นิราศเมืองหลวงพระบาง
๏ นพพระไตรรัตน์ทั้ง | เทพประทาน โลกย์เอย |
อีกเอกพระองค์ภาน | ภพหล้า |
ครูกลอนอักษรสาร | สองชนก |
เชิญช่วยเผยพจน์ข้า | คิดข้อ คำแถลง |
๏ ดำเนินความตามนิราศคลาศสมร | |
จดหมายเหตุประเทศถิ่นถวิลวอน | โดยสุนทรที่ใจอาลัยนาง |
ข้าพเจ้าผู้แถลงแจ้งหน้าที่ | ออเดอรีเพิ่มนิพนธ์กระมลหมาง |
เป็นสองความยามไปจดไว้พลาง | เมื่อแรมร้างนิราศพรากจากเนื้อเย็น |
ให้เสียวเศร้าเจ่าจิตคิดวิตก | อยู่เต็มอกอัดใจใครจะเห็น |
จะนิ่งอดสะกดใจมิให้เป็น | ก็สุดเร้นรักซ่อนไปดอนแดน ๚ะ |
๏ ขอกล่าวความตามนุสนธิ์แต่ต้นเหตุ | ฮ่อเข้าเขตขันศึกทำฮึกแหน |
ตีสบแอตเชียงฆ้อต่อดินแดน | ที่จดแคว้นแขวงประเทศเขตอานัม |
อยู่ทิศทางหว่างบุรพาอุตรามุข | มันบุกรุกรานร้าวก้าวถลำ |
เที่ยวล้างไล่ผู้ไทยขาวลาวทรงดำ | โจรกรรมแย่งกินในถิ่นลาว |
จึ่งโปรดให้เจ้าหมื่นไวยวรนารถ[๑] | ไปพิฆาตข้าศึกที่ฮึกหาว |
ปราบศัตรูหมู่ทมิฬในถิ่นลาว | ตามเรื่องราวรายฮ่อที่ต่อตี |
อันตัวเราเล่าพระคุณการุณย์เลี้ยง | โดยธรรมเที่ยงชูหน้าเป็นราศี |
ควรเอากายหมายกตเวที | โดยภักดีอุดมจิตตามติดไป ๚ะ |
๏ ดำเนินความตามจำนวนกระบวนทัพ | โดยตำรับยุโรปงามตามสมัย |
เยเนอร์ราลแม่ทัพรับยศไทย | พระนายไวยวรฤทธิ์สนิทองค์ |
ได้ออกมาว่าการทหารหน้า | ท่านปรีชาเชิงอาวุธสุดประสงค์ |
ทั้งกล้าหาญการกลรณรงค์ | จึงได้ทรงโปรดให้ปราบภัยพาล |
มีที่สองรองมาพระพาหล[๒] | เป็นสองคนกับจ่ายวด[๓]ตรวจทหาร |
ทั้งบุ๋นบู๊รู้กลเชิงรณราญ | พระราชทานเมเยอร์ยศกำหนดมา |
ตั้งนายทัพนายกองเป็นสองภาพ | เรียกสตาฟกอมปนีมีหัวหน้า |
กองสตาฟแอดยุแตนแกว่นกิจจา | รับบัญชาชี้การในงานพล |
ตำแหน่งนี้ที่หลวงหัตถ์สาร[๔] | ผู้จัดการกะรับไม่สับสน |
เออเดอรีที่รับสารการสกล | นามนิพนธ์เพิ่มรับกำกับไป |
การรักษาหิรัญท่านแม่ทัพ | นายวันรับตามจำนงไม่หลงใหล |
เป็นเปมาศเดอร์ดังชาวคลังใน | ด้วยเข้าใจจัดจำหน่ายจ่ายหิรัญ |
กวศเตอร์มาศเตอร์นั้นนายสอน | รู้ผันผ่อนกะกิจไม่ผิดผัน |
การเสบียงเลี้ยงทัพนับอนันต์ | เบิกหิรัญซื้อใส่ไปให้พอ |
พนักงานเรียงรายจดหมายเหตุ | เป็นนักเทศน์ที่ปราชญ์ฉลาดปร๋อ |
รู้ลิขิตอังกฤษไทยเข้าใจพอ | จึงสมส่อแจ่ม[๕]กวีที่เฉียบแลน |
หมอเทียนฮี้[๖]นี้รักษาขายุรป | รู้เจนจบยลแยบในแบบแผน |
ใคร่ไข้ปวยช่วยชูไม่ดูแคลน | เคาเวอร์แมนต์หมายบอกว่าดอกเตอร์ |
จัดเขด็จเด็กนักเรียนพึ่งเพียรหัด | ยี่สิบทัศสาธกยกเผยอ |
ใครแคล่วคล่องว่องไวให้นัมเบอร์ | ยกเผยอความดีที่ในการ |
อีกอังกฤษวิจิตรแปลนการแผนที่ | กับอิตาลีสองผู้ครูทหาร |
สตาฟตั้งเติมแต่งตำแหน่งงาน | จึงจัดการกอมปนีที่ว่ากอง ๚ะ |
๏ หลวงโยธาณัติการนั้นชาญช่าง | รู้แบบอย่างกิจการงานทั้งผอง |
ไปโอเนียนามช่างตั้งเป็นกอง | สำหรับจองจัดไว้ทำค่ายคู |
กองดินดำกำกับนายทัดเล็บ | เตอร์แนนเก็บแก็บชะบวนล้วนดินหู |
กระสุนแตกปัสตันทุกอันดู | มิให้ผู้ถือไฟเข้าใกล้กราย |
กองรบนั้นกัปตันหนึ่งพึงจดนับ | มีเลขสับสองคู่เป็นหมู่หมาย |
ซายันต์หมวดตรวจรองสิบสองนาย | คุมนิกายกองณรงค์เข้าสงคราม |
พลฉกรรจ์สรรกองละสองร้อย | แตรเดี่ยวคอยเป่าปองกองละสาม |
อยู่ขวาซ้ายรายท่าสง่างาม | ป่าวบอกความล่อไล่ล้างไพริน |
ซายันต์ธงถือธงดำรงเรียบ | ตามระเบียบแบบคำสั่งดังถวิล |
เปซายันต์นั้นจดหมายรายระบิล | เป็นเสร็จสิ้นส่วนบังคับในกัปตัน |
กัปตันมีสี่นามตามลิขิต | หลวงวิชิตชาญศึกนึกกระสัน |
เป็นครูจัดหัดทหารมานานครัน | ท่าประจัญโจมจับรับไพรี |
หลวงอาจหาญณรงค์องอาจศึก | ดูเหี้ยมฮึกห้าวรบไม่หลบหนี |
ล้วนเจนจัดหัดปรือฝีมือดี | ทั้งท่วงทีเชิงชั้นสำคัญคม |
หลวงจำนงค์ยุทธกิจ[๗]ลิขิตไข | ว่าตั้งใจทำสงครามเห็นงามสม |
ทั้งราบเรียบระเบียบแบบแยบนิยม | โดยอุดมจิตจบที่ทบทวน |
หลวงดัษกรปลาศน์[๘]นั้นอาจหาญ | ชำนาญการกิจหัดสันทัดถ้วน |
ทีโรมรันผันแก้รู้แปรปรวน | ในกระบวนยุทธหัตถ์ใช้ศัสตรา |
คนปืนใหญ่ได้บรรจบสมทบทัพ | ร้อยหนึ่งสรรพหลพลวังหน้า |
ล้วนชำนาญการอาวุธยุทธนา | เลือกเอามาแต่ที่มั่นฉกรรจ์พล |
ทั้งนายไพร่ได้ห้าสิบห้าทัศ | เคยยิงยัดปืนใหญ่ไม่ฉงน |
ขุนสิงหนาทก้องศึกฮึกผจญ | กำกับพลพื้นใช้ปืนใหญ่ชาญ |
จัดปืนผาอาวุธสุดประเสริฐ | ยิงระเบิดพังค่ายทลายผลาญ |
ล้วนลูกแตกแหลกไล่ประลัยมาร | ดังพระกาลล้างทำลายวายชีวี |
ลูกอย่างหนึ่งข้างในใส่ยาพิษ | ประเสริฐฤทธิ์ราวกับได้ใช้ภูตผี |
ยิงเป็นหมอกออกกลุ้มรุมราวี | แม้นไพรีสูบรสแล้วปลดปลง |
ใหญ่สามกำลำกล้องยาวสิบเก้านิ้ว | เป็นตาริ้วริมที่นั่งตั้งระหง |
สำหรับไว้ในวังหน้ารักษาองค์ | ชื่อนั้นคงยั่งยืนปืนมอตา |
อีกคู่หนึ่งปืนล้อหล่อด้วยเหล็ก | เป็นอย่างเล็กเลือกคัดคิดจัดหา |
ยิงลูกแตกแหลกสังหารผลาญพาลา | เป็นสง่างามสำหรับกองทัพชัย |
ขนานนามอามสตรองจดจองอ้าง | ชื่อผู้สร้างสรรค์แจ้งแถลงไข |
อีกคู่หนึ่งชื่อวิเสริฐเลิศไกร | ไม่โตใหญ่กว้างยาวก็ราวกัน |
แต่เป็นปืนทองเหลืองเรืองอร่าม | สีสุกวามวาวแจ้งส่องแสงฉัน |
ลูกแตกล้วนควรพินิจไม่ผิดพัน | ทุกสิ่งอันเอกอิทธิฤทธิ์แรง |
ปืนทหารชาญชัยสะไนเด้อร์ | รีวอลเว่อร์ตัวนายสะพายแล่ง |
บรรจุก้นนลกิจประดิษฐ์แปลง | ทั้งเร็วแรงฤทธาดูน่ากลัว |
แม้นข้าศึกฮึกรอเข้าต่อฤทธิ์ | เห็นชีวิตวายเปล่าหมดเงาหัว |
เหมือนแมงเม่าเคล้าเพลิงทำเริงรัว | ไม่รู้ตัวตอมไฟบรรลัยลาญ ๚ะ |
๏ เดือนสิบเอ็ดปีระกาจะคลาทัพ | พระโหรจับชั้นโชกโฉลกหาร |
ได้ฤกษ์ดีตรีจันทร์สรรพการ | แสนศฤงคารสมบัติสวัสดี |
แรมสิบเอ็ดค่ำอังคารชาญโฉลก | เป็นชั้นโชคจัตุรงค์ลงดิถี |
ไปรบทัพจับศัตรูหมู่ไพรี | จะภักดียอมระย่อไม่ต่อกร |
เป็นสองวันสรรเวลาโหราแจ้ง | จึงจัดแบ่งปันเวลาคลาสมร |
แรมสามค่ำวันจันทร์ตะวันรอน | พร้อมนิกรเข้าประนมบังคมลา |
พอเย็นย่ำค่ำศรีสุริเยศ | พระจอมเกศนิกรฤทธิ์ทั่วทิศา |
เสด็จที่นั่งจักรีศรีโสภา | พร้อมเสนามาตย์หมู่ประยูรวงศ์ |
ถวายบังคมกรอ่อนศิโรตม์ | ด้วยมาโนชญ์นอบนบสบประสงค์ |
สดุดีสดับกิจประสิทธิ์ทรง | ขอพระองค์อิศเรศปกเกศกัน |
ข้างฝ่ายพระมนตรี[๙]ผู้มียศ | มีสร้อยพจนกิจประสิทธิ์สรร |
เป็นผู้นำทูลฉลองปองรำพัน | อภิวันทนากรอ่อนประนม |
ขึ้นยืนหน้านายกองประคองสาร | คลี่ออกอ่านเสียงดังฟังขรม |
ว่าแม่ทัพกับนิกายถวายบังคม | ไประดมเผด็จปราบพวกหยาบคาย |
อังคารแรมสิบเอ็ดค่ำเดือนสิบเอ็ด | ระกาเสร็จจุลศักราชหมาย |
พันสองร้อยสี่สิบเจ็ดเสร็จภิปราย | หยุดถวายคำนับนั่งฟังกิจจา ๚ะ |
๏ พอทรงจบจึงรับสั่งชาวคลังราช | ให้ยกภาชนะทองรองสลา |
กับกระบี่ฝักสุวรรณจัดสรรมา | ตลับ[๑๐]พระศรกสมยาอีกหนึ่งองค์ |
ประคำทองผ่องฉวีสิสุกสด | ทั้งเสื้อยศอย่างวิจิตรพิศวง |
พนักงานนำประนตบทบงสุ์ | ถวายองค์อิศเรศเกศนิกร |
ทรงประทานท่านแม่ทัพรับเคารพ | ประนมนบบาทธิเบศมเหศร |
เป็นโชคชัยไปกำจัดดัสกร | ให้ถาวรอิศโรมโหฬาร |
เมเยอร์รองสองนายอยู่ซ้ายขวา | ล้วนปรีชาเชิงชายนายทหาร |
ได้เสื้อยศอย่างรองของประทาน | เกษมสานต์ลืมคิดที่จิตจง |
ประทานเสร็จทรงประสิทธิ์สฤษดิลาภ | อรินทร์ราบชาติเชื้ออย่าเหลือหลง |
สรรพภัยในนุทิศให้ปลิดปลง | สิ่งใดจงใจมาดอย่าคลาดเลย ๚ะ |
๏ อนึ่งที่นับถือคือคุณพระ | อย่าลืมละหมั่นรำลึกนึกเฉลย |
เป็นที่พึ่งหนึ่งนะอย่าละเลย | เป็นของเคยเคารพอย่าราคี |
เสร็จประสาทสรรพพรถาวรสวัสดิ์ | ชุลีหัตถ์รับวางหว่างเกศี |
เสด็จคืนขึ้นบนพระมณฑีร์ | ต่างก็ลีลากลับมาฉับพลัน ๚ะ |
๏ คนึงนวลนิ่งนอนสะท้อนจิต | จะจากมิตรสมรร้างไปห่างขวัญ |
สุดจะฝืนกลืนรักที่พักพัน | แข็งใจอั้นอกอึ้งตะลึงลาน |
คิดคิดผอยม่อยหลับระงับจิต | จนอาทิตย์อุทัยแจ้งส่องแสงฉาน |
จัดเสื้อผ้าหาของที่ต้องการ | โดยวิจารณ์จัดจบครบจำนวน |
แต่อาหารการกินมีสิ้นสรรพ | ท่านแม่ทัพซื้อยุรปมีครบถ้วน |
หมูแฮมแห้งแป้งสาลีอย่างดีล้วน | ลูกไม้กวนกุ้งปลาสารพัน |
ใส่กระป๋องปิดผนึกจารึกชื่อ | แม้นจะรื้อเรื่องกินไม่สินสรรพ์ |
ลูกไม้ดองของแช่แลอนันต์ | จะรำพันพูดนักจะชักนาน |
๏ แปดค่ำเช้าเสาร์แรมเดือนสิบเอ็ด | ก็จัดเสร็จส่งพหลพลทหาร |
ให้ล่วงหน้าคล้าคล่ำในลำธาร | ออกขนานหน้าผายมีนายพล |
ปลัดทัพรับยศเมเยอร์ใหญ่ | คุมนายไพร่ล่วงหน้าพระพาหล |
อาทิตย์บถกลดบังตั้งมณฑล | ได้ฤกษ์บนรีบบอกให้ออกเรือ |
เรือไฟพ่วงช่วงยาวไม่ก้าวเกี่ยง | จรัลเรียงแล่นรายสบายเหลือ |
ธงช้างปัดสะบัดปลายอยู่ท้ายเรือ | ดูจนเฝือเนตรลับสลับบัง |
แล้วกลับหลังยังสถานรำคาญจิต | สุขุมคิดคับอกเหมือนตกถัง |
ตัวจะไปใจจะเวียนเพียรระวัง | จนกระทั่งวันนิราศจะคลาดคลา ๚ะ |
๏ เวลานั้นท่านเจ้าพระยามหินทร์ | ว่าโยธินสมทบการทหารหน้า |
มีน้ำจิตประกิตเกื้อเมื่อวันลา | เลี้ยงโยธาทัพใหญ่ทั้งไพร่นาย |
สะพรั่งพรูหมู่นิกรสลอนสลับ | คอยแม่ทัพอยู่ที่ท่านาวาผาย |
มาพร้อมเพรียงเรียงกันจรัลจราย | ด่างภิปรายเปรมปรีดิ์ฤดีดาล |
เลี้ยงน้ำชากาแฟเสียงแซ่ซ้อง | ด่างเรียกร้องไพรเพราะพูดเคาะขาน |
ทั้งบ๋อยบ่าวเหย่าย่างที่กลางชาน | ดูพลุกพล่านพลาดพลำถลำเลย |
เสียงสรวลเสเฮฮาสง่าทัพ | บางคนปรับทุกข์ทำว่ากรรมเอ๋ย |
จะเดินดงพงไพรยังไม่เคย | บ้างพูดเย้ยหยอกเยาะหัวเราะเพลิน |
บางครอบครัวมัวกระสันมาฟั่นเฝือ | ยังเอื้อเฟื้อเฝ้านั่งริมฝั่งเผิน |
ผูกอาลัยใจตั้งจนพลั้งเพลิน | ทำแลเมินเนตรชม้ายระคายคน |
มาส่งเสียเคลียคลอรีรอรัก | ละล่ำละลักใหลหลงงงฉงน |
ดูดก้นพลูดูเพลินไม่เขินคน | ใช้ต่างก้นบุหรี่เอาจี้ไฟ |
นั่งคอยท่านแม่ทัพอยู่คับคั่ง | ดูสะพรั่งพร้อมที่ท่าชลาไหล |
ออกเขียดยัดอัดแอเซ็งแซ่ไป | เหลืออาลัยเล็งแลแดฤดี |
๏ ข้างฝ่ายท่านหลวงสิทธิ์สนิทเสน่ห์[๑๑] | เธอทอดเททางรักเป็นศักดิ์ศรี |
จัดเรือไฟครรไลล่องท้องนที | จรลีเร็วรับแม่ทัพมา |
จากสถานทุ่งสีลมสมสนุก | เกษมสุขเป็นนิรันดร์จิตหรรษา |
เดี่ยวนี้เพี้ยนเปลี่ยนผันจำนรรจา | เรียกศาลาแดงเด่นเห็นแต่ไกล ๚ะ |
๏ ฝ่ายข้างท่านแม่ทัพจัดสรรพเสร็จ | ได้ฤกษ์เพชรผ่องผุดวิสุทธิ์ใส |
ลาพระสงฆ์ทรงธรรมอันอำไพ | เทพไทยที่รักษาโลกากร |
ลาเผ่าพงศ์วงคาคณาเนื่อง | ไม่ขุ่นเคืองมโนสโมสร |
ลงเรือแจวจรมาในสาคร | สงฆ์สวดพรเพิ่มรำพันชยันโต |
ออกจากช่องถึงคลองผดุงราษฎร์ | เรือไฟปราดปร๋อไปใส่ไฟโฉ่ |
เข้ารอรับแม่ทัพไปในชะโล | ออกแล่นโร่แลริ้วริ้วละลิ่วมา ๚ะ |
๏ ขณะนั้นท่านเจ้าพระยามหินทร์ | ตั้งใจจินตนาคอยละห้อยหา |
เขม้นดูอยู่ที่ลานชานคงคา | เห็นแล่นมาไวไวดีใจจริง |
พอถึงท่าราทอดเข้าจอดพัก | คนคักคักแลหลายทั้งชายหญิง |
ดูแม่ทัพคับคั่งนั่งประวิง | ตามตลิ่งแลล้นมายลยวน |
ดูเรือไฟใหม่มั่นเป็นมันยับ | ชื่อประดับเพชรผุดสุดสงวน |
เครื่องประดับสำหรับลำน่ารำจวน | อะไหล่ล้วนด้วยหิรัญเป็นหลั่นเรียง |
พอเรือเทียบสะพานลอยที่คอยท่า | สำรวลร่าเรียกขานประสานเสียง |
ต่างดำเนินเดินคลอเข้ารอเรียง | ประคองเคียงขึ้นบนตึกเสียงคึกคึก |
พร้อมด้วยเจ้าเผ่าพระยาเวลานั้น | ล้วนพงศ์พันธุ์ผู้ดีที่มีศักดิ์ |
มาส่งเสียละเหี่ยละห้อยเศร้าสร้อยพักตร์ | ด้วยจิตรักจำร้างไปห่างกัน |
อธิบดีที่มาส่งองค์ประสิทธิ์ | พระขนิษฐ์นฤเบศพิเศษสรร |
กรมหมื่นเทววงศ์ทรงนิพันธ์ | สร้อยสารันต์สฤษดิ์วโรปการ |
ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าพระยามหินทร์ | เป็นเจ้าถิ่นที่พักอัครฐาน |
อีกพลเรือนที่เป็นเพื่อนราชการ | โดยประมาณที่ได้มาห้าสิบปลาย ๚ะ |
๏ พอฤกษ์งามสามนาฬิกากึ่ง | แม่ทัพจึงน้อมประนมบังคมถวาย |
พระเจ้าน้องยาเธอเปรอภิปราย | ทุกท่านนายต่างคำนับเข้าจับมือ |
แต่ท่านเจ้าคุณมหินทร์ถวิลหวัง | มาส่งยังเรือแม่ทัพโดยนับถือ |
วักน้ำประศีรษะเรือเพื่อระบือ | ให้เชิดชื่อไชโยมโหฬาร |
ขอพระรัตนตรัยอันไพจิตร | ได้ปลดปลิดข้าศึกที่ฮึกหาญ |
นิราศทุกข์สุขสวัสดิ์ขจัดพาล | จงบันดาลดลชื่นทุกคืนวัน |
พอจบพรจรจากเรือเหลือละห้อย | ดูพักตร์สร้อยเศร้าในใจกระสัน |
หลวงนายสิทธิ์มิตรที่รักมาพักพันธ์ | ขี่กำปั่นไปส่งในคงคา ๚ะ |
๏ เสร็จสั่งเลื่อนเคลื่อนคลายขยายทัพ | เป็นลำดับดูสะพรั่งพลหลังหน้า |
เรือไฟมีที่หมายท้ายเภตรา | น้มเบอร่ารับช่วงพ่วงนิกร |
พวกพหลพลทหารลนลานวิ่ง | จากตลิ่งลงนาวาหน้าสลอน |
จับแจวถ่อรอราในสาคร | เรือไฟผ่อนเชือกพันผูกทันที |
เขาเปิดจักรวักกระสายกระจายฟุ้ง | เรือสะดุ้งดังจะดิ้นออกปลิ้นหนี |
เปิดหลอดลั่นมั่นหมายนายนาวี | ให้โยธีทัพตั้งระวังตัว |
เรือพหลพลไพร่ทั้งใหญ่น้อย | ให้คนคอยถือพร้าราอยู่หัว |
เพื่อเสียท้ายหมายฟันไม่พันพัว | ระวังตัวตั้งใจทั้งไพร่นาย |
ดูเป็นพืดยืดยาดออกดาษน้ำ | เรือไฟซํ้าบอกลำคัญจะผันผาย |
ต่างผูกพ่วงช่วงเคียงดูเรียงราย | ไม่ก้าวก่ายเกี่ยวลำดับนับประมวล |
เรือเล็กใหญ่ได้ห้าสิบห้าชัด | คนนั่งยัดเยียดลำแลกำสรวล |
ดูสลอนน่าสลดกำสรดนวล | สุดจะครวญใคร่แทนแน่นฤทัย |
เพราะตัวเราเล่าก็ไหวฤทัยหวน | อุระป่วนปั่นคิดพิสมัย |
เมื่อจากเจ้าจะรับขวัญลาครรไล | ก็ตันใจหน้าเจื่อนเชือนลงเรือ |
ป่านนี้นุชบุตรมิพร่ำโศกกำสรด | จะรันทดท้อฤทัยอาลัยเหลือ |
จะตวงทุกข์ชุกชุ่มอยู่คลุมเครือ | อลักเอลื่อจิตเจ่าอยู่เฝ้าเรือน |
จะเปล่าเปลี่ยวเสียวจิตขนิษฐ์น้อย | กำสรดสร้อยเศร้าใจใครจะเหมือน |
เพื่อนหญิงเล่าเขาจะยั่วว่าผัวเชือน | เป็นหม้ายเลื่อนระทดกายน่าอายจริง |
เขาหย่าร้างค้างขายตายจากอก | จึงต้องตกพุ่มหม้ายทั้งชายหญิง |
นี่หม้ายทัพยับยากลำบากจริง | เห็นสิ้นสิ่งสุขแท้ต้องแดดาล |
แต่หม้ายน้องหมองพี่ก็มีเพื่อน | ยังอยู่เรือนร่วมบุตรสุดสมาน |
พี่หม้ายพรากจากเคหายุพาพาล | ฤดีดาลแดดิ้นเห็นสิ้นเชิง |
ต้องแบกรักหนักอึ้งคะนึงหา | เทวษว้าว้างหาวกว่าว่าวเหลิง |
มัวโศกเซื่องเงื่องงันไม่บันเทิง | จะเสียเชิงที่บัญชาเพราะอาวรณ์ |
คิดมานะละโศกวิโยคยาก | เรือไฟลากแล่นไปฤทัยถอน |
เห็นบ้านเรือนเกลื่อนท่าริมสาคร | แลสลอนลานตาขอลาโลม |
ประเดี๋ยววับลับเนตรเทวษว้า | เรือไฟพาวิ่งไวใส่ไฟโหม |
กระฉ่อนกระฉอกระลอกลั่นเสียงครั่นโครม | เหมือนจะโจมจับศึกพิลึกดัง |
ระยะย่านบ้านตำบลทุกหนแห่ง | เหลือจะแจ้งแจกได้โดยใจหวัง |
คัดแต่ข้อพอเป็นเค้าเล่าให้ฟัง | ในเมื่อครั้งนี้ไปปราบภัยพาล |
รำพึงพลางทางวิโยคยิ่งโศกเสริม | ถึงวัดเฉลิมแลโสตโบสถ์วิหาร |
ก็รอเรียบเทียบนาวาริมท่าธาร | ให้รำคาญขุ่นวิญญาณ์เป็นอารมณ์ ๚ะ |
๏ ฝ่ายเจ้าอธิการญาณวิเศษ | รู้ไตรเพทผ่องฤทธิ์ประสิทธิ์สม |
นิมนต์สงฆ์ลงศาลาท่านิคม | ใบตาลกลมป้องหน้ากล่าวบาลี |
สวดการุณย์คุณพระพุทธสุดประเสริฐ | บำราศเลิศโรคภัยในวิถี |
สรรพภัยพาธาอย่ายายี | จบบาลีแล้วคุณพระประน้ำมนต์ |
พลทหารชาญชัยในกองทัพ | เคารพรับพรพระศุภผล |
เป็นที่พึ่งหนึ่งคำนับเมื่ออับจน | เปียกน้ำมนต์นึกนิยมด้วยสมใจ ๚ะ |
