ตอนที่ ๒ จันทโครบเปิดผอบ โจรป่าชิงนางโมรา
๏ บัดนั้นพระจันทโครบ | รับผอบอัยกานํ้าตาไหล |
เข้ากอดบาทดาวบสระทดใจ | ชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย |
โอ้พระคุณเคยอุ่นศิโรเพศ | จะประเวศไปไกลก็ไจหาย |
เคยประเคนเพลเช้าจะเปล่าดาย | ใครจะสอยผลไม้ก็ไม่มี[๑] |
เวลาฉันเคยปันให้หลานรัก | เคยชวนชักลงสรงวารีศรี |
แม้นหลานไม่ทำวลด้วยชนนี | แต่บูรีก็ไม่รักไปปกครอง |
พระทรงญานฟังหลานกันแสงสั่ง | นํ้าตาหลั่งคลอเนตรเธอทั้งสอง |
แต่ขื่นข่มอารมณ์อาลัยปอง | กรประคองนัดดาด้วยอาลัย |
แม้นไม่ม้วยมรณาจงมาปะ | นี่ธุระแม่พ่อเป็นข้อใหญ่ |
อย่าโศกศัลย์รันทดสลดใจ | ถึงเวียงชัยแล้วจึ่งจรมาหาตา |
พระกุมารฟังสารเธอสังเวช | จึ่งก้มเกศกราบบาททั้งซ้ายขวา |
ประทักษิณสามรอบบรรณศาลา | พระหัตถาทรงศรพระขรรค์คม |
พระภูษาพันผูกผอบปิด | ไม่เกรงฤทธิ์ไพรีเท่าเส้นผม |
ก็ตั้งหน้าเข้าในไพรพนม | พ้นจงกรมเหลียวหาศาลาลัย |
ลิบลิบแลลับพระดาวบส | แสนกำสรดเศร้าสร้อยละห้อยไห้ |
พระอาจารย์ลานแลจนลับไป | ก็หักใจเข้าจงกรมพรหมจรรย์ |
แสนสงสารกระษัตราวราพงศ์ | พิศวงอ้างว้างในไพรสัณฑ์ |
เป็นสองห่วงหน่วงในพระทัยครัน | ถึงทรงธรรม์พระชนกชนนี |
พระคุณเอ๋ยเคยเห็นจะคอยหา | คิดขึ้นมาก็สงสารพระฤๅษี |
จะเห็นใครในป่าพนาลี | จะก่อกองอัคคีเป็นเพื่อนองค์ |
พระคุณเอ๋ยเทวาศักดาเดช | พิมานเมศมิ่งไม้ไพรระหง |
ห้วยละหานธารทางในกลางดง | ขอฝากองค์บพิตรพระสิทธา |
แจ้วแจ้วแว่วเสียงกระเหว่าร้อง | ประสานซ้องเสียงสกุณปักษา |
พระโหยหวนป่วนคิดถึงพารา | ฝูงคณานางพร้องประโคมวัง |
โอ้ปักษายังรู้ประโคมไพร | เหมือนเตือนใจให้มีทำวลหลัง |
ไก่ดงขันขานกังวานดัง | เมื่อไรจะถึงวังระงับร้อน |
พระเดินพลางครวญพลางมากลางชัฏ | เอาสิงสัตว์เป็นเพื่อนสโมสร |
สุริยาสายัณห์ลงรอนรอน | พระแรมนอนมาในไพรพนม |
ถึงสิบห้าวันวารประมาณนับ | ตั้งแต่กลับคืนมาจากอาศรม |
ถึงกองกรรมจำใจให้นิยม | ในอารมณ์เร่าร้อนดังเพลิงกาล |
จึ่งหยุดยั้งนั่งหน้าศิลาลาด | จะคลาคลาดร้อนแสงพระสุริย์ฉาน |
จึ่งหยิบผอบรัตน์ชัชวาล | พระกุมารกริ่งใจ[๒]อยู่ไปมา |
จะเป็นของสิ่งไรในผอบ | ให้ปรารภรื้อคิด[๓]แล้วกังขา |
ผลกรรมลืมคำพระสิทธา | จึ่งเผยฝาผอบออกทันใจ |
ยลอนงค์ทรงโฉมประโลมจิต | ประไพพิศพริ้มพักตร์ดังแขไข |
นุชน้องต้องเนตรพระภูวไนย | กายาใหญ่เกินที่ผอบทอง |
จักรพงศ์พิศวงพระทัยหวัง | ประคองนั่งแนบนางพลางสนอง |
นวลหงองค์เอี่ยมลออออง | ช่างอยู่ในผอบทองไม่พาที |
เรียมพะวงหลงคิดว่าของอื่น | สิบห้าคืนแล้วพี่ขาดสวาทศรี |
ขอเชิญโฉมวรลักษณ์ภัคินี | ไปบูรีรมเยศสวรรยางค์ |
จะอุภิเษกให้เป็นเอกอนงค์นาฏ | สุดสวาทนิ่มน้องอย่างหมองหมาง |
พระว่าพลางทางกรายพระกรกาง | ขอเชิญนางนุชนั่งบนเพลาพลัน ฯ |
๏ ยุพาพินผินพักตร์ผลักพระหัตถ์ | สะบิ้งสะบัดปัดป้องประทุมถัน |
สนองคำโดยคมคารมครัน | ไม่เห็นขันเลยมาชวนไปปกครอง |
ฉันเคยอยู่มาจนใหญ่ในผอบ | ไม่เคยคบใครมาอยู่เป็นคู่สอง |
แม้นมิให้อยู่ในผอบทอง | อย่าต้องน้องให้ระคนราคีมี |
จะก้มหน้าลาไปในไพรระหง | ขอเชิญองค์พระไปครองบูรีศรี |
น้องเคยอยู่หิมวาพนาลี | ไปบูรีก็จะกรอมระกำกาย ฯ |
๏ ชะเสนาะเพราะลํ้าคำสนอง | ดังพิณทองมัฆวานประสานสาย |
รูปคารมสมทรงที่ร่างกาย | ช่างแย้มพรายมธุรสวราคำ |
