ข้อความของบันทึกความจำ

โดยเหตุที่ผู้เขียนบันทึกความจำโดยมากมีความมุ่งหมายแต่จะให้ผู้อ่านเห็นว่าผู้เขียนเป็นคนสำคัญเพียงไร มักจะแต่งเรื่องขึ้นให้คนพิศวงปะปนความเท็จความจริง จนผู้อ่านตะลึงไปไม่รู้หนเหนือหนใต้ บางคนก็ซ่อนหรืออำพรางความบกพร่องของตนไว้ แทนที่จะเขียนเรื่องที่มีสารประโยชน์ กลับทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดจนเชื่อว่าเรื่องอ่านนั้นเป็นเรื่องจริง และโดยเหตุที่ไม่มีโครจะเลวเท่าคนที่เขียนเรื่องเพื่อหลอกลวงให้ผู้อ่านหลงเชื่อ ฉัน ออกพระศักดิสงคราม จึงตั้งใจไว้ว่าจะจดแต่ความจริงลงไว้ในบันทึกความจำนี้ เล่าเหตุการณ์ที่ฉันมีส่วนอยู่ด้วย และที่ได้เห็นด้วยตาเองไม่ปิดบังความบกพร่องของตัวฉัน ดังที่ผู้อ่านคงจะสังเกตเห็นได้บ่อยๆ ในบันทึกความจำนี้ ฉันหวังใจว่าผู้อ่านคงจะเห็นความสัจสุจริตนั้น และถ้าแม้ว่าบันทึกความจำนี้มีความร้ายกาจ ผู้อ่านคงจะอภัยโทษแก่ฉัน ผู้ซึ่งเป็นทหารยังไม่ชินกันกับการเขียน และแต่งถ้อยคำอันไพเราะ ฉันมีความมุ่งหมายเพียงแต่จะให้ผู้อ่านสดับฟังข้อความที่ฉันกล่าวไว้เท่านั้น

ฉันเกิดวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๑๙๙ ที่ตำบลคาร์ดันน์ แขวงโปรวังส ทิศใต้ประเทศฝรั่งเศส ฉันไม่พักที่จะป่าวร้องให้คนทราบว่าครอบครัวของฉันเป็นอย่างไร คนโดยมากทราบดีแล้วว่าตระกูลฟอร์บังนั้นได้ตั้งมาเป็นเวลานานแล้ว มีชื่อเสียงทั้งทางศาสนา ตุลาการ และยุทธราวี

ถ้าความประพฤติเมื่อยังเป็นหนุ่มอยู่เป็นสมมติฐานที่พึงจะทำนายว่าฉันจะเป็นคนชนิดไรแล้ว ก็เป็นการแน่นอนทีเดียวที่ใครๆ จะเห็นว่าโชคซะตาของฉันในภายหน้านั้นจะเป็นคนที่จะต้องถูกตีและระรานผู้อื่น นิสัยของฉันนั้นเป็นคนใจร้อน ว่องไว ไม่ยับยั้ง ซุกซน ทำความชั่วเล็กๆ น้อยๆ หลายครั้ง ชอบแต่จะข่มและเป็นหัวโจกเพื่อนเล่นด้วยกัน ถ้าเพื่อนเล่นผู้ใดขัดขืน ฉันจิกผมและชกเตะผู้นั้น ถ้ากำหมัดและตีนยังแรงไม่พอ ฉันก็ฉวยก้อนหินปรันลงไป ล่วงไปได้ไม่กี่วัน บิดาของเด็กที่ถูกรังแก ก็มาฟ้องกล่าวโทษฉัน ในการสอนให้ฉันเป็นคนดีนั้น ท่านบิดาได้ใช้อำนาจมาแต่ต้นมือ เพราะฉะนั้นถูกท่านบิดาเฆี่ยนเท่าใด ก็ไม่เข็ดหลาบ

วันหนึ่งฉันทำผิดอะไรก็ไม่ทราบ ท่านบิดาได้กักขังฉันไว้ในห้อง เมื่อร้องไห้ตะโกนจนไม่มีเสียง ทุบประตูจนเหนื่อยออกมาไม่ได้แล้ว ก็ทำตัวประหนึ่งเป็นบ้า จิกผมตนเองจนหลุดออกมาหลายปอย และเอาหัวชนฝาผนัง เพราะฉะนั้นเมื่อมีคนมาเปิดประตูห้องก็เห็นเลือดไหลโซมตัวฉันหัวแทบไม่มีผมเหลือ และร่างกายเขียวช้ำหลายแห่ง บิดาของฉันมีบุตรหลายคน ท่านถึงแก่กรรมเมื่อฉันยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่ เพราะจะนั้นจึงไม่รู้จักท่านดีนักในครอบครัวอันใหญ่นี้ ฉันเป็นบุตรคนสุดท้อง พอเติบโตมีความคิดก็ต้องพยายามวิ่งหาทางอาชีพเอาเอง เพื่อเพิ่มพูนเกียรติคุณของตระกูลที่เคยรุ่งเรืองนามมาแล้ว แต่ไม่มั่งคั่งพอที่จะอุปการะฉันได้

เพื่อถึงจุดที่ประสงค์นี้ ฉันไม่มีทุนอะไรนอกจากความกล้าหาญและความไม่กลัวตาย คุณวุฒิทั้งสองอย่างนี้ได้ช่วยให้ฉันบรรลุความสำเร็จผลหลายครั้งในอนาคต ถ้าไม่มีคุณวุฒินี้แล้ว ก็คงไม่รอดจากความตายอันร้ายกาจตั้งแต่มีอายุเพียง ๑๐ ขวบเท่านั้น ที่ฉันรอดตายมาได้นั้นดังนี้ วันหนึ่งสุนัขบ้าซึ่งทำให้คนในหมู่บ้านตกใจกันมากได้วิ่งตรงมายังฉัน มันอ้าปากน้ำลายเป็นฟอง ฉันหยุดยืนเตรียมตัวสู้อยู่กับที่ หาได้วิ่งหนีมันไม่ พอมันเข้ามาถึงตัว ฉันส่งหมวกให้มันงับ ฉวยตีนหลังของมันหิ้วขึ้นแล้ว ฉันเอามีดกรีดท้องมันจนไส้ทะลัก ต่อหน้ากลุ่มชนทั้งหลายที่พากันมาช่วยฉัน

ในการเสี่ยงชีวิตฆ่าหมาบ้าตัวนี้ ฉันได้รับความเยินยอมากเกินไปกว่าเด็กเล็กๆ พึงได้รับ จึงนึกว่าตัวเองมีความกล้าหาญนักและมีความเย่อหยิ่งถึงกับเรียนมารดาว่าฉันต้องเป็นทหาร ขออนุญาตไปฝึกหัดในกองทัพ มารดาแสดงความขัดข้อง ฉันพูดเซ้าซี้อีก ท่านก็ลงโทษฉันตามควรแก่ความผิด เมื่อถูกลงโทษเช่นนี้แล้ว ก็มีความน้อยใจเป็นอันมาก จึงหนีออกจากบ้านไปพึ่งพี่ชายซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบลซังต์ มาร์เสล หนทางห่างจากตำบลคาร์ดันน์ประมาน ๕๐๐ เส้น พี่ชายเห็นอกเห็นใจด้วยตามควรแก่เหตุการณ์ ซึ่งหมายความว่าไม่ได้ช่วยทำอะไรให้พอใจฉันเลย เมื่อรู้สึกตัวว่าจะถูกส่งกลับไปบ้าน จึงชิงความคิดพี่ชายเสียก่อน ขโมยภาชนะเครื่องเงินของพี่ชายได้สองสามสิ่งแล้ว ก็หลบหนีไปเมืองมาร์เซยล์ตั้งใจไว้ว่าจะไปสมัครเป็นทหารที่เมืองนั้น ส่วนภาชนะเครื่องใช้สอยนั้นก็จะนำไปแลกเอาเงินมาซื้ออาหาร แต่ ม. โรมิเออ เจ้าของร้านขายเครื่องเงิน เห็นตราที่จารึกไว้บนเครื่องใช้สอยนั้นแล้ว จำได้ว่าเป็นตราของตระกูลฟอร์บัง จึงไปแจ้งความแก่เจ้าพนักงานท้องที่ ฉันถูกจับและถูกส่งตัวกลับไปอยู่บ้าน มารดาจึงนำตัวฉันไปฝากไว้กับนักบวชผู้หนึ่ง

เมื่อมีความคิดที่จะเป็นทหารอยู่ฉะนี้ การที่ถูกบังคับให้ไปอยู่กับนักบวชเพื่อศึกษาการศาสนานั้น ก็ย่อมไม่เหมาะกับนิสัยของฉันเลย วันหนึ่งท่านนักบวชรูปนี้จะลงโทษฉัน เพราะว่าทำความผิดเล็กน้อย ฉันจึงเอาเครื่องเขียนขว้างศีรษะท่าน พอเห็นท่านเดินตรงมายังฉันและเกรงว่าท่านจะลงโทษฉันอย่างหนักด้วยความแค้น ฉันจึงกระโดดจากหน้ากุฎีลงไปข้างล่างซึ่งสูงจากพื้นดินประมาณหกศอกครึ่ง ยอมให้ขาหรือแขนหักเสียดีกว่าถูกลงโทษ เพราะว่าฉันรู้สึกว่าความผิดไม่มากพอที่จะถูกลงโทษแรงถึงเพียงนั้น เผอิญที่ดินที่ฉันกระโดดลงไปนั้นมีปุ๋ยกองอยู่ ฉันจึงไม่มีบาดเจ็บอะไรเลยลุกขึ้นวิ่งหนีกระหืดกระหอบไปจนเกือบขาดลมหายใจ ได้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านนายนาวาโทฟอร์บัง คาร์ดันน์ ลุงของฉัน ท่านผู้นี้ได้รับเลี้ยงฉันไว้ด้วยความยินดี ให้เสื้อผ้าแต่งตัวเป็นนักเรียนนายเรือและให้ลงไปอยู่ในเรือรบซึ่งท่านเป็นผู้บังคับการและจอดอยู่ที่เมืองมาร์เซยล์ จึงแต่นั้นมา ฉันเริ่มมีนามสมญาว่า เชอาลิเอร์ เดอะฟอร์บัง

เมื่อคนเรามารับราชการทหารเรือแต่ยังหนุ่มอยู่และมีเลือดร้อนเช่นนี้ อะไรไม่อันตรายเท่ากับระแวงว่าใครจะมาทำร้ายเกียรติศักดิ์ของตน ฉันไม่แนะนำให้ใครๆ เอาเยี่ยงอย่างฉัน พอเรือรบไปราชการสงครามครั้งแรก ไปจอดอยู่ที่เมืองสิอูตาต์ ฉันก็ท้านักเรียนนายเรือผู้หนึ่งชื่อคลองแทงดาบกัน โดยที่แทบไม่มีสาเหตุบาดหมางอะไรกันเลย ฉันได้แทงจนดาบของนักเรียนนายเรือผู้นั้นหลุดจากมือ เมื่อได้เปรียบมีชัยชนะเช่นนี้ ก็เชื่อแน่ว่าคนๆนั้นคงจะยำเกรง และไม่มารบกวนฉันอีกต่อไป

ลุงของฉันและจอมพลเดอริโวนน์ ผู้บัญชาการทหารเรือ มีความพอใจมากที่ฉันแทงดาบมีชัยชนะ ไม่นำตัวฉันขึ้นศาล ยกโทษฉันว่าเป็นเด็กเลือดร้อน เมื่อรู้สึกว่าคนดูถูกก็ยับยั้งสติไว้ไม่ได้ ท่านได้มีความกรุณาเลื่อนฉันเป็นว่าที่นายเรือตรี เป็นคนถือธง เป็นบำเหน็จความชอบที่มีความกล้าหาญ ฉันได้ไปราชการสงครามในเรือรบลำนี้อีกหลายครั้ง แต่ไม่ติดใจที่จะเล่าข้อความพิสดาร เพราะเกรงว่าจะทำให้ผู้อ่านเบื่อ

เมื่อ พ.ศ. ๒๒๑๘ จอมพลเดอะริโวนน์ได้รับคำสั่งให้เตรียมทัพเพื่อไปช่วยเมืองเมสซีนที่ถูกศัตรูล้อมไว้ เมื่อท่านแม่ทัพกำลังจัดพลรบอยู่ที่เมืองทูลอง ฉันได้วิวาทกันกับ ม. วิลล์โครส ได้แทงดาบกันอีกเป็นครั้งที่สองในชีวิตของฉัน ฉันมีชัยชนะ และไม่ถูกขึ้นศาล ต่อไปอีกสองสามวันฉันเล่นกีฬาชนิดหนึ่งเรียกว่า “ไมล” กับนายยามฝั่งชื่อ พิโท ซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้มีปากเสียงกัน ทหารเรือคนนี้จ้องดูหน้าฉันแล้ว ทำท่าทางหยิ่ง เอามือกระตุกลูกคางฉันล้อเล่นเหมือนเด็ก ๆ ฉันแค้นเคืองที่ถูกดูหมิ่นว่าเป็นเด็กทารกเช่นนั้น ฉันเอาไม้ “ไมล” ซึ่งมีบ่วงเหล็กอยู่ที่ปลายฟาดหัวทหารเรือคนนั้นโดยแรงจนล้มลงสลบอยู่ที่เท้าฉัน ถ้าเพื่อนคนหนึ่งของฉันไม่กระชากไม้นั้นไปจากมือฉันแล้ว ฉันคงตีซ้ำลงไปอีกทีหนึ่ง และทหารเรือคนนั้นคงตายคาที่แน่

ที่วิวาทกันดังนี้ ก็เนื่องจากความเกียจคร้านอยู่เปล่าๆ ไม่มีอะไรจะทำ ดูประหนึ่งว่าพวกนายทหารไม่รู้จักที่จะแสวงหางานอะไรให้ผู้น้อยทำ ถึงแม้ว่าทุกแห่งหนพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้มีโรงเรียนฝึกหัดนักเรียนนายเรือก็ดี แต่ก็มีคนโดยมากคือพวกที่ถูกบังคับให้เรียนและไม่มีใจที่จะฝึกหัด ยังหาเวลาว่างได้ พอฝึกหัดเสร็จ คนโดยมากก็หันไปเล่นการพนันเพื่อแก้ความรำคาญ เหตุฉะนั้นพวกนายยามฝั่งจึงทะเลาะวิวาทกันทุกวันๆ ละหลายๆ ครั้ง สหายของฉันคนหนึ่งชื่อ ซังต์โปล ได้เล่นไพ่ “ปีเคต์” กับ เชวาลิเอร์เดอะคูร์ทอง และเล่นได้เงินสามสิบสองบาท ข้อยากลำบากนั้นคูร์ทองไม่มีเงินติดตัวที่จะใช้หนี้ได้ และซังต์โปลก็เร่งร้อนจะเอาเงินให้ได้ จึงมีปากเสียงกัน เพื่อห้ามไม่ให้ตีรันฟันแทงกันขึ้น ฉันควักเงิน ๓๒ บาทใช้แทนคูร์ทอง ซึ่งให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้หนี้รายนี้ให้ฉันในเวลาไม่ช้านัก แต่เขาหาถือคำมั่นสัญญานั้นไม่ บางทีจะไม่มีเงิน หรือเป็นคนหวงหนี้ก็ได้ อย่างไรก็ตาม เขาทำนิ่งไม่พูดถึงเรื่องนี้อยู่เป็นเวลานานทีเดียว ฉันเห็นว่าเขาแกล้งทำนิ่ง จึงเตือนให้ใช้หนี้รายนี้หลายครั้ง ทุกครั้งได้รับคำแก้ตัวอย่างเหลวไหล คือสัญญาว่าจะใช้ให้ แต่ก็ไม่ใช้ ในที่สุดเห็นว่าผัดกันเรื่อยไป และฉันต้องการเงินจริงๆ (อันเป็นธรรมดาที่นักเรียนนายเรือย่อมใช้เงินหมดสิ้นเร็ว) จึงตั้งใจไว้ว่าจะพูดกันให้แตกหักไป ฉันจึงฉวยกระบี่ด้ามเหล็กเดินไปหาคูร์ทอง และถามว่าจะไม่ยอมใช้เงินให้ฉันแน่แล้วหรือ เขาได้ให้คำตอบดังที่ได้เคยตอบมาแล้วโดยที่ไร้ผล ฉันจึงกระชากกระบี่ด้ามเงินของเขาแย่งเอามาถือไว้ และส่งกระบี่ด้ามเหล็กให้เป็นการแลกเปลี่ยนกัน แล้วพูดว่า “ฉันจะคืนกระบี่ด้ามเงินให้ เมื่อเธอใช้หนี้ฉัน”

ฉันขอให้ท่านทั้งหลายวิจารณ์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ด้วย จริงอยู่เมื่อเกิดวิวาทกันขึ้นนั้นคูร์ทองยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่มาก แต่เรื่องนั้นทำให้อื้อฉาวมาก นายเรือเอก เละคองต์เดอเพอยล์ ซึ่งเป็นอาของเขา ได้ร้องทุกข์แก่ผู้บังคับการเรือรบ ท่านผู้นี้ตำหนิโทษฉันและบัญชาให้คืนกระบี่ด้ามเงินเล่มนั้นแก่คูร์ทอง แต่นายทหารผู้ฉลาดเช่นนี้หนีความบกพร่องหาได้ไม่ เขาหาได้คิดที่จะให้คูร์ทองใช้หนี้ฉันไม่ และข้อที่ร้ายนั้นเขาไม่ได้ปรองดองให้เราทั้งสองคืนดีกัน ข้อนี้แหละเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องอันเศร้าสลดใจขึ้น ดังที่ผู้อ่านจะได้ทราบในเวลาไม่ช้านัก

เมื่อจัดทัพพร้อมแล้ว เราได้ออกเรือตรงไปเมืองเมสซีน ซึ่งกองทัพบกและเรือของประเทศสเปนได้ล้อมไว้ ธัญญาหารที่มีอยู่เล็กน้อยนั้นได้หมดลง พวกที่ถูกล้อมต้องต้มหนังเกือกกินเพื่อปะทังความอดอยาก ในขณะที่ถูกล้อมกำลังจะยอมแพ้อยู่แล้วนั้น ทัพเรือของเราซึ่งมีเรือเสบียงมาด้วยหลายลำและอยู่ในความควบคุมของเรือรบอีกเก้าลำได้มาถึง เมื่อพวกศัตรูแลเห็นเรา ก็ลงเรือจากกระโจมไฟแล่นออกมาสู้รบกัน เลือดนองทั้งสองฝ่าย ในขณะเดียวกันนั้นเชวาลิเอร์ เดอวัลเพลล์ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเรือรบฝรั่งเศสหกลำ ที่ถูกล้อมอยู่ในอ่าวนั้น ได้ใช้ใบออกเรือมาสมทบเรา

พอเรือรบศัตรูเห็นดังนั้น ก็ใช้ใบแล่นหนีเราไป ถ้าจอมพลเดอะวิโวนน์ ผู้บัญชาการของเราไล่ติดตามไป ทัพเรือสเปนคงจะรอดพ้นไปไม่ได้ แต่ท่านเห็นว่าเมืองที่ถูกล้อมนั้นคงต้องการให้เราไปช่วย ท่านจึงปล่อยให้ทัพเรือศัตรูหนีไปได้ เว้นแต่เรือรบลำหนึ่งเท่านั้นที่เรายึดไว้ได้ พวกที่ถูกล้อมได้โห่ร้องรับรองจอมพลเดอะวิโวนน์ด้วยความปีติยินดีและมีไมตรีจิตอันดียิ่ง และนับถือท่านให้เกียรติยศท่านเหมือนอุปราชตลอดเวลาที่เราอยู่ที่เมืองนั้น เมื่อทัพเรือศัตรูหนีไปแล้ว ก็มีหน้าที่จะต้องไล่กองทัพบกของศัตรูให้ไปจากเมืองเมสซีน ท่านผู้บัญชาการของเราได้สั่งให้ซื้อม้า เพื่อพวกว่าที่นายเรือตรีจะได้นำทัพไปรบ เมื่อเลือกเฟ้นได้คนพอแล้ว เราได้ไล่ศัตรูออกไปนอกเมืองจนหมดสิ้น ต่อมาสักสองสามวันนายพลเรือโทดูเคส์นได้รับคำสั่งให้จัดเรือรบสองสามลำไปตีเมืองอาโคสโต เราได้ระดมยิงท่าเรือเมืองนี้อยู่สองสามวัน แล้วส่งทหารขึ้นไปยึดเมืองไว้ได้ ต่อไปอีกสามวันป้อมปราการไม่ต่อสู้ยอมแพ้ สงครามก็เสร็จลง

เมื่อไม่มีความปรารถนาจะอยู่เปล่าๆ โดยที่มีตำแหน่งหน้าที่ ฉันจึงมีจดหมายไปยัง ไพยิฟเดอะฟอร์บัง ซึ่งเป็นอัยการและผู้บังคับการกองทหารม้าแม่นปืน ขอสมัครเป็นพลทหารในกองนั้น ท่านรับฉันไว้ด้วยความเต็มใจ โดยเหตุที่ฉันเคยแต่รับราชการทหารเรือ ไม่ชำนาญการขี่ม้าเลย คนทั้งหลายจึงเห็นว่าฉันเป็นเด็กหนุ่มที่ยังจะต้องรับการฝึกหัดอีกมาก เคราะห์ร้ายม้าซึ่งเขามอบให้ฉันนั้นเป็นม้ามีโรคพุพองติดต่อกันได้ วันหนึ่งฉันผูกมันไว้ต่างหาก พลทหารผู้หนึ่งชื่อปรูลีย์ ซึ่งเป็นคนแทงดาบมีฝีมือโด่งดัง ได้แก้เชือกม้าตัวนั้นกลับไปในโรง เขาจะแกล้งหาความผิดใส่ตัวฉันหรือมีความประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามที่จะคิดไปเถิด เมื่อฉันกลับมาไม่เห็นม้าอยู่ที่ ๆ ฉันผูกมันไว้ จึงกล่าวคำหยาบคายแก่ผู้ที่แกล้งฉัน พลทหารปรูลีย์ออกรับ จะดูหมิ่นฉันว่าเป็นเด็กหนุ่มหรืออยากจะลองดูกำลังฉันก็ตามที เขาเอามือขยี้หมวกฉัน ในทันทีทันใดนั้นไม่ทันคิดว่าการที่จะแทงดาบกันในที่นั้นเป็นความผิดทางอาญา ฉันชักกระบี่ออกมาแทงกันกับพลทหารผู้นั้น แต่แทงกันไม่ได้กี่ที พลทหารที่อยู่ในที่นั้นหลายคน ได้เข้ามาห้ามและแยกกันไป เมื่อพลทหารปรูลีย์ได้ทราบจากพลทหารผู้หนึ่งว่าฉันเป็นญาติกันกับผู้บังคับการกองทหารม้าแม่นปืน เขาจึงจำใจต้องไปขอโทษท่านที่ได้เกิดวิวาทกันขึ้นกับฉัน

เมื่อ พ.ศ. ๒๒๑๙ กองทหารม้าได้รับคำสั่งให้ไปสงครามที่แขวงฟลางท์ร์ส์ พระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงนำทัพนี้ได้ทรงยกพลเข้าล้อมเมืองคองเท ในเวลาที่ล้อมเมืองอยู่นั้น ฉันได้รู้จักกันกับคองต์ดูลุคซึ่งรับราชการอยู่ในกองทหารเดียวกันกับฉัน มิตรภาพที่ได้มีแก่กันนั้น ได้สนิทชิดกัน ซึ่งไม่มีวันจะแตกห่างเหินกันไปได้จนกว่าชีวิตจะหาไม่

ในการล้อมเมืองนี้ เราได้ขุดสนามเพลาะไว้รอบเมือง เราล้อมอยู่ได้แปดวันก็ยกทัพเข้าโจมตี พวกทหารม้าแม่นปืนออกหน้าและยืดเมืองได้ในวันนั้น ต่อจากนั้นเราได้ยกเข้ายืดเมืองพูจังและเมืองแอร์ เสร็จสงครามแล้วพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับคืนพระนคร พวกทหารม้าแม่นปืนได้รับคำสั่งให้โดยเสด็จด้วย ต่อนั้นไปตลอดปีเราอยู่เงียบ ๆ โดยเหตุที่ฉันเป็นคนใจร้อนมุทะลุเกือบถูกจำคุกบ่อยครั้ง จนในที่สุดผู้บังคับการกองทหารม้าแม่นปืนไม่ยอมรับฉันไว้

ล่วงมาอีกปีหนึ่ง (พ.ศ. ๒๒๒๐) ฉันกลับไปรับราชการทหารเรือ ได้มีตำแหน่งเป็นนายเรือตรีประจำกองทหารเมืองเบรสต์ ก่อนที่จะเดินทางไปรับราชการ ฉันมีความประสงค์ที่จะไปเยี่ยมบ้านทางทิศใต้ แต่ทุนติดตัวไม่มีเหลือเลย ถ้าท่านเจ้าวัดดูลุค ซึ่งในขณะนี้เป็นเจ้าคณะเมืองเอคส ไม่เอื้อเฟื้อแล้ว ฉันคงไปไม่ได้ตามความประสงค์จำนงหมาย ก่อนจะเดินทางไปญาติของฉันผู้หนึ่งซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ไม่มีเงินจะเดินทางกลับไปบ้าน ยากจนถึงต้องหลับนอนกลางแจ้งได้มาหาฉัน เล่าความยากเข็ญให้ฉันฟัง ฉันมีความสงสารจึงพูดว่า “น้องเอ๋ย พี่มีเงินอยู่ในถุงที่พี่ถืออยู่นี่เท่านั้น ไม่พอที่เราทั้งสองจะเสียค่าโดยสารรถไปได้ พี่ไม่อยากจะละทิ้งน้อง เรามาเดินเท้าไปด้วยกันเถิด เงินที่พี่มีอยู่นั้นคงพอสำหรับเราสองคนที่จะซื้ออาหารมากินได้” พูดเสร็จแล้วเราได้เดินไปด้วยกัน เอาเสื้อชั้นในบรรจุลงในกระเป๋าเสื้อชั้นนอกคนละสองตัว และถือไม้เท้ายาว ๆ คนละหนึ่งอัน คล้ายคนที่เดินทางไปนมัสการพระ เราเดินไปจนถึงเมืองเอคสแล้ว ฉันโดยสารรถจากที่นั้นไปเมืองมาร์เซยล์ เพราะว่าฉันมีความละอายเพื่อนฝูงเขาจะล้อว่าเดินเท้ามา สหายเก่าๆ ทั้งหลายได้มาหาฉัน ถามว่ามาจากกรุงปารีสด้วยยานพาหนะอะไร ฉันตอบทันทีว่าโดยสารรถประจำทางมานะซิ

พักอยู่ที่เมืองนั้นพอหายเหน็ดเหนื่อยแล้ว ก่อนจะเดินทางไปเมืองเบรสต์ ฉันมีความประสงค์จะไปเมืองทูลองเพื่อกราบลาพี่ชายและอา รุ่งขึ้นภายหลังวันที่ไปถึงเมืองทูลอง ฉันได้พบเชวาลิเอร์เดอะคูร์ทอง ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายเรือตรีเหมือนกัน เวลาที่ผ่านมานั้นทำให้เขามีความกล้าหาญขึ้นมาก เขาไม่ลืมความละอายที่เขาได้รับ เมื่อฉันดูหมิ่นเขาโดยแย่งดาบด้ามเงินมา เขาจึงท้าฉันให้แทงดาบด้วยจนเต็มความพอใจเขา เราได้ชักกระบี่ออกแทงกันที่หน้าวัดในเมืองนั้น ฉันแทงถูกที่ท้องของเขาหนึ่งแผลและที่คอหอยเขาอีกหนึ่งแผล เขาเอากระบี่ของเขาปัดกระบี่ของฉันหลุดจากมือ แต่กระบี่ของฉันยังติดคาอยู่ที่คอของเขา และในทันทีนั้นฉันถูกแทงที่โครง ฉันต้องถอยหลังไปหลายก้าว กระบี่ก็ไม่มีจะป้องกันตัว พอกระบี่ของฉันหล่นลงจากคอของเขา คูร์ทองก็ก้มลงหยิบกระบี่นั้น เห็นฉันจะโจนเข้าไปแย่ง เขาจึงหันปลายกระบี่ทั้งสองกระบี่นั้นตรงตัวฉันแล้วพูดว่า “อย่ารุกเข้ามา ท่านแพ้ฉันแล้วด้วยว่าอาวุธหลุดจากมือ จงรับเอากระบี่ของท่านคืนไปเถิด ท่านแทงฉันมีแผลสาหัสที่จะรอดตายไปไม่ได้แล้ว แต่ฉันเป็นคนมีสัจไม่มีความพยาบาท” พูดเท่านั้นแล้วเขาก็ล้มลงขาดใจตายในทันใดนั้น ฉันจึงเล็ดลอดหนีไปในฝูงคนที่พากันมาดูการแทงดาบกันนี้

ถึงแม้ว่าฉันจะมีความตื่นเต้นมากเพียงไรในเวลานั้น ก็เว้นเสียมิได้ที่จะต้องชมความเมตตากรุณาของเชวาลิเอร์เดอะคูร์ทอง ที่ยับยั้งใจไม่แทงให้ฉันตายไปตามกัน ถ้าเขาต้องการจะปลดชีวิตฉันก็เลือกที่แทงได้โดยง่าย แต่เกียรติคุณความดีของเขาได้ระงับฆาตกรรมนี้ไว้ได้ ในขณะที่ฉันสงบอารมณ์นั่งเขียนบันทึกความจำนี้อยู่ ฉันเห็นว่าคนๆ นี้มีใจดีประเสริฐอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าฉันได้แทงดาบกับเขาเพื่อป้องกันชีวิตตัวเอง ก็มีความเสียใจเหลือเกินที่ได้ปลงชีวิตศัตรูที่มีใจเมตตากรุณาถึงปานฉะนี้

การแทงดาบในท่ามกลางสาธารณะชนเช่นนี้ ใครจะอวดดีว่าข่าวจะไม่ถึงหูขุนศาลตุลาการไปไม่ได้ แต่คนโดยมากมีใจช่วยให้ฉันพ้นความผิด หาได้ระบุชื่อฉันว่าได้แทงคนตายไม่ กลับไปใส่ความคนที่ใครไม่รู้จักคนหนึ่ง ส่วนบิดาของคูร์ทองซึ่งมีความเศร้าสลดใจเป็นอันมากนั้น ได้ใช้คนไปสืบความเท็จจริงที่ตำบลที่แทงดาบกันนั้น และเมื่อได้ทราบว่าการแทงดาบนั้นได้แทงกันถูกต้องตามข้อบังคับทุกประการ ท่านจึงไม่นำคดีขึ้นสู่ศาล ถ้านายทหารที่บังคับให้ฉันคืนกระบี่ด้ามเงินให้แก่คูร์ทอง ได้ทำความปรองดองให้เราคืนดีกันดังที่ฉันได้ปรารภไว้ในเบื้องต้นแล้ว เหตุการณ์อันน่าเสียใจนี้คงไม่มีขึ้นได้เป็นแน่

เมื่อแผลที่โครงของฉันหายดีแล้ว ฉันก็เดินทางไปเมืองเบรสต์ นึกเสียว่าเรื่องนี้คงจะสงบเงียบไปเอง แต่อย่าหลงไปว่ามนุษย์ที่เกิดมานี้จะพึงปราศจากศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังได้ ตัวฉันเองหารอดพ้นไปได้ไม่ มีปุถุชนผู้หนึ่งชื่อ พูรคส์ ซึ่งฉันไม่เคยทำคุณความดีหรือประทุษร้ายเลย ได้เขียนจดหมายไปเรียนท่านอัครมหาเสนาบดี ม. โคลแพรต์ ว่าฉันได้แทงดาบกันกับเชวาลิเอร์เดอะคูร์ทอง และผู้ที่กล่าวนามมาข้างหลังนี่ถูกแทงตาย ท่านอัครมหาเสนาบดี ซึ่งมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะถนอมใจ ไพยิฟเดอะฟอร์บัง (ซึ่งเป็นอัยการผู้บังคับการกองทหารม้าแม่นปืนและญาติของฉัน) ได้บอกความนี้ให้อัยการทราบว่ามีคนมากล่าวโทษฉัน และท่านจะเว้นเสียมิได้ที่จะมีคำสั่งให้จับตัวฉัน หน้าที่ของอัยการนั้นก็มีแต่จะสั่งการไปและบอกให้ฉันรู้ตัวเสียด้วย ท่านอัยการเดอะฟอร์บังได้มีจดหมายบอกความนี้มายังฉัน และในคราวเดียวกันนั้นฉันได้รับจดหมายอีกยี่สิบฉบับจากคนต่างๆ มีใจความอย่างเดียวกันว่า “เมื่อได้รับจดหมายนี้แล้ว ให้ไปจากเมืองเบรสต์ เปลี่ยนชื่อเสียด้วย เพราะว่ามีคำสั่งให้จับตัวฉัน” ฉันทำตามคำแนะนำนี้ และโดยสารรถมากรุงปารีส

โดยเหตุที่พระเจ้าอยู่หัวไม่เคยพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามการแทงดาบกันเลย ฉันจึงมีจดหมายเรียนพี่ชายที่อยู่ทางบ้านให้ช่วยสืบสวนข้อความและนำคดีขึ้นศาล ศาลเมืองเอคสได้ตัดสินประหารชีวิตฉัน แต่คำพิพากษานั้นไม่บ่งว่าฉันได้แทงดาบกันกับเชวาลิเอร์เดอะคูร์ทอง เมื่อไม่ผิดพระราชบัญญัติห้ามการแทงดาบ ฉันจึงขอพระราชทานอภัยโทษได้ ฉันถูกจำคุกอยู่ที่เมืองเอคสเพียงสองสามชั่วโมงเท่านั้น ศาลก็ปล่อยตัวฉันไปตามกระแสพระบรมราชโองการ ครอบครัวของฉันมีสาเหตุที่จะไม่ให้ฉันอยู่ถิ่นเดิมทางทิศใต้ จึงจัดหาลาให้ฉันตัวหนึ่งเป็นพาหนะให้ไปเสียให้พ้น เพื่อหาทางอาชีพเอาเอง

เมื่อเดินทางไปถึงเมืองลิยอง ฉันพบผู้เดินหนังสือผู้หนึ่ง ซึ่งเดินทางไปกรุงปารีสอยู่เนือง ๆ ฉันได้ร่วมเดินทางไปกับเขาด้วยเช่นคนอื่นๆ นักบวชเมืองจาตรส์ ซึ่งเดินทางมาจากเมืองมาร์เซยล์ ได้ไปกับเราด้วย และมอบหีบสิ่งของไว้กับผู้เดินหนังสือนั้น นักบวชขี่ม้าสีดำงามมาก ฉันขี่ลาเข้าไปใกล้ๆ สนทนาด้วยและทำความรู้จักไว้

เราทั้งสามได้เดินทางไปด้วยกันสองวัน พักนอนอยู่โรงแรมเดียวกัน แต่รู้สึกว่านอนไม่สบาย และเจ้าของโรงแรมขูดเลือดเนื้อเรามากเกินไป ฉันและท่านนักบวชจึงได้ตกลงกันว่าจะไปหาที่หลับที่นอนต่างหาก แต่จะเดินทางไปกับผู้เดินหนังสือเฉพาะแต่เวลากลางวันเท่านั้น

เมื่อถึงเมืองโคนเวลาเราเดินเข้าประตูโรงแรม เราได้พบคนสองคนแต่งกายเหมือนเสื้อแบบนายทหาร เขาได้มารับประทานอาหารด้วยกันกับเรา และเขาถามเราว่าจะไปเมืองไหน ครั้นเขาทราบว่านักบวชได้มอบหีบสิ่งของไว้กับผู้เดินหนังสือ เขาจึงรับอาสาว่าจะช่วยขนหีบนั้น ไปให้ บอกว่าจะบรรทุกหีบนั้นไว้บนท้ายอานม้าของเพื่อนของเขาก็ได้ เขารู้จักหนทางไปกรุงปารีสดี และขี่ม้าเก่งด้วย ถ้าไปด้วยกันก็จะถึงเร็วเข้าอีก นักบวชขอบใจที่เขามาเอื้อเฟื้อ แต่เมื่อเขาเห็นว่าเรามีความประสงค์จะเดินทางไปกับผู้เดินหนังสือดังเดิม คนทั้งสองนั้นจึงมาสมทบเข้าพวกเดินทางไปด้วย เราได้ไปนอนค้างคืนด้วยกันที่เมืองพริอาร์ รุ่งขึ้นเราหยุดรับประทานอาหารกลางวันที่เมืองโนจังต์ และจะไปนอนที่เมืองมองตาร์จิส ผู้เดินหนังสือนั้นมาช้า ๆ เพราะว่าต้องจูงม้าที่บรรทุกหีบสิ่งของด้วย เราสี่คนจึงมาได้เร็วกว่า ประมาณสักร้อยเส้นจะถึงเมืองมองตาร์จีส คนที่แต่งเครื่องแบบนายทหารสองคนนั้นชวนให้เราไปทางถนนแคบ ๆ ถนนหนึ่ง บอกว่าเป็นที่ลัดเข้าป่าไม้จะถึงเมืองมองตาร์จีสได้เร็ว เราเห็นชอบ ตามเขาไปโดยที่ไม่มีความสงสัยอย่างหนึ่งอย่างใดเลย พอเราย่างเข้าไปในถนนนั้น คนที่แต่งเครื่องแบบนายทหารคนหนึ่งเร่งม้าเข้าไปเคียงกันกับม้าของท่านนักบวช และอีกคนหนึ่งรั้งบังเหียนม้าของเขาหยุดอยู่ข้างหลังเรา พอถึงทางโค้งของถนนฉันเหลียวหน้ามาเห็นคนที่หยุดอยู่นั้นตรวจดูว่าชนวนกระสุนปืนสั้นของเขานั้นเรียบร้อยดีอยู่หรือ

เมื่อเห็นด้วยตาดังนั้นแล้ว ฉันไม่มีความไว้วางใจคนทั้งสองนั้นอีกต่อไป พอเขาขี่ม้าเข้ามาใกล้ฉัน ฉันก็เลี่ยงออกห่างไป แล้วควักปืนสั้นของฉันออกมาทำท่าทางตรวจดูว่าจะบรรจุไว้เรียบร้อยดีอยู่หรือไม่ เขาจึงถามฉันว่าทำอะไร ฉันตอบว่า เมื่อเข้ามาในป่าไม้เช่นนี้ ก็จำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมไว้ เราเดินทางต่อไปอีกครู่หนึ่ง เห็นคนสองคนนั้นขี่ม้าขึ้นหน้าเราไป ฉันจึงเร่งขับลาของฉันเข้าไปใกล้ม้าของท่านนักบวชแล้วพูดกระซิบว่า “เราเดินทางมากับผู้ร้าย เขาคงจะทำโจรกรรมแน่ พระคุณเป็นผู้ที่จะเสียหายมาก ส่วนฉันนั้นไม่มีอะไรจะให้แย่งชิงไปได้ เพื่อป้องกันตัวพระคุณควรจะตรวจดูว่าปืนของพระคุณเรียบร้อยดีอยู่หรือ ปืนของฉันนั้นได้บรรจุไว้เรียบร้อยแล้ว เราควรทำใจดีไว้ ถ้าถึงคราวจำเป็นก็ต้องสู้กันเท่านั้น” ท่านนักบวชซึ่งมีนิสัยไม่เป็นนักรบ ได้ยินฉันพูดดังนั้นแล้วตกใจมาก ตัวสั่นขวัญหาย หยิบปืนออกมาดูโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะต้องตรวจดูอย่างไร ถ้าเราอยู่ในที่ ๆ ไม่มีอันตรายเช่นนั้นแล้ว ฉันคงอดหัวเราะไม่ได้ที่แลเห็นหน้าท่านนักบวชซีดขาวไม่มีเลือด อย่างไรก็ดีเพื่อปลอบใจท่าน ฉันพูดว่า “ถ้าคนทั้งสองที่ขี่ม้าอยู่ข้างหน้าเรา หันมาประทุษร้ายเรา เราจะสู้โดยเต็มกำลัง เมื่อคนทั้งสองนั้นเห็นว่าเราไม่ไว้วางใจเขา เขาจึงพูดล้อเราต่างๆ นาๆ ออกจากป่าไม้มาถึงถนนแล้ว มิช้าเราก็มาถึงเมืองมองตาร์จิสก่อนเวลาพลบค่ำ

เรานึกว่าความรำคาญที่เราได้รับจากคนทั้งสองนี้จะยุติลงเพียงนี้ แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ถึงแม้ว่าคนที่เราไม่รู้จักนี้เห็นว่าเราไม่ไว้วางใจเขา เขาก็หาหลีกเลี่ยงเราไปไม่ ซ้ำมาพูดว่าขอร่วมนอนห้องเดียวกันด้วย เวลารับประทานอาหารเย็นอยู่นั้นเขาล้อเราว่าเป็นคนขลาดกลัวไม่มีมูล และยังมีหน้ามาขอเป็นผู้ขนหีบสิ่งของของท่านนักบวชอีกครั้งหนึ่ง ท่านนักบวชเกือบจะใจอ่อนยอมตามคำขอเสียหลายครั้งแล้ว ในที่สุดถึงเวลานอนเราสี่คนได้ห้องนอนห้องหนึ่งแต่มีเพียงสามเตียงเท่านั้น ฉันนอนหลับสนิททีเดียว แต่ท่านนักบวชซึ่งความกลัวเข้าครอบงำ หลับตาลงไม่ได้เลย

สองชั่วโมงภายหลังอ้ายโจรคนหนึ่งนึกว่าเราคงจะหลับสนิทแล้วลุกขึ้นตีเหล็กไฟ ท่านนักบวชขากเสมหะทำท่าทีว่ายังตื่นอยู่ อ้ายโจรสองคนตะโกนถามว่า ยังไม่หลับหรือแล้วบ่นว่า “ใครจะนอนหลับได้ ถ้ากระแอมดัง ๆ เช่นนี้อยู่ตลอดคืน” ท่านนักบวชมีความกลัวเหลือเกิน ร้องเรียกฉันหลายครั้ง แต่เห็นว่าฉันยังจะนอนอยู่เรื่อย ๆ ท่านจึงลุกขึ้นปลุกฉันพูดว่า “รีบออกไปจากห้องนี้เถิด ไปหาผู้เดินหนังสือดีกว่า เพราะว่าคนสองคนนี้แสดงอาการกิริยาไม่ดีแก่เราเลย” เมื่ออ้ายโจรสองคนนั้นเห็นแน่ว่าเราสงสัยเขา มันจึงไม่ได้เซ้าซี้เราอีกต่อไป เราตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ รีบเดินทางต่อไป ล่วงมาสี่วันเราก็ถึงกรุงปารีส ต่างคนต่างอวยชัยให้พรลากันแล้ว ต่างก็มุ่งไปหาทางอาชีพของตน

เวลานั้นพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ในท่ามกลางกองทัพ พวกเสนาบดีก็โดยเสด็จด้วย สิ่งที่ร้ายนั้นคือเงินของฉันคงจะหมดลงในเวลาที่ต้องรอคอยเสนาบดีกระทรวงการทหารเรืออยู่ ม. บองตองส์ มหาดเล็กห้องพระบรรทมและเพื่อนดีของฉัน รับสัญญาว่าจะช่วยให้ฉันได้เข้ารับราชการทหารเรือดังเดิม และให้ไปประจำการที่กองทหารเมืองทูลอง จะได้อยู่ใกล้บ้านเดิมทางทิศใต้เป็นแน่ เมื่อเห็นว่า ม. บองตองส์ให้คำมั่นสัญญาเช่นนั้น ฉันจึงนำลาไปขายได้เงินมาพอสำหรับที่จะเดินทางไปเมืองทูลอง วันหนึ่งก่อนจะเดินทางไป ฉันเดินผ่านไปทางตำบลลาเครฟ ฉันเห็นเจ้าหน้าที่นำคนสามคนที่ทำโจรกรรมไปประหารชีวิต ฉันจึงแวะเข้าไปยืนดูเขาประหารชีวิตนักโทษเหล่านั้น ฉันจำได้ว่านักโทษคนหนึ่งนั้น คืออ้ายโจรคนหนึ่งในสองคนที่เดินทางมากับท่านนักบวชเมืองจาตร์ส์และฉันที่จำได้แม่นยำนั้น เพราะว่าเห็นแผลเป็นที่คาง ซึ่งมันบอกเราว่าแผลนั้นมันได้รับเวลาถูกกระสุนปืนเมื่อทำสงครามครั้งหนึ่ง เคราะห์ดีจริงๆ ที่เราทั้งสองรอดพ้นอันตรายมาจากอ้ายโจรสองคนนั้นได้ เมื่อฉันได้ทราบว่าโจรสองคนนี้มีพรรคพวกตั้งสามสิบหกคน ฉันจึงพยายามไปตามหาท่านนักบวช เพื่อเล่าให้ท่านฟังว่า เรารอดตายมาได้อย่างไร แต่ฉันหาตัวท่านไม่พบ และตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้เห็นท่านอีกต่อไป

ฉันได้ส่งข่าวให้ครอบครัวของฉันทราบว่า ม. บองตองส์ได้ช่วยเหลือให้ฉันได้เข้ารับราชการทหารเรือประจำกองทหารเมืองทูลอง เพื่อถนอมน้ำใจบิดาของเชวาลิเอร์เดอะคูร์ทอง และสนองคุณเขาที่ได้มีน้ำใจดีไม่เอาความฉัน ครอบครัวของฉันได้จัดการสับเปลี่ยนตัวให้ฉันไปประจำการกองทหารเรือที่เมืองเบรสต์ แทนพี่ชายของฉันคนหนึ่ง ที่เป็นนายเรือตรีเหมือนกัน เพราะว่าพี่ชายคนนี้ก่อความระหองระแหงขึ้นบ่อยๆ ที่เมืองเบรสต์ จะรับราชการอยู่ที่นั้นไม่ได้ โดยเหตุที่พี่ชายคนนี้อายุไล่เลี่ยกันและสูงเท่าๆกัน จึงไม่มีใครรู้สึกว่าสับเปลี่ยนตัวกัน ฉันจึงเข้ารับราชการทหารที่เมืองเบรสต์ ครั้นไปถึงกองทหารก็ได้รับคำสั่งให้ฝึกหัดพลทหาร ถึงแม้ว่าการฝึกหัดนั้นจะลำบากใจเพียงไร ฉันก็ตั้งใจทำไปตามหน้าที่จนผู้บังคับการมีความพอใจ

ฉันได้ประจำอยู่ที่เมืองเบรสต์ประมาณสองปีเศษแล้วย้ายไปประจำการที่เมืองรอชฟอรต์ จากเมืองนั้นได้ลงเรือไปในกองเรือรบ ซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของนายพลเรือตรีคองค์เดสเตรส์ ได้ไปแวะที่เกาะเล็กเกาะน้อยแถบฝั่งทวีปอเมริกา หยุดที่คอริโส ซังตมาร์ทและคาร์ตาเจน เมื่อเลิกสงครามกับประเทศสเปนแล้ว มาร์ควิสเดสเตรส์ บุตรชายนายพลเรือตรีผู้บัญชาการ มีความประสงค์จะไปเที่ยวไปเมืองนี้ ฉันได้รับคำสั่งให้ตามไปด้วยผู้หนึ่ง ผู้ว่าราชการเมืองคาร์ตาเจนได้เลี้ยงอาหารเราด้วยภาชนะเครื่องใช้สอยงามมาก แต่อาหารนั้นมีน้อย อดเหมือนกินเจ ฉะนั้นป่วยการที่เลี้ยงดูเช่นนี้ การรับรองตามประเพณีสเปนนั้นไม่มีโอชารสเสียเลย

เราทั้งหลายมีความประหลาดใจมากที่เห็นรูปร่างช้อนส้อม ชิ้นหนึ่งนั้นใช้ได้ทั้งตักและจิ้มอาหาร ปลายหนึ่งเป็นรูปช้อน อีกปลายหนึ่งเป็นรูปส้อม เพราะเหตุฉะนั้น เวลารับประทานอาหารต้องพลิกแพลงส้อมช้อนนั้นกลับไปกลับมา ที่วิตถารอีกอย่างหนึ่งนั้นก็คือ ภาชนะที่ใส่อาหารชิ้นหนึ่งนั้นใหญ่เท่ากันกับจานสี่ใบของเรา ฉันจึงสอบถามว่า เหตุไรชาวสเปนจึงใช้จานใหญ่และหนักเช่นนี้ เขาบอกว่า มีกฎหมายห้ามไม่ให้อุปราชและผู้ว่าราชการเมืองแถบนี้นำเงินตราเข้าไปในประเทศสเปนเวลากลับไป แต่จะนำภาชนะทำด้วยเงินเข้าไปสักเท่าไรก็ได้ เหตุฉะนั้น เขาจึงค้ากำไรด้วยประการฉะนี้

ในขณะที่เรือทอดสมออยู่แถบฝั่งทะเลนี้ เราได้สังเกตเห็นว่า เวลาบ่าย ๑๖ นาฬิกาทุกวัน มีพายุฟ้าแลบมาจากขอบทะเลแล้ว อสุนีบาตตกลงมาทำให้บ้านเรือนหักพัง คองค์ เดสเตรสต์ ซึ่งเคยมาที่นี่ เอาปืนใหญ่ยิงไป พายุก็สงบลงได้ คราวนี้ท่านให้เอาปืนใหญ่ยิงไปอีก ชาวสเปนรู้สึกพิศวงมากที่แลเห็นว่า เมื่อยิงปืนไปได้สองสามนัดแล้ว พายุก็สงบลง เขาไม่ทราบว่าเหตุไรพายุจึงสงบลงได้ เลยนึกว่าเรามีอภินิหาร เขามีความตระหนกตกใจมาก เราต้องอธิบายหลายหนหลายครั้งว่าไม่มีอะไรผิดไปกว่าเหตุผลแห่งธรรมชาตินั้นเอง

จากเมืองคาร์ตาเจนเราได้ไปเมืองคูอาโว ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวฝรั่งเศสหรือพวกสลัด หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่บนเกาะซังต์โทมังค์ เมื่อมาถึงน่านน้ำท่าเรือนี้เราได้เห็นเรือค้าขายฝรั่งเศส ๒๕ ลำ เกยหาดห่างจากฝั่งเพียง ๒๐ วา เราได้ทราบว่าพายุได้ซัดเรือเหล่านั้นเข้าไป พายุนี้แรงเหลือเกิน จนบรรดาเรือที่จอดอยู่ในที่นั้นหลุดจากสมอไปทั้งสิ้น เว้นแต่เรือรบหลวงลำหนึ่ง ซึ่ง ม. เดอะคัวน์ส์ เป็นผู้บังคับการ เพราะว่าเรือลำนี้มีสายโซ่และสมอแข็งแรง จึงหาได้ถูกพัดไปเกยฝั่งไม่ ตามปรกติพายุหรือลมสลาตันแถบทะเลนี้แรงมาก ต้นไม้ถูกถอนไปทั้งรากหลายต้น และหลังคาตึกสร้างด้วยศิลาก็ถูกพัดปลิวไปหลายหลัง

ที่เกาะนี้เราพบพวกสลัดที่มาปล้นเมืองมาเรไคลล์ ซึ่งตั้งอยู่บนดินแดนประเทศสเปนใหม่ เขาปล้นได้เงินเหรียญมาเป็นอันมาก เราได้เล่นการพนันกับพวกสลัดเหล่านี้ วันหนึ่งหัวหน้าโจรสลัด ชื่อ ครามองต์ ได้เล่นทอดลูกเต๋ากับมาร์ควิส เดสเตรส์ โจรสลัดเล่นได้หมื่นเหรียญ มาร์ควิส เดสเตรส์ ต้องบอกเลิกไม่เล่นด้วยอีกต่อไป ถึงแม้ว่าเขาเป็นคนมั่งมี แต่รู้ตัวทันว่าสู้นักเลงการพนันไม่ได้ โจรสลัดนั้นคงมีเงินตั้งสองแสนเหรียญแน่

เมื่อเรือจอดอยู่ที่ฝั่งทะเลนี้เราได้เห็นจระเข้ตัวหนึ่งว่ายน้ำมา มองเห็นสันหลังได้ชัดเจน ฉันอยากจับมัน จึงลงเรือเล็ก ๆ ตามมันไป นักบวชที่อยู่ประจำเรือรบลำนี้ขอลงเรือไปกับฉันด้วย มิช้าท่านก็มีความเสียใจที่ตามฉันไป เพราะว่าจระเข้นั้นหนีเข้าไปในป่าแสมที่งอกตามชายฝั่งทะเล พอเราตามมันเข้าไป เราถูกยุงมีพิษไล่กัด ท่านนักบวชมีแต่เสื้อยาว ไม่มีกางเกงเหมือนพวกเรา จึงถูกยุงกัดบวมไปทั้งตัว เราต้องเอาเหล้าชโลมตัวท่านและกอกเลือดออกด้วย ท่านต้องนอนอยู่ในเตียงสิบห้าวันจึงหาย ฉันเชื่อว่าตลอดอายุขัยของท่านนักบวชรูปนี้ ท่านคงจะไม่ลืมคุยเรื่องล่าจระเข้เลย ส่วนฉันนั้นไม่เป็นอะไรมาก ถูกกัดที่หน้าและมือเท่านั้น

เราออกจากเมืองคูอาโวไปฝั่งดินแดนประเทศสเปนใหม่ พอมาถึงที่นี่ลมตะวันออกเปลี่ยนเป็นลมตะวันตกเฉียงใต้ แต่กระแสน้ำไหลไปทางทิศตะวันออก ลมนี้พัดพาเรือแล่นไปตามฝั่งแล้ว เราไปทอดสมออยู่ที่แหลม ทราค ซึ่งบังอ่าวใหญ่แลดูงามนักหนา ชาวสเปนซึ่งมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าเป็นเจ้าของท้องที่และทำสงครามกับเราได้สงบลงแล้วก็จริง แต่เขาไม่ยอมรับรองเรา หรือส่งเสบียงอาหารให้ เราจึงลงเรือเล็กไปยังเกาะหนึ่ง เพื่อล่าสัตว์และตัดไม้มาทำฟืน พวกนายทหารเรือที่ไปด้วยกันมีจำนวนประมาณสามสิบคน เราได้เอาปืนยิงนกหลายนัด ในทันใดนั้นเราได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครม ประหนึ่งกองทัพยกมาประชิดเรา เราได้วิ่งมาเข้าแถวเตรียมต่อสู้ เพราะว่าไม่ทราบแน่ว่าเสียงอะไรที่ดังกึกก้องใกล้เข้ามาทุกที เราได้ปรึกษาหารือกันแล้ว ตกลงใจว่าจะต้องหนีต่างคนต่างรีบลงเรือ แต่ในทันทีนั้นนายทหารอเมริกันผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ในที่นั้นเห็นเราวิ่งหนี จึงหัวเราะเยาะเราแล้วร้องตะโกนมาว่า “ตามฉันมาเถิด เสียงที่ท่านได้ยินนั้นคือเสียงลิง” จริงตามเขาบอกเรา

เมื่อเราได้ยินนายทหารอเมริกันตะโกนมาเช่นนั้น เราก็เดินบุกป่าเข้าไป และเราได้แลเห็นลิงฝูงหนึ่งมากกว่าพันตัว เราวิ่งไล่มัน และฆ่าได้เกือบร้อยตัว นอกนั้นหนีไปได้หรือไปซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ ฉันยังไม่เคยเห็นลิงใหญ่เช่นนี้เลย มันมีขนสีแดง หน้าโต และเครายาว ตัวหนึ่งหนักกว่า ๕๐ ชั่ง พวกกะลาสีกินเนื้อมันและพูดว่า รสดีมาก เวลาเราอยู่บนบกงูตัวหนึ่งยาวประมาน ๔ วา และลำตัวกว้างหกนิ้ว ได้เลื้อยเข้าไปในเรือทางหางเสือเรือของ เชวาลิเอ เดอะฟลาคูรต์ เลอะเพรต ถึงแม้ว่ามันขู่เข้าหูคนถือท้าย แต่คนๆนี้ไม่ระแวงว่าเสียงนั้นมาจากทางไหน และไม่ได้ระวังตัวเลย พอเราลงมาในเรือเชวาลิเอร์ เลอะเพรต เห็นงูตัวนั้นแล้วร้องเอะอะกระโดดหนีขึ้นบกไป คนที่อยู่ในเรือพากันตกใจก็หนีขึ้นบกทั้งสิ้น เว้นแต่คนถือท้ายคนเดียว ชื่อ ครัว นั่งนิ่งอยู่กับที่ เขามีสติดีฉวยถ่อมีขอที่ปลายได้แล้วตีงูตัวนั้นตายคาที่

ถึงฤดูคลื่นลมจัด เห็นว่าจะได้ความลำบากมาก เราจึงแวะเข้าไปที่เกาะมาร์ตินิคแล้วเดินทางกลับประเทศฝรั่งเศส เมื่อถึงเมืองรอชฟอร์ตแล้ว ผู้บัญชาการก็สั่งให้ปลดเรือรบออกจากราชการ ฉันจึงลาพักแล้วเดินทางไปพระราชสำนัก เพื่อฟังข่าวดูว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งบ้างหรือไม่ ตลอดปีนี้และรุ่งขึ้นอีกปีหนึ่ง ฉันไม่มีงานทำ ได้แบ่งเวลาอยู่ที่พระราชสำนักบ้าง ที่เมืองรอชฟอร์ตบ้าง

เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๕ ฉันได้รับคำสั่งให้ไปเมืองทูลอง ได้พบเพื่อนที่ชอบกันมาก คือ ท่านเจ้าวัดดูลุค ซึ่งเป็นหลานของท่านเจ้าคณะใหญ่ ท่านได้รับรองฉันด้วยมิตรไมตรีอย่างดียิ่ง ซักชวนให้ฉันไปพักอยู่กับท่าน และเอ็นดูเหมือนหนึ่งว่าเป็นน้องชายของท่านฉะนั้น

ในปีนี้ฉันกับมาร์ควิสเดอะลาปอร์ตได้เข้าประจำการในกองทัพเรือ ซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของ ม. ดูเคส์น ที่จะไปตีเมืองอัลเจร์ พอเรือรบไปถึง เราก็ลงมือระดมยิงเรื่อยไป ทำให้พลเมืองตกใจมาก พระเจ้าแผ่นดินแขก อัลเจริอัง ทรงเห็นว่า จะควบคุมอาณาประชาราษฎรไว้ไม่ได้จึงทรงขอสงบศึก เราบอกว่าจะหยุดรบต่อเมื่อชาวอัลเจรีอังยอมปล่อยชาวฝรั่งเศสสี่ร้อยคนที่ได้จับไว้เป็นเชลยศึก ส่วนข้อความในหนังสือสัญญานั้นต่างฝ่ายต่างกำลังจะตกลงกันอยู่แล้ว ชาวตุรกีผู้หนึ่ง ชื่อ เมซามอร์ต ซึ่งมีที่มั่นอยู่ในเมืองนั้นขัดขวางไม่ยอมทำไมตรี เขาได้ยุประชาชนให้เป็นกบฏ ได้เข้ายึดตำบลสำคัญต่างๆ ได้แล้ว ตั้งตนเองเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พฤติการณ์นี้ละเมิดข้อความที่จะพึงตกลงกันได้ เราจึงทำสงครามต่อไปอีก เราได้ระดมยิงเมืองนี้หนักเข้า พวกแขกอัลเจริอังมีความแค้นเคืองเหลือเกิน ด้วยความพยาบาทมาดร้ายเขาได้จับกงสุลฝรั่งเศสผู้หนึ่งยัดเข้ากระบอกปืนครก ใช้เป็นลูกกระสุนปืน ความทารุณหายุติเพียงนี้ไม่ ชาวฝรั่งเศสหลายคนถูกมัดไว้ที่ปลายกระบอกปืนใหญ่ ถูกกระสุนปืนระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จนแขนขาคนเหล่านี้ขาดกระเด็นมาตกบนเรือรบของเรา ภาพอันสยดสยองปราศจากมนุษยธรรมนี้ ไม่มีใครสามารถที่จะแสดงให้เราเห็นดีกว่าคนป่าคนเถื่อนแห่งทวีปอัฟริกันนี้