๏ ฝ่ายผู้รั้งกรรมการผ่านประเทศ | นนท์บุเรศเรือแพแลไสว |
พอเรือจอดหลอดลั่นสนั่นไป | ก็ครรไลลีลาข้ามมารับ |
ด้วยเขตแคว้นแดนนี้หน้าที่ท่าน | จึงจัดด้านระดมคนดูสนสับ |
ทั้งบกเรือเหนือใต้ให้กำชับ | เป็นเวรรับแวดระวังมานั่งกอง |
เสร็จวางเวรเกณฑ์กะกันระดับ | หาแม่ทัพทอดอารมณ์ประสมสอง |
ต่างคำนับรับเชิญเดินประคอง | โดยจิตจองจงรักกันหนักนาน |
จนเวลาฟ้าสลัวมัวเวหน | พระยานนท์ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
ขอเชิญท่านแม่ทัพไปรับประทาน | กับนายทหารพร้อมพรักขึ้นพักจวน |
สู่สถานบ้านนั่งยังเก้าอี้ | ต่างพาทีทอดเทดูเสสรวล |
จัดของเลี้ยงเรียงรายหลายกระบวน | แล้วเชิญซวนรับประทานของหวานคาว |
มีลำลำรำมะนาเล่นหน้าโต๊ะ | เสียงโจ๋งโจ๊ะจ๊ะทั่งกำลังสาว |
ขยับฉิ่งจิ่งจับเสียงกรับกราว | มีนางกล่าวกลอนเพราะเสนาะนวล |
สักวานายทัพกับทหาร | ละสถานทิ้งนุชสุดสงวน |
จะเดินทัพลับไปให้รัญจวน | น้องจะครวญครุ่นให้เสียใจจริง |
ได้เห็นกันวันเดียวเจียวหนอพี่ | ตั้งแต่นี้นับวิตกโอ้อกหญิง |
ขอเชิญชายเนตรช้อนอย่าค้อนติง | พอเห็นจริงใจประจักษ์ว่ารักเอย ๚ะ |
๏ ฟังถ้อยคำลำร้องทำนองแนะ | เหมือนมาแคะคุ้ยอุระขึ้นเฉลย |
จะตอบต่อข้อคำร่ำภิเปรย | เกรงจะเลยลาวเลี้ยวเป็นเกี้ยวกวน |
ครั้นเสร็จเลี้ยงลุกมานั่งยังที่ลาด | ฟังพิณพาทย์พาใจอาลัยหวน |
เสภาร้องพร้องเพราะเสนาะนวล | น่ารัญจวนจับใจอาลัยลาน ๚ะ |
๏ จนดึกดาวพราวพร่างกลางเวหา | ครรไลลายังสำนักที่พักทหาร |
ต่างคำนับรับรสพจมาน | ค่อยเบิกบานชื่นหน้ากลับมาเรือ |
พอถึงทัพกลับสะท้อนถอนเทวษ | แรมทุเรศร้างใจอาลัยเหลือ |
ยังมิหนำซํ้าหนาวลมว่าวเจือ | ต้องนอนเรือแรมรากลางวารี |
เห็นพหลพลทหารขนานหน้า | นอนนาวายัดเยียดแทรกเสียดสี |
ไม่อบอุ่นครุ่นร้อนอาวรณ์ทวี | จนรังสีส่องแจ้งอัมพร |
ยกโยธาจากวัดเฉลิม | ยิ่งพูนเพิ่มพิสมัยฤทัยถอน |
จักรก็หมุนใจก็มุ่งฟุ้งขจร | เสียงสาครครื้นครั่นสนั่นไป ๚ะ |
๏ ข้างฝ่ายท่านยานนท์กระมลมุ่ง | พอย่ำรุ่งเร่งเร้าพวกบ่าวไพร่ |
ออกล่วงหน้านิมนต์สงฆ์ลงอวยชัย | ทุกวัดในนนท์แนวแถวธารา |
เรือกระบวนพวนเหนี่ยวเลี้ยวเผด็จ | เข้าลัดเกล็ดเรือนกลาดดื่นดาษท่า |
มีร้านโรงโอ่งอ่างทางคลา | เป็นสินค้าขายกินที่ถิ่นมอญ |
เม้ยรามัญพันมวยสวยสะอาด | ลักษณ์วิบาศแลพินิจพิศสมร |
ดังโกเมศนิเวศน์ลางสาคร | ชูฉะอ้อนออกชื่อพอลือโลม |
ชักอารมณ์ชมนางในทางลัด | พอถึงวัดประไมยใส่ไฟโหม |
เสียงจักรลั่นฟั่นคลื่นดังครื้นโครม | เหมือนหนึ่งโรมกลงาร่ำทุกลำราย |
เหมือนคนคุ่มกลุ่มขวางกลางสมุทร | บ้างดำผุดโผพ้นชลสาย |
เกาะไม้หลักแลแปลกแยกกระทาย | เขาดำทรายใส่นาวากลางสาคร |
เรียกชื่อบ้านบางพูดนึกพูดน้อง | พูดพลางร้องไห้พลางกลางบรรจถรณ์ |
พูดอาลัยในพี่ยาพูดอาวรณ์ | พูดไม่จรจากใจพูดไม่จาง |
ยังยืนแจ้วแว่วใจเรือไฟประเวศ | ล่วงเข้าเขตเมืองปทุมเขาสุมสาง |
แสงอัคคีจี่อิฐติดเรืองราง | แลกระจ่างแจ้งรายชายวาริน |
เห็นเรือจักรพักทอดจอดอยู่นิ่ง | ริมตลิ่งหลากในฤทัยถวิล |
เสียงคนเรียกสำเหนียกใจพอได้ยิน | ลุกขึ้นผินพักตร์เขม้นพอเห็นมือ |
ดูไกวกวักควักไขวชะใครหนอ | มานั่งป๋อในกำปั่นเรียกกันอื้อ |
จะไถ่ถามความอะไรไฉนฤๅ | จึ่งมารื้อเรียกกันสนั่นอึง |
ก็หยุดเรือจักรราเสียงซ่าซ้อง | ลงสัดจองแจวไปพอใกล้ถึง |
เห็นหลวงหัตถสารมองร้องเรียกอึง | กระโดดตึงเต้นหรับรับมาพลัน |
พอใกล้ถึงเรือกลท่านยลพักตร์ | ได้รู้จักจึ่งถามตามกระสัน |
ไฉนรอเรือไม่ไปก่อนพลัน | มานิ่งตันติดช้าอยู่ว่าไร ๚ะ |
๏ ฝ่ายหลวงหัตถสารศุภกิจ | เชิงสนิทนบแจ้งแถลงไข |
เรียนข้อความตามคดีที่เรือไฟ | ว่าเครื่องไกลติดเห็นผิดที |
จะแก้ไขก็ไม่แล่นสุดแสนยาก | ต้องทอดกรากกรำยับอยู่กับที่ |
เรืออื่นอื่นทั่วทั้งหลายสบายดี | แต่ลำนี้ติดมั่นตันอารมณ์ |
จนอาหารการเสบียงจะเลี้ยงท้อง | สิ้นทำนองนึกว่ายับขอรับผม |
กินบอนเผาเคล้าปลาร้าเป็นอารมณ์ | นิ่งระทมคอยให้ท้าวทุกเช้าเย็บ |
ท่านทราบศัพท์รับเอาไปในเรือจักร | ออกเล่นวักน้ำฟุ้งเหมือนกุ้งเต้น |
เปิดหลอดร้องก้องกู่ดูดังเป็น | เหมือนจะเผ่นโผนท่องท้องสินธู |
พอบ่ายเบี่ยงเสียงลมระทมพัด | ที่หน้าวัดตีนท่าเสียงซ่าซู่ |
ไม้ไผ่พับยับย่อยฝนพลอยพรู | พฤกษาสู่ลมปัดสะบัดโยน |
ทั้งเรือพ่วงเรือพาก็คว้าคว้าง | ดูเหมือนช้างเช่นหมอต่อเข้าโขลน |
แล่นรี่ร่าท่าดีทีจะโดน | ปะรำโค่นผ้าลาดขาดทลาย |
บ้างลงน้ำคํ้าจุนรุนเข้าฝั่ง | ลมประดังฝนประดาฟ้าฟาดสาย |
วะวับวาบปลาบปราดปาดประกาย | จอดเรือรายริมฝั่งเข้านั่งงอ |
พอฝนหายตะกายแก้แร่เข้าพ่วง | เรือไฟจ้วงจักใช้ก็ไปปร๋อ |
จรัลเรียงเคียงแข่งไม่แรงรอ | แล่นชะลอแลสล้างถึงบางไทร |
ชาวด่านจ้องฆ้องกระแตแร่ตีป๋อง | นั่งจองหงองเหงาเหงื่อเข้าเจือไส |
คอยเรียกเรือขายสินค้าที่มาไป | เป็นด่านใหญ่อยู่เขตประเทศกรุง |
ไปไม่ดีมีของที่ต้องห้าม | แล้วลวนลามเรียกค้นถึงก้นถุง |
มีพริกเกลือมะเขือไข่ให้คุณลุง | แล้วไม่ยุ่งยอมให้ไปสำราญ |
ก็เลี้ยวแล่นเข้ากระแสแควสีกุก | ไผ่สีสุกเฝือแฝงบังแสงฉาน |
จนเย็นย่ำค่ำยลอนธการ | แซ่ประสานเสียงจักรไม่พักพา |
ได้สองทุ่มคลุ้มลมระทมพัด | เข้าจอดวัดสุวรรณภาชน์ระดาษท่า |
เสพอาหารสำราญรื่นชื่นอุรา | แล้วก็ลาแล่นชมลมระริน |
อนาถหนาวพราวพร่างน้ำค้างหล่น | เย็นสกนธ์ชุ่มนองละอองกระสินธุ์ |
พฤกษาบังฝั่งฝ้ายิ่งราคิน | มัวมลทินแถวทางไม่สร่างทรวง |
อาทิตย์ดับลับโลกไม่โศกนัก | สี่ยามชักรถเร้าข้ามเขาหลวง |
มาส่องแสงแดดเด่นให้เห็นดวง | วิเชียรช่วงโชติชัดกระจัดตา |
ลับพระจันทร์วันข้างแรมไม่แจ่มแสง | ข้างขึ้นแจ้งจ้าส่องห้องเวหา |
ลับเวลาเช้าเย็นเป็นเวลา | ลับนิทราสร้างฟื้นก็ชื่นใจ |
แต่ลับนุชสุดลับไม่นับเห็น | ลับประเด็นดวงจิตพิสมัย |
ลับครรไลไกลลับไม่นับไกล | ลับอาลัยลับนุชสุดรำพัน |
คิดวิโยคโศกเศร้าให้เหงาง่วง | เรือไฟพ่วงพาแล่นแสนกระสัน |
ยามยิ่งดึกเรือยิ่งเดินดูเพลินครัน | เสียงไก่ขันขานหลับจับอารมณ์ |
ครั้นรุ่งแจ้งแสงอุทัยขึ้นใสสอด | เห็นเรือทอดเทียบท่าพระอาศรม |
วัดกำแพงแขวงกรุงคุ้งนิคม | คนยังซมเซานอนอ่อนระทวย |
จึงเป่าแตรแปร๋แปร้นแล่นเข้าหู | ทหารรู้สึกนั่งยังระหวย |
บ้างง่วงงึมพึมเพ้อพูดเอออวย | ดูระทวยอ่อนระทดเหมือนหมดแรง |
แล้วเลื่อนแล่นนาวาจากท่าวัด | สตรีมจัดเปิดจักรคึกคักแข็ง |
น้ำลงเหลือเรือคว้างมากลางแปลง | ไม่วิ่งแข่งเคียงตามกันหลามมา |
ริมฝั่งรายทรายสวะเรอะระเหลือ | บนฝั่งเฝือแลทำเลที่เคหา |
กระบือโคคอกรายชายชลา | ล้วนบ้านนาแนวชลไม่ยลยิน |
แลลิบลิ่วทิวทุ่งเป็นวุ้งเวิ้ง | นกกระเจิงเจิ่นท่าชลาสินธุ์ |
ข้าวเป็นรวงพวงผลพ้นวาริน | กระจาบบินโบยฉาบคาบไปรัง |
กระดี่โดดโลดโผนกระโจนงับ | ต้นข้าวยับย้อยจมได้สมหวัง |
ชะโดต้องร่องแฉลบเข้าแอบบัง | กระดี่พลั้งฮุบโพล่งวิ่งโผงไป |
ตามตลิ่งคนวิ่งมาหยอยหยอย | ทั้งใหญ่น้อยนั่งดูอยู่ไสว |
บางคนกลัวตัวหมกรกรำไร | บ้างลองใจขู่สำทับว่าจับตัว |
แล่นเตลิดเปิดออกไปนอกทุ่ง | ลงแอบมุ่งมองเว้นแลเห็นหัว |
ที่เป็นสาวหนาวนมผ้าห่มพัว | นั่งแฝงตัวตาลอดมาสอดมอง |
ที่มีคู่สู่สมภิรมย์รัก | นั่งเคียงพักตร์ผ่องพริ้มทำยิ้มย่อง |
เห็นแม่ทัพกับนิกายท่านนายกอง | อนันต์นองนั่งเคียงเรียงจรัล |
ที่ไม่รู้ดูกระซิบกันอิบอับ | ท่านแม่ทัพนั้นคนไหนบอกให้ฉัน |
ที่รู้จักชักชิดสะกิดกัน | ริมคนนั้นเคียงคนนี้ชี้ให้ดู |
ที่สาวสรรค์หันเข้าบังนั่งสะกิด | ไหนพี่ทิดถามเอียงเข้าเคียงหู |
ต่างอุบอิบกระซิบเสียงเราเหลียวดู | เหมือนเพลิงจู่จ่อเชื้อเหลือระวัง |
เรือไฟเดินเพลินวิ่งตลิ่งวับ | ประเดี๋ยวลับแลเขม้นไม่เห็นหลัง |
พระสุริยาราแสงลงแบ่งบัง | พอกระทั่งถึงทอดเข้าจอดจวน |
นครนี้มีนามตามสังเกต | เรียกวิเศษไชยชาญสารสงวน |
คีอเขียนบอกออกนามตามกระบวน | ในสำนวนตราเห็นเป็นสำคัญ ๚ะ |
๏ แต่คำคนชนชาวนั้นกล่าวอ้าง | ว่าเมืองอ่างทองทัดระหัดหัน |
เป็นสองชื่อลือเพรียกเขาเรียกกัน | เสียงจำนรรจาจำเป็นคำจอง ๚ะ |
๏ ฝ่ายผู้รั้งที่รักษาก็มารับ | ดูคั่งคับเรียกคนให้ขนของ |
มาทักทายรายเราะเหมาะทำนอง | โดยหมายปองประกอบกิจไม่บิดเบือน |
จัดสุกรกุ้งไก่ให้อักโข | เลี้ยงพวกโยธาใหญ่ใครจะเหมือน |
สารพัดจัดจองไม่ต้องเตือน | มิได้เชือนแชทำโดยจำนง |
ทั้งฟืนใส่ไฟกำปั่นอนันต์นับ | ได้พร้อมสรรพเสร็จสมอารมณ์ประสงค์ |
เร่งคนขนล้นเหลือใส่เรือลง | ท่านจัดส่งเสร็จดังที่หวังใจ |
พอสิ้นแสงสุริยามืดอากาศ | ก็ลีลาศเลื่อนลาอัชฌาสัย |
ออกนาวีรี่ร้อนไม่นอนใจ | เขาเร่งไฟจัดจริงเรือวิ่งโชน |
นึกคะนึงถึงชนตำบลนี้ | ไยจึ่งชี้ชื่อฉาวยิ่งกราวโขน |
ว่าลมลิ้นปลิ้นปล้อนพูดล่อนโลน | ชิวหาโยนยาวตวัดปัดถึงกรรณ |
เหมือนโคขะละสุระบุชื่อ | อีกกระบือโคหักเขามักสรร |
ฟังถ้อยคำร่ำว่าสารพัน | เหมือนแกล้งกลั่นกล่าวเจาะจำเพาะเมือง |
ไม่ไว้บ้างช่างตีชาว่าไปหมด | มธุรพจน์แผดดุเจ็บหูเหือง |
ช่างค่อนแคะแกะว่าทั้งห้าเมือง | ไม่ทราบเรื่องราวตั้งแต่ครั้งไร |
มาติดคำร่ำว่าน่าฉงน | คนเหมือนคนค่อนว่าน่าสงสัย |
หยิบชั่วฉาวกล่าวลือกันอื้อไป | เฉพาะในห้าเมืองเคืองรำคาญ |
รำพันพึมงึมงมระทมนิ่ง | ถึงวัดสิงห์เสียงไก่พิไรขาน |
ห้าทุ่มเศษนาเวศว่ายในสายธาร | แล่นขนานน้ำดังไม่รั้งรอ |
นิ่งระงับหลับไหลไปจนแจ้ง | สุริย์แสงสอดส่องห้องเวหา |
พ้นอ่างทองจองจดพจนา | บางพุทราแขวงเมืองพรหมนิยมยิน |
นามผู้รั้งนคเรศพิเศษศรี | ตำแหน่งที่พระพรหมประศาสน์ศิลป์ |
มีสถานบ้านรายชายวาริน | ถึงแขวงอินท์อันธการรำคาญใจ |
พวกกำนันอำเภอเสมอหน้า | แจ้งกิจจาจัดรับกองทัพใหญ่ |
เกณฑ์ผู้คนล้นหลามนั่งตามไฟ | สว่างในแนวธารสราญแล |
มีกำนันมาคอยนำร่องน้ำด้วย | กลัวจะชวยชายลาดหาดกระแส |
จะติดตื้นพื้นธารอยู่ดาลแด | มาคอยแก้กันปักที่หลักตอ |
สี่ทุ่มครึ่งถึงเมืองอินท์ถิ่นสำนัก | หลวงบริรักษ์ปลัดเมืองดูเปรื่องปร๋อ |
เรียกคนผู้กล่นกลัดมาอัดออ | นั่งกองก่อกองเพลิงเถกิงการ |
ครั้นรุ่งเช้าชาวเมืองเนื่องคำนับ | ท่านแม่ทัพถามระบิลในถิ่นฐาน |
ท่านเจ้าเมืองเรืองรมย์สมสำราญ | กรมการราษฎรร้อนหรือเย็น |
หลวงบริรักษ์ร่ำแจ้งแถลงเล่า | ผู้ร้ายเร้ารุมราษฎร์พิฆาตเข็น |
ดังกองกูณฑ์พูนร้อนไม่ผ่อนเย็น | ต้องหนีเร้นรวมอยู่เป็นหมู่กัน |
แล้วบอกว่าผู้รักษาสถานถิ่น | คือพระอินทประศาลน์ศรนอนกระสัน |
ป่วยเป็นไข้มิได้รับกองทัพทัน | ให้นึกครั่นคร้ามผิดในกิจตน |
ท่านแม่ทัพสดับรสพจนารถ | อนุญาตยอมช่วยอำนวยผล |
ให้สิ้นโศกโรคร้างห่างสกนธ์ | เจริญชนม์ชื่นหน้าแล้วลาจร |
แล่นนาวาคลาไคลดูไววิ่ง | แลตะลึงเรือนเรียงเคียงสลอน |
ขายฟักแฟงแตงกวาริมสาคร | ถั่วงาซ้อนตวงใส่ในกระบุง |
หลังเคหาป่าชะอุ้มเป็นพุ่มพฤกษ์ | ดูพิลึกลอยเด่นเห็นกุหนุง |
ว่าว่านยาสารพันอันจรุง | จึ่งเรียกปรุงนามปรับเขาสรรพยา |
ใบแขวงนี้มีกำนันมานำร่อง | เห็นบ้านช่องชายฝั่งให้กังขา |
จึงไถ่ถามนามตำบลชลชลา | จดสาราเรียงเล่าเป็นเค้ามูล |
หาดอาสาเหมือนเรามาในคราวนี้ | ละไมตรีตรอมสวาทให้ขาดสูญ |
อาสาศึกซ่อนรักหักอาดูร | ละประยูรเยื่อใยมิตรไมตรี |
ออกชื่อรักชักพะวงให้สงสาร | พอหอมถึงบ้านอ้อนรายชายวิถี |
คิดอ้อยอบกลบกลั่นควันอัคคี | มาลีรื่นอารมณ์ชมสำราญ |
เห็นเรือนตั้งบังป่าน่าขนลุก | เรียกตาหลุกหลากใจเขาไขขาน |
บางไก่เถื่อนเรือนขวางอยู่กลางลาน | พอถึงบ้านศาลายาวให้เร้ารุม |
ตะวันเที่ยงเปรี้ยงแดดแผดไถง | ทั้งร้อนไอสติมอบประสบสุม |
เข้าพักร้อนผ่อนประทังนั่งประชุม | พอหายกลุ้มกลัดบอกให้ออกเรือ |
แล่นระลอกกระฉอกฉานลมต้านหน้า | ทั้งธาราแรงไหลหนักใจเหลือ |
ใบจักรจ้ำน้ำเปื้อนกระเทือนเรือ | วิบากเบื่อทวนน้ำขึ้นร่ำไป |
ค่อยเลียบลัดตัดคุ้งมุ่งสถาน | เขาบอกบ้านบ่อนตำบลชนอาศัย |
ระยะนี้ชี้จำสวนลำไย | เห็นหมู่ไม้โนทยานบันดาลดอน |
เรือก็ไปใจก็งงพะวงหลัง | มาถึงวังวนกระแสแม่ลูกอ่อน |
เขาเล่าเรื่องเคืองเข็ญเป็นธิกรณ์ | ว่าแต่ก่อนมีกุมภามันกล้าครัน |
หญิงแม่ลูกอ่อนล่องนาวามาถึงนี้ | กุมภารี่ร่าใส่ใจมหันต์ |
เข้าพิฆาตฟาดล้างเอากลางคัน | เป็นเหยื่อมันม้วยมอดวอดชีวา |
ได้ฟังเล่าเค้าข้อจระเข้ | มันเกเรร้ายนักยิ่งยักษา |
ประเดี๋ยวนี้มีหรือไม่ไฉนนา | อยากดูหน้ามันให้ชัดอ้ายสัตว์พาล |
เรือวิ่งไวไกลคุ้งยิ่งมุ่งหมาย | ดูเรือนรายทางประเทศเขตสถาน |
ถึงชัยนาทลาดแลกระแสลาน | บ่ายประมาณสามโมงหยุดโยงเรือ |
เข้าจอดฝั่งยังจวนเจ้าเมืองพัก | เห็นพร้อมพรักไพร่นายมาหลายเหลือ |
คอยคำนับรับรองมีของเจือ | ทั้งข้าวเกลือสารพัดเขาจัดแจง |
ท่านแม่ทัพทักถามตามระบอบ | โดยประกอบราชกิจไม่คิดแหนง |
สนทนาพาทีคดีแสดง | ให้ทราบแจ้งจริงกระจ่างหนทางมา |
แล้วถามถึงท่านเจ้าเมืองเรืองสถาน | อยู่สำราญรมย์สุขหรือทุกขา |
กรมการขานรสพจนา | มีท้องตราโปรดให้ลงไปกรุง |
จึ่งถามว่าได้ยินข่าวเขากล่าวหลาย | ว่าผู้ร้ายรุกร้นปล้นกันยุ่ง |
ต้อนวัวควายหลายคอกกันออกนุง | ถึงรบพุ่งฆ่าฟันทุกวันคืน |
เขาตอบว่าถ้าสมทบบรรจบจับ | มันรู้ศัพท์เสไพร่หนีไปอื่น |
แม้นไปน้อยลอยน้ำออกมายืน | ประจุบันยิงปังไม่รั้งรอ |
ต้องแตกถอยย่อยยับกลับมาหมด | มันทรหดเหี้ยวฮึกคึกหนักหนา |
ราวกับเสือเหลือสู้หมู่บีฑา | ชาวประชาชนงกสะทกสะเทือน |
สดับฟังนั่งคิดในจิตร้อน | อ้ายโจรจรฉกาจใจใครจะเหมือน |
เที่ยวราญรอนร้อนรำคาญทุกบ้านเรือน | ฟังสะเทือนถอนในฤทัยทวี ๚ะ |
๏ ครั้นทราบเสร็จแล้วลานาวาเคลื่อน | ครรไลเลื่อนแล่นไปในวิถี |
เห็นเรือรายขายค้าในวารี | ที่คู่มีเมียงชิดสะกิดเกา |
พระสุริยงลงลับพยับเมฆ | ให้วิเวกวาบทรวงนั่งง่วงเหงา |
วิหกเหินเกริ่นร้องก้องลำเนา | เรียกคู่เคล้าเคลียคลอเสียงจอแจ |
พินิจนกอกร้อนอาวรณ์เทวษ | แรมทุเรศเริศร้างมาห่างแห |
อกเอ๋ยอกนึกอายนกมาสอบแล | ให้ท้อแท้ถอนฤทัยอาลัยลาน |
เรือก็เรื่อยเฉื่อยฉิวละลิ่วไล่ | ถึงท่าไม้มองดูหมู่สถาน |
ลุบ้านกล้วยขวยจิตคิดรำคาญ | เสียงฆ้องขานอุโฆษที่งตะบึงไป |
คอยเรียกเรือเหนือค้าสารพัด | ใครหลีกลัดไล่จับไปปรับไหม |
เขาผูกถือซื้อช่วงเงินหลวงไป | ตั้งโรงใหญ่ยาวเคียงอยู่เรียงราย |
พอเลี้ยวแหลมแง้มที่ภาษีตั้ง | เห็นกุดังเด่นแควกระแสสาย |
ดูสูงกร้างทางท่าน่าสบาย | เครื่องจักรรายเรียงวางไร้กลางโรง |
ทำสะพานซานแซ่กระแสลาด | แลประหลาดลานตาดูอ่าโถง |
ใช้เครื่องจักรชักชุงพยุงโยง | เข้าในโรงเลื่อยรอเสียงกรอกรู |
แลริ้วริ้วรี่เรื่อยชะเฉื่อยแล่น | พอล่วงแด่นอัสดงลงรุบรู่ |
ขมุกขมัวมัวกลุ้มคลุ้มสินธู | พินิจดูฝั่งเฝื่อระเรื่อดำ |
ไม่กระจัดชัดแน่แลเสียเปล่า | เป็นเงาเงางุ้มแง่แลฉงำ |
เหมือนรูปกินรินร่อนยืนฟ้อนรำ | อสูรกำวาสุกรีทีดังเป็น |