จะอยู่ไยในผอบกะจิหริด | ไปสถิตปัจถรณ์เถิดงามขำ |
แม้นเสร็จสมที่พี่หมายจะให้ทำ | แผ่นทองคำหุ้มเจ้าให้อุ่นองค์ |
นี่เรียมจนด้นเดินมากลางเถื่อน | เอาโขดเขื่อนมิ่งไม้ไพรระหง |
เป็นปราสาทราชวังบัลลังก์ทรง | เอาเนื้อนกต่างอนงค์กำนัลใน |
เอารุกขาเป็นระย้าระยาบกั้น | ลดาวัลย์ต่างพวงบุปผาไสว |
จักระจั่นพรรณฝูงเรไรไพร | เป็นมไหมโหระทึกประโคมกลอง |
จะเษก[๔]เจ้าเสาวภาคกับตัวพี่ | ให้เป็นมิ่งมเหสีประสมสอง |
เอาเพิงผาศิลาแก้วเป็นกองทอง | นวลละอองเจ้าอย่าเขินสะเทิ้นที |
เป็นกุศลเราสองได้ครองสร้าง | พระดาวบสจึ่งให้นางมากับพี่ |
เป็นเพื่อนไร้ในป่าพนาลี | จงปรานีเถิดนะน้องอย่าโกรธา ฯ |
๏ สายสมรค้อนคิดระคางเขิน | ชม้ายเมินยิ้มละไมอยู่ในหน้า |
น้องมิใช่บุตรีกระษัตรา | เป็นชาวป่าฤๅจะนั่งบัลลังก์ทอง |
พระทรงญาณเมื่อประทานกระหม่อมฉัน | เป็นไรทั่น[๕]จึ่งไม่สั่งให้สมสอง |
แต่สั่งมาให้รักษาผอบทอง | พระมาลองโลมเล่นที่กลางทาง |
ซึ่งจะให้ไปเป็นเพี่อนในป่าชัฏ | สารพัดไม่คุ้มทั้งเสือสาง |
พระเป็นชายฤๅจะหมายมาพึ่งนาง | ไม่มีอย่างเขาจะเย้ยระยำใจ |
น้องจะขอลาองค์พระทรงฤทธิ์ | ไปอาศรมนักสิทธิ์ตามวิสัย |
ทำขยับกายาจะคลาไคล | ภูวไนยกุมกรนางกัลยา |
เจ้าจะด่วนไปไหนหาไม่นี่[๖] | ไม่รักพี่ดอกฤๅยอดเสน่หา |
พระฤๅษีมีญาณประทานมา | จำเพาะว่าเจียวฤๅเจ้าจะยอมใจ |
อันพระองค์ทรงศักดิ์เป็นนักสิทธิ์ | เมื่อผิดกิจท่านจะสั่งอย่างไรได้ |
อันเรื่องรักก็ประจักษ์อยู่เต็มใจ | ผู้ใดใครจะไม่ร่วมประเวณี |
ถึงเนื้อเย็นมิได้เป็นบุตรกระษัตริย์ | ศรีสวัสดิ์ก็เป็นบุตรพระฤๅษี |
ก็สมแล้วแก้วกัลยาณี | พระฤๅษีจึ่งประทานนางโฉมยง |
ซึ่งจะพาเนื้อเย็นไปเป็นเพื่อน | ใช่จะเกลื่อนกลัวภัยในไพรระหง |
พี่กลัวหนาวนํ้าค้างในกลางดง | จะแอบองค์เจ้าให้อุ่นอุระนอน |
ถึงอุ่นอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนอุ่นอก | ได้กอดกกแนบกายสายสมร |
พระว่าพลางทางกอดประคองกร | พระหัตถ์ช้อนต้องเต้าประทุมทอง ฯ |
๏ นางผลักหัตถ์ฤๅสายตะกายข่วน | เชิงกระบวนตอบถ้อยสุนทรสนอง |
ไฮ้อะไรไขว่คว้าคะนองลอง | เดี๋ยวก็ร้องขึ้นให้ลั่นสนั่นดง |
สารพัดจะสกัดสะแกงว่า | เห็นเอกาอยู่ในไพรระหง |
น่าเจ็บจิตเพียงชีวิตจะปลิดปลง | นี่ฤๅจงใจรักประจักษ์ใจ ฯ |
๏ นิจจาเจ้าเสาวภาคเสน่หา | จะแกล้งฆ่าเรียมเสียให้ตักษัย |
ถ้าแม้นน้องร้องอึงคะนึงไป | เห็นจิตใจพี่เจียนไม่เป็นตัว |
เอ็นดูพี่เถิดนะน้องอย่าร้องเลย | เจ้าข้าเอ๋ยขนพองสยองหัว |
ลิงทโมนมันจะโจนมาจับตัว | พระแกล้งยั่วหยอกเย้าเยาวมาลย์ |
เจ้ายอดหญิงยิ่งนางในหว่างทวีป | จนสิ้นชีพพี่ไม่ร้างห่างสมาน |
พิศวาสแล้วไม่ปรารถนาพาล | กว่าจะลาญชีพล่วงชีวาลา |
ยามถนอมพี่จะกล่อมไว้กลางตัก | เมื่อยามเชยมิให้หนักซึ่งนาสา |
อย่าหน่วงรักให้พี่หนักอุราภา | เชิญกานดาประดิพัทธ์ด้วยภักดี ฯ |
๏ ยุพาพาลฟังสารพระทรงศร | ราคร้อนรึงทรวงนางโฉมศรี |
แต่มารยามารยาทกระษัตรี | ดุษฎีพลางกล่าวสุนทรวอน |
พระจอมพงศ์ขัตติยาวราเดช | ไม่โปรดเกศพระจะด่วนสโมสร |
เชิญพระองค์ทรงพระขรรค์มาบั่นรอน | ให้ม้วยมรณ์แล้วจึ่งชมให้สมปอง |
ด้วยบุญตัวน้องน้อยทั้งถอยศักดิ์ | ไม่ควรเคียงเรียงพักตร์เป็นคู่สอง |
ทูลกระหม่อมจอมพงศ์ดั่งหงส์ทอง | เหมือนเช่นน้องต่ำศักดิ์สกุลกา |
สุวรรณหงส์ไม่ประจงรักษาศักดิ์ | มาหลงปลักปลอมกาต่างภาษา |