ฤดูกาลที่ล่วงมานี้ไม่เหมาะที่เราจะล้อมเมืองนี้ต่อไปได้นาน กองทัพเรือจึงกลับมาเมืองทูลอง ในระหว่างเวลาที่กำลังสะสมอาวุธยุทธภัณฑ์เพื่อบรรทุกลงเรือไปล้อมอัลเจร์อีกครั้งหนึ่ง ฉันได้รับคำสั่งให้ฝึกหัดทหารเรือและทหารขว้างลูกระเบิด พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์จะเอาชัยชนะแก่พวกแขกอัลเจริอังให้จนได้ จึงมีพระราชกระแสโปรดเกล้าฯให้ท่านมาร์ควิส เดอะเซญเลย์ เสนาบดีกระทรวงการทหารเรือ ไปตรวจพลที่เมืองทูลองด้วยตนเอง เพื่อตระเตรียมการไม่ให้มีสิ่งไรขาดตกบกพร่อง ผู้บัญชาการทหารเรือจึงถือโอกาสนี้จัดการให้ท่านเสนาบดีได้เห็นการฝึกหัดทหารขว้างลูกระเบิด ได้มีคำสั่งให้ขุดหลุมและพูนดินเป็นขอบรอบหลุมนั้น และปลูกปะรำสูงห่างออกไปไว้ปะรำหนึ่งสำหรับท่านเสนาบดีจะได้ไปยืนดูการขว้างลูกระเบิด นายพันตรี เรมองทิส์ และฉันยืนอยู่ที่ขอบหลุมนั้นควบคุมทหารที่อยู่ในสนามเพลาะ พลทหารผู้หนึ่งได้ขว้างลูกระเบิดเข้าไปตกใกล้ตัวนายพันตรีเรมองทิส์ ๆ จึงกระโดดห่างออกไปหลบพ้นอันตรายได้ ต่อมาอีกครู่หนึ่ง พลทหารอีกคนหนึ่งขว้างลูกระเบิดไม่ลงหลุม ลูกระเบิดมาตกอยู่ที่ใกล้เท้าของฉัน ฉันหยิบลูกระเบิดขึ้นทันทีและขว้างไปทางหลุมนั้น ลูกระเบิดได้ระเบิดก่อนตกดิน สะเก็ดได้กระเด็นถูกหมวกของฉันทะลุเป็นรู เคราะห์ดีเหลือเกินที่ไม่ถูกศีรษะ มิฉะนั้นก็คงไม่รอดชีวิตมาได้ พลทหารคนที่สาม ซึ่งขว้างไม่แม่นเหมือนสองคนก่อนนี้ ได้ขว้างลูกระเบิดไม่ลงหลุมอีก มันตกลงที่พื้นดินห่างจากนายพันตรีเรมองทิส์มาก แต่นายทหารผู้นี้ชะล่าใจว่ารอดตายได้ครั้งหนึ่ง และเห็นฉันหยิบลูกระเบิดที่ตกใกล้ตัวฉันขว้างไป จึงเอาอย่างฉันบ้าง วิ่งไปหยิบลูกระเบิดนั้นขว้างลงไปในหลุม ท่านเสนาบดีได้เห็นการฝึกหัดดังที่กล่าวมานี้แล้ว มีความพอใจเป็นอันมาก แต่มีบัญชาสั่งให้หยุดทันที พูดว่าถ้าหัดขว้างลูกระเบิดต่อไปอีกไม่ช้า นายทหารสองคนนี้คงเสียชีวิตแน่

ก่อนออกเรือไปเมืองอัลเจร์ นายทหารเรือหลายนายได้เสนอแผนยุทธวิธีต่างๆ นาๆ เชวาลิเอร์เดอะเลวี ผู้บังคับการกระบวนเรือรบกระบวนหนึ่ง ได้เสนอความเห็นให้ทำลูกระเบิดขนาดใหญ่สองลูก บรรจุดินดำหนักหกสิบหาบแล้วบรรทุกลงเรือใบเล็กๆ ลำละลูก เพื่อนำไประเบิดทำนบกั้นคลื่นแล้ว ส่งทหารขึ้นบนฝั่งไปเผาเรือที่อยู่ในท่านั้น ถ้าทำได้ดังนี้ก็ยืดเมืองอัลเจร์ได้ง่าย แต่ ม. ดูเคส์น ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทัพเรือเห็นว่า ยุทธวิธีนี้นำความยากลำบากมามาก จึงไม่ได้ทำตามนั้น

เมื่อบรรดาทหารเรือ ทหารขว้างลูกระเบิด และนายทหารสำรองราชการต่างๆ ได้ลงไปในเรือรบที่เมืองทูลองนั้น ฉันได้ลงไปประจำอยู่ในเรือของบุตรชาย ม. ดูเคส์น กองเรือรบหลวงขนาดใหญ่ ซึ่งไพยิฟเดอะโนไอลส์ เป็นผู้บัญชาการ และคองต์ดูลุกซึ่งเป็นผู้บังคับการเรือรบหลวงลำหนึ่ง ก็ได้รับคำสั่งให้ไปล้อมเมืองอัลเจร์ด้วย โดยเหตุที่ยุทธวิธีที่ฉันเล่ามาข้างบนนี้ถูกล้มเลิก พวกนายทหารสำรองราชการจึงไม่มีหน้าที่อะไร ฉันไม่ชอบอยู่เฉยๆ มีความละอายที่อยู่นิ่งๆ และปลอดภัยในขณะที่บรรดาสหายคนอื่นๆ ต้องทำหน้าที่ทหารและผจญกับอันตรายต่างๆ ฉันจึงอ้อนวอนนายพันตรีเรมองทิส์ ขออนุญาตให้ฉันตามเขาไปด้วย นอกจากมีความประสงค์ที่จะมีงานทำ ฉันมีความมุ่งหมายที่จะศึกษาการทำสงครามและชินกับอันตรายด้วย นายพันตรีเรย์มองทิส์ซึ่งเป็นสหายสนิทคนหนึ่งของฉัน ได้อนุญาตตามคำขอร้อง ฉันจึงไปไหนไปด้วยกับนายทหารผู้นี้

คองต์ดูลุคมีความพอใจมากที่ฉันมีความตั้งใจดี และทราบว่าอาหารในเรือที่ฉันประจำอยู่นั้นคงจะไม่ดีพอ ท่านจึงส่งเรือเล็กของท่านไปรับฉันทุกเวลาเช้าและเลี้ยงดูให้อิ่มหนำสำราญใจ เพื่อทำให้ท่านเบิกบานใจและแสดงความกตัญญูที่ท่านได้มีความกรุณาแก่ฉัน ฉันได้เล่าเหตุการณ์ที่ฉันได้ประสบมาเมื่อวันก่อนโดยถ้วนถี่ ได้เรียนให้ท่านทราบว่ามีคนเจ็บคนตายเท่านั้นเท่านี้คน นายทหารเรือสองคนที่นั่งฟังอยู่ในที่นั้น คงจะมีความสงสัยถ้อยคำของฉัน หรือจะลองพิสูจน์ความเท็จจริงประการหนึ่งประการใดก็ตาม ได้ขอให้ฉันพาเขาไปด้วย ฉันพูดว่า “ยินดีอย่างยิ่งที่จะพาท่านไป ขอให้ท่านเตรียมตัวไว้ให้พร้อมในวันรุ่งขึ้นเถิด”

ในวันนั้น ดูเคนมีคำสั่งให้ระดมยิงเมืองอัลเจร์ และส่งเรือบรรทุกลูกระเบิดเข้าไปใกล้ฝั่ง แต่ให้อยู่ห่างจากระยะกระสุนปืนของแขกอัลเจริอัง เวลาเย็นฉันใช้คนไปบอกนายทหารเรือสองคนที่สงสัยถ้อยคำของฉันว่าอย่าลืมมาลงเรือฉันในวันรุ่งขึ้น นายทหารสองคนนั้นมาตามนัดหมาย ฉันพาลงไปในเรือที่บรรทุกลูกระเบิดที่อยู่ใกล้ฝั่งที่สุดลำหนึ่ง เราได้พบบรรดานายทหารอื่นๆ นั่งรับประทานอาหารอยู่ โดยไม่อินังแก่เสียงปืนและเกรงกลัวกระสุนปืนที่ผ่านมาเลย ฉันนั่งลงรับประทานอาหารกับนายทหารเหล่านั้นด้วย เสียงปืนดังมากขึ้น และกระสุนปืนเฉียดมาถี่เข้า เราก็นั่งเฉย ๆ อยู่ แต่มิช้าฉันได้ยินเสียงนายทหารเรือสองคนนั้นบ่นพึมพำและมีสีหน้าตกอกตกใจมาก ฉันเอาหูทวนลมแกล้งทำไม่เข้าใจว่าเขาพูดว่ากระไร ในที่สุดเขาคงเห็นว่าเกี่ยวกันกับความตายมากอยู่และล้อกันมากเกินไปเสียแล้ว เขาจึงพูดว่า “พอแล้ว ถอยไปจากที่นี่เถิด ความอยากรู้อยากเห็นของฉันนั้นได้สมหวังแล้ว ที่นี่เต็มไปด้วยความอันตรายยิ่ง สำหรับคนที่ไม่มีหน้าที่แล้ว ก็ยิ่งมีอันตรายมากทีเดียว”

ถึงแม้ว่าเราได้ระดมยิงเมืองอัลเจร์ด้วยปืนใหญ่ทำความเสียหายมาก แต่พวกแขกอัลเจริอังก็ยังต่อสู้อยู่แข็งแรง ม. ดูเคน์ได้ส่งเรือบรรทุกลูกระเบิดสี่ลำเข้าไปใกล้ ๆ ให้แล่นเป็นกระบวนรูปพระจันทร์ครึ่งซีกเข้าไป พวกนายและพลทหารเรือ ซึ่งใช้นวมเป็นที่กำบังตัว ได้ขว้างลูกระเบิดเข้าไปในเมือง นอกจากเรือสี่ลำนี้ ยังมีเรืออื่นๆ อีกหกลำมีปืนพร้อมตามไปด้วย ต่อจากนั้นยังมีเรือรบหลวงขนาดใหญ่อีกสี่ลำคุมไปข้างหลัง

เรือบรรทุกลูกระเบิดสี่ลำนั้นมีปืนครกลำละหนึ่งกระบอก ปืนนี้ใช้กระสุนมีรูสำหรับบรรจุเชื้อเพลิงด้วย เราได้รับคำสั่งให้เข้าไปใกล้ทำนบกั้นคลื่น ซึ่งอยู่ในระยะปืนเล็กของศัตรู และให้ยิงกระสุนนั้นลงไปในเรือของแขกอัลเจริอัง เพื่อไฟจะได้ไหม้เรือเหล่านั้นให้จมลงไป

นายพันตรีเรมองทิส์เป็นผู้ที่จะไปทำการนี้ ฉันได้ลงไปในเรือลำเดียวกัน พอเรายิงปืนครกไปครั้งแรก ศัตรูได้ใช้ปืนใหญ่และปืนเล็กยิงมาทางเรือของเรา ถูกทหารเรือบาดเจ็บหรือตายห้าคน พวกทหารเรือมีความตกใจมาก นอนลงราบในท้องเรือ เราจะสั่งอย่างไรก็ไม่ลุกขึ้น

นายพันตรีเรมองทิส์และฉันต้องชักกระบี่ออกขู่ว่า ถ้ายังขัดขืนคำสั่งไม่ยอมรบ เราจะปลดชีวิตเสีย พวกทหารเรือเกรงว่าเราคงแทงให้ตายจริง จึงอ่อนน้อมเชื่อฟังคำสั่ง ฉันได้ไปยึดหางเสือถือท้ายเรือเอง เพราะว่านายท้ายเรือได้ถูกกระสุนปืนตายเสียแล้ว เราช่วยกันถอยเรือออกไปพ้นจากระยะกระสุนปืนได้ นายพันตรีเรมองทิส์พบฉันที่ไหนก็ขอบใจฉันเสมอที่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดนำเรือมาพ้นอันตรายในคราวนั้น กระสุนปืนครกของเรานั้นไม่ได้ทำความเสียหายแก่ศัตรูมากนัก และโดยเหตุที่เราได้รับความอันตรายจากกระสุนปืนของศัตรูมาก ม. ดูเคนจึงไม่เห็นเป็นการจำเป็นที่จะส่งเรือเข้าไปใกล้ฝั่งอีก

แต่นั้นมาเราได้ระดมยิงเมืองอัลเจร์หนักเข้า และคนป่าคนเถื่อนเหล่านั้นก็ยิงปืนใหญ่ตอบแทนทุกคราว คริสตศาสนิกชนที่ถูกมัดไว้ที่ปลายกระบอกปืนใหญ่ก็ถูกกระสุนปืนตายลงเป็นอันมาก ฉันจะเว้นเสียมิได้ที่จะไม่เล่าความกตัญญูกตเวทีของต้นหนเรืออัลเจริอังผู้หนึ่ง คนคนนี้เชวาลิเอร์เดอะเลวีได้เคยจับมาไว้เป็นเชลยศึก แต่ได้รับความเมตตากรุณาจากนายทหารเรือฝรั่งเศสทั้งหลายเป็นอันมาก เวลาที่แขกอัลเจริอังประทุษร้ายคริสตศาสนิกชนนั้น เขาอยู่ที่เมืองอัลเจร์ ได้เป็นพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ทารุณร้ายกาจดังที่ฉันจะเล่าต่อไปนี้

ม. จัวเซอล นายทหารเรือที่อยู่ได้บังคับบัญชาของเชวาลิเอร์เดอะเลวี ได้ถูกจับเป็นเชลยศึก และต้องคำพิพากษาให้มัดไว้ที่ปลายกระบอกปืนใหญ่ ต้นหนเรืออัลเจริอังเห็น ม. จัวเซอล จำได้ว่าเคยชอบกันมาก จึงได้ขอร้องให้ยกโทษ ม. จัวเซอล และขอประกันตัวไป แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เขาจึงวิ่งเข้าไปกอด ม. จัวเซอล และร้องบอกทหารปืนใหญ่ว่า “จุดชนวนยิงไปเถิด เมื่อฉันช่วยผู้มีพระคุณของฉันไม่ได้แล้ว ตายตามกันไปดีกว่า” พระเจ้าแผ่นดินแขกอัลเจริอังทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็มีพระทัยอ่อน จึงพระราชทานอภัยโทษแก่นายทหารเรือฝรั่งเศสผู้นั้น แน่นอนทีเดียวเมตตาคุณเช่นนี้ย่อมมีไม่เลือกว่าในประเทศใด ๆ และย่อมข่มดวงจิตของมนุษย์ที่นับว่าทารุณที่สุดได้ ในที่สุด ม. จัวเซอลได้กลับมาประเทศฝรั่งเศส และยังได้รับราชการอยู่อีกเป็นเวลานาน เขาได้เล่าข้อความที่ฉันจดลงไว้ในบันทึกนี้

ถึงฤดูคลื่นลมจัดกองทัพเรือจะอยู่ที่นั่นต่อไปไม่ได้ เราจึงชักใบแล่นกลับประเทศฝรั่งเศส ทิ้งเมืองอัลเจริอังที่สลักหักพังไว้ และเต็มไปด้วยคนเจ็บคนตายเป็นอันมาก ถึงแม้ว่าในขณะที่ถูกระดมยิงนั้น แขกอัลเจริอังมีความทรหดอดทนมากก็จริง แต่คงมีความวิตกมากว่าเราคงจะยกทัพกลับมาล้อมอีกเป็นครั้งที่สาม จึงแต่งราชทูตมาเจริญทางพระราชไมตรีกับพระเจ้าอยู่หัวของเรา สงครามจึงได้สงบลงด้วยประการฉะนี้

เมื่อกองทัพเรือกลับมาถึงเมืองทูลอง และปลดอาวุธยุทธภัณฑ์ออกจากเรือแล้ว พวกนายทหารก็พากันไปหาความสนุกเพลิดเพลินที่พึงมีในฤดูหนาว และพักผ่อนร่างกายที่ได้รับความเหน็ดเหนื่อยมาตลอดเวลาสงคราม ส่วนตัวฉันนั้นไม่มีความประสงค์อะไรยิ่งไปกว่าจะไปสู่นครหลวง เผื่อว่าจะได้บำเหน็จความชอบตามสมควร แต่ไม่มีเงินทุนเหลือเลย อันเป็นอุปสรรคขัดขวางความตั้งใจของฉัน ถ้าคองต์ดูลุคไม่เอื้อเฟื้อแล้ว ฉันก็คงไปไม่ได้เป็นแน่ เมื่อท่านได้ทราบภาวะของฉันแล้ว ท่านได้เรียกฉันไปหาและพูดว่า “น้องเอ๋ย อย่าวิตกไปเลย พี่จะออกเงินค่าเดินทางให้” เราทั้งสองจึงเดินทางไปด้วยกัน เมื่อถึงพระราชสำนักแล้ว ในเวลาไม่ช้าฉันก็ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นนายเรือโท

ฉันได้รับคำสั่งให้ไปเมืองรอชฟอร์ต เพื่อตระเตรียมจัดเรือที่จะพามาร์ควิสเดอะตอร์สีย์ไปประเทศโปรตุเกส ท่านผู้นี้ได้รับพระราชทานตราตั้งเป็นอัครราชทูตไปในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้าดอนเปโดร

เวลาฉันเดินทางไปเมืองรอชฟอร์ตนั้นอากาศหนาวเหลือเกิน ก่อนจะถึงเมืองบลัวส์ถนนเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ม้าเช่าที่ฉันขี่นั้นได้ลื่นตกร่องล้อรถในถนนล้มลงหลายครั้ง แต่มันไม่บาดเจ็บเลย เมื่อมันล้มลงครั้งสุดท้าย ปากของมันกระแทกดิน สายรัดปากจึงขาด ฉันไม่ต้องการจะลงจากม้า จึงขอร้องให้คนเลี้ยงม้าลงมาช่วยซ่อมแซม อ้ายคนอัปรีย์คนนั้นตอบว่า “ทำไมท่านไม่ลงไปซ่อมแซมเอาเองเล่า ฉันเห็นท่านตกม้าหลายครั้งแล้ว” ฉันรู้สึกว่าคนเลี้ยงม้าคนนี้พูดจาโอหังมาก แต่ยับยั้งโมโหไว้ได้ เพราะว่าฉันยังมีความประสงค์ที่จะให้เขาดูแลม้าของฉันต่อไป จึงพูดว่า “เพื่อนเอ๋ย โปรดลงจากม้าและช่วยเหลือสักครั้งหนึ่งเถิด ฉันจะรางวัลให้สมกันกับความเหน็ดเหนื่อย” เมื่อฉันพูดโดยดีเช่นนี้แล้ว เขาก็ยอมลงจากม้าและซ่อมแซมสายรัดปากม้าให้ พอเขาซ่อมแซมเสร็จแล้วฉันชักกระบี่ออกจากฝักตีคนเลี้ยงม้าคนนั้นให้สมน้ำหน้าที่พูดจาดูหมิ่นฉัน เมื่อเขากลับไปขึ้นม้าแล้ว เขาด่าฉันอีก และพูดขู่ว่าจะแก้เผ็ดเมื่อถึงเมืองบลัวส์ ฉันจึงชักกระบี่ออกจากฝักอีกแล้วพูดว่า “ไม่เห็นจำเป็นต้องไปให้ถึงเมืองบลัวส์ ให้เรื่องแตกหักกันเดี๋ยวนี้เถิด” พูดเสร็จแล้ว ฉันเอากระบี่ฟาดลงไปอีกหลายที เขาตั้งท่าจะเอาแส้ม้าหวดฉัน ฉันจึงหันเข้าไปบอกให้รู้ตัวว่าฉันจะเลือกที่ไหน ๆ แทงให้เขาตายก็ได้ แล้วเอากระบี่จิ้มที่ซี่โครงของเขาทีหนึ่ง เมื่อคนเลี้ยงม้าถูกแทงเจ็บเข้าแล้ว ก็แสดงอาการสงบ แต่นั้นมาฉันจะสั่งให้เขาทำอะไร เขาก็ทำให้

เมื่อมาถึงเมืองบลัวส์ เจ้าของม้าแลเห็นคนเลี้ยงม้าถูกตีเลือดไหลโซมหน้าและไม่มีหมวก ก็ไม่ประหลาดใจอะไรเลยซ้ำพูดกับฉันว่า “ท่านคงได้มีปากเสียงกันกับอ้ายคนหยาบคายคนนี้แน่แล้วละซิ” ฉันตอบว่า “จริงเหมือนพูดแต่เขาไม่ควรไปร้องทุกข์แก่ใครอีก เพราะว่าฉันได้ตกรางวัลเขามาสด ๆ แล้ว นอกจากนี้เขาขู่ฉันว่าถ้ามาถึงเมืองบลัวส์เขาจะแก้เผ็ดให้ได้” เจ้าของม้าพูดต่อไปว่า “อ้ายคนๆ นี้เป็นคนพาลที่สุดไม่เข็ดหลาบ เมื่อสองปีมาแล้วเขายั่วคนเดินหนังสือคนหนึ่งจนเขาคุมสติไว้ไม่ได้ ได้ชักปืนพกยิงเขาจนบ่าหัก” ในขณะที่ฉันฟังคำบอกเล่าของเจ้าของม้าอยู่ และเตรียมจะขึ้นม้า นึกว่าคนเลี้ยงม้าคนนั้นไปพ้นฉันแล้ว แต่พอหันหน้ามาก็แลเห็นเขาถือสามง่ามวิ่งตรงมาจะแทงฉัน ฉันควักปืนพกออกมา พอง้างไกจะยิงไป ก็แลเห็นเจ้าของม้าฉวยไม้พลองวิ่งมาตีคนเลี้ยงม้าจนสามง่ามหลุดมือไป ฉันกระโดดขึ้นหลังม้า พอจะย่างออกจากโรงม้า ฉันเห็นเขาเดินตรงมาอีก แล้วมีหน้ามาอ้อนวอนขอเงินรางวัลทีฉันบอกว่าจะให้เขา พูดจาประการหนึ่งว่า เราไม่มีเหตุบาดหมางใจกันเลย ฉันต้องขอชมว่าอ้ายคนพาลคนนี้ไม่มีจิตมีใจเสียเลย ฉันได้ควักเงินให้เล็กน้อยแล้วพูดว่า “ท่านเอาไปซื้อเหล้ากินเถิด เงินนี้ท่านได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงจริงๆ”

จากเมืองบลัวส์ฉันเดินทางต่อไปเมืองปัวติเอรส์ แต่เป็นกรรมของฉันที่จะต้องได้รับความรำคาญใจจากคนเลี้ยงม้าจำพวกนี้ตลอดไป ขณะที่ออกจากโรงม้าที่เมืองนี้ ฉันได้ร้องบอกคนเลี้ยงม้าต่อหน้าเจ้าของม้าว่า “เพื่อนเอ๋ยทนเอาหน่อยเถิดเร่งม้าเข้า” เขาตอบว่่า “ถ้าท่านรีบร้อนนักก็เร่งม้าของท่านเองซิ” ฉันจ้องดูเขาด้วยความแค้นเคืองเป็นอันมากแล้วพูดว่า “ฉันจะบอกให้ท่านรู้ตัวต่อหน้านายของท่าน ผู้ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยมีค่าน้อยกว่าตัวท่านเสียอีก ยังอุส่าห์เลี้ยงดูคนทะลึ่งเช่นตัวท่านไว้ว่า ถ้าท่านขืนพูดหยาบคายกับฉันอีกครั้งหนึ่ง ฉันจะเอาปืนพกระเบิดหัวสมองท่าน” เมื่อฉันพูดขู่เช่นนี้แล้วเขาก็อ่อนน้อม และตลอดเวลาเดินทางไปเขาเล่าแต่เรื่องขบขันให้ฉันฟัง เมื่อถึงเมืองมุสส์ฉันต้องเปลี่ยนม้าอีก ได้ประสบคนเลี้ยงม้าคนที่สาม เขามีหนวดดกสะพายดาบและปืนสั้นสองกระบอกเหน็บไว้ข้างอานม้า เมื่อเห็นเขามีอาวุธเช่นนั้น ฉันแน่แก่ใจว่าเราคงจะไม่จากกันไปปราศจากความทะเลาะวิวาทกัน คงจะมีปากเสียงกันและต่อสู้กันกลางทางเป็นแน่ เมื่อคิดเช่นนี้แล้วฉันควักปืนพกออกมาแล้วพูดกับคนเลี้ยงม้าคนนี้ว่า โดยเหตุที่เราจะต้องมีปากเสียงกันและตีรันฟันแทงกันแน่ ฉันต้องการลงมือทำสงครามกันก่อนเดินทางไป ในขณะนั้นเจ้าของม้าเดินเข้ามาใกล้เราพูดจาไกล่เกลี่ยแล้วเก็บเอาอาวุธของคนเลี้ยงม้าไปหมด เราจึงเดินทางต่อไปจากเมืองนี้

ฉันขี่ม้าไปได้ประมาณสองผลัด ก็พลบค่ำลงมืดและหนาวมาก หมอกทึบเหลือเกินจนไม่แลเห็นอะไรเลย เราจึงหลงทางขี่ม้าต่อไป สักครู่ก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เกรงว่าจะหลงกันเอง จึงลงจากม้าเดินเท้าไป ฉันจำไม่ได้ว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้อยู่ในที่ลำบากเหมือนคราวนี้เลย ฉันมีความโกรธเคืองเป็นอันมากและบ่นว่าอยากจะฆ่าคนเลี้ยงม้าเสียที่ได้พามาให้หลงทาง คนเลี้ยงม้าคนนั้นตอบว่า “ถ้าท่านฆ่าฉันเสียแล้ว ก็ไม่ช่วยให้ท่านไปไกลกว่านี้ได้” คนๆ นั้นพูดถูกต้องทีเดียว อย่างไรก็ดีเพื่อจะให้พ้นไปจากที่นี้ได้ ฉันบอกคนเลี้ยงม้าให้หวดแส้ดังๆ เพื่อว่าจะมีคนอื่นได้ยินแล้วช่วยบอกทางให้เรา

ที่ฉันคิดเช่นนั้นก็ไม่ผิด พอคนเลี้ยงม้าหวดแส้หลายขวับเข้า สุนัขก็เห่า ฉันจึงลงความเห็นว่าในตำบลที่หนาวมากเช่นนี้ สุนัขตัวนั้นคงจะไม่ออกมาที่แจ้ง คงจะเห่าอยู่ในบ้านใดบ้านหนึ่ง ฉันจึงสั่งคนเลี้ยงม้าให้หวดแส้ต่อไป แล้วเราเดินทางไปตามเสียงสุนัขเห่า เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มาถึงท้องร่องกว้างพอใช้ น้ำในท้องร่องนั้นแข็งบ้างแล้ว เราเดินตามริมท้องร่องไปประมาณสิบห้านาทีก็ยังไม่เห็นทางเข้าไป แต่ในที่สุดเราได้มาถึงบ้านชาวไร่ชาวนาผู้หนึ่ง ซึ่งนอกจากมีความตกใจมากที่เห็นเรามาถึงเวลาดึกและเวลาที่หนาวจัดเช่นนี้แล้ว ปิดประตูใส่หน้าเรา

ฉันวิงวอนขอให้เปิดประตูเท่าไร เขาก็ไม่ยอมเปิด ฉันจึงขู่ว่าจะพังประตูเข้าไป เขาจึงเปิดประตูเดินออกมาตัวสั่น เพราะนึกว่าเราเป็นพวกโจร ฉันก้าวเข้าไปในบ้านแล้วพูดว่าฉันหลงทางมา หนาวเหลือเกิน ขอผิงไฟ และอาศัยอยู่ด้วยสักคืนหนึ่ง เขาตอบว่า “ท่านคงจะเห็นด้วยตาเองแล้วว่าฉันมีเตียงนอนอยู่เตียงเดียวเท่านี้สำหรับตัวฉันภรรยาและลูกนอน แต่ถ้าท่านจะตามฉันไป ฉันจะพาไปบ้านผู้ดีผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นฮูเกอนอต มีบ้านอยู่ที่ตำบลนี้ห่างจากที่นี่เพียงสองเส้น ท่านคงจะรับรองท่านด้วยความยินดีเป็นแน่

ฉันเห็นพ้องด้วยคำแนะนำนั้นแล้ว เดินตามชาวนาคนนั้นไป และได้มาถึงบ้าน ม. เดอะลาริวิแอร์ เวลา ๒๓ นาฬิกา คนๆ นี้ต้อนรับฉันเป็นอย่างดี จุดไฟให้ฉันผิง และให้กินเนื้อแกะก้อนหนึ่ง นกปากซ่อมสองตัว ขนมปังและสุราอันโอชารส ฉันรับประทานอาหารได้มาก เพราะว่าตลอดวันไม่ได้รับประทานอะไรเลย เสร็จแล้วเจ้าของบ้านจัดให้นอนในเตียงนุ่ม ฉันหลับสนิทตลอดคืน ลืมความยากลำบากที่ได้ประสบมา รุ่งขึ้นเจ้าของบ้านหาอาหารเช้ามาเลี้ยง ก่อนเดินทางไปฉันได้ขอบใจเขา บอกชื่อฉันและสัญญาว่าจะสมนาคุณในภายหน้า เมื่อมาถึงเมืองรอชฟอรต์ ฉันได้พบอาของฉัน ซึ่งเป็นผู้บังคับการกองทหารที่เมืองนั้น ฉันได้เล่าอุปสรรคต่างๆ นาๆ ที่ได้ประสบมาให้ท่านฟังโดยตลอด แม้อุปการะคุณความดีของ ม. เดอะลาริวิแอร์ ก็ไม่ลืมเล่า ท่านมีความพอใจฟังเป็นอันมาก

ล่วงมาสองสามวันเราจัดเรือที่จะไปประเทศโปรตุเกสเรียบร้อยพอที่จะออกทะเลได้ ม. เดอะวิลเลตต์เป็นผู้บังคับการเรือลำนี้ พอมาร์ควิส เดอะ ตอร์สีย์ มาถึง เราก็ชักใบเรือออกจากเมืองรอชฟอร์ต คลื่นลมสงบเรือแล่นไปโดยเรียบร้อย ไม่ช้าเราก็มาถึงกรุงลิสบอนน์ มาร์ควิสเดอะตอร์สีย์ได้ขึ้นไปบนบก ได้รับความต้อนรับสมกันกับเกียรติยศผู้แทนพระเจ้าอยู่หัวของเรา ตลอดเวลาเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินโปรตุเกสประทับอยู่บนราชบัลลังก์ อัครราชทูตยืนกล่าวสุนทรพจน์กราบบังคมทูลพระกรุณา พวกขุนนางผู้ใหญ่ก็ยืนเหมือนกัน และไม่สวมหมวก ขุนนางที่มียศบรรดาศักดิ์ชั้นสูงนั้นยืนพิงผนังพระที่นั่ง ผนังนั้นไม่มีม่านปัก และไม่มีเครื่องประดับอย่างหนึ่งอย่างใดเลย มาร์ควิสเดอะวิลเลตต์มีความปรารถนาจะพิงผนังบ้าง สมุหพระราชพิธีเดินตรงมาบอกเขาว่าเวลาเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินนั้น เฉพาะแต่ขุนนางชั้นสูงสุดเท่านั้น มีสิทธิที่จะพิงผนังได้ มาร์ควิสเดอะวิลเลตต์จึงย้ายไปยืนที่อื่น ที่ถูกปรามาสต่อหน้าชนชาติโปรตุเกสว่าเขาไม่เป็นขุนนางใหญ่โตเช่นนี้ เขาคงมีความโทมนัสเป็นอันมาก

เวลาอยู่ที่กรุงลิสบอนน์ เราได้ไปดูวัดเบอเลม ได้เห็นอนุสาวรีย์บรรจุพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินโปรตุเกสอันวิจิตรงดงาม โดยมากทำด้วยศิลาอ่อนที่มีค่ามาก วัดนี้กว้างขวางห้อมล้อมด้วยสวน นับว่างามที่สุดสวนหนึ่งในพระราชอาณาจักรนี้ หัวหน้านักบวชได้รับรองเราเป็นอย่างดียิ่ง เมื่อเราได้ชมว่าวัดนี้งามมาก และถามว่าสานุศิษย์มีมากน้อยเท่าใด ท่านหัวหน้านักบวชถอนใจใหญ่แล้วพูดว่า วัดนี้โทรมลงมาก ไม่เหมือนกันกับกาลก่อน เมื่อท่านยังหนุ่มอยู่ไม่มีสิ่งไรบกพร่องเลย ครั้งนั้นพวกสานุศิษย์ประมานสามสิบคนเหน็บมีดสั้นสะพายดาบแล้วออกไปจากวัดทุกคืน เดี๋ยวนี้ยุทธยุรยาตร์เช่นนี้ซาลงไปมาก จะหาสานุศิษย์สักสิบหรือสิบสองคนที่จะเอาเยี่ยงอย่างคนก่อน ๆ หาได้ไม่ เมื่อได้ยินท่านพูดดังนั้น พวกเราชำเลืองตามองดูกัน ไม่ทราบว่าจะตอบท่านว่ากะไร และไม่เข้าใจว่าท่านพูดจริงหรือพูดเล่น เพียงแต่จะให้ขบขันเท่านั้น ท่านหัวหน้านักบวชได้นำเราเข้าไปในห้องอันสวยงามห้องหนึ่ง มีอาหารอย่างดีตั้งอยู่บนโต๊ะ เรานั่งลงรับประทานอาหารพร้อมกัน กับนักบวชทั้งหลาย และฟังดนตรีที่เรือของเราจัดมาบรรเลงตลอดเวลารับประทานอาหาร

ฉันได้เคยเล่าหลายครั้งแล้วว่า ถุงเงินของฉันนั้นแฟบยอบแยบเพียงไรเสมอ ความจนจึงบังคับใจไม่ให้โอกาสเหมาะที่ได้มาประเทศโปรตุเกสผ่านพ้นไปได้ ก่อนที่ฉันจะเดินทางไปจากประเทศฝรั่งเศส พ่อค้ายาสูบได้พูดกับฉันว่าถ้าฉันนำยาสูบเบรซิลมาขายให้ จะให้ราคางามทีเดียว แต่จะเอาเงินที่ไหนไปค้าได้เล่า ฉันจึงไปหาอาของฉัน พูดอ้อนวอนขอยืมเงินท่านโดยชี้แจงเหตุผลต่าง ๆ นาๆ ขอให้ท่านเอ็นดูความยากจนของฉัน ท่านได้มีความกรุณาให้ยืมเงิน (ซึ่งฉันสัญญาว่าจะใช้คืนให้เวลากลับไปถึงประเทศฝรั่งเศส) ฉันจึงนำเงินนั้นไปซื้อหญ้าฝรั่นได้หนักราว ๘๓ ชั่ง ตั้งใจไว้ว่าจะนำไปขายค้ากำไรในประเทศโปรตุเกส

เมื่อมาถึงกรุงลิสบอนน์ได้สองสามวัน ฉันได้นำหญ้าฝรั่นไปขาย ได้เงินมาอีกเท่าหนึ่งที่ได้ลงทุนไปแล้ว จึงเอาเงินนี้ทั้งสิ้นซื้อยาสูบ สิบวันก่อนออกจากเมืองลิสบอนน์ฉันมีความประสงค์จะนำสินค้านี้ลงในเรือที่เราโดยสารมา แต่ ม. เดอะวิเลต์ไม่ยอมให้นำลงในเรือรบหลวง จึงเป็นการจำเป็นที่ฉันต้องบรรทุกลงในเรือใบเล็กๆ ลำหนึ่งที่ผู้บังคับการเรือได้นำมาสำหรับพวกทหารเรือจะได้ใช้

เมื่อกำลังเตรียมตัวที่จะออกจากกรุงลิสบอนน์ พ่อค้าที่ฉันขายหญ้าฝรั่นให้นั้น มาหาฉัน บอกว่ามีคนจะให้เงินฉันสองร้อยปิสโตล ถ้าฉันนำเรือไปคอยรับครอบครัวชาติยูอิฟเวลากลางคืนราว ๒๒ นาฬิกาที่ตำบลหนึ่งที่จะบอกให้ทราบ แต่ฉันต้องรับสัญญาว่าจะยอมให้ครอบครัวนั้นแอบอยู่บนเรือรบหลวงประมาณสองชั่วโมง เมื่อสิ้นกำหนดเวลาแล้ว ครอบครัวยูอิฟนั้นจะโดยสารเรือค้าขายไปเมืองบอร์โดส์ ฉันอยากได้เงินนั้น จึงบอกพ่อค้าหญ้าฝรั่นว่าจะตอบให้ทราบภายในเวลาสองชั่วโมงว่าจะรับสัญญาทำให้ได้หรือไม่ ในทันทีนั้นฉันไปเล่าข้อความนี้ให้ ม. เดอะวิลเลตต์ทราบ ท่านแสดงความยินดีที่ฉันจะได้ผลประโยชน์ บอกว่าตามใจฉันเถิด ท่านไม่ขัดข้องในการที่ฉันรับอาสาจะช่วยครอบครัวนั้น ฉันจึงนำเรือไปคอยรับครอบครัวยูอิฟที่ตำบลที่ได้ตกลงกันไว้

เมื่อไม่แลเห็นใครมา และเวลาล่วงไปเกินกำหนดแล้ว ฉันจึงกระโดดขึ้นไปบนบกพร้อมกันกับนายทหารเรือผู้หนึ่ง เราเดินเข้าไปในถนนที่อยู่ไม่ห่างจากฝั่งนัก คืนนั้นเดือนหงายมองเห็นกันได้ ฉันขอให้นายทหารเรือผู้นั้นเดินไปจนสุดถนน เพื่อมองหาครอบครัวที่ได้นัดหมายกันไว้ เมื่อนายทหารเรือผู้นั้นเดินห่างออกไป ฉันเห็นคนคนหนึ่งรูปร่างคล้ายปิศาจ ใส่กางเกงขาสั้นสวมหมวกขาว ใส่เกือก แต่ไม่มีถุงเท้า มือซ้ายถือโล่ มือขวาถือดาบยาวที่ชักออกจากฝักแล้ว เขาเดินกระหืดกระหอบตรงมายังฉัน ไม่ทราบแน่ว่าเขามีความมุ่งหมายอย่างไร พอเห็นเขาเข้ามาใกล้ฉันประมาณหกก้าว ฉันควักปืนพกออกแล้วร้องให้หยุด เมื่อเขาได้ยินฉันพูดดังนั้นแล้ว เขากระโดดเลี่ยงไปข้างถนนแล้วเดินต่อไปโดยที่ไม่พูดอะไรเลย

เกรงว่านายทหารเรือที่เดินอยู่ที่ปลายถนนจะมีความตกใจเมื่อเห็นคนวิปลาสนี้ ฉันจึงเดินตามไปใกล้ๆ จริงตามที่ฉันวิตก นายทหารเรือผู้นั้นมีความกลัวมาก ร้องโวยวายขึ้น ฉันร้องตะโกนบอกไปว่าให้ยืนนิ่ง ๆ และให้ควักปืนพกออก อย่าตกใจไปเลย ฉันวิ่งตามมาช่วยเขาแล้ว คนวิปลาสนั้น ซึ่งคงเป็นคนวิกลจริตแน่นอน เดินไปเฉย ๆ โดยความสงบแล้ว หลบไปไม่พูดจาอะไรสักคำเดียว

อีกสักครู่หนึ่งครอบครัวยูอิฟมาถึง มีพ่อแม่ลูกชายและลูกหญิงเล็กๆ รวมด้วยกันสี่คน เราพาเขาขึ้นมาบนเรือและถามว่าเหตุไรจึงหลบหนีออกจากกรุงลิสบอนน์ เขาเล่าว่าเขาถูกเจ้าหน้าที่รบกวน เพราะว่าถือลัทธิผิดกับคริสตศาสนา ถ้าถูกจับได้แล้ว คงถูกครอกทั้งเป็น ๆ พ่อของเด็กนั้นมอบเงินให้ฉัน ๑๐๖๖ บาท ตามที่สัญญากันไว้ ฉันพาเขาขึ้นไปบนเรือรบหลวง พอสิ้นกำหนดสองชั่วโมงแล้ว เขาก็ลงเรือลำอื่นไปเมืองบอร์โดส์

ได้เงินนั้นมาแล้วฉันนำไปซื้อยาสูบอีก และบรรทุกลงในเรือใบที่กล่าวมาข้างบนนี้ ฉันนึกกระหยิ่มอยู่เนือง ๆ ว่ามิช้าก็คงจะค้าขายมีกำไรงาม และคงจะมีเงินมากกว่าที่เคยได้มีในอายุขัยของฉัน ในที่สุดเมื่อมาร์ควิสเดอะตอร์สีย์เข้าเฝ้ากราบถวายบังคมลาพระเจ้าแผ่นดินโปรตุเกสแล้ว เราก็ชักใบออกเรือกลับประเทศฝรั่งเศส ตอนแรกคลื่นลมเงียบสงัดดี แต่พอมีพายุใหญ่พัดมาเรือรบหลวงก็พลัดกันกับเรือบรรทุกสินค้า ฉันมีความเสียใจเป็นอันมากที่ไม่แลเห็นเรือลำนั้น วิตกว่าสินค้าอันเป็นทรัพย์สินของฉันคงจะสูญทั้งหมด ความเสียใจของฉันนั้นทวีขึ้นเหลือที่จะพรรณนาได้ถูก เมื่อได้ทราบว่าพวกสลัดในทะเลบิสเคย์ได้ยึดเรือลำนั้นไว้ที่เมืองอะแซร์ราช ฉันได้เรียนความนี้แกอาของฉัน ท่านมีความเสียใจด้วยเป็นอันมากที่ฉันมีเคราะห์ร้ายได้รับความเสียหายครั้งนี้ ท่านจึงยกหนี้ให้แก่ฉัน ถึงแม้ว่าความเมตตากรุณาของท่านทำให้ฉันคลายความเสียใจบ้าง แต่ความจริงก็ยังไม่วายความโทมนัสที่ได้รับความเสียหายอย่างอุกฤษฏ์

กลับจากประเทศโปรตุเกสไม่ได้กี่วัน ก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระราชกฤษฎีกาลงโทษผู้ถือลัทธิผิดแผกจากศาสนาคาทอลิกให้หนักลงไปกว่ากาลก่อนอีก เจ้าหน้าที่ได้ใช้ความสอดส่อง จับคนมาลงโทษโดยกวดขันจนพวกฮูเกอนอตไม่มีทางที่จะเลี่ยงหนีไปได้ ม. เดอะลาริวิแอร์ ผู้ซึ่งมีความกรุณาให้ฉันอาศัยด้วยคืนหนึ่งและเลี้ยงดูฉันเป็นอย่างดีดังที่ได้เล่ามาข้างบนนี้ เป็นคนคนหนึ่งในจำพวกที่ถือลัทธิคัลวินีสต์ ตำรวจได้เข้าไปรบกวนถึงในบ้านเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงรีบหนีมาหา ม. อาร์นูสที่เมืองรอชฟอร์ต ซึ่งเป็นหัวหน้าเจ้าพนักงานปราบพวกฮูเกอนอตในตำบลนี้ เพื่อวิงวอนขอความเห็นว่าจะควรปฏิบัติการอย่างไร

เมื่อฉันทราบว่า ม. เดอะลาริวิแอร์มาถึงเมืองรอชฟอร์ต ฉันไปหาเขาทันที และเชิญให้มาอยู่บ้านของฉัน คือบ้านของอานั่นเอง อาของฉันได้รับรองเขาเป็นอย่างดี เพื่อสนองคุณเขาที่ได้มีน้ำใจดีแก่ฉัน อาได้มีความเอื้อเฟื้อพยายามช่วยเหลือให้พ้นโทษ แต่ไม่มีผล ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่ผู้นั้นเป็นมิตรที่ดีของอาฉันก็จริง แต่จะละเมิดพระราชกฤษฎีกาไม่ได้อยู่เองเป็นธรรมดา ม. เดอะลาริวิแอร์ ไม่เห็นทางที่จะรอดพ้นพระราชอาญาไปได้ จึงจำใจต้องเลือกว่าจะเปลี่ยนศาสนาหรือจะต้องฉิบหายป่นปี้ไป ฉันได้แนะนำแสดงเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ในที่สุดเขาตกลงใจละทิ้งลัทธิคัลวินิสต์ เปลี่ยนมานับถือศาสนาคาทอลิก แต่นั้นมาเขาก็มีความศรัทธาแก่กล้าในศาสนานี้ และไม่เสียใจที่ฉันได้แนะนำให้ปฏิบัติตามความในพระราชกฤษฎีกานั้น

เมื่อกำหนดหน้าที่ราชการทหารเรือที่เมืองรอชฟอร์ตแล้ว อาของฉันแนะนำให้ฉันลงไปทางทิศใต้ประเทศฝรั่งเศส เพื่อจัดกิจการส่วนตัวของฉันและของท่านด้วย ท่านให้ฉันผ่านไปทางเมืองลิยอง เพื่อทวงหนี้คนที่ท่านให้ยืมเงิน ทางที่จะไปนั้นต้องผ่านแคว้นแปริคอรท์ ลิมูซัง และโอแวญ

ในเวลานั้นหิมะตกหนาวมาก คนเช่นตัวฉันที่ไม่รู้จักหนทางนั้นย่อมเป็นการเหลือความสามารถที่จะเดินทางไปคนเดียวได้ ฉันจึงไปกับคนขี่ลาสองคนที่เคยเดินทางจากเมืองลิโมชไปเมืองแคลร์มองต์สัปดาห์ละสองครั้งอยู่เป็นนิจ การเดินทางเช่นนี้ช้าและรำคาญมาก แต่จำใจต้องไป เดินทางไปได้สี่วันสี่คืนก็มาถึงโรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่กลางนา ในขณะที่ฉันนั่งผิงไฟอยู่กับเจ้าของโรงแรม ฉันเห็นคนเดินเข้ามาหกคนรูปร่างเหมือนโจร ฉันจึงถามเจ้าของโรงแรมว่า คนเหล่านั้น. มาจากไหน เจ้าของโรงแรมบอกว่าเขาเป็นพ่อค้าเมืองซังต์เอสติเอนน์อังฟอเรสต์ ซึ่งไปดูการแสดงสินค้าที่เมืองบอร์โดส์ และเคยผ่านมาทางนี้ทุกปี

เมื่อทราบข้อความดังนั้น ฉันจึงไปพูดจาประจบประแจงด้วย เรานั่งลงรับประทานอาหารด้วยกันและตกลงใจว่าจะเดินทางไปกับเขา ในเวลากลางคืนหิมะตกลงมามากกลบถนนหนทางหมด แต่พวกพ่อค้าเหล่านั้นมีความชำนาญมาก เขาเดินจากต้นไม้นี้ไปต้นไม้นั้นจึงไม่หลงทาง เวลาเราเดินไปนั้นนกแซงแซวตัวหนึ่งบินมาเกาะอยู่ภายในระยะปืน เพื่อนร่วมทางคนหนึ่ง ซึ่งถือไม้ พยักหน้าให้เราหยุด แล้วควักอะไรออกมาสวมไม้นั้นทำเป็นปืนยิงนกตกลงมาตาย เมื่อถึงเมืองทิแอร์ส์มีทางแยกไปเมืองลิยองทางหนึ่ง และเมืองเอติเอนน์อีกทางหนึ่ง พ่อค้าเหล่านั้นบอกฉันว่าทางไปเมืองลิยองนั้นมีหิมะมาก ถ้าไม่มีคนนำทางแล้วก็จะไปได้โดยยาก เขาจึงเชิญให้ฉันไปอาศัยอยู่กับเขาที่เมืองเอสติเอนน์ ฉันตริตรองดูเหตุผล เห็นพ้องด้วย จึงยอมไปอยู่กับเขา ตลอดเวลาห้าหกวันที่ฉันอาศัยอยู่ที่เมืองเอติเอนน์ เขามีความเอื้อเฟื้อฉันเป็นอย่างดี

จากเมืองเอติเอนน์ฉันเดินทางไปเมืองลิยอง ทำธุระของอาเสร็จแล้ว ฉันเดินทางต่อไปทางทิศใต้พร้อมกันกับพ่อค้าอีกสองคนที่ฉันพบที่โรงแรมอีกแห่งหนึ่ง ล่วงมาอีกสามวันเรามาถึงเมืองลอริโอล ขณะที่เจ้าของโรงแรมเตรียมจัดอาหารเย็นอยู่นั้น เราเห็นรถม้าเทียมสี่มาถึง ในรถนั้นมีผู้ชายป่วยคนหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่ง อายุราวกลางคน แต่หน้าตาน่าเกลียด มีสาวใช้ตามมาด้วย อายุราว ๑๘ ปีสวยมาก ฉันเป็นคนอยากรู้อยากเห็น จึงเดินเข้าไปใกล้รถม้านั้น ผู้หญิงคนนั้นเปิดประตูลงจากรถโดยรีบร้อน ไม่พักที่จะจับแขนฉัน ผู้ซึ่งไปยืนอยู่เพื่อประคองลงจากรถตามครามตั้งใจดีของฉัน ลงมาจากรถเสร็จแล้ว ผู้หญิงคนนั้นหันไปตบหน้าสาวใช้โดยแรงจนนางสาวคนนั้นร้องไห้โฮๆ

เวลานั้นฉันยังหนุ่มอยู่ ไม่มีใจที่จะพ้นจากอคติทั้งหลายได้ จึงมีความสงสารหญิงสาวคนนั้นเป็นอันมาก ฉันเดินทางเข้าไปใกล้หญิงสาวคนนั้นแล้วแสดงความเสียใจที่ถูกลงโทษโดยที่ไม่มีความผิด และบอกหล่อนว่าควรได้รับความพะนอ ไม่ควรรับใช้คนที่มีกิเลสชั่วเช่นผู้หญิงคนนั้นอีกต่อไป

หญิงสาวคนนั้น ซึ่งไม่หยุดร้องให้ ไม่ตอบฉันสักคำเดียว พอฉันจะพูดต่อไป นายผู้หญิงของเขา ซึ่งเข้าไปในโรงแรมแล้วกลับออกมาหน้าประตูอีก และจะมีความโกรธที่สาวใช้ไม่ตามเขาเข้าไป หรือมีความแค้นเคืองที่ฉันไปยืนพูดด้วยกับหญิงสาวคนนั้นก็ตามแต่จะคิดเอาเถิด เขารี่เข้าไปลงโทษนางสาวใช้คนนั้นอีกด้วยความดุร้ายคล้ายแม่มดฉะนั้น เขาทุบตีและจิกผมสาวใช้แล้วลากตัวเข้าไปในลานหลังโรงแรม ฉันมีความเจ็บใจเป็นอันมากที่เห็นหญิงสาวนั้นถูกลงโทษ เพราะตัวฉันเป็นสาเหตุ

ฉันจึงตามหญิงสาวคนนั้นเข้าไปในลานโรงแรม แล้วถามว่ามาจากไหน หล่อนตอบว่ามาจากกรุงปารีส ฉันพูดว่าไม่ควรรับใช้ยายแก่แม่มดคนนั้นอีกต่อไป ฉันจะพาหล่อนไปสู่บ้านบิดามารดาของหล่อน ถ้าหล่อนจะมีความไว้วางใจฉัน ฉันจะช่วยดูแลเป็นอย่างดี เจ้าหล่อนไม่ตอบว่าอย่างไร แต่ความยิ้มแย้มของหล่อนนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่าเจ้าหล่อนไม่ปฏิเสธคำแนะนำของฉัน

ในทันใดนั้นฉันไปหาเจ้าของโรงแรม ขอให้จัดห้องนอนให้หญิงสาวคนนั้นต่างหากห้องหนึ่ง และหาอาหารให้รับประทานด้วย ฉันจะเป็นผู้ใช้เงินให้ ถึงเวลารับประทานอาหารเย็น ฉันรีบรับประทานเสร็จก่อนคนอื่น ๆ ลุกไปจากโต๊ะ จะไปในห้องนอนหญิงสาวคนนั้น พอย่างเข้าไปในห้อง นายผู้หญิงของหญิงสาวคนนั้น ซึ่งมีความสงสัยอย่างใดอย่างหนึ่ง และคอยด้อมมองเราอยู่ เดินตามฉันมาข้างหลังโดยที่ฉันไม่ทันสังเกต กระชากบานประตูห้องมาปิดลั่นกุญแจห้องแล้วเอาลูกกุญแจไปเสียด้วย เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดดังปัง ฉันหยุดชะงักไม่พูดว่ากระไร อีกครู่หนึ่งได้สติขึ้นมาฉันจึงใส่สลักข้างในห้องแล้วพูดกับหญิงสาวคนนั้นว่าเมื่อมีคนมาลั่นกุญแจนอกห้องแล้ว เราก็ลั่นดานข้างในเสียด้วย

ในขณะนั้นเสียงโจษจันลั่นขึ้นในโรงแรม ยายแก่ร้องกรี๊ด ๆ สาบานต่อหน้าผู้เป็นใหญ่ในสกลโลกว่าจะแก้เผ็ดที่ได้รับความปรามาสจากฉัน เสียงอื้ออึงนั้นเข้าหูเราทั้งสองที่อยู่ในห้อง ทีแรกฉันหาตกใจไม่ แต่เมื่อหญิงสาวคนนั้นบอกฉันว่านายผู้ชายของหล่อนเป็นผู้รู้กฎหมาย ฉันจึงหวั่นไปว่าถ้าใครมาพบฉันปิดประตูอยู่ในห้องกับหญิงสาวคนนี้แล้ว ก็จะร้องฟ้องฉันเป็นคดีอาญาว่าข่มขืนเด็ก

ฉันจึงคิดหาทางที่จะหนีออกจากห้องขังนี้ เห็นว่าหน้าต่างห้องนอนนั้นสูงจากพื้นดินเพียงผ้าปูที่นอนต่อกันสองผืนเท่านั้น ฉันจึงบอกหญิงสาวคนนั้นว่า อย่าตกใจไปเลย เมื่อฉันไต่ผ้าลงจากหน้าต่างออกไปจากห้องแล้ว ให้เขาปูที่นอนใหม่ ถอดสลักประตูแล้วเข้านอนในเตียงเหมือนหนึ่งว่าไม่มีเหตุการณ์อะไร ฉันจะมาช่วยเหลือในเวลาไม่ช้า เมื่อฉันหลุดออกมาจากห้องนั้นแล้ว ฉันกลับไปห้องที่จัดไว้ให้พ่อค้าสองคนกับฉันนอน ผู้หญิงคนรับใช้ในโรงแรมเห็นฉันเดินเข้าไปในห้องนั้นแล้วหันหน้ามายิ้มด้วย เพราะเขานึกว่าฉันอยู่ห้องอื่น ดังที่คนทั้งหลายในโรงแรมโจษจันกัน

รุ่งเช้าขึ้นผู้พิพากษาและจ่าศาลแห่กันมาที่โรงแรม ยายแก่แม่มดที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นผู้ไปตามตัวมา ด้วยความพยาบาทมาดร้าย เขากล่าวโทษฉันต่าง ๆ นา ๆ ความขมขื่นในใจมีเท่าไร ก็ขยายออกมาจนหมดสิ้น และร้องขอให้ลงโทษฉันเป็นตัวอย่าง สามีของเขาพูดช้าๆ อ้างบทกฎหมายข้อโน้นข้อนี้ ยากที่ใครจะเข้าใจได้ยกเหตุผลนานัปการแล้ว ในที่สุดลงความเห็นว่าให้จับตัวฉันนำไปฟ้องตามระบิลเมือง เมื่อเขาเขียนคำฟ้องเสร็จแล้ว ยายแก่แม่มดส่งกุญแจให้ผู้พิพากษาและพูดว่า “นี่แน่ลูกกุญแจ ไขประตูห้องออกเถิด ใต้เท้าจะเห็นผู้มีเกียรตินั้นนอนอยู่กับสาวใช้อันเลวทรามของติฉัน ดิฉันหวังใจว่าใต้เท้าคงจะเห็นด้วยตาว่าดิฉันกล่าวโทษคนไม่ผิด” ผู้พิพากษาได้รับกุญแจมาแล้วเปิดห้องทันที ครั้นมองไปเห็นแต่หญิงสาวนอนหลับสนิทอยู่คนเดียว เขาจึงปลุกขึ้นถามว่าชายผู้ที่มาอยู่ในห้องนี้ด้วยอยู่ที่ไหน

หญิงสาวคนนั้น ซึ่งเป็นเด็กฉลาดพอใช้ตอบผู้พิพากษาด้วยความปรกติอารมณ์ว่าไม่เข้าใจว่าผู้พิพากษาหมายความว่าอย่างไร หล่อนนอนอยู่คนเดียว ถ้าไม่มีใครเชื่อถ้อยคำของหล่อน ก็ขอให้ค้นดูในห้องให้ทั่วว่าจะมีที่ซ่อนเร้นอยู่หรือไม่

ผู้พิพากษาลงมือค้นห้องเอง เมื่อไม่พบอะไรก็เดินออกมาจากห้อง บ่นพึมพำกับยายแก่แม่มดว่าไปตามตัวมาโดยหาสารประโยชน์มิได้ ให้เปิดประตูเข้าไปดูในห้อง ก็พบแต่หญิงสาวนอนอยู่ในเตียงคนเดียว ยายแก่แม่มดซึ่งยืนเฝ้าประตูห้องนอนอยู่ เพราะเกรงว่าฉันจะหลีกเลี่ยงออกมา ร้องตอบผู้พิพากษาเหมือนคนวิกลจริตว่า “อะไร้ อะไร ไม่พบใครเจียวหรือ ถึงมันจะดำดินหายตัวได้ ดิฉันจะจับตัวมันให้ได้ ดิฉันได้แลเห็นมันเข้าไปในห้องด้วยตาเอง ลั่นกุญแจเอง และไม่ได้ให้ใครแย่งชิงกุญแจนี้ไปจากตัวดิฉันเลย

พูดดังนั้นเสร็จแล้ว ยายแก่จูงมือผู้พิพากษาเข้าไปในห้อง ตั้งต้นด่าสาวใช้อีกมากมาย เมื่อคำกล่าวผรุสวาทยังไม่สิ้นสุดลง หญิงสาวคนนั้น ซึ่งแต่งตัวได้ครึ่ง ๆ กลางๆ พูดว่า “คุณนายตบตีดิฉันมามากแล้ว ยังไม่มีความพอใจอีกหรือ มีสิทธิ์อำนาจอะไรจะมากล่าวร้ายใส่ความให้ดิฉันเสียชื่อเสียงอีก” แล้วหันหน้าไปพูดกับผู้พิพากษาว่า “ดิฉันขอความยุติธรรม ขอได้โปรดมีคำสั่งให้ผู้หญิงทารุณคนนั้น ใช้เงินค่าจ้างแก่ดิฉัน เพราะว่าดิฉันไม่ยอมรับใช้อีกต่อไป ดิฉันชอบที่จะอดตายมากกว่าพึ่งพาอาศัยคนดุร้ายเช่นหญิงคนนี้”

ทันใดนั้นฉันเดินเข้ามาประชันหน้าผู้พิพากษาและพูดว่า “ฉันเองเป็นสาเหตุที่ทำให้โจษจันกันขึ้นลอยๆ ฉันมีความสงสารหญิงสาวคนนี้ที่ถูกตบถูกตีโดยที่ไม่มีความผิด จึงอยากทราบว่าหญิงสาวคนนั้นมากจากไหน เมื่อฉันรู้จักครอบครัวของเขาแล้ว ฉันได้ขอให้เจ้าของโรงแรมช่วยเอ็นดูหญิงสาวคนนั้นด้วย และให้มาเก็บเงินค่าใช้สอยจากฉัน เพราะเหตุนี้นายผู้ชายและนายผู้หญิงสองคนนี้จึงกล่าวโทษฉัน และไปตามใต้เท้ามาโดยที่หาสารประโยชน์มิได้” สามีและภริยาคู่นั้นต้องการจะพูดอีก แต่ฉันพูดเร็วและดังขึ้นกลบเสียงเขาเสีย เขาจึงต้องจำนน พ่อค้าสองคนที่ยืนอยู่ในที่นั้นด้วยเป็นพวกเดียวกันกับฉัน ได้ยืนยันถ้อยคำของฉันในที่สุดข้อโต้เถียงกันนี้หยุดลง ผู้พิพากษาจ่าศาลที่แห่กันมานั้นกลับไป สามีภริยาคู่นั้นก็ขึ้นนั่งบนรถของเขาแล้วเดินทางต่อไป พ่อค้าสองคนหญิงสาวและฉันก็ออกจากโรงแรม เดินทางไปทิศใต้ประเทศฝรั่งเศส เราไปถึงเมืองออรังชพร้อม ๆ กัน พ่อค้าสองคนมีกิจธุระที่จะต้องอยู่เมืองนี้สองสามวัน เราจึงอำลาแยกทางกันไป