รูปสิงห์สัตว์หยัดยืนทะมึนมาด | แลประหลาดหลากครันเหมือนฝันเห็น |
น้ำค้างย้อยพรอยพราวนั่งหนาวเย็น | เนตรเขม้นมุ่งชมไม่สมปอง |
แต่ผู้นำจำประเทคเขตสถาน | ตำบลบ้านบอกซัดไม่ขัดช้อง |
เห็นเนินลาดหาดนูนขึ้นมูนมอง | เรียกหาดกองสินตั้งฝั่งประจิม |
แต่ในลำน้ำขานย่านเปาหลอด | สุดจะสอดเสาะถามความหยุมหยิม |
หรือเป่าหลอดเลียบกระสายมารายริม | ท่องเที่ยวลิ้มโลมชู้ที่คู่เคย |
ครั้นสมรักสมัครมั่นจึ่งผันผาย | มาสู่สายสวาทเรียงเคียงเขนย |
ได้กองสินที่หินหาดเพราะมาดเชย | จึ่งได้เลยร่ำลือเรียกชื่อมา |
หรือกระไรไม่แน่เป็นแต่นึก | อย่าเพิกทึกถ้อยคำที่ร่ำว่า |
ถึงประจำรังแถลงแจ้งกิจจา | ว่ากุมภาพาลมีที่วนวัง |
สามยามย่ำร่ำพ่วงจนง่วงเหงา | ถึงหาดเสาหยุดจักรเข้าพักฝั่ง |
พบกองทัพพระพาหลดลประดัง | ทอดสะพรั่งพร้อมหน้าอยู่ราราย |
เข้าจอดเรียงเคียงข้างทางสะท้อน | อนาถนอนนึกไปแล้วใจหาย |
ประเดี๋ยวหลับประเดี๋ยวตื่นไม่ชื่นกาย | จนรุ่งสายสุริยายิ่งอาวรณ์ |
ต่างตื่นตารารายร้องทายทัก | อุตส่าห์หักเรื่องนิราศคลาดสมร |
สนทนาพาทีมีสุนทร | พอได้ผ่อนพักตร์ตรมอารมณ์เรา |
ที่เรือจอดทอดท่านั้นหน้าวัด | มีขนัดสงฆ์อยู่เชิงภูเขา |
จึ่งไถ่ถามอารามรายชายลำเนา | บอกว่าเขาวัดท่าธรรมามูล |
มีพระพุทธสุทธิ์เลิศประเสริฐฤทธิ์ | อันสถิตที่โบสถ์เป็นโสตศูนย์ |
ใครเคารพนบพระอันจรูญ | แล้วได้พูนสวัสดิ์จิตเป็นนิจรันดร์ |
ครั้นแจ้งใจไคลคลาขึ้นอาวาส | ตั้งจิตมาดหมายความตามกระสัน |
เคารพสงฆ์ทรงศิลาศรัทธาธรรม์ | พระพรหมจรรยารมณ์อุดมดี |
ดูอร่ามงามสง่าหน้าบรรพต | อุโบสถสุกใสประไพศรี |
บันไดสอก่อจรัสคันคีรี | เป็นนาคีเคียงทอดตลอดลาน |
ขึ้นบนชั้นบันไดด้วยใจหวัง | จนกระทั่งถึงศาลาหน้าวิหาร |
ระหวยหอบบอบกายอยู่ดายดาล | พอลมพานพัดชื่นระรื่นรมย์ |
จึ่งจุดธูปเทียนสมาบูชาพระ | คารวะนอบนบประสบสม |
พินิจนั่งภาวนาตั้งอารมณ์ | โดยนิยมยินรสพจนา |
ลำเร็จกิจพิศพุทธรูปพระ | ลักษณะทอดเทดังเลขา |
สุวรรณวามห้ามสมุทรสุทธิ์ศักดา | ที่กลางฝ่าพระหัตถ์ซ้ายมีลายลอย |
เป็นรูปจักรทักษิณแสนพิเศษ | จะสังเกตก็กลกับก้นหอย |
บางคนคิดจิตประสงค์ที่ตรงรอย | เอาผี้งย้อยยัดหยอดเข้าถอดลาย |
เขาเลื่องชื่อลือพระธรรมจักร | ตามลายลักษณ์ลอยวิไลเหมือนใจหมาย |
ทั้งศักดิ์สิทธิ์ฤทธีมีมากมาย | บ้างยกบายศรีมาตั้งนั่งประวิง |
เขาลือข่าวกล่าวฤทธิ์ประสิทธิ์เหลือ | พวกชาวเหนือนับถือหลายทั้งชายหญิง |
ใครขัดสนบนไว้แล้วได้จริง | เหมือนเทพสิงสถิตพระปฏิมา |
อันตัวเราเล่าก็พรากมาจากนุช | ไม่เสื่อมสุดสวาทสิ้นถวิลหา |
ขอเชิญเทพเทวฤทธิ์คิดเมตตา | จงรักษาเสน่ห์นางอย่าจางจร |
แล้วเลยลาคลาคลาดค่อยยาตรย่าง | ขึ้นบนโขดเขินเนินสิงขร |
ค่อยเลียบเลาะเกาะลัดดาอุตส่าห์จร | ขึ้นบนก้อนโขดเขาลำเนาเนิน |
ถึงยอดผาตาชมพนมมาศ | เห็นอาวาสเวิ้งว้างอยู่กลางเถิน |
พังทลายรายราบบหน้าเนิน | ค่อยเลียบเดินดูดาษอนาถใจ |
รูปพระองค์ทรงพุทธสุทธิ์สวัสดิ์ | ที่โปรดสัตวเศร้าหมองให้ผ่องใส |
มาหักกลิ้งทิ้งร้างอยู่กลางไพร | เห็นสุดใจที่จะจัดเหลือศรัทธา |
จะนาฏเนินเผินไศลก็ใหญ่ยืด | ดูเป็นพืชพุ่มทุมาลย์ชานภูผา |
นึกเกรงสัตว์บำหยัดยั้งถอยหลังมา | ลงนาวาคิดวนกระมลมอง |
ตัวจะไปใจจะมาให้ว้าหวาด | นึกอนาถนั่งคิดจิตสยอง |
พร้อมนายไพร่ในนาวาคณานอง | เป่าแตรร้องสั่งให้รีบไคลคลา |
สะพรึบสะพรั่งนั่งแลกระแสสินธุ์ | เสียงวารินแรงพานดังฉานฉ่า |
ในจิตเสียวเหลียวหลังคอยตั้งตา | แล่นนาวาหวั่นไหวตั้งใจมอง |
เห็บปลาโผนโจนน้ำแล้วดำดั้น | กระซิบกันว่ากุมภีล์ทีสยอง |
หัวสักศอกหลอกเล่าให้เฝ้ามอง | โดยคะนองนิกเล่นเช่นเดาเดา |
ถึงบ้านชีตักคะนนตำบลบ้าน | แล้วถึงย่านใหญ่นามมะขามเฒ่า |
ถัดถัดรายหมายมุ่งคุ้งตะเภา | แนวลำเนาเนื่องมาเรียกท่าซุง |
ก็สิ้นแคว้นแดนพิสัยเมืองชัยนาท | นิ่งอนาถนึกคิดจิตสะดุ้ง |
เรือยิงไปใจยิ่งดาลละลานลุง | เหมือนชลพลุ่งพล่านล้นที่กลกวน |
ขอคุณพระธรรมจักรหลักชัยนาท | จงบำราศร้างทุกข์สุขสงวน |
อย่าให้มีสรรพภัยสิ่งไรกวน | จงมีส่วนเกษมสันต์ทุกวันคืน |
ล่วงตำบลพ้นไปใจวิตก | เห็นเรือนรกโรยราไม่ฝ่าฝืน |
มีแต่ชื่อกระพือพงอยู่ยงยืน | จึ่งไม่ชื่นชมกล่าวให้ยาวนาน |
แล่นไปพ้นตำบลบ้านย่านระยะ | เข้าเขตมโนรมย์ชมสถาน |
ริมฝั่งรายชายเฟือยออกเลื้อยลาน | ยอดตระการก่อรายชายวารี |
ถิ่นตำบลชลอยู่ดูวิโยค | บ้านวัดโคกเคียงตั้งฝั่งวิถี |
ดูหงอยเหงาเงียบสงัดริมนที | ประเดี๋ยวลี้ลับตำบลพ้นคามา |
พอบ่ายแสงแดงสอดยอดไศล | ถึงเนินไผ่พุ่มตั้งริมฝั่งฝา |
ลัวนกอไม้ไผ่แถวแนวชลา | ถัดถึงท่าแขกคามนามภิปราย |
ว่าเดิมทีมีแขกมาสร้างบ้าน | แล้วทิ้งร้านโรงร้างไปห่างหาย |
กลับเป็นป่าหญ้าเฝือเหลือระคาย | บรรยายแยะแยกแขกตะนี |
ศีรษะดาลบ้านรายริมชายฝั่ง | ดูรุงรังริมแควกระแสสี |
มีเกาะขวางกลางวนชลธี | ก็แล่นลี้หลีกล่วงในทรวงตรอม |
ประเดี๋ยวสุขประเดี๋ยวโศกด้วยโรครัก | จนเรือจักรแล่นมาถึงท่าขอม |
มิได้วายรายตรมระงมงอม | ยิ่งเหนี่ยวน้อมเหมือนหนึ่งน้าวให้ร้าวรึง |
โรคอะไรในร่างพอร้างได้ | อันโรคใจเจ็บตันให้อั้นอึ้ง |
ยิ่งถอนถ่ายก็ไม่ถูกเหมือนผูกตรึง | เห็นเต็มตึงติดตันไม่บรรเทา |
ทอดระทมตรมอุราลีลาลาศ | ถึงบ้านหาดมะตูมคิดในจิตเหงา |
มะตูมผลหล่นหอมถนอมเนา | ไม่เทียบเต้าตูมอุบลพี่คนเดียว |
ถึงละเมาะเกาะเทโพโอ้มัจฉา | ไม่เห็นพาพวกพ้องขึ้นท่องเที่ยว |
หลบลงชลวนกันชมอยู่กลมเกลียว | เรามาเดียวมิได้เชยก็เลยจร |
ถึงอาศรมชมระย้าพฤกษาไสว | เรียกวัดใหญ่ภิญโญสโมสร |
แล่นครรไลไปจนสิ้นทินกร | ยิ่งอาวรณ์หวั่นใจกระไรเลย |
ถึงจวนจอดทอดเทียบเรียบระยะ | เรียกเมืองมโนรมย์นิคมเฉลย |
คิดคำเขาเล่านิยายภิปรายเปรย | ว่าชายหนึ่งเคยขี้เมาเหล้ากัญชา |
มันโหยกเหยกเกกเก่งข่มเหงราษฎร์ | ทำบังอาจเบียดเบียนเสี้ยนเคหา |
ชนระบือชื่อฉาวราวกับกา | ชาวคามาหมายจะตีเอาชีวัง |
ถึงคราวดีได้ช้างศรีเศวตรผู้ | นำมาสู่เสร็จสมอารมณ์หวัง |
ถวายพระองค์ทรงศักดิ์นครัง | จึ่งโปรดตั้งให้เป็นพระมโนรมย์ |
ครองแดนดินสุดสิ้นเสียงช้างร้อง | ประทานของภาชนะเครื่องตะถม |
ประดับยศงดงามตามนิคม | เป็นบรมสุขครันแต่นั้นมา |
พลางรำพึงถึงจะไปในคราวนี้ | ปราบไพรีโจรสิ้นทั้งสังขา |
แม้นเหมือนหมายได้นายมันมัดมา | เช่นคชาเฉลิมองค์พระทรงธรรม์ |
คงโปรดเปลื้องเลื่องยศปรากฏหล้า | ในใต้ฟ้าเฟื่องลือหฤหรรษ์ |
ได้สมสุขชุกชื่นทุกคืนวัน | นึกรำพันพาไปพอใจเพลิน ๚ะ |
๏ ฝ่ายผู้รั้งกรมการขนานหน้า | พร้อมกันมานบนั่งริมฝั่งเผิน |
ตั้งกองก่อเพลิงพลางสว่างเนิน | แลดูเพลินโพลงไปในนที |
ท่านไถ่ถามตามนุสนธิ์แต่หนหลัง | พอได้ฟังคำปากเป็นศักดิ์ศรี |
ได้ทราบเหตุเขตแคว้นแดนบุรี | ตามคดีสดับฟังนั่งคะนึง |
พออาทิตย์อุทัยเรือไฟออก | แล่นระลอกลั่นสล้างเสียงผางผึง |
ถึงสถานสะพานหินถิ่นสำคะนึง | นั่งตะลึงแลอาลัยมิได้ชม |
จนถึงบ้านหาดทะนงเฝ้าจงจิต | ทะนงคิดหาคู่ที่สู่สม |
เป็นเพื่อนไร้แรมเรื้อชิดเชื้อชม | ที่ระทมก็จะเบาบรรเทาลง |
รู้ลึกยั้งตั้งสติดำริตรึก | ไฉนนึกทะนงจิตพิศวง |
มาสงครามห้ามสวาทนาฏอนงค์ | เราควรคงคำมหาพระอาจารย์ |
ครั้นคิดกลับเกลื่อนรักพอหักเหตุ | ดูนาเวศวิ่งเพลินเกินสถาน |
แลริ้วริ้วทิวรุกขาริมท่าธาร | ถึงหมู่บ้านบอกระยะศีรษะยาง |
สิ้นประเทศเขตข้างเมืองช้างร้อง | ได้จดจองบ่อนเบาะเฝ้าเสาะสาง |
ล่วงเข้าแขวงพยุหะจังหวะวาง | ตำบลร้างรกที่ไม่มีชน |
นั่งถวิลจินตนาถึงท่าอ้อย | ลูกค้าคอยซื้อรับกันสับสน |
ท่าชาวดงลงกระทั่งถึงฝั่งชล | เลยตำบลบ้านไปตั้งใจจร |
จวบถึงจวนพยุหะดูเทวษ | หน้าบุเรศโลเลแทบเทถอน |
ดูรุงรังช่างกระไรไม่อาวรณ์ | เสือแทบซ่อนซุ่มได้ที่ในจวน |
ไม่รอจักรพักไฟไปเตลิด | เผอิญเกิดวายุพัดกลุ้มกลัดหวน |
เรือโยงยุดฉุดมั่นเข้าพันพวน | กำปั่นป่วนลมปัดพัดตะแคง |
แล่นตะบึงถึงบางผีโดยรี่รุด | พยุหยุดยั้งคิดในจิตแหนง |
กลัวผีหลอกออกขวางเอากลางแปลง | เร่งไฟแรงจักรจ้ำถึงน้ำทรง |
ดูเวิ้งรุ้งคุ้งใหญ่น้ำไหลอ่อน | จึ่งเรียกผ่อนผันนามตามประสงค์ |
เห็นอ่อนอับจับจำเป็นคำคง | เรียกน้ำทรงแต่ไม่นิ่งจริงเหมือนนาม |
แล้วล่วงเข้าย่านมัทรีมีคำหมาย | คุ้งกระสายยาวเยิ่นคิดเขินขาม |
ประมาณมากยากแท้ไม่แน่ความ | จึ่งเลื่อนลามเล่าเหตุเทศน์มัทรี |
พอเทศน์จบครบกำหนดก็หมดคุ้ง | จึ่งได้มุ่งหมายนามตามวิถี |
แต่จะขึ้นหรือล่องท้องนที | ก็ไม่มีปลายต้นเห็นจนใจ |
จึ่งคิดตอบสอบนาฬิกาตั้ง | เดินกระทั่งท้ายคุ้งมุ่งสมัย |
เรือไฟโยงโมงหมดกำหนดใจ | เข้าย่านใหญ่วังปราบทราบกิจจา |
ว่าเดิมทีมีกุมภามันร่าร้าย | เที่ยวแหวกว่ายวารินกินมัจฉา |
เห็นเรือขึ้นล่องลงในคงคา | มันแกล้วกล้ากลอกใกล้เข้าไล่คน |
กินเสียมากยากยับนับไม่ถ้วน | ต่างคนป่วนปั่นคิดจิตฉงน |
คิดพิฆาตมาดล้างให้วางชนม์ | มันคงทนแทงฟันไม่บรรลัย |
มีบุรุษสุทธิ์ประสิทธิ์วิทเยศ | เรื่องพระเวทวรฤทธิ์ประสิทธิ์สัย |
แต่งแพหยวกผูกยันต์ป้องกันภัย | เคารพไทยธรนิศร์ตั้งกิจกรรม |
แพลอยดลวนวังดังถวิล | วักวารินเรียกให้ออกมานอกถ้ำ |
พลางอ่านมนต์บ่นงึมเสียงพึมพำ | บริกรรมชื่อประชุมหมู่กุมภา |
จระเข้ร้อนนอนน้ำเหมือนสำลัก | พ่นไพลพลักโผล่ลำพองคะนองกล้า |
หมอก็หาญชาญกลด้วยมนตรา | เรียกกุมภาพาลเคียงเข้าเรียงรอ |
เร่งสาดน้ำพร่ำคาถาตาปริบปริบ | แล้วเยื้องหยิบด้ายยันต์เข้าพันศอ |
ผูกกระหวัดรัดหัวมันกลัวงอ | เอามีดหมอจดสมองมันร้องคราง |
กระโดดดิ้นสิ้นกำลังไพลพลั่งพล่าน | ลงกบดานสูญไปมิได้สาง |
ชนจึ่งลือชื่อแถลงแสดงทาง | เรียกบ้านบางปราบชี้คดีมา |
แล่นเรือพลางทางจำในคำกล่าว | ถึงยางขาวทอดทัพเข้ากับท่า |
ต้นยางเคียงเรียงรายชายคงคา | ทัศนานวลยางสล้างแล |
หยุดทัพค้างสร่างไสครรไลแล่น | ยลเขตแคว้นแควชลาท่ากระแส |
มีกรวดรายชายลาดหาดสะแก | สลับแลต้นสล้างริมทางธาร |
ถึงหาดตะนิวแนะชี้คดีเล่า | ว่ามีเต่าขึ้นไข่ในละหาน |
ทำรอยเรียบเทียบถูให้ดูลาน | แกล้งทำมารยาหวังระวังภัย |
คิดถึงสัตว์จัดแสร้งแต่งวิมุต | มิให้มนุษย์รู้จักจะลักไข่ |
เราพรากน้องหมองมาด้วยอาลัย | ยังมิได้ซ่อนรักเลยสักวัน |
รำพึงพาอาลัยเรือไฟแล่น | ล่วงเข้าแดนเมืองนครสวรรค์ |
ริมฝั่งรื่นพื้นรุกขาสารพัน | เร่งกำปั่นเร็วไปใส่ไฟฮือ |
บ้านบางฉ่าตั้งเรียงเคียงระยะ | บ้านโกรกพระยางตลาดเขาขานชื่อ |
บางชะพลูบ้านหว้าท่าสะตือ | บ้านเกาะชื่อช่างเหมาะเห็นเกาะมี |
ดูโดดเด่นเผ่นพินิจสถิตเสถียร | บ้านตะเคียนเลื่อนรายชายวิถี |
บ้านยางโทนต่อแถวแนวนที | ก็รีบรี่เลยบางทางจรัล |
ตะวันบ่ายชายแสงแฝงพฤกษา | ก็ถึงหน้าเมืองนครสวรรค์ |
เข้าจอดเทียบเรียบเรียงเคียงเคียงกัน | ดูเป็นหลั่นหลามหน้าท่าบุรินทร์ |
มีทำเนียบเทียบรับแม่ทัพตั้ง | อยู่บนฝั่งบูรพาน่าถวิล |
ดูเรียบรื่นพื้นพูนเขามูลดิน | สถานถิ่นเรือนรายริมชายชล |
พวกนักการงานเร่งระเบ็งเสียง | เขากวาดเกลี้ยงเกลื่อนถางทางสถล |
แล้วกรมการเดินตามมาสามคน | ถึงเรือกลก้มคำรบนอบนบเรียบ |
เชิญขึ้นนั่งยังทำเนียบที่เรียบรับ | ให้พักทัพทอดยังฝั่งเฉนียน |
ท่านรับเชิญเจริญคำเขาร่ำเรียน | ขึ้นบนเตียนที่ตั้งแล้วสั่งพลัน |
ให้นายงานการเสบียงเลี้ยงทหาร | ตรวจข้าวสารสืบสาวดูยาวสั้น |
ทางนทีที่จะไปอีกหลายวัน | คิดกะกันให้ตรงลงบัญชี |
พนักงานคำนับรับคำสั่ง | มาคิดตั้งตั๋วฎีกาตามหน้าที่ |
เบิกสำเร็จเสร็จส่งลงนาวี | หยุดราตรีตรอมใจอยู่ในเรือ |
พวกกรมการเกณฑ์พลมากล่นกลุ้ม | นั่งกองสุมเพลิงพลางสว่างเหลือ |
เสียงตีฆ้องมองยามคอยห้ามเรือ | มิให้เจือแจวเคียงมาเมียงมอง |
จนอาทิตย์อุทัยแสงขึ้นแจ้งจ้า | ครรไลลาแล่นไปดังใจหมอง |
ถึงเกาะเห็ดเล็ดล่วงในทรวงตรอง | เกาะมากองกีดขวางทางอยู่ไย |
ที่ริมธารชานกระสินธุ์เป็นถิ่นค้า | เรียกวัดท่าชับมองดูผ่องใส |
หนทางดอนจรลงท่าชลาลัย | ถัดขึ้นไปริมทางเรียกบางปรอง |
ออกชื่อบางหมางกระมลให้จนจิต | ไฉนคิดค่าคำร่ำสนอง |
เหมือนมิ่งมิตรสนิทในฤทัยปอง | เคยปรองดองเด็ดอาลัยมาไกลกัน |
วิโยคยากพรากนวลมาครวญคร่ำ | ถึงปากน้ำโพทอดจอดกำปั่น |
ด้วยน้ำตื้นพื้นบางทางจรัล | ต้องผ่อนผันถ่ายขนปรนโยธิน |
เรือที่ไปใหญ่ยาวในคราวนั้น | ชื่อกำปั่นเวสตาน่าถวิล |
เครื่องจักรจัดพัดพาไม่ราคิน | ดังจะบินแบกไปโดยใจปอง |
มาติดตื้นฟื้นชลเห็นจนจิต | จึ่งต้องคิดผ่อนปรนให้ขนของ |
เที่ยวเช่าเรือเหนือมาได้ดังใจปอง | โดยลำยองใหญ่ดีทั้งสี่ลำ |
ยังเหลือล้นปรนจ่ายเรือนายทัพ | บรรทุกปรับเพียบประแทบจะคว่ำ |
ยังแต่เกลือเหลือมากชนจากลำ | มอบให้กำนัลไว้ในตำบล |
นาวาแหวดแอดเดอรีขี่สำหรับ | ก็ถ่ายรับฝรั่งครูดูสับสน |
ต่างโยกย้ายถ่ายถอนจัดผ่อนปรน | ไปนั่งจนใจราอยู่หน้าเรือ |
ในลำท่านแม่ทัพขี่มีระยะ | ทางศีรษะโล่งลมระทมเหลือ |
หนาวฤดูพรูพร่างน้ำค้างเจือ | คะนึงเนื้อนุชนาฏไม่คลาดคลาย |
หมองอารมณ์ตรมอุรานักหนานัก | สุดจะหักอาดูรให้สูญหาย |
เห็นเรือแพแม่ค้าอยู่ราราย | เขาซื้อขายขึ้นล่องท้องนที |
ที่อยู่แพแลกระสันวรรณวิลาส | เอี่ยมสะอาดเอกนางสำอางศรี |
ดูจิ้มลิ้มยิ้มย่องต้องฤดี | ช่างเซ้าซี้แนบสนิทดูชิดชม |
เห็นคู่เขาเคล้าคลอนั่งรอพักตร์ | ระเริงรักเรียงคู่ที่สู่สม |
สรวลระริกซิกซี้คะรี้คะรม | แต่เราตรมเตรียมช้ำระกำกาย |
แกล้งทำเชือนเลือนแลแพสินค้า | เห็นมีปลาเต้าแตงตกแต่งขาย |
ทั้งใต้ชันน้ำมันยางตุ่มวางราย | น้ำตาลทรายยาสูบธูปไทยจีน |
บ้างนุ่งขาวสาวค้าเนื้อปลาสด | ช่างขี้ปดปิดซื่อไม่ถือศีล |
ประชันประชดสบถสะบัดพูดปัดปีน | ถึงเป็นจีนใจก็ทราบเรื่องบาปบุญ |
ค้าเม็ดบัวหัวผักกาดกวาดขึ้นไว้ | ของข้างใต้ติดเจือมาเกื้อหนุน |
เกลือพริกไทยใบชาปลาสีกุน | ชุลมุนมุ้งม่านดูลานตา |
ผ้าลายตั้งทั้งกุลีมีแพรหลิน | ทุกสิ่งสิ้นสารพัดเขาจัดหา |
ของข้างเหนือเหลือหลามตามกันมา | เป็นทางท่าสมทบแควกระแสลง |
ที่บนฝั่งตั้งศาลขานม้าล่อ | เจ๊กไม่ฮ้อซวยเสียหาเฮียก๋ง |
ปล่อยผมเปียเคี้ยปนเถาคุกเข่าลง | ให้โต้หลงจีนตึ๋งไปตึ้งซัว |
แม้นขายหมูอู้จี่มีมั่งคั่ง | หางิ้วหนังมาคูเล่นเช่นเจ๊สัว |
ตั้งโต๊ะเลี้ยงเหล้าหมูอู้ซิมกัว | ยกเป็นตั้วยี่ใหญ่ใช้นิ้วมือ |
ชมตำบลจนค่ำต้องจำค้าง | ใกล้สว่างนอนหนาวลมว่าวหวือ |
ไม่มีฝาผ้าบังตั้งกระพีอ | เสียงฮือฮือหวนให้ใจคะนึง |
แรมนิราศคลาดนุชก็สุดยาก | ลมยังกรากโกรกพัดเอาอัดอึ้ง |
น้ำค้างหยาดสาดซํ้านอนรำพึง | นิ่งคะนึงหนาวอุระจนอรุณ ๚ะ |
๏ จะกล่าวฝ่ายนายบ้านปานเศรษฐี | แกมาที่ท่านแม่ทัพสนับสนุน |
อะไรขัดจัดเกื้อช่วยเจือจุน | เหมือนดังคุ้นเคยรู้จักมาทักทาย |
จึ่งไถ่ถามตามไมตรีที่มาทัก | ได้ประจักษ์แจ้งเค้าเล่าขยาย |
เดิมเป็นคนจนยากลำบากกาย | คิดผันผายผ่อนมาตั้งหากิน |