พฤฒามาตย์ราษฎรจะฦๅชา | ครหาเฟื้องฟุ้งทั้งกรุงไกร |
เหมือนเช่นน้องพระจะลองประโลมเล่น | พอหยุดเย็นเหมือนศาลาที่อาศัย |
ดังภู่ผึ้งคลึงเคล้าดอกไม้ไพร | พอชื่นใจก็จะจรขึ้นบินบน |
ทั้งเอกองค์มเหสีเป็นที่รัก | น้องตํ่าศักดิ์คิดเห็นไม่เป็นผล |
ไร้ทั้งวงศ์พงศาเอกาตน | เป็นคนจนพระก็แจ้งอยู่เต็มใจ |
แม้นรักน้องจะให้น้องไปรองบาท | แต่เพียงทาสพอจะแทนพระคุณได้ |
จงรอรักหักจิตอย่าด่วนใจ | ใช่จะไปจากเบื้องพระบาทา ฯ |
๏ เสนาะน้อยถ้อยคำดั่งนํ้าแก้ว | จะเจื้อยแจ้วจับใจให้หรรษา |
ราษฎรฤๅจะค่อนมานินทา | เจ้าแกล้งว่าให้พี่เว้นสวาทชม |
เหมือนเช่นนวลฤๅจะควรเป็นข้าพี่ | ถ้าเป็นศรีพระนครจะเห็นสม |
ถึงเรียมอยู่ธานีบูรีรมย์ | ได้เชยชมก็แต่ฝูงกำนัลนาง |
มเหสีพี่ก็มีแต่รายนึก | อย่าคิดลึกไปเลยน้องให้หมองหมาง |
จะหน่วงชมมิให้สมเสน่ห์นาง | เห็นสุดอย่างที่จะร้างไว้แรมวัน |
ดังเด็ดได้ดาราในอากาศ | มาสวาทแนบนุชสุดกระสัน |
พระว่าพลางกางหัตถ์สัมผัสพลัน | พัลวันพิศวาสสวัสดี |
ดั่งพระยามังกรช้อนวิเชียร | ก็ชูเศียรแหวกว่ายวารีศรี |
พระทรวงแอบแนบทรวงสุดาดี | ดั่งอัคคีลามไหม้จักรวาล |
หิมวันต์เลื่อนลั่นสะท้านสะเทือน | สาครเคลื่อนลูกละลอกกระฉอกฉาน[๗] |
มัจฉาโดดโลดเล่นในลำธาร | เสียงสะท้านเขากระทบกระทั่งกัง |
ทั้งปู่เจ้าเขาเขินเนินพนม | ถลาล้มลุกแล่นไม่เหลียวหลัง |
พระฤๅษีอยู่ในถํ้ารํ่าระฆัง | ทุกรวงรังนกร้องคะนองไพร |
ทั้งพฤกษาก็ระย้าระยาบโยก | ลมกระโชกกิ่งก้านเขยื้อนไหว |
พิลึกลั่นชั้นฟ้าสุราลัย | ราหูไล่คว้ารถพระสุริยา |
อ้าโอษฐ์อมอับพยับแสง | ทุกหล้าแหล่งมืดมิดทุกทิศา |
พิรุณสาดฟาดฟองคะนองฟ้า | เมขลาล่อแก้วอยู่แวววาว |
ตลอดแลบแปลบปลาบเป็นเปลวช่วง | อสูรหน่วงขวานขว้างไปกลางหาว |
เปรี้ยงกระเดื่องเปรื่องกระด่อนทุกแดนดาว | ก็เกรียวกราวนกกาถลาบิน |
ในท่อนํ้าลำธารฉานกระฉอก | คลื่นระลอกล้นลบกระทบหิน |
กระแทกผึงกระทุ่มผางลงกลางดิน | ก็เสร็จสิ้นสุขเกษมทั้งสองรา ฯ |
๏ พระอิงแอบแนบนั่งประคองน้อง | ถนอมต้องเต้าเต็มพระหัตถา |
พระโอบอุ้มเต็มหัตถ์กระษัตรา | พระนาสาจูบจอมถนอมปราง |
ทั้งสองลืมปลื้มละเลิงในเชิงชิด | ยอดสนิทหลงเล่ห์ไม่อางขนาง |
พระหลงลืมสาวสรรค์สวรรยางค์ | สวาทยั่วหยอกนางถนอมกร |
นางหลงกลลืมกันพระกรปัด | ที่เคยข้องมิได้ขัดสโมสร |
พระหลงงามกิริยาพะงางอน | สายสมรหลงสมานสำราญใจ |
ประจวบจวนสุริยฉายจะบ่ายฟ้า | พระชวนมิ่งโมราผู้พิสมัย |
เที่ยวเลียบริมลำธารสำราญใจ | ภูวไนยชื่นชมอุบลบาน |
บ้างแดงขาวเหมือนดาวในอากาศ | สกุณชาติจิกกินเกสรหวาน |
บ้างร่วงโรยกลีบหล่นในชลธาร | พระชวนมิ่งเยาวมาลย์สรงวาริน |
เย็นระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำดั่งอำมฤค | ลํ้าพิลึกวาบวุบในหุบหิน |
นางโฉมยงสีองค์ให้ภูมินทร์ | พระนรินทร์ชวนชี้ให้ชมปลา |
นางยื่นเล็บเก็บดอกกระจับสด | พระหักสัตตบงกชอันเลขา |
มาทับเทียบเปรียบถันนางกัลยา | ขนิษฐาปัดกรพระจักรี |
พระทรงฤทธิ์วิดวักกระสินธุ์สาด | สุดสวาทปิดเนตรแล้วเบือนหนี |
สุขเกษมเปรมปราในวารี | พระชวนศรีเสาวภาคย์ขึ้นจากธาร |
ทั้งสององค์สอดทรงเครื่องประดับ | กระจ่างจับวับแสงพระสุริย์ฉาน |
นางจีบโจมโขมพัสต์สะอิ้งพาน | นฤบาลสอดสร้อยสังวาลวัลย์ |
พระโฉมยงเสร็จทรงพระแสงศร | สายสมรรับทรงพระแสงขรรค์ |
