบัติหนหลังมาสังหรณ์ |
เอาหญิงกาลกินีเป็นเพื่อนนอน |
อ้ายโจรจรมันจึ่งล้างให้วางวาย |
เป็นเหตุเจ้าเร่าร้อนถึงไสยาสน์ |
จึ่งจากอาสน์เวไชยันต์แล้วผันผาย |
มาชุบช่วยมิให้ม้วยชีวาวาย |
อันหญิงร้ายแพศยาอย่าอาลัย |
เมื่อเจ้าตายโจรร้ายมันร่วมรัก |
ระยำนักมิได้นับบรรทัดได้ |
ไม่รักเจ้าแต่สักเท่าหยากเยื่อใย |
ถึงโจรไพรมันก็ร้างเสียกลางดอน |
แต่ตัวนางนั้นไปนั่งยังฝั่งนํ้า |
เราสาปซํ้าไว้ให้สมอารมณ์สมร |
เป็นชะนีหน้าตาเหมือนวานร |
เที่ยวสมจรอยู่กับค่างที่กลางไพร ฯ |
๏ ได้สดับสุนทรอมรแมน |
ที่ข้อแค้นดาลเดือดนั้นดับได้ |
ชุลีกรประดิพัทธ์ท้าวหัสนัยน์ |
พระคุณใครจะเสมอไม่มีปาน |
แม้นพระองค์อยู่ในวงศ์ชมพูทวีป |
จนสิ้นชีพมิได้ลืมพระคุณท่าน |
นี่สุดไกลที่จะไปนมัสการ |
จะเนิ่นนานมิได้กราบพระบาทา |
ซึ่งโปรดว่าหญิงร้ายก็หายรัก |
เสียดายศักดิ์ที่ได้ร่วมเสน่หา |
ดั่งชายชั่วมัวเมาในกามา |
พอเป็นตราตรึงจิตไว้จำความ ฯ |
๏ จอมอมรสั่งสอนหน่อกระษัตริย์ |
เจ้าผู้จัดเจนใจในสนาม |
อันใจหญิงยิ่งเพลิงละเลิงลาม |
ใครผ่อนตามเหมือนหนึ่งแกล้งให้ตัวตาย |
จะริรักรอรั้งให้ยั้งหยุด |
อย่ารักรุดไปให้เกินอารมณ์หมาย |
ทั่วทวีปก็จะลือว่าชื่อชาย |
อันรักตายนั้นต้องตำรามา |
เจ้าเคยเจ็บแล้วจงจำเอาคำสอน |
เราจะจรไปยังดาวดึงสา |
จะช่วยชี้เวียงไชยให้ไคลคลา |
มรคาข้างทิศอุดรตรง |
ที่กลางทางมีนางอยู่ในเขา |
ไปเถิดเจ้าจะได้ชมสมประสงค์ |
แต่ตัวนางเป็นบุตรท้าวภุชงค์ |
นามอนงค์วรนุชมุจลินท์ |
เดิมพญาวาสุกรีอันมีเดช |
มาสู่สมกินเรศในไพรสิน |
กินรีคลอดบุตรชื่อมุจลินท์ |
ท้าวนาคินมิได้พาไปบาดาล |
ให้นางอยู่คูหาพนาสณฑ์ |
ผูกพยนต์เป็นพิรุณอิสูรหาญ |
แต่เบื้องบาทอสุราอยู่บาดาล |
ศีรษะมารสูงเยี่ยมเทียมเมฆา |
อันยักษาผ้าพยนต์พญานาค |
ยืนอยู่ปากถํ้าแก้วพระคูหา |
แม้นใครเป็นคู่สร้างของนางมา |
สังหารผ้าพยนต์ตายจึ่งได้นาง |
อันตัวเจ้าเราก็รู้อยู่เต็มจิต |
กับมิ่งมิตรมุจลินท์เป็นคู่สร้าง |
จงรีบไปเถิดจะได้อนงค์นาง |
อย่าลืมทางที่เราชี้ตรงนี้ไป |
สั่งเสร็จพระเสด็จทะยานเหาะ |
จำเพาะดาวดึงสาที่อาศัย |
ลอยละลิ่วปลิวถึงสุราลัย |
เข้าเวไชยันต์นุมาศวิมานพราย ฯ |