อยู่ปากน้ำโพนี้สิบปีกว่า | ตั้งกองค้าขายรับได้ทรัพย์สิน |
ปีกลายนี้มีศรัทธาไม่ราคิน | ด้วยจิตจินตนาการมานานครัน |
สร้างอาศรมโดยนิยมบนยอดเขา | แลเสลาลอยเมฆได้เสกสรร |
ชี้ให้ดูอยู่บนดอนสิงขรคัน | นั่งชมบรรณศาลาอยู่หน้าเรือ |
แต่ยังร้างค้างราด้วยหน้าฝน | จะแบกขนของก็ยากลำบากเหลือ |
จึ่งรวมรอห่อหุ้มไว้คลุมเครือ | จนเต็มเฝือแฝงตาลัดดาปน |
พอดกแล้งแห้งน้ำจะร่ำรุด | ให้สิ้นสุดแล้วลุการกุศล |
ไว้เป็นทรัพย์สำหรับกายเมื่อวายชนม์ | เป็นถนนนฤพานกันดารดง |
ท่านแม่ทัพสดับสารตาปานบอก | ศรัทธาออกสิบสองบาทอังคาสสงฆ์ |
แกโมทนาสาธุโดยจุจง | ให้พรส่งเสริมศรัทธาสถาพูน ๚ะ |
๏ ครั้นเสร็จสรรพเคลื่อนทัพออกจากท่า | แล่นนาวาหวังสวาสดิ์ไม่ขาดสูญ |
เรือยิ่งไปใจยิ่งเฝือเหลืออาดูร | ยิ่งเพิ่มพูนรักร่ำระกำโกย |
เห็นต้นเลาเสลาดอกออกกำดัด | พระพายพัดพาลกระพือพาฮือโหย |
ละอองขาวราวสำลีประชีโปรย | ประดาษโดยแดนชลหล่นละลาย |
ถึงแหลมโหลโร่รุ้งเป็นทุ่งกว้าง | เห็นนกยางขยอกยืนกลืนอาหาร |
เสียงซอแซแซ่ซื่นรื่นสำราญ | ตะลึงลานแลรายชายสาคร |
วิเวกว้าชลาเหลิงกระเจิงไหล | ถึงบ้านใหม่เรือนหมู่ดูสลอน |
พรึกสะพรั่งบังศรีรวีวร | ไม่รุ่มร้อนเหมือนเราเร้าฤดี |
นาวาวิ่งยิ่งพูนอาดูรเด็ด | ถึงบอระเพ็ดพิศบ้านสถานที่ |
เห็นสาวสาวชาวบ้านปลาดูราคี | ผิวฉวีหมองคล้ำไม่น้ำนวล |
ด้วยถูกแดดแผดสกนธ์จึ่งหม่นหมอง | เพราะลงหนองจับปลาดูน่าสรวล |
เกลือกแต่ตมงมแต่ปลักไม่รักนวล | สุดชวนชมแก้วตาให้พาเพลิน |
ที่ริมบ้านธารดูมีคูร่อง | ไปออกช่องชานหนองเป็นคลองเขิน |
ถึงดอนคาท่าสถานกันดารเดิน | นึกดำเนินความที่เขาเล่าแสดง |
ว่าใครใครอยากจะใคร่กินเต่า | ไปอยู่เขากะลาวาจาแจ้ง |
อยากกินปลาสารพันจำนรรจ์แจง | อยู่ตำแหน่งบอระเพ็ดเป็นเสร็จกัน |
อีกคำว่าถ้าจะชมสมสนุก | ให้เป็นสุขสะสมภิรมย์ขวัญ |
ไปสถานบ้านดอนคากลางอารัญ | ชมนางครรไลลาตักวารี |
ว่าทางไกลไปเปลี่ยวคอยเที่ยวตัก | ประสบพักตร์อนงค์ชมประสมศรี |
กำเริบฤทธิ์อิศโรเรื่องโลกีย์ | ฟังคดีดูอุบาทว์ประหลาดความ |
นึกกังขาถ้าจะเป็นก็เห็นผิด | ใครหนอคิดหลากผู้สู่สนาม |
เป็นโคถึกออกทุ่งมุ่งตะกลาม | เที่ยววิ่งตามติดสุรางค์นางกระทิง |
คิดไปพลางทางแลเห็นแควแยก | อกจะแตกเตือนสะดุ้งนึกสุงสิง |
เหมือนรักแยกแตกบำราศอนาถจริง | เฝ้าคิดกริ่งตรึกถามนามภิปราย |
กำนันนำร่ำชี้คดีเล่า | เขารู้เค้าเขตขัณฑ์ที่มั่นหมาย |
ซ้ายนาวาน้ำเวิ้งปากเชิงกราย | หนทางผายผันเนื่องเมืองกำแพง |
เราไปขวาชลาลานเขาขานไข | เมืองพิชัยชี้จดไม่หมดแขวง |
เนื่องชโลโยนกยกมาแจง | สุดจะแจ้งจดระบิลให้สิ้นกลอน |
พลางชมเชิงชลาลัยหญ้าใบเขียว | สามหาวเดียวดอกเด่นเห็นสลอน |
หญ้าพองลมนมแนบแกมนมงอน | แฝงกอบอนใบระบัดสลัดลม |
แมลงหวี่หวีหวู่บินฉู่ฉ่า | ปลาสร้อยส้าเสือแฉลบแอบประสม |
ว่ายระริกกระดิกดูเป็นหมู่กลม | ปลาเสืออมชลปรีดฉีดแมงวัน |
พลัดตกผลอยฝอยฟุ้งดูยุ่งแย่ง | ปลาเค้าแว้งวูดวาดไล่ผาดผัน |
ชะโดต้องล่องลอบประกอบกัน | ระลอกลั่นไล่คว้าฮุบซ่าซิว |
ชมมัจฉาพาเพลินถึงเนินไผ่ | เรียกบ้านไร่แลเป็นหลั่นกำปั่นฉิว |
เห็นแต่ไม้ไผ่แนวเป็นแถวทิว | ดูริ้วริ้วเรือรุดไม่หยุดรา |
ถึงทับกฤษคิดกริ่งนิ่งอนาถ | เสียงวูดวาดแหวกว่ายกระสายซ่า |
สยองสยดระทดทุ่มว่ากุมภา | แล่นนาวาหวั่นใจกลัวภัยพาล |
แลดูชนบนฝั่งที่ตั้งอยู่ | ไม่เป็นหมู่โรเรเคหฐาน |
ช่างเต็มแกนแสนเข็ญเห็นกันดาร | เหลือทนทานทับกระท่อมดูกรอมกรอย |
พอบ่ายสามนาฬิกาก็ราจักร | เข้าหยุดพักพลที่ไร่ไผ่หยอกหยอย |
เห็นคนเฒ่าเหย่าย่องช่างตองตอย | แกแอบต้อยตาตั้งมานั่งมอง |
จึ่งปราศรัยไถ่ถามตามสงสัย | บ้านอะไรไร่ป่าตาเจ้าของ |
แกช่างตอบชอบอารมณ์ให้สมปอง | ตะโกนร้องบอกดังว่าวังนา |
ท่านชอบใจให้หิรัญอันหนึ่งบาท | กลับพาญาติเหลนหลานคลานมาหา |
ท่านก็ให้เฟื้องสลึงถึงราคา | ตามศรัทธาทั่วถ้วนพอควรการ |
๏ ครั้นสุรีย์ศรีแสงฉายชายพฤกษา | แล้วก็ลาแล่นน้ำลำละหาน |
จนเย็นย่ำค่ำยลอนธการ | ล่วงทิวารลับตะวันจันทร์กระจาย |
ล่องสว่างทางครรไลพอได้ทุ่ม | เข้าจอดซุ่มทัพค้างบางสวาย |
กำดัดดึกเดือนดับระงับกาย | พอสางสายสุริยันก็ครรไล |
เรือระรี่เรื่อยมาบางปลากด | เลี้ยวคุ้งคดโคกม่อมีกอไผ่ |
ระยะย่านบ้านบางนั้นห่างไกล | แต่บอกไว้วางเค้าสำเนาทาง |
ถึงเกยชัยใจเต้นเห็นศาลเจ้า | เดิมเขาเล่าว่ากุมภาหน้ามันด่าง |
อยู่ตำบลวนนี้เป็นที่ทาง | เที่ยวไล่ล้างคนกินสิ้นอนันต์ |
เห็นเรือล่องหนุนล่มให้จมน้ำ | แล้วคาบซ้ำในกระสินธุ์สิ้นอาสัญ |
ไม่อาจล่องเรือแพมาแจจัน | เพราะกลัวมันจะมากินสิ้นชีวี |
ครั้นนานมาเขาจึ่งฆ่ามันลงได้ | ตัดหัวไว้วางประจานบนศาลผี |
ยังตั้งอยู่ดูสลัวหัวกุมภีล์ | จึ่งได้มีชื่อขนานศาลเกยชัย |
นั่งรำพันจนตะวันลงเฝือแฝง | ถึงวัดชมแสงหยุดจักรพักอาศัย |
รุ่งอรุณเร่งบอกออกเรือไฟ | แล่นเข้าในแขวงพิจิตรคิดจำนวน |
เขตซึ่งต่อล่อแหลมอยู่แง้มซ้าย | มีเรือนรายริมฝั่งกำมังด้วน |
มะขามเรียงเคียงวังกร่างจะร้างซวน | สุดจะครวญครุ่นชี้คดีแดน |
เนินมะกอกบอกย่านอีกบ้านไร่ | เป็นป่าไม้มุ่นหมกหญ้ารกแสน |
ถึงบ้านช้างร้างชนด้วยกลแกน | ก็ล่วงแล่นลับไปอาลัยเลย |
โอ้นิราศคลาดรักอลักเอลื่อ | มาแล่นเรือซมรกโอ้อกเอ๋ย |
เห็นเรือนไหม้ไฟล้มลมรำเพย | เถ้าระเหยหอบฮือกระพือจร |
อันเรือนเราเล่าก็ไร้มิได้เฝ้า | จะถูกเถ้าทัพระคายสายสมร |
ทั้งร้อนเถ้าเร้ารักหนักอาวรณ์ | ไหนจะผ่อนพ้นโรคที่โศกซม ๚ะ |
๏ สงสารสุดนุชจะหมองละอองอบ | นั่งเซาซบซูบศรีไม่หวีผม |
ทุกข์ถึงเราเศร้าถึงกายไม่วายตรม | นิ่งระทมสู้ทนแต่กลกรรม |
พี่อยู่ด้วยฉวยว่ามีกลียุค | สักหมื่นทุกข์แสนทับมาสรรพสัม |
มิได้ทิ้งนิ่งให้น้องต้องตรากตรำ | นี่จนจำใจลาสุดาดวง |
ถึงตัวไกลใจยังกล่อมถนอมพักตร์ | ภิรมย์รักร้อนใจเป็นใหญ่หลวง |
เรือยิ่งไกลใจยิ่งกลุ้มถึงพุ่มพวง | รักจะตวงเห็นจะโตกว่าโลกา |
มาถึงย่านบ้านบางงิ้วละลิ่วเลื่อน | น้ำสะเทื้อนเรือสะท้านเสียงฉานฉ่า |
บ้านมูลนาคสองฟากรายชายคงคา | พักนาวาแวะค้างสว่างจร |
แล่นเรื่อยเรื่อยแลไรไรบางไข่เน่า | ชะวากเว้าเวิ้งกระแสแลสลอน |
เรียกคลองไกรไหลมาแต่ป่าดอน | ออกนครพิจิตรเก่าเล่ารำพัน |
คลองบางไผ่ไหลล้นชนบางโป่ง | เป็นคุ้งโค้งคดคู้ดูขยัน |
สุดวิสัยไม่รู้บางทางจรัล | เรือก็บรรลุถิ่นบ้านสินเทา |
สงสัยนามตามในน้ำใจคิด | หรือประดิษฐ์ดัดแปลงแถลงเล่า |
ชื่อสินธพกลบกล้ำกลืนสำเนา | หรือสินเธาว์ธาตุเกลือในเนื้อบาง |
นึกพินิจคิดเห็นเป็นประหลาด | ถึงบ้านหาดแตงโมดูโตกว้าง |
น้ำลดลาดหาดมูนขึ้นพูนกลาง | แลดูพร่างพราวตาริมวารี |
ยลกรวดทรายรายระหว่างทางทุเรศ | ลุประเทศคามาตาขุนสี |
เดิมผู้เฒ่าเจ้าสำนักนั้นศักดิ์มี | ได้รับที่ประทวนหมายนายกำนัน |
ถึงบ้านหนึ่งนามพูดจังกูดเจ๊ก | ผู้ใหญ่เด็กเรียกดังฟังดูขัน |
ช่างให้ชื่อถือจำเป็นสำคัญ | จะถามคั้นเค้าเดิมว่าเคลิ้มคลาย |
ที่น้ำนูนพูนขวาซ่ากระสินธุ์ | สะพานหินเห็นขวางกลางกระสาย |
เรือเดินแนบแอบจรัลตะวันชาย | ทางฝั่งซ้ายสุดสิ้นที่หินดาน |
บ้านงิ้วรายชายชลมีต้นงิ้ว | สูงละลิ่วแลดอกออกประสาน |
นกเอี้ยงออซอแซแซ่สำราญ | ร้องประสานเสียงเพราะเสนาะนวล |
บ้านห้วยเกดเหตุผลมีต้นเกด | ทางประเวศไปเมืองคำปลายน้ำด้วน |
ในพื้นธารดาลตื้นไม่ชื่นชวน | เรือกระบวนบ่ายบากยักยากจร |
พระสุริยาราแรงสร่างแสงเศร้า | ถึงบ้านเขาลูกช้างอ้างสิงขร |
แลเป็นกลุ่มพุ่มรุกขาเวลารอน | ดังกุญชรเชิญชัดกระจัดตา |
เข้าทอดเทียบเลียบหน้าท่าสำนัก | พระจันทร์ชักรถล่องห้องเวหา |
ยลแสงจันทร์ดั้นเมฆวิเวกตา | คะนึงหน้านวลฉวีจับศรีจันทร์ |
สักเมื่อไรจะได้ยลวิมลพักตร์ | ให้ร้อนรักรัญจวนใจจนไก่ขัน |
พอรุ่งรางสว่างสายขึ้นพรายพลัน | ชาวบ้านนั้นมาคำนับแม่ทัพชัย |
มียอดผักฝักถั่วหัวผักกาด | ยกกระจาดลงมานั่งปราศรัย |
พร้อมลูกเต้าเผ่าพันธุ์ที่ครรไล | ท่านแจกให้เงินทั่วทุกตัวคน |
เสร็จรางวัลปันให้ด้วยใจเจตน์ | ก็ประเวศนาวาพาพหล |
บ้านถัดถัดขนัดรายริมสายชล | บางตำบลนี้เล่าเรียกเขาพระ |
แล้วเลยต่อล่อหลามมีนามบ่ง | ศีรษะดงเด่นเคียงเรียงระดะ |
ดอกเลารายชายเชยขอเลยละ | ถึงจังหวะวังฟ้าผ่าสัจจาเจียว |
เห็บทุ่งนาปลาชุมผุดปุ๋มป๋อม | วิหคจ๋อมเล็บจับไล่ฉับเฉี่ยว |
นกกาน้ำดำระลอกเป็นกลอกเกลียว | นกนางเหยี่ยวเยื้องท่าถาบถาลง |
นกนายงั่วตัวดีทีจะจับ | ทำขยับยักตลบสบประสงค์ |
นกออกแอบแนบออริมกอพง | กระสาส่งเสียงซ่าชลาลาน |
นกยางกรอกซอกเซื่องค่อยเยื้องย่อง | กระทุงล่องลอยแพแลขนาน |
จะกรุมโกร๋นโล้นศีรษะแลละลาน | ส่องประสานสอดสีสุริยัน |
ต้อยตีวิดติดแตร้องแต้แหวด | นางแอ่นแอดอัดลมดูคมขัน |
เดินกระดกยกหางอยู่กลางคัน | นกกดขันตอเหมือนอูดปูดปูดไป |
นกกิ้งโครงโคลงเคล้าเฝ้ามหิงส์ | นกเอี้ยงอิงแอบเอี้ยงส่งเสียงใส |
ชมวิหคนกบางพลางครรไล | พอเรือใกล้บินกลุ้มขึ้นพุ่มพง ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพทัศนาชลาลาด | เห็นเรือดาษดื่นจอดทอดระหง |
เฉลวปักเป็นสำคัญไว้มั่นคง | คือบอกตรงว่าจะขายเป็นรายวาง |
จึ่งสั่งให้เรือไปเลียบเข้าเทียบท่า | ถามซื้อหาเห็นชัดไม่ขัดขวาง |
เจ้าของบอกออกให้ไม่ระคาง | ตามแบบอย่างเล็กใหญ่ในราคา |
ลำหนึ่งใหญ่ใหม่ปลั่งห้าชั่งสิบ | ลำย่อมหยิบยกมาดปรารถนา |
ลดให้หกสิบบาทขาดราคา | ต่อถอยมาเป็นไม่ลงอยู่คงตัว |
ชวนกันก้มชมมองห้องเรือเรียบ | กงตะเกียบขวาซ้ายทั้งท้ายหัว |
กระดานพื้นลื่นละอองไม่หมองมัว | พินิจทั่วประทุนท้ายสบายบาน |
นับเงินให้ในจำนวนไม่ชวนช้า | สิบชั่งห้าตำลึงลงที่คงขาน |
ไม่เกี่ยงงอนผ่อนเวลาให้ช้าการ | เจ้าของกรานกราบคำนับมารับเงิน |
แล้วให้คนขนของกองทัพใส่ | บรรทุกได้อักโขโตยาวเยิ่น |
เครื่องถ่อแจวจัดให้ไม่ก้ำเกิน | พอเสร็จเกริ่นแตรบอกให้ออกเรือ |
ทหารถ่ออ้อแอ้พอแก้ขัด | ไม่สันทัดทีก้าวเหมือนชาวเหนือ |
ด้วยขัดคนเอาทหารเข้าจานเจือ | การถ่อเรือเวียนวนนี้จนจริง |
ทีผูกพ่วงล่วงครรไลแล่นไปหน้า | ที่ถ่อช้าเฉื่อยหลามตามตลิ่ง |
ถึงบ้านกำมังคิดจิตประวิง | เป็นกรรมสิ่งใดหนอมาก่อกรรม |
บ้านบางเทียนเพี้ยนแผกเห็นแปลกจิต | คะนึงคิดเทียนทองของงามขำ |
เคยจุดส่องผ่องพักตร์พี่ลักจำ | ดูเป็นน้ำนวลศรีฉวีวรรณ |
บ้านสวนแตงเห็นผลแตงแฝงระบัด | งามกำดัดร่มใบใจกระสัน |
ถึงนวลแตงแฝงละอองดูผ่องพรรณ | ไม่เหมือนขวัญนวลเนื้อที่เจือใจ |
รำพันนวลชวนช้าเวลาเฉลย | ถึงบ้านเกยชัยแจ้งแถลงไข |
เป็นสองนามถามเหตุสังเกตใจ | ชื่อเกยไชยชื่อกำมังนี้ยังแคลง |
เขาบอกว่าที่ล่วงมาแล้วแต่หลัง | เรียกกำมังด้วนหนอต่อชุมแสง |
แล้วปากน้ำเกยไชยพิไรแจง | ที่จดแขวงนครสวรรค์ต่อกันมา |
พึงกำหนดจดไว้อย่าให้คลาด | แล่นลีลาศแลหลามบ้านสามขา |
ฟังชื่อบ้านขานกล่าวกันยาวมา | ใส่สาราเรียงร่ำที่รำพัน |
ฟังไม่เพราะเสนาะรสนั่งจดถ้อย | อีเต่าน้อยนามตั้งดูช่างขัน |
แล้วหนองหนูชูชื่อลือจำนรรจ์ | เป็นสำคัญคำกล่าวช่างยาวโยน |
รำพันรื้อชื่อบ้านขึ้นขานไข | อีเต่าใหญ่กลับยาวยิ่งกราวโขน |
แล้วยังขานบ้านหนึ่งบึงตะโกน | ช่างแผดโผนพูดกันทุกวันมา |
ไม่กระเดื่องเคืองคำร่ำขรม | บ้านวังกรมกรมอะไรใจกังขา |
บ้านน้ำกรัดอัดอั้นตันอุรา | บ้านวังปลาดุกตั้งริมฝั่งชล |
ถึงท่าหลวงล่วงเวลาจอดนาเวศ | สองทุ่มเศษสำนักพักพหล |
มีทำเนียบเทียบทางเป็นอย่างยล | ทั้งผู้คนคอยรับประคับประคอง |
แต่มาตั้งฝั่งขวาบุรพาทิศ | จวนสถิตฝั่งซ้ายย้ายเป็นสอง |
กรมการกะเวรตั้งเกณฑ์กอง | ให้ตีฆ้องขานยามคอยห้ามเรือ |
อนาถนิ่งกริ่งตรึกรำลึกคิด | พระพิจิตรจงใจอาลัยเหลือ |
ครั้งขุนแผนพักทหารก็จานเจือ | ประกอบเกื้อการุญหนุนสงคราม |
ยกบุตรีศรีมาลายุพาพักตร์ | ให้บุตรรักร่วมณรงค์ทรงสนาม |
กำลังหนุ่มชุ่มชายชื่อพลายงาม | ทั้งสองทรามสวาทสมอารมณ์ปอง |
เราแรมร้างค้างมาดูว้าเหว่ | ต้องร่อนเร่ร่อนในฤทัยหมอง |
ถ้าแม้นมีมาลามาประคอง | เหมือนดังจองจิตจริงได้อิงอัง |
จะถนอมกล่อมโฉมประโลมประเล้า | นั่งคลำเคล้าวรนุชให้จุดหลัง |
จะเหน็บแนมแกมกวนให้ซวนซัง | แล้วจะนั่งปลอบน้องครองไมตรี |
เมื่อรุ่งวันครรไลจะไปทัพ | จึงจะปรับปรุงนางสำอางศรี |
ให้จำจิตพิศวาสมาดไมตรี | รอนไพรีแล้วจะมาอย่าอาวรณ์ |
คะนึงขนิษฐ์จนอาทิตย์ขึ้นไขแสง | ดูแจ่มแจ้งดวงจรัสประภัสสร |
เห็นเรือแพแม่ค้าในสาคร | นั่งชะอ้อนแอบคู่ดูละมุน ๚ะ |
๏ ฝ่ายกรมการนอนกองมานองแน่น | ล้วนปึกแผ่นภาคพื้นเป็นหมื่นขุน |
ยกถาดรองของเกื้อมาเจือจุน | กล้วยขนุนเนื้อปลาสารพัน |
มาเสนอบำเรอเรียงเคียงคำนับ | ท่านแม่ทัพตอบปองเป็นของขวัญ |
เสื้อสักหลาดราชปะแตนแทนกำนัล | แล้วก็ครรไลลานาวาเดิน |
เห็บฝั่งรายชายชลต้นขนุน | บางสีตุนชื่อบ้านเขาขานเขิน |
บ้านปากทางห่างหมู่ดูไม่เพลิน | เรือไฟเดินจักรดังกึงกังไป |
ยลหาดทรายรายรอยกุมภาพ่าน | มันลนลานหลบลงท่าชลาไหล |
นิ่งกบดานเรือเดินสะเทิ้นใจ | เห็นแต่ไพลพลุ่งชลนั่งขนพอง |
เชิงชลาหญ้าไหวไปหวั่นหวั่น | เอาเรือหันเข้าตลิ่งค่อยวิ่งหย่อง |
เห็นกุมภาราแรงตากแสงทอง | ไปแอบจ้องจับมาแต่ป่ารก |
ตัวหนิดหนิดจิตกล้าอ้าปากหวอ | มันขู่ฟ้อฟัดตัวหัวปะหงก |
เอาไม้ใส่ไล่งับดังกับยก | ไม่พลัดตกตาเขม้นดุเป็นมัน |
ออกเดินทางพลางแลกระแสซึ้ง | เห็นบ้านหนึ่งมีหาดลาดจอมขวัญ |
ทั้งสองฝั่งตั้งเรียงเรือนเคียงกัน | มีพืชพรรณผลพื้นดูรื่นเรียง |
เลยกระทั้งวังมะเดื่อเรือแน่นอัด | ล้วนขนัดเจ๊กแน่นประแปร้นเสียง |
เข้าซึ้อเรือเหนือปรนขนเสบียง | ผ่อนลำเลียงแล่นถลันตามกันมา |
ลำนี้ใหญ่ใหม่มั่นเป็นมันปลาบ | น้ำมันอาบอ่องเอี่ยมเลี่ยมเลขา |
วิไลลายระบายระบัดทัศนา | เป็นราคาหกชั่งใหม่ทั้งตัว |
จรัลเรียงเคียงกันวังคันไถ | ถัดขึ้นไปวังถํ้าย่ำสลัว |
เสียงโจษจนอนอึงพวกตึ้งซัว | มาตั้งพัวพักโยงอยู่โรงความ |
บ้านท่าล่อกอแกล้วนแต่เจ๊ก | ลงจั้งเอ๊กอึกทึกไม่นึกขาม |
ตั้งโรงโปโฮเต็ลเที่ยวเล่นลาม | ชาวนิคามเขตเหนือจะเจือจุน |
สงสารสาวชาวเหนือเหลือลำบาก | เจ๊กมันถากแถกเสียปี้ป่น |
ตั้งล่อลวงล้วงกินเอาสิ้นตน | ที่ไม่ซนก็ค่อยไสสไบบาง |
รำพึงไปในนาวีไม่มีสุข | เห็นเจ๊กพลุกพล่านอาศัยบ้านไผ่ขวาง |
เหมือนยาดำคำว่าอย่าระคาง | คงมีวางไว้ระคนเข้าปนยา |
ครรไลเลยแลลาดบ้านหาดสูง | อยู่เป็นฝูงแฝงในไพรพฤกษา |
หาดมูลควายรายเรียงเคียงกันมา | แล่นนาวาลับตะวันจันทร์กระจาย |
ถึงบ้านดงเศรษฐีชี้กระจัด | ล้วนปาชัฏชมไพรน่าใจหาย |
ดูโรงเรือนเหมือนจะพังประทังกาย | ไม่สมหมายเหมือนเศรษฐีมีเงินทอง |
ครรไลล่วงลับไปไกลสถาน | พอถึงย่านยาวเดือนก็เลือนล่อง |
เข้าพักทัพยับยั้งให้นั่งกอง | พอเรืองรองสุริยันก็ครรไล |
ถึงสถานชานชลาหน้าวัดหงส์ | เห็นพระสงฆ์สวดคาถาศาลาใหญ่ |