พระชวนโฉมโมราวิลาวัณย์ | จรจัลตามแนวพนมไพร |
สุริยงทรงส่องมาต้องพักตร์ | นางน้องรักร้อนแสงพระสุริย์ใส |
พระจูงกรกัลยาให้คลาไคล | แล้วหักใบพฤกษาให้บังองค์ |
ถึงเขาเขินเนินผาศิลาโกรก | ชะง้ำโงกเงื้อมในไพรระหง |
สายสมรอ่อนสิ้นกำลังลง | พระอุ้มองค์อรทัยขึ้นใส่เอว |
ละเลาะเลี้ยวเหนี่ยวเครือลดาวัลย์ | ข้ามอรัญโกรกกรวยเป็นห้วยเหว |
ครั้นพ้นเขาปลอดช่องที่ปล่องเปลว | ลงจากเอวพระก็จูงนางจรลี |
นางโฉมงามวอนถามพระภูวไนย | สักเมื่อไรจึ่งจะถึงบูรีศรี |
พระปลอบโลมโฉมกัลยาณี | จวนบูรีเราแล้วนะแก้วตา |
อุตส่าห์แข็งขืนใจไปเถิดแม่ | อย่าท้อแท้ให้พี่พลอยละห้อยหา |
เจ้าม้วยลงพี่ก็คงมรณา | ดวงยี่หวาเหมือนชีวิตชีวาลัย |
พระปลอบพลางชวนนางให้ชมนก | ฝูงวิหคหงส์ห่านลงไสว |
บ้างโผโผนโจนจับบนกิ่งไม้ | บ้างเลียบไล่ตามคู่เป็นคู่เคียง |
นกกระทาจับต้นคนทาขัน | เบญจวรรณกระวานประสานเสียง |
โนรีจับรังภิรมย์เรียง | เหมือนพี่เคียงคู่เคล้ากับเจ้ามา |
โอ้เอ๋ยอกแต่นกยังมีรัง | เมื่อไรจะถึงวังเหมือนปักษา |
ที่กิ่งแก้วนั่นแน่เจ้าเขาชวา | นั่นโมรารำร่อนบนยอดยาง |
พะงางอนวอนถามถึงนามนก | ไยวิหคจึ่งรู้รำแพนหาง |
พระแย้มเยื้อนเบือนบอกยุบลนาง | แต่ก่อนปางนั้นเจ้าเขาเล่ากัน |
ว่ายังมีมยุรากับการ้าย | จะผลัดกันเขียนลายให้เฉิดฉัน |
กาประดิษฐ์คิดเขียนนกยูงพลัน | ให้ขนนั้นเขียวเหลืองอยู่เรืองพราย |
ถึงทีกามยุราจึ่งลงรัก | แล้วจะปักลายทองให้เฉิดฉาย |
สกุณกาลามกไม่มีอาย | ไปกินกายสุนัขาในสาชล |
มยุราเห็นกาก็เกลียดนัก | จึ่งทิ้งรักเสียให้แห้งไม่เขียนขน |
เห็นกามารำร่าออกอวดตน | จะเท็จจริงอยู่กับคนเขาเล่ามา |
พระบอกพลางทางเบือนพระพักตร์ยิ้ม | เจ้างามพริ้มยิ้มละไมอยู่ในหน้า |
เห็นกาล้อมตอมตามนกออกมา | กัลยาทูลถามไปทันที |
เออนกออกนั่นยังไรไฉนเล่า | กาจึ่งเฝ้าตอมตามอยู่อึงมี่ |
พระฟังนางพลางบอกยุบลมี | เมื่อเดิมทีสกุณาไปหาภักษ์ |
เข้าฉวยฉาบคาบปลาเขามาได้ | เขาก็ไล่ยิงถูกทวารหนัก |
ลูกกระสุนคาทวารรำคาญนัก | เจียนว่าจักขาดใจลงหลายครา |
ข้างฝ่ายกาเป็นเพื่อนไปเยือนถาม | จึ่งนกออกบอกความแล้วโหยหา |
แม้นเกลอช่วยมิให้ม้วยมรณา | จะเป็นข้าของสหายจนวายปราณ |
กาฉกรรจ์มั่นหมายอุบายบอก | ให้นกออกลงแช่กระแสสาร |
ลูกกระสุนก็ละลายไม่วายปราณ | คิดรำคาญกลัวจะต้องเป็นข้ากา |
เที่ยวดัดดั้นสัญจรไปซ่อนกาย | การู้ว่าไม่ตายก็ตามหา |
นี่แลน้องมันจึ่งต้องมากลัวกา | ใครเขาว่าพี่ก็ว่าไปตามกัน |
แล้วแย้มสรวลชวนชมพฤกษาชาติ | จัตุบาทโทนเที่ยวในไพรสัณฑ์ |
โตกิเลนเลียงผาสิงคาลวัน | บ้างโผนผันตามเพื่อนลำพองกาย |
ละมั่งทองย่องเยื้องขยับบาท | พยัคฆ์มาดหมอบมุ่งเขม้นหมาย |
กระโจมกัดฟัดกวางให้วางวาย | เสือตะกายกอดกัดเป็นเหยื่อกิน |
จิ้งจอกน้อยคอยด้อมตามพยัคฆ์ | เข้านอนปลักคอยตะครุบริมหุบหิน |
เห็นเสือฟัดกัดกวางหว่างคิรินทร์ | จิ้งจอกกินกวางเหลือที่เสือล้ม |
สิงหราชดอดเดินดะดุ่มเดาะ | เมียงละเมาะหมายคู่จะสู่สม |
นรสิงห์ลิงค่างกลางพนม | ร้องระงมกราดเกริ่นเนินวนา |
พระชวนชี้นางชมนารีผล | นฤมลแน่งน้อยเสน่หา |
ประทุมถันตั้งเต้าเต็มอุรา | ดั่งคณานางแมนแดนวิมาน |
ทั้งคนธรรพ์อสุราวิชาธร | ชิงสมรเชยชมสมสมาน |
บ้างเด็ดได้ใส่เอวเหาะทะยาน | เหมือนพี่อุ้มเยาวมาลย์มาเดินดง |