โดยเหตุที่ฉันมีความประสงค์จะไม่ให้ความสัมพันธ์ที่ฉันมีอยู่กับหญิงสาวคนนี้รู้แพร่หลายไป และถึงแม้ว่าฉันตั้งต้นมีความเสน่หารักใคร่หญิงสาวคนนี้แล้วก็จริง แต่ยังมีความละอายที่จะพาหล่อนไปบ้านทางทิศใต้ ฉันจึงให้แต่งกายเป็นเด็กผู้ชายและให้นั่งหลังอานม้าของฉัน ฉันได้พาหญิงสาวคนนั้นไปจนถึงเมืองเอคส ไปอยู่ที่พักเดินทางของมาร์เตคส์ รุ่งขึ้นฉันไปเดินเล่นในเมือง ไม่มีใครสงสัยว่าหล่อนปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายเลย

ล่วงมาอีกวันหนึ่งฉันมอบเงินให้หญิงสาวคนนี้ไว้ใช้จ่ายให้เพียงพอจนถึงวันที่ฉันจะกลับมารับ ก่อนอื่นฉันแนะนำให้ปลอมตัวอยู่เช่นนี้ เจ้าหล่อนได้ให้คำสัญญาว่าจะทำตาม กอดจูบฉันแล้วน้ำตาไหลพราว ฉันเองรู้สึกว่าเจ้าหล่อนมีความเสียใจมากที่ฉันจะต้องจากไป ตัวฉันเองก็ใจอ่อน เห็นหล่อนมีอาการกิริยาดังนั้น ก็ยิ่งรักขึ้นอีกมาก ฉันสะบัดตัวออกมาจากความเคล้าคลึงแล้ว ฉันขอให้เจ้าของที่พักคนเดินทาง ซึ่งฉันรู้จักดีและไม่มีความสงสัยอะไรเลย เอ็นดูหญิงสาวคนนี้ให้มาก ฉันจึงเดินทางไปเมืองทูลองและซังต์มาร์เสล

โดยเหตุที่มีความปรารถนาจะไปพบหญิงสาวคนนั้นอย่างยิ่ง ฉันจึงรีบทำธุระส่วนตัวเสร็จสิ้นภายในสามสัปดาห์แล้ว เดินทางไปเมืองเอคส นึกเสียว่าคงจะไม่ไปถึงช้าเกินไป ครั้นกลับมาถึงเมืองนี้คนทั้งหลายก็รู้ความลับของฉัน และหญิงสาวที่หลั่งน้ำตาจนทำให้ฉันใจอ่อนก็หาซื่อสัตย์กับฉันไม่ ความประพฤติชั่วของหล่อนนั้นกระฉ่อนไปทั้งเมือง ชนชาติหนึ่งที่ฉันไม่ชอบเลยในเวลานั้น ทราบนิสัยของหญิงสาวคนนี้แล้ว ส่งเสริมให้เด็กเป็นหญิงนครโสเภณีฉันมีความละอายเป็นอย่างยิ่งที่ความรักของฉันได้แพร่หลายไป และมีความแค้นเคืองคนที่ทำให้ฉันได้รับความโทมนัสเสียใจในครั้งนี้

ทีแรกฉันโกรธหญิงสาวคนนั้นเป็นอย่างยิ่งที่เป็นบ่อเกิดแห่งความเสียใจของฉัน ครั้นตริตรองดูก็เห็นว่าเขาไม่มีความซื่อสัตย์ต่อฉันนั้นก็ด้วยว่าเขาเป็นหญิงที่มีใจไม่หนักแน่นเหมือนๆ กันกับสตรีเพศทั้งหลาย ความรักจึงกลายเป็นความเกลียดชังจนแสยงขน แต่ถึงเช่นนั้นฉันก็ไม่อยากจะทอดทิ้งเขาเสียทีเดียว และถึงแม้ว่าบุคคลเช่นนี้ไม่เป็นคนที่ฉันสมควรจะเอาใจช่วยด้วย ฉันก็ยังได้ฝากฝังคนที่ฉันไว้วางใจและมอบเงินให้พอที่จะพาเขาไปส่งจนถึงบ้านบิดาของเขา

ในโอกาสนี้ฉันขอวิงวอนบรรดานายทหารหนุ่มและท่านทั้งหลายที่มีแก่ใจอ่านบันทึกความจำของฉันนี้ จงอย่านึกว่าความประพฤติของฉันเช่นนี้เป็นคุณงามความดีที่สุดในชีวิตของฉัน เมื่อคนเราจดบันทึกด้วยความตริตรองถี่ถ้วนและมีอายุมากถึงปานฉะนี้แล้ว ก็ย่อมมีความรู้สึกผิดกันกับเมื่อยังหนุ่มอยู่ ฉันฝืนใจเขียนข้อความนี้แต่เมื่อได้พูดไว้ว่า จะเล่าทั้งความดีและความชั่วของฉัน ฉันจึงถือคำสัญญานั้นไว้

ครั้นไม่มีกิจธุระจะทำอีกต่อไปทางทิศใต้นี้ ฉันจึงเดินทางไปกรุงปารีส เมื่อมาถึงพระราชสำนักฉันได้พบขุนนางไทยสองคน ซึ่งมาประเทศนี้พร้อมกันกับ ม. เดอะวาแชร์ ผู้สั่งสอนศาสนาประจำประเทศไทย ขุนนางไทยสองคนนี้เล่าว่าท่านเสนาบดีได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ส่งเขามาสืบข่าวราชทูตไทยที่มาเจริญทางพระราชไมตรีกับพระอยู่หัวของเรา และเมื่อเขาได้เข้ามาใกล้ฝั่งประเทศฝรั่งเศส เขาได้ทราบว่าเรือที่ราชทูตไทยโดยสารมา และที่บรรทุกเครื่องราชบรรณาการมาด้วยนั้นได้แตกอับปางลง เขาจึงเดินทางต่อมาจนถึงประเทศฝรั่งเศสตามคำสั่งที่ได้รับมา

เขาได้พบเสนาบดีฝรั่งเศสและเรียนให้ทราบว่าพระเจ้าแผ่นดินไทยได้พระราชทานบรมราชานุเคราะห์คริสตศาสนิกชนและมีพระราชกระแสโปรดเกล้าฯ ให้ราชทูตนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวของเราว่า ถ้าจะทรงแต่งตั้งราชทูตไปประเทศไทยแล้ว พระเจ้าแผ่นดินของเขาคงจะทรงนับถือคริสตศาสนาเป็นแน่

ถึงแม้ว่าเหตุผลที่ขุนนางกล่าวมานี้ค่อนข้างจะพูดเกินความจริงไปก็ดี แต่ ม. วาแชร์ ได้สนับสนุนทุกข้อกระทงความ พระเจ้าอยู่หัวของเราทรงพระราชดำริเห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินไทยคงตั้งพระราชหฤทัยที่จะชักชวนให้ส่งคณะทูตไปจริง ๆ และคงจะเข้าพระราชหฤทัยว่าทรงแต่งตั้งคณะทูตไปให้สมพระเกียรติยศแล้ว นอกจากจะช่วยให้พระนารายณ์มหาราชทรงเข้ารีตแล้ว คริสตศาสนาคงจะได้รับผลประโยชน์อย่างอื่นอีกมาก จึงทรงเห็นชอบด้วยและทรงตั้งเชวาลิเอร์เดอะโชมองต์ เป็นราชทูตและผู้บัญชาการกระบวนเรือรบหลวง ที่พระเจ้าอยู่ของเราทรงเลือกท่านผู้นี้ ไปทำกิจการอันสำคัญนั้นเหมาะยิ่งนัก เพราะว่านอกจากท่านมีตระกูลดี และตัวเองก็มีคุณวุฒิความดีอยู่พร้อมแล้ว ใคร ๆ ก็ทราบว่าท่านเป็นคนที่มีความศรัทธาเลื่อมใสในคริสตศาสนาอย่างแรงกล้า ความมุ่งหมายของคณะทูตฝรั่งเศสนี้ ก็คือจะเชิญพระมหากษัตริย์ที่ทรงนับถือพระพุทธรูป และประชาชนทั้งประเทศให้เข้ารีตนับถือคริสตศาสนา เพราะฉะนั้นจะทรงมอบหมายหน้าที่ให้ผู้ใดยิ่งกว่าท่านผู้นี้ก็ไม่เหมาะแน่ คุณความดีและความศรัทธาแก่กล้าของท่านคงจะสามารถช่วยทำนุบำรุงคริสตศาสนาให้แผ่ไพศาลไป

โดยเหตุที่ราชทูตพึงถึงแก่กรรมได้ เพราะว่าการเดินทางไกลเช่นนี้ลำบากนัก และถ้ามีเหตุเช่นนั้นขึ้นแล้ว เกรงว่าคณะทูตจะเลือกราชทูตที่ไม่มีความสามารถพอ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งท่านเจ้าวัดเดอะชัวสีเป็นราชทูตคนที่สอง มีตราตั้งเป็นราชทูตพิเศษประจำประเทศไทยเป็นเวลานาน หากว่าพระนารายณ์มหาราชมีพระราชประสงค์ที่จะให้กราบทูลชี้แจงเรื่องศาสนา

เพื่อจะให้คณะทูตฝรั่งเศสนี้มีความสง่าสำคัญยิ่งขึ้น เชวาลิเอร์ เดอะโชมองต์ดำริที่จะให้มีขุนนางฝรั่งเศสเป็นบริวารตามไปด้วย จึงกะตัวผู้มีตระกูลดีหลายคนที่มีความเต็มใจจะไปกับคณะทูตนี้ ท่านได้ชักชวนฉัน ฉันไม่ปฏิเสธคำเชิญของท่าน แต่เรียนท่านว่าโดยเหตุที่จะเดินทางไปยังประเทศที่อยู่อีกมุมหนึ่งของโลกนี้ ฉันจะรับคำทันทีโดยที่ไม่ได้ปรึกษาหารือครอบครัวและผู้ที่ชอบพอกันก่อนไม่ได้ ฉันจะลองพูดกับเพื่อนฝูง และถ้าเขาเห็นชอบด้วย ฉันก็มีความยินดีที่จะไปกับคณะทูตนี้

ในวันเดียวกันนั้นฉันเล่าความนี้แก่คาร์ดินัล เดอะจังซัง และ ม. บองตองส์ ท่านทั้งสองมีความเห็นว่าฉันควรทำตามคำขอร้องของเชวาลิเอร์ เดอะโชมองต์ ความเจริญในหน้าที่ราชการของฉันคงจะไม่ชะงักลง ถ้าไปกับคณะทูตนี้แล้วจะต้องด้วยพระราชนิยม เพราะว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าคณะทูตนี้สำคัญยิ่งนัก ที่ฉันจะต้องไปห่างไกลจากประเทศฝรั่งเศสนั้นไม่เป็นการเสียหายอะไรเลย เพราะว่าเวลานี้ก็ไม่มีศึกสงคราม ถ้าต้องอยู่นิ่งๆ ก็ไม่มีโอกาสจะได้เลื่อนตำแหน่งหน้าที่ เมื่อได้รับคำแนะนำเช่นนี้ ฉันก็ไปหาเชวาลิเอร์เดอะโชมองต์ เรียนท่านว่าฉันมีความยินดีที่จะเดินทางไปกับท่าน ท่านมีความพอใจเป็นอันมากที่ฉันให้คำมั่นสัญญาเช่นนั้น ฉันฉวยโอกาสนี้สมัครทำหน้าที่ควบคุมคณะทูตและรับใช้ท่านตามแต่จะมีบัญชาสั่งมา ท่านก็ยอมตามคำขอร้องของฉัน

ฉันได้ปรึกษาหารือ เดอะคองค์ ดูลุค ด้วยเหมือนกัน ท่านเห็นชอบด้วย และท่านได้บอก นางรุยเลต์ ว่าฉันจะเดินทางไปประเทศไทย สุภาพสตรีผู้นี้มีแก้วประพาฬงามมากสองหีบ ซึ่งได้มาจากทิศใต้ประเทศฝรั่งเศส มีความประสงค์จะขายแก้วประพาฬนั้น ได้เคยขอให้บริษัท คองปันยี เดส์ อังด์ส์ จัดการให้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่บริษัทนี้ไม่ค่อยจะมีความเต็มใจที่จะขายให้ บอกว่าคงได้ราคาประมาน ๒๖๖ บาท อันเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาจริงมาก นางรุยเลต์จึงขอให้คองค์ ดูลุค ถามฉันว่าจะจัดการขายให้ได้หรือไม่ ถ้าได้จะมอบอำนาจให้ฉันนำเงินทั้งสิ้นที่ได้มาเท่าไรไปซื้อผ้าเยียรบับตู้จีนของฝีมือญี่ปุ่นและสิ่งของอื่นๆ ที่แปลก ๆ และหายากในบุรพาทิศประเทศ ฉันรับคำว่าจะจัดการขายให้ด้วยความเต็มใจ เมื่อทำกิจธุระส่วนตัวที่กรุงปารีสเสร็จแล้ว ฉันเดินทางไปเมืองเบรสต์เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๒๒๘ และได้รับคำสั่งให้จัดเตรียมเรือรบหลวงสองลำ ขนอาวุธยุทธภัณฑ์ลงในเรือที่คณะทูตจะโดยสารไป

การเตรียมเรือออกทะเลนั้นเสร็จสิ้นลงปลายเดือนกุมภาพันธ์ เชวาลิเอร์เดอะโชมองต์และท่านเจ้าวัด เดอะชัวสี ได้มาถึงเมืองเบรสต์และลงเรือชื่อว่า “ลัวโซ” ม. เดอะโวดริคัว เป็นผู้บังคับการเรือ ผู้ที่ลงไปในเรือลำนี้ คือ ขุนนางไทยสองคน นักบวชลัทธิเจสูอิต ๖ รูป คือ แปร์ เดอะฟองตะเน แปร์ ตาชารต์ แปร์ แจบิลยอง แปร์ เดอะคองค์ แปร์ บูเวต์ และ แปร์ วิส์เดอะลู ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ไปประเทศจีน มีหน้าที่เป็นคณิตศาสตราจารย์ ผู้สอนศาสนา ๔ รูป มี ม. เดอะวาแชร์และดูไซส์ยาส์เป็นต้น กับขุนนางฝรั่งเศสอีกหลายคน ซึ่งมีความเต็มใจที่จะไป บางคนก็ไปเพื่ออยากรู้อยากเห็น บางคนก็ไปตามคำชักชวนของราชทูต ดังที่ฉันได้เล่ามาข้างบนนี้

เมื่อที่อยู่ในเรือ “ลัวโซ” เต็มหมดแล้ว ผู้อื่นก็โดยสารไปกับเรือเล็กอีกลำหนึ่งชื่อว่า “มาลิญ” เรือลำนี้มีปืน ๓๓ กระบอก ม. จัว เยอส์ ซึ่งเป็นนายทหารเรือประจำเมืองเบรสต์ และเคยเดินทางไปมัธยมประเทศหลายครั้งแล้ว เป็นผู้บังคับการ เมื่อทุกคนลงไปในเรือรบสองลำนั้นแล้ว เราได้ถอนสมอขึ้นในคืนวันนั้น รุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเสาร์ที่ ๓ มีนาคม บรรดาทหารเรือทั้งสองได้โห่ร้องถวายพระพรชัยพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงพระเจริญแล้วเราชักใบออกเรือไปแหลม เดอะบอนน์เอสแปรังส

การเดินทางได้เป็นไปโดยผาสุก เมื่อเรือผ่านเส้นศูนย์กลางของโลก เราก็ไม่ได้รับความทรมานจากความร้อนมากนักเลย เราได้เริ่มเห็นดาวที่ก่อน ๆ นี้ก็ยังไม่เคยได้เห็น ดาวที่เรียกว่า “ครัวซาด” อยู่กลุ่มเดียวกันสี่ดวง เราได้เห็นเป็นครั้งแรก แล้วจึงเห็นทางช้างเผือก ซึ่งอยู่ใกล้ขั้ว “อันตาร์ติค” เมื่อเรามองดูด้วยกล้องดูดาวท่านคณิตศาสตราจารย์ เราเห็นชัดว่า ทางช้างเผือก ที่ดูคล้ายหมอกสีขาวนั้นไม่ใช่อื่นไกลคือดาวดวงเล็ก ๆ อยู่เรียงกันไป เราเดินทางมาได้สามเดือน ก็ถึงแหลมเดอะบอนน์เอสแปรังส เกือบตรงตามระยะทางที่ผู้นำร่องของเราได้กะไว้คลาดไปเพียง ๑,๕๐๐ เส้นเท่านั้น การคำนวณผิดไปเล็กน้อยเช่นนี้ก็ไม่สำคัญนัก เพราะว่าทางที่จะไปนั้นไกลมากอยู่

แหลม เดอะบอนน์ เอสแปรังส นี้เป็นแนวภูเขาติดพืดกันไป จากเหนือลงมาใต้และยื่นออกไปในทะเล อ่าวอันกว้างขวางมากที่แหว่งเข้าไปในพื้นดินนั้นอยู่ติดกันกับตีนภูเขา ภูมิลำเนาริมฝั่งนั้นเป็นที่ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่มีหินโสโครกเป็นอันตรายแก่เรือมาก เราไม่กล้าเข้าไปในอ่าวเวลากลางคืน แต่เวลากลางวันถึงแม้จะมีลมที่พัดหวนมา เราก็นึกว่าคงเข้าไปได้โดยไม่มีอันตรายอย่างหนึ่งอย่างใด

เมื่อเรือเข้าไปถึงตรงกลางน่านน้ำ ลมสงบลงทันที เราจึงถูกกระแสน้ำดันเข้าไปใกล้หินโสโครก พอเรือลอยเข้าไปใกล้เพียงระยะปืนสั้นเท่านั้น เคราะห์ดีลมพัดมาอีก เราจึงหลุดจากที่อันตรายได้ เรายังไม่เคยอยู่ในที่น่ากลัวมากเหมือนวันนี้เลย ในที่สุดเมื่อช่วยกันระมัดระวังจนสุดกำลังแล้ว เราก็รอดพ้นจากหินโสโครกและทอดสมอลงที่ในอ่าวห่างจากป้อมปราการของชาววิลันดาประมาณหนึ่งเส้น ป้อมนี้ชาววิลันดาสร้างขึ้นและมีกองทหารประจำไว้ด้วย ทันใดนั้นชาววิลันดาส่งเรือเล็ก ๆ มาที่เรือรบหลวง เพื่อมาตรวจดูว่า เรืออะไรมาถึง รุ่งขึ้นฉันขึ้นไปบนบกเพื่อแสดงความเคารพแก่ผู้ว่าราชการวิลันดา และทำความตกลงกันถึงเรื่องยิงปืนคำนับกัน และลำเลียงเสบียงอาหารที่เราต้องการมาก ฉันไปหาผู้ว่าราชการบนป้อมปราการที่กล่าวมาแล้วนั้น ป้อมนี้เป็นรูปห้าเหลี่ยม มีปืนใหญ่สำหรับป้องกันแข็งแรงมาก เขาต้อนรับฉันเป็นอย่างดี และยอมตามคำขอร้องของฉันทุกประการ ได้ตกลงกันว่าการยิงปืนใหญ่คำนับซึ่งกันและกันนั้น ต้องยิงนัดต่อนัดผลัดกันไป และเขายอมขายเสบียงอาหารให้ด้วย

ฉันกลับขึ้นไปบนเรือแล้วรายงานข้อความเหล่านี้แก่ท่านราชทูต ท่านมีความยินดีมาก ที่ชาววิลันดาแสดงอัชฌาสัยไมตรีเป็นอย่างดี ท่านจึงสั่งให้เอาเรือเล็กลงทะเล และต่างคนก็ต่างขึ้นไปบนบก เพื่อหาความเพลิดเพลินใจ เพราะว่าได้เหน็ดเหนื่อยมาเป็นเวลาช้านานแล้ว

นักบวชลัทธิเจสูอิต ได้ไปหาผู้ว่าราชการวิลันดา และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ท่านนักบวชได้ชี้แจงว่าเมื่อได้มีโอกาสมาอยู่บนบกเช่นนี้ ก็จะตรวจดูดาว เชื่อว่าคงจะได้รับผลดีมีประโยชน์แก่สาธารณชน จะตรวจที่อื่นก็ไม่เหมาะเหมือนที่นี่ ผู้ว่าราชการวิลันดาได้อนุญาตตามคำขอร้อง และเพื่อช่วยให้งานสะดวกยิ่งขึ้น เขาได้จัดให้ท่านนักบวชอยู่ในศาลา ที่สร้างขึ้นในสวนของ คองปันยี เดส์ อังค์ส์ ท่านนักบวชได้เอากล้องส่องดูดาวตรวจได้ผลดีเป็นอันมาก และได้กำหนดองศาของเส้น “ยาว” ของโลกที่ผ่านแหลมนี้ ซึ่งแต่ก่อนๆ นี้ยังเป็นที่สงสัย และทำให้ผู้เดินเรือหลงผิดอยู่เนืองๆ

ในขณะที่ท่านคณิตศาสตราจารย์ตรวจดูดาวอยู่นั้น ฉันก็ตรวจดูภูมิลำเนาประเทศนี้ ในเวลาอันสั้นที่ฉันอยู่ที่นี่นั้น ฉันได้สืบสวนได้ความดังต่อไปนี้

ชาววิลันดาเจ้าของท้องที่ เขาซื้อที่ดินจากผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในที่นั้น คนพื้นที่เหล่านี้ได้ยาสูบและเหล้า “โอเดอะวี” นิดหน่อยเท่านั้น ก็ยอมยกที่ดินเป็นของแลกเปลี่ยนให้ชาววิลันดา และถอยเข้าไปอยู่ข้างในป่า ที่ดินตามขอบเขตแหลมนี้มีบ่อน้ำจืดสนิทดีมาก ถึงแม้ภูมิประเทศนี้แห้งและแล้ง ชาววิลันดาก็ยังทำสวนได้งามไม่มีที่ติเลย สวนนี้เป็นสวนที่สวยที่สุดสวนหนึ่งในโลกนี้ มีกำแพงห้อมล้อมไว้ นอกจากปลูกผักทุกชนิดแล้ว ยังมีผลไม้ซึ่งได้พันธุ์มาจากทวีปยุโรปและมัธยมประเทศอีกเป็นอันมาก

โดยเหตุที่แหลม เดอะบอนน์เอสแปรังส เป็นท่าสินค้าที่เรือค้าขายเดินทางไปมาระหว่างทวีปยุโรปและมัธยมประเทศต้องมาแวะลำเลียงน้ำและเสบียงอาหาร ท่านี้จึงเก็บสิ่งของไว้เป็นอันมาก จะต้องการอะไรก็แทบได้ทั้งนั้น ห่างจากแหลมประมาน ๑,๒๐๐ เส้น ชาววิลันดาได้ยกที่ดินให้ชาวฝรั่งเศสที่ละทิ้งลัทธิคาทอลิกทำไร่ไถนา ชาวฝรั่งเศสเหล่านี้ได้ปลูกองุ่นและข้าวสาลี ให้ผลมากพอเลี้ยงชีพได้เป็นอย่างดี

อากาศที่นี่ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป เพราะว่าอยู่ที่ ๓๕ องศา ของเส้น “กว้าง” ของโลก คนพื้นที่ในประเทศนี้เรียกว่า คาฟระ ผิวดำแต่จางกว่าผิวของคนที่อยู่ที่เกาะ “คินี” รูปร่างสันทัดและเปรียว แต่หยาบคายและโง่ที่สุดในโลกนี้ พูดห้วนๆ จึงไม่มีใครสามารถที่จะเรียนภาษาของเขาได้ แต่ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้ไม่สามารถที่จะศึกษาเล่าเรียนได้ ชาววิลันดาได้หามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่เมื่อยังเป็นเด็ก ๆ อยู่ ใช้ให้เป็นล่ามก่อนแล้วต่อไปก็ทำงานอย่างคนอื่นๆ ได้

คนเหล่านี้ไม่มีศาสนา กินแมลงทุกชนิดที่พึงหาได้ ทั้งผู้ชายและผู้หญิงไปไหนมาไหนเปลือยกาย มีแต่หนังแกะพาดบ่าไว้เท่านั้น จึงเกิดมีตัวขึ้น ซึ่งเขาไม่มีความรังเกียจที่จะจับกินเลย

เครื่องประดับของผู้หญิงนั้นมีอยู่อย่างเดียว คือไส้พุงแกะที่ฆ่ามาสด ๆ เขาใช้พันแขนและขา คนเหล่านี้วิ่งเร็ว ใช้ไขสัตว์ทาตัวอันทำให้สกปรกน่ารังเกียจมาก แต่ไขนั้นทำให้ผิวอ่อนและกระโดดได้คล่อง ทั้งผู้ชายและผู้หญิงนอนรวมปะปนกันในกระท่อมน่าทุเรศโดยไม่แยกเพศ และสังวาสกันเหมือนสัตว์เดียรัจฉานโดยไม่คำนึงว่าเป็นญาติสนิทกันเพียงไร

เรือรบของเราได้มาทอดสมออยู่ที่แหลมเดอะบอนน์เอสแปรังสแปดวัน พอบรรทุกเสบียงอาหารลงเรือได้พอแล้ว เราได้ชักใบเรือขึ้น ออกจากท่านี้ไปยังช่องซองด์ (ซุนดา) ซึ่งอยู่ระหว่างเกาะชวาและสุมาตรา โดยเหตุที่มีลมพัดหวนมา เรือของเราจึงต้องแล่นลงไปทางใต้ และหลงกันกับเรือ “ลา มาลิญ” มองไม่เห็นกันเลย เราได้เข้ามาใกล้แคว้น “โอสตรัล” ซึ่งคนเดินเรือของเรายังไม่เคยมาเลย สังเกตดูฝั่งแถบนี้เราเห็นมีดินสีแดง เราไม่ต้องการเข้าไปให้ชิดฝั่งเลย เมื่อลมเปลี่ยนทิศ เราก็เปลี่ยนทางและได้เข้ามาใกล้เกาะชวา

เราไม่มีคนนำร่องที่รู้จักช่อง ซุนดา ดีพอ เพื่อแก้ไขความบกพร่องนี้ เราได้ตกลงใจเดินเรือตามแผนที่ ซึ่ง ม. เดอะลูวัวส์ให้เรา ได้ใช้ใบเล็กแล่นเลียบฝั่งเกาะชวาไป มิช้าก็มาถึงช่องแคบและแล่นเข้าปากช่องไปได้โดยสะดวกดี

เวลาที่เรือแล่นเข้ามาในช่องแคบนั้น บรรดาทหารเรือที่ขึ้นมาอยู่บนดาดฟ้าได้ประสบเหตุมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ที่ยังไม่เคยได้เห็นมาแต่ก่อนเลย เหตุมหัศจรรย์ทำให้ท่านคณิตศาสตราจารย์ของเราใช้เวลาตรึกตรองอยู่หลายชั่วโมง ที่ฉันว่ามีเหตุมหัศจรรย์นั้นคือ ในเวลาที่ท้องฟ้าแจ่มใสปราศจากเมฆ เราได้ยินเสียงฟ้าร้องดังเหมือนเสียงปืนใหญ่ยิงด้วยลูกกระสุนจริงๆ อสุนีบาตตกลงมาในทะเลห่างจากเรือประมาณสี่เส้นเท่านั้น ทำให้น้ำหมุนเวียนเดือดอยู่เป็นเวลานาน

เรือแล่นไปประมานสองเดือน ก็เข้ามาใกล้ฝั่งแลเห็นเมืองบันตัมเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม โดยเหตุที่เรามีความประสงค์จะขึ้นบก เพราะว่ามีคนป่วยคนไข้ ทั้งทหารเรือที่มีเหลืออยู่ได้รับความเหน็ดเหนื่อยมาก และไม่มีคนนำร่องที่รู้จักทางไปประเทศไทย จึงเป็นการจำเป็นที่เราต้องพักอยู่ที่นี่ เราทอดสมอลง นอนค้างคืนในน่านน้ำ รุ่งขึ้นฉันได้รับคำสั่งให้ขึ้นไปบนบก เพื่อเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินเมืองบันตัมแทนกับท่านราชทูต และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตลำเลียงเสบียงอาหารที่เราไม่มีเหลือแล้ว

ฉันได้ไปพบกับผู้บัญชาการป้อมปราการก่อน เขาไม่ยอมให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ฉันพยายามขอเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ฉันจึงบอกว่าฉันขอพูดกับผู้ว่าราชการชาววิลันดา เขาตอบว่าท่านผู้นี้ป่วย และไม่ได้พบปะใครมานานแล้ว ในที่สุดเมื่อเขาปัดคำขอร้องของฉัน โดยยกสาเหตุเหลวไหลมาอ้างแล้ว ก็พูดออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อมอีกว่า ฉันไม่มีหวังที่จะได้รับเสบียงอาหารจากเมืองนี้ เพราะว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่มีพระราชประสงค์ที่จะให้ชนต่างด้าวเข้ามาในประเทศนี้เลย

เมื่อฉันพูดว่าการที่ไม่ยอมให้เราซื้อเสบียงอาหารนั้นเป็นการทารุณร้ายกาจของชาววิลันดา ซึ่งฉันเว้นเสียที่จะตำหนิไม่ได้ นายทหารผู้นั้นตอบฉันว่า เหตุการณ์ในแผ่นดินไม่อนุมัติให้พระเจ้าแผ่นดินทรงยอมให้คนต่างด้าวเข้ามาในประเทศ ประชาชนพลเมืองที่มีความกระด้างกระเดื่องเป็นกบฏอยู่จะกำเริบขึ้น เมื่อเข้าใจไปว่าประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษมาช่วย ตามที่เขาได้อ้อนวอนขอร้องไป ถึงแม้ว่าฉันจะรับรองว่าเรือรบที่จอดอยู่ใกล้เมืองบันตัมนั้น เป็นเรือที่จะนำคณะทูตฝรั่งเศสไปประเทศไทย ก็ไม่ทำให้ชาวชวาหลงไปว่าไม่มีใครมาช่วย และอาจทำให้คนเหล่านั้นเข้าใจว่าคงจะมีเรือรบอื่น ๆ มาถึงอีกในเวลาไม่ข้า นายทหารผู้นั้นพูดกับฉันว่า ฉันตำหนิโทษชาววิลันดาผิด คนพวกนั้นเป็นแต่ทหารรับราชการอยู่ในประเทศนี้ มีหน้าที่จะปฏิบัติตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าฉันจะไปประเทศไทยดังที่ฉันบอกเขาจริง ๆ แล้ว ก็ควรเดินทางต่อไปโดยผ่านทางเมืองบะตาวี ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ประมาน ๑,๒๐๐ เส้น ผู้อำนวยการคองปันยีเดส์อังด์ส์ ที่เมืองนั้นคงจะต้องรับเราเป็นอย่างดี และฉันจะเห็นชัดว่าที่เขากีดกันขัดข้องนั้นเพราะความจำเป็นบังคับแท้ๆ

ที่นายทหารผู้นั้นพูดว่าประชาชนยังกระด้างกระเดื่องอยู่ เป็นการจำเป็นที่จะห้ามไม่ให้ชนต่างด้าวเข้าไปในท่าเรือนั้นเป็นความจริง แต่เขายับยั้งไม่กล่าวต่อไปว่าที่ประชาชนไม่พอใจนั้น ก็เนื่องจากความทารุณร้ายกาจของชาววิลันดานั่นเอง และที่ขัดขวางไม่ยคมให้เราซื้อเสบียงอาหารนั้น ก็ด้วยว่าชาววิลันดานี้ทารุณดุร้ายนักดังที่ฉันได้ปรารภมาข้างบนนี้ สาเหตุของเรื่องนี้มีความโดยสังเขปดังต่อไปนี้

เมื่อห้าหรือหกปีที่แล้วมาสุลต่าน อาคุน ทรงเบื่อหน่ายอุปสรรคที่มีแก่การทรงราชย์ จึงทรงมอบราชสมบัติแก่สุลต่าน อาคุย ซึ่งเป็นพระราชโอรส ล่วงมาอีกสองสามปีสุลต่านอาคุนจะทรงรู้สึกเสียพระทัยที่ได้สละราชสมบัติประการหนึ่ง หรืออีกประการหนึ่งจะทรงเห็นว่าพระราชโอรสปกครองบ้านเมืองไม่เป็นธรรม ประการใดประการหนึ่งก็ตามแต่จะคิดเอาเถิด จึงมีพระราชประสงค์ที่จะขึ้นทรงราชย์อีก ได้ทรงทำความตกลงเป็นการลับกับ ปะเงรัน ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในประเทศ พอทรงเห็นว่ามีลู่ทางที่จะสำเร็จได้ จึงกลับทรงเครื่องราชูปโภคถืออำนาจพระเจ้าแผ่นดินอย่างเปิดเผยอีก

ประชาชนพลเมืองที่ได้เคยรับความสุขใต้ร่มพระโพธิ์ทอง ต่างมีความยินดีพากันมาถวายตัว มิช้าก็ทรงมีรี้พลรวมเป็นกองทัพถึงสามหมื่นคน เมื่อทรงเห็นว่ามีกำลังแข็งแรงพอที่จะทำการให้สำเร็จได้ จึงทรงยกทัพมาล้อมพระราชโอรสไว้ภายในป้อมปราการเมืองบันตัม พระเจ้าแผ่นดินที่ยังเยาว์อยู่ทรงเห็นว่าประชาชนพลเมืองละหนีไปหมด จึงทรงขอร้องให้ชาววิลันดามาช่วย เมื่อแรกชาววิลันดายังลังเลอยู่ว่าจะช่วยดีหรือไม่ แต่ภายหลังเห็นว่ามีทางได้มากกว่านิ่งเฉย ๆ ไว้ จึงตกลงใจเข้าป้องกันพระองค์พระเจ้าแผ่นดินและยึดพระราชวังไว้ ชาวชวากับแขกมักกะสันได้พยายามกีดกันไม่ให้ชาววิลันดาขึ้นบก จึงต้องสู้รบกัน ชาวชวาแพ้ และชาววิลันดามีชัยชนะ

เมื่อชาววิลันดาแย่งอำนาจได้แล้ว ก็เข้ายึดป้อมปราการและถวายความอารักขาพระเจ้าแผ่นดินที่ยังเยาว์อยู่ แต่นั้นมามิช้าชาววิลันดายกพลเข้าตีกองทัพพระราชบิดา ส่งทหารไปแอบซุ่มไว้แล้วจับพระองค์พระเจ้าแผ่นดินที่ทรงพระชราขังไว้มั่นคง เพราะว่าราษฎรมีความจงรักภักดีมาก พระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นพระราชโอรสนั้น ไม่มีใครชอบ และไม่มีอำนาจ จึงไม่ถูกกักขังกวดขันนัก ชาววิลันดายอมให้มีเครื่องราชกกุธภัณฑ์เหมือนพระเจ้าแผ่นดินทั้งปวง แต่อ้างพระราชอำนาจกดขี่อาณาประชาราษฎร์ให้ได้ความร้อนเป็นอันมาก

การปกครองของชาววิลันดานั้นร้ายกาจเหลือเกิน และเป็นที่เกลียดชังมากด้วย เพราะฉะนั้นชาววิลันดาเองจึงเกรงอยู่เป็นนิจว่าจะมีกบฏ จึงไม่ยอมให้ชนต่างด้าวทั้งหลายเข้ามาใกล้ท่าเรือเมืองบันตัม โดยอ้างพระราชอำนาจพระเจ้าแผ่นดินว่า ถ้ายอมให้คนต่างด้าวขึ้นไปบนบกแล้ว จะยุแหย่ให้เกิดการกบฏ เขายกนโยบายนี้ขึ้นพูด เมื่อเขาไม่ยอมให้เราลำเลียงเสบียงอาหาร ซ้ำเน้นคำว่าไม่เคยยอมให้ชนชาติอื่นเลย เหตุฉะนี้ฉันไม่เห็นมีทางใดที่จะเรียกร้องเอาเสบียงอาหารให้ได้ จึงลงเรือเล็กกลับไปรายงานว่าคำขอร้องของฉันไร้ผล

พอเรือออกไปห่างจากท่าสักหน่อยฉันเห็นเรือลำหนึ่ง มองดูไกล ๆ ก็ไม่สู้ใหญ่นัก จึงใคร่ทราบว่าเรือลำนั้นเป็นเรือของใคร เมื่อเข้าใกล้ก็กลายเป็นเรือรบ “ลา มาลิญ” ของเรานั่นเอง เรือลำนี้ได้ลมดี จึงมาถึงที่นี่ก่อนเรือของเราสี่วัน ทอดสมออยู่ข้างเกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่ง ที่หลังเกาะนี้เรือของเราทอดสมออยู่ เมื่อแสดงความยินดีทีได้มาพบกันอีกแล้ว ฉันซักถาม ม. จัวเยอส์ ก็ได้ทราบจากปากคำผู้บังคับการเรือและนายทหารเรือทั้งหลายว่าชาววิลันดาไม่ยอมให้ซื้อเสบียงอาหาร โดยยกเหตุผลเช่นเดียวกันกับที่ฉันได้สดับตรับฟังมาแล้ว ในขณะนั้น ม. จัวเยอส์ คิดจะไปเมืองบะตาวีทันที แต่ลองรอคอยเราอยู่สามวัน โดยหวังว่าคงจะได้รับข่าวคราวเราบ้าง

เราทั้งสองคนจึงไปขึ้นเรือ “ลัวโซ” ความปีติยินดีที่ได้พบกันนั้นทำให้คลายโทมนัสที่ได้รับความกีดกันอันทารุณจากชาววิลันดา รุ่งขึ้นมีลมพัดมาดี และเพราะว่าถูกห้ามไม่ให้ผ่านไปทางเมืองบันตัม เราจึงถอนสมอชักใบเรือขึ้นแล่นไปเมืองบะตาวี ถึงแม้ว่าเมืองนี้อยู่ห่างจากเมืองบันตัมเพียงสามโยชน์ ดังที่ฉันได้กล่าวมาข้างบนนี้แล้ว เราก็ต้องแล่นเรือไปโดยความระมัดระวัง เพราะว่าไม่มีคนนำร่อง เราต้องเสียเวลาเดินทางถึงสองวันครึ่ง ในที่สุดเราเข้าไปในน่านน้ำได้ โดยเหตุที่มีหาดและหินโสโครกหลายพันแห่งตลอดฝั่งเกาะชวา เรือเกือบจะล่มอับปางลงเสียตั้งร้อยครั้ง

บะตาวีเป็นนครหลวงของเมืองขึ้นวิลันดาในบุรพาทิศ ชาววิลันดามีอิทธิฤทธิ์มาก ตามปรกติเวลาสงบศึกมีกองทหารห้าหรือหกพันคนกอปรด้วยชนซึ่งมีสัญชาติต่าง ๆ นา ๆ ป้อมปราการที่กลางน่านน้ำนั้นตั้งอยู่บนเสาปักลงไปในทะเล มีหอรบยื่นออกมาสี่หอรบ ห้อมล้อมด้วยคูน้ำจืด เมืองนี้สร้างงามมาก เคหะสถานทาสีขาวแบบวิลันดา มีประชาชนพลเมืองหนาแน่นนับไม่ถ้วน ในชุมนุมชนเหล่านี้ มีทั้งชาวฝรั่งเศสที่เป็นคัลวินิสต์และที่ถือลัทธิคาทอลิก ซึ่งการค้าขายหากำไรชักชวนให้มาอยู่

ผู้อำนวยการกองปันยี เดส์อังด์ส์ ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นี่ เขาเป็นผู้ว่าราชการเมืองขึ้นวิลันดาทั้งมวล บริวารและความสง่าของสํานักผู้ว่าราชการนั้นไม่น้อยกว่าในพระราชสำนักของพระเจ้าแผ่นดินแท้ๆ เขามีสภาที่ปรึกษาช่วยจัดกิจการของประเทศ ผู้ว่าราชการไม่จำเป็นต้องทำตามคำปรึกษาของสภา และจะตกลงใจทำอย่างไรก็ทำได้ โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงข้อที่บัญญัติไว้ แต่เมื่อทำไปตามอำเภอใจเช่นนั้นแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบเอง เจ้าแขกประเทศราชทั้งหลายต้องแต่งทูตไปประจำสำนักผู้ว่าราชการ และเขาก็ส่งทูตไปประจำสำนักของเจ้าแขกเหล่านั้นให้เป็นผู้แทนชาติวิลันดา เขาเลือกจะทำศึกสงครามหรือทำสัญญาสันติภาพก็ได้ตามชอบใจ โดยที่ไม่มีมหาอำนาจใด ๆ จะขัดขวางได้ ตำแหน่งผู้อำนวยการคองปันยี เดส์อังด์ส์ นี้มีกำหนดเพียงสามปี แต่ตามปรกติคนๆ เดียวครองตำแหน่งไปตลอดชีวิต เพราะเหตุนี้หากไม่พูดปราศจากยกตัวอย่าง จะหายากนักที่ผู้อำนวยการเป็นคนยาจก

เมื่อเราทอดสมอลงแล้ว ฉันได้รับคำสั่งให้ไปแสดงความเคารพผู้ว่าราชการเมืองขึ้นวิลันดา เวลาลงจากเรือมีเจ้าพนักงานกรมเจ้าท่ามาต้อนรับและพาฉันไปยังจวนผู้ว่าราชการ พอไปถึงกองทหารยามซึ่งมีจำนวนทหารมากหลายทำวันทยาวุธและแยกออกเป็นสองแถว ฉันเดินผ่านแถวทหารเข้าไปในเฉลียง ซึ่งประดับด้วยเครื่องลายครามญี่ปุ่นงามเป็นอันมาก

ฉันได้พบพณหัวเจ้าท่าน (อันเป็นคำที่เขาเรียกผู้อำนวยการคองปันยี เดส์อังด์ส์) ซึ่งยืนถอดหมวกฟังถ้อยคำของฉัน การต้อนรับอันดีของท่านทำให้ฉันคลายความแค้นเคืองที่ได้ถูกปรามาสที่เมืองบันตัม ท่านผู้นี้พูดภาษาฝรั่งเศสกับฉันตลอดเวลา ฉันต้องการให้ยิงปืนคำนับกันนัดต่อนัด แต่ไม่สามารถทำความตกลงกันได้ ฉันไม่ทราบว่าแปร์ตาชารต์ไปทราบความมาจากไหนแล้วไปเขียนรายงานว่าต่างฝ่ายต้องยิงปืนเท่านั้นเท่านี้นัด ความจริงนั้นได้ตกลงกันว่าไม่ต้องยิงปืนคำนับซึ่งกันและกันจนนัดเดียว เมื่อฉันขอความช่วยเหลืออย่างอื่นๆ ฯพณฯ ให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำตามคำขอร้องทุกประการ เพราะว่าท่านมีความเคารพราชทูตฝรั่งเศสทั้งทางตำแหน่งราชการและเกียรติคุณส่วนตัว

ฉันกลับไปบนเรือ “ลัวโซ” ด้วยความปีติยินดี และรายงานข้อความทั้งนี้แก่ท่านราชทูต มิช้าผู้ว่าราชการวิลันดาได้ส่งคนมาแสดงความเคารพเชวาลิเอร์ เดอะโชมองต์ และนำผักผลไม้ต่าง ๆ บรรจุลงในตะกร้า ๑๒ ตะกร้ามาเป็นของกำนัล ต่อมาสักครู่มีคนนำวัวสองตัวและแกะหลายตัวมาให้อีก ตั้งแต่วันนั้นมาผู้ว่าราชการได้ส่งเจ้าพนักงานชั้นผู้ใหญ่มาที่เรือทุกวัน และทุกคราวนำเสบียงอาหารต่างๆ นานา มาให้ท่านราชทูตและทหารเรือทั้งสองลำ

เราจอดเรืออยู่ที่เมืองบะตาวีแปดวัน ได้รับความเอื้อเฟื้อจากเจ้าพนักงานท้องที่ดีเกินนัก เวลาเรือทอดสมออยู่ที่นั้นฉันได้ ขายแก้วประพาฬสองหีบที่ได้รับฉันทะมาจากกรุงปารีส พ่อค้าจีนรับซื้อไว้ตามน้ำหนัก ยอมให้หนึ่งหนักละแปดน้ำหนักเงิน ได้เงินรวมทั้งสิ้นสามพันสองร้อยบาท เขาจ่ายเงินให้ฉันเป็นพันธบัตรทอง อันเป็นเงินตราของประเทศญี่ปุ่น ถ้าฉันมีเวลามากไม่รีบร้อนต้องไปจากที่นี่คงขายได้เงินมากกว่านี้ เพราะว่าแท้จริงแก้วประพาฬนี้มีราคามากกว่านี้มาก แต่ฉันเห็นว่าขายได้เงินถึงสี่สิบชั่งนั้นได้เปรียบมากอยู่แล้ว เพราะว่าสินค้าเช่นนี้เดิมมีคนในประเทศฝรั่งเศสรับซื้อเพียง ๒๖๖ บาทเท่านั้น

เมื่อลำเลียงเสบียงอาหารเสร็จแล้วและได้คนนำร่องชำนาญคนหนึ่ง เราก็ออกเรือไปประเทศไทย มีลมพัดแรง จึงชักใบขึ้นแต่เช้าตรู่ เวลากลางคืนมืดมากราว ๒๓ นาฬิกา เราเห็นเรือใหญ่ลำหนึ่งชักใบทุกใบแล่นเข้ามาใกล้เรือของเรา ทุกคนจับอาวุธและเราได้ยิงปืนใหญ่ลงไปในเรือลำนั้นนัดหนึ่ง แต่ก็ไม่ทำให้เรือลำนั้นเปลี่ยนทาง เพื่อไม่ให้เรือโดนกัน เรากลับใบให้เรือของเราถอยหลัง แต่ถึงแม้ว่าได้พยายามจนสุดกำลัง ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เรือลำนั้นโดนหัวเรือของเราจนตรามงกุฎแตกไปซีกหนึ่ง ฉันยืนอยู่บนดาดฟ้าชั้นบน และได้ยกปืนสั้นยิงลงไปในเรือลำนั้นหลายนัด ไม่มีใครโผล่หัวขึ้นมาเลยสักคนเดียว ฉันได้ให้ทหารเรือช่วยกันค้ำกราบเรือให้ห่างออกไป เรือจึงไม่ได้เสียดกัน พวกเราหลายคนต้องการไล่ตามเรือลำนั้น แต่ท่านราชทูตห้ามไว้ เราจึงแล่นต่อไป และมองไม่เห็นเรือลำนั้นอีกเพราะว่ามืดนัก

อุบัติเหตุนี้ทำให้พวกทหารเรือคิดเห็นไปต่าง ๆ นา ๆ บางคนคิดว่าชาววิลันดาได้ส่งเรือจุดเพลิงมาซ่อนไว้ข้างเกาะใดเกาะหนึ่ง เพื่อทำลายเรือรบหลวง และกันไม่ให้เราถึงประเทศไทย เพราะว่าชาววิลันดาไม่พอใจให้คณะทูตนี้ไปที่นั้นเลย บางคนคิดเห็นไปอย่างอื่น ส่วนตัวฉันนั้นมีความเห็นว่ากะลาสีในเรือลำนั้นคงเมาสุรา บางคนที่ได้ยินเสียงปืนที่เราได้ยิงลงไปในเรือคงมีความตกใจมาก หนีไปอยู่ใต้ดาดฟ้า จึงไม่มีใครกล้าโผล่หัวออกมาเลย (เมื่อเราไปถึงกรุงศรีอยุธยาสืบสวนเรื่องนี้แล้ว ก็ได้ความสมจริงดังที่ฉันกล่าวมาข้างบนนี้)

ภายหลังอุบัติเหตุนี้ ซึ่งทำให้โกลาหลกันมากแล้ว เราเดินทางต่อไปเรียบร้อยจนถึงสันดอน (ปากน้ำเจ้าพระยา) ได้ทอดสมอลงเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๒๒๘ นับตั้งแต่วันออกจากท่าเรือเมืองเบรสต์ เราเดินทางมารวมเวลาหกเดือนเศษ

สันดอนนี้ไม่ใช่อื่นไกล คือเนินดินและโคลนที่กระแสน้ำซัดลงมาทิ้งไว้ห่างจากปากน้ำประมาณสองร้อยเส้น ที่ตรงสันดอนนี้น้ำตื้นมาก เวลานี้น้ำขึ้นก็ไม่ลึกเกินกว่าสองวาครึ่ง เหตุฉะนั้นเรือขนาดใหญ่จึงข้ามสันดอนไปไม่ได้

เมื่อทอดสมอลงที่นี่แล้ว ฉันก็ลงเรือกรรเชียงไปกับ ม. วาแชร์ เพื่อบอกเจ้าหน้าที่ไทยว่าท่านราชทูตฝรั่งเศสได้มาถึงแล้ว เมื่อเรือมาถึงปากนำก็ค่ำมืดลง แม่น้ำนี้เป็นแม่น้ำใหญ่ที่สุดแม่น้ำหนึ่งในบุรพาทิศ คนไทยเรียกชลธารนี้ว่า “แม่น้ำ” ซึ่งแปลว่า “แม่ของน้ำ” เวลานั้นน้ำทะเลกำลังไหลขึ้น เรือต้องทวนน้ำ เราจึงแวะเข้าฝั่ง ได้แลเห็นเรือนขัดแตะมุงหลังคาจากสามหรือสี่เรือน ม. วาแชร์ บอกฉันว่าผู้ว่าราชการปากน้ำอยู่ที่หมู่บ้านนั้น เราลงจากเรือขึ้นไปบนเรือนหลังหนึ่ง ได้พบผู้ว่าราชการ ฉันหิว จึงถามว่ามีอะไรให้รับประทานบ้าง ผู้ว่าราชการผู้นั้นได้กรุณาหาข้าวมาให้กิน

ภาพครั้งแรกที่ได้เห็นนี้ทำให้รูปประเทศไทยที่ฉันวาดไว้ในใจผิดไปหมด ฉันขอพูดโดยตรงๆ ว่าฉันมีความประหลาดใจเหลือเกินที่ท่านเจ้าวัดเดอะชัวสี และแปร์ตาชารต์ ซึ่งได้เดินทางมาพร้อม ๆ กัน และได้เห็นสภาวะของประเทศเหมือนกันกับที่ฉันได้เห็น กลับไปเขียนหนังสือเรื่องประเทศไทย ซึ่งไม่ใกล้ความจริงเลย แท้จริงท่านทั้งสองนี้ได้อยู่ในประเทศนี้ไม่กี่เดือน และ ม. คองสตังส อัครมหาเสนาบดีไทยคอยแต่ตบตาท่าน จัดให้ท่านเห็นแต่สิ่งที่ดีและงาม อันมีสาเหตุหลายประการที่ฉันจะเล่าต่อไปภายหน้า

เมื่อน้ำขึ้นเอ่อพอดีแล้ว เรากลับลงไปในเรือกรรเชียงอีก และเข้าไปในแม่น้ำ ล่องขึ้นไปได้ประมาณสามโยชน์ ซ้ำร้ายฝนตกลงมาทรมานเรา แต่เราก็ทนไปจนถึงเมืองบางกอกประมาณเวลา ๒๒ นาฬิกา

ผู้ว่าราชการเมืองนี้ได้เลี้ยงอาหารแขก เครื่องดื่มนั้นมีแต่ “ซอร์เบค” (คือน้ำเจือกับน้ำผลไม้) อาหารและเครื่องดื่มไม่ถูกปากฉันเลย แต่จำใจต้องทนกลืนเข้าไป รุ่งขึ้น ม. วาแชร์ลงไปในเรือบัลลังก์ อันเป็นเรือพื้นประเทศนี้ และเดินทางต่อไปกรุงศรีอยุธยาเพื่อแจ้งความแก่เจ้าหน้าที่ว่าราชทูตฝรั่งเศสได้มาถึงสันดอนแล้ว และฉันก็ลงเรือกรรเชียงกลับไปขึ้นเรือรบของเรา

ก่อนออกจากบางกอก ฉันถามผู้ว่าราชการว่าจะซื้อผักผลไม้และเสบียงอาหารอย่างอื่น ๆ สำหรับบรรทุกไปเรือรบได้หรือไม่ เขาตอบว่า “หาไม่” (ซึ่งหมายความว่าไม่ได้) ทหารเรือของเราซึ่งคอยฟังข่าวฉันด้วยความร้อนใจ แลเห็นฉันนั่งเรือกรรเชียงกลับมาแต่ไกล ๆ ร้องตะโกนถามว่า ได้เสบียงอาหารมาเลี้ยงกันบ้างหรือไม่ ฉันร้องตอบไปว่า “หาไม่” ได้แต่รอยยุงกัดติดตัวมาเท่านั้น แมลงชนิดนี้มันรบกวนเราตลอดเวลาเดินทางไป

เราทอดสมออยู่ที่สันดอนห้าหกวันก็ไม่มีใครมา จนวันที่หกจึงเห็นข้าราชการไทยสองคนมากับ ม. เดอะลาโน หัวหน้าผู้สั่งสอนศาสนาซึ่งเป็นเจ้าคณะเดอะเมเตลโลโปลิส และท่านเจ้าวัดเดอะลิยอนน์ ข้าราชการไทยได้เชิญพระราชกระแสมาอวยพรท่านราชทูต และแสดงความเคารพตามอัชฌาสัยไมตรีแทนอัครมหาเสนาบดีไทย ต่อนั้นมาไม่ช้าก็มีคนนำเสบียงอาหารมาที่เรือรบ คราวแรกส่งมาแต่เล็ก ๆ น้อยๆ แต่ภายหลังส่งมาอีกมากมายจนพวกทหารเรือก็ได้กิน ไก่ เป็ด เนื้อลูกโคและผลไม้ประเทศร้อนทุกอย่าง แต่ผักสดที่เราต้องการมากนั้นส่งมานิดหน่อยเท่านั้น

การเตรียมรับรองให้ท่านราชทูตเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินนั้น เปลืองเวลาสิบห้าวัน ขนบธรรมเนียมการต้อนรับมีดังจะกล่าวต่อไปนี้ เขาสร้างศาลาที่พักไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำห่างๆ กันตลอดระยะทางที่เรือล่องขึ้นไป ศาลาที่พักนี้ทำด้วยไม่ไผ่และเอาผ้าผืนใหญ่ ๆ หุ้ม โดยเหตุที่เรือรบของเราเข้าไปในแม่น้ำไม่ได้ เพราะว่าน้ำที่สันดอนตื้นเรือผ่านไปไม่ได้ เขาจึงจัดเรืออื่นๆ มารับคณะทูต

เวลาเข้าไปในแม่น้ำนั้น ไม่มีพิธีรีตองอะไร นอกจากมีข้าราชการไทยออกมาต้อนรับท่านราชทูต และตามท่านไปในกระบวนแห่เรือ ระยะทางตั้งแต่สันดอนจนถึงกรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นราชธานี กินเวลาสิบห้าวัน

ฉันเว้นเสียมิได้ที่จะกล่าวในบันทึกนี้ว่า ผู้เขียนระยะทางมาประเทศนี้เป็นคนตามืด คนเหล่านั้นไปชมกรุงศรีอยุธยาทั่วประเทศฝรั่งเศสว่าเป็นราชธานีที่ไม่เล็กกว่ากรุงปารีส และอธิบายความสวยเอาตามอำเภอใจ สิ่งที่แน่นั้นประเทศไทยมีแต่ “โอทธยา” หรือ “ยุธยา” ซึ่งนับว่าเป็นนครหลวงเพียงนครเดียวนี้เท่านั้น

ศาลาที่พักทำด้วยไม้ไผ่ที่สร้างขึ้นตามระยะทางนั้นเคลื่อนที่ได้ พอท่านราชทูตและบริวารออกไปจากศาลาที่พักแล้ว เขาก็รื้อลง เพราะฉะนั้นศาลาที่สร้างสำหรับเลี้ยงอาหารวันนี้ก็ถูกย้ายไปใช้ในวันรุ่งขึ้น และศาลาที่สร้างสำหรับพักนอนคืนนี้ ก็เอาไปเตรียมไว้สำหรับคืนพรุ่งนี้ เราย้ายที่พักเช่นนี้เรื่อยไปจนเข้าไปใกล้กรุงศรีอยุธยา จึงถึงศาลาที่พักขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งไม่เคลื่อนที่ ท่านราชทูตได้ขึ้นไปอาศัยอยู่บนศาลานี้ จนถึงวันเข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน์ ในขณะที่รอคอยอยู่นั้น มีข้าราชการขั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายมาเยี่ยมท่านราชทูต อัคมหาเสนาบดีคองสตงส ก็มาเหมือนกัน ถึงแม้ว่ามาไม่ใช่ทางราชการ แต่ก็มีบริวารตามมาสมกันกับยศฐานันดรศักดิ์ของเขา

ก่อนอื่นเราพูดกันเรื่องขนบธรรมเนียมทูตเข้าเฝ้า ได้มีความเห็นแตกต่างกันว่าจะควรปฏิบัติอย่างไร ในการที่จะเชิญพระราชสาสน์ขึ้นถวายพระเจ้าแผ่นดิน ท่านราชทูตมีความประสงค์จะเชิญพระราชสาสน์เข้าไปถวายต่อพระหัตถ์พระนารายณ์มหาราช ความคิดเห็นเช่นนี้ ไม่ต้องด้วยราชประเพณีของประเทศนี้อย่างยิ่ง เพราะว่าราชประเพณีนั้นมีหลักว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งอำนาจสูงสุด เวลาเสด็จออกขุนนางต้องประทับเหนือคนทั้งปวงที่อยู่หน้าที่นั่ง โดยเหตุฉะนี้ราชทูตต้องอยู่ในท้องพระโรงพระที่นั่ง และเสด็จออกให้เฝ้าที่สีหบัญชร ถ้าจะให้พระราชสาสน์ถึงพระหัตถ์ ก็ต้องต่อแท่นเป็นอัฒจันทร์หลายขั้นไว้ที่หน้าสีหบัญชร ซึ่งฝ่ายไทยไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น ต่างฝ่ายมีความเห็นขัดข้องกันอยู่ดังนี้หลายวัน ฉันได้รับหน้าที่ไปเจรจาทาบทามความเห็นกันหลายครั้งหลายคราว ในที่สุดได้ตกลงกันว่าในวันเข้าเฝ้านั้น จะประดิษฐานพระราชสาสน์ไว้บนพานทอง ซึ่งต้องมีคันทำด้วยทองยาวประมาณสองศอกเศษ ท่านราชทูตจึงจะค้ำหรือทูนพานพระราชสาสน์ขึ้นไปถึงที่ประทับณสีหบัญชรนั้นได้

ถึงกำหนดวันเข้าเฝ้า บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายได้ลงเรือกัญญามาที่ศาลาที่พักของท่านราชทูต มีเรือพระที่นั่งและเรือราชการแผ่นดินนำหน้ามาก่อน เรือบัลลังก์หรือเรียกกัญญานี้เป็นเรือเล็กๆ ที่ ใช้กันแพร่หลายในประเทศนี้มีเป็นจำนวนมากเหลือที่จะนับถ้วนได้ ถ้าไม่มีเรือเหล่านี้แล้วก็ไปไหนมาไหนไม่ได้ เพราะว่าในปีหนึ่งน้ำท่วมถึงหกเดือน ด้วยว่าพื้นที่ดินต่ำมาก และเวลาฤดูฝนก็ตกไม่หยุดหย่อนเลย

เรือกัญญาเหล่านี้ทำด้วยไม้ทั้งต้น ขุดลงไปให้กลวง บางลำแคบมากจนฝีพายลงไปนั่งแทบไม่ได้ ลำที่ใหญ่สุดนั้นกว้างไม่เกินสองศอกครึ่งถึงสามศอก แต่ลำเรือยาวมาก เพราะฉะนั้นไม่เป็นการประหลาดเลยที่จะต้องใช้ฝีพายถึงแปดสิบคน และที่ต้องใช้ฝีพายถึงร้อยยี่สิบคนก็มี พายนั้นรูปร่างคล้ายเสียม กว้างราวเจ็ดนิ้ว ปลายเรียวลงไป ยาวเกือบสองศอก ฝีพายได้รับการฝึกหัดให้พายตามจังหวะเสียงนายท้ายเรือ เขาพายพร้อมกันเรียบร้อยจนน่าพิศวงมาก ในบรรดาเรือกัญญาเหล่านี้จะเห็นบางลำที่วิจิตรงดงามมาก โดยมากเป็นรูปสัตว์น้ำ เรือพระที่นั่งนั้นปิดทองอร่ามทั้งลำ