พระปริตรสิทธิกรรมอันอำไพ | พลางอวยไชยันโตอาโปปราย |
ท่านรารุดหยุดจักรพักคำรบ | พอสวดจบจัดจองของถวาย |
ชาบุ้นพ้อยี่ห้อหอมเข้าน้อมกาย | จัดจำหน่ายนบพระที่ประโปรย |
ออกจากวัดตัดข้ามสนามเคล้ | ให้ว้าเหว่วาบในฤทัยโหย |
เป็นที่กลางหว่างเขตทุเรศโรย | กำนันโดยสารชี้คดีแดน |
สิ้นเขตแคว้นแดนบุรีเมืองพิจิตร | เข้าแขวงพิษณุโลกยิ่งโศกแสน |
ยลรุกขาสารพันประกันแกน | ในแขวงแคว้นเขตรายตามชายชล |
ไม้อำภาร่ารื่นดูชื่นชุ่ม | บ้างเป็นพุ่มพวงปริพึ่งผลิผล |
เห็นส้มโอโตย้อยห้อยอยู่บน | ที่บางต้นดังฉัตรระบัดใบ |
งามตระการก้านกอเป็นช่อชิด | นั่งพินิจแนวแควกระแสไส |
เรือแล่นล่วงพ่วงมารีบคลาไคล | เห็นบ้านใหม่บอกแจ้งกำแพงดิน |
ตั้งเป็นหย่อมกระท่อมทับยับชำรุด | โคกสลุดเหลือจะคิดจิตถวิล |
หาดตะกูดูรายชายวาริน | แล้วถึงถิ่นบ้านสะพรั่งเรียกวังยาง |
ระยะย่านบ้านหมู่นี้ก็มีเนื่อง | จะร่ำเรื่องรื้อจัดก็ขัดขวาง |
เรือไฟพ่วงล่วงหลามไปตามทาง | พอถึงบางน้ำหลากเรียกปากพิง |
เป็นทางลัดตัดจรัลสวรรคโลก | หน้าน้ำโกรกกรากทบลบตลิ่ง |
เขาล่องแพมาออกแควปากน้ำพิง | ดังม้าวิ่งไวฉิวละลิ่วลม |
ถึงคุ้งเปลี่ยวเลี้ยวลำริมน้ำคู้ | พินิจดูในนามเห็นงามสม |
ช่างหลายลดคดทางบางนิคม | จะนิยมยกเหตุสังเกตเกิน |
จึงนิ่งอั้นครรไลฤทัยสะท้อน | ถึงบ้านดอนดาลจิตให้คิดเขิน |
ช่างแห้งโหยโรยร้างอยู่กลางเนิน | ไม่น่าเพลินพลางคิดจิตรำคาญ |
ถึงท่าแคแลรายริมชายฝั่ง | พอเรือคั่งแข่งเรียงเคียงขนาน |
กำลังแดดแผดจ้าเวลากาล | หยุดสนานสำนักร้อนผ่อนสบาย |
ที่เชิงหาดลาดละหานมีธารท่า | บ้านขอนม้าบอกกำหนดลงจดหมาย |
มีพฤกษาเรือกสวนชวนสบาย | พากันผายผันขึ้นนั่งบนฝั่งพรู |
เห็นกระท่อมหย่อมเหย้าดูเหงาเงียบ | ได้ยินเกรียบกรับเสียงเข้าเอียงหู |
มีหญิงแม่ลูกนั่งบังประตู | เห็นคนกรูเกรียวกลัวจับตัวตน |
ท่านแม่ทัพสดับกิจคิดสงสัย | ร้องเรียกให้ออกแจ้งแห่งนุสนธิ์ |
อยากทราบความตามในน้ำใจจน | อย่านิ่งทนทุกข์กายให้ดายแด |
ฝ่ายหญิงยากบากเบือนค่อยเลื่อนออก | มาข้างนอกนบนั่งฟังกระแส |
เห็นกองทัพสับสนทำลนแล | ดูท้อแท้ทีสะทกตกตะลึง |
แล้วแจ้งว่าประชาชนตำบลนี้ | เขาหลีกลี้ละบ้านไปนานถึง |
ว่ากองทัพมาจับคนพูดอนอึง | ต่างตะบึงทิ้งบ่อนไปนอนดง |
แต่ผัวฉันนั้นไปค้าหามาไม่ | พลางร้องไห้หอบบุตรสุดประสงค์ |
ผัวไปค้าว้าเหว่อยู่เอ้องค์ | ทิ้งให้คงทอดระทดอยู่อดกิน |
มาอยู่นี่ที่ของนายท่านให้เฝ้า | เก็บผลเต้าแตงได้เอาไปสิน |
ครั้นอดอยากหากเอาแลกจ่ายแจกกิน | คิดเป็นสินทรัพย์ตั้งสลักหลังกรม |
เมื่อแรกเริ่มเดิมจะมาเป็นข้าเขา | คิดกันเข้าลูกผัวทั้งตัวผม |
อยากขายค้าหากำไรใจนิยม | ทำสารกรมกู้ท่านมาห้าตำลึง |
ครั้นค้าไปกำไรทุนก็สูญหมด | ซํ้าผัวปลดปลิดเปลื้องเฟื้องสลึง |
ซื้อยาฝิ่นกินรำไม่รำพึง | ได้ปีกึ่งหมดตัวมัวระเริง |
ทิ้งต้นดอกพอกพืชเข้ามืดหน้า | เป็นเงินตราหกสิบแลลิบเหลิง |
จะถ่ายถอนผ่อนปรนก็ป่นเปิง | ลงสิ้นเชิงชักทอดตลอดเลย |
ท่านก็จ่ายรายงานเป็นการเหมา | ให้มาเฝ้าสวนศรีอยู่นี่เฉย |
ทิ้งข้าวปลาปละปลดไม่ชดเชย | ช่างเฉยเมยไม่นำพาเมตตาตัว ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพกับนายฝ่ายทหาร | ฟังคำขานหญิงยากที่จากผัว |
นั่งเลี้ยงบุตรสุดตรอมจนมอมมัว | เหมือนหนึ่งหัวอกเราเป็นไม่เว้นคืน |
พินิจหญิงสิ่งที่ปรุงเครื่องนุ่งห่ม | ช่างสมมมหมักกายระคายขืน |
ด้วยความจนทนประทังเอายั่งยืน | จำเพาะผืนพันพอกจนดอกดำ |
ต่างคนคิดจิตจงให้สงสาร | ช่วยให้ทานทำนุปอุปถัมภ์ |
ด้วยเห็นชัดว่าขัดสนทนกรากกรำ | แล้วได้ลำบากอดระทดใจ |
มีเงินตราผ้าเสื้อเกลือข้าวสาร | ของเปรี้ยวหวานจัดสรรแบ่งปันให้ |
ลูกน้อยน้อยพลอยยินดีมีน้ำใจ | หยุดร้องไห้สงบพักตร์ประจักษ์จริง |
หยิบของส่งตรงเข้ามาหาทั้งหมด | ดูหน้าสดสมหมายทั้งชายหญิง |
ด้วยเต็มแกนแสนรำพึงได้พึ่งพิง | มาสบสิ่งประสงค์สมอารมณ์รวย |
นางแม่รับผ้าใหม่ได้ลงน้ำ | ที่มัวคล้ำเคลื่อนคลายนุ่งลายสวย |
มาหุงข้าวเผาปลาเวลารวย | พรั่งพร้อมด้วยลูกเต้าก็เข้ากิน |
จึงสั่งเสียเมียเขาว่าเจ้าผัว | แม้นมายั่วหยอกขยับยักทรัพย์สิน |
อุตส่าห์ซ่อนผ่อนผันกันไว้กิน | ถ้าหมดสิ้นแล้วลูกน้อยจะพลอยโซ ๚ะ |
๏ ครั้นเบี่ยงบ่ายคลายคลาจากท่าพัก | ฟังเสียงจักรจัดหันดูควันโฉ |
ถึงน้ำตนพี้นทรายสายชโล | ค่อยแล่นโย้โยกคลำร่องน้ำไป |
ดูชายหาดดาษแควกระแสสาย | ถึงบางทรายน้ำองสุดซึ้งไส |
สงบเงียบเลียบแล่นดูแว่นไว | ภาณุไมเลี้ยวลับก็อับทาง |
จนดวงเดือนเลื่อนล่องขึ้นส่องไข | ถึงบ้านใหม่หมองจิตคิดขนาง |
พฤกษาพรั่งบังจันทร์จรัลราง | เรือสล้างแล่นมาถึงท่าโรง |
ไม่หยุดยั้งนั่งชะแง้แลระริก | ถึงวัดพริกบ้านสะพรั่งริมฝั่งโถง |
วังส้มส้าท่ารายชายโชลง | ไม่หยุดโยงแล่นระเริงกระเจิงมา |
เห็นเรือนรายชายฝั่งตั้งขนัด | บ้านสกัดน้ำมันมีเป็นที่ท่า |
จึงหยุดจักรพักจอดทอดนาวา | จนสุริยาเยี่ยมสอดยอดยุคันธร์ |
ก็เปิดจักรวักกระแสแลสล้าง | ถึงบ้านยางยลดูเป็นหมู่มั่น |
บ้านท่าทองมองตั้งฝังอนันต์ | คิดสุวรรณวาบใจอาลัยเลือน |
เลยระเริงเชิงชาลเห็นบ้านไร่ | ถัดขึ้นไปบ้านกลอกดูออกเกลื่อน |
ถึงบ้านคอนเด่นตั้งเห็นหลังเรือน | อยู่กลางเถื่อนถูกแดดแผดกระไร |
บ้านพันปีมีจิตให้คิดถึง | นั่งคะนึงนามขนานที่ขานไข |
ขอรับรื้อชื่อเชิดประเจิดใจ | มาฝากให้ถนอมขวัญอยู่พันปี |
รำพันพรจรใจให้กระสัน | ถึงวัดจันจอดค้างทางวิถี |
ครั้นเรืองรองส่องแสงพอแจ้งดี | จรลีแล่นไปโดยใจจร |
ถึงท่ามะปรางทางเพ่งแลเล็งบ้าน | เป็นหย่อมย่านปลูกตั้งสล้างสลอน |
ไม่เห็นผลต้นมะปรางอย่างว่าวอน | อนาทรทางประเทศเขตนิคม |
คิดหันเหียนเวียนวนนั่งจนจิต | ถึงบ้านพิษณุโลกโศกสะสม |
แต่เก่าก่อนเป็นนครสำราญรมย์ | โดยนิยมอย่างเกษมปรีดิ์เปรมใจ |
พอพบทัพพระอนุชสุดสวัสดิ์ | คุมขนัดพลขัณฑ์เสียงหวั่นไหว |
แม่ทัพรองสองนายรายกันไป | มียศในตำแหน่งชี้คดีนาม |
คุณพระราชวรินท์ตำรวจหน้า | ท่านอาสาสู้ศึกไม่นึกขาม |
เป็นทัพหนึ่งพึงรู้กระทู้ความ | ยังอีกนามหนึ่งตั้งประดังดี |
พระอมรวิสัยสรเดช[๑๒] | แสนวิเศษในกระบวนรู้ถ้วนถี่ |
ท่านเจนจัดศัสตราเรื่องราวี | อธิบดีปืนใหญ่ยิ่งไชยัน |
เป็นสองทัพรับรอนข้างตอนใต้ | รบฮ่อให้หมดเหตุในเขตขัณฑ์ |
คอยรับสั่งฟังองค์พระทรงธรรม์ | จะจัดสรรสิ่งประสงค์อยู่คงเคียง |
แม่ทัพทางข้างเหนือพอเรือเทียบ | ขึ้นทำเนียบน้อมคำนับสดับเสียง |
ทรงสุนทรถ้อยเสนาะเพราะสำเนียง | ที่รองเรียงทักถามตามไมตรี |
แล้วลาเลื่อนเคลื่อนมาจอดท่าวัด | พุทธรัตนชินราชสะอาดศรี |
ขึ้นคำรพนบคุณพระมุนี | ทำพิธีทอดตั้งสรวงสังเวย |
ถวายภูมิเทวัญอันสถิต | เชิญประดิษฐ์ดุษฎีที่เสวย |
พอขาดคำร่ำบนฝนก็เชย | เมฆไม่เผยเผือดอับพยับโพยม |
บัดเดี๋ยวหายฉายช่วงดวงอาทิตย์ | งามวิจิตรทรงกลดดูชดโฉม |
ไม่ดานแดดแผดส่องมาล่องโลม | เหมือนหนึ่งโคมแก้วช่วงดูดวงกลม |
ท่านแม่ทัพกับทหารให้ดาลจิต | นิ่งพินิจนึกสยองนั่งพองผม |
หน่วงมนัสทัศนาตั้งอารมณ์ | ต่างนิยมยลเหตุสังเกตกัน |
เห็นประสิทธิ์ฤทธิ์เดชวิเศษโสด | เข้าในโบสถ์พร้อมพหลพลขัณฑ์ |
ต่างถวายกรคำนับอับภิวันท์ | องค์พระสรรเพชร์ผ่องทองประไพ |
พิศพระพักตร์ลักษณะทั้งพระโอษฐ์ | เหมือนจะโปรดพจนาเยื้อนปราศรัย |
นั่งพินิจพิศดูชื่นชูใจ | แล้วครรไลลาคิดจิตพะวัง |
เห็นกุฎน้อยน่าพินิจพิศวง | ดูมั่นคงมุงหลังคาฝาผนัง |
มีพระยืนพื้นผ่องทองประทัง | เป็นเงาปลั่งปลาบตาไม่ราคี |
ถามผู้เฝ้าเล่าแจ้งที่แคลงจิต | ว่าสัมฤทธิ์รูปหล่อลออศรี |
เหลือจากพระชินราชสะอาดดี | เอาทองนี้หล่อระคนเข้าปนเจือ |
เพราะสัมฤทธิ์เศษเหลือจากเนื้อนั้น | มาสร้างสรรสมญาว่าพระเหลือ |
ไหว้พระแล้วแคล้วคลาลงมาเรือ | คะนึงเนื้อนวลสวาทไม่คลาดคลาย |
ออกจากท่ามาหัวรอท้อระทด | ไม่ปลิดปลดเปลื้องรักสมัครหมาย |
อยากให้รอที่หัวรอพอสบาย | พอรักคลายจึงค่อยเคลื่อนเลื่อนจากรอ |
คิดเสียเปล่าเขายิ่งไปเรือไฟฟุ้ง | ดูเวิ้งวุ้งแลวิงเรือวิ่งปร๋อ |
บ้านสะแกแลสลับเขาสับตอ | เป็นกกกอสะแกดงพงสะแก |
บ้านเต่าไหหรือเต่าให้ฟังไม่ชัด | เกรงจะลัดพูดล้อว่าตอแหล |
ทั้งเต่าไหเต่าให้จดไว้แล | ใครรู้แน่แนะบ้างอย่าพรางความ |
บางพะยอมยลนิคามนามขนาน | ฟังแล้วซ่านเสียวในหทัยหวาม |
พะยอมบ้านขานพ้องกับน้องนาม | ใครหนอลามลวนรื้อชื่อนิคม |
บ้านวัดตาลต้นตาลมีที่หน้าวัด | เขาช่างจัดชื่อเสาะให้เหมาะสม |
คิดรสหวานน้ำตาลหายคลายนิยม | รสคารมมิได้คืนช่างชื่นทรวง |
เห็นหินรายชายฝั่งเรียกวังหิน | พลางแล่นลิ้นลากลางหนทางหลวง |
ถึงท่าลาดหาดแรยิ่งแดดวง | เห็นแต่ห้วงหินห้องท้องนที |
ค่อยแล่นลัดตัดย้ายตามชายหาด | ดูอนาถแนวถิ่นกระสินธุ์ศรี |
ถึงปากโทกมีทางลัดท้องนัที | ไปธานีนครไทยได้ดังจง |
เรือแล่นพลางทางเขม้นแลเห็นบ้าน | เขาขนานนามว่ากองทองประสงค์ |
หรือจะมีสุวรรณวางอยู่กลางดง | จึ่งได้บ่งบอกว่าทองกองสำคัญ |
อันที่ตั้งทั้งสิ้นถิ่นประเทศ | คงหมายเหตุเห็นชัดจึ่งจัดสรร |
แต่การเก่าเล่าลึกดึกดำบรรพ์ | จะรำพันพูดเล่นจะเป็นเดา |
มาถึงบ้านขานคารมดูคมขำ | พยาดำดูมุทะลุเล่า |
นึกตกใจไหวหวั่นตัวสั่นเทา | คิดสำเนานรชาติฉกาจไพร |
สันดานดื้อถือตนเป็นคนห้าว | เห็นคนขาวแล้วก็ฆ่าไม่ปราศรัย |
ครั้นรู้สึกนึกว่าเขตประเทศไทย | เห็นจะไม่มีเหมือนเรื่องเมืองนานา |
เป็นนามหมายไม้ป่าพนาสณฑ์ | เหมือนบ้านต้นมะตูมตั้งอย่ากังขา |
จะรื้อร่ำจำจัดวัจนา | ก็จะพาความพัวด้วยมัวแจง |
จึ่งรีบรัดคัดข้อพอสังเกต | ถิ่นประเทศท่าน้ำร่ำแถลง |
พอเป็นเค้าสำเนาทางที่กลางแปลง | ให้ทราบแขวงเขตย่านบ้านตำบล |
ที่ไม่แจ้งก็ไม่จดจำงดเงื่อน | เกรงจะเชือนชักวงงงฉงน |
บ้านเดียวนามสามสองข้องระคน | พะวักพะวนเว้นชี้รีบลีลา |
บ้านท่าไชยไผ่ขออยู่ต่อติด | เข้าสถิตทอดทับอยู่กับท่า |
ที่มีเหตุเจตจงลงสารา | แจ้งกิจจาจดใส่ในเดรี |
ด้วยฟืนใส่ไฟสิ้นที่ถิ่นนั้น | เรียกกำนันนายบ้านสถานที่ |
ขอฟืนส่งลงเรือไฟในราตรี | เขาก็ดีดูวิ่งทั้งหญิงชาย |
ช่วยบั่นรอนทอนส่งลงให้เสร็จ | ได้สำเร็จพร้อมสมอารมณ์หมาย |
ไม่รังเกียจเคียดขุ่นให้วุ่นวาย | ทั้งไพร่นายนับปนระคนกัน |
ยี่สิบเอ็ดคนลงบรรจงจด | แจกทั้งหมดมิได้แยกให้แผกผัน |
คนละสลึงเฟื้องเครื่องรางวัล | แล้วก็ครรไลลานาวาจร |
ครั้นดึกเดือนเลื่อนล่องส่องสว่าง | ขึ้นกระจ่างแจ่มจำรัสประภัสสร |
ถึงท่าช้างทอดทัพเข้าหลับนอน | ได้พักผ่อนทางระทมที่ตรมใจ |
พอแจ่มแจ้งแสงสุวรรณก็ลั่นเลื่อน | เสียงสะเทื้อนท้องมหาชลาไหล |
ค่อยเลียบเลาะเกาะหาดระวาดระไว | แล่นครรไลแลชมไม่สมทรวง |
มาถึงย่านบ้านหม้อแกงให้แคลงจิต | นึกพินิจถึงน้องแต่งแกงผักขวง |
พี่ช่วยเด็ดผักเคลดคลอพูดล่อลวง | เย้าหยอกดวงสุดาย้อนนั่งค้อนคม |
บ้านคลองแคแลซึ้งเป็นบึงบ่อน | น้ำกระฉ่อนกระฉอกดังฟังขรม |
มีคลองขวางกว้างเป็นเล่ห์ทะเลลม | ไปนิคมถิ่นสถานบ้านกำมัง |
ว่าปลาชุมกลุ้มกล่นขนมาขาย | มีมากหลายเหลือจะนับเหมือนจับขัง |
เป็นบ้านปลาหาเสบียงเลี้ยงชีวัง | มีเรือนตั้งตามชลาริมวาริน |
เรือก็เลยแล่นหนักด้วยจักรพัด | ก็ล่วงลัดลุบ้านสะพานหิน |
เห็นเรือเจ้าคุณทหาร[๑๓]มาริมวาริน | พักโยธินทอดเทียบเข้าเรียบราย |
ท่านแม่ทัพจึ่งคำนับน้อมประณต | มธุรสเรียนกิจที่คิดหมาย |
ว่าเสบียงเลี้ยงพหลพลนิกาย | แม้นพอจ่ายทัพทอดตลอดปี |
สิ้นกังวลขวนขวายหมายจะรบ | ตีตลบไล่แหลกให้แตกหนี |
ถึงฟ้าฝนทนสู้ดูสักที | ไม่รอรีรั้งช้าทำท่าทาง |
ท่านตอบว่าข้าวเสบียงเลี้ยงกองทัพ | อนันต์นับหมื่นถังได้ตั้งฉาง |
ไว้ระยะกะทอดตลอดทาง | ถึงจะค้างปีก็คงส่งให้รวย |
แล้วให้เสื้อเครือสุวรรณกระสันสวม | เนื้อนิ่มน่วมห่มหนาววะวาวสวย |
พี้นดำมันสุวรรณวงแลงงงวย | ประดับด้วยไหมทองผ่องประไพ |
ปักเป็นขอบรอบระใบดอกไม้เทศ | ฝรั่งเศสสร้างทำดูขำไข |
เอามาห่มชมชายสบายใจ | ดูแปลกนัยน์ตาจริงช่างพริ้งเพรา |
ครั้นชี้แจงเสร็จสรรพท่านกลับล่อง | แต่เราต้องต่อขึ้นไปฤทัยเหงา |
แทบจะโดดโลดล่องท่องลำเนา | ตามมาเฝ้าแฝงบุญเจ้าคุณไป |
ล่วงประเทศเขตพิษณุโลก | กำสรดโศกทรวงช้ำทำไฉน |
คิดเวียนวนจนจริงนิ่งครรไล | เรือก็ไปถึงนิคมพรหมพิราม |
บ้านกรับพวงดวงใจไม่มาด้วย | จะได้ช่วยชวนทักกันทักถาม |
วังเต่าเล่าเฝ้าคิดพินิจนาม | สงสัยความเต่าหรือเตาเล่ายังแคลง |
ถึงย่านขาดลาดสล้างดูกว้างล้ำ | อ้อยเป็นลำต้นตั้งริมฝั่งแฝง |
ดงสมอรอรีเขาชี้แจง | หาดใหญ่แซงแทรกรายเห็นชายโคน |
ตลิ่งชันชันแสนคอแหงนหงาย | แลสุดสายตาตกแม้นหกโหน |
คงม้วยมอดวอดชีวิตเหมือนปลิดโยน | ลงทอดโกลนเกลือกดิ้นอยู่ดินทราย |
ก็หยุดจักรพักทอดจอดระงับ | พอม่อยหลับรุ่งศรีสุรีย์ฉาย |
จรดลยลย่านริมชาญชาย | นาวาผายผันแซงกันแข่งเคียง |
ลุตำบลบ้านหมากต้องเขาร้องเรียก | เพราะสำเหนียกต้นสะท้อนยอกย้อนเสียง |
เป็นคำเหนือเจือจำผิดสำเนียง | จึ่งได้เรียงแจ้งจริงที่กริ่งใจ |
เห็นเรือนตั้งป่าอยู่รารก | หมู่ไม้ดกดื่นทางบ้านหางไหล |
เขตนิคมพรหมพิรามไม่งามใจ | มุงไม้ไผ่ผุพังเหมือนรังกา |
ถึงบุรีศรีภิรมย์ยิ่งตรมตรึก | ไม่วายนึกคะนึงพวงดวงยิหวา |
พอเห็นสาวชาวเหนือล่องเรือมา | ดูหน้าตาทีตื่นไม่ชื่นชม |
ยินเขากล่าวชาวเหนือนี้เนื้อจืด | มักไม่ยืดยาวนานจะพาลขม |
หรืออ่อนเกลือเนื้อเน่าเจ้าคารม | ถึงหนองตมเต็มวิตกในอกตรอง |
ตมจะขุ่นมุ่นมัวทั่วทั้งทุ่ง | เห็นไม่พลุ่งพลั่งเท่าทรวงเราหมอง |
บ้านย่านยาวคราวนิราศยิ่งมาดมอง | จะจดจองใจยาวกว่าดาวแดน |
บ้านวังด่านไม่เห็นด่านขานฆ้องเรียก | จะสำเหนียกเหตุอะไรสงสัยแสน |
ไม่ทราบแจ้งแห่งทางในกลางแดน | ก็เลยแล่นดาประดังเข้าวังกลาง |
ไม่เห็นวังตั้งสถิตผิดสังเกต | พิเคราะห์เหตุเห็นไม่สมอารมณ์หมาง |
ฤๅองค์ท้าวเจ้านครแต่ก่อนปาง | มาสรรสร้างวังสถานพิมานพราย |
บ้านท่าง่ามขามเหตุสังเกตชื่อ | ช่างเลื่องลือเล่ากันขันใจหาย |
ไม่เห็นมีแง่ง่ามตามเชิงชาย | นึกก็หน่ายนามขนานย่านนิคม |
มาถึงบ้านหาดใหญ่ฤทัยหวน | แลเห็นจวนผู้รั้งที่สร้างสม |
ประมาณมีสี่ห้าหลังตั้งนิคม | ไม่น่าชมเชิดกลอนสุนทรครวญ |
มาถึงวัดบ้านส้องให้ข้องจิต | ใครหนอคิดตั้งส้องต้องสืบสวน |
เป็นพวกเพียรเสี้ยนหนามให้ลามลวน | มาก่อกวนราษฎรร้อนระคาย |
ถึงบ้านแดนเรือเดินดังเหินเหาะ | ด้วยสิ้นเกาะโล่งแลกระแสสาย |
เห็นเรือนตั้งสองฝั่งเคียงอยู่เรียงราย | มีหาดทรายร่มรื่นบนพื้นดอน |
เหมือนเรือกสวนชวนชมพนมพนัส | กำลังผลัดผลิผลหล่นเกสร |
บ้างทรงดอกออกช่ออรชร | หมู่ภมรมุ่นเคล้าเสาวคนธ์ |
คิดถึงดวงมาลีศรีสมร | ซ่อนเกสรมิให้ต้องละอองฝน |
ถึงภมรหมายกลิ่นเที่ยวบินวน | มิได้ดลดังนิยมต้องตรมเตรียม |
มาถึงวัดพระยาแมนเห็นแสนสาว | พึ่งรุ่นราวแลชะม้ายทำอายเหนียม |