ดอกลำดวนหวนหอมกระหลบกลิ่น | ระรวยรินรื่นในไพรระหง |
พระกรายเล็บเก็บดอกลำดวนดง | ให้โฉมยงเยาวยอดสุมาลัย |
สุริยนเย็นพยับโพยมมาศ | โอ้อนาถในพนมเนินไศล |
ลิงค่างครางครวญรัญจวนใจ | ปักษาไพรเพรียกพร้องทุกรวงรัง |
ถึงแถวทางหว่างเวิ้งคิรีศรี | สุดวิถีมรคาข้างหน้าหลัง |
เนินเชิงชั้นกั้นรอบในป่ารัง | สุดกำลังที่จะหลีกคิรีเดิน |
ทั้งสองข้างแลสล้างล้วนโขดเขา | ที่ลางเหล่างํ้าแหงนเป็นแผ่นเผิน |
พระอุ้มองค์นงลักษณ์ขึ้นเลียบเนิน | ละเลาะเดินด้วยแสงพระจันทร |
ดึกสงัดจัตุบาทสงบเงียบ | เย็นยะเยียบเยือกองค์พระทรงศร |
พระอุ้มมิ่งโมราพะงางอน | บทจรมาจนแจ้งแสงหิรัญ |
พอได้กึ่งครึ่งทางในหว่างเขา | พระสร้อยเศร้าแทบจะสิ้นชีวาสัญ |
ด้วยหิวโหยโดยอุ้มนางจรจัล | พระวางมิ่งเมียขวัญลงผ่อนแรง |
แสนกันดารทางเดินบนเนินผา | แต่พฤกษาก็ไม่ร่มพระสุริย์แสง |
ร้อนตลอดแผ่นผาศิลาแลง | จนสายแสงสุริยงขึ้นส่องฟ้า |
ขืนดำรงชวนองค์มเหสี | พระจูงนางจรลีบนเหลี่ยมผา |
กำดัดแดดแผดแสงพระสุริยา | แผ่นศิลาร้อนรุ่มระเริงแรง |
แสนสงสารเยาวมาลย์มิ่งสมร | ทุรนร้อนบาทบงสุ์ทรงกันแสง |
ไม่เคยยากกรากกรำระกำแรง | พระศอแห้งหอบหิวกระหายชล |
เยาวมาลย์ทอดกายสยายเกศ | ชลเนตรไหลนองดั่งฟองฝน |
โอ้พระมิ่งทูลกระหม่อมจอมสกล | เห็นสุดทนจะประทังกำลังไป |
จงโปรดปรานขอประทานกระแสสินธุ์ | มากลั้วลิ้นพอระงับที่หม่นไหม้ |
น้องสุดแรงที่จะแข็งอารมณ์ไป | อรทัยทอดองค์ลงโศกา |
นรินทรช้อนนางขึ้นวางตัก | กันแสงรักเยาวยอดเสน่หา |
สุชลนองสองเนตรพระจักรา | จะเหลียวหาชลธารกันดารนัก |
เห็นสมรอ่อนระทดระทวยองค์ | พระโฉมยงทรงโศกเพียงอกหัก |
แสนสงสารนฤมลเป็นพ้นนัก | อารมณ์รักพระมิได้เสียดายกาย |
ชักพระขรรค์ฟันลงตรงเพลาขวา | พระมังสาหลั่งเลือดลงนองสาย |
จึ่งรอรองโลหิตออกจากกาย | แล้วให้สายสุดสวาทเสวยพลัน |
นางทรามเชยได้เสวยน้ำโลหิต | ค่อยสร่างจิตที่ร้อนพระสุริย์ฉัน |
นางก้มกราบภัสดาแล้วจาบัลย์ | พระรับขวัญชวนนางจรลี |
เจ็บระบมคมพระขรรค์ที่ฟันฟาด | ค่อยย่างบาทย่องเหยียบคิรีศรี |
พออ่อนแสงสุริยงในพงพี | ลงถึงที่เชิงผาธาราธาร |
ค่อยสร่างโศกสุขเกษมเปรมสวาท | ภูวนาถชวนอนงค์ลงสรงสนาน |
ประทับนั่งยังแผ่นศิลาลาน | พระยั่วหยอกเยาวมาลย์สำราญใจ |
พระน้องเอ๋ยได้เชยก็ชื่นจิต | ดังสุรามฤตล้างทุกข์ให้สุขใส |
ทั้งสองแก้มเจ้าแฉล้มวิไลใจ | ดังพี่ได้ยาดมมาเดินทาง |
เมื่ออดนํ้าพี่ก็อิ่มด้วยชมนุช | ไม่ม้วยมุดมาได้ในไพรกว้าง |
สายสมรค้อนข่วนด้วยเล็บนาง | พระเคียงข้างเคล้าเคล้นประทุมทอง |
เจ้าพี่เอ๋ยยามเชยก็หายทุกข์ | ค่อยเป็นสุขชื่นในฤทัยหมอง |
เมื่อยามจนทนเทวษนํ้าเนตรนอง | ให้หม่นหมองเศร้าซูบทั้งรูปทรง |
สว่างร้อนอ่อนแสงพระสุริย์ฉาย | ก็เบี่ยงบ่ายร่มรอบไพรระหง |
ชวนยุพินลินลามากลางดง | พฤกษาทรงผลดกอุดมดี |
ละมุดม่วงพวงเพียงจะหักกิ่ง | บ้างหล่นกลิ้งกลาดป่าพนาศรี |
สองเสวยพฤกษาบรรดามี | พระชี้ชวนหยอกนางมากลางไพร ฯ |
๏ ยังมีพวกโจรป่าใจทมิฬ | เบ็ดเสร็จสิ้นห้าร้อยทั้งนายไพร่ |
เที่ยวปลอมปล้นชนบทชาวบ้านไพร | ทะลวงไล่รบริบเอาโดยฤทธิ์ |
อันนายใหญ่ใจเหี้ยมกำแหงหาญ | วิชาการมนต์เวทวิเศษประสิทธิ์ |
แต่บรรดาห้าร้อยร่วมชีวิต | เที่ยวสถิตป่าเขาลำเนาธาร |
มาวันนั้นพลันพบประสบองค์ | นวลอนงค์ภูวไนยในไพรสาณฑ์ |
ประดับเครื่องเรืององค์อลงการ | แก้วประพาฬเพชรรัตน์อร่ามพราย |