เรือที่มาที่ศาลาที่พักของท่านราชทูตนั้น ที่ไม่งามมีน้อยลำนัก เมื่อขุนนางผู้ใหญ่ขึ้นมาบนบกแสดงความเคารพท่านราชทูตแล้วก็กลับลงไปในเรือกัญญาอีก พายไปเป็นกระบวน ดังจะเล่าต่อไปนี้ พระราชสาสน์ของพระเจ้าอยู่หัวของเราซึ่งประดิษฐานอยู่ในบุษบกบนเรือกัญญานั้นนำหน้า ท่านราชทูต ท่านเจ้าวัดเดอะชัวสี และผู้ที่มาในคณะทูต ต่างคนต่างลงไปในเรือพระที่นั่งบ้าง เรือราชการแผ่นดินบ้าง ขุนนางไทยลงไปในเรือที่เขานั่งมา เรือเหล่านี้ได้ล่องขึ้นไปเป็นกระบวนตามลำดับนี้ในท่ามกลางเสียงปี่และกลองสนั่นหวั่นไหว ตลอดสองข้างฝั่งแม่น้ำจนถึงท่าเรือที่เราจะไปขึ้นนั้น เต็มไปด้วยประชาชนพลเมืองนับไม่ถ้วน ซึ่งพากันมาดูแห่พระราชสาสน์ อันเป็นของใหม่ ซึ่งไม่เคยมีมาแต่ก่อนนี้

กระบวนเรือนี้ไปหยุดที่ท่าไม่ห่างจากพระบรมมหาราชวังนัก เมื่อท่านราชทูตได้ขึ้นไปบนบก ก็พบเสลี่ยงหุ้มผ้ากำมะหยี่สีแดงพนักทองเสลี่ยงหนึ่ง กับเสลี่ยงอีกสองเสลี่ยงงามน้อยกว่า ซึ่งเจ้าพนักงานไทยเตรียมไว้สำหรับท่านเจ้าวัดเดอะชัวสีเสลี่ยงหนึ่ง และหัวหน้าผู้สอนศาสนาอีกเสลี่ยงหนึ่ง ท่านทั้งสามได้นั่งบนเสลี่ยงแล้ว มีคนหามไปจนถึงพระบรมมหาราชวัง ส่วนข้าราชการฝรั่งเศสในคณะทูตนั้นได้ขี่ม้าตามเสลี่ยงไป

แรกเริ่มเดิมทีเราได้ไปถึงพระลานกว้างขวางแห่งหนึ่ง มีช้างเป็นจำนวนมากยืนอยู่สองแถว เราผ่านไปในระหว่างกลางและได้เห็นช้างเผือกช้างหนึ่ง ซึ่งคนไทยนิยมมากยืนอยู่ห่างจากช้างอื่นๆ ผ่านจากพระลานนี้เราเข้าไปอีกพระลานหนึ่ง ซึ่งมีกองทหารประมาณห้าหรือหกร้อยคน ที่ต้นแขนทาเป็นปลอกสีน้ำเงิน อันเป็นเครื่องหมายว่าทหารยามรักษาพระองค์ เมื่อได้ผ่านพระลานไปอีกหลายพระลานแล้ว เราได้มาถึงพระที่นั่งที่เสด็จออกขุนนาง เป็นรูปยาวรีสี่เหลี่ยม มีอัฒจันทร์ขึ้นไปเจ็ดหรือแปดขั้น

ท่านราชทูตนั่งบนเก้าอี้ ถือพานพระราชสาสน์ ท่านเจ้าวัดเดอะชัวสีนั่งอยู่ข้างขวาบนตั่งต่ำกว่าเก้าอี้ เจ้าคณะเดอะเมเตลโลโปลิสนั่งอยู่ข้างซ้ายบนพรมผืนเล็กที่ปูทับพรมที่ลาดพื้นพระที่นั่ง พรมผืนเล็กนั้นจัดไว้เฉพาะเจ้าคณะเดอะเมเตลโลโปลิส และสะอาดกว่าพรมผืนใหญ่ ขุนนางฝรั่งเศสที่มาในคณะทูตนั่งขัดสมาธิบนพื้น เจ้าพนักงานได้แนะนำเราว่าให้ระวังอย่าให้เท้ายื่นออกมา ถ้าเหยียดเท้าออกมาแล้วนับว่าเป็นการหยาบช้ามาก ท่านราชทูต ท่านเจ้าวัดเดอะชัวสีและเจ้าคณะเดอะเมเตลโลโปลิสนั่งแถวเดียวกัน หันหน้าไปทางพระราชบัลลังก์ พวกเราชาวฝรั่งเศสนั่งอยู่ข้างหลังเรียงกันเป็นแถวเหมือนกัน ทางซ้ายขุนนางผู้ใหญ่นั่งเรียงตามลำดับยศฐานันดรศักดิ์ ตลอดไปจนจดพระทวารพระที่นัง

เมื่อทุกคนเข้านั่งดังนี้แล้ว เราได้ยินเสียงกลองใหญ่ดังขึ้นหนึ่งที บรรดาขุนนางไทยซึ่งมีเครื่องแต่งกาย คือ นุ่งผ้าพื้นคลุมตั้งแต่สะเอวลงไปครึ่งน่อง ใส่เสื้อมัสลินแขนสั้น และสวมลอมพอกขาว ได้ยินอาณัติสัญญาณนั้นแล้ว หมอบลงราบหัวเข่าและข้อศอกยันกับพื้น ที่ขุนนางไทยหมอบลงเป็นแถว เสียงกลองที่ดังขึ้นทีหนึ่งนั้น ได้ดังขึ้นอีกหลายที เว้นเป็นระยะ ๆ ไป พอถึงทีที่หก พระนารายณ์มหาราชทรงเผยพระบัญชรเสด็จออกให้เราเฝ้า

พระมหากษัตริย์พระองค์นี้ทรงพระมาลายอดแหลม คล้ายกันกับหมวกยอดที่เราเคยใช้กันมาในประเทศฝรั่งเศสในกาลก่อน แต่ริมไม่กว้างกว่าหนึ่งนิ้ว พระมาลานั้นมีสายรัดทำด้วยไหมทาบใต้พระหนุ ทรงฉลองพระองค์เยียระบับสีเพลิงสลับทอง สอดพระแสงกริชไว้ที่รัดพัตรอันวิจิตรงดงาม และทรงพระธำมรงค์อันมีค่าทุกนิ้วพระหัตถ์ พระเจ้าแผ่นดินไทยพระองค์นี้ทรงมีพระชนมายุราวห้าสิบพรรษา ซูบพระองค์มาก พระสรีระรูปแบบบาง ไม่ทรงไว้พระทาฐิกะที่เบื้องซ้ายพระหนุมีพระคินถิมเม็ดใหญ่ ซึ่งมีพระโลมาสองเต้นห้อยลงมายาว เมื่อท่านราชทูตก้มศีรษะลงถวายอภิวาทแล้ว ก็กล่าวคำกราบบังคมทูลพระกรุณา เจ้าพระยาวิชเยนทร์มีหน้าที่เป็นล่าม เสร็จแล้วท่านราชทูตเดินเข้าไปจนใกล้สีหบัญชรและยื่นพระราชสาส์นขึ้นไปเพื่อทรงรับพระราชสาส์น พระนารายณ์มหาราชต้องทรงเอื้อมพระหัตถ์ก้มพระองค์ออกมานอกสีหบัญชรเกือบครึ่งพระองค์ ที่ท่านราชทูตถวายพระราชสาสน์ต่อพระหัตถ์เช่นนั้น คงแกล้งทำด้วยความตั้งใจ หรือเห็นว่าคันทองที่จะทูนพานพระราชสาสน์ขึ้นไปนั้นยาวไม่พอ๑๐

พระนารายณ์มหาราชได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับท่านราชทูตพอเป็นสังเขป ตรัสถามว่าพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงพระราชสำราญดีอยู่หรือ พระราชวงศ์ทรงมีความสุขสบายดีหรือ และประเทศฝรั่งเศสมีความวัฒนาถาวรเพียงไร ในที่สุดเสียงกลองใหญ่ดังขึ้นอีกทีหนึ่ง พระนารายณ์มหาราชเสด็จขึ้นข้างใน และขุนนางไทยลุกขึ้นนั่ง

เสร็จการเฝ้าถวายพระราชสาสน์แล้ว เราเดินเป็นกระบวนออกจากท้องพระโรงพระที่นั่ง และเจ้าพนักงานได้นำท่านราชทูตไปอาศัยอยู่ที่ตึกหลังหนึ่ง ซึ่งได้จัดเตรียมไว้พร้อมสรรพแล้ว ตึกนี้ก่อด้วยอิฐ เป็นตึกที่นับว่างามที่สุดในราชธานีนี้ พระบรมมหาราชวังนั้นกว้างขวางมากจริง เคหะสถานอาคารอื่นๆ ในกรุงนั้นมีแต่เรือนฝากระดาน หรือเรือนขัดแตะมุงหลังคาจากทั่วไป เว้นแต่ตึกในถนนแถวหนึ่งซึ่งมีราวสองร้อยหลังที่ก่อด้วยอิฐ แต่ก็เล็กมากและมีชั้นเดียวเท่านั้น ตึกเหล่านี้เป็นที่อาศัยของแขกมัวร์และจีน ส่วนวัดวาอารามนั้นสร้างด้วยอิฐ พระอุโบสถมีรูปคล้ายวัดของเรา กุฏิที่จำวัดของพระภิกษุสงฆ์นั้นทำด้วยไม้ไม่ผิดกันกับบ้านเรือนคนอื่น ๆ

นอกจากเฝ้าถวายพระราชสาสน์แล้ว ท่านราชทูตได้เฝ้าเป็นทางราชการอีกหลายครั้ง เบื่ออะไรไม่เบื่อเท่ากับไปในงานพระราชพิธีในประเทศนี้ ต้องตระเตรียมทำความตกลงโน่นนิดนี่หน่อยร้อยพันครั้ง ไม่มีการเบิกเฝ้าเป็นทางส่วนตัวเลย ในหน้าที่ควบคุมคณะทูตรับใช้ท่านราชทูต ฉันต้องคอยรับบัญชาไปเรียนพระราชปฏิบัติไม่หยุดหย่อน ที่ต้องทวนไปทวนมาเช่นนี้ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทดี พระนารายณ์มหาราชจึงโปรดปรานฉันมาก ฉันไม่ทราบว่าจะควรกล่าวลงในบันทึกนี้หรือไม่ว่าที่ฉันเป็นคนโปรดนั้น จะเรียกว่าเป็นกุศลบุญหรือกรรมของฉัน อย่างไรก็ดีได้มีพระราชกระแสรับสั่งกับเจ้าพระยาวิชเยนทร์ว่ามีพระราชประสงค์ที่จะเอาตัวฉันไว้ในประเทศนี้ อัครมหาเสนาบดีผู้นี้ซึ่งมีความเห็นไกล และมีสาเหตุหลายประการที่ไม่ต้องการให้ฉันกลับไปประเทศฝรั่งเศส ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาว่าในการที่จะแต่งตั้งราชทูตไทยไปเจริญทางพระราชไมตรีกับพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้น ต้องเอาตัวข้าราชการฝรั่งเศสคนใดคนหนึ่งไว้เป็นประกันความมิดีมิร้ายที่ราชทูตไทยพึงได้ประสบที่พระราชสำนักของเรา เพราะฉะนั้นเจ้าพระยาวิชเยนทร์เห็นชอบด้วยพระราชดำริที่จะเอาตัวฉันไว้

วิชเยนทร์จึงไปพูดทาบทามความเห็นท่านราชทูต ๆ ตอบว่าท่านหามีสิทธิในทางอาชีพของฉันไม่ ยิ่งฉันเป็นผู้มีตระกูลดีและมีตำแหน่งหน้าที่ในราชการฝรั่งเศสเป็นสําคัญอยู่แล้ว ก็ย่อมเป็นการยากที่จะบังคับความสมัครใจของฉันได้ ถึงแม้ว่าวิชเยนทร์ต้องจำนนฉะนี้แล้วก็หาเข็ดไม่ เขาเรียนท่านราชทูตโดยตรงว่าพระนารายณ์มหาราชมีพระราชประสงค์จะเอาตัวฉันไว้เป็นประกัน

ท่านราชทูตตกใจมากที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้น จึงปรึกษาหารือท่านเจ้าวัดเดอะชัวสีต่อหน้าวิชเยนทร์ เพื่อหาทางอนุโลมตามพระราชประสงค์ ท่านเจ้าวัดเดอะชัวสีรับฉันทะมาถามความเห็นฉันว่าจะสมัครรับราชการอยู่ในประเทศนี้หรือไม่ ฉันตอบว่านอกจากความรำคาญที่พึงจะได้รับในการที่จะต้องอยู่ไกลจากบ้านเกิดเมืองมารดรเช่นนี้แล้ว ขนบธรรมเนียมของประเทศนี้ก็ตรงกันข้ามกับขนบธรรมเนียมของเรา ฉันไม่สมัครที่จะสละหน้าที่ราชการของฉันมารับราชการในประเทศนี้ จะได้ตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตสักเพียงไร ก็ไม่เท่าเทียมตำแหน่งหน้าที่อันน้อยที่ฉันมีอยู่ในขณะนี้

ท่านเจ้าวัดเดอะชัวสีเห็นพ้องด้วยความเห็นของฉันจึงไปเล่าความคิดเห็นนี้ให้วิชเยนทร์ทราบ วิชเยนทร์พูดว่า “เชวาลิเอร์เดอะฟอร์บัง ไม่ต้องวิตกว่าจะไม่ได้บำเหน็จความชอบ” ลาภยศนั้นยกไว้เป็นหน้าที่ของเขาเถิด วิชเยนทร์พูดว่าฉันยังไม่รู้จักประเทศนี้ดีพอ เขาจะตั้งให้ฉันเป็นนายพลผู้บัญชาการทัพบกและทัพเรือ และผู้ว่าราชการเมืองบางกอกด้วย ในเวลาไม่ช้าเขาจะสร้างป้อมปราการขึ้นที่เมืองนั้น และให้ทหารฝรั่งเศสมาควบคุม

ท่านเจ้าวัดเดอะชัวสีมาเล่าข้อความนี้ให้ฉันทราบ ฉันก็ไม่เห็นว่าตำแหน่งหน้าที่นั้นจะประเสริฐอย่างไร ท่านราชทูตจึงมาพูดปลอบใจฉันว่า ตามความเห็นส่วนตัวของท่านแล้ว ท่านเห็นว่าฉันควรอยู่รับราชการในประเทศนี้ตามพระราชประสงค์ของพระนารายณ์มหาราช

เมื่อเห็นว่าท่านราชทูตมาพูดเซ้าซี้ ฉันจึงตอบท่านว่า ท่านจะมีความเห็นอย่างไรก็ตาม ฉันไม่ยอมอยู่ในประเทศไทยเป็นอันขาด เว้นเสียแต่ว่าท่านจะบัญชาสั่งว่าพระเจ้าอยู่หัวของเรามีพระบรมราชโองการให้ฉันอยู่ที่นี่ ท่านราชทูตจึงพูดว่า ถ้าเช่นนั้นท่านสั่งให้ฉันอยู่รับราชการในประเทศนี้ ไม่ทราบว่าจะพูดปัดอย่างไรได้อีก ฉันจึงยอมทำตามคำสั่งของท่าน แต่ได้ขอร้องให้ท่านทำคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรมอบไว้แก่ฉัน ท่านราชทูตก็มีความกรุณาเขียนคำสั่งให้ฉัน ล่วงมาสี่วันฉันก็ได้รับพระราชทานยศเป็นนายพลเรือและผู้บัญชาการทหารบก พร้อมกันกับกระบี่และเสื้อยศตามตำแหน่งนั้น

ในขณะนั้นวิชเยนทร์หาอุบายที่จะเอาตัวฉันไว้ในประเทศไทย เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเขาโดยเฉพาะ เขาหาลืมที่จะพยายามให้ชาวฝรั่งเศสเห็นแต่ความดีความงามของประเทศนี้ไม่ เขาได้จัดให้มีงานรื่นเริงเรื่อยไปตลอดเวลา ได้เอาสิ่งของอันมีค่าที่มีอยู่ในพระคลังมหาสมบัติมาแจกจ่ายราชทูตและชาวฝรั่งเศส ปิดบังข้อความว่าภาชนะเงินทองและเพชรนิลจินดาเหล่านั้นเป็นพระราชทรัพย์ที่ได้สะสมมาไว้หลายรัชกาลแล้ว เพราะว่าในประเทศนี้เห็นกันว่าถ้าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดได้ทรงสะสมพระราชทรัพย์ไว้ได้มากเพียงไร ก็เป็นการเชิดชูพระเกียรติยศพระมหากษัตริย์พระองค์นั้น และถึงแม้ว่าพระมหากษัตริย์มีพระราชประสงค์ที่จะจำหน่ายสิ่งของเหล่านั้น พระองค์เองก็ยังไม่กล้าแตะต้องสิ่งที่อดีตมหาราชได้ทรงสะสมไว้

วิชเยนทร์ยังได้พาพวกเราไปดูวัดวาอารามที่งามที่สุดทั้งในกรุงและหัวเมือง พระพุทธรูปนั้นสร้างด้วยปูนแล้วปิดทองอันเป็นศิลปหัตถกรรมอย่างปราณีต ดูเผินๆ ก็ว่าเป็นทองแท้ วิชเยนทร์ไม่ละเลยที่จะบอกเราว่าพระพุทธรูปเหล่านั้นหล่อด้วยทองคำแท้ๆ คนเราก็เชื่อเอาง่ายๆ เพราะว่าเอามือไปลูบคลำไม่ได้ และโดยมากพระพุทธรูปเหล่านั้นก็ประดิษฐานอยู่บนที่สูง บางวัดก็มีลูกกรงเหล็กกั้นพระพุทธรูปไว้ ไม่เปิดประตูให้เข้าไปดูใกล้ๆ เลย

เครื่องราชบรรณาการที่วิชเยนทร์จัดส่งไปถวายพระเจ้าอยู่หัวของเราและพระราชวงศ์นั้น ก็เป็นความมุ่งหมายอันลี้ลับของเขาอย่างหนึ่งเหมือนกัน เขาผลาญประเทศไทยเพื่อให้ชาวฝรั่งเศสเห็นว่าประเทศนี้มั่งมีเพียงไร ถ้าอ่านรายงานและจดหมายเหตุรายวันของแปร์ตาชารต์และของลับเบเดอะชัวสีแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าวิชเยนทร์จัดทำทุกสิ่งทุกอย่างจนเกินไป ไม่พักแต่เพียงจะแสวงหาสิ่งที่หาได้ในประเทศนี้ ยังซ้ำไปบรรทุกสิ่งของที่หายากมาจากประเทศจีนและญี่ปุ่นอีกด้วย และไม่ยอมหยุดส่งไปลงเรือรบของเรา จนไม่มีที่เหลือพอที่จะบรรทุกไปได้

แม้ทหารเรือฝรั่งเศสก็ได้รับของกำนัลทุกคน จะไม่พากันรู้สึกว่าวิชเยนทร์เป็นคนใจกว้างขวางอย่างไรได้ ท่านสมุหนายก (หรืออัครมหาเสนาบดีไทย) ผู้ฉลาดหลอกลวงราชทูตและชาวฝรั่งเศสได้ด้วยประการฉะนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นกุศโลบายของวิชเยนทร์ที่จะยังความสำเร็จแก่ความมักใหญ่ใฝ่สูงของเขา

ในขณะที่ท่านราชทูตกำลังเตรียมตัวที่จะกลับไปประเทศฝรั่งเศสเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมลา และฉันต้องอยู่ในประเทศนี้ ฉันจึงไม่รู้ว่าจะเอาเงินสี่สิบชั่ง ค่าแก้วประพาฬของนางรุยเลต์ ไปซื้ออะไรได้ ฉันจึงนำเอาเงินจำนวนนั้นไปมอบให้สมุหบัญชีของบริษัท คองปันยี เดส์อังด์ส์ และรับใบแลกเงินส่งไปให้นางรุยเลต์ แก้ตัวว่าหาซื้ออะไรตามความประสงค์ของเขาไม่ได้ เมื่อถึงกำหนดวันที่ราชทูตจะออกเรือไป วิชเยนทร์และฉันได้ตามไปส่งท่านถึงในเรือรบ เมื่อได้แสดงความอาลัยที่จะต้องจากกัน และอำลากันตามอัธยาศัยไมตรีแล้ว เราทั้งสองลงเรือกลับไปเมืองละโว้

บัดนี้ ถึงเวลาที่จะบรรยายนโยบายการเมืองของวิชเยนทร์ไว้ตอนหนึ่ง และภายหลังจะเล่าสาเหตุที่เขาต้องการเอาตัวฉันไว้ในประเทศนี้ สมุหนายกไทยผู้นี้เป็นชาวประเทศกรีซ (โยนกประเทศ) เป็นบุตรเจ้าของร้านขายสุราที่หมู่บ้าน คุสโตท ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะ เสฟาโลนี ที่มาได้ตำแหน่งสูงและคงอยู่ได้นั้น ทำให้ขุนนางไทยทั้งหลายและประชาชนพลเมืองเกลียดชังและริษยามาก

แรกเริ่มเดิมทีเขาไปรับใช้เจ้าพระยาพระคลัง ซึ่งเป็นสมุหนายก๑๑ กิริยานุ่มนวลกอปรด้วยความเพียร และความเฉลียวฉลาดของเขานั้นเป็นที่ถูกใจท่านเจ้าพระยาพระคลังมาก นายของเขาไว้วางใจให้สมบัติพัสถานเป็นอันมาก และนำไปถวายตัวพระนารายณ์มหาราชว่าจะเป็นกำลังในราชการมาก

พระนารายณ์มหาราชได้ทรงรู้จักคนๆ นี้ไม่นานก็ไว้วางพระราชหฤทัยมาก แต่ด้วยความอกตัญญูที่น่าชังนัก คนโปรดใหม่นี้ไม่ชอบมีคู่แข่ง แอบอิงอำนาจในราชการเพ็ดทูลกล่าวร้ายหาความผิดใส่ตัวเจ้าพระยาพระคลัง ทำให้ทรงสงสัยความประพฤติท่านผู้นี้แล้ว ยุแหยให้ปลดข้าราชการที่มีความจงรักภักดีและซื่อสัตย์ออกเสียจากราชการ เจ้าพระยาพระคลังผู้มีพระคุณแก่เขาคนนี้แหละเป็นคนแรกที่เขาประทุษร้าย เพื่อความมักใหญ่ไฝ่สูงของเขา คนทั้งประเทศจึงเริ่มเกลียดคน ๆ นี้มาก

ขุนนางผู้ใหญ่และผู้น้อยแค้นเคืองวิชเยนทร์เป็นอย่างยิ่ง ขุนนางพวกนี้เกรงว่าจะถูกกล่าวร้ายเช่นเดียวกัน จึงสมรู้ร่วมคิดกันลับ ๆ ที่จะสำเร็จโทษวิชเยนทร์เสีย แต่ไม่ทันมีโอกาส คน ๆ นี้รู้ตัวก่อน จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ลงพระราชอาญาประหารชีวิตผู้ร่วมคิดชิงความชอบเสียมากกว่าสามร้อยคน แต่นั้นไปวิชเยนทร์รู้ดีว่าพระนารายณ์มหาราชทรงมีพระราชนิสัยอ่อนแอ จึงได้อ้างพระราชอำนาจมากดขี่รีดเนื้อประชาชนพลเมือง สะสมพระราชทรัพย์ไว้เป็นอันมาก โดยริบสินค้าประการหนึ่งและทำการค้าขายอีกประการหนึ่ง เพราะว่าเขาเป็นคนๆ เดียวที่ทำการค้าขายกับต่างประเทศได้

การล่วงพระราชอำนาจจนเหลือเกินดังนี้ วิชเยนทร์แก้ตัวว่า เขาได้ทำเพื่อสาธารณประโยชน์ แต่คนทั้งประเทศไม่ชอบพอเขาเลย ได้ร่วมคิดกันลับ ๆ ยังไม่มีใครกล้าทำการเปิดเผยเลย รอคอยเวลาจะก่อการกบฏ เมื่อโรคาพยาธิเบียดเบียนพระนารายณ์มหาราช โอกาสนั้นใกล้เข้ามาแล้ว เพราะว่าเวลานี้ก็ทรงพระชราและประชวรอยู่บ้างแล้ว

วิชเยนทร์รู้ตัวอยู่ดีแล้วว่าขุนนางทั้งหลายไม่ชอบพอเขา เขามีไหวพริบและความเชื่อมั่นมากเกินไปว่าที่ได้ลงพระราชอาญาอย่างหนักแก่ขุนนางที่เอาใจออกหากมาแล้ว คงเป็นตัวอย่างที่จะไม่ให้คนอื่นๆ ลืมตัวและกลับสมรู้ร่วมคิดกันก่อการจลาจลขึ้นอีก นอกจากนี้วิชเยนทร์รู้ดีกว่าใคร ๆ ว่าเขาต้องพึ่งพระบารมีพระนารายณ์มหาราช ตราบใดที่ไม่ประชวรและมีพระกำลังแข็งแรงแล้ว ตราบนั้นก็ไม่ต้องมีความวิตก เขารู้ดีว่าถ้าเกิดการกบฏขึ้นแล้ว เขาจะเอาตัวรอดไม่ได้ ถ้าประเทศต่างด้าวประเทศหนึ่งไม่ช่วยเหลือและคุ้มครองให้เขาดำรงสถานะอยู่ในพระราชอาณาจักรนี้ได้

ความมุ่งหมายของเขามีอยู่อย่างเดียวเช่นนี้ วิชเยนทร์จึงได้กราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงรับรองชาวต่างประเทศ และทรงมอบป้อมปราการให้ควบคุม ต่อมาได้กราบบังคมทูลแนะนำว่า ถ้าได้มีพระราชสัมพันธไมตรีกับชาวต่างประเทศแล้ว ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์นานัปการ พระนารายณ์มหาราชก็ทรงเชื่อถ้อยคำของสมุหนายกผู้นี้ ความยากลำบากนั้นจะเลือกทำพระราชสัมพันธไมตรีกับพระมหากษัตริย์ต่างประเทศพระองค์ใด

วิชเยนทร์ซึ่งทำอะไรก็เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเขา หาคิดที่จะทำสัมพันธไมตรีกับพระมหากษัตริย์แห่งประเทศใกล้เคียงไม่ เขารู้ดีว่าพระมหากษัตริย์ที่ปกครองประเทศซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงประเทศไทยนั้นไม่มีความสัจ เขาจึงเกรงว่าเมื่อพระมหากษัตริย์นั้น ๆ ได้สิ่งแลกเปลี่ยนสมพระราชประสงค์แล้ว คงจะทรงมอบตัวเขาให้ขุนนางไทยนำตัวขึ้นศาลว่าทรยศแก่แผ่นดิน หรือมิฉะนั้นก็ทรงขอให้ประหารซีวิตเขาก่อนจะตั้งต้นทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี

เขาไม่เห็นลู่ทางที่จะเอาอะไรไปล่อชาวอังกฤษ วิลันดา สเปน หรือโปรตุเกสได้ เพราะว่าประเทศไทยไม่มีสินค้ามากพอที่จะแลกเปลี่ยนกับประเทศนั้น ๆ ได้ จึงนึกว่าหลอกลวงชาวฝรั่งเศสได้ง่ายกว่า เหตุฉะนั้น วิชเยนทร์จึงได้กราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทำพระราชสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าอยู่หัวของเรา โดยแต่งตั้งคณะทูตไทยที่กล่าวมาข้างบนนี้ให้ออกไปชี้แจงว่า พระนารายณ์มหาราชมีพระราชดำริที่จะทรงเข้ารีตนับถือคริสตศาสนา ความจริงพระนารายณ์มหาราชไม่เคยมีพระราชดำริเช่นนั้นเลย พระเจ้าอยู่หัวของเราทรงเชื่อว่า พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทยทรงมีพระราชศรัทธาทีจะทรงเข้ารีตจริง จึงทรงแต่งตั้งเชวาลิเอร์ เดอะโชมองต์ เป็นราชทูตมาเชื่อมทางพระราชไมตรีกับพระนารายณ์มหาราช

วิชเยนทร์เห็นว่าความคิดของเขาสมประสงค์ไปบ้างแล้ว จึงคิดการที่จะให้นโยบายนั้นสำเร็จผลตลอดไปตามความมักใหญ่ใฝ่สูงของเขา เขาได้บอกเชวาลิเอร์ เดอะโชมองต์ ว่า ชาววิลันดาคิดที่จะขยายการค้าขายในประเทศนี้ให้กว้างขวาง และมีความประสงค์มานานแล้วที่จะมาตั้งคลังสินค้าในประเทศไทย แต่พระนารายณ์มหาราชไม่ทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วย ทรงเกรงว่าชาววิลันดาซึ่งมีความโลภมากจะมาเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในประเทศนี้ เหตุฉะนั้นถ้าพระเจ้าอยู่หัวของเรา ซึ่งเขามีความเชื่อมั่นว่า ทรงมีพระราชอัชฌาสัยเที่ยงธรรม มีพระราชประสงค์ที่จะทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีกับพระนารายณ์มหาราชแล้วเขาจะจัดการมอบป้อมปราการที่บางกอกให้ชาวฝรั่งเศส ป้อมปราการนี้เป็นที่มั่นสำคัญนัก นับว่าเป็นกุญแจของประเทศไทยก็ได้ เขาขอแต่ให้ทรงจัดส่งกองทหารพร้อมทั้งช่างและเงินมาลงมือควบคุมก่อสร้างให้แข็งแรงขึ้นเท่านั้น

เชวาลิเอร์เดอะโชมองต์และท่านเจ้าวัดเดอะชัวสี ซึ่งทราบความนี้ ไม่เห็นว่าจะทำตามได้ง่ายนัก จึงไม่ยอมรับรู้ด้วย แปร์ตาชารต์ไม่ขัดข้อง เริ่มแรกตกตะลึงเห็นไปว่าประโยชน์ที่พึงได้จากการทำหนังสือสัญญาเช่นนี้มีมาก แต่แท้จริงประโยชน์ที่ยกขึ้นพูดนั้นเกินความจริง ท่านนักบวชเจสูอิตนิกายรูปนี้ถูกวิชเยนทร์สมุหนายกผู้ฉลาด และไม่มีความจริงใจหลอกลวงทั้งนั้น เขาสวมหน้ากากซ่อนเร้นความมุ่งหมายไว้ใต้ความศรัทธาแก่กล้าในศาสนา เขายกข้อความขึ้นพูดว่า ข้อเสนอของเขานั้นจะช่วยให้ศาสนกิจแผ่ไพศาลไป พระนารายณ์มหาราชต้องทรงเข้ารีตแน่ และกองทหารฝรั่งเศสที่จะมาควบคุมป้อมปราการที่บางกอกนั้น ก็จะอุดหนุนให้ผู้สั่งสอนศาสนาทำกิจการได้ดีปราศจากอุปสรรคทั้งปวง นอกจากนี้ วิชเยนทร์ยังได้สัญญาว่าจะอุปการะลัทธิเจสูอิต จะสร้างวิทยาลัย และหอดูดาวขึ้นที่เมืองละโว้ด้วย สรุปรวมความทั้งมวล แปร์ตาชารต์ เห็นว่าการทำหนังสือสัญญาที่มีข้อความดังที่ระบุมาข้างบนนี้ยังประโยชน์แด่พระมหากษัตริย์ ศาสนา และบริษัทค้าขายฝรั่งเศสเป็นอเนกประการจึงไม่ยับยั้งที่จะให้คำมั่นสัญญาแก่วิชเยนทร์ ว่าจะรับภาระไปเป็นผู้เจรจาการทำหนังสือสัญญา และพูดว่า หวังใจว่าแปร์ เดอะลาเชสคงจะช่วยเหลือและเพ็ดทูลพระเจ้าอยู่หัวของเราให้ทรงเห็นชอบด้วย

แต่นั้นมา แปร์ ตาชารต์เป็นผู้ที่ทราบความลับของคณะทูตดี ได้ตกลงใจที่จะกลับไปประเทศฝรั่งเศสและควบคุมคณะทูตไทยไปด้วยพร้อมกัน เมื่อเขาทำความตกลงกันเช่นนี้แล้ว ถ้าฉันกลับไปประเทศฝรั่งเศสด้วย ความคิดของวิชเยนทร์อาจมีอุปสรรค จึงกักตัวฉันไว้ สาเหตุที่กักตัวฉันไว้มีดังจะเล่าต่อไปนี้ ในหน้าที่ควบคุมคณะทูตฝรั่งเศสนั้น ฉันได้ทำความติดต่อกับวิชเยนทร์หลายคราว เขาจึงรู้ดีว่าฉันมีนิสัยพูดจาตลกคะนอง และพูดตรงไปตรงมา ไม่เคยอำพรางเลย เขาจึงเกรงว่าฉันจะไปเที่ยวพูดว่าประเทศไทยไม่มั่งคั่ง และไม่มีการค้าขายเป็นล่ำสันพอที่ชาวฝรั่งเศสจะพากันมาอยู่ในประเทศนี้ โดยเหตุที่ฉันไม่เคยมีความสงสัยเลยว่าความมุ่งหมายของวิชเยนทร์มีอยู่อย่างไร เขาจึงเกรงว่าถ้าฉันกลับไปประเทศฝรั่งเศสแล้ว ก็คงจะประพฤติตัวเช่นเดียวกันกับอยู่ในประเทศนี้ และถ้าฉันไปโฆษณาว่าฉันมีความคิดความเห็นว่าประเทศไทยเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ถ้อยคำนั้นอาจทำลายนโยบายที่เขาตั้งใจไว้ว่าจะให้สำเร็จตามความมุ่งหมายของเขาจนได้

ถ้าพูดตามความเป็นจริงแล้ว วิชเยนทร์ไม่คิดผิดเลยที่ไม่ไว้วางใจฉัน เพราะว่าฉันจะละเลยเสียมิได้ที่จะไม่เล่าข้อความที่ฉันได้รู้เห็น ความจงรักภักดีที่ฉันมีแด่พระมหากษัตริย์ และชาติบังคับใจไม่ให้ฉันนิ่งดูการตระเตรียมจัดส่งคณะทูตฝรั่งเศสออกไปประเทศไทย อันเป็นการเปลืองพระราชทรัพย์และไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง วิชเยนทร์เกรงว่าฉันจะไขความจริงในเรื่องนี้ แล้วทำลายนโยบายของเขา เขาจึงขวนขวายทุกทางที่จะกักตัวฉันไว้ในประเทศนี้จนได้

สาเหตุเหล่านี้สะดุดใจฉันเมื่อคณะทูตฝรั่งเศสและไทยได้ออกเรือไปแล้ว และภายหลังเวลาที่ฉันได้สนทนากันกับวิชเยนทร์เป็นเวลานาน ในเวลาที่พูดกันนั้นเขาได้ขยายสาเหตุที่ฉันได้เล่ามาข้างบนนี้ให้ทราบโดยมาก นอกนั้นฉันสืบทราบความถี่ถ้วนชัดเจนจากการสนทนากับผู้ที่รู้ความจริง และจากความสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลำดับมา อันพิสูจน์ให้เห็นว่าข้อความที่ได้บรรยายมาแล้วนั้นมีมูล บัดนี้ฉันจะเล่าพฤติการณ์ที่บังเกิดขึ้นแก่ตัวฉันในเวลาอยู่ในประเทศนี้

เมื่อคณะทูตฝรั่งเศสและไทยลงเรือไปแล้ว ฉันกลับไปเมืองละโว้พร้อมกันกับวิชเยนทร์ เมืองละโว้ (ลพบุรี) นั้นเป็นที่ประทับในชนบทของพระนารายณ์มหาราช ตามปรกติประทับอยู่ที่เมืองนั้นเป็นนิจ เสด็จไปพระนครศรีอยุธยา ซึ่งอยู่ห่างกันประมานเจ็ดร้อยเส้นนานๆ ครั้งหนึ่ง และเมื่อมีงานพระราชพิธี เมื่อฉันมาถึงเมืองละโว้ เขานำฉันเข้าไปในพระราชวังเป็นครั้งแรก ภาวะของขุนนางไทยที่ฉันได้ประสบนั้น ทำให้ฉันประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

ขุนนางทั้งปวงนั้นนั่งอยู่บนเสื่ออ่อนจับกลุ่มกันเป็นวง ๆ ไป ฉันได้เห็นเครื่องแต่งลานพระราชวังที่ผิดกันไกลกับเครื่องแต่งพระราชสำนักของเรา ฉันจึงถามวิชเยนทร์ว่า ความเป็นสง่าผ่าเผยของขุนนางไทยมีเพียงภาพที่สะดุดตาฉันเพียงนี้หรือ เขาตอบว่า มีเพียงเท่านั้นแหละ เมื่อเขาพูดออกมาเช่นนั้นแล้ว และเห็นฉันนิ่งอั้น เขากระซิบบอกความออกมาโต้ง ๆ ซึ่งแต่ก่อนนี้ก็ไม่เคยปริปากออกมาเลยว่าที่ฉันเห็นภาพนั้นอย่าประหลาดใจ ความจริงประเทศนี้จนมาก แต่ฉันไม่ต้องวิตกว่าจะไม่มีทั้งลาภและยศ ดูตัวเขาเองซิ เขาได้สะสมทรัพย์สมบัติไว้ได้มากแล้ว ในตอนท้ายความสนทนาเขาขยายสาเหตุที่เขากักตัวฉันไว้ในประเทศนี้ออกมาตรง ๆ ดังมีข้อความที่ฉันได้บันทึกไว้ข้างบนนี้แล้ว

ตลอดเวลาสองเดือน ฉันเข้าไปในพระราชวังทุกวัน แต่ไม่เห็นพระองค์พระนารายณ์มหาราชสักครั้งเดียว ต่อมาภายหลังจึงได้เข้าเฝ้าบ่อยๆ วันหนึ่งมีพระราชกระแสถามฉันว่า ฉันไม่รู้สึกสบายใจหรือที่ได้มาอยู่ในพระราชสำนักนี้ ฉันเห็นว่าไม่เป็นการจำเป็นที่จะกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทราบความจริงใจของฉัน จึงสนองพระราชกระแสว่า ฉันมีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มารับราชการฉลองพระเดชพระคุณ อย่างไรก็ตาม สิ่งไรในโลกก็คงไม่มีความเท็จเท่าคำที่ฉันกราบบังคมทูลมานี้ ความเสียใจที่ไม่ได้กลับไปประเทศฝรั่งเศสนั้น ทวีมากขึ้นทุกขณะ

พระนารายณ์มหาราชเป็นผู้ทรงพระวินิจฉัยคดีทั้งปวงและให้ลงพระราชอาญาเอง เหตุฉะนั้นจึงไม่มีใครที่จะรอดพ้นพระราชอาญาไปได้เลย แม้พระราชโอรสและพระเจ้าน้องยาเธอก็ไม่ได้ความยกเว้นผิดแผกไปจากคนอื่นๆ

ตกใจที่ได้เห็นขุนนางผู้ใหญ่ถูกลงพระราชอาญาดังนี้ ฉันจึงถามวิชเยนทร์ว่าฉันจะต้องถูกลงพระอาญาเช่นนี้บ้างหรือไม่ เขาตอบว่าไม่ต้องวิตก ไม่เคยลงพระราชอาญาชาวต่างประเทศเลย แต่คนๆ นี้ พูดปด เพราะว่าฉันได้ทราบภายหลังว่า เมื่อเขารับราชการอยู่ใต้บังคับบัญชาเจ้าพระยาพระคลังคนก่อน เขาเคยถูกลงโทษโบยครั้งหนึ่งแล้ว

ในที่สุดพระนารายณ์มหาราชพระราชทานบ้านให้ฉันอยู่หลังหนึ่ง และทาสไว้รับใช้สามสิบคน กับช้างอีกสองเชือก ค่าอาหารสำหรับเลี้ยงคนใช้นั้น ฉันจ่ายเพียงวันละหนึ่งเฟื้องเท่านั้น เพราะว่าคนเหล่านี้ไม่กินเหล้า และอาหารก็ถูกมาก ส่วนตัวฉันนั้นฉันรับประทานอาหารกับวิชเยนทร์ ที่บ้านของฉันนั้นเขาจัดเครื่องเรือนไม่สู้งามนัก ให้ไว้สองสามชิ้นเท่านั้น แต่ให้ใช้จานเงินหนึ่งโหล จานเงินขนาดใหญ่สองจาน บางทั้งนั้น ผ้าเช็ดมือสี่โหล และเทียนสีเหลือง ๆ วันละสองเทียน นี่แหละเป็นภาชนะเครื่องใช้สอยของ “ท่านนายพลเรือเอกและผู้บัญชาการทหารบกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ควรรู้สึกพอใจเสียบ้าง จริงไหม

เวลาเสด็จประพาสตามหัวเมืองหรือคล้องช้าง โปรดเกล้าฯ ให้จัดอาหารมาเป็นของพระราชทานแก่ราชบริพาร มักมีข้าวและแกงเป็นต้น คนไทยเห็นว่าอาหารนั้นโอชารสมาก แต่ชาวฝรั่งเศสซึ่งไม่ชินกับอาหารเช่นนี้ ไม่รับประทานได้คล่องคอนัก ความจริงวิชเยนทร์ซึ่งโดยเสด็จพระราชดำเนินเสมอ จัดหาอาหารที่อร่อยไปแบ่งให้ฉันรับประทานด้วย แต่ถ้าเขามีราชการที่บังคับให้ทำอยู่ที่เคหะสถานของเขา ฉันต้องฝืนใจรับประทานของที่โปรดเกล้าฯ ให้ห้องเครื่องต้นส่งออกมา

เวลาเสด็จประพาสเพื่อสำราญพระราชอิริยาบถเช่นนี้ โปรดเกล้าฯ ให้ฉันเข้าเฝ้าบ่อย ๆ และทรงพระราชปฏิสันถารด้วย ฉันได้กราบบังคมทูลสนองพระราชกระทู้ทางล่ามผู้หนึ่ง ซึ่งวิชเยนทร์จัดไว้ประจำตัวฉัน โดยเหตุที่ทรงพระเมตตาฉันมาก ฉันจึงกล้าแสดงความเห็นบางอย่าง ซึ่งถ้าออกจากปากของผู้อื่นแล้ว อาจมีผลร้ายเป็นอย่างยิ่ง วันหนึ่งมีพระราชประสงค์จะลงพระราชอาญามหาดเล็กคนหนึ่งที่ลืมจัดเตรียมผ้าเช็ดพระพักตร์ไว้ถวาย ฉันไม่รู้จักขนบธรรมเนียมของประเทศนี้ เห็นแต่ว่าตนเองเป็นคนโปรดปราน จึงขอพระราชทานอภัยโทษเพื่อเป็นการสงเคราะห์คนอันน่าสมเพชนั้น

พระนารายณ์มหาราชประหลาดพระราชหฤทัยมากที่ฉันมีปากกล้า จึงทรงพระพิโรธมาก วิชเยนทร์ซึ่งเฝ้าอยู่ในที่นั้นด้วย หน้าซีดลงทันที เกรงว่าฉันคงจะได้รับพระราชอาญาอย่างแสนสาหัส ส่วนตัวฉันนั้นฉันหาตกตะลึงไม่ ฉันกราบบังคมทูลว่า พระเจ้าอยู่หัวของฉันนั้นทรงพระโสมนัส เมื่อได้ทรงเห็นว่ามีคนขอพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้มีความผิด เพราะว่าเป็นการเตือนพระราชสติให้ทรงคลายพระโทโส แล้วพระราชทานอภัยโทษ ข้าราชการที่นิรโทษนั้นก็รู้สึกในพระมหากรุณาธิคุณ และตั้งหน้ารับราชการฉลองพระเดชพระคุณด้วยความจงรักภักดี แล้วมอบกายถวายชีวิตแด่พระเจ้าอยู่หัวด้วยความกตัญญูกตเวที พระนารายณ์มหาราชได้ทรงทราบความเห็นของฉันดังนี้แล้ว พระราชทานอภัยโทษแก่มหาดเล็กคนนั้น และมีพระราชกระแสว่ามีพระราชประสงค์ที่จะเอาเยี่ยงอย่างพระมหากษัตราธิราชฝรั่งเศส

เรื่องนี้อื้ออาวไปทั่วพระราชอาณาจักร และทำให้ขุนนางไทยตกใจมาก เขาคิดว่าฉันคงถูกเย็บปาก เพราะพูดไม่เหมาะกับกาลเทศะ วิชเยนทร์เองมาเตือนฉันว่าต่อไปภายหน้าขอให้ฉันระวังปากคำจงมาก และซ้ำติเตียนฉันว่าเป็นคนปากไวใจเร็ว ซึ่งหาความฉลาดมิได้เลย ฉันตอบเขาว่าฉันไม่มีความเสียใจแม้สักนิดเดียวเลยที่ได้พูดไปเช่นนั้น เพราะว่าความเห็นที่ได้แสดงไปแล้วนั้นยังความสำเร็จผลมาเป็นอย่างดียิ่ง

แท้จริงฉันหาตระหนกตกใจไม่ ตั้งแต่วันนั้นมาฉันยังได้สังเกตเห็นว่า พระนารายณ์มหาราชทรงยินดีที่จะทรงพระราชปฏิสันถารกับฉันมากครั้งขึ้น ฉันจึงหาเรื่องราวต่าง ๆ นา ๆ ที่ฉันแต่งขึ้นให้เหมาะกับกาลเทศะตามอำเภอใจของฉันมากราบบังคมทูล ฉันได้ความสนุกใจ เพราะรู้สึกว่าทรงพอพระราชหฤทัยมาก วันหนึ่งเวลาเสด็จประพาสคล้องช้าง ได้มีรับสั่งถามฉันว่าที่ได้ทรงจัดพลและทรงแนะนำให้ควาญเตรียมตัวคล้องช้างนั้น อันที่จริงพระกิริยามารยาทนั้นก็สง่าผ่าเผยมาก ฉันมีความเห็นอย่างไร ฉันกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า “ขอเดชะ เท่าที่ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแวดล้อมไปด้วยเสนาอำมาตย์ราชเสวกฉะนี้ ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกว่าเหมือนได้เห็นพระองค์พระเจ้าอยู่หัวของข้าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ในท่ามกลางกองทหารทรงจัดรี้พล เตรียมการทุกอย่างด้วยพระองค์เอง ก่อนที่จะทรงนำทัพเข้าสู่สนามรบ” พระนารายณ์มหาราชทรงพอพระราชหฤทัยในถ้อยคำสนองพระราชปุจฉานั้นเป็นอันมาก ฉันก็ได้คาดคะเนไว้แล้วเช่นนั้น

ถ้าจะต้องพูดตามความที่เป็นจริงแล้ว การเปรียบเทียบความสง่าผ่าเผยและอลังการภายนอกของพระมหากษัตริย์สองพระองค์นี้แล้ว ก็ไม่เป็นการเปรียบที่ปราศจากความเที่ยงธรรมนัก เพราะว่าจะหาสิ่งใดในโลกนี้เลิศยิ่งกว่ายุรยาตราของพระเจ้าแผ่นดินไทยพระองค์นี้ไม่ ถึงแม้ว่าพระราชอาณาจักรนี้ไม่มั่งคั่ง และพระนารายน์มหาราชก็ประทับอยู่แต่ข้างในพระราชวัง ไม่มีใครแม้ผู้ที่ทรงคุ้นเคยก็เข้าไปข้างในไม่ได้ ได้แต่เฝ้าเวลาที่เสด็จออกที่สีหบัญชรเท่านั้น แต่ถึงเวลาเสด็จออกจากพระราชวังแล้ว ความสง่าผ่าเผยของขบวนแห่ก็สมพระเกียรติยศพระมหากษัตราธิราชเป็นอย่างยิ่ง

การเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคที่นับว่ามโหฬารที่สุดนั้น คืองานพระราชพิธีไล่เรือ๑๒ ซึ่งมีทุกปีและเป็นงานพระราชพิธีดำรัสสั่งให้น้ำในแม่น้ำลดน้อยลง ฉันได้เคยเล่าแล้วว่าในประเทศนี้น้ำท่วมตลอดเวลาหกเดือนทุกปี ที่น้ำในแม่น้ำหลากไหลลงมาท่วมแผ่นดินนั้น เพราะว่าหิมะบนภูเขาในประเทศตาร์ตาร์ละลาย๑๓ แต่เมื่อถึงฤดูหนาวหิมะก็หยุดละลาย น้ำจึงลดน้อยลง ทำให้ประเทศแห้งแล้ง เมื่อถึงฤดูนี้คนไทยเกี่ยวข้าว ซึ่งเป็นพืชที่เพาะปลูกมากกว่าประเทศใดๆ ในโลกนี้

เมื่อถึงฤดูนี้และเมื่อสังเกตเห็นว่าน้ำตั้งต้นลดน้อยลง พระนารายณ์มหาราชก็เสด็จออกทรงทำพระราชพิธีที่กล่าวมาข้างบนนี้ ประทับอยู่บนพระราชอาสน์ปิดทองอร่าม ซึ่งประดิษฐานอยู่ตรงกลางเรือพระที่นั่งอันวิจิตรงดงาม มีขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทุกมณฑลโดยเสด็จพระราชดำเนินมาในเรือกัญญาซึ่งงามไม่น้อยเลย และยังมีเรืออื่นๆ อีกนานัปการตามมาในกระบวนนั้น เรือพระที่นั่งล่องลงไปถึงตำบลหนึ่งในแม่น้ำแล้ว ทรงชักพระแสงดาบออกฟันน้ำแล้วดำรัสสั่งให้น่าลดน้อยลง เสร็จพระราชพิธีนี้แล้วโปรดกล้าฯ พระราชทานรางวัลเป็นอันมากแก่เรือลำแรกที่ล่องขึ้นไปถึงพระบรมมหาราชวังก่อนลำอื่น อะไรไม่น่าดูเท่าการแข่งขันระหว่างเรือเหล่านี้ เพราะว่าได้เห็นฝีมือฝีพายที่ต่างพยายามหลีกเลี่ยงแหวกทางขึ้นหน้าเพื่อเอาเปรียบกันตลอดทางไป๑๔

ย้อนกลับมาเล่าเรื่องคล้องช้าง เมื่อควาญคล้องช้างได้แล้ว พระนารายณ์มหาราชหันพระพักตร์มาตรัสกับฉันว่าสัตว์ชนิดนี้มีความฉลาดเฉลียวเพียงไรดังนี้ “ช้างตัวที่เราขี่อยู่เดี๋ยวนี้เป็นตัวอย่างช้างฉลาดได้ ไม่สู้นานมานัก ควาญคนหนึ่งได้ตัดอาหารลงให้มันกินแต่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น มันจะกล่าวโทษควาญก็พูดไม่ได้ มันจึงแผดเสียงดังลั่นไปทั่วพระราชวัง เราเดาไม่ถูกว่าเหตุไรมันจึงร้อง เราจึงมีความสงสัย สั่งให้ควาญคนใหม่ไปเลี้ยงช้างตัวนี้ ควาญคนนี้เป็นคนซื่อ จัดหาข้าวให้มันเต็มเม็ดเต็มหน่วย ช้างตัวนี้ยื่นงวงออกไปแบ่งข้าวออกเป็นสองส่วน กินแต่ส่วนหนึ่งเท่านั้นแล้วแผดเสียงดังลั่นขึ้นอีก คนที่วิ่งไปดูจึงรู้ว่าควาญคนก่อนโกงอาหารของช้าง อ้ายควาญคนนั้นรับสารภาพว่าได้ขโมยข้าวช้างจริง เราจึงลงโทษควาญคนนั้นอย่างหนัก”

พระนารายณ์มหาราชได้ทรงพรรณนาความฉลาดของช้างอีกหลายเรื่อง ซึ่งถ้าออกจากปากผู้อื่นแล้วก็ไม่น่าเชื่อนัก ต่อไปนี้เป็นอุทาหรณ์ที่ฉันได้เห็นแก่ตาและได้ยินแก่หูฉันเอง เมื่อช้างถึงเวลาผสม หรือตกมันมันดุร้ายมาก เพื่อทำให้มันสงบเสงี่ยมต้องนำเอาช้างพังเข้าไปอยู่ใกล้ๆ มัน เวลาพามันไปอาบน้ำ ช้างพังนั้นเดินไปข้างหน้ามีควาญขี่ไปคนหนึ่ง ควาญคนนี้เป่าแตรชนิดหนึ่งเพื่อเป็นอาณัติสัญญาณให้ประชาชนระวังตัวและหลีกหนีไป วันหนึ่งเขานำช้างตกมันตัวหนึ่งไปลงน้ำ มันหนีควาญไปได้แล้วลงไปอาละวาดอยู่กลางแม่น้ำ ทำให้คนตกใจแตกตื่นกันมาก ฉันขึ้นม้าตามมันไปดูว่ามันจะทำอะไร ได้พบภรรยาควาญช้างยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ กำลังตัดพ้อต่อว่าช้างตกมันตัวนั้นดังนี้ “พ่อจะให้ผัวของข้าถูกตัดตะโพกหรือ พ่อรู้ดีอยู่แล้วว่าควาญที่ปล่อยให้ช้างหนีไปได้นั้นต้องได้รับพระราชอาญาเช่นนั้น นี่แน่ โดยเหตุที่ผัวของข้าจะต้องตาย ฆ่าลูกของข้าเสียด้วยก็แล้วกัน” พูดขาดคำลงดังนี้แล้ว หญิงคนนั้นเอาลูกวางลงที่พื้นดินแล้ววิ่งหนีไป เด็กคนนั้นร้องให้งอแงอยู่กับที่ ช้างแลเห็นเด็กร้องให้ดิ้นรนอยู่ดังนั้นก็ใจอ่อน ขึ้นจากน้ำแล้วเอางวงอุ้มเด็กคนนั้นพากลับไปโรงและยืนนิ่งสงบเสงี่ยมอยู่

อีกวันหนึ่งฉันเห็นเขานำช้างอีกตัวหนึ่งไปลงน้ำ ในขณะที่มันเดินโยกเยกไปตามถนน มันเอางวงชูขึ้นไปใกล้ช่างตัดเสื้อคนหนึ่ง ช่างตัดเสื้อคนนั้นเล่นสัปดนเอาเข็มแทงงวงของมัน เพื่อให้มันหดงวงลง เวลากลับจากอาบน้ำมันเอางวงไปหยอกช่างตัดเสื้ออีก ช่างตัดเสื้อเอาเข็มแทงมันค่อยๆ อีกทีหนึ่ง ในทันใดนั้นมันพ่นน้ำโคลนที่มันอมมาถูกช่างตัดเสื้อมอมแมม เมื่อมันแก้เผ็ดได้แล้วและมองไปเห็นช่างตัดเสื้อเปียกชุ่มทั้งตัว มันเอางวงปัดไปปัดมา ทำหน้าท่าทางแสดงความพอใจ เหมือนกับคนปรบมือและยิ้มเยาะเมื่อรู้สึกว่าแก้เผ็ดได้สาแก่ใจ

คนไทยใช้สัตว์โตเหล่านี้ทำงานต่าง ๆ มันทำงานเหมือนกันกับคนรับใช้ เช่นให้เลี้ยงเด็กเป็นต้น มันเอางวงอุ้มเด็กลงในเปลไกว และกล่อมจนเด็กหลับ และแม่ของเด็กต้องการอะไรก็สั่งให้ช้างไปหยิบมาได้

พระนารายณ์มหาราชได้ทรงพระกรุณาฉันยิ่งขึ้นทุกวัน โปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้ามากขึ้น วันหนึ่งเสด็จพระราชดำเนินกลับจากการคล้องช้างแล้วไม่ทรงสบาย รุ่งขึ้นอาการประชวรหนักขึ้น แพทย์มีความเห็นว่าควรเจาะพระโลหิตออก การรักษาพระโรคดังนี้ก่อความยากลำบากมาก เพราะว่าคนไทยนับถือพระมหากษัตริย์เหมือนกันกับนับถือเทพเจ้า เขาไม่กล้าแตะต้องพระวรกาย ได้มีผู้เสนอความเห็นของแพทย์ให้ที่ประชุมเสนาบดีวินิจฉัย ขุนนางผู้หนึ่งแสดงความเห็นว่าควรแหวะม่านแล้วให้ยื่นพระกรออกมาทางช่องที่แหวะนั้นให้แพทย์เจาะเอาพระโลหิตออก ที่ทำดังนี้แพทย์ก็ไม่ทราบว่าเจาะพระกรหรือแขนผู้ใด

ความเห็นอันน่าขันของขุนนางผู้นี้ไม่ถูกใจฉันเลย ฉันจึงแสดงความเห็นบ้าง ความเห็นของฉันนั้นก็ไม่มีใครท้วงว่าเลวนัก ฉันพูดว่า พระมหากษัตริย์นั้นเปรียบได้เหมือนพระอาทิตย์ ถึงแม้ว่าถูกเมฆหมอกบังให้มืดก็มืดไปชั่วคราว มิช้าก็ส่องแสงสว่างออกมาอีกเสมอ ใครจะคิดทำอะไรกับพระองค์พระมหากษัตริย์ ก็ซ่อนไม่ให้คนอื่นรู้ไม้ได้ต้องแสดงพระองค์ออกมาแจ่มแจ้งให้คนทั้งปวงรู้เสมอ ถ้าเป็นการจำเป็นที่จะเจาะพระกรเอาโลหิตออกแล้ว ในพระราชสำนักนี้ก็มีแพทย์ชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่ง จะเรียกมาให้บำบัดพระโรคก็ได้ แพทย์ผู้นี้มาจากประเทศที่นิยมตำรารักษาโรค เช่นนี้ แม้พระเจ้าอยู่หัวและเจ้านายในพระราชวงศ์ฝรั่งเศสก็เคยโปรดเกล้าฯ ให้แพทย์เจาะเอาพระโลหิตออก เพราะฉะนั้นควรไว้วางพระราชหฤทัยให้แพทย์ฝรั่งเศสจัดการรักษาได้ พระนารายณ์มหาราชทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วยความเห็นของฉัน แต่แพทย์ยังไม่ทันที่จะเอาพระโลหิตออกก็หายประชวรเสียแล้ว

ในเวลาใกล้ ๆ กันนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครนึกว่าจะมีขึ้นได้ ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าวิชเยนทร์ได้หลอกลวงเชวาลิเอร์ เดอะโชมองต์และคณะทูตฝรั่งเศสไว้ฉันใด ฉันได้เคยเล่าว่าในเวลาที่เขาอวดความมั่งคั่งของประเทศนี้ เขาได้พาคณะทูตไปชมพระพุทธรูปที่งามที่สุด และบอกว่าพระพุทธรูปเหล่านี้นั้นหล่อด้วยทองคำแท้ๆ ทั้งนั้น ในบรรดาพระพุทธรูปเหล่านี้ มีองค์หนึ่งขนาดใหญ่เหลือเกิน สูงประมานเก้าศอกครึ่งถึงสิบศอก วิชเยนทร์พูดว่าหล่อด้วยทองคำแท้ๆ เหมือนพระพุทธรูปองค์อื่นๆ แปร์ตาชารต์และท่านเจ้าวัดเดอะชัวสีถูกตบตาเช่นเดียวกันกับพวกชาวฝรั่งเศสคนอื่น ๆ๑๕ ท่านทั้งสองนั้นเชื่อมั่นเสียด้วย แล้วไปจดลงในรายงานและจดหมายเหตุรายวันของตน เคราะห์ร้ายจริง ๆ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้น คือหลังคาพระอุโบสถที่พระพุทธรูปองค์นั้นประดิษฐานอยู่ พังลงมาทับพระพุทธรูปแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพราะสร้างด้วยปูนปิดทองทั้งนั้น คำพูดเท็จของวิชเยนทร์ปรากฏออกมาด้วยประการฉะนี้ แต่คณะทูตฝรั่งเศสนั้นก็ลงเรือไปไกลเสียแล้ว ฉันจะข่มใจอดนิ่งไว้อย่างไรก็ไม่ได้ จึงยกเรื่องนี้มาพูดล้อวิชเยนทร์ เขาไม่พอใจในถ้อยคำของฉันเลย

ต่อไปไม่ช้าโปรดเกล้าฯ ให้วิชเยนทร์และฉันลงไปเมืองบางกอกเพื่อสร้างป้อมปราการขึ้นอีกป้อมหนึ่งสำหรับมอบให้ทหารฝรั่งเศสควบคุม ทหารฝรั่งเศสนั้นพระนารายณ์มหาราชได้ทรงขอให้ส่งออกมาพร้อมกันกับคณะทูตไทยที่ได้เดินทางออกไปกับเชอวาลิเอร์เดอะโชมองต์ เราได้วาดรูปป้อมปราการมีหอรบเป็นรูปห้าเหลี่ยม โดยเหตุที่บางกอกเป็นกุญแจของพระราชอาณาจักรนี้ จึงมีทหารอยู่สองกอง ๆ ละสี่สิบคนควบคุมป้อมขนาดเล็กรูปสี่เหลี่ยม ทหารเหล่านั้นเป็นชาวโปรตุเกสและครึ่งชาติ ทหารครึ่งชาติเหล่านี้ทราบว่าฉันมีตำแหน่งเป็นนายพล และจะมาเป็นผู้บัญชาการทหาร ก็ก่อการกบฎ