หมายจะวอนค่อนแคะพูดและเลียม | ให้หายเตรียมตรมที่เรามาเศร้ากาย |
สิ้นบุรีศรีภิรมย์นิคมเขต | เข้าประเทศปัดบูนพิมูลหมาย |
มีบ้านเรือนแลเคียงอยู่เรียงราย | เร่งเรือผายผันมาในสาคร |
พอถึงท่าเมืองพิไชยเรือไฟหยุด | อุตลุดแลทัพสลับสลอน |
เข้าจอดรายชายลาดหาดสาคร | หมู่นิกรพร้อมกันฟังบัญชา |
รวมรายวันจรัลมาในนาเวศ | ยี่สิบเศษวันหนึ่งก็ถึงท่า |
เดือนสิบสองแรมสองวันจันทรา | เช้าเวลาสามโมงครึ่งก็ถึงเมือง ๚ะ |
๏ ฝ่ายพระยาอุตราการโกศล | มีกมลมุ่งพาคุณาเนื่อง |
ได้พิทักษ์รักษาพาราเรือง | ไม่ขุ่นเคืองชาวประชาให้ราคี |
มาพร้อมพรักพนักงานก้มกรานกราบ | โดยสุภาพเชิญพักเป็นศักดิ์ศรี |
ยังทำเนียบเทียบตั้งฝั่งบุรี | โดยยินดีคอยรับบังคับการ |
ท่านแม่ทัพกับนายกองค่อยผ่องพักตร์ | ขึ้นสำนักแน่นขนิดสถิตสถาน |
พักพหลพลไพร่ให้สำราญ | คิดกะการกำหนดยกทัพบกไป ๚ะ |
๏ ในวันเมื่อเรือมาทอดจอดกองทัพ | เมฆพยับพยุห์ลั่นเสียงหวั่นไหว |
พิรุณร่ำพรำฟองออกนองไพร | ชลาไหลล้นลาดท่วมหาดทราย |
เมื่อวสันต์นั้นฝนไม่หล่นแล้ง | ต้นข้าวแห้งเหี่ยวเพลียทิ้งเสียหาย |
นิ่งสลัดตัดอาลัยไม่เสียดาย | ปล่อยให้ตายแตกระแหงด้วยแห้งชล |
ครั้นฝนตกยกใหญ่ข้าวใบเขียว | ชาวเมืองเฉลียวหลากจิตคิดฉงน |
ว่าทัพใหญ่ไชยยันต์อันมงคล | มาให้ผลพูนสวัสดิ์กำจัดพาล |
จึ่งชวนกันจรัลมาหาแม่ทัพ | น้อมคำนับนั่งพิไรพูดไขขาน |
ว่าแสนสุขชุกฝนดลบันดาล | เดชพระผ่านจอมจักรนครา |
ทั้งบุญท่านแม่ทัพดับยุคเข็ญ | ได้ชุ่มเย็นด้วยอำนาจวาสนา |
ร้อนถึงอาสน์อมรินทร์ปิ่นนภา | อยู่ฟากฟ้าดาลดลให้ฝนเชย |
อัศจรรย์ลั่นกระฉ่อนอุดรทิศ | เห็นประสิทธิ์สุดชี้คดีเฉลย |
ต่างสำราญบานใจกระไรเลย | ก็ได้เคยคุ้นกันแต่นั้นมา ๚ะ |
๏ ขอหยุดทัพกลับกล่าวชนชาวเหนือ | เป็นชาติเชื้อจีนหลากพากย์ภาษา |
ชื่อจีนพังตั้งอาศัยในพารา | มีนามว่าสุโขทัยอันไพบูลย์ |
นำพระแก้วนิลวรรณอันส่องศรี | นั่งล้อมสี่องค์สลับประดับศูนย์ |
พระปฤษฎางค์อังอิงพิงพิบูลย์ | สี่เหลี่ยมพูนผ่องพิศไม่ผิดกัน |
เหลี่ยมหนึ่งฐานประมาณมีสักสี่นิ้ว | ทั้งขอบคิ้วสูงสมดูคมสัน |
พระพักตร์ผ่องส่องศรีฉวีวรรณ | สารพันดังพิมพ์ดูอิ่มองค์ |
ให้แม่ทัพรับรองเป็นของฝาก | เพราะจะบากบิดให้พ้นคนประสงค์ |
หวังถวายพระโอรสยศยง | ตัวกับพงศ์พันธุ์จะเข้าเฝ้าธุลี |
ให้ช่วยนำคำทูลประมูลถวาย | จะเฉิดฉายชูหน้าเป็นราศี |
ท่านแม่ทัพรับไว้ด้วยไมตรี | ถามคดีเดิมได้ที่ไหนกัน |
จีนพังเล่าเค้าแจ้งแถลงข้อ | ปีวอกฉอศกจำเป็นคำมั่น |
เดือนเจ็ดขึ้นแรมหายหมายสำคัญ | ไม่เหมาะมั่นลืมหลงคงแต่จุล |
ศักราชพันสองร้อยสี่สิบหก | ประจำศกสิบเจ็ดเป็นเสร็จสุน |
ทรที่กล่าวคราวเคราะห์จำเพาะบุญ | ว่าดรุณชาวไร่อยู่ในดง |
ทางแต่เมืองสุโขทัยไปวันหนึ่ง | ถิ่นสำนึงบ้านนาชื่อกาหลง |
เที่ยวเลี้ยงควายชายอารามตามป่าพง | ชื่อนั้นบ่งบอกชัดว่าวัดเชิง |
เป็นวัดร้างว่างกุฎีมีแต่ชื่อ | ว่าพระฦๅสร้างไว้วิไลเหลิง |
เจดีย์เด่นยอดด้วนจวนจะเปิง | ล้วนแต่เชิงซุ้มเถาเชือกเขาพัน |
เหล็กแกนสอดยอดเจดีย์ยังชี้เด่น | เด็กนั้นเห็นอยากได้ใจกระสัน |
ปีนขึ้นยอดถอดออกได้ดังใจพลัน | ที่ยอดนั้นแลทะลุเห็นตรุมี |
จึงล้วงลอดสอดลงไปได้พระพุทธ | บริสุทธิ์สดใสประไพศรี |
จีนพังไปได้ดูรู้คดี | ขอจากที่เด็กได้ดังใจปอง ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพสดับฟังจีนพังเล่า | เป็นข้อเค้าชนชอบตอบสนอง |
จะทำหนังสือทูลถวายเหมือนหมายปอง | ตามทำนองแนะนำคำธิบาย |
จีนพังฟังยังไม่ชอบอัชฌาสัย | เห็นหนักใจที่จะเข้าเฝ้าถวาย |
จึ่งเรียนรอขอให้รับไว้กับกาย | นิมนต์ผายผันไปกับกองทัพพลัน |
เมื่อกองทัพกลับมาข้าพเจ้า | จะตามเฝ้าทูลถวายเหมือนหมายมั่น |
ท่านแม่ทัพรับคำที่รำพัน | จดรายวันเสร็จสรรพได้รับมา ๚ะ |
๏ เมื่อหยุดทัพรับข้างโคต่างต้อน | เป็นการร้อนรีบรับทัพอาสา |
เมืองไหนขาดบาดหมายเอานายมา | เสียเวลาล่วงวารประมาณเดือน |
ตั้งฝึกหัดจัดท่าทีว่ารบ | แล่นตลบลัดไล่ไม่ไหลเลื่อน |
ถ้ายืนยิงชิงรบกระทบกระเทือน | เสียงสะเทื้อนสะทึกก้องริมห้องธาร ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพยับยั้งเห็นยังว่าง | ด้วยม้าช้างช้าไปจึ่งไขขาน |
จะครรไลไหว้พระแท่นในแดนดาล | ชมสถานทุ่งทางกลางพนา |
จึ่งสั่งให้ผูกช้างสล้างสลับ | ได้พร้อมสรรพหมอควาญขนานหน้า |
เราก็ได้ไปด้วยคิดจิตศรัทธา | ขึ้นคชาตามชมพนมจร |
ยกยาตรย้ายท้ายเมืองทางเหมืองมุ่ง | เป็นชายทุ่งแถวไพรฤทัยถอน |
คิดคะนึงถึงยุพาให้อาวรณ์ | ล้าแม้นจรมาจะชวนให้ยวนยล |
สารพันสรรพพืชผลพฤกษา | ยอดระย้าคลี่แย้มดอกแกมผล |
เถากล้วยไม้ใบดอกออกระคน | ขึ้นกับต้นตาลเต็งดอกเบ่งบาน |
เล็บมือนางลางไม้เหนี่ยวก้าวเกี่ยวเลื้อย | ลำต้นเฟื้อยแลแฝงดอกแดงฉาน |
พวงพะยอมหอมระเหยแลเลยลาน | พอคชสารถึงกระสินธุ์ท่าดินแดง |
หยุดเสพพักตร์โภชนาเวลาเช้า | ในทรวงเศร้าสุดที่จะชี้แถลง |
สู้ขมขืนกลืนกล้ำกินน้ำแซง | แม้นจะแจ้งใจจริงสุดสิ่งเทียม |
แล้วข้ามลำน้ำไปขึ้นไร่อ้อย | คิดละห้อยมิได้หายนึกอายเหนียม |
ยิ่งโศกเชื่องเงื่องงมให้ตรมเตรียม | จะเทียบเทียมทุกข์ทับอัประมาณ |
ถึงบึงใหญ่ไสช้างไปกลางเหมือง | ชื่อฟ้าเลืองแลหลงพงละหาน |
เช้าบ้านดงพงยางขึ้นทางดาน | มีหมู่บ้านปายางอยู่กลางดง |
ทุ่งสามขาน่าสงสัยฤทัยแหนง | ครั้นจะแย้งยักถามตามประสงค์ |
ช้างย้ายโยกโงกงูบกูบไม่ตรง | นั่งโงกงงโงงเงงโคลงเคลงคลอน |
หนองกระเบื้องเนื่องน้ำในลำหนอง | นกยางหงองหงิมเหงาจับเจ่าขอน |
ย่องหาเหยื่อเกลื้อกระเพาะเที่ยวเสาะซอน | ไม่แรงร้อนเหมือนเราหาสุดานาง |
นกกาน้ำดำมัจฉาไล่คว้าจับ | เหมือนเรียมรับขวัญขนิษฐ์ไม่คิดหมาง |
บกอีลุ้มลุ่มหลงลงอยู่กลาง | เที่ยวไล่คว้างเหมือนพี่คว้าสุดาดวง |
พลางดั้นดัดลัดดงเข้าพงพฤกษ์ | ไม่วายนึกนกไร้ในไพรหลวง |
กะลิงเกาะแก้วบินกินจันพวง | กะลางล้วงเลียบเลาะเสาะแมลง |
กะลุมภูคู่ลำพังฟังเสนาะ | เรียกเพื่อนเสาะผลไทรบังใบแฝง |
เขาขันคูคูหาคู่อยู่กลางแปลง | กระทาแฝงเฝ้าปักหากระทาดง |
ฟังเสียงนกเสียดในฤทัยเสียว | จะแลเหลียวล้วนแต่ไม้ไพรระหง |
ต้นเต็งรังมะสังซุ้มเป็นพุ่มพง | มะปรางปรงปริงปรูประดู่แดง |
ต้นสนสักหักเกี่ยวเหนี่ยวตาเสือ | มะแว้งเจือจริงจ้อจันพันธุ์ชมแสง |
ลัดดาเฟื้อยเลื้อยลดมีมดแดง | เข้าเกาะแฝงใบฝังทำรังรอง |
ลัดในดงลงในทางออกกลางทุ่ง | แต่ใจมุ่งหมายมิตรไม่คิดสอง |
ชมนกไม้ไพรป่านัยน์ตามอง | จิตนั้นปองคะนึงนุชสุดรำพัน |
พระสุริยนสนธยาให้ว้าหวาด | น้ำค้างหยาดเย็นใจกลางไพรสัณฑ์ |
หริ่งหริ่งเรียงเสียงเรไรในอรัญ | จักจั่นร้องร่ำส่ำสำเนียง |
ยิ่งมืดค่ำคล้ำคลุ้มเดินดุ่มเดาะ | พลางพูดเคาะแคะกันสนั่นเสียง |
ข้างแม่ทัพขับปร๋อไม่รอเรียง | เงียบสำเนียงลับป่าพนาเนิน |
จึ่งกู่ก้องร้องหาในป่าชัฏ | ก็สงัดเงียบทางที่กลางเถิน |
เห็นกองไฟใสสว่างอยู่กลางเนิน | จึ่งรีบเดินด้นไปว่าไฟคอย |
ครั้นเข้าใกล้ไฟดับก็กลับมืด | เป็นพุ่มพืชพาเฝือเหลือละห้อย |
คิดคำเขาเล่าว่าตามป่าดอย | โขมดคอยคนไปเอาไฟลวง |
ล่อให้หลงเข้าดงชัฏสลัดทิ้ง | ให้นอนกลิ้งเอกาอยู่ป่าหลวง |
บางทีเห็นเป็นเคหากานดาดวง | ถูกผีหลวงหลงหลับอยู่กับไพร |
คิดแล้วขืนฝืนเฝือเหลือวิมุต | ผีจะฉุดชักพาไปท่าไหน |
ผีเอ๋ยผีผีเอ๋ยพาข้าครรไล | ผีจงได้พาเดินอย่าเกินทาง |
พอลมพัดปัดเป่าไฟเถ้าลุก | เห็นทั่วทุกทางคิดจิตขนาง |
ที่กองใหญ่ไฟโพลงแลโล่งทาง | เลิกสว่างวาววับแล้วดับไป |
จึ่งกระจัดขัดใจมิใช่ผี | อันวาทีกล่าวเกลื่อนเห็นเลื่อนไหล |
แม้นงวยงงหลงแลเอาแน่ใจ | ผีกองไฟพาเพ้อละเมอมี |
พอออกทุ่งไผ่กิ่วก็ลิ่วลับ | มืดพยับย่างไปในวิถี |
ถึงวัดสว่างทางสะท้อนถอนทวี | ไม่ส่องสีแสงเหมือนนามให้วามวาว |
บ้านไทยเตยเป็นลาวชาวบ้านไร่ | เขาก็ไฟสงฟางอยู่กลางหาว |
บ้านไผ่เขียวผู้คนไทยปนลาว | เร่งช้างก้าวโดยลำลองถึงคลองเตย |
บ้านไผ่ล้อมค้อมคู้หมู่ไม้ไผ่ | บ้านนาใหม่เป็นหมู่ตั้งอยู่เฉย |
ถึงทุ่งยั้งหยุดช้างเข้าข้างเกย | ค่อยเสบยเบาอุราที่อาวรณ์ |
เห็นผู้คนยลยืนดื่นระดับ | ท่านแม่ทัพทอดเอกเขนกหมอน |
อยู่บนศาลาใหญ่ที่ในดอน | พร้อมนิกรแน่นอนันต์ในศัลลา |
พวกหมื่นขุนคั่งคับกับผู้รั้ง | เมืองทุ่งยั้งอย่างอารีดีนักหนา |
แต่ไปเที่ยวเจียวยังกอบชอบอัชฌา | ถ้าแม้นมาราชการจะปานไร |
พอหยุดนั่งยกเนื่องเครื่องสำรับ | เป็นลำดับฝาชีแดงตกแต่งให้ |
เลี้ยงเอมโอษฐ์โภชนาประสาไพร | ดูมิได้มีรังเกียจให้เคียดเคือง |
ครั้นสำเร็จเสร็จพักสำนักนิ่ง | ให้คิดกริ่งใจเหลือถึงเนื้อเหลือง |
แม้นมาด้วยช่วยฤทัยให้ประเทือง | พอเป็นเครื่องคำรบอาสน์ศาสดา |
นี่มาเดียวมิได้มีศรีสวัสดิ์ | เหมือนหนึ่งตัดเครื่องประทิ่นกลิ่นบุปผา |
มีแต่ธูปเทียนทองของน้องมา | จุดบูชาพอเป็นเชื้อที่เจือจาง |
ลงนิ่งเหงาเศร้าทรวงจนง่วงหลับ | พอสุรศัพท์สกุณาในป่าก้อง |
ก็พลิกฟื้นตื่นแจ้งสร่างแสงทอง | ออกจากห้องศาลาจรลี |
เห็นอารามงามรื่นพื้นสถาน | ชื่อพิหารมหาธาตุสะอาดศรี |
กำแพงแก้วแถวห้อมล้อมเจดีย์ | เข้าชุลีแลให้อาลัยลาน |
ดูเอี่ยมเอกวิเวกว่างกลางอาศรม | รื่นอารมณ์ด้วยพฤกษาพนาสาณฑ์ |
แล้วก็ออกนอกอาวาสเห็นลาดลาน | ล้วนแดงดาลดูขุมเป็นหลุมคลี |
ว่าลานเงาะเดาะลูกชัยได้ชนะ | ต่อองค์พระอิศโรท้าวโกสีย์ |
ทั้งหกเขยขายหน้าไม่พาที | พระบิดาชนนีก็ปรีดิ์เปรม |
ทั้งเจ้าเงาะรจนาหน้าสุกก่ำ | ได้ขึ้นน้ำนั่งพลับพลาหน้าเป็นเหม |
ที่ชังหายพรายพริ้มดูอิ่มเอม | สุขเขษมสมบูรณ์พูนทวี |
แล้วครรไลเลยลาศค่อยยาตรย่าง | ตามแถวทางทิวไม้ชายวิถี |
พื้นศาลาแลงลาดสะอาดดี | พอถึงที่วัดพระยืนค่อยชื่นลม |
เข้ามณฑปพบพระพุทธบาท | แลวิลาสลานจิตทองปิดถม |
เป็นคู่ตั้งหวังจะวัดขัดอารมณ์ | ลงนั่งชมชวนชิดเข้าพิศพรรณ |
แม้นน้องมาจะยืมผ้าสไบวัด | คงจะปัดปิดกุมปทุมถัน |
ได้ชมงอนค้อนพี่ยาตาเป็นมัน | ประชดประชันป้องปัดด้วยขัดใจ |
ดำริพลางทางหาลัดดาวัด | โดยขนัดศอกหนึ่งตรงอย่าสงสัย |
กว้างสิบนิ้วคิ้วขอบกรอบละใบ | แลประไพงามจังหวะลายกระจัง |
ที่ฐานปัทม์กลีบบัวกลั้วทองทึบ | ดูสะพรึบสะพรั่งลายระบายฝัง |
แล้วออกมาหน้าลานขานระฆัง | เสนาะดังแข็งขับกับกระดึง |
เจดีย์งามสามองค์ทรงค้อมค่อม | ตะล่อมป้อมเป็นปุ่มคล้ายพุ่มผึ้ง |
แล้งลงเนินเดินไปใจคะนึง | คิดรำพึงแม้นได้พาสุดาจร |
จะชวนชมรุกขาในป่าเปลี่ยว | นี่มาเดียวมิได้ยลวิมลสมร |
แม้นมาคู่ดูไม้ที่ในดอน | จะได้วอนถามพฤกษาบรรดามี |
ต้องเดินพึมหงึมเหงาเข้ามณฑป | ประนมนบแท่นพระชินศรี |
จุดธูปหอมพร้อมประทิ่นกลิ่นมาลี | สดุดีนบหน้าตั้งอารมณ์ |
สวดการุญคุณพระธรรมที่พำนัก | คือไตรลักษณ์ที่รำลึกนึกปฐม |
เมื่อองค์สัมพุทธพระโคดม | ทรงบรรทมแท่นศิลาเอกากาย |
ได้โปรดสัตว์ตัดบ่วงห่วงสงสาร | เหมือนเพลิงผลาญกิเลสล้างให้ห่างหาย |
ได้ผ่องพักตร์มรรคผลพ้นอุบาย | แล้วก็ผายผันหนีเข้านิพพาน |
แม้นพระองค์คงคืนฟื้นมาได้ | คงโปรดให้เรียมกำจัดประหัตประหาร |
ดับโทโสโมหาโลภาพาล | ราคาราญรอนสำเร็จเด็ดกระเด็น |
แม้นโปรดให้ไปจะย้อนมาวอนน้อง | เข้าสู่ห้องนฤพานดับการเข็ญ |
สละล้างทางวิบากที่ยากเย็น | ไม่เวียนเป็นวนตายสบายดี |
คิดคิดขำรำลึกนึกหัวเราะ | ถ้าแม้นเหมาะเหมือนหมายไม่อายผี |
ได้หลีกพ้นคนพาลาที่บาบี | เข้าบุรีนฤพานสำราญใจ |
พลางดูแท่นแผ่นผาศิลาลับ | เข้าลูบจับจิตพะวงคิดสงสัย |
เห็นพื้นแผ่นแล่นตะกั่วบุทั่วไป | แลข้างในปูนสอก่อขึ้นมา |
สูงหนึ่งศอกเสริมวางกลางมณฑป | วัดตลบเหลี่ยมแท่นที่แผ่นผา |
ได้หกศอกหกนิ้วยาวดังกล่าวมา | กว้างได้ห้าศอกชัดสกัดกัน |
ที่กลางแท่นทำเป็นช่องมองแล้วล้วง | เป็นรุ่งร่วงรอยกลมช่างคมสัน |
สำหรับใส่เงินทองของสำคัญ | เป็นเครื่องกัณฑ์เก็บใส่ไว้บูชา |
ชื่อพระแท่นแผ่นผาศิลาอาสน์ | ไยมาดาดดีบุกไว้ไฉนหนา |
นั่งพินิจพิศวงนึกสงกา | สุดปัญญาที่จะแยกออกแจกแจง |
ทัศนาอุโบสถงามหมดเหมาะ | ช่างจงเจาะจัดไว้มิได้แหนง |
พื้นศิลาลาดเลี่ยนเขาเปลี่ยนแปลง | ค่อยตกแต่งสะอาดตาไม่ราคิน |
โบสถ์ด้านขวางกว้างยี่สิบสี่ศอก | ยาววัดออกสิบวาน่าถวิล |
เสาทาชาดพิลาสล้วนก็ควรยิน | ทรงกระบินทองระบายเป็นลายลอย |
ผนังเขียนรูปภาพสอดสาบสี | เรื่องบาลีละกิเลสเหตุละห้อย |
รูปพระสงฆ์ปลงอสุภด้ายบุบดอย | ตราสังร้อยรัดทิ้งดูนิ่งนอน |
แลดูบานทวารวุ้งเป็นรุ้งร่วง | สลักดวงดอกผการุกขาขอน |
มีรูปเทพนมรายขจายจร | นาคกินนรนรสิงห์งามจริงเจียว |
สิงโตตั้งตากลมอมลูกหิน | ไม่มีลิ้นแลแปลกยังแยกเขี้ยว |
คอหอยตันฟันมีอยู่ซี่เดียว | ทำองค์เอี้ยวโอษฐ์อ้านัยน์ตาพอง |
กำแพงแก้วก่อกั้นเป็นคันคอก | ที่มุมศอกมีพุทราสาขาสอง |
ยอดเอนสู่บูรพทิศดังจิตปอง | เอาอิฐกองก่อกันไว้มั่นคง |
ซึ่งเรียกว่าพุทราที่แขวนบาตร | พึ่งผุดผาดผ่องพ้นต้นระหง |
พื้นอาวาสกวาดกว้างในกลางดง | มีคนคงคอยรักษาพระอาราม |
อนึ่งเขาเล่าบอกว่านอกวัด | ด้านสกัดกำแพงกั้นสำคัญห้าม |
ใครฝ่าฝืนขืนด่วนทำลวนลาม | แล้วเกิดความผีจะคว้าพาเอาไป |
นึกอยากดูรู้แน่ไปแลลอบ | เห็นคันขอบโขดเขินเนินไศล |
เขาตัดถางพลางรุมเข้าสุมไฟ | ตลอดในแนวหน้าพนาเนิน |
แล้วลัดลงตรงทางอุดรทิศ | เห็นสระอิฐเอี่ยมสำอางอยู่กลางเถิน |
เขาก่อกันคันขอบรอบจำเริญ | ค่อยเลียบเดินดูดาษสะอาดดี |
จัตุรัสทัศนาแปดวาเศษ | โดยสังเกตคิดกะเหลี่ยมสระศรี |
น้ำใสเย็นเห็นมัจฉาในวารี | ปลากระดี่ว่ายกระดิกระริกเชย |
มีศาลาราเรียงอยู่เคียงสระ | ยังเรอะระร้างเริดไม่เปิดเผย |
สังกะสีมุงปละทิ้งละเลย | ไม่น่าเชยชมชื่นเป็นพื้นดิน |
กลับขึ้นนั่งยังหน้าพระอาวาส | กุฎีดาษอันดับสงฆ์อยู่ทรงศีล |
ศาลาใหญ่ยกพื้นลมรื่นริน | หอมประทิ่นบุปผชาติลีลาศลม |
มีหมากตูมต้นตาลที่ลานวัด | ขนุนจัดผลจ้อยคล้ายหอยขม |
จำปาออกดอกเด่นน่าเฟ้นดม | ขอให้ลมพัดหล่นดลบันดาล |
จะเก็บดมชมจำปาในป่ากว้าง | พอแก้ร้างร้อนใจกลางไพรสาณฑ์ |
แทนจำปาผ้าที่หุ้มปทุมมาลย์ | ให้หายดาลทรวงนึกเหมือนตรึกตรอง ๚ะ |
๏ ฝ่ายชาวชนตำบลไพรที่ในเขต | ได้ทราบเหตุก็มารายนั่งขายของ |
มีกล้วยอ้อยน้อยหน่าเอามากอง | พุทราดองน้ำอ้อยแดงทำแตงเม |
ทั้งข้าวหมากข้าวหลามตามมาขาย | ผลกล้ายกล้วยส้มมีถมเถ |
คำเปลวธูปเทียนบุปผามาออกเด | ร่ำร้องเร่เรียกชื้อออกอื้ออึง |
ได้ซื้อของลองลิ้มชิมแปลกแปลก | แล้วได้แจกทานประเทืองเฟื้องสลึง |
ต้องอุทิศจิตจำคิดคำนึง | สรรพซึ่งทุกข์อย่าพาลให้ดาลแด |
ครั้นหายเหนื่อยเฉื่อยชื่นกลับคืนหลัง | ถึงทุ่งยั้งหยุดร้อนลงนอนแผ่ |
พอแดดอ่อนจรช้างทางนาแค | ไปลับแลชมประเทศเขตนคร |
ออกเดินทางกลางทุ่งดูวุ้งเวิ้ง | ไม่รื่นเริงเร้าในฤทัยถอน |
ล้วนลำลาบมาบละเมาะเลียบเลาะจร | หลุมลุ่มดอนเดินไปตามใจจง |