ฝ่ายนายโจรมีใจกำเริบรัก | ทะนงศักดิ์สั่งไพร่สิ้นทั้งหลาย |
โห่สนั่นครั่นครื้นออกยืนราย | อ้ายโจรนายแกว่งง้าวอยู่วาววาม |
กระทืบบาทกราดเกรี้ยวเป็นทีโกรธ | แล้วอ้าโอษฐ์แผดสิงหนาทถาม |
มึงไปไหนได้เมียมารูปงาม | มาเดินตามราวป่ากูว่าไร |
พงศ์กระษัตริย์กุมหัตถ์ขนิษฐา | เห็นโจรป่าล้อมรอบไม่ไปได้ |
พระแย้มเยื้อนเบือนบอกนางทรามวัย | แม่สายใจแลดูอ้ายโจรดง |
ดำทมิฬเหมือนลิงทโมนหลอก | มันตะคอกไถ่ถามถึงนวลหง |
อย่าบอกเลยฤๅว่าเมียนางโฉมยง | ว่าเป็นวงศ์ฤๅจะว่าอย่างไรดี |
พระหยอกนางพลางตอบอ้ายโจรไพร | จะทำไมมึงมาถามถึงโฉมศรี |
เราก็เป็นภัสดาของนารี | ธุระมีพานางมากลางไพร |
นี่ตัวเจ้าหรือเป็นเจ้าพนาเวศ | ไม่แจ้งเหตุนี้จะทำอย่างไรได้ |
เราเดินเปล่ามิได้เอาอะไรไป | แต่ใบไม้ก็ไม่ร่วงเพราะมือเรา |
มิใช่แจ้งแล้วจะแกล้งมาดูหมิ่น | ไม่เคยถิ่นเฟือนทางไปดอกเจ้า |
มิใช่แจ้งแล้วจะแกล้งมาดูเบา | มิใช่เราจะเกรงศักดาดี |
มหาโจรใจพาลชาญฉกาจ | ร้องตวาดตอบองค์พระทรงศรี |
อุเหม่มึงฤๅจะหมายมาต่อตี | เอาชีวีออกมาล้างเสียกลางไพร |
แม้นทำผิดคิดลุกะโทษเสีย | ถ้าให้เมียนั้นแลมึงไม่ตักษัย |
แม้นมิส่งนางงามมาตามใจ | จะขับไพร่ไล่ล้างให้วางวาย |
พระทรงฟังคั่งแค้นด้วยคำหยาม | ดั่งเพลิงลามลนทรวงให้โทรมสลาย |
จึ่งว่าเหวยโจรไพรหน้าไม่อาย | มีแต่หมายมิ่งมิตรเขาชิดชม |
ถึงแม้นกายกูวายวางชีวิต | ไม่ขอคิดสักเท่ากึ่งกะผีกผม |
อันกายนวลมึงไม่ควรสมาคม | จะเห็นสมแต่เป็นแม่อ้ายโจรไพร |
แล้วก่งสายขึ้นศรกำซาบศิลป์ | สะเทื้อนดินดงดาลสะท้านไหว |
พระยื่นส่งพระขรรค์ให้ขวัญใจ | เจ้าถือไว้กันองค์นางนงคราญ |
จึ่งร้องท้าว่าเหวยอ้ายโจรไพร | มึงเร่งขับพลไพร่มาสังหาร |
มหาโจรแค้นใจดั่งไฟกาล | ขับทหารห้าร้อยเข้าโถมแทง |
พลโจรคลุกคลีเข้าตีต้อน | พระน้าวศรวางสายพระแสงแผลง |
ศรประหารผลาญยับลงกลางแปลง | บ้างแขนแข้งคอขาดลงกลาดดิน |
ที่เหลือตายลุยไล่เข้าโจมจับ | พระรอรับรอนรันด้วยคันศิลป์ |
บ้างเจ็บจุกคลุกคลานอยู่กลางดิน | พระทรงศิลป์แผลงไปให้วายปราณ |
อ้ายโจรร้ายตายทับลำดับศพ | พอคํ่าพลบคลุ้มไพรพฤกษาสาร |
พระพะวงอยู่ด้วยองค์ยุพาพาล | จะรอนราญรับรองไม่ว่องไว |
พระหัตถ์ขวาทรงศรเข้ารอนรัน | ข้างซ้ายจูงแจ่มจันทร์ผู้พิสมัย |
พระสู้พลางถอยพลางมากลางไพร | อ้ายโจรไล่บุกบั่นกระชั้นมา |
เข้าใกล้องค์ทรงฟาดด้วยคันศร | บ้างม้วยมรณ์เศียรขาดลงดาษป่า |
ยังเหลือแต่นายโจรประจันมา | พอจันทราแจ่มแจ้งกระจ่างดง |
มหาโจรโจมจับได้คันศร | ข้างมือหนึ่งกุมกรนวลหง |
อุตลุดฉุดชิงนางโฉมยง | ส่วนอนงค์นึกรักอ้ายโจรไพร |
มาสู้ทำสงครามด้วยความรัก | จนเสียพรรคพวกพลเป็นไหนไหน |
ข้างฝ่ายองค์ภัสดาก็อาลัย | เป็นสองใจอยู่ในจิตวนิดา |
พระทรงภุชฉุดชิงพระแสงศร | พระหัตถ์หนึ่งกุมกรขนิษฐา |
พระชักไปโจรไพรกระชากมา | ส่วนสุดาอยู่กลางไม่วางกัน |
มหาโจรจับสมรข้างกรขวา | ภัสดากุมกรข้างซ้ายมั่น |
พระเรียกมิ่งโมราวิลาวัณย์ | ยื่นพระขรรค์มาให้พี่ข้างนี้นาง |
หญิงกาลีใจตะกรามกามราค | ละโมภมากจะใคร่ครองทั้งสองข้าง |
จะให้ผัวกลัวโจรจะวายวาง | จะให้โจรกลัวจะล้างภัสดา |
จึ่งยื่นให้เป็นกลางแล้ววางพลัน | ด้ำ[๘]พระขรรค์อยู่ข้างมืออ้ายโจรป่า |
ข้างปลายคมอยู่หัตถ์กระษัตรา | อ้ายโจรคว้ากระชากไปจากกร |