นักบวชโปรตุเกสรูปหนึ่งเป็นต้นเหตุของการกบภฎนี้ เมื่อท่านแสดงเทศนาเสร็จแล้ว ท่านทำตนเป็นผู้วิเศษหันหน้าไปพูดกับพวกครึ่งชาติดังนี้ “ดูกร เพื่อนร่วมชาติทั้งหลาย แต่ไหนแต่ไรมาชาติโปรตุเกสได้เป็นใหญ่ในมัธยมประเทศ วันนี้ประเทศของเราจะได้รับความอับอาย เพราะว่าชาวฝรั่งเศสจะมาเป็นผู้บัญชาการพวกเรา จงก้าวหน้าไปด้วยความกล้าหาญ อย่ายอมให้ใครมาดูหมิ่นเรา อย่าครั่นคร้ามเลย พระผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในสกลโลกที่เคยทรงเอ็นดูพวกเราตลอดมาจนกาลบัดนี้ ก็จะทรงกรุณาคุ้มครองอารักขาเราต่อไป จงรับพรที่ทรงประกาศิตไว้เถิด” เมื่อได้ยินคำดังนั้นแล้ว พวกครึ่งชาติก็พากันเดินตรงมาที่ป้อมปราการ

ในขณะที่วิชเยนทร์และฉันกำลังจัดการแบ่งหน้าที่คนงานเพื่อขุดคูรอบป้อมปราการ เราได้เห็นนายทหารชั้นนายพันเอกชาติโปรตุเกสเดินเข้ามาบอกวิชเยนทร์ว่าทหารได้ก่อการกบฏขึ้นแล้ว วิชเยนทร์ถามว่าเหตุไรจึงกบฏ นายพันเอกผู้นั้นตอบว่าทหารเหล่านั้นไม่ต้องการฟังคำสั่งนายทหารชาติฝรั่งเศส

เมื่อฉันได้ยินถ้อยคำดังนั้น ฉันเดินไปที่เชิงเทินเห็นกองทหารแบกปืนทุกคนเดินตรงมาที่ป้อม ฉันจึงกลับเข้าไปบอกวิชเยนทร์และฉุดมือมาพูดกระซิบว่า นายพันเอกผู้นี้คงรู้เห็นด้วยการกบฏนี้ เพราะว่าเขามาบอกใต้เท้าในขณะที่ทหารเหล่านั้นกำลังเดินมา พวกกบฎคงเกลียดใต้เท้าเท่ากันกับเกลียดฉัน ฉันจะลงมือจับนายทหารผู้นี้ก่อน และสั่งให้นายทหารผู้นี้ไล่พลทหารกลับไป ถ้าเขาขัดข้อง ฉันจะฆ่าเขาเสีย พูดดังนั้นแล้วฉันชักกระบื่ออกจากฝัก กระโจนเข้าไปปลดอาวุธนายพันเอกชาติโปรตุเกส คนๆ นั้นยอมให้ฉันปลดอาวุธเหมือนเด็กทารกฉะนั้น ฉันเอาปลายกระบี่จิ้มไว้ที่หน้าอกของเขา แล้วพูดขู่ว่า จะแทงให้ตายถ้าไม่ร้องตะโกนสั่งให้พวกกบฏกลับไป

วิชเยนทร์ได้เดินออกจากป้อมปราการโดยไม่เสียดายชีวิต ด้วยอาการกิริยาองอาจและไม่สะทกสะท้านตรงไปยังพวกทหารกบฏ ที่อยู่ห่างจากประตูป้อมไม่เกินสี่วา เขาถามพวกทหารกบฏว่าจะต้องการอะไร พวกทหารกบฏร้องตอบมาพร้อมกันว่าไม่ต้องการผู้บัญชาการที่เป็นชาวฝรั่งเศส วิชเยนทร์ซึ่งเป็นคนมีปัญญาเฉียบแหลมและความกล้า ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าฉันจะมาเป็นผู้บัญชาการกองทหารไทยต่างหาก หามาเป็นผู้บัญชาการกองทหารโปรตุเกสไม่ ทีแรกคำตอบนั้นดูเหมือนจะทำให้พวกทหารกบฏพอใจ แต่ทหารคนหนึ่งในบรรดาพวกทหารกบฏเห็นว่าพรรคพวกแสดงความลังเล และได้ยินนายพันเอกชาติโปรตุเกสร้องตะโกนลงมาจากเชิงเทินว่าให้เชื่อฟังถ้อยคำของวิชเยนทร์ เขาจึงเอามือกุมกระบี่แลพูดว่า “พูดมากไปโดยหาสารประโยชน์มิได้ ข้อสำคัญมีว่าพวกเราจะควรเชื่อคำมั่นสัญญานี้หรือไม่” วิชเยนทร์เห็นท่าทีว่าจะถูกทำร้าย จึงกระโจนเข้าไปแย่งกระบี่มาจากมือทหารคนนั้นแล้วพูดปลอบพวกกบฏ และวิงวอนให้กลับไปโรงทหาร

โดยเหตุที่การพยายามจะประทุษร้ายนี้อาจนำความอันตรายมามาก ถ้าปล่อยให้ทหารเหล่านั้นพ้นโทษไป วิชเยนทร์จึงสั่งให้จับนายพันเอกนายทหารและพลทหารโปรตุเกสที่สมรู้ร่วมคิดกัน และตั้งศาลอัยการศึกขึ้น ซึ่งความจริงออกจะกะร่องกะแร่ง แต่เราอยู่ในประ เทศที่ไม่มีใครจะพินิจพิเคราะห์มากนัก จึงไม่ต้องกลัวความติเตียน อย่างไรก็ดีฉันไม่ยอมให้ลงโทษตัดมือทหารที่กุมกระบี่ โดยที่ยังไม่ทันจะชักออกมาจากฝัก ทหารอีกสองคนที่พิจารณาได้ความเป็นสัตย์ว่าเป็นหัวหน้ากบฏได้ถูกลงโทษประหารชีวิต มีนายทหารบางคนถูกเนรเทศ และพลทหารถูกลงโทษจำคุกทำงานหนักด้วย แต่ก่อนที่จะส่งตัวไปจำคุก เราได้ให้จำโซ่ตรวนติดกันเป็นคู่ๆ เหมือนนักโทษในประเทศฝรั่งเศส และให้ทํางานขุดคูป้อม เมื่อเราได้จัดการทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสร้างป้อมให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว วิชเยนทร์และฉันก็กลับไปเมืองละโว้

เมื่อเรากลับไปถึงเมืองละโว้ มีเรื่องน่าเกลียดเกิดขึ้น วิชเยนทร์ได้รับความยากลำบากมาก เกือบคว่ำลงจากตำแหน่งหน้าที่ ความจริงถ้าฉันไม่ช่วยเหลือแล้ว ก็คงเอาตัวรอดไม่ได้ เรื่องเกิดขึ้นเพราะความโลภอยากเป็นคนมั่งมีเท่านั้น ก่อนเดินทางไปบางกอก วิชเยนทร์ต้องการซื้อไม้จันทน์ ชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งซึ่งถือลัทธิคัลวินิสต์ หรือฮูเกอนอต ชื่อ เดอะรูอัง บรรทุกมาจากเกาะติมอร์ ขาวฝรั่งเศสฮูเกอนอตผู้นี้ได้ขายไม้จันทน์ไปบ้างแล้ว ได้กำไรเป็นอันมาก วิชเยนทร์ต้องการซื้อไม้ที่มีเหลืออยู่ในเรือ และต้องการราคาถูกๆ พ่อค้าผู้นั้นไม่ยอม เมื่อไม่ตกลงราคากันได้ วิชเยนทร์พาลทะเลาะวิวาทใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ให้จับชาวฝรั่งเศสผู้นี้จำตรวน

ในขณะที่เราเดินทางไปบางกอก ผู้อำนวยการบริษัทบุรพทิศฝรั่งเศสทราบว่า เดอะ รูอัง ต้องโทษ เห็นว่าเป็นการดูหมิ่นชาติฝรั่งเศส จึงไปร้องทุกข์ที่เมืองละโว้ในเวลาที่เราไม่อยู่ ได้เอาธงไปปักไว้ที่หน้าพระราชวัง พระนารายณ์มหาราชทอดพระเนตรเห็นธงนั้น ตกพระราชหฤทัย จึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางผู้หนึ่งไปสอบถามผู้อำนวยการบริษัทบุรพทิศฝรั่งเศส ๆ ตอบว่า เข้ามาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยในคดีที่ชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งถูกจำตรวนโดยที่ไม่ได้ทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดเลย อันเป็นการดูหมิ่นชาติฝรั่งเศส ขอพระราชทานค่าทำขวัญ มิฉะนั้นขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ปล่อยชาวฝรั่งเศสผู้นั้นออกไปนอกพระราชอาณาจักรพร้อมกันกับทรัพย์สมบัติของเขา

พระนารายณ์มหาราชไม่ทรงทราบว่าสมุหนายกของพระองค์ ได้ทำอะไรไว้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้บอกผู้อำนวยการบริษัทบุรพทิศฝรั่งเศสว่าให้กลับไปบ้านเสียก่อนเถิด เมื่อวิชเยนทร์และฉันกลับมาเมืองละโว้แล้ว จะทรงสอบสวนและพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยให้ต้องตามความยุติธรรม ตั้งแต่คณะทูตฝรั่งเศสได้เข้ามาในประเทศนี้ พระนารายณ์มหาราชโปรดชาวฝรั่งเศสมาก ทรงอุปการะคุ้มครองเสมอ และเสียพระราชหฤทัย เมื่อชาวฝรั่งเศสต้องไปจากประเทศนี้

ครั้นเรามาถึงเมืองละโว้มิช้าก็มีคนมารายงานวิชเยนทร์ว่า ผู้อำนวยการบริษัทบุรพทิศฝรั่งเศสได้มาร้องทุกข์ไว้อย่างไร โดยที่ไม่ต้องพักให้เวลาผ่านไป วิชเยนทร์ได้รีบเข้าไปในพระราชวังทันที คิดว่าพูดคำเดียวก็ล้างคำกล่าวหาได้ทั้งสิ้น แต่การณ์หาได้เป็นไปตามความคิดของเขาไม่ พระนารายณ์มหาราชทรงพระพิโรธมาก และทรงขู่ว่าจะลงพระราชอาญา ถ้าวิชเยนทร์ไม่กราบบังคมทูลข้อความตามความสัจสุจริต

วิชเยนทร์ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาพอเป็นสังเขปว่า เขาหาได้ประทุษร้ายชาติฝรั่งเศสไม่ ไม่มีชนชาติใดในพระราชอาณาจักรนี้ที่เขาชอบยิ่งกว่าชนชาติฝรั่งเศส ขอพระบารมีปกเกล้าฯ ให้ทรงสอบถามปากคำฉัน ซึ่งเป็นผู้มีตระกูลและตำแหน่งหน้าที่ในราชการดีกว่าผู้อำนวยการบริษัทบุรพทิศฝรั่งเศส ฉันคงจะเป็นพยานยืนยันถ้อยคำของเขา ถ้าเขาได้ดูถูกชนชาติฝรั่งเศสแล้ว เขาก็เชื่อว่าฉันคงจะร้องทุกข์เสียก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นฉันคงเป็นพยานว่าเขาไม่มีความผิด และเขาได้กราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทว่าเขาไม่ได้เคยทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นการดูหมิ่นชาติฝรั่งเศสเลย

ออกจากพระราชวังแล้ว วิชเยนทร์ตรงมาหาฉันพูดกับฉันดังมีความต่อไปนี้ “ฉันขอความกรุณาท่านสงเคราะห์ฉันสักครั้งหนึ่ง ในคดีที่ผู้อำนวยการบริษัทบุรพทิศฝรั่งเศสได้กล่าวโทษฉันเรื่องสั่งให้จองจำเดอะรูอัง ท่านทราบดีอยู่แล้วว่าถึงแม้ว่าคนๆ นี้เดิมมีสัญชาติฝรั่งเศส แต่เป็น ฮูเกอนอต นับถือลัทธิศาสนาที่ผิดพระราชนิยมพระมหากษัตราธิราชฝรั่งเศส เหตุฉะนั้นจึงต้องหนีภัยออกจากประเทศบ้านเกิดเมืองมารดร คนๆ นี้ได้มาทำงานกับชนชาติอังกฤษหลายปี และไม่เคยเป็นคนของบริษัทบุรพทิศฝรั่งเศสหรือทำงานให้บริษัทนั้นเลย ถึงแม้ว่ารู้กันเช่นนั้นก็ดี ผู้อำนวยการบริษัทฝรั่งเศสยังถือสิทธิมาคุ้มครองคนๆ นี้ และถึงแม้ว่าบริษัทฝรั่งเศสปฏิเสธไม่ได้ว่า เดอะ รูอัง ได้มีสัญชาติเป็นคนอังกฤษแล้ว ด้วยว่าทิ้งประเทศฝรั่งเศสและถือลัทธิคัลวินิสต์ บริษัทฝรั่งเศสก็ยังขืนช่วยร้องทุกข์แทนคนๆ นี้ และพยายามที่จะให้ เดอะ รูอัง คืนมามีสัญชาติเป็นชาวฝรั่งเศส สัญชาติที่เขาได้ละทิ้งเสียแล้ว ท่านคงจะเห็นว่าที่ผู้อำนวยการบริษัทฝรั่งเศสมาร้องทุกข์นั้นหาความเที่ยงธรรมมิได้ ฉันหวังว่าท่านคงจะกราบบังคมทูลพระกรุณายืนยันถ้อยคำของฉัน ถ้าท่านสงเคราะห์ฉันครั้งนี้ ฉันจะสนองคุณเช่นเดียวกันเมื่อมีเหตุขัดข้องขึ้นแก่ตัวท่าน”

วิชเยนทร์ยังนั่งอยู่ที่บ้านฉันเมื่อโปรดเกล้าฯ ให้มหาดเล็กมาตามตัวฉัน ในทันทีนั้น ฉันรีบเข้าไปในพระราชวัง ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งมวลนั่งประชุมกันอยู่นิ่งๆ หน้าท้องพระโรงพระที่นั่ง โดยที่ไม่มีใครกล้าปริปากเลย ไม่มีขุนนางคนใดที่ปรารถนาให้วิชเยนทร์รอดพ้นพระอาญาไปได้ โดยมากเห็นว่าคงหลีกเลี่ยงพระราชอาญาไปไม่ได้เป็นแน่ ขุนนางทั้งหลายเชื่อว่าฉันเป็นชนชาติฝรั่งเศสคงจะเข้ากับคนชาติเดียวกัน จึงไม่มีความสงสัยเลยว่าฉันจะไม่อุดหนุนถ้อยคำของผู้อำนวยการบริษัทฝรั่งเศส ความคิดเห็นของขุนนางเหล่านั้นผิดหมด ฉันยืนยันถ้อยคำของวิชเยนทร์ทุกประการ แล้วฉันชมวิชเยนทร์ว่าเป็นคนที่จงรักภักดีแก่หน้าที่ราชการแล้ว ฉันกราบบังคมทูลว่าคนฝรั่งเศสที่ละเมิดพระราชกำหนดกฎหมายนั้น ไม่ควรถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของชาติ เพราะว่าพระเจ้าอยู่หัวของข้าพระพุทธเจ้าได้ทรงเนรเทศออกจากพระราชอาณาจักรแล้ว ผู้อำนวยการบริษัทบูรพาทิศฝรั่งเศสคงจะไม่ทราบความข้อนี้ ถ้าทราบแล้วก็คงไม่มาร้องทุกข์แทนคนที่ไปพึ่งพาอาศัยชนชาติอังกฤษ ข้าพระพุทธเจ้ารับฉันทะที่จะไปพูดจาชี้แจงเหตุผลให้ผู้ที่มาร้องทุกข์ทราบความโดยตลอด ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงคุ้มครองชนชาติฝรั่งเศส ขอให้พระราชทานความคุ้มครองนั้นสืบไป พระเจ้าอยู่หัวของข้าพระพุทธเจ้าคงจะทรงพระโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง

คำให้การของฉันนั้นยืนยันถ้อยคำของวิชเยนทร์ทุกประการ พระนารายณ์มหาราชทรงสงบพระอารมณ์ลงทันที และมีพระราชดำรัสว่า “เรายินดีและพอใจมาก” ฉันรีบไปบ้านวิชเยนทร์เล่าข้อความทั้งนี้ให้ทราบโดยตลอด เขากระโดดมากอดคอฉันและจูบแก้มฉันหลายพันครั้ง ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ลืมบุญคุณที่ฉันสงเคราะห์เขาครั้งนี้

ฉันแนะนำวิชเยนทร์ว่าเพื่อจะให้เรื่องนี้ยุติลง ควรถอดตรวนปล่อยชาวฝรั่งเศสผู้นั้นให้พ้นโทษไป และคืนสินค้าไม้จันทน์ให้เขาด้วย ต่อไปภายหน้าขอให้ชาวฝรั่งเศสมีเสรีภาพในการค้าขายในประเทศนี้ ถ้าผู้อำนวยการบริษัทบุรพทิศฝรั่งเศสทราบข้อไขนี้แล้ว ฉันก็ทำการปรองดองได้ง่าย วิชเยนทร์รับคำว่าจะทำตามคำแนะนำของฉัน เรื่องจึงจบลงโดยที่วิชเยนทร์ไม่ได้รับความเสียหายอย่างไรเลย

เมื่อได้ช่วยเหลือวิชเยนทร์ดังนี้แล้ว ฉันก็นึกว่าเขาคงจะเป็นมิตรที่ดีคนหนึ่ง แต่บุญคุณที่ได้ทำนั้นกลับกลายเป็นต้นเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่เขาตั้งต้นทำการประทุษร้ายฉันสืบไป

เขามีความริษยาฉันมาก และไม่ไว้วางใจฉันอีก เขาไม่ชอบให้พระนารายณ์มหาราชทรงพระเมตตากรุณาฉัน และให้ฉันเพ็ดทูลอะไร ๆ ได้ตามชอบใจ ที่พระราชทานพระบรมราชานุมัติให้ฉันกราบบังคมทูลความเห็นได้เช่นนี้ วิชเยนทร์หวาดหวั่นมาก เขาเห็นชัดเจนว่าที่ฉันช่วยให้เขาพ้นโทษได้นั้น ก็เพราะว่าฉันรู้จักพูด เขาจึงเกรงว่าคำพูดของฉันนั้นอาจประหารเขาได้วันหนึ่งเป็นแน่ หรือมิฉะนั้นเขาก็ต้องเป็นเบี้ยล่าง เขาจึงหาทางขัดขวางโดยเต็มสติปัญญาที่จะไม่ให้พระนารายณ์มหาราชทรงพระเมตตากรุณาฉันอีกต่อไป

ในขณะที่วิชเยนทร์คิดหาทางที่จะกำจัดฉันนั้น ก็มีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ฉันเป็นออกพระศักดิสงคราม อันเป็นบำเหน็จความชอบสำคัญ เพราะว่ายศบรรดาศักดิ์นี้ก็เทียบเท่ากันกับชั้นจอมพลของประเทศฝรั่งเศส ราชทินนามนี้แปลว่า “เทพเจ้าซึ่งมีแสงสว่างและชำนาญในการสงคราม” และในเวลาเดียวกันนั้นโปรดเกล้าฯ ให้วิชเยนทร์เตรียมการพระราชทานบรรดาศักดิ์ฉันตามวันและเวลาที่ทรงกำหนดเอง ประเพณีพระราชทานบรรดาศักดิ์นั้นมีดังจะเล่าต่อไปนี้

ขุนนางไทยมารับฉันที่บ้าน และนำเข้าไปภายในพระราชวัง เมื่อเราเดินเข้าไปห่างจากสีหบัญชรราวสี่สิบวา ฉันและขุนนางผู้ใหญ่อื่นๆ หมอบลงราบกับพื้นถวายบังคมครั้งหนึ่งแล้วคลานศอกและเข่าเข้าไปห่างจากที่ประทับประมาณยี่สิบวา มีเจ้าพนักงานพระราชพิธีคู่หนึ่งคลานศอกและเข่านำหน้าฉัน เมื่อเข้าไปถึงที่ที่กำหนดได้แล้วเราคุกเข่าขึ้นเอามือพนมเหนือศีรษะแล้ว ก้มศีรษะลงราบกับพื้นถวายบังคมเป็นครั้งที่สอง พอเข้าไปใกล้สีหบัญชรเราถวายบังคมอีกเป็นครั้งที่สาม เสร็จแล้วพระราชทานหมาก มีพระราชกระแสว่า “เรารับเจ้าไว้ในราชการของเรา”

หมากนั้นเป็นบำเหน็จความชอบสำคัญที่พึงพระราชทานแก่พสกนิกร มันเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งเปลือกสีเขียวประกอบกันเป็นเส้น ๆ ทั้งนั้นและมีน้ำฝาด คนไทยผ่าหมากออกเป็นสี่ซีก เอาปูนทำด้วยเปลือกหอยทาใบพลูอันเป็นใบของต้นไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง แล้วรับประทานรวมกันกับหมาก คนไทยชอบเคี้ยวหมากมาก

การพระราชทานบรรดาศักดิ์นั้นจบลงเช่นเดียวกันกับแรกเข้ามา เราคลานศอกและเข่าถอยออกมา และถวายบังคมสามครั้ง ค่อย ๆ ถอยหลังออกมา ตาจับอยู่ที่ประทับณสีหบัญชร

เมื่อถอยออกมาถึงที่เดิมแล้ว สมุหพระราชพิธีมอบหีบกับตลับและกล่องทาสีแดงสำหรับบรรจุหีบหมากนั้น หีบนั้นขนาดเล็กทำด้วยทองและเงิน บางมาก แกะเป็นรูปมังกร ในหีบนั้นมีตลับทองบาง ๆ สองใบ ตลับหนึ่งสำหรับใส่หมาก และอีกตลับหนึ่งสำหรับใส่พลู และยังมีเต้าปูนกับพายเล่มหนึ่งทำด้วยทอง และมีดด้ามทองสำหรับเจียนหมากด้วย

มอบให้เสร็จแล้ว ขุนนางที่ไปรับฉันที่บ้านนั้นเอามือพนมที่หน้าอกแล้วก้มศีรษะลงพูดคำอวยพรสองสามคำตามประเพณี แล้วพาฉันไปส่งถึงที่บ้าน ภายหลังเข้าเฝ้าแล้ว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งผ้าเยียรบับลายดอกไม้ทองมัธยมประเทศมาเป็นของพระราชทานอีกสองผืน กว้างพอสำหรับเย็บเป็นเสื้อได้สองเสื้อ

ที่พระนารายณ์มหาราชทรงพระเมตตากรุณาฉันมากถึงปานฉะนี้ ก็ยิ่งทำให้วิชเยนทร์อิจฉาฉันมากขึ้น เขาไม่รั้งรอที่จะลงมือกำจัดฉันอีกต่อไป โดยเหตุที่เขาไม่สามารถที่จะเพ็ดทูลให้ทรงระแวงฉันได้ เขาจึงตกลงใจที่จะวางยาพิษฉัน เพื่อนของฉันคนหนึ่งมาบอกให้รู้ตัวก่อน ตั้งแต่นั้นมาฉันจึงรับประทานอาหารแต่ที่บ้านของฉันเท่านั้น

ที่ฉันเว้นไม่ไปรับประทานอาหารกับวิชเยนทร์นั้น ย่อมทำให้เขาสงสัยว่าฉันรู้เบาะแสว่าเขามีอุบายที่จะทำกับฉันอย่างไร แต่ถึงเช่นนั้นเขาหาเปลี่ยนความคิดที่จะทำร้ายฉันไม่ วันหนึ่งฉันป่วยเป็นไข้ เขาไม่รู้ว่าฉันเจ็บ เขาได้หานมข้นซึ่งเขารู้ว่าฉันชอบมากส่งมาให้ เมื่อฉันมีอาการปรกติ ฉันหาแตะต้องของที่วิชเยนทร์ส่งมาไม่ แต่วิชเยนทร์มีความเลินเล่อที่ได้มอบนมข้นนั้นไว้แก่คนใช้ของฉัน คนใช้สี่คนได้กินนมนั้นเข้าไปแล้วตายทันที ฉันได้เล่าข้อความนี้แก่ท่านเจ้าคณะเดอะเมเตลโลโปลิส ท่านบอกฉันว่าท่านไม่ทราบว่าจะมียาอะไรที่จะแก้ยาพิษชนิดนี้ได้ เตือนให้ฉันมอบกายถวายชีวิตไว้แต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นใหญ่ในสกลโลก และให้ระวังตัวจงมาก

เมื่อวิชเยนทร์พยายามที่จะทำร้ายฉันครั้งแรกนี้ไม่สำเร็จ เขาจึงคิดที่จะแยกย้ายฉันไปเสียจากพระราชสำนัก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพระราชอาณาจักรในครั้งนั้นให้โอกาสเขาด้วย ในการที่จะจัดให้ฉันไปไกลจากพระนครนั้น เขามีความมุ่งหมายที่จะให้ฉันไปตายเสียด้วย เขามีความเฉลียวฉลาดรอบตัวที่จะหาทางให้ฉันไปจนได้ และเชื่อว่าฉันคงจะเอาชีวิตรอดไปไม่ได้ เหตุการณ์ที่มีขึ้นและเขาฉวยโอกาสอย่างไรนั้นดังจะกล่าวต่อไปนี้

เจ้าแขกมักกะสันตนหนึ่งหนีความกดขี่ทารุณของชาววิลันดาเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในประเทศนี้ มีพรรคพวกตามมาด้วยสามร้อยคน เมื่อมาถึงเจ้าแขกตนนี้ยอมสวามิภักดิแด่พระนารายณ์มหาราช ๆ ทรงเห็นภาวะอันน่าสมเพชของชาวมักกะสัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินแห่งหนึ่งให้ตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่กับคนที่อพยพมานั้นตามโบราณราชประเพณี

เจ้าแขกมักกะสันคนนี้ไม่ชอบอยู่เงียบ ๆ เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ยอมอยู่เป็นปรกติสุข ได้สมรู้ร่วมคิดกันกับเจ้าเขมร เจ้าแขกมลายู และเจ้าจาม จะจับพระนารายณ์มหาราชสำเร็จโทษเสีย และแบ่งประเทศนี้ให้เป็นสมบัติของพรรคพวกตน โดยเหตุที่พวกกบฎเหล่านี้ถือศาสนามะหะหมัด จึงพร้อมใจกันจะจับชาวโปรตุเกสและญี่ปุ่นที่นับถือคริสต์ศาสนาฆ่าเสียไม่ให้เหลือสักคนเดียว วิชเยนทร์ได้ทราบว่ามีคนสมรู้ร่วมคิดกันจะก่อการจลาจลโดยตลอด แม้วันที่จะลงมือก่อการกบฏก็ทราบ จึงเข้าเฝ้าเรียนพระราชปฏิบัติแล้ว มีบัญชาสั่งให้เตรียมการป้องกันพระราชอาณาจักร

โอกาสใดที่จะให้ฉันไปเสียจากพระราชสำนักนี้ก็ไม่เหมาะยิ่งกว่าครั้งนี้ โดยเหตุที่ฉันมีตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการเมืองบางกอก ซึ่งเป็นเมืองที่มั่นสำคัญแห่งหนึ่ง จะทิ้งไว้ไม่ให้มีผู้ปกครองตำแหน่งในเวลาฉุกเฉินเช่นนี้ย่อมมีอันตรายมาก ฉันจึงได้รับคำสั่งให้ลงไปเมืองบางกอกโดยปัจจุบันทันด่วน ให้สร้างป้อมปราการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ให้เกณฑ์ทหารไทยให้ได้จำนวนสองพันคน และฝึกหัดทหารให้ชำนาญตามยุทธวินัยฝรั่งเศส

เพื่อชดเชยการใช้จ่ายให้สมกันกับตำแหน่งหน้าที่นายพลเอก วิชเยนทร์ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุมัติให้จ่ายเงินให้ฉันร้อยชั่ง ซึ่งเป็นเงินเท่ากันกับหมื่นห้าพันลิฟรของเงินตราประเทศของเรา แต่ฉันได้รับเงินเพียง (หนึ่งพันเอคูส์) ยี่สิบชั่งเท่านั้น นอกนั้นวิชเยนทร์แก้ตัวว่าจ่ายให้ยังไม่ได้ เพราะว่าไม่มีเงินสำรองไว้ เขามอบแต่ใบสั่งจ่ายไว้เท่านั้น และให้คำมันสัญญาว่าถ้าเรือสำเภาที่จะมาจากประเทศจีนมาถึง เขาจะจ่ายเงินที่ขาดอยู่อีก (หนึ่งหมื่นสองพันลิฟร) แปดสิบชั่งให้๑๖

โดยเหตุที่มีพระราชประสงค์ที่จะให้ประชาชนพลเมืองเชื่อฟังและนับถือฉัน ได้โปรดเกล้าให้ส่งเพชฌฆาต ๔ คนไปพร้อมกันกับฉันด้วย แต่ฉันมีอำนาจเพียงสั่งให้ลงโทษเฆี่ยนเท่านั้น เพราะว่าตามปรกติการ พระมหากษัตริย์หรือบางคราวสมุหนายกเท่านั้นให้ลงพระราชอาญา หรือให้ลงโทษประหารชีวิตได้

ฉันได้ลงไปบางกอกโดยที่ไม่ทราบว่ามีคนสมรู้ร่วมคิดกันจะก่อการกบฏเมื่อไร และไม่ทราบว่าจะส่งฉันไปทำอะไรแน่ วิชเยนทร์ทราบความถี่ถ้วน แม้วันที่พวกกบฏจะประชุมกันเป็นครั้งสุดท้ายก็ถึงหูเขา เขาจึงกำหนดวันจัดการให้ฉันลงไปบางกอกเพื่อจะได้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกกบฏ ในเวลาฉันเดินทางไปนั้น พวกกบฏก็ประชุมกัน และไม่ทราบว่าเหตุไรคนเหล่านั้นยอมให้ฉันผ่านลงไปได้ ความมุ่งหมายของพวกแขกมักกะสันนั้นจะก่อการกบฏในวันรุ่งขึ้นที่ฉันไปถึงหรืออย่างช้าก็วันหนึ่งภายหลังวันรุ่งขึ้น

เมื่อไปถึงบางกอกฉันต้องผจญอันตรายอีกอย่างหนึ่ง คือเมื่อแรกวิชเยนทร์ได้ข่าวว่าจะมีผู้ก่อการกบฏ เขาได้ส่งคนๆ หนึ่งลงไปก่อน โดยที่ไม่ได้บอกให้ฉันทราบเลย ให้จัดการปล่อยทหารโปรตุเกสที่ศาลอัยการศึกได้ลงโทษจองจำทำงานหนัก เขาสั่งให้พวกโปรตุเกสรวบรวมกันเป็นกองทหารดังเดิม และให้เรียกนายทหารที่ถูกเนรเทศไปแล้วนั้นเข้าประจำการด้วย

ในการที่ส่งตัวฉันลงไปเมืองบางกอกโดยที่ไม่ได้บอกให้ทราบสักคำเดียวว่ามีการเปลี่ยนแปลงในกองทหารดังนี้ ก็เท่ากันกับมัดมือมัดตีนฉันไปมอบให้แก่ศัตรูของฉัน เมื่อลงไปถึงเมืองนั้น ฉันได้เห็นคนที่ฉันได้สั่งให้จำตรวนไว้นั้น กลับมาแบกอาวุธอีก ก็เข้าใจทันทีว่าวิชเยนทร์คิดทำกลอุบายไว้อย่างไร แต่ความทารุณร้ายกาจของเขานั้นหาทำให้ฉันวิตกไม่ ฉันได้ระมัดระวังตัวเต็มที่แต่เริ่มแรกแล้ว ฉันได้พูดจาเอาใจเอื้อเฟื้อทั้งนายและพลทหาร คือให้อาหารแก่พลทหารกินให้อิ่ม และพูดกับนายทหารเมื่อมีการจำเป็นที่จะต้องพูดตามหน้าที่ ฉลาดทำดังนี้ไม่ช้าเขาก็นับถือฉันเป็นผู้บัญชาการของเขา ผู้ที่เคยเป็นศัตรูแต่ก่อนนี้ ก็กลับมาเป็นมิตรรักใคร่กันโดยความจริงใจและสัจสุจริต

วิชเยนทร์ยังไม่พอใจแต่เพียงกำจัดฉันไปได้จากพระราชสำนักเท่านั้น ยังแค้นที่ฉันไม่ประสบเหตุร้ายตามความมุ่งหมายของเขา เขาจึงลงมือวางดักไว้อีกดักหนึ่ง ซึ่งเขาเชื่อแน่ว่าฉันคงจะรอดพ้นไปไม่ได้เป็นแน่ ฉันคงติดดักนั้นแน่นอนทีเดียว ถ้าพระผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในสกลโลกไม่ทรงอารักขา เดชะพระบารมีฉันหลีกเลี่ยงไม่ได้รับความบาดเจ็บแม้สักนิดเดียว นอกจากความเหน็ดเหนื่อยแล้ว มีคนเลือดนองหลายคนดังจะเล่าต่อไปนี้

ต้นหนเรือสำเภาลำหนึ่งซึ่งเข้ามาทำการค้าขายในประเทศนี้จากเกาะมักกะสันได้เป็นพรรคพวกร่วมคิดการกบฏด้วยคนหนึ่ง คนๆ นี้เห็นว่าการก่อการจลาจลจะไม่สำเร็จจึงหนีลงไปในเรือ ตั้งใจไว้ว่าถ้ามีโอกาสเหมาะจะกลับออกไปบ้านเกิดเมืองเดิมของเขา หรือยอมสละชีวิต ถ้ามีใครใช้กำลังไปจับตัวเขา เพื่อให้มีศัตรูน้อยลง วิชเยนทร์มีความประสงค์จะแยกคนๆ นี้จากพวกกบฏอื่นๆ จึงทำหนังสือเบิกทางยอมให้ต้นหนเรือสำเภากับกะลาสี ๕๓ คน ออกไปจากประเทศนี้ และไม่ขัดข้องที่จะหลบหนีไปได้

ต้นหนเรือสำเภาผู้นั้นดีใจที่วิชเยนทร์จะออกหนังสือเบิกทางให้ จึงไม่รั้งรอที่จะรับหนังสือเบิกทางนั้น ในขณะเดียวกันนั้น วิชเยนทร์เห็นว่ามีโอกาสเหมาะที่จะแยกศัตรูและทำลายฉันด้วย จึงให้คนเชิญกระแสพระบรมราชโองการมายังฉันว่าให้เอาโซ่ขึงกลางแม่น้ำกั้นไม่ให้เรือสำเภาผ่านไป วิชเยนทร์ให้คนของเขาบอกฉันว่าต้นหนและกะลาสีเรือสำเภาลำนี้เป็นพรรคพวกกบฏ และสั่งว่าอย่าเคารพหนังสือเบิกทางนั้น ที่เขาออกหนังสือเบิกทางให้ก็เพื่อหลอกลวงพวกกบฏให้ตายใจและให้อ่อนน้อมเท่านั้น

คำสั่งนั้นยังมีความเพิ่มเติมอีกว่า เมื่อเรือสำเภามาติดโซ่แล้ว ให้ฉันขึ้นไปบนเรือ ทำบัญชีสินค้าที่บรรทุกลงไปในเรือลำนั้นโดยถี่ถ้วน เมื่อทำบัญชีเสร็จแล้วให้จับตัวต้นหนและกะลาสีทั้งปวงจองจำไว้จนกว่าจะมีคำสั่งมาใหม่ นอกจากนี้ ยังมีความอีกข้อหนึ่งว่า ห้ามเป็นอันขาดไม่ให้ฉันเล่าข้อความนี้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด ราชการแผ่นดินให้ถือว่าคำสั่งที่ได้รับไว้นั้นเป็นความลับอย่างยิ่ง ที่วิชเยนทร์สั่งให้ฉันปฏิบัติการเป็นระยะไปตามลำดับโดยพิสดารเช่นนี้ ก็ไม่ผิดกันกับมัดตัวฉันไปส่งโรงฆ่าสัตว์

ฉันรอเรือสำเภาลำนี้อยู่เป็นเวลานาน ก็ยังไม่มีทางว่าจะมาถึง ฉันจึงหาความเพลิดเพลินใจในการฝึกหัดทหารที่ฉันได้รับคำสั่งให้เกณฑ์มา หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมานั้นไม่ยากลำบากเลย การเกณฑ์ทหารในพระราชอาณาจักรนี้ทำได้เร็วและง่ายดายมาก เพราะว่าพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจสิทธิขาด ผู้ว่าราชการเมืองเพียงแต่อ้างกระแสพระบรมราชโองการว่าเป็นการดีการงามแก่คนทั่วไปเท่านั้น ราษฎรที่เป็นคนว่านอนสอนง่าย ก็พากันมาหาฉันและเชื่อฟังคำสั่งโดยที่ไม่บ่นสักคำเดียวเลย

ฉันจัดทหารที่เกณฑ์มานั้นขึ้นเป็นกอง ๆ ละ ๕๐ คน ทุกกองมีนายทหารผู้นำคือ นายร้อยเอก ๑ นายร้อยโท ๑ นายร้อยตรี ๑ นายสิบเอก ๒ นายสิบโท ๔ และนายสิบตรี ๔ ฉันตั้งใจฝึกหัดทหารเหล่านี้โดยเต็มความสามารถ ด้วยความช่วยเหลือของทหารชาติโปรตุเกสที่รู้ภาษาไทย และชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งซึ่งฉันตั้งให้เป็นนายสิบเอก ไม่ถึงสิบวันทหารเหล่านั้นก็เรียนถ่ายแบบได้เรียบร้อยดี เข้าแถว แยกแถว ยืนยามและเปลี่ยนยามได้คล่องแคล่วเหมือนทหารฝรั่งเศส

ฉันได้พูดแล้วว่าคนไทยเป็นคนว่านอนสอนง่าย เพราะฉะนั้นจะสั่งให้ทำอะไรก็ทำตามความต้องการ ทหารสองพันคนนี้ได้รับการฝึกหัดและมีวินัยดี ไม่ผิดกว่าทหารทั้งปวง

ฉันรอคอยพวกมักกะสันอยู่เป็นนิจ โดยเหตุที่ไม่มีคุกที่จะจำคนเหล่านั้น ฉันจึงสร้างคุกขึ้นคุกหนึ่ง อยู่ติดกันกับเชิงเทินของป้อมที่สร้างขึ้นใหม่ คุกนี้มีเสาขนาดโตล้อมรอบ ทำแน่นหนาไม่ต้องใช้ผู้คุมหลายคน และโตพอขังนักโทษได้ประมาณห้าสิบคน

เรือสำเภาลำนั้นมาถึงบางกอกยี่สิบวันภายหลังที่ฉันได้รับคำสั่ง แต่ตลอดเวลานั้นฉันได้เอาโซ่ขึงตึงกั้นทางเรือไว้ทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะเกรงว่าเรือลำนั้นจะล่องลงมาไม่ทันรู้ตัว แผนการที่ฉันกะไว้เพื่อปฏิบัติตามหน้าที่นั้น ผิดแผกจากคำสั่งของวิชเยนทร์บ้าง โดยเหตุที่ฉันเห็นว่าไม่เป็นการปลอดภัยและไม่สมกันกับเกียรติยศของฉันที่จะขึ้นไปบนเรือลำนั้น ด้วยว่าพวกมักกะสันมีอำนาจสิทธิขาดและเป็นใหญ่อยู่บนเรือ ฉันจึงตั้งใจไว้ว่าจะเรียกคนเหล่านั้นให้ลงจากเรือขึ้นมาบนบกแล้วลงมือจับทันที เสร็จแล้วฉันจะขึ้นไปบนเรือและทำบัญชีสินค้าตามความประสงค์ของวิชเยนทร์ เมื่อคิดดังนี้แล้ว ฉันสั่งให้ส่งทหารไปซุ่มไว้ในที่ต่าง ๆ ตามทางที่พวกแขกมักกะสันจะเดินมา และให้ล้อมจับคนเหล่านันเมื่อฉันได้อาณัติสัญญาณสั่งให้จับ

ครั้นเรือสำเภามาถึงตำบลที่ขึงโซ่ไว้ ต้นหนเรือเห็นว่าเรือผ่านไปไม่ได้ จึงขึ้นมาบนบกกับกะลาสี ๗ คน และขอมาพูดกันกับฉัน ฉันให้พาตัวคนเหล่านั้นมาหาที่ป้อมปราการเก่า ฉันยืนคอยรับเขาอยู่ใต้ปะรำที่ข้าพเจ้าให้สร้างขึ้นด้วยไม้ไผ่บนหอรบหอหนึ่ง ทางด้านที่จะออกไปจากหอรบนั้นเอาม่านผืนใหญ่กั้นไว้

เมื่อพวกแขกมักกะสันเข้ามาในปะรำ ฉันก็ต้อนรับตามอัชฌาสัยไมตรี และให้นั่งลงรอบโต๊ะที่ตามเวลาปรกติใช้สำหรับตั้งอาหารให้ฉันรับประทานกับนายทหารอื่นๆ ฉันถามต้นหนเรือสำเภาว่ามาจากไหนและจะไปไหน เขาตอบว่าเขามาจากกรุงศรีอยุธยาจะกลับไปเกาะมักกะสัน และในเวลาเดียวกันนั้นเขายื่นหนังสือเบิกทางให้ฉัน ฉันทำเป็นตรวจดูหนังสือเบิกทางแล้วพูดว่าหนังสือนี้เรียบร้อยดี แต่โดยเหตุที่ฉันเป็นชาวต่างประเทศพึ่งจะมารับราชการเร็ว ๆ นี้ ฉันจะต้องระมัดระวังให้ยิ่งกว่าผู้อื่น และไม่ทำอะไรไปให้ผิดจากคำสั่ง เนื่องจากเรื่องที่มีผู้สมรู้ร่วมคิดกันจะก่อการกบฎตามที่ต้นหนก็คงจะทราบดีอยู่แล้ว ฉันได้รับคำสั่งให้ห้ามไม่ให้คนไทยคนหนึ่งคนใดออกไปจากพระราชอาณาจักรนี้ ต้นหนตอบฉันว่าในเรือสำเภานั้นมีแต่แขกชาวมักกะสัน ฉันพูดว่าฉันไม่มีความสงสัยในถ้อยคำของเขาเลย แต่โดยเหตุที่ฉันอยู่ท่ามกลางคนไทย ซึ่งคอยสังเกตดูข้อปฏิบัติของฉัน ฉันขอให้ต้นหนสังคนที่อยู่ในเรือนั้นขึ้นมาบนบก เพื่อป้องกันไม่ให้ทางราชการตำหนิโทษฉันว่ามีความเลินเล่อ ฉันพูดต่อไปว่าเมื่อฉันตรวจตูเห็นว่าคนเหล่านั้นเป็นชาวแขกมักกะสันก็จะยอมให้กลับไปลงเรือ ปลดโซ่ที่ขึงไว้กลางแม่น้ำ และปล่อยให้เรือผ่านไปสู่แห่งหนใด ๆ ได้ตามชอบใจ

ต้นหนเรือสำเภาผู้นั้นตอบฉันโดยไม่ยับยั้งว่า เขาเห็นชอบด้วย เขาจะให้กะลาสีขึ้นมาบนบก แต่ต้องมีอาวุธติดมือมาด้วย ฉันจ้องดูหน้าเขา หัวเราะพลางแล้วพูดว่า “เวลานี้เราทำสงครามกันอยู่หรือ” ต้นหนตอบว่า “เราไม่ได้ทำสงครามกันจริงอยู่ แต่กริชที่ฉันเหน็บอยู่ข้างตัวนี้เป็นอาวุธที่เรามีอยู่แก่ตัวเสมอ เป็นเครื่องหมายอันมีเกียรติที่ประจำตัวของเรา และเราไม่ยอมวางอาวุธนั้นให้ได้รับความอัปยศ” เมื่อเขาอ้างสาเหตุนั้น ฉันไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป ยอมให้พวกแขกมักกะสันมีอาวุธนั้นมาด้วย นึกเสียว่าอาวุธนั้นไม่น่ากลัวเลย แต่การหาเป็นเช่นนั้นไม่ มันเป็นอาวุธที่ร้ายกาจมากดังที่ฉันได้เห็นด้วยตาเอง

กริชนั้นเป็นมีดแหลมชนิดหนึ่ง ยาวประมาน ๑ คืบ ๔ นิ้ว๑๗ และที่ต่อกับด้ามนั้นกว้างประมาณนิ้วครึ่ง๑๘ รูปคดเหมือนระลอกในกระแสน้ำ ปลายแหลมคล้ายลิ้นงู ทำด้วยเหล็กกล้า ทั้งสองข้างคมเหมือนมีดโกน เหน็บไว้ในฝักซึ่งทำด้วยไม้

ต้นหนได้ใช้คนของเขาสองคนไปตามพวกกะลาสีที่เหลืออยู่ในเรือสำเภาลำนั้น ฉันได้ให้จัดหาน้ำชามาเลี้ยงเขาในระหว่างเวลาที่คอยคนมารายงานว่าพวกกะลาสีได้ขึ้นมาบนบกแล้ว ในเวลาเดียวกันนั้นฉันคิดไว้ว่าจะมีคำสั่งให้จับคนเหล่านั้น โดยเหตุที่พวกกะลาสีมาช้ากว่าความคาดหมายของฉัน ฉันจึงลุกขึ้นยืน ทำทีพูดว่ามีธุระที่จะต้องสั่งการบางอย่าง ฉันขอให้ขุนนางไทยผู้หนึ่งที่อยู่ในที่นั้นให้นั่งเป็นประธานแทนตัวฉัน ฉันบอกว่าจะรีบกลับมาในเวลาไม่ช้า

คนไทยซึ่งคอยสังเกตการณ์อยู่ในที่นั้น ไม่เข้าใจว่าเหตุไรฉันจึงจัดทหารไปซุ่มไว้ในที่ต่างๆ เมื่อฉันออกไปจากปะรำแล้ว ฉันพบนายทหารโปรตุเกสแก่คนหนึ่ง เป็นคนซื่อสัตย์ดีนัก ฉันได้ตั้งให้เป็นนายพันตรี ยืนรอคอยฟังคำสั่งของฉัน ฉันพูดว่า “จงไปบอกพวกเราว่าเมื่อพวกแขกมักกะสันผ่านตำบลที่เราจัดทหารซุ่มไว้ ให้ตรงเข้าล้อมปลดอาวุธ และจับตัวไว้จนกว่าจะมีคำสั่งมาใหม่”

นายทหารโปรตุเกสผู้นั้นตกใจที่ได้ยินข้าพเจ้าพูดดังนั้น จึงตอบว่า “ขอรับประทานโทษ ที่ท่านสั่งเช่นนั้น ไม่มีใครจะปฏิบัติตามได้ ท่านไม่รู้จักแขกมักกะสันเหมือนตัวฉันรู้จักมัน ฉันเกิดมาในบุรพทิศประเทศรู้จักมันดี ขอให้เชื่อถ้อยคำฉันเถิด คนเหล่านี้หายอมแพ้ง่าย ๆ ไม่ ต้องฆ่ามันเสียก่อนจึงจะจับตัวมันได้ ฉันขอเรียนให้ทราบด้วยว่า ถ้าท่านทำท่าทางที่จะจับต้นหนที่อยู่ในปะรำนั้น เขาและคนของ เขาจะฆ่าพวกเราไม่ให้มีเหลืออยู่สักคนเดียว

ฉันไม่ได้ตริตรองคำเตือนของนายทหารโปรตุเกสผู้นั้นตามควรแก่กาล ขืนที่จะทำตามแผนการที่ฉันได้ดำริไว้ นึกเสียว่าคงจะไม่ยากลำบากอะไรเลย จึงสั่งซ้ำไปว่าให้ไปบอกทหารตามคำสั่งของฉัน ฉันเชื่อว่าก่อนที่แขกมักกะสันจะถูกฆ่าตาย มันควรจะต้องทวนคิดเสียหลายหนแล้ว นายทหารโปรตุเกสผู้นั้นเดินไปสีหน้าเศร้าหมองพูดว่า “ขอให้ท่านระมัดระวังตัวให้มาก มันคงฆ่าท่านเป็นแน่ เชื่อฉันเถิด ฉันเตือนโดยความหวังดีแท้ๆ”

คราวนี้ฉันทำตามคำเตือนของนายทหารผู้นั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสี่ยงโชคอย่างหนึ่งอย่างใด ฉันเลือกทหารไทยได้ยี่สิบคน สั่งให้ตามฉันมาทางด้านที่จะเข้าไปในหอรบ ให้ถือหอกเป็นอาวุธสิบคน และอีกสิบคนถืออาวุธปืน ฉันได้รูดม่านที่กั้นปะรำอยู่นั้นแล้ว เดินเข้าไปสั่งให้ขุนนางไทยผู้หนึ่งไปบอกต้นหนแขกมักกะสันว่าฉันมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับคำสั่งให้จับตัวเขา แต่ขอให้เชื่อเถิดว่าฉันจะเลี้ยงดูเขาเป็นอย่างดีตลอดเวลาถูกคุมขัง

ขุนนางไทยอันน่าสมเพชผู้นั้น ซึ่งเป็นล่ามของฉัน ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของฉัน พออ้าปากพูดคำแรก แขกมักกะสันหกคนนั้น โยนหมวกลงที่พื้น ชักกริชออกจากฝักกระโจนเข้ามาดุจมัจจุราช แทงและฆ่าล่ามกับขุนนางไทยอีกหกคนซึ่งอยู่ในปะรำนั้น ฉันถอยออกมาสมทบทหารไทยที่มีอาวุธอยู่ในมือ ฉันฉวยหอกได้เล่มหนึ่งแล้ว สั่งให้ทหารยกปืนขึ้นยิงกราดไป

แขกมักกะสันคนหนึ่งวิ่งตรงมาจะทำร้ายฉัน ฉันเอาหอกแทงท้องของมัน มันหารู้สึกเจ็บไม่ ดันเข้ามาทั้งปลายหอกทิ่มติดอยู่ในตัวเช่นนั้น มันพยายามโดยสุดกำลังที่จะเข้ามาแทงฉันให้จนได้ มันคงแทงฉันตายเป็นแน่ ถ้าทหารไทยคนหนึ่งไม่ป้องกันไว้ได้ ฉันได้แต่ถอยหลังไปและเอาหอกทิ่มท้องกันมันไว้ ไม่กล้าที่จะถอนหอกออกมาแทงมันอีก ในที่สุดทหารหอกคนอื่น ๆ ได้มาช่วยกันและฆ่าแขกมักกะสันคนนั้น

ในจำพวกแขกมักกะสันบ้าหกคนนั้น เราฆ่าเสียสี่คน อีกสองคนถึงแม้ว่าบาดเจ็บมาก ได้กระโดดลงจากป้อมหนีไปได้ ความกล้าหาญหรือจะเรียกว่าความบ้าของแขกมักกะสันหกคนนั้นพิสูจน์ให้เห็นว่า คำพูดของนายทหารโปรตุเกสมีมูลความจริง มันไม่ยอมให้จับเป็นได้ง่ายๆ เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว ฉันหวาดหวั่นว่าพวกแขกมักกะสันอีก ๔๗ คนที่ขึ้นบกมาแล้วนั้น จะอาละวาดอย่างไรอีก เมื่อมีความวิตกเช่นนั้น ฉันเปลี่ยนคำสั่งที่ให้จับ เป็นตกลงให้ฆ่ามันเสียทั้งสิ้น เพราะว่าไม่มีทางอื่นใดที่จะดีกว่านั้น คิดเช่นนั้นแล้วฉันสั่งให้ไปตามทหาร และตัวเองก็ไปตามด้วย มาสมทบรวบรวมเป็นกองขึ้น

ในขณะนั้นแขกมักกะสันที่ขึ้นมาบนบกแล้ว เดินตรงมายังป้อมปราการ ฉันสั่งให้นายทหารชาติอังกฤษผู้หนึ่งเป็นชั้นนายร้อยเอก ซึ่งวิชเยนทร์ตั้งให้เป็นผู้บังคับการกองทหารโปรตุเกส ๔๐ คน ให้ไปกั้นทาง อย่ายอมให้แขกมักกะสันเดินมา ถ้ามันขืนเดินมาให้เอาปินยิง ฉันจะรีบนำทหารที่ระดมได้เท่าไรตามไปช่วยในเวลาไม่ช้า เมื่อนายทหารอังกฤษได้ห้ามแขกมักกะสันไม่ให้เดินต่อมา มันก็หยุดอยู่นิ่งๆ ในขณะนั้นฉันนำทหารเดินไปเป็นระเบียบเรียบร้อย มีหอกและปืนเป็นอาวุธครบมือ แต่จะไว้วางใจทหารพวกนี้นักก็ไม่ได้ เพราะว่าเป็นทหารที่เกณฑ์มาใหม่ ๆ และยังไม่เคยชินกันกับการสงคราม

เราหยุดอยู่ห่างจากพวกแขกมักกะสันประมาณหนึ่งเส้น ต่างฝ่ายต่างเจรจาซักถามความประสงค์ซึ่งกันและกัน ฉันสั่งให้บอกมันว่า ถ้าอยากจะกลับไปลงเรือสำเภาก็กลับไปได้ ฉันคิดไว้ว่า ถ้ามันยอมกลับไปลงเรือแล้ว เราจะยิงเสียให้ตายทุกคนก็ได้ง่าย เพราะว่ามันไม่มีที่กำบัง และไม่มีอาวุธปืนสักกระบอกเดียว มันตอบว่ามันยินดีจะกลับไปบนเรือ แต่ก่อนอื่นขอให้ส่งตัวต้นหนเรือของมันลงมาด้วย ถ้าไม่ได้ตัวคืนมาแล้ว ก็จะไม่ขึ้นไปบนเรือ

นายทหารอังกฤษไม่ชอบพูดกันไปพูดกันมาอันเป็นการช้าเสียเวลา จึงใช้คนมาบอกฉันว่า เมื่อแขกมักกะสันไม่ยอมฟังเหตุผลของเรา เขาจะจับมันมัดไว้และยังไม่ทันรอฟังคำสั่งของฉัน เขานำทหารตรงเข้าไปโดยที่ไม่ใช้ปัญญาตริตรองให้รอบคอบ

พอนายทหารอังกฤษกระดิกตัวจะก้าวหน้าไป แขกมักกะสัน ๔๗ คน ซึ่งนั่งยองๆ อยู่ตามขนบธรรมเนียมของมัน ลุกขึ้นยืนทันที แก้ผ้ารัดพุงของมันออกแล้วเอาพันแขนซ้ายของมันเป็นโล่ห์ มันยกแขนซ้ายนั้นบังตัว มือขวาชักกริชออกจากฝักแล้วกระโจนเข้าหาพวกทหารโปรตุเกส ก้มหัวลงวิ่งถลันเข้าไปโดยแรง แทงทหารโปรตุเกส เนื้อขาดเป็นชิ้นๆ ไป ก่อนที่พวกเรารู้ตัวว่ามันคิดสู้จากที่นั้นไม่ทันพักหยุดหายใจ มันแหวกทางวิ่งตรงมายังกองทหารที่อยู่ในบังคับบัญชาของฉัน ถึงแม้ว่าฉันมีทหารกว่าหนึ่งพันคนถือหอกและปืน แต่ทหารเหล่านั้นไม่ทันรู้ตัว แขกมักกะสันเอากริชแหวะท้องทหารเหล่านั้น พบคนใดก็ฆ่าคนนั้นดะไปทั้งซ้ายและขวา ล้มตายทับถมกันน่าสยองพองขน

ในขณะที่ประชาชนพลเมืองแตกตื่นกันอยู่นี้ พวกเราถูกดันมาจนถึงกำแพงป้อมที่สร้างขึ้นใหม่ แขกมักกะสัน ซึ่งบ้าเลือดมากกว่าคนอื่นๆ ได้ไล่ตามคนที่วิ่งหนี มันตามไปจนถึงคูที่อยู่ริมแม่น้ำใกล้ป้อมรูปสี่เหลี่ยมแล้ว ข้ามไปอีกข้างหนึ่งของป้อม ฆ่าใครๆ ที่ขวางทางมัน ไม่เลือกว่าเป็นเพศหญิงหรือชาย ผู้ใหญ่หรือเด็ก เลือดนองไป น่าสะพรึงกลัว

ในภาวะอันยากลำบากเช่นนี้ ฉันไม่สามารถที่จะควบคุมทหารไว้ได้ และโดยเหตุที่ฉันมีหอกเป็นอาวุธอยู่แต่เล่มเดียว ฉันจึงเดินเลียบริมคูไป ตั้งใจไว้ว่าจะกระโดดลงไปในคู ถ้าแขกมักกะสันติดตามฉันมา ที่คิดดังนี้เพราะทราบว่าคูนั้นเต็มไปด้วยเลน มันจะลุยโคลนมาเร็วไม่ได้ ฉันจะต่อสู้มันก็ได้เปรียบกว่ามันมาก

แขกมักกะสันวิ่งผ่านฉันมาห่างประมาณสี่วา ไม่เห็นฉัน เพราะว่ามันมุ่งแต่จะฆ่าคนที่อยู่ใกล้มันเท่านั้น ไม่มีคนอื่นๆ สักคนเดียวคิดจะประชันหน้าเพื่อต่อสู้มันเลย เพราะว่าตกใจเกินไป ในที่สุดไม่เห็นทางหนึ่งทางใดที่จะเรียกทหารให้มารวมกันต่อสู้มันได้ ฉันจึงวิ่งไปทางประตูที่จะเข้าไปในป้อมปราการที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งมีรั้วกั้นไว้เท่านั้น กระโดดข้ามรั้วแล้ว ฉันขึ้นไปบนป้อมหยิบปืนมายิงพวกแขกมักกะสัน ซึ่งอาละวาดอยู่ข้างล่าง เมื่อไม่มีใครที่มันจะฆ่าได้อีกแล้ว มันก็ถอยไปริมฝั่งแม่น้ำ มันปรึกษาหารือกันอยู่สักครู่หนึ่ง โทมนัสที่ไม่เห็นทางที่จะหนีรอดไปได้ มันจึงตกลงใจที่จะรบราฆ่าฟันกันต่อไป มันขึ้นไปบนเรือสำเภา เอาไฟเผาเรือแล้ว ต่างคนต่างฉวยโล่ห์และหอกกลับขึ้นมาบนบกอีก พบใครก็ฆ่าเสียสิ้น

มันเอาไฟเผาโรงทหาร ซึ่งเป็นเรือนทำด้วยไม้ไผ่ แล้วเดินเลียบฝั่งแม่น้ำขึ้นไป ฟันและฆ่าใคร ๆ ไม่เลือกหน้าที่ขวางทางมัน ฆาตกรรมนี้ทำให้ประชาชนพลเมืองตัวสั่นขวัญหายมาก

ภาพที่ได้เห็นนั้นทำให้ฉันสลดใจมาก แค้นเคืองที่ได้เห็นพื้นดินเต็มไปด้วยซากศพคน ฉันจึงรวบรวมทหารปืนได้ยี่สิบคน นำลงไปในเรือกัญญาลำหนึ่ง ให้พายเรือตามพวกแขกมักกะสัน ได้ไปทันมันที่หนทางห่างจากป้อมปราการประมานร้อยเส้น ฉันสั่งได้เอาปืนยิงมัน มันหลบไปห่างจากฝั่งแม่น้ำแล้ว เดินเข้าไปในที่รกชัฏ ฉันเห็นว่าไม่มีทหารมากพอที่จะติดตามมันไป เพราะว่าพวกแขกมักกะสันมากกว่าพวกเรา จึงไม่กล้าที่จะเข้าไปท้ารบใกล้ๆ เหตุฉะนั้นจึงตกลงใจกลับมายังป้อมปราการ

ครั้นกลับมาถึงมีคนมารายงานว่าแขกมักกะสันหกคนที่ข้ามคูไปอีกฟากหนึ่งนั้น ได้บุกรุกเข้าไปในวัด ๆ หนึ่ง ฆ่าพระภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ในวัดนั้นทั้งหมด กับขุนนางผู้ใหญ่อีกคนหนึ่ง ซึ่งมันเอากริชแทงคาติดตัวไว้ คนที่มารายงานฉันนั้นได้นำเอากริชมาให้ฉันเป็นพยานด้วย ฉันจึงรีบไปที่วัดนั้น นำทหารไปด้วยแปดสิบคน ให้ถือหอกทุกคน เพราะว่าทหารพวกนี้ยังไม่ชำนาญการใช้ปืน เมื่อฉันไปถึงวัดนั้น ได้ทราบว่าคนไทยที่อยู่ในบริเวณวัดนั้นไม่มีอาวุธจะต่อสู้ได้ จึงต้องเอาเพลิงเผาวัดนั้น