คลองแม่พร่องต้องข้ามเมื่อยามร้อน | น้ำไหลอ่อนอั้นจิตพิศวง |
คิดถึงคลองน้ำใจในอนงค์ | ดูเต็มคงมิได้ข้องให้พร่องเลย |
บ้านต้นขามขามใครที่ในทุ่ง | ขามแต่มุ่งเมินหมางห่างเขนย |
ด้วยไกลงามขามอารมณ์ที่ชมเชย | เมื่อไรเลยจะหายขามที่ความแคลง |
มาถึงวัดชายชุมพลเห็นคนกลุ้ม | บ้างแอบซุ่มมองดูเป็นหมู่แฝง |
บ้างนั่งดูอยู่ริมทางที่กลางแปลง | บ้างวิ่งแซงแทรกดูหมู่โยธี |
ก็ขับช้างพลางคิดจิตอนาถ | รีบลีลาศลับไปในวิถี |
ถึงบ้านยางกะใดในบุรี | เป็นถิ่นที่สถานเนื่องเมืองลับแล |
มีกำนันพันทนายมารายรับ | ดูคับคั่งคนลาวทั้งสาวแก่ |
พักที่บ้านจีนทองอินถิ่นลับแล | เขาไม่แชเชือนชอบคิดขอบใจ |
แต่งทำเนียบเรียบรายดอกไม้สด | ระใบบดลมพัดสะบัดไหว |
ใบหมากพร้าวน้าวเหนี่ยวเกี่ยวกันไป | พวงใบไทรผูกเสาดูเพราตา |
ที่สำหรับรับพหลพลไพร่ | เขาจัดไว้วางทีดีนักหนา |
ให้พักพวกพลไกรที่ไคลคลา | ปลูกไว้หน้าทำเนียบแนวเป็นแถวยาว |
มีปะรำโรงเลี้ยงเคียงทำเนียบ | ผ้าดาดเรียบบังรวีนั้นสีขาว |
ปูเสื่อสาดสะอาดเอี่ยมเยี่ยมกว่าลาว | ประชาชาวช่วยชูไม่ดูแคลน |
ถึงเวลาหาของปูนปองเลี้ยง | ไม่เบนเบี่ยงหลบลี้ช่างดีแสน |
ล้วนปลาหมูชูใจมิใช่แกน | ไม่เคียดแค้นคืนค่ำก็คํ้าชู |
พอนอนม่อยแอบเมียงเลี่ยงมาปลุก | เชิญให้ลุกกินขนมข้าวต้มหมู |
หมากบุหรี่น้ำชาหาเลี้ยงดู | พอเชยชูชื่นอารมณ์ที่ตรมใจ |
ครั้นรุ่งเช้าเที่ยวชมนิคมเขต | ภูมิประเทศสถานท่าที่อาศัย |
ล้วนบ้านลาวเหล่าละเมาะเป็นเกาะไป | มีนาไร่เรือกสวนน่าชวนชม |
ทุกตำบลบังรื่นพื้นพฤกษา | ดังวนาโนทยานตระการสม |
หมากมังคุดละมุดม่วงพวงมะยม | มีกล้วยส้มจุนเกลี้ยงเรียงจรัล |
อีกส้มโอส้มซ่าส้มมาแป้น | ส้มแร้นแค้นชิมเปรี้ยวเสียวกระสัน |
กลับคายคืนยืนพิศสะกิดกัน | ขนลุกชันชาสิ้นทั้งอินทรีย์ |
จึ่งถามลาวสาวสะเทิ้นเอิ้นส้มสัง | ช่างขี้ถังทิ้งสลัดนึกบัดสี |
ลาวว่าส้มใส่คำอำคดี | ต่างพาทีดูทั่วมะงั่วเรา |
เงาะลิ้นจี่ลางสาดหนาดหมากพร้าว | ต้นหมากนาวนมวัวแลถั่วเถา |
มะไฟมะเฟืองเหลืองหล่นต้นสะเดา | สล้างเสลาสูงล้นต้นทุเรียน |
ทั้งกล้วยกล้ายหวายหว้าสารพัด | สุดจะจัดจำนรรจ์พูดหันเหียน |
บุปผชาติดาษดินกลิ่นอาเกียรณ์ | เที่ยวเดินเวียนในจังหวัดทัศนา |
บางแห่งราบแลรื่นเป็นพื้นทุ่ง | ล้วนคันคุ้งโอบตำบลต้นพฤกษา |
ทำสี่เหลี่ยมแลหลั่นเป็นคันนา | มีธาราไหลรินทั่วดินแดน |
บนดอนเด่นเห็นอารามงามสมร | ชื่อวัดหม่อนสร้างไว้วิไลแสน |
ดูพิจิตรพิศประเทืองดังเมืองแมน | มีเขตแคว้นเสมาพระอาราม |
ช่างเสริมสรรหน้าบันโบสถ์โสตสะอาด | แลพิลาสลอยกว้างกลางสนาม |
กุฎีรายชายพฤกษารอบอาราม | ค่อยไต่ตามทางเลาะทุกเกาะเกียน |
ขนัดเนื่องเมืองลับแลแม้จะเที่ยว | ในวันเดียวเดินไม่สิ้นถิ่นเสถียร |
พอแดดร้อนอ่อนอกก็วกเวียน | ทุ่งหนึ่งเตียนตารื่นแต่พื้นนา |
เห็นไม้ปักสี่เสาเสลาสล้าง | อยู่ที่กลางทุ่งเล่ห์ลอยเวหา |
สำหรับพาดกรวดลาวชาวชนา | เมื่อเวลาตรุษสงกรานต์เล่นการปี |
แล้วกลับหลังยังที่พักสำนักนิ่ง | คิดถึงมิ่งสมรน้องให้หมองศรี |
ชมลับแลแลงามตามบุรี | ลับยาหยีเหลือจะตรมอารมณ์จร |
ลับแลเมืองประเทืองยลผลพฤกษ์ | มาลับลึกแลเผินเนินสิงขร |
เมืองลับแลแลถวิลแผ่นดินดอน | ลับบรรถรที่สถานเดือดดาลใจ |
ลับแลแลอนันต์สักพันหมื่น | ไม่แลชื่นเหมือนมิตรพิสมัย |
ลับแลแลบ้านสถานไพร | ลับอาลัยเมื่อจะมาลีลาแล |
ลับแลแลเมื่อลาน่าอนาถ | ลับเยื้องยาตรแลย่างมาห่างแห |
ลับแลเลื่อนลงนาวาตายังแล | ลับแลแลแลลับทับทวี |
คิดถึงเมืองลับแลที่แลลับ | จนเดือนดับอาทิตย์ผ่องขึ้นส่องศรี |
ท่านจึ่งลาจีนทองอินด้วยยินดี | ไปวารีริมฝั่งท่าบางโพ |
มาพักหนึ่งถึงเมืองอุตรดิตถ์ | ฤท่าอิฐที่เรือค้าน่าสุโข |
แนวชลาท่าอิฐติดบางโพ | เป็นท่าโคต่างมาสินค้าลง |
เมืองแพร่น่านล้านช้างยางพม่า | กะเหรี่ยงข่าลาวในไพรระหง |
ทั้งเงี้ยวฮ่อใช้ล่อต่างมาทางดง | เป็นท่าส่งของขายชายชลา |
มีลูกเล่วกระวานครั่งทั้งยาฝิ่น | ตามแต่ยินดีมาดปรารถนา |
ทั้งหนังเขาป่านปอแลนองา | ไหมมาลาแลศรีไม่มีมัน |
พวกเจ๊กไทยทอดท่าแพนาเวศ | มีผ้าเทศของไทยไว้ผ่อนผัน |
เอาเงินซื้อหรือจะแลกยักแยกปัน | เขาจัดหันหาตอบให้ชอบชน |
แล้วปลงช้างค้างคืนขึ้นสำนัก | เข้าหยุดพักพิงพะวัดถนน |
ผู้รักษาเมืองลับแลมาแจจน | เป็นทำวนแวดระวังมานั่งกอง |
ด้วยบ้านตั้งอยู่ริมฝั่งอุตรดิตถ์ | มากอบกิจการระไวมิให้หมอง |
ทุกสิ่งสรรพรับเลี้ยงเคียงประคอง | อเนกนองเจือจานทั้งหวานคาว |
ครั้นเย็นย่ำค่ำนอนหยุดผ่อนพัก | ดูคึกคักโยธีเสียงมี่ฉาว |
พระพายพัดหยาดน้ำค้างลงพร่างพราว | อนาถหนาวนิ่งสะท้อนนอนศาลา |
ไม่มีบานทวารบังประดังพัด | ดึกกำดัดดาวพร่างกลางเวหา |
ดูดวงเด่นเห็นสลับระยับตา | ชมดารารายประจำที่อัมพร |
ลมสงัดพัดระงับหลับสนิท | พระอาทิตย์อุทัยเผินเนินสิงขร |
ท่านแม่ทัพกลับมาทางสาคร | เราดั้นดอนเดินป่ามาลำเค็ญ |
หยุดนอนดงพงพื้นอีกคืนหนื่ง | ต่อรุ่งจึ่งเดินแดนดูแสนเข็ญ |
ช้างย้ายโยกโงกงูบกูบกระเด็น | ก็ตื่นเต้นวนวิ่งเป็นสิงคลี |
หมอสับฟันมันเท่าไรก็ไม่หยุด | ช่างรีบรุดเร็วจริงออกวิ่งจี๋ |
ร้องแปร๋แปร้นแล่นไปในพงพี | หูหางชี้หมอกระชากอ้าปากกลวง |
ครั้นสิ้นฤทธิ์ร้องโอกเขาโขกสับ | จนย่อยยับยืนเซาดูเหงาง่วง |
เลือดออกอาบฉาบชาดยืนฟาดงวง | น้ำตาร่วงไหลรินสิ้นลำพอง |
เห็นช้างเหงาเศร้าซึมเดินงึมเงื่อง | เฝ้าคิดเรื่องนิราศนางมาหมางหมอง |
คเชนทร์เหงาหรือจะเท่าเราตรมตรอม | คะนึงน้องมาจนที่เมืองพิชัย ๚ะ |
๏ ฝ่ายกองเวรเกณฑ์หัวเมืองเนื่องสมทบ | มาบรรจบจัดรับกองทัพใหญ่ |
ทั้งม้าช้างโคต่างเนื่องเมืองที่ไกล | พร้อมนายไพร่แซ่ส่ำโดยจำนง |
ตรวจบาญชีถี่ถ้วนจำนวนหมาย | เรียกชื่อจ่ายจดนามตามประสงค์ |
กำแพงเพชรร้อยคนรณรงค์ | ช้างก็ส่งยี่สิบพอดิบดี |
ทั้งหมอควาญสัปคับมีสรรพเสร็จ | โดยเขบ็จนายบังคับกำกับที่ |
พระอินทร์แสนแสงตำแหน่งมี | คุมโยธีเทียบทัพรับบัญชา |
เมืองสวรรคโลกนายไพร่ก็ได้ร้อย | ไม่มากน้อยยี่สิบช้างอย่างที่หา |
พระพลสงครามหมายเป็นนายมา | นำคณานอบนบอภิวันท์ |
เมืองเถินนี้มีจำนวนถ้วนสิบช้าง | ไม่คั่งค้างรีบรัดเร่งจัดสรร |
ช้างเมืองแพร่ห้าสิบถ้วนจำนวนปัน | โคต่างนั้นห้าร้อยไม่ถอยทด |
นายกำกับโคต่างช้างนี้ไซร้ | พระยาไชยประเสริฐความนามปรากฏ |
เป็นหัวหน้านำพหลพลคช | มาประณตน้อมคำนับกำกับไป |
จึ่งจัดจ่ายรายกองตามจองจด | กะกำหนดที่จะยกทัพบกใหญ่ |
ขุนสิงหนาทกองหน้าให้คลาไคล | คุมปืนใหญ่ล่วงหน้าไม่ช้าการ ๚ะ |
๏ เวลานั้นท่านแม่ทัพต้นรับสั่ง | ประกาศตั้งนายทัพบังคับทหาร |
เพื่อเสียทีชี้ขาดราชการ | มิให้คร้านครั่นท้อต่อณรงค์ |
ท่านชี้แจงแจ้งความตามกระแส | ให้เห็นแท้ทางจริงสิ่งประสงค์ |
เมื่อพลั้งพลาดชีวาตม์วายทำลายลง | การณรงค์เรียงรับบังคับไป |
เป็นที่หนึ่งที่สองรองเสนอ | คอยบำเรอราชกิจวินิจฉัย |
คิดไว้เพื่อเกิดเข็ญจะเป็นไป | จึ่งจะไม่เสียการที่ราญรณ |
จึ่งเขียนนามตามบาญชีที่ทรงโปรด | แล้วก็โวดวางลำดับไม่สับสน |
ชื่อใครมากฉลากหมายเป็นนายพล | ตั้งกมลมุ่งทำสำมัคคี |
ได้ที่หนึ่งที่สองจัดจองเสร็จ | รวมได้เจ็ดนายจำนงลงดิถี |
เดือนอ้ายแรมค่ำอังคารทิวารมี | ดังวาจีจดจำเป็นสำคัญ |
ให้นายทัพกำกับกองจงครองจิต | อย่าทำผิดผวนแผกให้แปลกผัน |
รักษากิจอิศเรศจอมเขตคัน | ให้การนั้นล่วงลุเหมือนจุจง |
แล้วประกาศธงชัยวิไลเลิศ | แสนประเสริฐสุดฤทธิ์พิศวง |
เป็นธงรบสำหรับรับณรงค์ | ก็ล้อมวงจิตหวังจะฟังความ ๚ะ |
๏ ดำเนินสารอ่านเสนอบำเรอราช | โดยพระบาทธิบดินทร์ปิ่นสยาม |
ทรงโปรดปรานประทานธงสู่สงคราม | ซึ่งมีนามในอังกฤษเรียกริชแมน |
เป็นสง่าหน้าศึกให้ฮึกเหิม | แลเฉลิมลักษณ์เลิศประเสริฐแสน |
ปลุกใจรื่นชื่นชมระดมแดน | ดังจะแล่นโลดไล่ล้างไพรี |
เป็นที่หมายนิกายกองคะนองนับ | สำหรับทัพทุกประเทศพิเศษศรี |
ให้กลั่นกล้าร่าโรมกระโจมตี | ไม่บิ่นบี้ย่นยู่กับหมู่พาล |
ตั้งจิตจงเหมือนหนึ่งองค์อิศเรศ | มาปกเกศกั้นเกล้าเหล่าทหาร |
อำนาจธงดังองค์อวตาร | มาล้างมารหมู่อมิตรที่คิดคด |
รับอาสาฝ่าละอองฉลองบาท | ให้สมชาติชายกล้าเห็นปรากฏ |
คิดพระคุณจุณเจิมเฉลิมยศ | จงกำหนดนับถือคือพระองค์ |
ธรรมเนียมชายนายทหารเหมือนสารกล้า | เข้าประงางวงชูดูระหง |
สงวนงวงหน่วงอารมณ์ไม่งมงง | จนชีพปลงมิได้ปละสละงวง |
อันยอดธงได้เชิญองค์พระศกสถิต | มาประดิษฐ์ประดับสนองเป็นของหลวง |
จงหมายหนึ่งพึงยลกระมลดวง | เป็นแน่หน่วงดังพระองค์มาทรงทัพ |
ตั้งเคารพนบนาถบาทบพิตร | อันสถิตธงทำมาสำหรับ |
เชิญประพาศพิฆาตพาลให้ลานลับ | จนย่อยยับเยินแหลกตื่นแตกไป |
แม้นข้าศึกฮึกรอเข้าต่อฤทธิ์ | จงตั้งจิตจับมันอย่าหวั่นไหว |
รักษาองค์ธงสำคัญให้มั่นใจ | อย่าทำให้ศัตรูมันดูแคลน |
อันการทัพจับศึกนึกประสงค์ | ก็หมายธงทัพกันเป็นมั่นแม่น |
อันทัพใดในพิภพจนจบแดน | ถ้ามาดแม้นทิ้งธงแล้วคงลือ |
จะเสื่อมเชื้อเสียเช่นเป็นทหาร | จนอวสานล่วงลุระบุชื่อ |
ให้ปรากฏพจน์นิพนธ์คนระบือ | พิไรรื้อร่ำเรื่องกระเดื่องดิน |
แม้นสวัสดิ์วัฒนาถาวเรศ | ทุกประเทศน้อยใหญ่มิได้หมิ่น |
กระเดื่องชื่อลือชาไม่ราคิน | ชั่วฟ้าดินเด่นช่วงดังดวงจันทร์ |
จบสำเร็จเสร็จประกาศราชฤทธิ์ | พระโมลิศเลิศมกุฎสุดสวรรย์ |
ถวายคำนับนบน้อมลงพร้อมกัน | กระมลมั่นมุ่งหมายไม่วายวาง ๚ะ |
๏ เวลานั้นพระยาศรีสิงหเทพ | ได้มาเสพสมสนิทไม่คิดหมาง |
รวมราชการกองจ่ายรับรายทาง | ท่านจัดข้างพนักงานการเสบียง |
ตั้งยุ้งฉางทางทอดเป็นระยะ | ได้เกณฑ์กะไพร่สมทบไม่หลบเลี่ยง |
ด้วยผู้รั้งกรมการด้านข้างเวียง | หมดทั้งเลี้ยงสิทธิ์ขาดมหาดไทย |
ได้แจ้งความตามที่มีโอวาท | ว่าอนุญาตยกยศให้สดใส |
โปรดประทานตรามงกุฎผุดประไพ | เพิ่มยศให้เจ้าสถานน่านนคร |
แล้วจะเกณฑ์พหลพลรบ | เข้าสมทบที่ในการราญสมร |
ท่านแม่ทัพสดับแจ้งแห่งสุนทร | จึ่งยกย้อนทัพใหญ่ไปด้วยกัน |
กับพระวิภาคภูวดลคนแผนที่ | มาพาทีทุกข์ร้อนได้ผ่อนผัน |
จะรีบล่วงหน้าไปในอรัญ | กลางไพรวันเกรงพาลาจะราวี |
จึ่งสั่งให้ลุดเตอร์แนนต์นายปุ้ยรับ | คุมพลสรรพกล้าศึกไม่นึกหนี |
สามสิบสองคนรักษาการราวี | เข้าพงพีล่วงลับลำดับไป ๚ะ |
๏ ครั้นถึงวันฤกษ์ดีจะกรีทัพ | จัดเสร็จสรรพบัตรพลีคัมภีร์ไสย |
บวงสรวงเทพทุกสถานพิมานชัย | ประตูไพรมีพระประน้ำมนต์ |
ทหารรบเรียบพื้นปืนปลายดาบ | เป็นมันปลาบปลั่งมองสยองขน |
เหน็บเซ็กใส่ไหล่ผึ่งน่าพึงยล | ทุกทุกคนยืนเคียงอยู่เรียงราย |
ออฟิเซอร์สวมสะพายสายกระบี่ | ขึ้นควบขี่ม้าตรวจทุกหมวดหมาย |
เป็นกองหน้าร่าเรียงเคียงนิกาย | หัวหน้านายหลวงจำนงให้คงคุม |
ที่สองกองพระพลคนเกณฑ์หัด | เอามาจัดจ่ายพอมรสุม |
ถืออาวุธเหวี่ยงวัดไม่รัดกุม | หลังคุ่มคุ่มไหล่ค้อมดูซอมซอ |
ที่สามพลคนเมืองแพร่แลพิลึก | ขาสักหมึกดูมนเหมือนก้นหม้อ |
เจาะหูกว้างต่างยัดดูอัดออ | พูดออกจ้อเสียงแจ้วว่าแกล้วดี |
กองพิเศษที่กำกับกองทัพหน้า | นั้นคุณจ่ายวดแจ้งตำแหน่งที่ |
ขับม้าตรวจหมวดหมายรายโยธี | ประจำที่นิ่งอยู่คอยดูธง ๚ะ |
๏ พลช้างยืนช้างวางระยะ | ที่หนึ่งพระไชยเฉิดระเหิดระหง |
ออกนำหน้าร่าหรับรับณรงค์ | ศุภมงคลคุ้มคุมนิกร |
ที่สองข้างปืนมอต้าง่าศักศอก | ตัวละบอกบรรทุกใส่ประไพสร |
ยินเคียงคู่ดูงามตามกุญชร | งางามงอบแหงนเงยเสยพระพาย |
ที่สามช้างธงชัยวิไลลักษณ์ | เป็นเอกอัครอุดมแสงดูแดงฉาย |
งามสีทองรองเรืองเลื่อมเหลืองพราย | พอพระพายพัดพานดูลานตา |
มีทหารแตรเรียงเดินเคียงข้าง | แลสล้างสลับรายทั้งซ้ายขวา |
สวมเสื้อยันต์คาดกั้นหยั่นพันกายา | แม้นพบข้าศึกเป่าเร้าระดม |
ที่สี่ช้างเบาะใส่ให้คนขี่ | เขด็จสี่คนสำรวยดูสวยสม |
ปืนสำหรับจับประจำช่างขำคม | ดูน่าชมช้างคู่ยืนอยู่เคียง |
มีเขด็จเดินลำดับกำกับแถว | ถือปืนแซ่วนิ่งเซากระเส่าเสียง |
พอสาวสาวชาวพิชัยมาใกล้เคียง | ให้หมากเมี่ยงกินบ้างค่อยสร่างเซา |
ช้างแม่ทัพที่ห้าดูอ่าโถง | ช่างปรุโปร่งเขียนวาดฉลาดเฉลา |
ทำอย่างใหม่ใช้ผ้าทาสีเทา | ที่แหย่งเอาปรอนปรายให้รายเรือง |
ทำแผงแผ่นแทนกระดานสานตอกย้อม | ลายหย่อมหย่อมดำระคนเข้าปนเหลือง |
ไม้แกงแนงแนบสนับทับประเทือง | ไม่กระเดื่องกระดกตั้งหลังคเชนทร์ |
ผูกผ่านหน้าผ่านท้ายไม่ย้ายโยก | จะขึ้นโคกโขดเขาเป็นกราวเขน |
รัดประคนหนังขนาบทาบคเชนทร์ | ไม่เอียงเอนผูกพันดูมั่นคง |
งามหัตถีทีท่าดูร่าหรับ | สัปคับแลเลิศระเหิดระหง |
งามกูบกั้งบังแสงสุริยง | ดูสมทรงคชสารละลานตา |
ช้างที่หกพระพาหลวิมลเหมาะ | ดูหยดเหยาะอย่างวิจิตรคิดเลขา |
ทหารแซงสองข้างทางมรรคา | ถัดถัดมาช้างนายนายยืนรายเรียง |
ช้างที่สุดใส่ของในกองทัพ | เป็นลำดับดาษด้าวไม่ก้าวเกี่ยง |
โคต่างต่อนล่วงไปมิใกล้เคียง | ก็เรียบเรียงรอฤกษ์เบิกทวาร ๚ะ |
๏ ฝ่ายสาวสาวชาวประชาคณาแน่น | ดูแห่แหนให้พะวงนึกสงสาร |
บ้างสมัครรักรื่นชื่นลำราญ | ฤดีดาลแดอาลัยไขสุชล |
มาสั่งเสียเคลียคลอดูท้อแท้ | ไม่เซ็งแช่กระซิบสั่งนั่งฉงน |
บ้างก้มหน้าตาแดงแสร้งทำกล | น้ำตาหล่นไหลซาบลงอาบปราง |
เรียมยืนยลอ้นอั้นคิดขวัญข้าว | ให้สร้อยเศร้าเสียวในหทัยหมาง |
เขาจากชู้เจียวยังช้ำทำระคาง | พี่จากนางนึกน่าระอาอาย |
ปานนี้น้องจะนองชลสกนธ์ซูบ | สิริรูปโรครักไม่หักหาย |
ปรางเคยปรุงฟุ้งประทิ่นกลิ่นอบอาย | จะฉลายแลอาบคราบสุชล |
ขอฝากคำอำลาสุดาด้วย | เทพช่วยชี้แถลงแจ้งนุสนธิ์ |
ว่าเรียมลายาหยีนิฤมล | เข้าไพรทนเทวษนองกองระกำ |
สามโมงเข้าทัพชัยก็ไคลเคลื่อน | วันศุกร์เดือนอ้ายแรมสิบเอ็ดค่ำ |
ทั้งเสียงแตรแซ่ประสานขนานนำ | เป็นที่สำคัญบอกให้ออกเดิน |
พลเท้าก้าวกรายขยายย่าง | พลช้างชูเชิดระเหิดเหิน |
พลม้าร่าหรับลำดับเดิน | ไม่ก้าวเกินเกะกะไปปะปน |
เป็นหมวดหมู่ดูดื่นครึกครื้นครัน | บรรลือลั่นแหล่งหล้าก้องกาหล |
เป็นฝุ่นฟุ้งมุ่งมัวทั่วสากล | ดำเนินพลม้าโผนโขลนทวาร |
พระสงฆ์สวดพระปริตรประสิทธิ์รด | ม้าพยศคนขยับขับขนาน |
น้ำมนต์ปราดม้าปร๋อห้อทะยาน | คชสารน้ำสาดไม่ปราดเปรียว |
พอล่วงบานทวารวับก็ขับช้าง | วิเวกว้างวาบไหวฤทัยเสียว |
เห็นพหลกล่นเกลื่อนเหมือนมาเดียว | เพื่อนเขาเกรียวเรียมกรุกทุกข์ระทม |
อยู่บนช้างพังตุ้มเดินดุ่มเดาะ | ย่างเหยาะเหยาะกระดึงดังฟังขรม |
บางช้างผูกลูกเกราะเคาะระงม | ระบายลมใบไม้หล่นปนกระดึง |
ใบไม้กราวเกราะกริกกระดิกกระดิ้ง | เสียงกริ่งกริ่งโกร่งกร่างครางหึ่งหึ่ง |
จักจั่นลองไนเรไรรึง | เข้าเกาะกรึงกรวดกระแสงแข่งสำเนียง |
อยู่บนต้นเต็งรังฟังเสนาะ | ช่างไพเราะหริ่งเรื่อยฉ่ำเฉื่อยเสียง |
ล้วนหมู่ไม้รายรื่นบนพื้นเพียง | จรัลเรียงรารอจรลี |
เป็นวันแรกจะรีบเดินให้เกินนัก | ไม่หยุดพักพาลจะเพลียซูบเสียศรี |
พอบ่ายโมงหนึ่งสำนักพักโยธี | ทอดพักที่ทุ่งท่านาคะนึง |