พระแย่งยุดหลุดลุ่ยออกจากหัตถ์ | โจรกระหวัดฟันองค์พระทรงศร |
พระเซองค์ล้มลงกับดินดอน | พระหัตถ์หลุดจากกรนางกัลยา |
สงสารเจ้าเด่าดิ้นจะสิ้นจิต | สุขุมคิดแค้นเคืองขนิษฐา |
ประกาศก้องร้องโอ้แม่โมรา | อนิจจาฆ่าพี่ให้จำตาย |
พระคุณพี่มีมาแก่เจ้ามาก | ถึงยามยากมิให้ช้ำระสํ่าระสาย |
เจ้าร้องไห้ใจพี่จะขาดตาย | เลือดในกายพี่ยังรองให้น้องกิน |
เมื่อเดินไพรพี่ก็ใส่สะเอวอุ้ม | เจ้าควรคุมฆ่าผัวไม่ผันผิน |
ไปยื่นดํ้าให้อ้ายโจรใจทมิฬ | โอ้ยุพินพี่พึ่งรู้ประจักษ์ใจ |
อารมณ์นางเหมือนนํ้าค้างที่ร่มพฤกษ์ | เมื่อยามดึกดั่งจะรองไว้ดื่มได้ |
พอรุ่งแสงสุริยฉายก็หายไป | มาเห็นใจเสียเมื่อใจจะขาดรอน |
เมื่อแรกรักมิได้แหนงเสียแรงรัก | เสียดายศักดิ์ที่ได้ร่วมสโมสร |
ขอฝากชื่อไว้ให้ลือขจายจร | เทพนิกรช่วยประกาศในโลกา |
กุลบุตรเป็นบุรุษรักษาศักดิ์ | อย่าเรียนรักนารีเหมือนเยี่ยงข้า |
สิ้นประกาศขาดจิตจากอุรา | ก็มรณาอยู่ในไพรพนม ฯ |
๏ มหาโจรได้สดับคำประกาศ | แหนงสวาทที่จำนงประสงค์สม |
ที่ตั้งใจว่าจะได้สมาคม | ก็นิยมยอดรักภัคินี |
จึ่งแกล้งกล่าวสนองลองประโลม | ขอเขิญโฉมเยาวยอดนารีศรี |
อยู่เฝ้าศพภัสดาของนารี | อันตัวพี่จะลาพะงางาม ฯ |
๏ นางฟังคำโจรว่าจะคลาคลาด | ให้หวั่นหวาดวาบวับฤทัยหวาม |
อภิวันท์ไหว้วอนด้วยงอนงาม | พิไรความด้วยจริตพิรากล |
พี่อยู่ด้วยจะได้เห็นเป็นเพื่อนสอง | จะทิ้งน้องไว้กระไรในไพรสณฑ์ |
เมื่อผัวตายหมายพึ่งเหมือนผัวตน | ไม่โปรดจริงแล้วก็จนจะเห็นใคร ฯ |
๏ มหาโจรฟังสารสุนทรวอน | กำเริบร้อนราครักไม่รอได้ |
ด้วยเร็วรักหักจิตไม่ฟังใจ | ก็นั่งใกล้หยอกเย้าเยาวมาลย์ |
ประเทืองต้องสองเต้าประทุมถัน | ประคองคั้นเคล้นชมสมสมาน |
นาสิกสูบจูบแก้มนางนงคราญ | หัตถ์ประสานเกี่ยวกอดประคองนาง |
สองอารมณ์สมรักประสานกร | สโมสรประดิพัทธ์ไม่ขัดขวาง |
จะเปรียบโจรเชยชิดสนิทนาง | ดั่งเชิงช้างสระสนานทะยานแรง |
กระพือพัดผัดโบกกระโชกชิด | ก็คว้าหวิดงวงกระหวัดอยู่กวัดแกว่ง |
กำลังมันคันงาไม่ราแรง | กระแทกแทงเสยซ้ำปะรำซวน |
ควาญขยับลงขอระย่อหยุด | ก็สิ้นสุดรสรักแรมสงวน |
อ้ายโจรร้ายหายเรื้อเบื่อกระบวน | พินิจนวลนึกหมายเสียดายทรง |
งามละม่อมกันจอมจุไรเกศ | โขนงเนตรลักขณาดั่งนางหงส์ |
เสียดายรูปกับอารมณ์ไม่สมทรง | จะพลอยเป็นอัปมงคลไม่มีดี |
จะโลมเลี้ยงเคียงคู่ประคองชิด | เหมือนคบพวกอสรพิษไม่พอพี่ |
ใจอนงค์มิได้ตรงต่อสามี | กูเสียทีรบพุ่งจนเสียพล |
แต่ผัวเก่ารูปราวกับเทเวศ | อัคเรศฤๅจะรักเราเดินหน |
กูก็เป็นโจรจรเที่ยวซ่อนตน | เมื่ออับจนก็จะม้วยลงเหมือนกัน |
แต่ผัวรักรองเลือดให้ดื่มได้ | น้อยฤๅใจเจ้ายังฆ่าให้อาสัญ |
รูปเราชั่วกว่าผัวของนางครัน | สักสามวันก็จะสิ้นอาลัยไป |
โจรรำจวนป่วนคิดแล้วใจหาย | แสนเสียดายโยธาน้ำตาไหล |
คิดจะล้างนางเสียให้บรรลัย | ก็อายใจด้วยว่าเจ้าเป็นสัตรี |
แต่นิ่งนึกตรึกตรองอยู่ในจิต | จวนอาทิตย์ไขแสงอรุณศรี |
เห็นนางหลับระงับสิ้นทั้งอินทรีย์ | พิศโฉมนารีด้วยแสงจันทร์ |
ประไพพริ้มนิ่มเนื้อลอออ่อน | ดั่งนางเทพอัปสรสาวสวรรค์ |
แต่ชังใจเสียด้วยใจเจ้าอาธรรม์ | แล้วหวนหันหักรักไม่อาลัย |
สละนางพลางหยิบพระแสงศร | ของภูธรท้าวเธอที่ตักษัย |
เทพเจ้าเข้าดลบันดาลใจ | ให้โจรไพรนึกแหนงระแวงความ |
อันศาสตราเคยฆ่าเจ้าของม้วย | เอาไปด้วยจะเป็นลางกลางสนาม |