มีคนมารายงานฉันว่าพวกแขกมักกะสันได้หลบไปจากวัดนี้หนีเข้าไปหมอบอยู่ในทุ่งซึ่งเต็มไปด้วยหญ้ารกสูงเกือบสองศอกและทึบมาก ฉันนำทหารเข้าไปในทุ่ง แยกออกเป็นสองแถวให้ร้องตะโกนขู่ไปว่าจะฆ่าคนใดๆ ที่พยายามกระดิกตัวจะวิ่งหนี ทหารหอกของฉันนั้นเดินแหวกทางเข้าไปช้า ๆ แต่เมื่อเห็นฉันเดินประชิดเข้ามาก็มีใจกล้าขึ้น

แขกมักกะสันคนแรกที่เราพบนั้น ยืนขึ้นเงื้อกริชดุจคนบ้าฉะนั้น ตั้งท่าจะกระโจนเข้าแทงทหารหอก ฉันป้องกันไว้ได้ เอาปืนยิงถูกหัว มันล้มตายคาที่ ทหารของฉันเห็นดังนั้นไม่หวาดหวั่น ต่างคนต่างช่วยกันเอาหอกแทงแขกมักกะสันตายอีกสี่คน แขกมักกะสันอันน่าสมเพชเหล่านี้ต่อสู้ทำนองเดียวกัน คือมันวิ่งรี่เข้ามายอมตายดีกว่าถอยหลังหนี

ในขณะที่ฉันคิดจะกลับมาที่ป้อมปราการ มีคนมาบอกว่ายังมีแขกมักกะสันคนที่หกยังเหลืออยู่ มันเป็นเด็กหนุ่มที่ได้ฆ่าขุนนางไทยและทิ้งกริชคาไว้กับซากศพ เราจึงย้อนกลับเข้าไปในพงหญ้ากกอีกเพื่อเอาตัวมันให้ได้ ฉันได้สั่งทหารอย่าให้ฆ่ามัน ให้จับเป็นเพราะว่ามันไม่มีอาวุธ แต่ทหารเหล่านั้นเหี้ยมโหดมากไม่ฟังคำสั่งของฉันให้ทราบชัดเจน เอาหอกแทงมันตั้งพันแห่ง

กลับมาถึงป้อมแล้วฉันเชิญขุนนางไทยมาประชุมปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป เราได้พร้อมกันตกลงว่าจะระดมทหารทั้งหมดที่มีอยู่แล้ว ติดตามศัตรูไปจนถึงที่เราทราบว่ามันหลบซ่อนอยู่ ฉันใคร่ทราบว่าจะมีจำนวนคนตายสักกี่คน สอบสวนได้ความว่าในวันเคราะห์ร้ายนั้นมีคนของเราเสียชีวิตไป ๓๖๖ คน พวกมักกะสันตายเพียง ๑๗ คน คือถูกฆ่าบนป้อม ๖ คน ที่วัด ๖ คน และในสมรภูมิหน้าป้อม ๕ คน

เวลาฉันเดินเข้าไปในปะรำ เพื่อพักผ่อนสักครู่หนึ่ง เพราะว่าได้รับความเหน็ดเหนื่อยมาก ฉันได้พบภาพที่ทำให้เศร้าสลดใจอย่างยิ่ง ด้วยว่าไม่ได้คิดว่าจะได้เห็นเช่นนั้นเลย นอกจากซากศพแขกมักกะสันและคนไทย ซึ่งไม่มีเวลาจะหามไปจากป้อมได้ ฉันได้พบนายทหารหนุ่มผู้หนึ่ง นอนนิ่งอยู่ข้างเตียงนอนของฉัน นายทหารหนุ่มชาวฝรั่งเศสผู้นี้ ชื่อ โบเรอะคารท์ ซึ่งเดินทางมาพร้อมกันกับฉันและสมัครอยู่ในประเทศนี้ ฉันได้ตั้งให้เป็นนายพันตรีในกองทหารไทย เมื่อฉันเห็นเขานอนนิ่งอยู่เช่นนั้นก็เชื่อว่าตายแล้ว จึงมีความเศร้าโศกสลดใจเป็นอันมาก

แต่เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ผู้อ่านคงจะไม่เชื่อถ้อยคำของฉัน เพราะว่าแท้จริงมันเป็นเรื่องที่คล้ายกันกับนิทานมากกว่าอย่างอื่น ฉันขอปฏิญาณให้คำมั่นสัญญาว่าฉันไม่ได้ต่อเติมแต่งขึ้นตามอำเภอใจเลย จะเขียนแต่ความจริงแท้ๆ เมื่อฉันเข้าไปใกล้เตียงนอน และตรวจดูร่างกายของนายทหารหนุ่มผู้นั้นแล้ว ฉันเห็นว่ายังมีลมหายใจอยู่ แต่พูดไม่ได้เสียแล้ว ที่ปากของเขานั้นมีน้ำลายเป็นฟอง ท้องแหวะไส้พุงและกระเพาะอาหารทะลักออกมาข้างนอกห้อยอยู่ที่ตะโพก ไม่ทราบว่า จะช่วยเหลืออย่างไร เพราะว่าไม่มียาและไม่มีแพทย์ ฉันจึงลองช่วยชีวิตของเขาตามสติปัญญาความสามารถของฉัน

ฉันเอาไหมมาสนเข็มสองเล่มแล้ว ยกไส้พุงและกระเพาะเข้าไปในที่เดิมของมันในท้อง ฉันได้เย็บแผลตามทำนองที่ได้เคยเห็นมา และขมวดสองทบให้ติดกันไว้ เอาไข่ขาวมาตีแล้วเอาเหล้า “รัค” ซึ่งเป็นเหล้า “โอเดอะวี” ชนิดหนึ่ง ผสมเข้าแล้วชะล้างคนบาดเจ็บ ชะล้างอยู่ดังนี้ต่อมาสิบวัน การรักษาพยาบาลของฉันเป็นผลสำเร็จ โบเรอะคารท์รอดชีวิตมาได้ ความจริงเขาไม่มีไข้และไม่มีอาการที่ทำให้วิตกเลย ฉันสังเกตเห็นว่าเมื่อเวลาฉันยกไส้พุงและกระเพาะของเขาเข้าไปในท้องนั้น มันแห้งเหมือนกระดาษหนังสือฉะนั้น และมีเลือดข้น ๆ ติดอยู่ด้วย แต่ถึงเช่นนั้นก็หาเป็นอุปสรรคขัดขวางอย่างไรไม่ ไม่กี่วันเขาก็หายเจ็บได้

รุ่งขึ้นฉันได้รับรายงานว่ามีแขกมักกะสันอีกคนหนึ่งในจำนวนหกคนที่มาอาละวาดอยู่ในปะรำนั้นยังไม่ตาย ทหารไทยจับตัวมันได้ และเกรงว่ามันจะหนีไป จึงเอาเชือกมัดมันแน่นจนกระดิกตัวไม่ได้ ฉันลงจากป้อมปราการไปซักถามปากคำของมัน เพื่อจะได้ทราบข้อความชัดเจนว่ามีสาเหตุอะไรที่มันไปเกี่ยวข้องกันกับการฆาตกรรมครั้งนี้และกับพวกกบฎที่จะก่อการจลาจลที่เมืองละโว้ และกรุงศรีอยุธยา มัจจุราชผู้นี้ถูกแทงด้วยหอกตามร่างกายถึง ๑๗ แผล แต่มันไปหมกซ่อนอยู่ในโคลนได้ตลอดคืนอย่างใจเย็นจนน่าพิศวง ฉันเรียกมันว่ามัจจุราชเพราะว่ากำลังกายและใจของมนุษยชาติหาทนได้เท่านี้ไม่ ฉันซักถามมันคำสองคำแล้วมันตอบว่ามันจะให้การเป็นที่พอใจฉันไม่ได้ ถ้าฉันไม่ให้คนแก้เชือกที่มัดมันไว้ ฉันไม่เกรงว่ามันจะหนีไปได้ จึงสั่งให้นายสิบชาติฝรั่งเศสซึ่งไปกับฉันให้แก้เชือก นายสิบผู้นี้เอาง้าวของเขาพิงไว้กับต้นไม้เล็ก ๆ ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวแขกมักกะสันคนนั้น นึกว่ามันไม่มีกำลังที่จะทำอะไรได้ จึงวางไว้ในที่นั้นแล้วแก้เชือกที่มัดตัวมันไว้

พอมันหลุดจากเชือกที่มัดไว้แล้ว มันยืดขาและยืดแขนเพื่อให้หายเหน็บ ฉันได้สังเกตเห็นว่าเวลามันตอบคำถามของฉันนั้น มันหันหน้าไปรอบ ๆ ตัวและทำท่าทางที่จะหนีและค่อย ๆ คลานเข้าไปจะหยิบง้าว ฉันรู้เลศนัยของมัน จึงร้องบอกนายสิบว่าให้เข้ายืนใกล้ง้าวของเขา ยังไม่รู้อีกหรือว่าคนบ้าเลือดเช่นนี้มุทะลุเพียงไร พอมันเข้าไปใกล้ง้าว มันก็พยายามจะหยิบง้าวนั้นจริง ๆ แต่มันมีความทรหดมากกว่ามีกำลัง มันจึงล้มลงหน้าฟาดลงกับพื้นดินจวนจะขาดใจตาย ในทันใดนั้นฉันเห็นว่ามันไม่มีอาการที่จะรอดชีวิตได้ จึงสั่งให้ฆ่ามันเสีย

ฉันรู้สึกสังเวชใจมากที่เห็นคนเหล่านี้ ซึ่งเป็นคนที่ผิดแผกกว่าคนอื่นๆ ถูกฆ่าตาย จึงใคร่ทราบว่าเหตุไฉนชนชาตินี้จึงมีความกล้าหาญ หรืออีกนัยหนึ่งความดุร้ายมากนัก ฉันถามชนชาติโปรตุเกสที่เคยอยู่ในบุรพทิศประเทศตั้งแต่เด็กมา เขาบอกฉันว่าคนเหล่านี้มาจากเกาะ เสลีเบส หรือ เกาะมักกะสันเคร่งในศาสนามะหะหมัดและถือลาง เชื่อคาถาอาคมที่พวกอิหม่ามแจกจ่ายให้ มียันต์ผูกไว้ที่แขน เพราะได้รับคำสั่งสอนว่าถ้ามีไว้ติดตัวก็ไม่มีใครทำอันตรายได้

คำสั่งสอนอีกข้อหนึ่งที่ทำให้คนเหล่านี้เป็นคนดุร้ายไม่ท้อถอยนั้น คือความเชื่อมั่นว่าคนทั้งปวงที่เขาฆ่าตายในพิภพนี้นอกจากพวกมะหะหมัดแล้ว จักไปเป็นทาสรับใช้เขาในปรโลก ตั้งแต่เด็ก ๆ มา แขกมะหะหมัดได้รับความอบรมให้ถือว่าการไม่ยอมแพ้นั้นเป็นเกียรติคุณที่เลิศที่สุด ยังไม่มีใครละเมิดคำสั่งสอนนี้เลย

เมื่อแขกมักกะสันมีความเชื่อเช่นนี้ ก็ย่อมไม่ขอพึ่งหรืออุปการะผู้หนึ่งผู้ใด เขามีแต่กริชเป็นอาวุธก็สู้คนตั้งแสนคนได้ คนที่มีลัทธิเช่นนี้ย่อมไม่มีความกลัว และเป็นคนที่โหดร้ายมาก ชาวเกาะพวกนี้รูปร่างปานกลาง เนื้อสีดำแดง เป็นคนแคล่วคล่องว่องไวมาก มีเครื่องแต่งกายคือกางเกงขาสั้นแนบกับเนื้อ เสื้อแขนสั้นสีขาวหรือสีเทาคล้ายเสื้ออังกฤษ หมวกชนิดหนึ่งมีผ้าพันกว้างประมานสามนิ้ว ไม่สวมถุงน่องมีแต่รองเท้าแตะ มีผ้ารัดพุงสอดกริชอาวุธของมัจจุราช นี่แหละคือคนที่ฉันได้ประชันหน้า มันพึงฆ่าฉันได้เหมือนคนอื่น ๆ โดยปราศจากความเมตตากรุณา

โบเรอะคารท์ ซึ่งฉันยกไส้พุงกลับเข้าไปในท้อง และพยาบาลรักษาแผลตลอดมานั้น มีอาการดีขึ้นมากและพูดได้แล้ว ฉันจึงสอบถามว่าถูกทำร้ายได้อย่างไร เพราะว่าในขณะที่เราต่อสู้กับแขกมักกะสันหกคนบนป้อมปราการนั้น ตัวเขาอยู่นอกป้อม

โบเรอะคารท์เล่าว่าเขาได้เห็นคนสองคนพลัดตกลงมาจากป้อม ศีรษะพุ่งลงมา และนึกว่าคนๆ หนึ่งในสองคนนั้นคงเป็นต้นหนของเรือสำเภา เขาจึงวิ่งเข้าไปเพื่อกันไม่ให้คนไทยฆ่าแขกมักกะสันคนนั้น เมื่อมันเห็นเขาวิ่งเข้ามาใกล้ดังนั้น มันมารยานอนนิ่งเหมือนคนตาย ครั้นเขาเข้าไปใกล้ตัวมัน มันเอากริชแหวะท้องของเขาเป็นแผลยาวดังที่ข้าพเจ้าได้เห็น ไม่ทราบว่าจะวิ่งไปทางไหน จึงเอามือประคองไส้พุงไว้แล้วขึ้นบนปะรำ ไม่เห็นมีใครที่จะช่วยเหลือได้ หมดกำลังลงก็ล้มลงอยู่ข้างเตียงนอนของฉัน และนอนนิ่งอยู่ดังที่ฉันได้มาพบเข้า๑๙

ฉันได้รายงานเรื่องอันน่าเสียใจให้วิชเยนทร์ทราบ ถึงแม้กุศโลบายของเขาจะแสดงให้ฉันเห็นชัดเจนว่าเขาคิดปองร้ายฉัน ฉันก็ไม่เห็นเป็นการสมควรที่จะยั่วให้รู้สึกความผิด ฉัน จึงเขียนรายงานเหมือนหนึ่งว่าฉันไม่มีความสงสัยเขาเลย ได้รายงานข้อความที่เกิดขึ้นแก่ตัวฉันโดยถี่ถ้วนและแนะนำให้ระมัดระวังพวกแขกมักกะสันที่ยังมีเหลืออยู่ และขุดสนามเพลาะอยู่ในค่าย อย่าให้วิชเยนทร์ได้รับความยากลำบากอย่างตัวฉัน เมื่อได้รับรายงานของฉันแล้ว เขากราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทตามความประสงค์ของเขา ถึงแม้ว่าความประพฤติของฉันเป็นที่พอใจเขา เขายังมีจดหมายมาติเตียนฉัน กล่าวหาว่าฉันไม่ใช้ปัญญาตริตรองให้รอบคอบ ความบกพร่องในหน้าที่ของฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฆ่าฟันกันตาย แต่ในท้ายจดหมายเขาสั่งว่าไม่ให้จับพวกแขกมักกะสันเหมือนคราวแรก ให้ฆ่ามันมากเท่าไรก็ยิ่งดี ฉันไม่ได้รับคำสั่งในข้อหลังนี้เลย วันรุ่งขึ้น ฉันเชิญขุนนางไทยทั้งปวงมาประชุมปรึกษาหารือกัน ฉันได้แบ่งทหารให้เขานำไปตามตำบลต่างๆ เพื่อกันไม่ให้ศัตรูที่หนีเข้าไปซ่อนอยู่ในที่รกชัฏกลับมาทำร้ายคนที่อยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำอีก เพราะว่าตลอดฝั่งแม่น้ำนั้นมีประชาชนพลเมืองตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นอันมาก เป็นทำเลที่แขกมักกะสันพึงฆ่าคนได้มากที่สุด

ต่อมาอีกสิบห้าวันฉันได้ทราบว่ามีคนพบแขกมักกะสันที่ตำบลหนึ่งห่างจากเมืองบางกอกสองร้อยเส้น ฉันถึงรวบรวมทหารได้แปดสิบคนลงเรือกัญญาติดตามขึ้นไป เพราะว่าเวลานั้นยังเป็นฤดูน้ำท่วมอยู่ ฉันได้ไปถึงตำบลนั้นทันช่วยเหลือราษฎรในท้องที่ เมื่อฉันไปถึงพวกแขกดุร้ายเหล่านี้ทิ้งเรือกัญญาที่มันยึดไว้ได้ แล้วกระโดดลงไปในแม่น้ำว่ายน้ำหนีไป ฉันสั่งให้เอาปืนระดมยิงมัน แต่มิช้ามันก็ว่ายน้ำไปไกลจากระยะปืน และเข้าไปซ่อนอยู่ในที่รกชัฏ ฉันเห็นว่าไม่มีทางที่จะจับมันได้ จึงกลับมาเมืองบางกอก

เมื่อมาถึงเมืองบางกอก ฉันพบแขกมักกะสันสองคนบาดเจ็บมากหนีไปกับพวกของมันไม่ได้ คนไทยจึงจับตัวมันส่งลงมา ผู้สั่งสอนศาสนารูปหนึ่งชื่อ มานูเอล ซึ่งอยู่กับฉัน เห็นว่าควรแผ่เมตตาจิตแก่มัน จึงช่วยรักษาพยาบาลและสั่งสอนมัน ในที่สุดมันยอมเลื่อมใสคริสตศาสนา แต่พอทำพิธีเข้ารีตได้ไม่ช้ามันก็ตาย ล่วงมาอีกสองสามวันคนไทยจับแขกมักกะสันมาได้อีกคนหนึ่ง ผู้สั่งสอนศาสนาได้ให้โอวาทมันยืดยาว แต่ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย อ้ายคนสถุลนั้นถามว่าถ้าเข้ารีตเป็นศาสนิกชนแล้ว จะให้มันรอดชีวิตหรือไม่ เราตอบว่าไม่รอดไปได้ มันจึงพูดว่าไหน ๆ จะต้องตายแล้ว จะไปสวรรค์หรือไปนรกก็เหมือน ๆ กัน ฉันจึงสั่งให้ตัดคอมันเสีย

คนไทยคนหนึ่งเห็นฉันจะเอาหัวแขกมักกะสันเสียบหอกประจานไว้ วิงวอนขออย่าให้ทำเช่นนั้น บอกเวลากลางคืนคงมีคนมาลักศีรษะนั้นไปทำเสน่ห์เป็นแน่ เพราะว่ามีคนนิยมทำกันมาก ฉันรู้สึกขันมากที่เขาพูดเช่นนั้น ฉันได้สั่งให้เสียบศีรษะแขกมักกะสันคนนี้ประจานไว้ในตำบลที่มีคนเห็นได้มาก เพื่อเป็นตัวอย่างให้แขกมักกะสันคนอื่น ๆ เกรงกลัว

แปดวันภายหลังชาวสวนสองสามคนมีความตระหนกตกใจ พากันมารายงานฉันว่าแขกมักกะสันมาที่ริมฝั่งแม่น้ำอีก ได้เข้าปล้นสวนลักผักและผลไม้ไปเป็นอันมาก

ฉันจึงไปที่ตำบลนั้น นำทหารหอกและปืนไปด้วยประมาณร้อยคน ฉันได้พบราษฎรมากกว่าสองพันคนไปชุมนุมกันอยู่ที่นั่น บอกตำบลที่อยู่ที่กินของแขกมักกะสันให้ฉันทราบชัดเจน

เมื่อที่ต้องเสียเวลาติดตามศัตรูจำนวนนิดเดียวเท่านี้เรื่อยไป ฉันจึงต้องตกลงแกใจว่าจะต้องปราบให้ราบคาบลงเสีย ฉันได้แบ่งราษฎรสองพันคนนั้นออกเป็นสองหมู่ ให้แยกกันไปทางขวาหมู่หนึ่งและทางซ้ายหมู่หนึ่ง ตัวฉันและทหารไทยร้อยคนเที่ยวไล่ตามแขกมักกะสัน ฉันเดินลุยนำไปตามทางที่ผ่านไปในพงกกนั้น โดยเหตุที่พวกแขกมักกะสันต้องอดอาหารแทบจะตายอยู่แล้ว เพราะว่าเวลาตลอดหนึ่งเดือนมันมีแต่ผักและหญ้าเป็นอาหารเท่านั้น ฉันจึงเห็นว่าถึงเวลาเหมาะที่จะไม่ยอมให้หลุดหนีไปได้อีก ทั้งมีทหารที่สดชื่นแข็งแรงมาด้วยก็ย่อมมีทางได้เปรียบมาก คิดเช่นนั้นแล้วฉันสั่งทหารให้เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เดินไปได้ราวห้าสิบเส้นก็เห็นศัตรู เราจึงรีบจะเข้าไปให้ใกล้มัน

ฉันเข้าไปเกือบถึงตัวมันแล้ว มันหลบเข้าไปในที่รกชัฏที่อยู่ข้างซ้าย ไปพบพลทหารของฉัน ทหารเหล่านั้นเห็นมันแต่ไกล ก็ใช้ปืนยิงมัน แต่กระสุนปืนไปไม่ถึง ก็ไม่ทำให้ฉันเปลี่ยนความคิด ฉันเดินกระชั้นเข้าไป และสั่งให้ทหารเตรียมตัวเข้าประจัญบาน น้ำที่เราลุยไปนั้นท่วมขึ้นมาถึงน่องของเรา พวกแขกมักกะสันเห็นว่าจะลุยน้ำมาไม่ได้เร็ว มันจึงปีนขึ้นไปบนเนินดินซึ่งมีคูล้อมรอบ น้ำในคูนั้นลึกถึงคอ

ฉันล้อมมันไว้บนเนินดินนั้น และเข้าไปใกล้ราวสี่ถึงสี่วาครึ่งแล้วให้ล่ามร้องตะโกนไปว่าให้มันยอมแพ้ ถ้าจับได้แล้วให้คำมั่นสัญญาว่าจะขอพระราชทานอภัยโทษให้ทุกคน มันได้ยินถ้อยคำดังนั้นแล้ว มันโกรธเคืองมาก มันพุ่งหอกตรงมาที่เรา เพื่อเป็นพยานว่ามันเห็นว่าเป็นการเสียเกียรติคุณ มันเอาปากคาบกริชแล้วกระโดดลงในน้ำว่ายมาสู่เรา

ทหารไทยได้ฟังถ้อยคำของฉัน และเห็นฉันออกหน้าเป็นตัวอย่างก็ยกปืนขึ้นยิงคนอันน่าสงสารเหล่านั้นจมน้ำตายไม่มีเหลือสักคนเดียวเลย คนที่ตายไปนั้นมากกว่าสิบเจ็ดคน นอกนั้นตายอยู่ในที่รกชัฏ เพราะอดอาหารหรือบาดแผลเป็นพิษ ฉันพลิกศพบางคนดู มันแห้งเหมือนศพชาวไอยคุปต์ที่ใส่ยาให้แห้ง มันมีแต่หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น ที่แขนซ้ายมียันต์ดังที่ฉันได้เล่ามาข้างบนนี้ เป็นเครื่องรางที่มันถือว่าถ้ามีติดตัวไว้แล้วไม่มีใครสู้ได้

อุบัติเหตุอันน่าเสียใจซึ่งทำให้ฉันได้รับความเหน็ดเหนื่อยเป็นอันมากตลอดเวลาหนึ่งเดือน ตัวเองเกือบเสียชีวิต และประชาชนพลเมืองตายไปหลายคนนั้น จบลงด้วยประการฉะนี้ ฆาตกรรมนี้จะมีขึ้นไมได้ ถ้าวิชเยนทร์ผู้ไม่ไว้วางใจฉันและดุร้ายทารุณแก่ฉันเหลือเกิน ไม่มีความอิจฉาริษยาฉัน

เพื่อแสดงให้เห็นแจ่มแจ้งชัดว่า ที่วิชเยนทร์มีหนังสือมาตำหนิโทษฉันว่าไม่ใช้สติปัญญาให้รอบคอบนั้นอยุติธรรมเพียงไร ฉันจะเล่าพอเป็นสังเขปว่า เจ้าแขกมักกะสันที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระนารายณ์มหาราชนั้น เมื่อปิดความที่สมรู้ร่วมคิดกันจะก่อการกบฏไว้ไม่ได้แล้ว ก็ได้ขุดสนามเพลาะรอบที่ดินที่พระราชทานให้อาศัยอยู่ วิชเยนทร์ตกลงใจที่จะจับเจ้าแขกมักกะสันตนนั้น จึงระดมทหารจะไปทำลายที่ซ่องสุมนั้นเป็นจำนวนถึงสองหมื่น ให้ชาวทวีปยุโรป คือ ฝรั่งเศส อังกฤษ วิลันดา สี่สิบคนเป็นผู้นำไป เริ่มแรกพวกแขกมักกะสันแกล้งทำหนี วิชเยนทร์หลงเชื่อ คิดว่ามันแตกตื่นหนีจริงๆ จึงสั่งให้ทหารไทยไล่ติดตามมันไป แต่พอกองทหารนั้นแยกออกเป็นหมู่เล็กๆ พวกแขกมักกะสันก็หันหน้าเข้าต่อสู้ ฆ่าฟันนายทหารชาวทวีปยุโรปตายสิบเจ็ดคนและคนไทยล้มตายลงบ้างไม่น้อย วิชเยนทร์เองเกือบเสียชีวิต ได้กระโดดหนีแขกมักกะสันลงไปในแม่น้ำ เกือบจมน้ำตาย หากคนใช้ของเขาคนหนึ่งลงไปช่วยขึ้นมาได้ จึงรอดชีวิต

ศพคนตายที่ลอยน้ำผ่านเมืองบางกอกลงมาเป็นพยานให้เราทราบว่า วิชเยนทร์แพ้พวกมักกะสัน แต่นั้นมาวิชเยนทร์ระมัดระวังตัวมากขึ้น ได้เจรจาหาทางปรองดองกันกับเจ้าแขกมักกะสัน แต่เจ้าแขกตนนั้นหายอมฟังถ้อยคำไม่ เมื่อวิชเยนทร์ไม่เห็นทางที่จะปรองดองกันได้ จึงตกลงใจที่จะรบพวกแขกมักกะสันอีกสักครั้งหนึ่ง เขาเตรียมการเป็นเวลาถึงสองเดือน คราวนี้เกียรติคุณไม่มัวหมอง เพราะว่าเตรียมการดีกว่าคราวก่อน ตัวอย่างครั้งแรกนั้นเป็นบทเรียนว่า ไม่ใช่เป็นการง่ายนักที่จะระดมพลเข้าต่อสู้โดยเปิดเผย เขาได้เปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ คิดกลอุบายเป็นผลสำเร็จ จึงเอาชัยชนะได้

โดยเหตุที่ว่าเวลานี้น้ำท่วม ต้องลุยน้ำที่ขึ้นมาถึงน่อง วิชเยนทร์จึงให้หาไม้ไผ่มาสานเข้าเป็นแผงหลายแผง ที่รอยต่อกันนั้นเอาตะปูเป็นรูปสามง่ามเสียบไว้ ปลายตะปูยื่นออกไปเกือบแปดนิ้ว เมือกองทหารลุยน้ำไปก็เอาแผงไม้ไผ่นั้นหมกลงในโคลน พวกแขกมักกะสันไม่แลเห็น วิ่งหัวซุนมาจะแทงทหารไทย ตีนก็ติดขวากเหล็กจะก้าวหน้าหรือจะถอยหลังก็ไม่ได้ ทหารไทยจึงเอาปืนยิงล้มตายลงเป็นอันมาก

คนที่หนีไปได้ก็ไปซุกซ่อนอยู่ตามเรือนขัดแตะหรือเรือนฝากระดาน ทหารไทยเอาไฟเผาเรือนเหล่านั้น คนที่วิ่งออกมาก็ถูกไฟลวกและถูกฆ่า ไม่มีแขกมักกะสันคนใดยอมอ่อนน้อมเลย ทหารไทยเว้นไม่ฆ่าให้ตายแต่โอรสสองตนของเจ้าแขกมักกะสันเท่านั้น จับตัวส่งไปเมืองละโว้ ต่อไปแปร์ตาชารต์พาแขกมักกะสันสองคนนั้นไปประเทศฝรั่งเศส และเวลานี้เข้ารับราชการอยู่ในกองทัพเรือ

เมื่อได้เขียนเรื่องวิชเยนทร์ได้จัดการปราบปรามแขกมักกะสันอย่างไรพอเป็นสังเขปแล้ว ฉันขอย้อนมาเล่าเหตุการณ์ที่บังเกิดแก่ตัวฉันในเวลาที่รับราชการอยู่ที่เมืองบางกอก เมื่อไม่มีศัตรูที่จะรบราฆ่าฟันด้วยอีกแล้ว ฉันได้เร่งงานสร้างป้อมและฝึกหัดพลทหาร เห็นว่าพอจะใช้การได้แล้ว ฉันจึงได้ออกไปเที่ยวตรวจดูภูมิประเทศ เพื่อให้ประชาชนพลเมืองรู้จักตัวฉัน และหาความรู้ส่วนตัว

เพื่อได้รับความรับรองให้สมกันกับเกียรติยศและตำแหน่งหน้าที่ ฉันผ่านไปแห่งหนใด ก็ให้คนไปบอกล่วงหน้าเสมอว่า ฉันจะมาตรวจราชการ ขุนนางไทยและผู้มีบรรดาศักดิ์ในท้องที่ได้ตระเตรียมต้อนรับฉันเป็นอย่างดี เข้ามาหาฉันจัดให้อยู่ที่ศาลากลาง พากันมาแสดงความเคารพเท่าเทียมกันกับผู้แทนพระองค์พระมหากษัตริย์คนอื่นๆ

บางทีขุนนางหลายคนเพื่อยกย่องความดีของตนและเพื่อแสดงให้ฉันเห็นว่าเขาเป็นคนที่ราษฎรนับหน้าถือตามาก ได้มาบอกฉันว่าเขาเป็นคนที่พวก “บาหลวง”๒๐ แต่งงานให้ บาหลวงนั้นคือพวกผู้สั่งสอนศาสนาคาทอลิกนั่นเอง ฉันไม่เข้าใจเลยว่างานสมรสที่ขุนนางเหล่านี้ยกขึ้นพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร ฉันจึงขออธิบายไว้สักสองสามคำในบันทึกนี้ ตามที่ขุนนางไทยมาเล่าให้ฟังนั้น ฉันเก็บความได้ว่ามีผู้สั่งสอนศาสนาบางรูปซึ่งเป็นชาวทวีปยุโรป เมื่อต้องการให้คนมาเลื่อมใสศาสนา แล้วอวดอ้างว่าเป็นผู้วิเศษ เป็นผู้ชอบด้วยพระราชนิยม แล้วหลอกลวงคนไทยที่เปนคนว่านอนสอนง่ายว่าทำพิธีแต่งงานให้ได้ แต่งานสมรสเช่นนี้มีความสะดวกที่คู่บ่าวสาวอยู่ด้วยกันเพียงตลอดเวลาที่ได้รับความเพลิดเพลินเท่านั้น

คำบอกเล่าที่ไม่เคยนึกเคยฝันว่าจะได้ฟังเลยนั้นน่าขันมาก ฉันอดหัวเราะไม่ได้ ต่อมาเมื่อมีคนไทยจำพวกนี้มาหาฉันแล้ว ฉันเว้นที่จะพูดล้อไม่ได้ คนไทยโดยมากมีความละอาย มีคนหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นที่รู้สึกว่าตนถูกหลอก แต่บาหลวงซึ่งเป็นชาวโปรตุเกสรูปหนึ่งหามีความรู้สึกเช่นคนไทยไม่ บาหลวงรูปนี้ฉันทราบว่าเคยทำพิธีสมรสหลายครั้งแล้ว คำล้อเลียนของฉันหาทำให้บาหลวงรูปนั้นตะขิดตะขวงใจไม่ ท่านเห็นไปว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีแก่นสาร จึงหาเรื่องอื่นมาพูดตลกคะนองกับฉัน

ความจริงบาหลวงชนิดนี้ไม่มีจำนวนมาก ยกเว้นบางรูปที่ไม่มีความละอายผู้สั่งสอนศาสนารูปอื่นๆ มีผู้นับถือลัทธิเจสูอิตเปนต้น เป็นผู้มีมารยาทดีความประพฤติหามีมลทินไม่

บาหลวงจำนวนน้อยที่มาอยู่ในประเทศไกลเช่นนี้ ไม่มีท่านผู้ใหญ่คอยสังเกตความประพฤติ ก็ปล่อยตัวเกินไป จึงไม่เคร่งในหน้าที่ แม้ในทวีปยุโรปก็มีผู้หย่อนธรรมจรรยาเช่นเดียวกันนี้เหมือนกัน

เวลาฉันไปตรวจราชการนั้น ฉันได้ผ่านไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งมีคนมาบอกว่ามีพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งมีวิชาอาคมมาก และเป็นที่เคารพของราษฎรในท้องที่ พระภิกษุสงฆ์รูปอื่นๆ เห็นว่าท่านเป็นผู้วิเศษ จึงพร้อมใจกันตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส เพราะฉะนั้นคนไทยทั้งหลายจึงนับถือท่านเป็นอันมาก ฉันแวะเข้าไปเยี่ยมท่าน สังเกตเห็นว่าท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ชราภาพมาก น่านับถือจริงๆ เพราะว่าเป็นผู้มีอาวุโสกว่าพระภิกษุรูปอื่น ๆ และท่าทางสงบเสงี่ยม

เพื่อต้อนรับฉันให้สมเกียรติยศ ท่านได้หยิบหมากเข้าไปในปากของท่าน เคี้ยวอยู่เป็นเวลาช้านานแล้วก็ควักออกมาจะยื่นให้ฉันเคี้ยว ฉันไม่ยอมรับหมากที่ท่านจะให้ฉัน ขุนนางไทยผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ฉันบอกฉันว่า ฉันไม่ควรปฏิเสธของขวัญนั้น ฉันตอบขุนนางผู้นั้นว่า “ฉันยกของขวัญนั้นให้แก่ท่าน จงรับชานหมากนั้นไปเคี้ยวเถิด ถ้าท่านเห็นว่าลิ้มรส” ขุนนางผู้นั้นไม่พักต้องให้ฉันพูดซ้ำ อ้าปากขึ้นรับชานหมาก ซึ่งฉันไม่ต้องการจากมือพระภิกษุสงฆ์รูปนั้น

เมื่อเดินทางไปดูภูมิประเทศครั้งนี้ ฉันได้พบลิงหลายชนิดเป็นจำนวนมาก ท้องที่นี้เต็มไปด้วยลิง มันชอบอยู่ริมฝั่งแม่น้ำและพากันไปเป็นฝูงๆ ฝูงหนึ่งมีลิงเป็นหัวหน้าซึ่งมีร่างใหญ่กว่าตัวอื่นๆ เมื่อน้ำลดลง มันกินปลาตัวเล็ก ๆ ที่ติดแห้งค้างอยู่ที่ชายเลน เมื่อลิงฝูงหนึ่งมาพบลิงอีกฝูงหนึ่ง มันเดินเข้าไปใกล้กันแล้วหยุดนิ่ง ลิงทโมนหรือหัวหน้าฝูงเดินเข้าหากัน มันหยุดยืนอยู่ห่างกันประมาณสี่หรือห้าศอก ต่างแยกเขี้ยวยิงฟันแก่กันดูประหนึ่งว่าเจรจากันแล้วหันหน้ากลับ ต่างเดินเข้าไปในฝูงของมันแล้วพาฝูงแยกทางไป เมื่อเวลาน้ำท่วมมันปีนขึ้นไปบนต้นไม้ และอยู่บนต้นไม้จนกระทั่งน้ำลดลง

ฉันได้รับความเพลิดเพลินใจเป็นอันมากที่ได้สังเกตกิริยาอาการของลิงเหล่านี้ วันหนึ่งฉันเห็นลิงประมาณสิบสองตัวหาเหาอยู่กลางแดด ลิงตัวเมียตัวหนึ่ง ซึ่งถึงเวลาผสม ได้เดินออกไปจากฝูง และมีลิงตัวผู้ตัวหนึ่งไล่ตามไป ลิงทโมนเห็นดังนั้นแล้ว ก็วิ่งไล่ตามไป มันจับลิงตัวผู้ไม่ได้ เพราะว่าวิ่งหนีไปได้ มันจึงจับลิงตัวเมียลากมาที่ท่ามกลางฝูงของมันแล้วตบหน้าเสียตั้งห้าสิบครั้งต่อหน้าลิงทั้งหลาย ดูประหนึ่งว่าลงโทษลิงตัวเมียที่เอาใจออกหาก

คนที่ไม่เคยเห็นหอยนางรม เห็นพวกเราชาวฝรั่งเศสกินหอยดิบ ๆ นั้นแล้ว ก็คงคลื่นไส้เหมือนกัน แต่หอยนางรมนั้นอร่อยมากทีเดียว อาหารสิ่งไรที่คนเห็นว่าอร่อยหรือไม่นั้นย่อมสุดแล้วแต่ความนิยม เพราะฉะนั้นไม่ควรเถียงกันว่า คนนั้นมีลิ้มรสเช่นนั้นคนนี้มีลิ้มรสเช่นนี้

ตรวจราชการทั่วอาณาเขตของฉันแล้ว ฉันก็กลับไปเมืองบางกอกเพื่อฆ่าเวลา ฉันได้ฝึกหัดทหารและเร่งงานสร้างป้อมปราการที่ทำกันเนือยๆ มา อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทุกวัน และไม่มีทางป้องกันได้นั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้งานช้า โดยเหตุที่คนไทยเดินตีนเปล่า คนงานของฉันที่ขุดดินนั้นถูกงูกัด งูชนิดนี้ตัวเล็ก ๆ สีเทายาวคืบเศษ

พิษของงูนี้แรงมาก คนที่ถูกขบได้ชั่วโมงหนึ่งก็ชัก และถ้าช่วยแก้ไขไว้ทันทีไม่ได้ ก็ตายภายในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง หมอจีนมียาแก้พิษนี้ชนิดหนึ่งดีมาก เขาใช้ศิลาชนิดหนึ่งปิดรอยงูขบ ศิลานั้นติดแผลแน่น ไม่ช้าคนไข้ก็หยุดชักและมีสติ พอดูดพิษออกหมดแล้วศิลาก็หล่นลงเอง ศิลาชิ้นเดียวใช้ดูดพิษได้เสมอ แต่เพื่อจะใช้ให้ได้ดีเหมือนครั้งแรกต้องเอาแช่นมคนไว้ยี่สิบสี่ชั่วโมง

ถึงแม้ว่าฉันมีกิจธุระที่ทำอยู่เสมอก็ตั้งต้นรู้สึกเบื่อบางกอก เมื่ออยู่ที่ละโว้นั้นฉันได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณเป็นอันมากจึงพอทนอยู่ได้ ตั้งแต่ไปจากเมืองนั้นแล้ว ฉันก็เบื่อหน่ายที่ต้องอยู่ในที่ไร้ความสนุกสำราญใจ และไม่เห็นวันที่จะนำความมั่งคั่งมาแก่ตัวฉัน โดยเหตุนี้ฉันจึงมีความประสงค์ที่จะกลับไปอยู่ในพระราชสำนักพระนารายณ์มหาราชอีก ฉันได้เขียนจดหมายไปวิงวอนวิชเยนทร์ แต่เขาไม่ต้องการให้ฉันเข้าอยู่ในพระราชสำนัก เขาจึงยกเหตุผลต่าง ๆ ขึ้นขัดข้องความประสงค์ของฉัน

ในเวลาเดียวกันนั้นฉันได้พบที่เมืองบางกอกนักบวชลัทธิเจสูอิตสี่รูป ซึ่งได้เดินทางมาประเทศไทยพร้อมกันกับฉัน แปร์ตาชารต์ตามที่ฉันได้เล่าไว้ข้างบนนี้แล้ว ได้กลับไปประเทศฝรั่งเศสพร้อมกันกับราชทูตฝรั่งเศสและไทย วิชเยนทร์ได้ขอให้แปร์เดอะคองต์อยู่ในประเทศนี้ นักบวชอีกสี่รูปคือ แปร์เดอะฟองตะเน แปร์บูเวต์ แปร์แจร์บิลยอง และแปร์วิส์ดะลู หาเรือที่จะโดยสารไปประเทศจีนได้ เรือล่องลงมาถึงบางกอก จึงแวะเยี่ยมฉัน

ฉันได้ต้อนรับนักบวชสี่รูปนี้ตามอัชฌาสัยไมตรีเต็มความสามารถ ในขณะที่ท่านนักบวชทั้งสี่อยู่ที่บางกอกนั้น ฉันได้เล่าโดยถี่ถ้วนว่าวิชเยนทร์ทรมานฉันมากเพียงไร และคิดประทุษร้ายพยายามทำลายชีวิตฉัน เมื่อฉันเล่าเรื่องกบฏแขกมักกะสัน ฉันสังเกตเห็นได้ว่าท่านทราบเรื่องอยู่เต็มอกแล้ว แต่ท่านไม่ทราบหรืออย่างน้อยก็ทราบแต่เผิน ๆ ว่าวิชเยนทร์ได้มีบัญชาสั่งอย่างไรมายังฉัน และต้องการให้ฉันปฏิบัติการอย่างไร

เมื่อได้ตริตรองถ้อยคำของท่านนักบวชเหล่านี้แล้ว ฉันเข้าใจว่า ฉันได้พูดกับผู้ที่รู้จักนิสัยวิชเยนทร์ดีเท่ากับตัวฉันเอง แต่ท่านนักบวชเหล่านี้เป็นผู้มีปัญญา จึงไม่เห็นเป็นการสมควรที่จะแสดงความเห็นออกมาอย่างเปิดเผย ท่านเห็นใจว่าฉันมีความทุกข์จริง ๆ จึงพูดปลอบใจฉันแล้ว ก็แนะนำให้ฉันรีบกลับไปประเทศฝรั่งเศสโดยเร็วที่สุด ตลอดเวลาสองสามวันที่ท่านนักบวชสี่รูปนี้อยู่ที่บางกอก ฉันบ่นว่า วิชเยนทร์คอยคิดประทุษร้ายฉันคราวใด ท่านนักบวชก็ปลอบใจฉันคราวนั้นทุกคราวไป เมื่อต่างคนต่างแสดงมิตรไมตรีกันมากพอแล้ว เราก็อำลากัน น้ำตากลบตา แสดงความเสียใจที่จะจากกันไปโดยที่ไม่มีหวังว่าจะได้กลับมาเห็นหน้ากันอีกต่อไป

ฉันได้ตั้งใจไว้ก่อนแล้วว่าจะคิดกลับไปประเทศฝรั่งเศส ครั้นได้สนทนากันกับท่านนักบวชททั้งสี่รูปนี้แล้ว ก็เห็นว่าความคิดของฉันถูกต้องแน่นอน ความยากจน และความคดโกงของวิชเยนทร์ฝังอยู่ในดวงจิตของฉันเสมอ ถึงแม้ว่าฉันได้ทำคุณความดีแก่คนๆ นี้แล้วก็ดี เขาก็สนองคุณฉัน ไม่เฉพาะแต่ไล่ไปเสียจากพระราชสำนัก ยังได้พยายามจะวางยาพิษ และคิดกลอุบายที่จะทำลายชีวิตฉัน

ในขณะที่ฉันเตรียมตัวจะกลับไปประเทศฝรั่งเศสอยู่นั้น ฉันได้รับคำสั่งอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้ฉันเข้าใจชัดเจนว่าความเกลียดชังของวิชเยนทร์นั้นยังหาสูญสิ้นไปไม่

คำสั่งใหม่นั้นเกี่ยวกับเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เรืออังกฤษลำหนึ่งมาถึงสันดอนไม่ช้านานนัก เรือลำนี้มีปืนใหญ่สี่สิบกระบอก กะลาสีเก้าสิบคนเป็นชาวทวีปยุโรปทั้งนั้น วิชเยนทร์กล่าวหาว่านายเรือลำนี้ได้เคยฉ้อโกงสินค้า ซึ่งเป็นพระราชทรัพย์ จึงอ้างพระบรมราชโองการสั่งให้ฉันขึ้นไปบนเรือลำนี้ ให้ไปกับทหารสองคนเท่านั้น และให้จับนายเรือฐานมีความผิดดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คำสั่งของวิชเยนทร์นี้เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศส ฉันเก็บเอาไว้เป็นลายมือของแปร์เดอะคองต์

ตามที่ฉันได้เคยปรารภมาแล้ว ฉันเข้าใจทันทีว่าคำสั่งเช่นนี้ก็ไม่ผิดแผกกว่าคำสั่งเรื่องปราบกบฏแขกมักกะสีน มันเป็นกับดักอีกกับดักหนึ่งที่วิชเยนทร์วางไว้ให้ฉันติดด้วยความริษยา อย่างไรก็ดีฉันตกลงใจที่จะทำตามคำสั่งนั้นทุกตัวอักษร ในขณะที่เดินไปเดินมาตริตรองหาทางที่จะปฏิบัติตามหน้าที่ให้เป็นผลสำเร็จนั้น ท่านมานูเอล ซึ่งคุ้นเคยกันกับฉันมาก เห็นฉันมีใจหมกมุ่น จึงถามฉันว่าฝันเห็นอะไรหรือ ฉันเรียนท่านว่า “อ่านคำสั่งที่พึ่งมาถึงนี้ซิ ขอรับ” ผู้สั่งสอนศาสนาผู้สุภาพผู้นั้นอ่านทราบความแล้ว พูดว่า “วืชเยนทร์ไม่คิดเลยหรือว่าไม่มีใครสามารถที่จะปฏิบัติตามคำสั่งนั้นได้”

ฉันตอบท่านว่า “ที่จะหาทางทำตามคำสั่งนั้นแหละพระคุณจึงเห็นฉันหน้านิ่วคิ้วขมวด ฉันขอเรียนว่า ฉันมีความดีใจเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสจะไล่วิชเยนทร์ให้จนมุม โดยทำให้เขาเห็นว่าคำสั่งที่ไม่มีใครสามารถจะปฏิบัติตามได้ และที่มอบให้ฉันทำ เพราะหวังว่าฉันคงจะตายนั้น เป็นคำสั่งที่ฉันทำตามได้ง่าย ๆ” ท่านมานูเอลได้ยินว่าฉันจะปฏิบัติตามคำสั่งนั้นแล้ว ตกใจเป็นอันมาก อ้อนวอนไม่ให้ทำตามคำสั่ง ฉันตอบท่านว่า “พระคุณอ้อนวอนอย่างไรก็เสียเวลาเปล่า ฉันตกลงใจไว้แน่นอนแล้วว่าจะทำตามคำสั่งนั้น ถึงแม้ว่าจะตายก็หาเปลี่ยนความตั้งใจนั้นไม่ ฉันจะเอาอย่างพวกกบฏแขกมักกะสัน คือจะต้องรุกเสมอ และจะไม่ถอยหลังเลย ขอพระคุณเชื่อฉันเถิดว่าฉันจะระมัดระวังตัว และหวังใจว่าคงจะทำการเป็นผลสำเร็จ”

พูดจบคำลงฉันทิ้งท่านมานูเอลไว้ที่นั้นแล้ว กระโจนลงไปในเรือกัญญาซึ่งมีฝีพายแปดสิบคน เพื่อแก้แค้นวิชเยนทร์ฉันแกล้งเอาตัวลุงของท่านผู้หญิงวิชเยนทร์ลงไปในเรือด้วย คนๆ นี้เป็นคนครึ่งชาติ เป็นคนสุภาพเรียบร้อย แต่ไม่มีใจเป็นนักรบเสียเลย ฉันเอามาแทนตัวทหารคนหนึ่งในจำพวกสองคนที่วิชเยนทร์สั่งให้ขึ้นไปบนเรืออังกฤษกับฉัน ทั้งนี้เพื่อให้เขาล่อแหลมต่อความตายและรู้ไว้ด้วยว่าวิชเยนทร์อาจทำอะไร ๆ ได้ทุกอย่าง

ตลอดเวลาที่ออกจากบางกอกจนถึงน่านน้ำที่เรืออังกฤษทอดสมออยู่ คนครึ่งชาติซื่อคนนี้ไม่หยุดถามฉันว่าจะพาเขาไปไหน ฉันเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่เขาควรจะทราบ จึงพูดตลกคะนองตอบคำถามของเขา เมื่อไปถึงสันดอนต้องลงจากเรือกัญญาเพราะว่าเรือชนิดนี้ใช้ได้แต่ในแม่น้ำเท่านั้นขึ้นไปบนเรือที่สร้างสำหรับพายในทะเลได้ เรือลำนี้มีฝีพายแปดคน ฉันให้ลุงของท่านผู้หญิงวิชเยนทร์และผู้ว่าราชการปากน้ำลงไปในเรือลำนี้ด้วย

เมื่อเราอยู่ห่างเรืออังกฤษเพียงสองร้อยเส้น คนครึ่งชาตินี้ถามฉันอีกว่าจะพาเขาไปไหน เพื่อตอบคำถามของเขา ฉันส่งคำสั่งที่วิชเยนทร์อ้างกระแสพระบรมราชโองการให้เขาดูแล้วแปลข้อความเป็นภาษาโปรตุเกสให้เขาทราบ คนๆ นี้ตกใจเหลือเกินแทบทรงตัวไว้ไม่ได้ ร้องกรี๊ดว่า “ฉันทำอะไรให้ท่านโกรธเคือง จนถึงลากตัวฉันไปให้เขาฆ่า ท่านนึกว่านายทหารเรืออังกฤษจะเคารพกระแสพระบรมราชโองการดังนั้นหรือ เขาหากลัวไม่และในพฤติการณ์เช่นนี้ใครจะมีอำนาจมากกว่ากัน” ฉันตอบว่า “เมื่อเราเป็นข้าราชการ เราก็ต้องปฏิบัติตามพระกระแสพระบรมราชโองการ โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงความอันตรายที่พึงจะมีแม้สักนิดเดียว ชีวิตและทรัพย์สมบัติของเรานั้นเป็นของหลวงไม่ใช่หรือ จะทรงประสิทธิ์ประสาทฉันใดก็ได้สุดแล้วแต่พระราชอัชฌาสัย”

คำพูดของฉันนั้นแทนที่จะทำให้คนครึ่งชาตินี้มีน้ำใจเบิกบานกลับทำให้เขากลัวยิ่งขึ้น ความกลัวนั้นทวีมากขึ้นทุกทีเมื่อเรือของเราเข้าไปใกล้เรืออังกฤษ เพื่อช่วยให้คนขลาดนี้หายความวิตกฉันพูดว่า “ในการจับนายเรืออังกฤษผู้นี้ ฉันมีกลอุบายที่จะจับโดยที่ท่านและฉันไม่ต้องได้รับความอันตรายเลย ฉันจะหลอกลวงให้นายเรืออังกฤษลงจากเรือของเขามาขึ้นเรือของเรา เพื่อสำเร็จตามความคิดนี้ ฉันจะขึ้นไปบนเรือ ท่านต้องตามฉันขึ้นไปด้วย นายเรือคงจะรับรองฉันตามอัชฌาสัยไมตรี ฉันก็จะแสดงความเคารพเขา หวังใจว่าเขาคงจะไม่มีความสงสัย อย่างไรก็ดีขอท่านได้รับคำสังที่วิชเยนทร์อ้างกระแสพระบรมราชโองการนี้ และเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อจนถึงเวลาที่เราต้องการจะใช้ ขอให้ท่านทำใจกล้าแข็งไว้ และทำท่าทางองอาจ มิฉะนั้นกลอุบายเราจะไม่เป็นผลสำเร็จ”

“แต่ถ้าความคิดของท่านไม่เป็นผลสำเร็จ” คน ๆ นั้นตอบฉันด้วยความระมัดระวังยิ่งกว่าตริตรองเหตุผล “ท่านจะทำอย่างไรต่อไป” ฉันพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นฉันจะวิ่งเอาหัวซุกเข้าไปอย่างพวกแขกมักกะสัน ฉันจะชักกระบี่ออกจากฝักแล้วบอกนายเรือค้าขายอังกฤษว่าฉันได้รับคำสั่งให้จับตัวเขา ถ้าเขากระดิกตัวจะต่อสู้ ฉันจะฆ่าเขาเสีย เมื่อท่านได้ยินฉันพูดดังนั้น ขอให้ท่านควักคำสั่งออกจากกระเป๋าเสื้อ และร้องตะโกนบอกพวกกะลาสีว่าถ้าขืนสู้ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงแขวนคอมันทุกคน” คนครึ่งชาตินั้นตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นเราก็ต้องตายทั้งสองคน” ฉันพูดว่า “โชคชะตาของเราเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ ตายวันนี้ พรุ่งนี้ หรือเมื่อไร ก็ตายเถิด แต่ขอให้ตายโดยที่ทิ้งชื่อเสียงไว้”

พูดกันเท่านั้นแล้ว เราขึ้นไปบนเรือค้าขายของอังกฤษ ฉันปีนบันไดขึ้นไปก่อน คนครึ่งชาติชีวิตแทบจะหลุดจากร่างตามฉันขึ้นไป นายเรือเรือค้าขายได้เห็นสีหน้าคนๆ นั้นแล้วถามฉันว่าคนๆ นั้นเป็นอะไร ฉันตอบว่า “เขาไม่เจ็บเป็นอะไรเลย เป็นคนเมาคลื่นเท่านั้นเอง” พูดดังนั้นแล้วเราเดินเข้าไปในห้องใต้ดาดฟ้าเรือ มีคนนำสุรามาเลี้ยง และยิงปืนคำนับฉันหลายนัด นายเรือเรือค้าขายของอังกฤษ ซึ่งมาพบฉันนั้นยังสวมเสื้อและหมวกสำหรับห้องนอนอยู่ ได้ขอโทษฉันที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยแล้วถามฉันว่ามีธุระอะไรจึงมาจนถึงเรือลำนี้

ฉันตอบว่า “มีเรืองสำคัญมากที่จะต้องหารือความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่าชาววิลันดาที่เมืองบะตาวีตระเตรียมบรรทุกอาวุธยุทธภัณฑ์ลงในเรือเป็นอันมาก เพื่อจะมาเผาเรือที่อยูในน่านน้ำนี้ กระบวนเรือวิลันดานั้นได้ออกมาในทะเลแล้ว ฉันได้รับพระราชทานกระแสพระบรมราชโองการให้เรียกประชุมบรรดาต้นหนนายเรือทั้งหลายมาปรึกษาหารือกัน เพื่อหาทางป้องกันก่อนมีเหตุร้ายเกิดขึ้นโดยที่ไม่ทันรู้ตัว โดยเหตุที่วิชเยนทร์ทราบว่าท่านอยู่ที่นี่ จึงสั่งให้ฉันมาหาท่านโดยเฉพาะและทำตามความเห็นของท่าน เพราะเชื่อว่าท่านมีกำลังและความชำนาญมาก”

นายเรือเรือค้าขายอังกฤษผู้นั้นเชื่อถ้อยคำของฉันโดยสุจริตแล้วพูดว่า “ฉันจะสั่งให้หย่อนเรือกรรเชียงลงทะเล และบอกบรรดานายเรือที่อยู่ในน่านน้ำนี้ให้มาปรึกษาหารือกันบนเรือลำนี้” ฉันพูดว่า “ท่านทำเช่นนั้นถูกต้องทีเดียว” ฉันแกล้งตริตรองอยู่สักครู่หนึ่งแล้วพูดต่อไปว่า “แต่เรือของท่านจอดอยู่ห่างกว่าเรือลำอื่นๆ มาก ท่านควรลงไปในเรือกรรเชียงของท่านเอง ฉันจะลงไปในเรือของฉัน ต่างคนต่างไปบอกต้นหนนายเรือต่างๆ ให้รีบมาประชุมปรึกษาหารือกันบนเรือที่จอดอยู่ใกล้สันดอนที่สุด เมื่อปรึกษากันเสร็จแล้ว ต่างคนต่างกลับไปเรือของตนโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาตีกรรเชียงไปไกล

นายเรือเรือค้าขายอังกฤษยผู้นั้น ซึ่งไม่ระแวงคำพูดของฉันเลย เห็นพ้องด้วยความเห็นของฉัน ฉันเกรงอยู่เสมอว่าถ้าเขาสงสัยถ้อยคำของฉัน ๆ คงจะได้รับความลำบากมาก จึงพูดว่า “ฉันจะต้องรีบไป เพราะว่าน้ำทะเลกำลังไหลขึ้นอยู่แล้ว” พูดจบคำลงฉันลุกขึ้นยืนแล้วลงไปนั่งในเรือของฉัน ในทันทีนั้น ฉันแกล้งทำอาการกิริยาว่าลืมข้อความสำคัญที่จะบอกให้เขาทราบ ฉันจึงร้องตะโกนให้เข้าหูนายเรือเรือค้าขายอังกฤษ ซึ่งยังยืนอยู่ที่กราบเรือว่า “ขอท่านได้โปรดลงมาในเรือของฉัน ฉันมีข้อความสำคัญอีกข้อหนึ่งที่จะเรียนให้ทราบ” ในเวลาเดียวกันนั้น ฉันสั่งให้ฝีพายยึดเชือกที่โยงเรือไว้ และบอกว่าเมื่อสั่งให้ปล่อยเชือกเมื่อไร ก็ให้รีบปล่อยเมื่อนั้น นายเรือเรือค้าขายลงบันไดมานั่งในเรือของฉันโดยที่ไม่มีความสนเท่ห์เลย ฉันกระซิบบอกฝีพายเป็นภาษาไทยว่า “ปล่อยเชือกที่โยงเรือไว้” เพื่อไม่ให้ใครได้ยิน ฉันเอามือโอบไหล่นายเรือเรือค้าขายอังกฤษทำท่าทางว่าจะกระซิบข้อความเข้าหูของเขาโดยที่ไม่ให้ใครรู้ ฉันพูดเบา ๆ ว่า “โดยเหตุที่ฉันได้รับพระราชทานกระแสพระบรมราชโองการได้ทำตามความเห็นของท่าน จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่เราทั้งสองจักต้องปรึกษาหารือกันในที่รโหฐานก่อน เพื่อไม่ให้มีความเห็นแตกต่างกันในเวลาเข้าที่ประชุมต้นหนนายเรือต่างๆ”

โดยเหตุที่น้ำทะเลขึ้นเร็วนัก เรือของฉันก็ออกไปห่างจากเรือค้าขายอังกฤษมาก นายเรือผู้นั้นถามฉันว่า “ท่านจะพาฉันไปไหน ทั้งที่ฉันไม่ได้แต่งตัวเรียบร้อยเช่นนี้” และในทันทีนั้นยังไม่ทันรอคำตอบของฉัน เขาตะโกนเรียกกะลาสีของเขา ฉันสั่งให้ฝีพายรีบพายเรือเพื่อจะได้ถึงฝั่งเร็วขึ้น และบอกนายเรือผู้นั้นว่าฉันได้รับคำสั่งให้จับตัวเขา ฉันมีความเสียใจที่ต้องทำกลอุบายหลอกลวง ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อปฏิบัติตามคำสั่ง ฉันขออย่าให้เขามีความวิตก จะหาเครื่องแต่งกายและสิ่งอื่นที่จำเป็นไว้ให้พร้อม

มิช้าเรือกรรเชียงอังกฤษที่มีอาวุธก็ไล่ตามเรือของฉัน ฉันเห็นว่าคงจะหนีรอดพ้นไปไม่ได้ จึงเทียบเรือของฉันเข้าข้างเรือค้าขายโปรตุเกสลำหนึ่ง ฉันควักปืนสั้นออกมาถือไว้แล้ว บอกนักโทษของฉันว่า “ขึ้นไปบนเรือลำนั้น ถ้าขัดขืนจะเอาปืนยิงให้ตาย” เมื่อเราขึ้นไปบนเรือลำนั้นแล้ว ฉันขอให้ต้นหนคุ้มครองเรา เขาไม่ขัดข้อง แต่มีกะลาสีน่าทุเรศแปดหรือสิบคนเท่านั้น ไม่มีกำลังที่จะสู้กะลาสีอังกฤษสามสิบคนที่มีอาวุธและเตรียมพร้อมที่จะระรานเรา

เมื่อไม่เห็นทางที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกจับไปได้ ฉันจึงบอกนายเรือเรือค้าขายอังกฤษว่า “จงสั่งให้เรือกรรเชียงของท่านกลับไป และจงคิดถึงชีวิตของท่านให้มาก ๆ ถ้ากะลาสีเหล่านั้นไม่ทำตามคำสั่งของท่าน ขืนเข้ามาใกล้ ฉันจะฆ่าท่านเสีย เมื่อยิงท่านตายแล้ว ฉันก็ยังมีปืนที่จะป้องกันตัวไม่ให้กะลาสีของท่านมาทำอันตรายฉันได้ข้างเดียว” ฉันกล่าวถ้อยคำนี้ด้วยความหนักแน่น นายเรือผู้นั้นไม่ต้องการเสี่ยงโชค จึงร้องตะโกนสั่งให้เรือกรรเชียงกลับไป กะลาสีเหล่านั้นก็ทำตาม เมื่อฉันเห็นว่าเรือกรรเชียงลำนั้นไปไกลแล้ว ฉันกลับลงไปในเรือของฉันอีก ขอบคุณต้นหนเรือค้าขายโปรตุเกสแล้ว ฉันสั่งฝีพายให้พายเรือกลับไปบางกอก เมื่อไปถึงเมืองบางกอกแล้วฉันคุมขังนายเรือเรือค้าขายอังกฤษผู้นั้น แต่จัดการไม่ให้เขาได้รับความลำบากยากเข็ญเลย

ฉันได้รีบรายงานให้วิชเยนทร์ทราบว่า ฉันได้ปฏิบัติตามกระแสพระบรมราชโองการทุกประการ แต่ในรายงานฉบับเดียวกันนั้นฉันโพนทะนาคำสั่งนั้นด้วย ได้ใช้ถ้อยคำด้วยความระมัดระวัง เพราะว่าฉันไม่มีอำนาจมากกว่าเขา และรู้ตัวด้วยว่าเขาเป็นศัตรูร้ายกาจนัก ฉันจึงเพียงกล่าวว่าคำสั่งที่มอบหมายมานั้นไม่สมกันกับตำแหน่งหน้าที่ของฉัน ไม่เห็นเป็นการสมควรที่จะสั่งให้ฉันซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาการทัพเรือลงมือทำเอง จะใช้นายทหารที่มียศฐานันดรต่ำกว่าทำก็ได้

ฉันได้ส่งรายงานนี้ไปเมืองละโว้พร้อมกันกับตัวนักโทษ นายเรืออังกฤษผู้นี้ต้องใช้เงินให้วิชเยนทร์เป็นจำนวนถึงสองร้อยชั่งตามที่เขาบังคับให้ใช้ จึงรอดตัวไปได้ ส่วนตัวฉันนั้นวิชเยนทร์ปฏิเสธว่าไม่ได้มีคำสั่งให้ฉันทำเช่นนั้น ซ้ำกล่าวโทษฉันเป็นครั้งที่สองว่าทำการรุนแรงเกินไปและไร้สติปัญญา เขาอ้างว่ามีพระบรมราชโองการให้ลงพระราชอาญาฉันโดยจำกัดที่ให้อยู่ห่างจากเมืองบางกอกสองร้อยเส้น นี่แหละคือบำเหน็จความชอบที่ฉันได้รับพระราชทานเป็นการตอบแทนที่ฉันได้ทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายให้ฝ่าฝืนความอันตราย

ฉันมีความแค้นเคืองเหลือที่จะพรรณนาได้ถูก ไม่ชั่งใจอีกว่าจะควรทำอย่างไรต่อไป ตกลงใจแน่วแน่ว่าจะต้องกลับไปประเทศฝรั่งเศสโดยเร็วที่สุด โดยเหตุที่ยังไม่มีโอกาสเหมาะ กำหนดวันที่จะไปนั้นก็ยังอยู่อีกหลายวัน จึงซ่อนความโทมนัสเสียใจไว้อดทนรอคอยจนกว่าจะถึงเวลาที่จะไปได้ เพื่อแก้ความรำคาญในเวลาที่อยู่ในที่จำกัด เพราะว่าตั้งแต่ได้รับจดหมายฉบับสุดท้ายนี้จากวิชเยนทร์ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนที่ถูกเนรเทศ ฉันจึงไปหาความสนุกเพลินเพลินในการจับจระเข้

ในบริเวณใกล้เคียงเมืองบางกอกนั้นมีจระเข้มาก คนไทยใช้เป็ดเป็นๆ เป็นเหยื่อล่อจับมัน เขาเอาไม้ยาวประมาณสิบนิ้วและใหญ่ปานกันเสี้ยมให้แหลมทั้งสองปลาย ผูกไว้ใต้ท้องของเป็ด เอาเชือกเกลียวเล็กๆ แต่เหนียวมาผูกไม้แหลมนั้นให้ติดต่อกับไม้กระบอก ซึ่งเป็นไม้ชนิดหนึ่งเบามากใช้เป็นทุ่น เขาเอาเป็ดปล่อยลงกลางแม่น้ำ เป็ดที่ถูกมัดติดอยู่กับไม้นั้นได้รับรำคาญ จึงร้องและดิ้นจะให้หลุดไป จระเข้มองเห็นเป็ด ก็กระโจนลงไปในแม่น้ำ ดำน้ำไปฮุบเป็ด ไม้แหลมนั้นก็ติดคอจระเข้

เมื่อคนไทยเห็นว่าจระเข้ติดกับ เพราะว่ามันดิ้นและดึงทุ่นไม้กระบอกนั้น เขาจึงรั้งเชือกฉุดจระเข้ขึ้นมาเหนือน้ำ มันดิ้นรนอย่างไรก็ไม่หลุดไปไม่ได้ เมื่อมันขึ้นมาพ้นน้ำ หมอจระเข้ก็เอาฉมวกแทงมัน ฉมวกนั้นมีรูปคล้ายกันกับง้าว เหล็กแหลมที่ปลายนั้นมีรูปเหมือนศร ด้ามทำด้วยไม้ยาวสามศอกเศษ เหล็กแหลมที่อยู่ปลายด้ามไม้นั้นมีรูสำหรับเอาเชือกเกลียวเล็ก ๆ และเหนียวร้อยได้ เชือกนั้นพันไว้รอบด้าม เมื่อเหล็กแหลมติดจระเข้แล้วเชือกก็ผ่อนตามไป แต่ด้ามไม้ยังลอยน้ำอยู่ จึงรู้ได้ว่าจระเข้อยู่ที่ตรงไหน เมื่อจระเข้ถูกแทงติดอยู่กับปลายฉมวกหลายแห่งแล้ว เขาก็ฉุดและลากจระเข้ขึ้นมาบนบก ถ้ามันยังเป็นอยู่เขาก็เอาขวานฟันมันจนขาดใจตาย

นอกจากใช้เหยื่อจับจระเข้แล้ว ยังมีการจับสัตว์น้ำอีกอย่างหนึ่ง คือเมื่อคนไทยเห็นจระเข้เข้ามาใกล้เรือน เขาร้องโวยวายหรือเอาปืนยิงให้ดังกึกก้อง เพื่อมันตกใจ เพราะว่ามันเป็นสัตว์ขลาด เมื่อมันตกใจดังนั้นแล้ว มันก็กระโจนลงไปในน้ำ ดำนำหนีไปกบดาน ในขณะนั้นเขาลากเรือหลายลำลงไปลอยอยู่ในแม่น้ำ สัตว์ชนิดนี้อยู่ใต้น้ำไม่ได้เกินกว่าครึ่งชั่วโมง ต้องขึ้นมาหายใจ พอมันโผล่ขึ้นมาคนทั้งหลายที่อยู่บนเรือก็เอาฉมวกพุ่งเข้าไป ถ้าฉมวกถูกปากของมันก็จับจระเข้ได้ง่าย คนไทยพุ่งฉมวกแม่นยำนัก

ด้ามฉมวกที่มีเชือกเกลียวผูกติดอยู่นั้นลอยน้ำ คนที่ถือเชือกจึงรู้ได้แน่ว่าจระเข้จะโผล่ขึ้นที่ตรงไหน จึงคอยชี้ที่บอกหมอจระเข้ให้เอาฉมวกแทงซ้ำลงไป เมื่อมันถูกฉมวกหลายเล่มแล้ว เขาก็ฉุดลากมันขึ้นมาบนบก และตัดมันเป็นชิ้นเล็ก ๆ การจับจระเข้ดังที่เล่ามานี้สนุกมากกว่าใช้เหยื่อจับมัน

เนื้อจระเข้นั้นสีขาวคล้ายกับเนื้อปลากระเบน ฉันได้ลองแล้วรสไม่สู้เลวนัก มันเป็นสัตว์ไม่น่าดูเลย มันอยู่ในแม่น้ำยาวตั้งแต่สองวาถึงสามวาหนึ่งศอก ขากรรไกรของมันแบน มีเขี้ยวใหญ่ข้างละสองเขี้ยว ที่ขากรรไกรบนเขี้ยวหนึ่ง และที่ขากรรไกรล่างอีกเขี้ยวหนึ่ง มันยื่นออกมานอกปากคล้ายเขี้ยวหมูป่า เพราะฉะนั้นเมื่อมันงับสิ่งหนึ่งสิ่งใด เราจะดึงสิ่งนั้นให้หลุดจากปากมันไม่ได้

วันหนึ่งฉันไปล่าจระเข้แล้ว กลับมาถึงบ้าน พอย่างเข้าประตูก็ได้เห็นหน้านักบวชเจสูอิตสี่รูปอีกโดยที่ไม่ได้นึกได้ฝันว่าจะได้พบกันอีกเลย นักบวชสี่รูปนี้ได้แวะเยี่ยมข้าพเจ้าก่อนเดินทางไปประเทศจีน เห็นท่านครั้งนี้รู้สึกสงสารท่านมาก ท่านเล่าว่าเรือที่ท่านโดยสารไปนั้น ได้ไปแตกอับปางลงที่ใกล้ฝั่งประเทศเขมร ได้รับทุกขเวทนาเหลือที่จะพรรณนาได้ถูก ต้องเดินบุกเข้าไปในภูมิประเทศที่ยังไม่มีใครได้เคยผ่านไปเลย ฉันต้อนรับท่านด้วยความปีติยินดีเป็นอันมาก และได้พยายามโดยเต็มความสามารถช่วยเหลือเกื้อหนุนให้ท่านลืมความยากลำบากที่ได้ประสบมาแล้ว

โดยเหตุที่ความแค้นเคืองวิชเยนทร์ฝังอยู่ในหัวใจของฉันเสมอ ฉันจึงควักคำสั่งที่ให้ฉันจับนายเรือเรือค้าขายอังกฤษกับจดหมายของวิชเยนทร์ตอนรายงานของฉันให้ท่านนักบวชอ่านโดยตลอด ถึงแม้ว่าท่านเป็นผู้ที่ระมัดระวังถ้อยคำมากเพียงไร ท่านก็อดกลั้นความโกรธไว้ไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่ท่านได้แสดงความเห็นโดยเปิดเผยว่าเป็นการจำเป็นอย่างยิ่งที่ฉันต้องไปให้พ้นจากประเทศนี้โดยเร็วที่สุด

ท่านพูดว่าวิชเยนทร์ซึ่งไม่มีความไว้วางใจฉันเลย และต้องการทำลายชีวิตฉัน ได้พยายามประทุษร้ายฉันอยู่เป็นเนืองนิจ คำสั่งสุดท้ายนี้เขานึกว่าถ้าทำตามแล้ว ฉันคงจะรอดชีวิตไปไม่ได้ แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในสกลโลกยังทรงคุ้มครองฉันอยู่ ฉันจึงยังมีชีวิตอยู่ได้ ท่านแนะนำฉันไม่ให้เอาเปรียบพระเมตตากรุณาธิคุณแห่งพระผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่มากเกินไป ควรรีบไปเสียจากประเทศไทย ที่ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในอันตรายมิเว้นวัน ท่านนักบวชทั้งสี่รูปนี้ได้ปลอบใจฉันเป็นอเนกประการ ฉันได้พยายามที่จะเชิญให้ท่านอยู่กับฉันนานๆ แต่ล่วงมาได้สองวันท่านก็แสดงความประสงค์ว่าจะต้องขึ้นไปกรุงศรีอยุธยา เพื่อหาเรือที่จะโดยสารไปประเทศจีนอีก

ส่วนตัวฉันนั้น ฉันไม่มีความปรารถนาที่จะเลื่อนกำหนดวันไปจากประเทศนี้อีกต่อไป จึงได้ตกลงใจจะโดยสารเรือของบริษัทบุรพทิศ ซึ่งมาจอดอยู่ที่สันดอนหลายวันแล้ว เรือลำนี้บรรทุกสินค้าจากเมืองปอนดิเจรีมาขายที่นี่ และบรรทุกสินค้าจากประเทศไทยไปขายในมัธยมประเทศ

โดยเหตุที่ฉันได้รับราชการตามตำแหน่งหน้าที่ในประเทศนี้มาดังนี้ และพระนารายณ์มหาราชได้ทรงพระเมตตากรุณาฉันเป็นอันมาก ย่อมไม่เป็นการสมควรที่ฉันจะไปจากประเทศไทยอย่างคนที่หนีการเกณฑ์ทหาร ฉันจึงมีจดหมายไปยังวิชเยนทร์ขอให้กราบถวายบังคมลาแทนตัวฉัน ฉันอ้างว่าโรคภัยซึ่งเบียดเบียนฉันทำให้กำลังกายอ่อนเพลียลงทุกวัน ไม่สามารถที่จะอยู่ในพระราชอาณาจักรนี้ต่อไปได้อีก ฉันจะเข้าไปในพระราชสำนัก เพื่อกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งหน้าที่ ถ้าวิชเยนทร์เห็นว่าจะจัดให้ฉันเฝ้าได้ตามคำขอร้องของฉัน เขาหาเห็นชอบด้วยไม่ และโดยเหตุที่เขาไม่กลัวว่าฉันจะกลับไปพูดในประเทศฝรั่งเศสให้มีความเสียหายแก่ตัวเขาแล้ว เขาก็มีจดหมายตอบมาว่าพระนารายณ์มหาราชไม่มีพระราชประสงค์ที่จะบังคับใจฉัน ฉันมีเสรีภาพที่จะลาออกจากตำแหน่งได้ตามชอบใจ

ก่อนออกจากบางกอกฉันได้มีจดหมายถึงขุนนางหนุ่มน้อยผู้หนึ่ง ชื่อ พระปีย์ ซึ่งเป็นมิตรกัน เขารักฉันมาก เป็นคนมีความกตัญญูกตเวที เพราะว่าฉันได้ช่วยให้พ้นจากการลงพระราชอาญาเฆี่ยน ถึงแม้ว่าขุนนางผู้นี้เป็นคนโปรดปรานของพระนารายณ์มหาราช ได้ทรงพระกรุณามากกว่าเด็กหนุ่มอื่น ๆ ที่อยู่ในพระราชสำนัก ก็รอดพระอาญาไปไม่ได้ถ้าฉันไม่ยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ฉันเขียนจดหมายฉบับนั้นไปลาพระปีย์กลับไปประเทศฝรั่งเศส ขออย่าให้เขาลืมมิตรไมตรีของฉัน และขอให้รักชนชาวฝรั่งเศสผู้สั่งสอนศาสนา และนักบวชเจสูอิต ขอให้เขาคุ้มครองคนเหล่านี้ดังที่เคยคุ้มครองมาแต่ก่อนนี้

พระปีย์มีความเสียใจเป็นอันมากที่ฉันจะไปจากประเทศนี้ จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เขามีจดหมายเล่ามาว่าพระนารายณ์มหาราชทรงประหลาดพระราชหฤทัยที่ไม่ทรงทราบว่าฉันจะไปจากประเทศนี้ก่อนเลย จึงรับสั่งถามวิชเยนทร์ว่า เหตุไรฉันจึงกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง โปรดเกล้าฯ ให้ตามตัวฉันให้เข้าไปเฝ้าและกราบทูลชี้แจงว่าฉันมีความโทมนัสน้อยใจด้วยเรื่องอะไร เมื่อวิชเยนทร์ได้สดับพระราชกระแสดังที่เขียนมาข้างบนนี้แล้วเขารู้สึกลำบากใจมาก เขาไม่ต้องการให้ฉันเข้าไปในพระราชสำนักเลย แต่พระราชกระแสนั้นมีความชัดเจนว่าให้ฉันเข้าไปเฝ้า วิชเยนทร์จึงสั่งนายทหารชาติโปรตุเกสผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์แก่ตัวเขามาก ให้มาหาฉันบนเรือค้าขายฝรั่งเศส และให้บอกฉันว่าโปรดเกล้า ฯ ให้เขามาพาตัวฉันไปในพระราชสำนัก

หลุมที่วิชเยนทร์ขุดไว้ด้วยความมุ่งหมายจะให้ฉันตกนั้น บังปากหลุมไว้ไม่สนิทนัก ฉันทราบอยู่ดีแล้วว่าพระนารายณ์มหาราชไม่เคยทรงใช้ผู้หนึ่งผู้ใดให้เป็นผู้เชิญพระราชกระแสเลยนอกจากทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ท่านเจ้าคณะเดอะเมเตลโลโปลิส ท่านมานูเอล และผู้อำนวยการบริษัทฝรั่งเศส ซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นเวลานายทหารโปรตุเกสพูดอยู่กับฉัน ไม่ยับยั้งที่จะเตือนฉันว่าอย่าไว้ใจคน ๆ นี้เลย

ท่านเจ้าคณะเดอะเมเตลโลโปลิสจูงมือฉันห่างออกไปแล้วบอกให้ฉันระวังตัวให้มาก ๆ อย่ายอมไปอยู่ในเงื้อมมือของชาวโปรตุเกส ท่านรู้จักวิชเยนทร์ดี ไม่ต้องสงสัยเลยพวกทหารโปรตุเกสเหล่านี้ ได้รับคำสั่งวิชเยนทร์ให้ฆ่าฉัน เมื่อมันฆ่าฉันตายแล้ว วิชเยนทร์ก็สั่งให้นำทหารโปรตุเกสผู้นั้นไปแขวนคอเสีย เพื่อทหารคนนั้นไม่สามารถที่จะซัดวิชเยนทร์ได้ เสร็จแล้ววิชเยนทร์ก็นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระนารายณ์มหาราชว่าได้สั่งให้ฆ่าทหารโปรตุเกส เพราะว่าทหารนั้นมีความผิดที่ได้ฆ่าเชวาลิเอร์ เดอะฟอร์บัง ท่านเจ้าคณะเดอะเมเตลโลโปลิสพูดว่าพระนารายณ์มหาราชเคยทรงเชื่อถ้อยคำวิชเยนทร์เสมอ ก็ทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วย ท่านขอให้ฉันเชื่อท่านเถิด อย่าไปอยู่ในเงื้อมมือศัตรูที่เฉลียวฉลาดและโหดร้ายเช่นนี้ เมื่อมีทางที่จะหนีภัยได้แล้ว ก็ย่อมมีความสุขมากกว่า

ฉันขอบพระคุณท่านเจ้าคณะเดอะเมเตลโลโปลิสที่ได้มีความกรุณาเตือนสติฉัน ฉันจึงบอกนายทหารโปรตุเกสว่า ฉันไม่เชื่อพระราชกระแสที่เขาเชิญมา พระนารายณ์มหาราชได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ฉันกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งหน้าที่แล้ว จึงไม่เข้าใจว่าเหตุไรจึงทรงเปลี่ยนพระราชกระแสไปเป็นอย่างอื่น และมีพระราชประสงค์ให้ฉันอยู่ต่อในประเทศนี้ โดยที่ไม่ทรงพระราชวิจารณ์สาเหตุที่ฉันได้กราบบังคมทูลไว้แล้ว ขอให้นายทหารโปรตุเกสกลับไปเถิด และเรียนวิชเยนทร์ให้ทราบคำตอบของฉันด้วย

ฉันพูดดัง ๆ เช่นนี้ ก็เพราะว่าฉันจะไม่ต้องอยู่ในประเทศนี้อีกนานวัน จึงไม่ต้องกลัวว่าวิชเยนทร์จะเกลียดชังฉันอีกเท่าไร ความจริงรุ่งขึ้นเรือก็ชักใบออกไปจากประเทศไทย ฉันดีใจเป็นอันมากและลืมความลำบากที่ได้ประสบมา เมื่อเรือผ่านช่องแคบมะละกา มีลมพัดหวนมา เราจึงทอดสมอลง ขึ้นไปบนบกและรับประทานหอยนางรมอร่อยมาก เราต้องกะเทาะมันออกจากหินและกินมันที่ริมฝั่งนั้นเอง เพราะว่ามันเกาะติดอยู่กับศิลาแน่นมาก จะปลิดออกมาหาได้ไม่

ในเวลาที่เรือทอดสมออยู่ริมฝั่งนี้ ฉันได้เดินเข้าไปในป่า ได้พบถ้ำที่สิงของสัตว์ป่า ฉันเดินเข้าไปเพื่อจะล่ามันมาเป็นอาหารได้บ้าง ในขณะที่เดินไปเหลียวซ้ายแลขวา ฉันได้เห็นลิงขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ตาแพรวพราวเดินตรงมายังฉันด้วยอาการกิริยาองอาจ ถ้าฉันไม่มีปืนอยู่ที่มือแล้วก็คงกลัวมันมาก เมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้มันประมาณสี่วา ฉันยกปืนขึ้นยิงมันล้มลงตายคาที่

สัตว์นี้ขมึงทึงมาก หางยาวเท่ากับหางสิงโต สูงกว่าสองศอกครึ่ง ที่หน้าของมันทั้งยาวและกว้าง มีผืนหน้าเหมือนคนขี้เมา คนพื้นเมืองบอกฉันว่า เคราะห์ดีมากที่ยิงมันตายได้ สัตว์ชนิดนี้มีแรงมาก มันคงหักคอฉันถ้าฉันยิงผิด ฉันได้ไปตามพวกกะลาสีมาหามมันไป คนเหล่านั้นพูดว่าตั้งแต่อยู่มาในมัธยมประเทศยังไม่เคยเห็นลิงใหญ่โตเท่าตัวนี้เลย

จากช่องแคบมะละกาเราผ่านไปทางหมู่เกาะนิโคบาร์ มีคนป่าอยู่ที่นี่มาก ทั้งผู้หญิงและผู้ชายเดินไปไหน ๆ ตีนเปล่า จับปลาและเก็บผลไม้ในป่ามาเป็นอาหาร เกาะเหล่านี้ไม่มีข้าวและผักสด ธัญพืชใด ๆ ที่ใช้เป็นอาหารหามีไม่ หมู่เกาะอันดามันอยู่ห่างจากหมู่เกาะนี้ประมาณสามพันเส้น เราแลเห็นได้แต่ไกล ๆ ผู้ที่อาศัยอยู่บนเกาะเหล่านั้นเป็นคนกินเนื้อคน และเป็นคนที่ดุร้ายที่สุดในแถบทวีปนี้

ในที่สุดเราได้มาถึงเมืองปอนดิเจรี อันเป็นที่ตั้งคลังสินค้าที่ลือนามที่สุดแห่งหนึ่งของบริษัทบุรพทิศ มีผู้อำนวยการคนหนึ่งและเสมียนพนักงานหลายคน ผ้าที่ทอด้วยฝ้ายและผ้าอื่นๆ ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นในมัธยมประเทศนั้นมีอยู่ที่คลังสินค้าเป็นอันมาก เรือของบริษัทบุรพทิศมาจากประเทศฝรั่งเศสทุกปี และบรรทุกผ้าเหล่านี้ไปเมืองปอร์ตลุยส์

ม. มารตัง ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของคลังสินค้านี้ได้ต้อนรับฉันด้วยอัชฌาสัยไมตรีดีอย่างยิ่งตลอดเวลาที่ฉันอยู่ที่นั่น ฉันไม่สามารถที่จะกลับไปประเทศฝรั่งเศสเร็วตามความประสงค์ของฉันได้ เพราะว่าต้องรอเรือที่จะมาจากทวีปยุโรป ปีนี้มาถึงช้ากว่ากำหนดมาก เวลาพักอาศัยอยู่ที่นี่ ฉันได้เที่ยวล่าสัตว์ในประเทศนี้มีสุนัขจิ้งจอกชนิดหนึ่ง เรียกว่า สุนัขสีลูกเกาลัด ฉันจับมันได้ทุกวัน ได้ใช้สุนัขสำหรับจับกระต่ายป่า ที่ฉันหัดไว้ดีแล้วจับมัน ได้รับความเพลิดเพลินใจเป็นอันมาก

ในการจับสุนัขจิ้งจอกนั้น ฉันเกือบเสียชีวิตไปครั้งหนึ่ง เสมียนทำการในเรือของบริษัทบุรพทิศฝรั่งเศส ซึ่งพึ่งมาถึงที่นี่ได้มาขอให้ฉันไปล่าสัตว์ด้วย เมื่อได้ตามสุนัขจิ้งจอกมาได้สองสามชั่วโมงแล้ว สุนัขที่ฉันได้หัดไว้แล้วนั้นเกือบจับสุนัขจิ้งจอกได้ตัวหนึ่ง ถ้ามันไม่ทันหนีลงรูไปได้ เพื่อไล่ให้มันออกมาจากรูต้องเอาควันรมมัน ฉันจึงเอาฟางข้าวยัดลงไปในรูและเอาไฟจุดฟางนั้น ในขณะที่ฉันก้มลงเป่าไฟ สัตว์ชนิดหนึ่งกระโจนออกมาจากรูโดยแรงจนฉันล้มลงกลิ้งอยู่ในกองไฟและควัน สัตว์ตัวนั้นกระโจนเฉียดหน้าฉันแล้วกระโจนลงไปในแม่น้ำเร็วกว่าฉันลุกขึ้นยืนได้เสียอีก เสมียนบริษัทบุรพทิศฝรั่งเศสผู้นั้นบอกฉันว่าสัตว์ที่กระโจนลงไปในแม่น้ำนั้นคงเป็นจระเข้หรือเหี้ยอย่างไรก็ดีฉันมีความตกใจมาก เคราะห์ดีเหลือเกินที่รอดชีวิตมาได้

159ชาวเมืองปอนดิเจรีนั้นมีผิวเนื้อดำมาก แต่ไม่ดำเท่าพวกแขก “คัฟฟร์” ในทวีปอาฟริกา ใบหน้าของเขากะทัดรัด ตาคมหวาน และงามมาก ไว้ผมยาวถึงบั้นเอว ชนชาตินี้แบ่งกันเป็นชั้น ๆ หรือจำพวกพราหมณ์ซึ่งเป็นหัวหน้าศาสนานั้นเป็นผู้ที่คนนับถือมากกว่าผู้อื่น ต่อจากนี้ก็มีพวกคนเลี้ยงแกะ ชนชาตินี้สมสู่กันแต่ในจำพวกของตน เพราะเหตุฉะนั้นคนเลี้ยงแกะไม่มีหวังที่จะแต่งงานกับพราหมณ์ได้ ถ้าผู้ชายชั้นสกุลสูง ไปแต่งงานกับผู้หญิงชั้นหรือสกุลต่ำกว่า ผู้ชายคนนั้นก็ต้องละสกุลของตนมาเป็นสกุลของผู้หญิง ส่วนผู้หญิงนั้นหาเป็นเช่นนั้นไม่ ถ้าไปแต่งงานกับผู้ชายต่างสกุลกัน ฐานะของตนหาเสื่อมสูญไม่ ในบรรดาชนจำพวกต่างๆ นี้ ยกเว้นจำพวก “ปารายัน” ที่ใครๆ เห็นก็สะอิดสะเอียน เพราะว่าเขากินสัตว์ทุกชนิดเป็นอาหาร จำพวกทำเกือกถูกรังเกียจที่สุด๒๑

ชนชาตินี้ซึ่งเป็นคนนับถือเทวรูป มีเทวสถานที่ลือนามอยู่แห่งหนึ่งห่างจากเมืองปอนดิเจรีราวร้อยเส้น เขาพากันไปนมัสการเทวรูปนั้นทุกปี คนที่อยู่ใกล้เคียงก็พากันไปเหมือนกัน ฉันเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นได้ไปกับเขาด้วย เมื่อทำพิธีรีตองต่างๆ ในเทวสถานนั้นแล้ว เขาเชิญเทวรูปออกมาข้างนอก ประดิษฐานเทวรูปอันใหญ่โตมหึมาและปิดทองงามมากไว้บนรถสี่ล้อ รูปเทพบุตรและเทพธิดานั้นหันหน้าเข้าหากัน รูปเทพธิดา ท่าทางเต็มไปด้วยราคะ ตั้งอยู่หน้ารถ เทพบุตรก็มีท่าทางไม่ผิดกันกับรูปเทพธิดานัก

คนราวสองสามร้อยคนฉุดลากเชือกที่ผูกรถนั้น คนอื่นๆ ที่มีมากจนนับไม่ถ้วนได้วิ่งเข้าไปนอนพังพาบกลิ้งเกลือกอยู่ใกล้ๆ รถด้วยความศรัทธาแก่กล้าร้องเกรียวกราวอึงคะนึงทั่วไป บางคนที่โง่จนเหลือเกินได้เหวี่ยงตัวลงไปใต้ล้อรถ เชื่อมั่นว่าคงจะถึงซึ่งสันติสุขเมื่อถูกรถที่เชิญเทวรูปทับตาย

เสร็จพิธีแล้วฉันได้เห็นผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งกลิ้งเกลือกไปตามพื้นดิน ได้พากันไปกลิ้งตัวรอบเทวสถานอีก ฉันจึงถามว่าเหตุไรคนเหล่านั้นจึงทรมานตัวให้ร่างกายบอบช้ำเช่นนี้ คนเหล่านี้เกือบเปลือยกาย มีแต่ผ้าผืนหนึ่งพันตัวตั้งแต่เอวลงไปถึงโคนขาเท่านั้น เขาตอบฉันว่าเขาไม่มีลูก จึงเชื่อว่าการทรมานตัวเช่นนั้นจะทำให้เทพเจ้าประสาทพรให้มีลูกได้ ข้าพเจ้าทราบเพียงนี้เท่านั้น เพราะว่าตามที่เล่ามาข้างบนนี้แล้ว นอกจากคนที่นับถือเทวรูปเท่านั้น ไม่มีใครเข้าไปในเทวสถานได้

ล่วงมาอีกสองวันฉันไปที่เทวสถานอีก เพราะอยากรู้อยากเห็นจริง ๆ ว่าจะมีอะไรอยู่ข้างในนั้น ฉันไปที่หน้าประตูเทวสถานกับชาวฝรั่งเศสอีกเจ็ดคน ซึ่งมีความประสงค์จะเข้าไปดูเหมือนกันหัวหน้าพราหมณ์ไม่ยอมให้เราเข้าไป อ้างว่าถ้าอนุญาตให้คริสตศาสนิกชนเข้าไปแล้ว ศาสนาจะเสื่อม เมื่อเขายกสาเหตุนั้นมาห้ามแล้ว ฉันไม่ได้พูดตอบอย่างไร เดินเข้าไปใกล้ตัวพราหมณ์ผู้นั้นแล้วกระชากมีดที่เหน็บอยู่ที่สายรัดเอวของเขา เอาปลายมีดจิ้มพุงแล้วขู่ว่าจะฆ่าเสีย ไม่ทันต้องบอกให้หนีเอาตัวรอดเขาก็วิ่งไปเสียแล้ว เราจึงพากันเข้าไปในเทวสถาน ซึ่งกว้างขวางใหญ่โตมาก ได้เห็นแต่เทวรูปขนาดต่างๆ อยู่ในท่าทางเต็มไปด้วยราคะทั้งนั้น

ในขณะที่เราเที่ยวดูเทวรูปเหล่านั้นด้วยความเพลิดเพลินใจ พราหมณ์ที่ได้รับความดูหมิ่นได้ร้องเรียกคนที่อยู่ใกล้เคียงเทวสถานนั้น แล้วเดินตรงมายังเรามีคนตามด้วยมากกว่าสามร้อยคน แต่ชนชาตินี้ ซึ่งไม่มีความกล้าหาญเลย มีความสะทกสะท้านมาก เมื่อแลเห็นเรามีอาวุธปืนอยู่ทุกคน ไม่มีคนหนึ่งคนใดกล้าเข้ามาใกล้เราเลย

ในเวลาที่ใกล้ๆ กันนี้เรือของบริษัททำการค้าขายในมัธยมประเทศลำหนึ่งจะชักใบไปเมือง มัสสุลิปาตาน ซึ่งเป็นเมืองลือนามว่าสมบูรณ์ด้วยสินค้านานัปการ โดยเหตุที่เรือที่จะมาจากประเทศฝรั่งเศสยังไม่มาถึง ฉันจึงตกลงใจที่จะโดยสารเรือลำนี้ไปจนถึงเมืองคุลคอนดา ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ราวสามพันเส้น ในขณะนั้นพระเจ้าโมคลมหาราชยกทัพมาล้อมเมืองนี้ไว้ ฉันมีความประสงค์จะดูยุทธวิธีของชนชาตินี้ว่าเขาล้อมและยกเข้าตีเมืองอย่างไร แต่ฉันไปไม่ถึงเมืองคุลคอนดาตามที่ได้ตั้งใจไว้ดังจะเล่าต่อไปข้างล่างนี้

เมื่อเราออกจากเมืองปอนดิเจรีนั้นเป็นฤดูลมตะวันตก การเดินทางสะดวกเรียบร้อยทุกประการ เราจึงไปถึงเมืองมัสสุลิปาตานได้เร็ว เมื่อเรืออยู่ห่างจากเมืองราวแปดร้อยเส้น เราได้เห็นเมฆดำและหนามากลอยมาจากฝั่ง จึงนึกว่าจะมีพายุใหญ่ เราจึงม้วนมัดใบเรือไว้ให้แน่น เพราะเกรงว่าเรือจะถูกพายุล่มจมลง แต่เมฆนั้นลอยข้ามเรือของเราไป ฝนตกลงมาเล็กน้อยแล้วก็มีแมลงวันตัวใหญ่ ๆ คล้ายกันกับแมลงวันซึ่งเราได้เคยเห็นในประเทศฝรั่งเศส ที่หยอดไข่ใส่ขังเนื้อวัวทำให้มีหนอนขึ้น แมลงวันเหล่านี้มีก้นสีม่วง พวกกะลาสีได้รับความรำคาญมาก ไม่มีใครเลยที่ไม่หนีไปซ่อนตัว ทะเลนั้นเต็มไปด้วยแมลงวันชนิดนี้ บนเรือก็มีมากต้องตักน้ามากกว่าร้อยถังมาล้างเรือของเรา

ประมาณสักสี่ร้อยเส้นจากเมืองมัสสุลิปาตาน เรามองไปแลเห็นหมอกปกคลุมอยู่ เมื่อเรือเข้ามาใกล้หมอกนั้นก็แผ่กว้างออกไปจนไม่แลเห็นอะไรเลย คนเดินเรือต้องคอยสังเกตยอดภูเขาจึงนำเรือเข้าไปได้ เมื่อเรือเข้าไปใกล้ฝั่ง หมอกที่เราเห็นนั้นไม่ใช่อื่นไกล คือฝูงแมลงวันนั่นเอง แต่ไม่ใช่ชนิดเดียวกันกับแมลงวันที่เราเห็นครั้งแรก แมลงวันชนิดนี้มีสี่ปีก และรูปร่างคล้ายกันกับที่ลอยอยู่บนน้ำ หางของมันมีลายสีเหลืองและดำสลับกัน

ยิ่งเข้าไปใกล้ฝั่งก็ยิ่งมากขึ้น มากจนแลไม่เห็นฝั่ง เราต้องเอาลูกดิ่งหยั่งน้ำเรื่อยไป เมื่อถึงน่านน้ำตื้นพอที่เรือจะทอดสมอลงได้ เราก็จอดเรืออยู่ที่ตรงนั้น เสมียนของบริษัทค้าขายในมัธยมประเทศชื่อ เดอะลังทะ ซึ่งได้รับคำสั่งให้ไปตรวจคลังสินค้า ได้ไปในเรือกรรเชียง ต้นหนและฉันก็ตามเขาไปด้วย แมลงวันเหล่านี้มีมากเหลือเกิน เราต้องบรรทุกเข็มชี้ทิศลงไปในเรือกรรเชียงด้วยเพื่อจะไม่หลงทาง เพราะว่าแมลงวันเหล่านั้นกลบพื้นดินด้วย ในที่สุดเราขึ้นไปบนฝั่งได้

ที่ท่าเรือไม่มีใครเลย คนที่เคยรู้จักเมืองมะสุลีปัตนัมเป็นมัคคุเทศก์นำทางเราไปที่ศุลกสถาน ถึงแม้ว่าประตูหน้าต่างศุลกสถานนี้เปิดอยู่ เราก็ไม่แลเห็นคนสักคนเดียว เราเดินเข้าไปตรวจดูทุกห้องก็ไม่พบใครเลย ประหลาดใจที่ไม่พบผู้หนึ่งผู้ใดเลย เราจึงพากันไปที่คลังสินค้าของบริษัททำการค้าขายในมัธยมประเทศ เดินไปหลายถนนก็ไม่พบคนสักคนเดียว เงียบสงัดทั้งเมือง ทั้งได้กลิ่นเน่าด้วย เราก็เข้าใจว่าคงมีโรคร้ายเกิดขึ้น

เดินเท้าไปนานนักหนาแล้ว ก็มาถึงที่ทำการของบริษัททำการค้าขายในมัธยมประเทศ เราเห็นประตูเปิดอยู่ ก็เดินเข้าไปพบผู้อำนวยการนอนตายอยู่ เห็นจะพึ่งหมดลมหายใจ เพราะว่าศพยังไม่ขึ้น คงมีผู้ร้ายมาปล้นแน่ เพราะว่าสิ่งของตกกระจัดกระจายทั่วไป เมื่อเห็นภาพที่น่ากลัวดังนี้ ฉันเดินออกไปที่ถนนบอกเดอะลังทะว่า “เรากลับไปเรือกันเถิด ไม่เห็นว่าจะมีสารประโยชน์อะไรที่จะมาอยู่ที่นี่” เขาตอบฉันว่าเขาได้รับคำสั่งให้มาตรวจการแล้วทำรายงานไปให้บริษัท ไม่ยอมกลับไปลงเรือก่อนสืบถามผู้หนึ่งผู้ใดให้รู้แน่ว่าเกิดเหตุอะไรกันขึ้น

เราจึงเดินต่อไป และได้มาถึงคลังสินค้าของบริษัทค้าขายอังกฤษ เราเห็นหน้าต่างประตูปิดอยู่ จึงเคาะประตูอยู่นาน ก็ไม่มีใครมาเปิดให้ ออกจากที่นี้เราไปที่คลังสินค้าของบริษัทค้าขายวิลันดา บริษัทนี้มีคนทำงานแปดสิบคน ที่เหลือมีชีวิตอยู่เพียงสิบสี่คนเท่านั้น รูปร่างเป็นผีมากกว่าเป็นคน คนเหล่านี้บอกเราว่ากาฬโรคได้ระบาดไปในเมืองนี้ พลเมืองตายโดยมาก นอกนั้นหนีออกไปนอกเมือง เขาบอกเราไม่ได้ว่าคนทำงานที่คลังสินค้าฝรั่งเศสนั้นไปอยู่ไหน เพราะว่าไม่ได้รับข่าวคราวเลย คนอังกฤษได้ละทิ้งคลังสินค้าของเขาเมื่อเห็นคนทำงานตายลงหลายคน ส่วนพวกชาววิลันดานั้น เขามีทรัพย์สินที่คลังสินค้านี้มาก ถ้าทิ้งไปก็มีโทษถึงประหารชีวิต ถ้าไม่มีข้อห้ามนั้นแล้ว ก็ไม่ยอมอยู่ที่นี่

โดยเหตุที่เมืองเคราะห์ร้ายนี้อยู่ในภาวะเช่นนี้ ก็ไม่มีเรือที่ฉันจะโดยสารไปเมืองคุลคอนดาได้ จึงไม่มีโอกาสที่จะได้ดูยุทธวิธีการล้อมเมืองนั้น เราต้องกลับไปลงเรือที่มาจากเมืองปอนดิเจรี รายงานสิ่งที่เราได้เห็นและข้อความที่สืบมาได้ ในทันใดนั้น เราชักใบขึ้นไม่ยอมอยู่ในน่านน้ำนี้อีกต่อไป เราตั้งเข็มเดินเรือไปเมืองมริท ซึ่งอยู่ในประเทศไทย แต่โดยเหตุที่เมืองมริทอยู่ไกลจากพระราชสำนักพระนารายณ์มหาราช ไกลกว่าร้อยโยชน์ และฉันอยู่บนเรือฝรั่งเศส จึงเชื่อว่าจะปลอดภัย ไม่ต้องกลัวความพยาบาทมาดร้ายของวิชเยนทร์

ออกจาเมืองมัสสุลิปาตานได้สามวัน กะลาสีสองสามคนที่ขึ้นไปบนบกป่วยลง ไม่มีใครทราบสาเหตุของโรค แพทย์เห็นว่ามีไข้จึงเจาะเนื้อเอาโลหิตออก วันรุ่งขึ้นฉันมีไข้ แต่ฉันไม่ยอมให้แพทย์เจาะเอาโลหิตออก พวกกะลาสีทุกคนที่มาในเรือกรรเชียงก็ป่วยมีอาการอย่างเดียวกัน แพทย์ได้เจาะเอาโลหิตออกเช่นเดียวกันกับกะลาสีที่เริ่มเจ็บก่อน ล่วงไปไม่กี่วันกะลาสีเหล่านั้นตายตามๆ กันไป

ไข้ของฉันก็หนักขึ้น เหงื่อไหลโซมตัว อาการทรุดลงจนพูดไม่ได้ ความร้ายแรงของโรคนี้ทำให้ตามัวจนจำสิ่งของไม่ได้ถนัด สิ่งที่ร้ายนั้นเสบียงอาหารมีน้อยลง จะหาอะไรมาปรุงเป็นแกงจืดก็ไม่ได้ เพราะว่าเมื่อเราออกจากเมืองปอนดิเจรีนั้นเราบรรทุกเสบียงมาน้อย ในขณะนั้นเมืองนั้นไม่มีเสบียงอาหารพอ คนเกือบอดตายกันอยู่แล้ว

ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยอยู่ในที่อันตรายมากเหมือนครั้งนี้เลย ไม่รู้ว่าจะทำอะไร จึงสั่งคนใช้ซึ่งไม่ยอมทิ้งฉัน ให้ไปรินเหล้าอิหร่านที่ฉันมีอยู่มาก มาให้ฉันได้ดื่มเข้าไปครึ่งถ้วยแล้วหลับสนิทไปล่วงมาสองสามชั่วโมงฉันตื่นขึ้น เหงื่อไหลโซมตัว ตาสว่างไสวเห็นดีขึ้นมาก ฉันจึงดื่มเหล้าเข้าไปเต็มถ้วย หลับไปอีกพักหนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นครั้งที่สองเหงื่อไหลโซมตัวอีก และมีกำลังมากขึ้น เห็นว่าสุรานี้เป็นยาแก้ไขได้ดีจึงดื่มเข้าไปอีก และเอาขนมบิสคิตแช่สุรากินเข้าไปด้วย ฉันรับประทานสุราเป็นยาแก้พิษไข้ดังนี้เรื่อยมาหลายวัน อาการไข้ก็ดีขึ้นเป็นลำดับมา

ม. เดอะลังทะและต้นหนเรือฝรั่งเศส ซึ่งป่วยมีอาการเช่นเดียวกันกับฉัน เอาอย่างฉัน ไม่ยอมให้หมอเจาะเนื้อเอาโลหิตออก และไม่ยอมกินอย่างอื่นนอกจากตำรายาของฉัน อาการป่วยก็ทุเลาลงและรอดตายทั้งสามคน เมื่อมาถึงเมืองมริท เราได้รับเสบียงอาหารเป็นอันมากก็หายป่วยไปไหนมาไหนได้ตามชอบใจ ในจำนวนคนสิบเจ็ดคนที่ลงไปในเรือกรรเชียงนั้น สิบสี่คนยอมให้เจาะเนื้อเอาเลือดออก และไม่รอดตายสักคนเดียว เดอะลังทะ ต้นหน และฉันรอดชีวิตมาได้ ก็เพราะว่าไม่ยอมให้แพทย์เจาะเนื้อเอาเลือดออก เพราะฉะนั้นพิสูจน์ได้แน่ว่า คนที่เป็นกาฬโรคนั้น ถ้าแพทย์เจาะเอาโลหิตออกแล้วก็ตายทุกคน

สองสามวันภายหลังที่เรือมาจอดอยู่ที่มริท ม. เดอะแบเรต์กับขุนนางไทยหลายคนก็มาถึง เขามาจากเมืองละโว้ ประเทศฝรั่งเศสได้แต่งตั้ง ม. เดอะลาลูแบร์และตัวเขามาทำหนังสือสัญญาการค้าขายกับวิชเยนทร์ และจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นการเรียบร้อย เห็นได้ว่าแปร์ตาชารต์ที่ได้รับฉันทะไปเจรจาชักชวนประเทศของเราให้จัดส่งราชทูตมานั้นทำการสำเร็จ ตามที่ฉันได้เล่าไว้ข้างบนนี้แล้ว แปร์ตาชารต์ถูกวิชเยนทร์หลอกลวง ท่านนักบวชเจสูอิตรูปนี้เชื่อมั่นว่าเป็นการทำนุบำรุงศาสนาและอานุภาพฝรั่งเศสให้แผ่ไพศาลไปในประเทศไทย จึงได้ไปรายงานให้ทราบถึงพระเนตรพระกรรณพระเจ้าอยู่หัวของเราว่าวิชเยนทร์มีความตั้งใจดีจริง พระเจ้าอยู่หัวทรงเชื่อถ้อยคำของนักบวชเจสูอิตรูปนี้ จึงทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วยว่าควรมีพระราชสัมพันธไมตรีกับพระนารายณ์มหาราช แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ส่งกองทหารฝรั่งเศสออกไปประเทศไทย ให้เชวาลิเอร์ เดส์ฟารจส์ เป็นผู้บังคับการ เมื่อเดล์ฟารจส์มาถึงเมืองบางกอกแล้ว ก็ได้ควบคุมป้อมปราการตามความที่ได้สัญญากันไว้

ขุนนางไทยที่เป็นราชทูต๒๒ไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศฝรั่งเศสอยู่ในจำพวกขุนนางที่มากับเดอะแบเรต์ด้วย เมื่อเขาแลเห็นฉัน เขาวิ่งเข้ามาหาฉัน ขุนนางผู้นี้ได้เห็นความวิจิตรงดงามของพระราชอาณาจักรฝรั่งเศสแล้ว มีความตื่นเต้นมาก พูดกับฉันว่า ที่ฉันอยากกลับไปประเทศฝรั่งเศสนั้นเป็นการคิดถูกแล้ว เขาได้พบครอบครัวของฉันและเพื่อนของฉันอีกหลายคน และได้เล่าข่าวคราวของฉันให้ฟังอยู่เสมอ เขาชมพระราชสำนักของเราและสิ่งที่เขาเห็นว่าสวยงามที่สุดแล้ว

เดอะแบเรต์ที่เดินทางมาทางบกจากเมืองละโว้นั้น ได้ให้ของขวัญแก่ขุนนางไทยแล้ว ให้เขาเหล่านั้นกลับไป เมื่อเดอะแบเรต์ลงมาในเรือของเราแล้ว เราก็ชักใบเรือขึ้นเดินทางกลับไปเมืองปอนดิเจรี เราได้ถามเขาว่าการเจรจาทำหนังสือสัญญากับวิชเยนทร์นั้นสำเร็จลงอย่างไร เขาตอบว่าเขาไม่พอใจเสนาบดีผู้นี้เลย วิชเยนทร์ได้หลอกพระราชสำนักของเรา ให้คำมั่นสัญญาว่าจะให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ซึ่งไม่มีแก่นสาร และไม่มีความจริงแม้สักนิดเดียวเลย

ตลอดเวลาเดินทางไปในเรือ เดอะแบเรต์และฉันรู้จักกันสนิทสนมมากเข้าทุกที เราสนทนากันถึงเรื่องประเทศไทย และอาการกิริยาของคนไทย

วันหนึ่งฉันพูดกับเขาว่า “สิ่งที่ท่านได้เห็นนั้น ก็เป็นสิ่งที่เจริญตาทั้งนั้น ประชาชนพลเมืองตั้งบ้านเรือนอยู่แต่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เขาชอบอยู่ตามท้องที่เหล่านี้มากกว่าที่อื่น เพราะว่าพื้นดินซึ่งน้ำท่วมตลอดเวลาหกเดือนทุกปีเป็นทำเลเหมาะที่ข้าวงอกงามได้มาก โดยที่ไม่ต้องหักร้างถางพง ข้าวนั้นงอกและเพิ่มพูนได้แต่ในน้ำเท่านั้น มันทำให้ประเทศนี้มั่งมีได้มากทีเดียว เมื่อเวลาเดินทางจากสันดอนมาละโว้ ท่านคงเห็นได้ว่าข้าวที่เกี่ยวแล้วเป็นทรัพย์สินสำคัญแก่ประชาชนเพียงไร นั่นเป็นสิ่งที่น่าดูที่สุดในพระราชอาณาจักรนี้”

อีกครั้งหนึ่งเวลาเราสนทนากันถึงเรื่องประเทศไทยนี้ เดอะแบเรต์อยากทราบว่าพระนารายณ์มหาราชทรงปกครองบ้านเมืองอย่างไร ฉันตอบว่า “เรื่องการปกครองนี้ไม่เป็นการง่ายนักที่ฉันจะอธิบายให้เป็นที่พอใจท่านได้ คนที่อยู่ภายนอกจะเป็นคนใหญ่โตเพียงไร จะเข้าไปในพระที่นั่งอันเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์หาได้ไม่ และคนที่เข้าไปได้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็กลับออกมาอีกไม่ได้ คน ๆ หนึ่งไม่เฉพาะแต่มีตำแหน่งหน้าที่ตามที่กะไว้ ยังถูกจำกัดให้อยู่ในที่ต่างหากกัน และจะออกไปจากที่นั้นหาได้ไม่ ผู้ที่รับราชการอยู่ในท้องพระโรงหน้าทวารพระที่นั่ง ไม่ทราบและไม่รู้จักว่าข้างในพระที่นั่งเป็นอย่างไร รู้เห็นแต่สิ่งที่มีขึ้นและเป็นไปในท้องพระโรงเท่านั้น พระที่นั่งที่อยู่ข้างในพระทวารก็มีข้าราชการซึ่งไม่รู้การเป็นไปภายในพระที่นั่งที่อยู่ลึกเข้าไปเช่นเดียวกันกับข้าราชการที่มีตำแหน่งหน้าที่อยู่ในท้องพระโรง เพราะฉะนั้นข้าราชการที่อยู่ในพระที่นั่งถัดเข้าไปจนถึงพระราชมนเทียร ก็ไม่รู้การเป็นไปในพระที่นั่งต่อ ๆ ไปเช่นเดียวกัน พระมหากษัตริย์เสด็จออกให้เฝ้านานๆ ครั้งหนึ่งเมื่อมีพระราชประสงค์จะทรงปรึกษาเสนาบดี แม้ผู้ที่โปรดปรานมากที่สุดก็เสด็จออกให้เฝ้าที่สีหบัญชร ซึ่งอยู่สูงกว่าพื้นแผ่นดินเกือบสี่ศอก๒๓ ทรงสดับตรับฟังความเห็นและพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยเสร็จแล้ว ก็เสด็จเข้าข้างใน

เดอะแบเรต์ได้ถามฉันว่าวิชเยนทร์เป็นคนอย่างไร ฉันได้บอกข้อความที่ฉันรู้อยู่เต็มอกให้เขาทราบทั้งสิ้น และถึงแม้ว่าเขาทราบความเห็นและนโยบายของวิชเยนทร์อยู่ดีแล้วก็จริง ฉันยังเล่าข้อความที่แคล้วคลาดตาเขาให้ทราบความจริงจนหมดความสงสัย เขาก็มีความเห็นพ้องด้วย เพราะว่าข้อความนั้นตรงกันกับที่เขาได้สังเกตมาแล้ว

มิช้ามินานเราได้มาถึงเมืองมาดราสปาตาน ซึ่งมั่งคั่งด้วยสินค้าต่างๆ ไม่มีใครเลยที่มามัธยมประเทศแล้วกลับไปทวีปยุโรปโดยที่ไม่ได้ซื้อผ้าและของแปลก ๆ หายากติดตัวไปด้วย ฉันตั้งใจไว้ว่าจะต้องควักกระเป๋าเอาเงินซื้อของบ้าง จึงขอให้ต้นหนส่งฉันขึ้นไปบนบก ชาวอังกฤษเป็นใหญ่เป็นโตในเมืองนี้ ผู้อำนวยการบริษัทค้าขายอังกฤษ ซึ่งเป็นศัตรูกับวิชเยนทร์ทราบว่า ฉันไปอาศัยอยู่กับนักบวชฝรั่งเศส ชักชวนให้ฉันไปอยู่ที่บ้านของเขา เขาได้เชิญหัวหน้านักบวชไปด้วย เพื่อเป็นเกียรติยศในการต้อนรับฉัน นักบวชรูปนี้อยู่นอกเมือง เป็นผู้สั่งสอนศาสนาแก่ชาวโปรตุเกสและคนครึ่งชาติ ซึ่งนับถือลัทธิคาทอลิกโรมัน

ผู้อำนวยการบริษัทค้าขายอังกฤษได้เลี้ยงอาหารเย็น ตลอดเวลารับประทานอาหารมีการยิงปืนใหญ่หลายนัด เราได้ดื่มถวายพระพรชัยพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ พระเจ้าหลุยส์มหาราชาธิราชและพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งสองประเทศ ปืนนั้นบรรจุลูกกระสุนจริงๆ ด้วย เวลารับประทานอาหารนั้น เราเว้นเสียมิได้ที่จะพูดเรื่องความทารุณร้ายกาจของวิชเยนทร์ ผู้อำนวยการพูดดัง ๆ ว่าถ้าจับตัวคนๆ นี้ได้จะแขวนคอมัน เราดื่มเหล้าเรื่อยๆ ไปจนเมากันทุกคน แม้หัวหน้านักบวชก็มึนเมาเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ ที่จริงท่านไม่มีความผิด พวกเราชักชวนให้ท่านดื่มทั้งที่รู้ว่าท่านดื่มมากนักไม่ได้

เมื่อฉันซื้อของเสร็จแล้ว ผู้อำนวยการจัดเรือเล็กๆ ให้ฉันโดยสารไปเมืองปอนดิเจรี ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่เพียงสองพันเส้นเท่านั้น เมื่อมาถึงเมืองปอนดิเจรีฉันเห็นเรือหลวงซึ่งมาคอยรับ ม. เดอะแบเรต์ เรือลำนี้อยู่ในบังคับบัญชาของ ม. ดูเคน กิตตอง ท่านผู้นี้มอบปืนยาวงามมากกระบอกหนึ่งและปืนสั้นสองกระบอกฝีมืองามอย่างยิ่งแก่ฉัน ปืนนี้เป็นของขวัญซึ่ง ม. บองตองส์ส่งมาให้เพื่อตอบแทนมิตรไมตรีและสิ่งของที่ฉันฝากคณะทูตฝรั่งเศสและไทยไปให้เขา

เดอะแบเรต์ทำกิจธุระที่เมืองปอนดิเจรีเสร็จแล้ว เราพากันขึ้นไปบนเรือและชักใบขึ้นเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส ตลอดเวลาเดินทางการสนทนาย้อนมาถึงประเทศไทยอยู่เนือง ๆ เขาพูดว่าวิชเยนทร์มีความริษยาฉัน และให้ฉันผจญภัยกับอันตรายบ่อย ๆ และถึงแม้ว่าชาวฝรั่งเศสที่เขาได้พบที่กรุงศรีอยุธยาและเมืองละโว้ ได้เล่าเรื่องวิชเยนทร์สั่งให้ฉันปราบพวกแขกกบฏมักกะสัน และจับนายเรือเรือค้าขายอังกฤษให้เขาทราบแล้วก็ดี เขาก็ยังอยากให้ฉันเล่าให้เขาฟังอีก

เราเดินทางมาโดยเรียบร้อยจนถึงแหลม เดอะบอนน์ เอสแปรังส จึงทอดสมอลงและบรรทุกเสบียงอาหารบางอย่างขึ้นไปบนเรือ ต่อนั้นไปเราได้ไปจอดเรือที่เกาะซังต์เฮเลน ซึ่งเป็นของชาวอังกฤษ และเกาะอัสสังสิองอีกครั้งหนึ่ง ที่เกาะนี้เราจับเต่าตนุและปลาได้เป็นอันมาก ในที่สุดเราได้มาถึงเมืองเบรสต์โดยผาสุก ได้ลงจากเรือขึ้นบกไปปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๒๓๑ เวลาได้ล่วงไปประมาณสามปีครึ่ง นับตั้งแต่วันที่ได้ออกเรือไปจากที่นี่พร้อมกันกับเชวาลิเอร์ เดอะโชมองต์

เมื่อได้ขนของที่ฉันซื้อที่เมืองมาดราสปาตานลงจากเรือแล้ว ฉันได้มอบให้แก่คนส่งของซึ่งไปกรุงปารีสทุกสัปดาห์ ก่อนที่ฉันจะละหีบห่อต่างๆ เหล่านี้ไป ฉันได้ขอให้เขาทำบัญชีไว้ให้ถี่ถ้วนว่าสิ่งของนั้นมีมากเท่าไรและราคาเท่าไร สิ่งของเหล่านี้ก็ล้วนแต่ฉาก โต๊ะจีน ใบชา เครื่องลายคราม และผ้าแขกมัธยมประเทศชนิดต่างๆ กับผ้าดิ้นทองและเงินหลายพับ เมื่อมอบให้เสร็จแล้วฉันก็โดยสารรถไปกรุงปารีส ได้ไปหา ม. เซญเล เสนาบดีกระทรวงการทหารเรือ ท่านได้ต้อนรับฉันเป็นอย่างดีและท่านได้นำฉันเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นับวันราชการของฉันตั้งแต่วันออกเรือไปประเทศไทยจนถึงวันนี้

ที่ฉันได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณเช่นนี้ ก็เพราะว่า ม. บองตองส์ช่วยเหลือฉัน ม. เซญเลไม่เห็นชอบด้วยในการที่ฉันทำตามคำสั่ง เชวาลิเอร์ เดอะโชมองต์ และไม่กลับไปประเทศฝรั่งเศสกับคณะทูตในครั้งนั้น อันทำให้ฉันขาดจากราชการแผ่นดินฝรั่งเศส แต่ ม. บองตองส์ทราบความจริงโดยตลอด จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เหตุฉะนั้นจึงพระราชทานพระราชกระแสโปรดเกล้าฯ ไม่ให้เสนาบดีกระทรวงการทหารเรือตัดวันรับราชการของฉัน ซ้ำให้เลื่อนตำแหน่งหน้าที่ของฉันเป็นบำเหน็จความชอบมากกว่าผู้อื่น