ก็ทุ่มทิ้งไว้ริมองค์นางนงราม | ออกเดินตามมรคาพนาวัน |
เห็นซากศพพลไพร่ก็ใจหาย | โอ้เสียดายโยธามาอาสัญ |
นํ้าตาตกอกร้อนด้วยรักกัน | ค่อยกลืนกลั้นโศกาแล้วคลาไคล ฯ |
๏ อรุณรุ่งรังสีรวีวร | ทินกรดวงแดงส่องแสงใส |
คณานกเริงร้องคะนองไพร | อรทัยฟื้นองค์ขึ้นเอกา |
ไม่เห็นพักตร์โจรไพรก็ใจหาย | นางเหลียวซ้ายสอดแลข้างเบื้องขวา |
ไม่ยลเพื่อนพิศวาสอนาถตา | นางโศกาทุ่มทิ้งสกนธ์กาย |
โอ้พี่จอมโจรป่าของน้องแก้ว | สว่างแล้วแลหาไม่เห็นหาย |
มาทิ้งน้องไว้ในป่าเอกากาย | มิทันหน่ายฤามาแหนงอนาถใจ |
ฤๅหยอกน้องลองหลบพอลับเนตร | ฤๅแกล้งร้างแรมประเวศไปหนไหน |
มาหาน้องเถิดอย่าหมองเสน่ห์ใน | นางรํ่าไห้ส่งเสียงสำเนียงวอน[๙] |
จนสุดเรียกสุดแรงกันแสงไห้ | ชำเลืองไปเห็นศพพระทรงศร |
กเฬวรากซากกลิ้งกับดินดอน | สายสมรรื้อคิดถึงสามี |
โอ้พระร่มโพธิ์ทองของน้องเอ๋ย | พระคุณเคยปกเกล้ามเหสี |
เข้ากอดศพซบพักตร์ลงโศกี | พระกรตีทรวงพลางทางรำพัน |
เมียทำผิดคิดนอกพระทัยท้าว | จนพ่อเจ้าสิ้นชีพมาอาสัญ |
ใครจะรักเมียเหมือนองค์พระทรงธรรม์ | ตั้งแต่วันพิศวาสจนวายปราณ |
ที่ข้อแค้นพระมิให้ระคายจิต | เมียลืมคิดถึงพระคุณทำหักหาญ |
แต่เห็นน้องร้อนแสงพระสุริยการ | พระรองเลือดออกประทานให้แทนชล |
โอ้ทีนี้สิ้นบุญพระคุณแล้ว | เหมือนดวงแก้วอับแสงทุกแห่งหน |
เมียเอ้องค์อยู่ในดงกันดารคน | บาปใดจึ่งมาดลบันดาลเป็น |
กำบังจิตมิให้คิดพระคุณได้ | ต่อพ่อเจ้าบรรลัยจึ่งเล็งเห็น |
โอ้แต่นี้สิ้นเสร็จเด็ดกระเด็น | พระมิได้คืนเป็นมาปลอบน้อง |
ผลกรรมนำจิตให้คิดชั่ว | จนจากผัวมิได้อยู่เป็นคู่สอง |
จะกินแต่ชลนานํ้าตานอง | ลับพระร่มโพธิ์ทองที่กลางทาง |
นางร้องรํ่าครํ่าครวญรำจวนโหย | สันโดษโดยเดินเดียวในไพรกว้าง |
เห็นแต่ซากศพตายอยู่รายทาง | เป็นร่องรางเลือดแดงแผ่นดินดอน |
นางดูศพทรงธรรม์แล้วขวัญหาย | อนาถกายทุ่มทอดฤทัยถอน |
สยองเกล้าเศร้าจิตนางบังอร | ก็ลาจรจากศพพระสามี |
เดินพลางครวญพลางมากลางดง | ให้เปลี่ยวองค์เปล่าใจในไพรศรี |
จัตุบาทกลาดป่าพนาลี | นางโศกีอ้างว้างมากลางไพร |
แจ้วแจ้วจักระจั่นสนั่นเสียง | เหมือนสำเนียงภัสดาน้ำตาไหล |
กระเหว่าแว่วเสียงหวานสะท้านใจ | สกุณไก่ขานขันสนั่นดง |
เห็นนกเอี้ยงเคียงคู่อยู่ซ้อแซ้ | ตะลึงแลลานจิตพิศวง |
เหมือนหนึ่งเราเคล้าเคียงพระโฉมยง | มากลางดงเดินป่าพนาวัน |
เห็นคู่นกกกนางแล้วร้างหนี | เหมือนคืนนี้โจรร่วมภิรมย์ขวัญ |
แล้วแรมร้างขว้างไว้ในไพรวัน | สารพันชอกช้ำระกำใจ |
ได้ฝากตัวผัวรักก็ตายจาก | แสนลำบากบุกป่านํ้าตาไหล |
มารักโจรโจรก็ร้างเสียกลางไพร | ก็สาใจแล้วที่ใจไม่รอรั้ง |
ทั้งผัวตายชายชู้เอาตัวหนี | ไม่มีที่เจตนาเป็นฝาฝั่ง |
นางครวญครํ่ารํ่ามาในป่ารัง | พอถึงฝั่งพระสมุทรก็สุดแรง |
ทะเลลึกครึกครื้นด้วยคลื่นซัด | ศรีสวัสดิ์ทรุดองค์ทรงกันแสง |
ทั้งหิวหอบบอบช้ำด้วยโรยแรง | ไม่รู้แห่งมรคาพนาวัน ฯ |
[๑] สมุดไทยเลขที่ ๑๓ ว่า “ใครจะสอยผลไม้ไม่เห็นมี”
[๒] กริ่งใจ แปลว่า นึกแคลงใจ, นึกสงสัย
[๓] รื้อคิด แปลว่า คิดทบทวนใหม่
[๔] เษก = อภิเษก
[๕] ทั่น = ท่าน
[๖] สมุดไทยเลขที่ ๑๓ ว่า “เจ้าจะด่วนไปไหนทำไมนี่”
[๗] สมุดไทยเลขที่ ๑๓ ว่า “สาครเคลื่อนเป็นละลอกกระฉอกฉาน”
[๘] ด้ำ = ด้าม
[๙] สมุดไทยเลขที่ ๓ ว่า “นางร่ำไรส่งเสียงสำเนียงวอน”