ฉันมีความปีติยินดีเป็นอันมากที่ทรงพระกรุณาฉันถึงปานฉะนี้ ฉันได้เข้าไปรับพระราชทานอาหารในพระราชสำนัก พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชปฏิสันถารกับฉัน เริ่มแรกมีพระราชประสงค์ที่จะทรงทราบว่าประเทศไทยมั่งมีหรือไม่ ฉันกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า “ขอเดชะ ประเทศไทยไม่มีสินค้าทีจะส่งออกไปจำหน่าย และไม่ต้องการสินค้าที่จะนำมาบริโภค” มีรับสั่งวา “ท่านพูดคำสองคำเท่านั้น ก็จุความได้มากทีเทียว” และตรัสถามต่อไปอีกว่า คนไทยปกครองบ้านเมืองกันอย่างไร ราษฎรมีทางอาชีพฉันใด เครื่องราชบรรณาการที่พระนารายณ์มหาราชจัดส่งไปถวายนั้นได้มาจากไหน ฉันกราบบังคมทูลสนองพระราชกระแสว่า “ราษฎรนั้นยากจน ทุกปีต้องทำงานเป็นราชพลีหลายเดือน นอกจากจะโปรดเกล้าฯ ให้ยกเว้นแล้วพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นขุนนาง การมีศักดิ์ใหญ่ที่ทำให้เขามีหน้ามีตามากกว่าคนสามัญนั้น หาคุ้มครองให้เขาพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าแผ่นดินได้ไม่ มักจะถูกถอดจากบรรดาศักดิ์ได้ง่ายๆ และต้องรับพระราชอาญาอย่างแสนสาหัสด้วย เจ้าพระยาพระคลัง ซึ่งเป็นสมุหนายกและมีตำแหน่งเอกในราชการแผ่นดินนั้น หาได้รับความยกเว้นผิดกว่าคนอื่นๆ ไม่ ที่อยู่ในตำแหน่งเต็มไปด้วยความอันตรายได้ ก็ต้องหมอบคลานต่อพระพักตร์พระเจ้าแผ่นดินเช่นราษฎรสามัญ ถ้าถูกกริ้วแล้ว พระราชอาญาที่เบาที่สุดนั้นคือ ถูกเฆี่ยนแล้วส่งตัวไปไถนา ราษฎรกินแต่ผลไม้และข้าวซึ่งมีบริบูรณ์มาก ส่วนเครื่องราชบรรณาการนั้น วิชเยนทร์ได้มาจากพระคลังมหาสมบัติที่ได้เก็บรวบรวมไว้ พระราชอาณาจักรไทยนั้นรูปเป็นแหลม ซึ่งเป็นที่เหมาะสำหรับตั้งคลังสินค้าทำการค้าขายกับมัธยมประเทศ เพราะว่าภูมิประเทศตั้งอยู่ระหว่างสองทะเล ฝั่งตะวันออกนั้นติดต่อกับประเทศจีน ญี่ปุ่น ตังเกี๋ย ญวนใต้ ลาว และเขมร ฝังตะวันตกนั้นอยู่ตรงกันข้ามกับพระราชอาณาเขต อาร์ราคาน แม่น้ำคงคา ฝั่งโคโรมันเดล มาลาบาร์ และเมืองสุราต มีคนบรรทุกสินค้าจากประเทศเหล่านี้ไปประเทศไทยทุกปี ประเทศไทยจึงเป็นที่ชุมนุมตลาดสินค้า และคนไทยนำสินค้านี้ไปขายปลีกได้กำไรบ้าง พระราชทรัพย์รายได้ของพระเจ้าแผ่นดินนั้นเกิดจากการค้าขายที่ทรงทำได้แต่พระองค์เดียว มีสินค้า คือ ข้าว หมาก ดีบุก และช้างกับหนังสัตว์ป่าซึ่งมีเป็นอันมาก คนไทยไม่มีสินค้าหัตถกรรมเลย เว้นแต่ผ้าทอบาง ๆ ซึ่งขุนนางไทยเท่านั้นมีสิทธิที่จะนำมาเย็บเป็นเสื้อแขนสั้นสำหรับสวมเวลาเข้าไปในงานพระราชพิธี เมื่อขุนนางไทยคนใดคนหนึ่งมีความเฉลียวฉลาดพอที่จะเก็บเงินไว้ได้บ้างก็ต้องซ่อนเอาไว้ ไม่มีใครมีอสังหาริมทรัพย์เลย ที่ดินเป็นของพระเจ้าแผ่นดินทั้งสิ้น เหตุฉะนั้นส่วนมากของภูมิประเทศยังรกร้างอยู่ ไม่มีใครที่จะกล้าลงแรงหักร้างถางพงเพื่อทำนาเพาะปลูกพืชพันธุ์ เพราะรู้ว่าเมื่อที่ดินเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะถูกริบไป ราษฎรไม่เป็นคนเสพสุรา

พระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งถามฉันอีกว่าเงินตราที่ใช้กันในประเทศไทย๒๔มีอย่างไร ฉันกราบบังคมทูลพระกรุณาว่าเงินตรานั้นทำด้วยเงินเปนรูปกลมๆ คล้ายลูกกระสุนปืนสั้น มีอักษรไทยจารึกอยู่สองตัวเปนเครื่องหมายตราแผ่นดิน เงินกลมนี้เรียกว่า “บาท” เท่ากับสีสิบโซลส์ของเงินตราฝรั่งเศส นอกจากเงิน “บาท” ยังมีเงิน “ครึ่งบาท” และเงิน เฟื้อง ซึ่งมีราคาเท่ากันกับห้าโซลส์ เงินปลีกสำหรับแลกเปลี่ยนนั้นใช้เปลือกหอยทะเล (เบี้ย) ซึ่งได้มาจากเกาะมัลดิฟส์ ร้อยยี่สิบเบี้ยเท่ากับห้าโซลส์

โปรดเกล้า ฯ ให้ฉันเล่าเรื่องศาสนาของประเทศไทย๒๕ ตรัสถามว่ามีคริสตศาสนิกชนมากหรือไม่ และพระนารายณ์มหาราชทรงพระราชดำริจะเข้ารีตจริงหรือไม่ ฉันกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า พระนารายณ์มหาราชไม่เคยทรงพระราชดำริจะเข้ารีตเลย และไม่มีมนุษย์ใดกล้าจะกราบบังคมทูลแนะนำให้ทรงเลื่อมใสคริสตศาสนาได้ จริงอยู่คำกราบบังคมทูลของเชวาลิเอร์เดอะโชมองต์ในวันเข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน์นั้นมีข้อความว่าด้วยศาสนา แต่วิชเยนทร์ซึ่งมีหน้าที่เป็นล่ามนั้นเว้นไม่กล่าวข้อความนั้นเลย ท่านเจ้าคณะเดอะเมเตลโลโปลิส ซึ่งเฝ้าอยู่หน้าพระที่นั่งด้วยและเข้าใจภาษาไทยดี ได้สังเกตเห็นดังนั้นแล้ว แต่ท่านไม่กล้าทัก เพราะเกรงว่าจะได้ความลำบาก วิชเยนทร์จะไม่ยกโทษท่านเลย ถ้าท่านปริปากออกมา

พระเจ้าอยู่หัวประหลาดพระราชหฤทัยมากที่ได้ทรงทราบความนี้จากฉัน ได้ประทับนิ่งอยู่แล้วทรงคอยสดับตรับฟังคำกราบบังคมทูลฉันต่อไป ฉันกราบบังคมทูลว่าเชวาลิเอร์เดอะโชมองต์เข้าเฝ้าพระนารายณ์มหาราชครั้งไร ก็พยายามพูดเรื่องศาสนาเสมอ แต่วิชเยนทร์ซึ่งเป็นล่ามนั้น เป็นคนเฉลียวฉลาด เล่นได้ทั้งโขนและหนัง กราบบังคมทูลแต่คำสรรเสริญเยินยอของราชทูตฝรั่งเศสเท่านั้น และตอบเชวาลิเอร์ เดอะโชมองต์แต่ข้อความที่เขาเห็นสมควร เหตุฉะนั้นคำกราบบังคมทูลของราชทูต และพระราชกระแสของพระนารายณ์มหาราชที่แปลกลับไปกลับมานั้น ก็จบลงตามความพอใจของวิชเยนทร์ ฉันได้อ้างท่านเจ้าคณะเดอะเมเตลโลโปลิสซึ่งเข้าเฝ้าพร้อมกันกับราชทูต เป็นพยานยืนยันถ้อยคำของฉัน ข้อความที่ฉันได้มานั้นก็มีคนบอกเป็นความลับ พระเจ้าอยู่หัวทรงพระสรวลแล้วตรัสว่าเคราะห์ร้ายมากที่พระเจ้าแผ่นดินไทยต้องใช้ล่าม ซึ่งไม่แปลข้อความด้วยความสัจสุจริต

ในที่สุดรับสั่งถามว่าผู้สั่งสอนศาสนานั้นทำการได้ผลมากเพียงไร และชักชวนคนไทยเข้ารีตได้มากหลายเท่าไร ฉันกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า ผู้สั่งสอนศาสนาชักชวนคนไทยเข้ารีตไม่ได้สักคนเดียว โดยเหตุที่คนโดยมากที่อยู่ในประเทศไทยกอปรด้วยชนชาติต่างๆ ในหมู่คนไทยนั้นมีชนชาติโปรตุเกส ญวนใต้และญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากที่นับถือคริสตศาสนา ผู้สั่งสอนศาสนาจึงเลือกสมาคมกับชนพวกนี้ และแผ่ศาสนาแก่คนเหล่านี้โดยเฉพาะ ผู้สั่งสอนศาสนาได้เที่ยวไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ช่วยรักษาพยาบาลและแจกยารักษาโรคให้แก่ราษฎร แต่ไม่ได้ทำกิจการที่ชักนำให้คนไทยเลื่อมใสคริสตศาสนาเลย ความดีที่สุดที่ผู้สั่งสอนศาสนาได้ทำนั้น คือ เอาน้ำคริสตมนต์รดศีรษะเด็กทารกซึ่งไปพบตามไร่นา ที่ผู้สั้งสอนศาสนาเอาน้ำคริสตมนต์รดศีรษะเด็กและพามาเลี้ยงดูไว้นั้น เป็นงานการที่สำเร็จผลเป็นอย่างดี

เมื่อเสร็จการพระราชทานเลี้ยงอาหารแล้ว ม. เซญเล พาฉันเข้าไปในห้องทำงานของท่าน ท่านได้สอบถามฉันอยู่เป็นนานว่าจะมีสิ่งไรที่พึงทำให้เป็นที่พอพระราชหฤทัยพระเจ้าอยู่หัวของเราได้บ้าง เฉพาะอย่างยิ่งในข้อที่ว่าจะสมควรทำการค้าขายกับประเทศไทยได้เป็นล่ำสันได้เพียงไร และวิชเยนทร์มีความคิดอย่างไร จึงได้เร่งร้อนชักชวนให้ชาวฝรั่งเศสออกไปประเทศไทย เพื่อตอบคำถามข้อหลังนี้ฉันได้เล่าข้อความตามที่ฉันทราบมา และชี้แจงนโยบายของวิชเยนทร์ให้ท่านทราบโดยถี่ถ้วน

ส่วนเรื่องการค้าขายนั้นฉันตอบท่านว่าตามที่ฉันได้กราบบังคมทูลพระกรุณาทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วนั้น ประเทศไทยไม่มีสินค้าที่จะส่งไปจำหน่าย เป็นแต่ตลาดรับสินค้าจากประเทศจีน ญี่ปุ่น และมัธยมประเทศเท่านั้น เมื่อทราบดีอยู่เช่นนี้แล้วที่เราส่งกองทหารฝรั่งเศสไปตั้งอยู่ในประเทศไทยนั้น ไม่มีสารประโยชน์แม้สักนิดเดียว คลังสินค้าของบริษัทค้าขายฝรั่งเศสที่มีอยู่แล้วนั้นเป็นการเพียงพอแก่ความประสงค์ของเราแล้ว

ส่วนป้อมปราการที่บางกอกนั้นจะอยู่ในเงื้อมมือกองทหารฝรั่งเศสเพียงชั่วเวลาที่พระนารายณ์มหาราชและวิชเยนทร์ยังมีพระชนมายุและชีวิตอยู่เท่านั้น ถ้าพระนารายณ์มหาราชสวรรคตหรือวิชเยนทร์ถึงแก่อนิจกรรม คนไทยซึ่งเห็นแต่ผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้งและถูกศัตรูของประเทศฝรั่งเศสยุแหย่ จะไม่ละเลยที่จะไล่ทหารฝรั่งเศสไปจากที่มั่น ซึ่งใคร ๆ ควบคุมไว้ได้ก็ย่อมมีอำนาจเป็นใหญ่เป็นโตในประเทศนั้น

ล่วงมาสองวัน คาร์ดินัล เดอะ จังซอง บอกให้ฉันไปหาแปร์เดอะลาเชส ซึ่งมีความประสงค์จะทราบเรื่องที่ส่งชาวฝรั่งเศสไปอยู่ในประเทศไทย ท่านคาร์ดินัลแนะนำให้ฉันระมัดระวังถ้อยคำให้มาก เพราะการที่จะไปสนทนากับแปร์เดอะลาเชสนั้นจะไปพูดเล่นๆ ไม่ได้ ท่านเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลมที่สุดในประเทศฝรั่งเศส ฉันตอบท่านคาร์ดินัลว่าฉันไม่มีความตะขิดตะขวงใจเลย ฉันมีแต่ความจริงที่จะไปเรียนท่านเท่านั้น ในวันเดียวกันนั้นฉันก็ไปหาแปร์เดอะลาเชส ขึ้นทางอัฒจันทร์หลัง และแปร์วัตบเลนำเข้าไปในห้อง

แปร์เดอะลาเชสสนทนากับฉันเฉพาะแต่เรื่องศาสนา และพระราชประสงค์ของพระนารายณ์มหาราชที่จะทรงทำนุบำรุงนักบวชลัทธิเจสูอิตอยู่ในประเทศไทยต่อไป โดยที่จะทรงสร้างวิทยสถานและหอดูดาวที่เมืองละโว้เท่านั้น ฉันเรียนท่านว่าวิชเยนทร์มีความประสงค์เป็นอันมาก ที่จะให้พระเจ้าอยู่หัวของเราทรงคุ้มครอง จึงให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้อันเกินความสามารถที่จะปฏิบัติให้เสร็จไปได้ วิชเยนทร์คงลงมือสร้างหอดูดาวและวิทยสถานในเวลาที่พระนารายณ์มหาราชยังทรงมีพระชนมายุอยู่ และคงจะทำนุบำรุงนักบวชลัทธิเจสูอิต แต่เมื่อไรพระนารายณ์มหาราชสวรรคต เมื่อนั้นประเทศฝรั่งเศสต้องเตรียมหาทุนส่งไปเกื้อกูลผู้สั่งสอนศาสนา เพราะไม่แลเห็นท่าทางว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่จะทรงทำนุบำรุงคริสตศาสนาเลย

เมื่อแปร์เดอะลาเชสได้ทราบความดังนี้ ท่านพูดว่าฉันเห็นจะไม่มีความเห็นตรงกันกับแปร์ตาชารต์กระมัง ฉันเรียนท่านว่าฉันพูดแต่ความจริงเท่านั้น ฉันไม่ทราบว่าแปร์ตาชารต์ได้มาพูดไว้อย่างไร และมีเหตุผลอะไรที่ชักชวนให้ท่านมาพูด แต่ฉันทราบว่ามิตรไมตรีที่ท่านมีกับวิชเยนทร์ผู้ซึ่งมีความมุ่งหมายแต่จะให้กุศโลบายของเขาสำเร็จผลและได้พูดจาล่อลวงแปร์ตาชารต์ไว้มากอาจทำให้ท่านหลงงมเหมือนคนจักษุบอด และให้คนสงสัยคำของท่านก็ได้ ตลอดเวลาอันน้อยที่แปร์ตาชารต์อยู่กับวิชเยนทร์ในประเทศไทยนั้น ท่านรู้จักประพฤติตัวให้วิชเยนทร์ไว้วางใจท่าน บางครั้งบางคราวท่านยังได้ช่วยทำหน้าที่เลขานุการแผนกฝรั่งเศสของวิชเยนทร์ และตัวฉันเองได้เคยเห็นจดหมายที่เป็นลายมือของแปร์ตาชารต์ลงนามว่า “เจ้าคณะเดอะเมเตลโลโปลิส” และต่ำลงไปหน่อยว่า “ตาชารต์” ท่านแปร์เดอะลาเชสได้ยินถ้อยคำดังนั้นแล้วหัวเราะ แต่สักครู่หนึ่งท่านทำหน้าถมึงทึงอันเป็นสีหน้าเคร่งที่ท่านไม่เปลี่ยนแต่นานๆ ครั้งหนึ่ง ท่านถามฉันต่อไปว่าผู้สั่งสอนศาสนาได้ทำกิจการสำเร็จผลเพียงไร

ฉันได้เล่าความที่ฉันได้กราบบังคมทูลพระกรุณาทราบใต้ละอองธุลีพระบาทแล้ว และเติมความว่าที่ทำให้คริสตศาสนาแผ่ไพศาลไปไม่ได้เร็วนั้น ต้องโทษจรรยาวัตรของพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีความอดทนและเคร่งครัดมาก พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ไม่เสพสุราเมรัย ฉันแต่ของที่คนใจบุญถวายเป็นวัน ๆ ไปเท่านั้น ของที่ได้มากเกินความจำเป็นก็บริจาคแก่คนจน ไม่เก็บไว้สำหรับวันรุ่งขึ้นเลย พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ไม่ออกจากวัดนอกจากเวลาไปบิณฑบาต และไม่วิงวอนให้คนตักบาตรอีกซ้ำไป เพียงแต่ถือบาตรไปยืนอยู่นิ่ง ๆ ก็ได้รับของเต็มบาตรเรว เพราะว่าคนไทยใจบุญนัก

เมื่อพระภิกษุสงฆ์เข้าไปในเมือง ก็ถือตาลปัตรไปด้วยสำหรับบังหน้า เพื่อกันไม่ให้แลเห็นผู้หญิง เว้นเมถุนธรรมโดยเคร่งครัด และไม่ละพรหมจรรย์นอกจากสึกออกมาแต่งงาน คนไทยไม่ฟังเทศน์หรือสวดมนต์กลางแจ้ง ไม่บูชายัญ มักไปฟังเทศน์ในวัด ตามปรกติใจความของพระธรรมเทศนานั้นแนะนำให้คนทำบุญ จึงทั่วพระราชอาณาจักรนั้นมีคนใจบุญมากมาย เพราะฉะนั้นเราจะไม่แลเห็นคนที่จนถึงต้องขออาหารมารับประทาน

ผู้หญิงไทยเป็นหญิงบริสุทธิ์ ผู้ชายไม่ดุร้าย และเด็กก็เชื่อฟังบิดา เพราะเหตุฉะนั้นไม่มีหวังเลยที่จะเปลี่ยนใจคนไทยให้มาเลื่อมใสคริสตศาสนาได้ นอกจากคนไทยมีปัญญาทึบเกินที่จะสอนให้เข้าใจความลึกลับของคริสตศาสนาแล้ว เขายังมีความเห็นว่าธรรมจรรยาของเขาเลิศกว่าของเรามาก เขาหานับถือผู้สั่งสอนศาสนาของเราไม่ เพราะว่าผู้สั่งสอนศาสนาไม่เคร่งครัดเท่าพระภิกษุสงฆ์

เมื่อผู้สั่งสอนศาสนาของเราแสดงคริสตธรรม คนไทยซึ่งเป็นคนว่านอนสอนง่าย นั่งฟังธรรมปริยายนั้นเหมือนฟังคนเล่านิทานให้เด็กฟัง ความพอใจฟังของเขานั้นไม่ว่าจะสอนศาสนาใดก็ชอบฟังทั้งนั้น ตามความคิดของคนไทยนั้นสวรรค์เปรียบเหมือนปราสาทอันเป็นที่สถิตของผู้ศักดิ์สิทธิ์ ปราสาทนั้นมีหลายทวารสำหรับคนต่างๆ เข้าไปรับใช้ผู้ศักดิ์สิทธิ์ตามตำแหน่งหน้าที่ที่กะไว้ คล้ายกันกับพระราชวังของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งมีทางเข้าหลายทาง ทางหนึ่งก็มีขุนนางประจำอยู่ตามตำแหน่งหน้าที่ ปรโลกก็เช่นเดียวกันเป็นวิมานที่สถิตของจาตุมหาราชิกา ศาสนาต่างๆ นั้นเปรียบเหมือนทวาร ซึ่งเป็นทางเข้าของความศรัทธาของมนุษย์ เพราะว่าทุกคนก็มุ่งจะไปเฝ้าให้ถึงพระองค์จาตุมหาราชิกาไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม

พระภิกษุสงฆ์ไม่เถียงเรืองศาสนากับผู้หนึ่งผู้ใดเลย เมื่อมีคนยกคริสตศาสนาหรือศาสนาใด ๆ มาพูดกับท่าน ท่านก็เห็นว่าดีทั้งนั้นถ้ามีคนปรักปรำพระพุทธศาสนาท่านก็ตอบอย่างเย็นใจว่า “เมื่ออาตมาภาพเห็นว่าศาสนาของท่านเป็นศาสนาที่ดี เหตุไรท่านจึงไม่เห็นว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดีเหมือนกันเล่า” ส่วนเรื่องการทรมานอดอาหารและสงบกามารมณ์ของเรานั้นอย่าไปพูดกับพระภิกษุสงฆ์เลย พระภิกษุสงฆ์เป็นตัวอย่างที่ดีอยู่แล้ว สังเกตดูภายนอกก็เห็นจะประพฤติดีกว่าผู้ที่มีศรัทธาแก่กล้าของเรามาก

ฉันเรียนท่านแปร์เดอะลาเชสต่อไปว่า นักบวชลัทธิเยสูอิตนั้นมีศัตรูในหมู่ผู้สั่งสอนศาสนาไม่น้อยเลย ผู้สั่งสอนศาสนาที่มีคุณวุฒิสามารถกว่าผู้อื่น ก็ชอบแต่จะขวนขวายให้พระเจ้าแผ่นดินโปรดปรานยอมรับใช้เพื่อจะให้พระเจ้าแผ่นดินทรงทำนุบำรุงคริสตศาสนา เหตุฉะนั้นจึงเป็นผู้ก่อความอิจฉาริษยาให้มีขึ้นในคนบางจำพวก ไม่เฉพาะแต่คนในทวีปยุโรปเท่านั้น คนในมัธยมประเทศก็ริษยาผู้สั่งสอนศาสนา

ตลอดเวลาที่ฉันอยู่ในประเทศไทย จีนหลายคนซึ่งเป็นคนมีปัญญาความรู้ได้บอกฉันว่า เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุไรคนที่นับถือศาสนาเดียวกันที่ได้เดินทางมาจากบ้านเกิดเมืองเดิมของตน อุตส่าห์ข้ามทะเลอันกว้างใหญ่มาจนถึงบุรพทิศแล้ว ยังมาพยายามชักชวนคนให้เลื่อมใสศาสนา ซึ่งผู้สั่งสอนศาสนาเองก็ยังมีความเห็นไม่ตรงกันเสียแล้ว บางคนประพฤติตนเป็นสุภาพเรียบร้อยและใจบุญ แต่บางคนประพฤติตนเป็นคนเลวก่อการวิวาทจนถูกเกลียดชังเป็นอันมาก จีนทุกคนที่ฉันพบพูดอย่างเดียวกันดังนี้ ความจริงก็เป็นเช่นนั้นและรู้กันทั่วมัธยมประเทศ ฉันจึงต้องเรียนให้แปร์เดอะลาเชสทราบไว้ และถ้ามีโอกาสเมื่อไรก็จะพิมพ์ข้อความนี้โฆษณาให้แพร่หลายไป

ฉันอยู่ที่กรุงปารีสหลายวัน ก็ไม่เห็นคนขนของที่เมืองเบรสต์มาถึง จึงมีความวิตกถึงหีบห่อสิ่งของที่ฉันได้มอบให้เขาขนมาส่ง เพื่อทราบข้อความแจ่มแจ้ง ฉันได้ไปที่ที่ทำงานของบริษัทขนส่งก็ได้ทราบความวิตกอยู่แล้ว เจ้าพนักงานศุลกากรที่ปอร์ตอร์ฟองได้ยึดสิ่งของเหล่านั้นไว้ทั้งสิ้น และไม่พอใจแต่เพียงที่จะริบสิ่งของของฉัน เพราะว่ามีผ้าทอแขกมัธยมประเทศ ซึ่งมีพระราชบัญญัติห้ามไม่ให้ใครนำเข้ามาในประเทศฝรั่งเศส เขายังปรับฉันอีก ๒๖๗ บาทฐานฝ่าฝืนพระราชกำหนดกฎหมาย

เมื่อได้รับความลำบากเช่นนี้ ฉันจึงไปหา ม. เดอะแบเรต์ซึ่งเจ้าพนักงานศุลกากรรู้จักดี ฉันได้เล่าเรื่องนี้ให้เขาทราบโดยตลอดว่า ฉันได้ทำไปโดยที่ไม่ทราบว่ามีกฎหมายห้ามจะหาว่าฉันฝ่าฝืนพระราชบัญญัติไม่ได้ เพราะว่าทำโดยความสัจสุจริต เวลามอบสิ่งของให้คนขนส่งไปกรุงปารีสก็ได้ยื่นบัญชีสินค้าแสดงว่าสิ่งนั้นมีราคาเท่าไรและยังได้แสดงว่ามีผ้าทอแขกมัธยมประเทศด้วย ถ้าฉันรู้ว่าเป็นของต้องห้ามก็คงปิดความนั้นไว้ เดอะแบเรต์ได้พูดปลอบใจฉัน บอกว่ารู้จักกันกับเจ้าพนักงานศุลกากรดี เป็นคนสุภาพเรียบร้อยทั้งนั้น แนะนำให้ฉันไปหาเจ้าพนักงานศุลกากรเวลาเขาประชุมกัน เดอะแบเรต์เชื่อว่าเจ้าพนักงานศุลกากรคงจะจัดการให้เป็นที่พอใจฉัน

ฉันทำตามคำแนะนำของเดอะแบเรต์แล้ว ไปหาพนักงานศุลกากร ฉันร้องทุกข์ว่าตัดสินปรับเงินฉันไม่ยุติธรรม และชี้แจงข้อความดังที่ฉันได้เล่าให้เดอะแบเรต์แล้ว ฉันย้ำคำว่าฉันได้ทำไปโดยความสัจสุจริต เพราะฉะนั้นขอให้เจ้าพนักงานศุลกากรมีคำสั่งให้คืนหีบสิ่งของเหล่านั้นแก่ฉัน เจ้าพนักงานศุลการได้ฟังถ้อยคำของฉันแล้ว เห็นพ้องกันว่าที่เจ้าพนักงานเมืองปอร์ตอร์ฟองยึดสิ่งของที่ไม่ต้องห้ามนั้นไม่สมเหตุสมผล ส่วนผ้าทอแขกมัธยมประเทศนั้นพระราชบัญญัติห้ามไม่ให้คืน เพราะว่ากฎหมายมีความชัดเจนว่าห้ามไม่ให้นำเข้ามาในประเทศ แต่ถ้าฉันจะนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และบรรดามิตรของฉันจะช่วยเหลืออุดหนุนคำร้องทุกข์ของฉันแล้ว พระเจ้าอยู่หัวคงจะพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้คืนผ้าทอนั้นแก่ฉัน

เมื่อเจ้าพนักงานศุลกากรแสดงความเห็นเช่นนี้แล้ว ฉันขอให้มีคำสั่งไปยังเจ้าพนักงานเมืองปอร์ตอร์ฟอง ให้นำหีบห่อสิ่งของเหล่านั้นมากรุงปารีส ฉันยอมใช้ไม่เฉพาะแต่ภาษีศุลกากร จะใช้ค่าขนส่งของนั้นด้วย ในทันใดนั้น ม. เดอะลูลี นายกที่ประชุม เจ้าพนักงานศุลกากร ได้สั่งให้เขียนจดหมายไปยังเจ้าพนักงานเมืองปอร์ตอร์ฟอง จดหมายนั้นท่านได้ลงนามต่อหน้าฉัน

ออกจากที่ประชุมนั้นแล้ว ฉันรีบไปเมืองแวร์ไซลล์ส์ เพื่อหา ม. กองตองส์ เล่าเรื่องขัดข้องนี้ให้ท่านฟัง และขอให้ท่านพูดกับ ม. เลอเปลเลติเอร์ อธิบดีพระคลังมหาสมบัติ บองตองส์ได้ช่วยเหลือเกื้อหนุนฉันตามที่ได้เคยช่วยเหลือมาแล้ว ท่านอธิบดีซึ่งชอบพอกันกับบองตองส์มาก พูดว่าท่านไม่มีความขัดข้องแต่จะต้องนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาก่อนมีท้องตราสั่งไป พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วยคำขอร้องของฉัน ท่านอธิบดีเพื่อทำให้ถูกใจบองตองส์ ได้ทำคำสั่งอ้างกระแสพระบรมราชโองการมอบให้ฉันนำไปให้เจ้าพนักงานศุลกากร คำสั่งนั้นมีข้อความว่า ให้คืนสิ่งของทั้งสิ้นให้แก่เชวาลิเอร์ เดอะฟอร์บัง โดยยกเว้นภาษีศุลกากร

ฉันไม่ได้พูดกับใครเลยว่า ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณในเรื่องนี้ แต่เมื่อได้ทราบว่าสิ่งของได้มาถึงกรุงปารีสฉันก็ไปหา ม. เดอะลูลีเล่าความให้ท่านฟัง ตัวท่านเองได้อุตส่าห์ไปที่กรมศุลกากร ดูให้เจ้าพนักงานมอบสิ่งของให้ฉัน ที่ได้ของคืนเรียบร้อยเช่นนี้ ฉันขอบคุณบองตองส์มาก ท่านเป็นมิตรที่ดีได้ช่วยเหลือเกื้อหนุนฉันทุกคราวที่ฉันได้ขอร้องให้ช่วย ดังที่ผู้อ่านคงทราบดีอยู่แล้ว และยังจะทราบอีกต่อไปในบันทึกความจำนี้

ในโอกาสนี้ฉันขอพูดเรื่องมิตรผู้นี้อีกครั้งหนึ่ง จะหาผู้อุปถัมภกที่ดีเช่นนี้ในพระราชสำนักย่อมหาได้ยากนัก เพราะว่ามีขุนนางน้อยคนที่ทำให้คนนับถือ ฉันจะชมความดีของทานผู้นี้ก็จะไม่สิ้นสุดลง ฉันไม่อยากพูด เพราะว่ายิ่งพูดถ้อยคำก็ยิ่งยาวออกไป แต่สิ่งที่จะนิ่งไว้ไม่ได้นั้น คือท่านผู้นี้เลิศกว่าคนทั้งหลายที่เกิดมาเป็นผู้มีตระกูลดีกว่าท่าน ที่ประเสริฐเลิศกว่าใคร ๆ นั้นเพราะว่าท่านมีความจงรักภักดีซื่อสัตย์สุจริตแด่พระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงไว้วางพระราชหฤทัยในตัวท่าน ท่านคงประพฤติตนให้สมกันกับที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยจนชีวิตหาไม่ ท่านจะขอพระราชทานสิ่งไร ก็พระราชทานทั้งนั้น ที่ท่านไม่เหมือนคนอื่นนั้น ท่านไม่เอาเปรียบพระมหากรุณาธิคุณ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีคนริษยาท่าน ท่านรู้จักทำแต่สิ่งที่ล้วนเป็นประโยชน์แก่หน้าที่ราชการ ไม่เคยก่อความรำคาญให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย

ฉันได้อยู่ที่กรุงปารีสจนสิ้นปีนี้ เมื่อมาถึงที่นี่ได้สองสามเดือน เราได้ทราบว่าพระเพทราชา ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง ได้เข้าปกครองประเทศไทย ถึงแม้ว่าฉันไม่ได้เห็นแก่ตาก็จริงอยู่ แต่ถ้าพิเคราะห์ดูรายงานต่างๆ แล้ว จะเห็นได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นบ่งว่าคำพูดของฉันที่เกี่ยวกับพระราชสัมพันธไมตรีระหว่างพระเจ้าอยู่หัวของเราและพระนารายณ์มหาราช กับเรื่องที่จัดส่งกองทหารฝรั่งเศสไปประจำป้อมปราการที่เมืองบางกอกนั้นไม่ผิด ฉันขอเล่าให้ผู้อ่านทราบพอเป็นสังเขปว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนี้สำเร็จลงได้อย่างไร และเหตุใดชาวฝรั่งเศสต้องละทิ้งที่มั่น ซึ่งได้รับมอบหมายให้คุ้มครอง

นานมาแล้วมีคนไทยที่อันตรายมากแต่ยังซ่อนตัวอยู่ได้คิดประทุษร้ายประเทศไทยอยู่เนือง ๆ ครั้นราวกลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๒๓๑ คนเหล่านี้ได้ก่อการจลาจลใหญ่ขึ้น การกบฏครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงภาวะของประเทศไทยและพระราชวงศ์ ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยได้เสียเลือดเนื้อไปเป็นจำนวนมาก การกบฏได้ทำลายรัฐประศาสโนบายที่จะทำพระราชสัมพันธไมตรีกับประเทศฝรั่งเศสลงทันที

ฉันได้บันทึกไว้ข้างบนนี้แล้วว่า ถึงแม้ว่าประเทศไทยสงบเรียบร้อยดีอยู่ก็จริง แต่ถ้าดูลึกซึ้งลงไปแล้ว มีขุนนางบางคนที่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เวลาฉันอยู่ในประเทศไทย ฉันได้สังเกตเห็นอยู่ในใจแล้ว ยิ่งเรื่อง รูอัง ชาวฝรั่งเศส ซึ่งถูกจองจำ เกิดขึ้น ก็ยิ่งทำให้ฉันเชื่อว่าคงจะมีกบฏแน่ ผู้อ่านคงจะทราบแล้วว่าขุนนางไทยที่ต้องการให้วิชเยนทร์ถูกลงพระราชอาญานั้น ได้คิดว่าตนถูกหลอกลวง เมื่อเห็นฉันพูดช่วยให้วิชเยนทร์พ้นคำกล่าวหา ในบรรดาขุนนางที่เป็นผู้ก่อการที่สำคัญผู้หนึ่งนั้น คือ พระเพทราชา ท่านผู้นี้เป็นคนที่ทำอะไรทำจริง นับว่าเป็นผู้กล้าหาญผู้หนึ่งในจำพวกขุนนางเหล่านั้น มีคนนับถือว่ามีกิริยามารยาทดี จึงได้กล้าคิดจัดการเพื่อสะบัดแอกและขึ้นครองราชย์เอง

ฉันรู้จักท่านผู้นี้ดี ถึงแม้ว่าท่านมีอายุกลางคนแล้ว ก็ยังมีกำลังแข็งแรงว่องไวเหมือนเมื่อยังหนุ่มอยู่ มีสติปัญญารอบคอบและประพฤติตนถูกกาลเทศะ ท่านได้พระภิกษุสงฆ์เป็นพรรคพวกแล้ว ก็เกลี้ยกล่อมขุนนางอื่นโดยเยินยอความมักใหญ่ใฝ่สูงของเขา สัญญาว่าจะให้มีหน้าที่ในการปกครองบ้านเมืองด้วย ท่านไม่ได้เกลี้ยกล่อมเฉพาะแต่ขุนนางเท่านั้น ยังได้เอาใจราษฎรด้วย ราษฎรที่ชอบของใหม่ ๆ แปลก ๆ ก็หวังใจว่า เมื่อได้อยู่ใต้แอกผู้อื่นแล้ว การปกครองคงจะไม่เข้มงวดนัก

การสมรู้ร่วมคิดก่อการกบฏนี้ วิชเยนทร์ก็ทราบลาดเลาอยู่บ้าง เขาเป็นคน ๆ เดียวที่จะตัดต้นตอได้ แต่โดยเหตุที่เขาเข้าใจผิดไปว่า การจับพระเพทราชาและกล่าวหาว่ามีความผิดนั้น ต้องมีหลักฐานที่ยืนยันว่า พระเพทราชาเป็นผู้พยายามจะประทุษร้ายแผ่นดินจริงๆ ประการหนึ่ง หรืออีกประการหนึ่งเขาคิดว่า เขามีอำนาจพอที่จะปราบปรามพวกกบฏได้ง่าย ๆ เขาจึงปล่อยให้ผู้สมรู้ร่วมคิดทําการจนเกินเลยไปมากเสียแล้ว เมื่อรู้ตัวเข้าก็ปราบไม่ได้ เพื่อแก้ไขความบกพร่องเขาได้ขอร้องให้กองทหารฝรั่งเศสที่เมืองบางกอกมาช่วย แต่ทหารเหล่านั้นไม่ทราบความจริงว่าเหตุไรจึงเกิดมีการจลาจล และไม่ทราบว่าพระราชสำนักได้ย้ายไปอยู่ที่ไหน ทหารเหล่านั้นเกรงว่าถ้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้แล้ว อาจมีผลร้ายกระทบกระเทือนถึงชาติฝรั่งเศส จึงตั้งมั่นอยู่ในป้อมปราการ ไม่อินังที่จะอ่านจดหมายและฟังถ้อยคําของผู้เดินหนังสือที่วิชเยนทร์ส่งไปอ้อนวอนให้กองทหารฝรั่งเศสยกไปช่วย

เมื่อฉันได้ทราบความนี้โดยถี่ถ้วนแล้ว ฉันมีความละอายใจเป็นอันมากที่พวกเราชาวฝรั่งเศสปฏิบัติการเช่นนั้น ฉันจึงอดใจนิ่งไว้ไม่ได้ที่จะแสดงความเห็นแก่ ม. เซญเล ซึ่งมาซักถามเรื่องนี้แก่ฉัน ว่าถ้าฉันยังอยู่ที่เมืองบางกอกแล้ว ฉันไม่ลังเลที่จะรีบไปช่วยวิชเยนทร์เลย ถึงแม้ว่าฉันเกลียดชังเขาที่ได้พยายามประทุษร้ายฉัน ก็ไม่ยับยั้งที่จะไปช่วยให้จนได้ ถ้าพูดตามความที่เป็นจริงแล้ว ฉันเชื่อมั่นว่าถ้านำทหารฝรั่งเศสสักห้าสิบคนขึ้นไปเมืองละโว้แล้ว ฉันคงสามารถตีฝ่าคนเหล่านั้นเข้าไปได้ พวกกบฏคงไม่ต่อสู้ ฉันจะปราบปรามการจลาจลได้ทันที และนำความสงบสู่พระราชสำนักนั้น

เมื่อวิชเยนทร์ขอความช่วยเหลือกองทหารฝรั่งเศสไม่เป็นผลสำเร็จ และทั้งประเทศเห็นชอบด้วยแผนก่อการของพระเพทราชาแล้ว พระเพทราชาก็ประกาศตนเป็นหัวหน้าราษฎรยึดพระบรมมหาราชวัง แล้วล้อมวงไม่ให้พระนารายณ์มหาราชเสด็จออกมาข้างนอกได้ เมื่อวิชเยนทร์ได้ทราบข่าวนี้ เขาตั้งใจไว้ว่าจะรีบเข้าไปเฝ้า ยอมตายในการรักษาพระองค์พระเจ้าแผ่นดิน แต่ยังไม่ทันจะเข้าไปถึงพระราชวัง ก็ถูกจับและจองจำด้วยโซ่ตรวน

เพื่อให้ราษฎรเกลียดชังการแย่งราชสมบัติน้อยลง พระเพทราชาซึ่งทราบดีอยู่แล้วว่า พระอาการประชวรของพระนารายณ์มหาราชทรุดลงทุกวัน คงจะมีพระชนมายุอยู่ได้ไม่นาน ได้ปฏิบัติราชการแผ่นดินไม่เฉพาะแต่เพียงอ้างกระแสพระบรมราชโองการของพระเจ้าแผ่นดิน ที่พวกกบฏได้ล้อมวังไว้แล้วเท่านั้น ยังทำตัวว่าเป็นแต่ขุนนางผู้ใหญ่ที่บัญชาการได้แต่ในพระบรมนามาภิไธยของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งทรงราชย์อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว

แต่เหตุการณ์ภายหน้าทำให้ชื่อเสียงของพระเพทราชาไม่สู้ดีนัก เมื่อทบวงการต่างๆ อยู่ในบังคับบัญชาของท่านแล้ว ท่านไม่ละเลยที่จะหาความสงบมาสู่แผ่นดิน และล้างทรยศโดยขับไล่ชาวฝรั่งเศสไปจากพระราชอาณาจักร พระเพทราชากลัวแต่ชาวฝรั่งเศสเท่านั้น ความจริงชาวฝรั่งพวกเดียวที่พึงขัดขวางความสุขของท่านได้ ท่านพึ่งได้ทราบภายหลังว่าที่กลัวชาวฝรั่งเศสนั้นเป็นการคิดผิดไป ด้วยว่ากองทหารฝรั่งเศสนั้นมีกำลังน้อย และแทบไม่มีส่วนในการก่อสร้างป้อมปราการของวิชเยนทร์เลย ทั้งกองทหารฝรั่งเศสก็ไม่ได้ทำอะไรเมื่อวิชเยนทร์ขอร้องให้ยกไปช่วย วิชเยนทร์มีอายุอยู่เพียงถึงวันที่พระเพทราชาขับไล่ชาวฝรั่งเศสไปเท่านั้น ต่อนั้นมาพระเพทราชาได้ประหารชีวิตศัตรูที่เกลียดชังท่านเป็นอันมาก และริบทรัพย์สมบัติเสียทั้งสิ้นด้วย

เราไม่ทราบว่าวิชเยนทร์ได้ทนทุกข์เวทนาเพียงไรก่อนตาย ผู้ซึ่งอยู่ในประเทศไทยในเวลาเกิดการกบฏได้เล่าว่า วิชเยนทร์ได้ทนความทรมานสมกันกับที่เป็นคริสตศาสนิกชนแท้ แสดงความกล้าหาญดุจวีรบุรุษทีเดียว ถึงแม้ว่าคนๆ นี้ได้พยายามประทุษร้ายฉันมากเพียงไรก็ตาม ฉันขอปฏิญญาโดยความสัจสุจริตใจว่า ฉันเชื่อคำบอกเล่าของคนเหล่านั้นทุกถ้อยกระทงความ วิชเยนทร์เป็นคนมีใจกว้างขวาง สุภาพและฉลาด เป็นคนช่างคิดและสามารถคิดแผนการใหญ่หลวงได้ ด้วยว่ามีสติปัญญาเฉียบแหลมนัก คุณความดีของเขานั้นอาจไปได้ไกลทีเดียวถ้าไม่มัวหมองมีมลทิน เช่นความมักใหญ่ใฝ่สูงที่ไม่มีวงจำกัดไว้ ความโลภที่ไม่รู้จักมีสิ้นสุด จนถึงน่าเกลียดอยู่เนือง ๆ และความริษยาแม้คนต่ำต้อย ทั้งนี้ทำให้เขาเป็นคนเข้มงวด ทารุณดุร้าย ปราศจากเมตตากรุณา เขาเป็นคนที่ไม่ซื่อตรงต่อผู้ใดและสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่คนเราชังที่สุด

พระนารายณ์มหาราชมีพระชนมายุอยู่ได้ไม่นาน ได้สวรรคตสองสามวันภายหลังวิชเยนทร์ถูกประหารชีวิต อเนกนิกรพร้อมใจกันถวายราชสมบัติแด่พระเพทราชา ในที่สุดเพื่อฉลองพระเกษมสุขสำราญของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ทหารฝรั่งเศสที่ต้องทนทุกข์ทรมานถูกล้อมอยู่ในป้อมปราการหลายเดือน ได้ถูกบังคับให้ทิ้งเมืองบางกอก และส่งกลับไปประเทศฝรั่งเศส เท่าที่เหลือมาดูน่าทุเรศเพียงไรนั้นเราได้เห็นดีอยู่แก่ตาแล้ว ความสำเร็จของรัฐประศาสโนบายที่ส่งกองทหารฝรั่งเศสออกไปประเทศไทยโดยที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบ ได้มีแก่ชาติของเราด้วยประการฉะนี้ รัฐประศาสโนบายนั้นทำความเสียหายแก่ชาติมาก และไม่มีสารประโยชน์แก่ประเทศไทยเลย พระเจ้าอยู่หัวของเราทรงเห็นชอบด้วย ก็เพราะว่ามีคนสอพลอวาดรูปที่งามถวาย แต่แท้จริงก็เหลวไหลหาแก่นสารมิได้เลย

ต่อมาไม่ช้ากบฏได้เกิดขึ้นในประเทศอังกษ พระเจ้าเจมส์ที่ ๒ ได้หนีไปประเทศฝรั่งเศส และพระเจ้าวิลเลียมแห่งประเทศวิลันดาได้ขึ้นครองราชย์ พระเจ้าอยู่หัวของเราจึงได้ประกาศสงครามแก่ประเทศอังกฤษและสเปน

ในการสงครามคราวนี้ ฉันได้สมัครเข้ารับราชการทหารเรือ ได้คุมเรือรบไปประจัญบานกับศัตรู เลือดนองทั้งสองฝ่าย ฉันถูกจับไปเป็นเชลยต้องถูกคุมขังอยู่ในประเทศอังกฤษ แต่ภายหลังได้หนีกลับมาได้ และได้ไปรบอีกหลายครั้ง

เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๘ ฉันกลับไปเมืองทูลอง ได้เป็นผู้บังคับการเรือรบลำหนึ่งชื่อ “มาร์คิส์” และรับคำสั่งให้ควบคุมเรือค้าขายไปทางทิศตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้ยิงปืนต่อสู้กับเรือค้าขายใหญ่ลำหนึ่ง ซึ่งชักธงวิลันดา ฉันนำเรือรบเข้าเทียบเรือค้าขายนั้น จับเรือลำนั้นได้และลากไปไว้ที่เกาะเสฟาโลนี ให้ทหารคุมเรือนั้นไว้ เรือลำนี้ถึงแม้ว่าเป็นเรือค้าขายแต่มีปืนใหญ่ ๖๘ กระบอก และกะลาสี ๒๖๐ คน มาจากเมืองสมีรนา จะไปเมืองอัมสเตอร์ดัม และบรรทุกสินค้ามาเป็นราคาห้าแสนหกหมื่นเหรียญพิอัสตรา ไม่นับสิ่งของต้องห้ามอีกเป็นอันมาก ฉันจะลากเรือลำนี้ไปจนถึงประเทศฝรั่งเศสไม่ได้ เพราะว่าเสากระโดงและหางเสือถูกกระสุนปืนปรักพังลงทั้งสิ้น

เมื่อฉันไปถึงเกาะเสฟาโลนี ก็หวนระลึกถึงวิชเยนทร์ นานมาแล้วฉันได้ลืมความทุกข์ที่ฉันได้รับจากคน ๆ นี้ เคราะห์กรรมของเขานั้นทำให้คิดถึงมิตรไมตรีเดิมที่เขาได้มีแก่ฉัน ความจริงฉันไม่เคยเกลียดชังเขาเสมอเลย ตั้งแต่เขาละโลกนี้ไปแล้ว ฉันก็ตั้งใจจะเป็นเพื่อนที่ดีกับครอบครัวของเขา

ฉันสืบว่าเขามีครอบครัวอยู่ที่เกาะนี้หรือไม่ ก็ได้ทราบว่ามีน้องชายอยู่คนหนึ่งอยู่ที่หมู่บ้านคุสโตท ฉันจึงไปหาเขาในวันรุ่งขึ้น และบอกว่าได้ทราบจากพี่ชายของเขาว่า ได้มอบเงินเป็นจำนวนมากมากับแปร์ตาชารต์ในคราวที่นักบวชรูปนี้ออกไปประเทศฝรั่งเศสพร้อมกับราชทูตไทย เงินที่วิชเยนทร์ส่งไปฝากเก็บไว้ที่กรุงปารีสนั้น เป็นพยานว่าข้อความในบันทึกของฉันไม่ผิด ที่วิชเยนทร์ขอให้ประเทศฝรั่งเศสส่งกองทหารไปประจำอยู่ที่เมืองบางกอกนั้น ก็มีความประสงค์ที่จะพึ่งบารมีประเทศของเรา และถ้าฐานะของเขาในประเทศไทยไม่ดีแล้ว ก็คิดไว้ว่าจะไปตั้งตัวอยู่ในประเทศฝรั่งเศส

น้องชายวิชเยนทร์ได้ทราบความนี้ ก็ตกลงใจจะไปประเทศฝรั่งเศส ฉันรับพาไปในเรือของฉันด้วย และได้แสดงอัชฌาสัยไมตรีเป็นอย่างดีกับคน ๆ นี้ตลอดเวลาเดินทาง เขาได้ไปถึงกรุงปารีสและรับเงินไปเป็นจำนวนมากมาย แต่โชคชะตาของฉันได้บันดาลไว้ว่าฉันจะไม่ได้รับสนองคุณจากครอบครัวนี้เลย น้องชายวิชเยนทร์คนนี้ได้ออกจากกรุงปารีสกลับไปบ้านเกิดเมืองเดิมของเขา โดยที่ไม่เพียงลั่นวาจาขอบใจฉันสักคำเดียวเลย ยังซ้ำก่อนเดินทางไปก็ไม่มาหา

----------------------------

บันทึกความจำของออกพระศักดิสงครามนี้พิมพ์ขึ้นเป็นสองเล่มที่เมืองอัมสเตอร์ดัม เมื่อ พ.ศ. ๒๒๗๒ คือ ๔๔ ปี ภายหลังที่เขาได้เข้ามารับราชการในประเทศไทย

----------------------------

  1. ๑. การแทงดาบกันในครั้งนั้นมีกฎหมายฝรั่งเศสห้าม ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนและคดีถึงศาล ผู้นั้นมีความผิดถึงประหารชีวิต

  2. ๒. ศัตรูนั้นหมายความถึงชาวสเปน ในเวลานั้นฝรั่งเศสกับสเปนทำสงครามกัน

  3. ๓. ไพ่ชนิดนี้มี ๓๒ ใบ เล่น ๒, ๓ หรือ ๔ ขาก็ได้

  4. ๔. ต้นฉบับว่าเป็นเงิน ๒๐ เอคูล์ ๕๐ เอคูส์เท่ากับ ๑ ชั่งหรือ ๘๐ บาท เหตุฉะนั้น ๒๐ เอคูส์จึงเท่ากันกับ ๓๒ บาท

  5. ๕. ฮูเกอนอต Huguenot (จากภาษาเยอรมัน eidgenossen แปลว่าพวกร่วมสบถสาบานกัน) เป็นพวกที่ถือลัทธิของ จัง คัลวัง ผู้สถาปนาลัทธิศาสนาคัลวินิสต์ พวกฝรั่งเศสเรียกผู้นับถือลัทธินี้ว่า เป็นปรปักษ์กับลัทธิเจสูอิต เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๑๑๕ พวกฮูเกอนอตทั้งชั้นผู้ดีและไพร่ได้ถูกฆ่าโดยมากตามพระราชเสาวนีย์ของพระนางคาแทรินเดอะเมดิสิล์ ที่รอดตายก็หนีออกไปจากประเทศฝรั่งเศส ภายหลังในรัชกาลของพระเจ้าหลุยสที่ ๑๔ ผู้ที่นิยมลัทธินี้ก็ถูกริบทรัพย์

  6. ๖. เงินปิสโตล Pistole นี้มีราคาต่างๆ กัน บางครั้งมีราคาเท่ากันกับสิบฟรังค์ของเงินตราฝรั่งเศส เหตุฉะนั้นสองร้อยปิสโตลก็เท่ากับสองพันฟรังค์ เป็นเงินไทยราว ๑๐๖๖ บาท

  7. ๗. ขุนนางไทย ๒ คนนี้คือขุนพิชัยวาทิต และ ขุนพิชิตไมตรี คนหนึ่งเป็นขุนนางผู้น้อยในกรมท่า อีกคนหนึ่งเป็นขุนนางในกรมอาสาจาม โดยสารเรือฝรั่งเศสออกไปทวีปยุโรปเมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๖ ถือศุภอักษรของเสนาบดีกรุงศรีอยุธยาออกไปสืบข่าวคณะทูตไทย คือ ออกพระพิพัธสงคราม ราชทูต ออกหลวงศรีวิสารสุนทร อุปทูต และออกขุนนครวิชัย ตรีทูต ซึ่งโดยสารเรือฝรั่งเศสออกไปเมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๔ และเรือลำนั่นได้ไปแตกที่เกาะมาดากัสคาร์ ม. วาแชร์ ผู้สั่งสอนศาสนาในประเทศไทยนั้นในจดหมายเหตุรายวันของท่านเจ้าวัดเดอะชัวสีเรียกว่า ม. วาเชร์

  8. ๘. ในต้นบันทึกใช้คำว่า Indes อังด์ส์ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า India อินเดีย แต่ภาษาไทยเคยใช้ว่ามัธยมประเทศ ฉันยังไม่เห็นใครได้คิดคำขึ้นใหม่ จึงคงใช้คำมัธยมประเทศตลอดไป.

  9. ๙. คองสตังส์ผู้นี้เป็นชาวโยนกประเทศ นามเดิม เยรากี แล้วเปลี่ยนเป็น คอนสแตนน์ โฟลคอน ได้เข้ารับราชการไทย มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ประวัติของคน ๆ นี้มีพิสดารอยู่ในบันทึกความจำของออกพระศักดิสงครามแล้ว

  10. ๑๐. ดูหมายเหตุเทียบแผนที่ราชทูตเข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน์ ที่พิมพ์อยู่ท้ายบันทึกความจำนี้

  11. ๑๑. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖ ว่า เจ้าพระยาโกษาฯ (ขุนเหล็ก) ให้วิชเยนทร์เข้ารับราชการในกรมพระคลังสินค้า และรับราชการอยู่ในบังคับบัญชาของเจ้าพระยาโกษา ฯ จนถึง พ.ศ. ๒๒๒๖ ซึ่งเป็นปีที่เจ้าพระยาโกษาฯ (ขุนเหล็ก) ถึงอสัญกรรม พระนารายณ์มหาราชจะทรงตั้งให้วิชเยนทร์เป็นที่โกษาธิบดี แต่วิชเยนทร์ไม่รับ จึงทรงตั้งขุนนางเชื้อแขกเป็นที่โกษาธิบดี แต่การต่างประเทศอยู่กับวิชเยนทร์

  12. ๑๒. พระราชพิธีไล่เรือนี้ ต่อมาในรัชกาลพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เรียกว่าพระราชพิธีไล่น้ำ

  13. ๑๓. แสดงให้เห็นว่าคนในสมัยนั้นมีความรู้ภูมิศาสตร์น้อยเพียงไร

  14. ๑๔. ตอนต้นออกพระศักดิสงครามหมายความถึงพระพิธีไล่เรือ หรือไล่น้ำ ที่มีในเดือนอ้าย แต่ตอนท้ายกลับกลายไปเป็นพระราชพิธีอัสยุชย์แข่งเรือ ที่มีในเดือนสิบเอ็ด ในจดหมายเหตุรายวันของท่านเจ้าวัดเดอะชัวสี ๆ ก็ปะปนพระราชพิธีสองอย่างนี้เช่นเดียวกัน ท่านเจ้าวัดเดอะชัวสีเรียกว่าพระราชพิธีตัดน้ำ ในบันทึกความจำนี้ได้ความชัดว่าคำที่ว่า “ตัดน้ำ” นั้น ก็คือเอาพระแสงดาบฟันหรือตัดน้ำนั่นเอง

  15. ๑๕. ท่านเจ้าวัดเดอะชัวสี ได้บรรยายความสวยงามของวัดวาอาราม และพระพุทธรูปไว้ในจดหมายเหตุรายวันจริง ได้กล่าวว่าพระพุทธรูปนั้นหล่อด้วยทองคำแท้ เพราะว่าท่านเจ้าวัดเดอะชัวสีได้เอามือไปลูบดูใกล้ๆ อันเป็นความตรงกันข้ามกับคำพูดของออกพระศักดิสงคราม

  16. ๑๖. เงินตราฝรั่งเศสนั้นมีอัตราดังนี้ ๒๐ โซล เท่ากับ ๑ ลิฟร (ซึ่งต่อมาภายหลังเรียกว่าแฟรงค์) ๘ ลิฟรส์ เท่ากับ ๑ เอคูส์ ตามความในจดหมายเหตุรายวันของท่านเจ้าวัดเดอะชัวสี บันทึกความจำนี้และหนังสือเรื่องประเทศไทยของราชทูตฝรั่งเศส เดอะ ลา ลูแบร์ ก็มีความต้องกันว่า ๕๐ เอคูส์เท่ากับ ๑ ชั่ง เพราะฉะนั้น ฉันจึงจดเป็นเงินไทยลงในบันทึกความจำนี้

  17. ๑๗. ต้นฉบับว่ายาวหนึ่งปิเอท์ (Pied) ซึ่งเท่ากันกับ ๓๓ เซินติเมตร หนึ่งคืบเท่ากันกับ ๕๒ เซนติเมตร ฉันจึงประมาณว่าคงยาว ๑ คืบ ๔ นิ้ว

  18. ๑๘. ต้นฉบับว่ากว้างหนึ่งปุสครึ่ง (Pouce) ปุสหนึ่งเท่ากันกับ ๐.๐๒๕๕ มิลิเมตร เหตุฉะนั้นจึงคำนวนว่าคงกว้างราวหนึ่งนิ้วครึ่ง

  19. ๑๙. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า พวกแขกมักกะสันเป็นกบฏขึ้นในกรุงฯ เกือบจะแย่งป้อมวิไชยประสิทธิ ซึ่งเชวาลิเอร์เดอะฟอร์บังนายทหารฝรั่งเศสอยู่รักษาเอาไปได้

  20. ๒๐. ต้นฉบับนี้เขียนว่า Baloan บาโลอัง หรือ บาหลวง ฉันคิดว่าเขชียนผิด แต่ไปเห็นหมายเหตุในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖ ว่าคำว่า บาดหลวง นั้น เดิมเรียกว่า บาหลวง หมายความว่าเป็นพระที่พระเจ้าแผ่นดินทรงอุปถัมภ์ บันทึกความจำนี้อธิบายว่า บาหลวงนั้นก็คือผู้สั่งสอนศาสนาคาทอลิกนั่นเอง Missionaire çatholique

  21. ๒๑. คนในชมพูทวีป (คืออินเดีย และเรียกต่อมาว่ามัธยมประเทศ) นั้นแบ่งออกเป็น ๔ จำพวกหรือวรรณะ คือ ๑. กษัตริย์ มีธุระทางรักษาบ้านเมือง ๒. พราหมณ์ จำพวกเล่าเรียนมีธุระทางสั่งฝึกสอนและทำพิธี ๓. แพศย์ จำพวกพลเรือนมีธุระทางทำนาค้าขาย และ ๔. ศูทร จำพวกคนงานมีธุระทางรับจ้างทำการทำของ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายจำพวกแต่เป็นจำพวกที่เลวกว่าสี่จำพวกนี้ เช่นพราหมณีสมสู่กับศูทรมีบุตรออกมา เรียกว่า จัณฑาล คนเลี้ยงแกะในที่นี้คงนับเข้าจำพวกแพศย์ และคนทำเกือกก็อยู่ในจำพวกศูทร ปารายันนั้นเป็นภาษาทมิฬ ฝรั่งใช้คำว่า Paria

  22. ๒๒. ขุนนางไทยที่ว่าเป็นราชทูตนั้น คือ ออกพระวิสุทธสุนทร (ปาน) บุตรเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งเป็นพระนมของพระนารายณ์มหาราช และเป็นน้องเจ้าพระยาโกสาฯ (ขุนเหล็ก) ภายหลังได้เป็นที่เจ้าพระยาโกษาเหมือนก้น จึงเรียกราชทูตคนนี้ว่า “โกษาปาน”

  23. ๒๓. ต้นฉบับว่าหนึ่ง toise ๑ ตัวส เท่ากับ ๑.๙๔๙ มิลลิเมตร จึงประมาณว่า เกือบ ๔ ศอก

  24. ๒๔. ตรวจดูจดหมายเหตุรายวันของท่านเจ้าวัดเดอะชัวสี และหนังสือเรื่องประเทศไทยของ เดอะ ลา ลูแบร์ กับบันทึกความจำนี้ คงได้ความว่าเงินตราในครั้งนั้นมีอัตราดังนี้ ๒ กล่ำ = ๑ ไพ, ๒ สองไพ, ๔ ไพ = ๑ เฟื้อง, ๒ เฟื้อง = ๑ มายอง (สลึง) ๔ มายอง = ๑ บาท ๔ บาท = ๑ ตำลึง ๒๐ ตำลึง = ๑ ชั่ง ๕๐ ชั่ง = ๑ หาบ ส่วนเบี้ยนั้นท่านเจ้าวัดเดอะชัวสีจดไว้ว่า ๘๐๐ เบี้ยเท่ากับ ๑ เฟื้อง แต่เห็นจะจดไว้ผิด คงหมายความว่า ๑๐๐ เบี้ยเท่ากับ ๑ เฟื้อง ซึ่งผิดกันกับที่พระราชศักดิสงครามจดไว้ ๒๐ เบี้ย ส่วนน้ำหนักนั้น ๑ กล่ำหนัก ๑๒ เมล็ดข้าว และ ๗๖๘ เมล็ดข้าวหนัก ๑ บาท ทั้งสามคนว่า ๑ ชั่งเท่ากับ ๕๐ เอคูส์ และเดอะ ลาลูแบร์ว่า ๑ บาทเท่ากันกับ ๓๗ โซลส์ครึ่งและหนักครึ่งเอคูส์ แต่ออกพระศักดิสงครามจดไว้ว่า ๑ บาทเท่ากันกับ ๔๐ โซลส์

  25. ๒๕. ถ้าอ่านจดหมายเหตุรายวันของท่านเจ้าวัดเดอะชัวสีแล้ว จะเห็นได้ว่าเมื่อพระนารายณ์มหาราชทรงทราบข้อความในคำแปลพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยสที่ ๑๔ แล้ว รับสั่งว่าทรงเข้าพระราชหฤทัยดีว่าพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสมีพระราชประสงค์ที่จะให้พระองค์ทรงเข้ารีตนับถือคริสตศาสนา ราชทูตได้เข้าเฝ้าหลายครั้งจริง แต่ทานเจ้าวัดเดอะชัวสีไม่เล่าว่าได้ตกลงกันอย่างไร คงมีแต่หนังสือสัญญาให้สิทธิคริสตศาสนิกชนบางอย่างเท่านั้น

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