ปล่อยโคต่างช้างม้าออกคล้าคล่ำ | ลงเล่นน้ำหนองกว้างเสียงผางผึง |
บ้างลำพองร้องเร้าเฝ้าคะนึง | บ้างยืนบึ้งบ่มมันหูชันเชิง |
ลูกช้างน้อยน่าเอ็นดูอยู่กับแม่ | เห็นคนแปร๋แปร้นไล่ครรไลเหลิง |
เที่ยวไล่หลงวงกลับวิ่งหรับเริง | ไปยืนเบิ่งเบียดมารดางวงคว้านม |
หมู่สินธพตลบไล่กันในทุ่ง | ต่างหมายมุ่งตัวเมียมองร้องขรม |
บ้างขบโขกกระโชกกัดพลัดตกตม | บ้างวิ่งดมโดนหางดีดผางไป |
เหล่าโคต่างวางวุ่นหลุนหลุนวิ่ง | โดนกันกลิ้งกลางนาหน้าไถล |
บ้างขึ้นก้นสนจมูกไม่ถูกใคร | ระเริงไล่ลับเขาเข้าขวิดดิน |
หมู่พหลหุงหากระยาหาร | ธุมาการตรลบไปในไพรสิน |
เสียงโจษจันอนันต์ขนัดปัถพิน | สุดจะยินดีชื่นให้รื่นรวย |
บ้างตัดร้างถางรกรีบยกเต๊นท์ | บ้างแอบเร้นรกร้อนนอนระหวย |
เห็นเต๊นท์ตั้งเต็มพื้นดูรื่นรวย | ทุกโกรกกรวยเกรียวกราวออกฉาวไป |
เต็นท์แม่ทัพทวยหาญก็ขานฆ้อง | สะเทื้อนท้องทุ่งลั่นอยู่หวั่นไหว |
ครั้นเย็นย่ำค่ำพลบจุดคบไฟ | สว่างไพรแลพราวราวอรัญ |
ทหารยามยืนประจำกำอาวุธ | คอยยงยุทธต่อแย้งดูแข็งขัน |
ใครเข้าออกบอกให้เห็นเป็นสำคัญ | ถ้าผลุนผลันแล้วไม่คืนถูกปืนยิง |
พอฆ้องลั่นสนั่นก้องได้สองทุ่ม | เสียงแตรรุ่มเป่ารับไม่หลับนิ่ง |
คือตรวจกองร้องถามตามประวิง | ใครละทิ้งหน้าที่หลับปรับประจาน |
แล้วเป่าเกริ่นทหารแตรมาแออัด | เป็นจังหวัดวงล้อมซ้อมประสาน |
เป่าเป็นเพลงเครงครืนรื่นสำราญ | ที่สุดสารสรรเสริญพระบารมี |
พอฆ้องย่ำยามเร้าเป่าให้หลับ | สุรศัพท์สอดช้าต้าตาตี๋ |
สดับฟังวังเวงเพลงดนตรี | แทบจะหรี่เรื่อยอารมณ์ด้วยลมแตร |
แต่ผูกพันกระสันเศร้าให้เร่าร้อน | นิ่งสะท้อนระทดทรวงถึงดวงแข |
แม้นมาเพื่อนพี่จะเตือนให้ชมแตร | นี่มาแต่ผู้เดียวชมแต่ลมลอย |
รักก็รึงกรึงรัดสัตว์ก็ไต่ | มันดุร้ายร่านริ้นบินหยอยหยอย |
มาสูบเลือดไหลแลแผลเป็นรอย | ตัวจ้อยจ้อยจุบแปลบทั้งแสบคัน |
เขาเล่าว่าที่นาคะนึงนี้ | พระมัทรีแสนวิโยคหยุดโศกศัลย์ |
แสวงบุตรสุดร่ำจะรำพัน | เฝ้าจาบัลย์บอบระบมตรมกระมล |
ให้โศกแสนแน่นในฤทัยระทด | เที่ยวบ่ายบทบุกแสวงทุกแห่งหน |
พลางครวญคร่ำร่ำรักพะวักพะวน | ทุ่งตำบลนี้จึงอ้างนางคะนึง |
ครั้นจำเนียรเปลี่ยนแปลงก็แผลงว่า | นางเป็นนานั่งพินิจไม่คิดถึง |
แท้ก็ข้อต่อเรื่องเครื่องรำพึง | แต่ไม่ถึงเทียมเท่าที่เราเตรียม |
คะนึงนางมัทรีที่หาบุตร | มาถึงกุฏิแจ้งจบสงบเสงี่ยม |
คะนึงทัพลับไปใครจะเทียม | จะต้องเตรียมตรอมอุราก้มหน้าไป |
คะนึงบุตรสุดสวาทจะขาดจิต | คะนึงมิตรหมองหน้าเลือดตาไหล |
คะนึงนอนดอนเดียวนึกเสียวใจ | คะนึงในทุ่งทางที่กลางเนิน |
คะนึงอนาถราชกิจฉวยผิดพลั้ง | คะนึงทั้งโทษทุกข์จะชุกเฉิน |
คะนึงภัยไพรพงดั้นดงเดิน | คะนึงเหินห่างเหย้าเฝ้าคะนึง |
พะว้าพะวังหวังถวิลไม่สิ้นเสร็จ | พอสิบเอ็ดทุ่มกระทั่งฆ้องดังหึ่ง |
เป่าแตรปลุกลุกลนเสียงอนอึง | ที่คะนึงนั้นค่อยเบาบรรเทาระทด |
ล้วนพรั่งพร้อมรอมรัดมัดข้าวของ | เป็นกองกองเก็บขนไปจนหมด |
เป่าแตรออกบอกยุบลพลคช | เป็นกำหนดบอกโยธาให้คลาไคล |
ออกเดินดงพงพุ่มชอุ่มพฤกษ์ | ล้วนซากซึกสักสนต้นไสว |
เต็งรังเรียงร่มรื่นเป็นพื้นไป | มากกว่าไม้หมู่อื่นออกดื่นดง |
เห็นหนองตับน้ำตื้นมีพื้นกก | ช่างดื่นดกดอกใบอาลัยหลง |
น้ำเย็นใสในจิตคิดจำนง | น่าจะลงอาบเล่นให้เย็นทรวง |
ดูกว้างใหญ่ได้สักสองเส้นเศษ | ไอยเรศรีลงประจงจ้วง |
สูบน้ำซัดโศกกายด้วยรายงวง | ช้างพลายล้วงโลมพังกำลังกิน |
ที่เรียบรื่นพื้นรายล้วนทรายอ่อน | บทจรจวบแควกระแสสินธุ์ |
เรียกน้ำอ่างหว่างไศลใสระริน | เป็นห้วยหินเห็นเวิ้งกระเจิงใจ |
มีทำเนึยบสองหลังเขาตั้งรับ | แต่ไม่ยับยั้งข้ามธารน้ำไหล |
ขึ้นโขดเขินเผินพักสำนักไพร | มีป่าไม้บังศรีสุริย์จร |
เห็นบ้านลาวแลสลับนับหลายหลัง | มาปลูกตั้งเรือนรายชายสิงขร |
นายบ้านมาหาแม่ทัพรับสุนทร | มีสุกรเป็ดไก่ให้กำนัล |
ท่านแม่ทัพรับโดยที่มีระบอบ | รางวัลตอบตามจารีตไม่ผิดผัน |
เงินเฟื้องจ่ายรายเหล่าที่เผ่าพันธุ์ | หัวหน้านั้นให้เสื้อผ้าแล้วลาไป ๚ะ |
๏ พอสายัณห์ตะวันจวนจะพลบค่ำ | ชายหนึ่งนำหนังสือมาน่าสงสัย |
มาส่งให้ท่านแม่ทัพด้วยฉับไว | แล้วจึ่งแจ้งไขข้อความตามคดี |
ว่ามาแต่หลวงพระบางทางทุรัศ | แจ้งกระจัดความว่าพระยาศรี |
ศุกราชให้รีบมาไม่ช้าที | ท่านจึงคลี่ออกอ่านสารสุนทร |
ว่าถึงท่านแม่ทัพต้นรับสั่ง | ถ้าผิดพลั้งพลาดพล้ำคำอักษร |
ขออภัยในสาราร่ำว่าวอน | โดยความร้อนรีบเขียนคำเรียนมา |
ว่าพระยาพิไชยเป็นไข้หนัก | ให้หอบนักเห็นไม่ฟื้นคืนสังขาร์ |
แต่เดือนอ้ายขึ้นห้าค่ำเป็นร่ำมา | แจ้งในอาการจริงทุกสิ่งอัน |
ท่านแม่ทัพสดับสารรำคาญคิด | ศึกยังติดต่อสู้เป็นคู่ขัน |
ฉวยเพลี่ยงพล้ำทำยากลำบากครัน | พระจอมธรรมโปรดให้มาปรึกษาการ |
ครั้นรุ่งแสงสุริย์ใสก็ไคลเคลื่อน | เสียงสะเทื้อนแถวป่าพนาสาณฑ์ |
เดินเยียดยัดอัดแอแลละลาน | มาในดาลแดนชัฏระบัดบัง |
เร่งเดินทัพโดยเร็วข้ามเหวห้วย | พรั่งพร้อมด้วยโยธาพลหน้าหลัง |
แลดูหลามตามกันมาดาประดัง | เพียงจะพังหินผาทุกท่าธาร |
ถึงน้ำพี้พักโยธาให้ราเรียบ | มีทำเนียบสำนักกลางทางไพรสาณฑ์ |
สองหลังเรียงเคียงคู่อยู่ในลาน | กรมการคอยรับกองทัพราย |
มีเรือนอยู่หมู่ประมาณสี่สิบหลัง | เขาติดตั้งเตาอัคคีตีมีดขาย |
แร่เหล็กดีมีดื่นในพื้นทราย | หัวหน้านายแนะชี้คดีแสดง |
บ่อหนึ่งเหล็กดีเลิศประเสริฐนัก | เขาเก็บรักษาส่งโรงพระแสง |
จึงบอกนามตามที่ลือชื่อแสดง | บ่อพระแสงสุดฤทธิ์ประสิทธิ์ทรง |
ครั้นแจ้งความนามไพรต่างไสยาสน์ | ดูดาดาษที่ในไพรระหง |
คืนวันนี้หนาวน้ำค้างที่กลางดง | เหมือนผีทรงนอนสั่นดูขันจริง |
มิได้หลับจับจิตด้วยฤทธิ์หนาว | อุระร้าวรุมเพลิงระเริงผิง |
ค่อยอุ่นไอไฟดังนั่งประวิง | คนยามจริงนำผู้ถือหนังสือมา |
เข้าคำนับแม่ทัพแจ้งนึกแคลงจิต | จะเป็นกิจการอะไรไฉนหนา |
จึงรีบร้อนจรจนพ้นเวลา | รับสาราอ่านดูก็รู้การ |
ว่าพระยาสุโขทัยเรียนให้ทราบ | ฟังสุภาพพจนาที่ว่าขาน |
พระยาพิไชยได้รักษาพยาบาล | จนถึงการดับชีวันล่วงครรไล |
วันพฤหัสบดีจัดจองแรมสองค่ำ | เดือนอ้ายจำจดแจ้งแถลงไข |
พันสองร้อยสี่สิบเจ็ดศกเสร็จไป | นักษัตรในปีระกาไม่คลาคลาย |
ท่านแม่ทัพสดับสารรำคาญคิด | นั่งพินิจนึกถึงการประมาณหมาย |
จึ่งร่างรสพจนารถไม่คลาดคลาย | ทูลถวายมาเป็นคำที่สำคัญ |
พอรุ่งแจ้งแสงศรีก็ลีลาศ | เร่งยกยาตราพหลพลขัณฑ์ |
ตามป่ากว้างทางพงดงอรัญ | ก็ดัดดั้นด้นเดินตามเนิบแนว |
เห็นบ้านลาวชาวเหนือมาเจือตั้ง | มีเด็กนั่งดูหน้าตาแจ๋วแหวว |
พุงก็โรโซงอมผอมแกร็นแกรว | มานั่งแซ่วซุ่มมองริมท้องทาง |
ข้ามลำเนาเขาเขินเนินไศล | ออกทุ่งใหญ่ยาตรเยื้องเข้าเมืองฝาง |
เห็นคนลาวกราวกรูดูเดินทาง | รีบเร็วช้างฉิวไปมิได้แล |
เข้าหยุดยั้งตั้งทัพระดับดาษ | ที่ชายหาดละหานธารกระแส |
ดูซึ้งใสไหลเลื่อนไม่เชือนแช | อยู่ในแควแขวงลำน้ำพิไชย ๚ะ |
๏ ฝ่ายเจ้าเมืองกรมการขนานแน่น | รักษาแว่นเวียงมาลาอัชฌาสัย |
มาคั่งคับรับคำสั่งระวังระไว | ทั้งนายไพร่พรั่งพร้อมน้อมประนม |
จึ่งสั่งให้เบิกอาหารทะนานนับ | ต่างตวงรับตรวจถังฟังขรม |
ได้พร้อมเพรียงเรียงตัวทั่วหมวดกรม | ทอดอารมณ์แรมช้าสองราตรี |
เที่ยวเดินดูหมู่ประชาในคาเมศ | แสนสมเพชผอมอดไม่สดศรี |
ว่าข้าวแพงแล้งฝนพ้นทวี | สัดละสี่สลึงล้นคณนา |
ลูกทารกงกงันโดยมันอยาก | เก็บเอาหมากฮุงมาปอกออกนักหนา |
ยังดิบดิบหยิบกินสิ้นตำรา | เวทนาเด็กอดสลดใจ |
เห็นลาวแก่แม่เฒ่าเฝ้ากระท่อม | ดูเต็มหง่อมงกเงิ่นเดินไม่ไหว |
จงไถ่ถามความจนแต่ต้นไป | แกเล่าให้แจ้งจำน่ารำคาญ |
ว่าความจนข้นแค้นแสนวิบัติ | พากันลัดป่าเลาะเสาะอาหาร |
ทิ้งบุตรไว้ในระหว่างหนทางธาร | เสือมาพานพบเข้าก็เอากิน |
ทั้งหิวหาอาหารสงสารสุด | ทั้งเสียบุตรวิบัติไปฤทัยถวิล |
เป็นสองทุกข์ชุกมาน่าราคิน | สุดจะยินยลจำร่ำตะบอย |
เราก็ร้างห่างเหเสน่ห์นุช | มิได้สุดสิ้นเศร้าที่เหงาหงอย |
จะนับวันนับเดือนก็เลื่อนลอย | นับปีคอยคาดไปในพนา |
แล้วกลับหลังยังที่พักสำนักทัพ | เย็นพยัพสุริย์แสงแฝงพฤกษา |
ก็นิ่งนอนถอนฤทัยอยู่ไปมา | พอนภาผ่องศรีสีรวีวรรณ |
ก็เดินทัพลำดับหมู่ดูสล้าง | จากเมืองฝางพร้อมพหลพลขัณฑ์ |
ล้วนโขดเขินเนินไศลในอรัญ | คชยันย่างย้ายค่อยบ่ายเบน |
แลศิลาผาเผินเนินพนัก | วิลาสลักษณ์ลายแดงดังแสงเสน |
สลับสีจี่จับกับโกเมน | พอสุริเยนเยื้องรถลงบดบัง |
ลงเลียบลำถ้ำธารละหานหิน | แล้วออกถิ่นทุ่งนาไม่น่าหวัง |
อยู่หว่างเขาเว้าวุ้งดูรุงรัง | แล้วข้ามฝั่งฟากพ้นชลธี |
ถึงชายลาดหาดกรวดประกวดแสง | อาทิตย์แจ้งแจ่มจัดจรัสศรี |
ช่างอบไอออกรุมสุมอินทรีย์ | ทับทวีร้อนรักให้หนักใจ |
เห็นบ้านลาวสาวแส้เหลือบแลเหลียว | ให้นึกเสียวทรวงกระสันอยู่หวั่นไหว |
เรียกผาเลือดบ้านลาวเป็นชาวไพร | อยู่หมู่ใหญ่ยลลิบลิบหกสิบปลาย |
แต่เช้าจรผ่อนค่ำรีบร่ำรุด | คะนึงนุชนึกไปแล้วใจหาย |
เดินลำธารดาลแดนแสนระคาย | ล้วนกรวดรายราคินกับศิลลา |
เลียบละเมาะเกาะกั้นเป็นหลั่นลด | เชิงบรรพตปัถพินดินเป็นผา |
มีลาวอยู่หมู่อาศัยในพนา | นึกก็น่ากลัวเสือเหลือระแวง |
ร้อนอารมณ์ตรมไปในวิถี | ถึงวัดสีบุญเรืองกุฏิเนื่องแฝง |
พฤกษ์สะพรั่งบังวัดเป็นชัฏแซง | บ้านตำแหน่งนี้ไม่น้อยสักร้อยเรือน |
อยู่ริมฝั่งนทีที่ท่าข้าม | เป็นหลั่นหลามแลตั้งทุกหลังเหมือน |
เห็นสาวสาวลาวชมอารมณ์เชือน | เหมือนแกล้งเตีอนตาให้อาลัยแล |
นั่งลอยนวลทวนวารีสีขมิ้น | ไม่มีซิ่นพันพุงนุ่งกระแส |
จนชักเชือนเบือนบากไม่อยากแล | ต้องทำแชชมพระสินธุ์ดูหินดาน |
ขึ้นถึงฝั่งตั้งทัพอยู่กับท่า | เรียกท่าปลาเข้าประเทศเขตเมืองน่าน |
เป็นทุ่งกว้างทางดงพงพนานต์ | มีนายบ้านอยู่รักษาท่านิคม |
ตำแหน่งยศพจนาพระยาเถื่อน | ได้มาเยื้อนเยี่ยมชิดสนิทสนม |
โดยระบอบชอบการสำราญรมย์ | เขาช่างกลมเกลียวดีทีทำนอง |
ครั้นรุ่งเดินเถินทางกลางไศล | ล้วนป่าไม้เยือกเย็นเห็นสยอง |
เมฆหมอกมัวทั่วสกนธ์เดินขนพอง | เสียงนกร้องร่ำรัญจวนเหมือนครวญคราง |
ลงจากเนินเดินห้วยเป็นกรวยโกรก | ช้างก็โยกยาตรเหย่ารีบก้าวย่าง |
น้ำระรินหินราเป็นท่าทาง | ตั้งอยู่กลางแลเกลี้ยงค่อยเลี่ยงเลย |
ตามริมธารบ้านเถื่อนมีเรือนตั้ง | ดูรุงรังรักษากายสบายเฉย |
ตัดซุงสักขายกินเป็นถิ่นเคย | นามภิเปรยบอกสถานบ้านจริม |
ข้ามละหานธารศิลาเข้าป่ากว้าง | มีน้ำค้างพร่างพร้อยย้อยหยิมหยิม |
ติดทองกวาววาววับเหมือนทับทิม | ดังชาติจิ้มจุดเจือดูเรื่อเรือง |
เห็นน้ำค้างขังใบพฤกษ์นึกถึงแหวน | ยิ่งสุดแสนโศกเหลือถึงเนื้อเหลือง |
ทับทิมน้ำก่ำแก่แลประเทือง | เหมือนแหวนเนื่องแบบอนามิกากาญจน์ |
ไปถึงเขินเนินโคกโตรกห้วยไผ่ | เสียงเรไรสนั่นร้องท้องไพรสาณฑ์ |
วิหคเหินเกริ่นไปในพนานต์ | ฟังสะท้านแถวพนมระงมไพร |
ประสานศัพท์สดับฟังนั่งสะทึก | อนาถนึกนกเจ้ากรรมทำไฉน |
มาร้องเรียงเสียงเหมือนเรียกออกเพรียกไพร | ทั้งเรไรหริ่งรอเข้าคลอคลุม |
เห็นพวกพ้องพลกล่นเกลื่อนในเถื่อนทึบ | แลสะพรึบสะพรั่งหยุดนั่งขุดหลุม |
ตามป่าไม้ชายเชิงเชิงสุมทุม | บ้างนั่งกุมเกาะทึ้งดึงเถามัน |
ต้นเป็นหนามถามสอบเขาตอบปาก | ว่ามันกระชากศีรษะเราสักเท่าขัน |
ต้มใส่จานฝานกินสิ้นด้วยกัน | รสคล้ายมันมือเสือเนื้อเป็นยาง |
แล้วเลียบลัดตัดไปในป่ากว้าง | ดูอ้างว้างว้าจิตคิดขนาง |
ล้วนโขดเขินเนินแนวในแถวทาง | แลสล้างลำไม้ไผ่นางนวล |
งามละอองผ่องลออเห็นกอโปร่ง | ขึ้นโชลงแลสะพร่าวราวกับสวน |
อยู่ริมทางกลางอรัญประชันนวล | น่ารัญจวนใจยืดเป็นพืชพัว |
ภูเขาเคียงเรียงขึ้นเป็นหลั่นลด | ไม่รู้หมดมืดไปด้วยไม้หลัว |
แลเบื้องบนอำพนผ่องไม่หมองมัว | เบื้องล่างพัวพรรณพฤกษาพนาเนิน |
ดูดาษดื่นพื้นผการะย้ายอด | ประสานสอดสีงามอยู่ตามเถิน |
เห็นเหวลึกนึกอนาถลีลาศเดิน | มิได้เมินมองไพรตั้งใจแล |
พลางครรไลใจตรมระทมทุกข์ | ไม่มีสุขเสียวทรวงถึงดวงแข |
แม้นพธูคู่มาจะพาแล | ชะโงกแง่เขาง้ำทุกตำบล |
พี่มาเดียวเที่ยวชมพนมพนัส | เห็นป่าชัฏพุ่มไม้ในไพรสณฑ์ |
จะหยุดร้อนผ่อนเย็นก็เห็นจน | ต้องดั้นด้นเดินไปตามไม้กรุย |
เขาเรียงรายหมายปักหลักละเส้น | เดินเขม้นมองไพรเห็นไผ่ขุย |
ไก่เถื่อนทบหลบเข้าป่าหญ้ารุกรุย | เห็นรอยคุ้ยลูกขุยค้างข้างทางจร |
ระวังไพรพิไรร้องจึ่งมองมุ่ง | จนออกทุ่งทางคิดจิตสยอน |
กลัวเสือพบขบบรรลัยเสียในดอน | เร่งกุญชรฉิวเดินเนินอรัญ |
ถึงทำเนียบเทียบโยธาที่ท่าแฝก | เป็นละแวกคามาพระยาขันธ์ |
คือเจ้าเมืองท่าแฝกไม่แผกพันธุ์ | ดูเหมาะมั่นหมู่มุ่งล้วนพุงดำ |
มาคอยรับคับคั่งฟังกระแส | ตะลึงแลรูปร่างอยู่ข้างขำ |
นุ่งถลกถกผ้าเห็นขาดำ | สักลายน้ำหมึกมัวทั่วถึงเอว |
พักรอท่าพระยาศรีอยู่ที่นั้น | เป็นสี่วันเวียนวกเหมือนตกเหว |
เที่ยวโลมสาวลาวพลคนเลวเลว | แลดูเอวอ้วนป่องเหมีองท้องมาน |
มีบ้านเรือนเขื่อนคูดูขึงขัง | พฤกษ์สะพรั่งร่มใบดูไพศาล |
ต้นหมากพลูพรูพร่างอยู่กลางลาน | ดูสนานสนุกเนื่องพื้นเมืองไพร |
พอกองรั้งหลังรุดมาหยุดช้าง | จึงกระจ่างแจ้งตรงไม่สงสัย |
พระยาศรียังอยู่ที่เมืองพิไชย | ครั้นแจ้งใจแล้วจึ่งคลาพลากร |
ขึ้นคันเขาเสลาแลแง่ฉง้ำ | แล้วลงน้ำลุยห้วยระทวยถอน |
กระสินธุ์กระเซ็นเย็นใสหลั่งไหลจร | มีชะง่อนแง่ผารอวาริน |
บางแห่งลึกช้างล้วงเอางวงดูด | เสียงสูดสูดแซกไซ้ตามไคลหิน |
บ้างไหลนองละอองอาบคราบคีริน | ครรไลลิ้นลาดมาห้วยสาลี |
เป็นเนินรอบขอบเขาดูเว้าวุ้ง | แลกระพุ้งเพิงผาศิลาสี |
ไศลสลอนก้อนสลับลำดับดี | ล้วนคีรีเรียงรื่นพื้นอรัญ |
ไม้สักสนต้นสูงนกยูงร้อง | เสียงเพรียกพร้องไก่ป่าแจ้วจ้าขัน |
ชะนีนางครางคร่ำร้องรำพัน | เสียงสนั่นยอดยางทั้งค่างลิง |
พวกควาญช้างง้างปืนยืนขยับ | แอบไม้ลับแลยุ่งทำสุงสิง |
เห็นลิงโผนโยนร่างไล่นางลิง | พอหยุดยิงตึงหกตกกระเด็น |
ยิงประชันลั่นประดังไปทั้งป่า | รบค่างข้าศึกสัตว์วิบัติเข็ญ |
กระสุนซัดพลัดพลาดสาดกระเซ็น | มาตกเต็นท์ท่านแม่ทัพให้จับตัว |
มาถามไล่ได้ความแล้วห้ามขาด | ใครองอาจยิงสัตว์จะตัดหัว |
ให้หลวงหัถสารสั่งระวังตัว | บอกให้ทั่วทุกกองปองระวัง |
หยุดแรมร้อนนอนอรัญให้หวั่นหวาด | แสนอนาถนึกในหทัยหวัง |
เสียงเสือสิงห์วิงวงในดงรัง | ไล่ละมั่งหมุนโดดโลดลำพอง |
ร้องเปิบปีบถีบสุธาชะล่าแล่น | บนพื้นแผ่นบรรพตสยดสยอง |
มันร้ายกาจอาจใจไล่ลำพอง | ลิงค่างร้องแล่นโลดกระโดดโจน |
มันด้อมเดาะเลาะลัดสกัดกั้น | ได้ทีผันพักตร์โฮกกระโชกโผน |
เสียงค่างแจดแผดร้องก้องตะโกน | บ้างวิ่งโดนกระโดดดงเข้าพงไพร |
นิ่งอนาถนิราศมาในป่าชัฏ | นึกเกรงสัตว์เสือสิงห์วิ่งไสว |
จะขบกัดตัดชีวันให้บรรลัย | อนาถภัยพยัคฆ์นิ่งนึกกริ่งตรอง |
พอรุ่งแสงสุริยาลีลาลาศ | ไถงผาดแผดเผายิ่งเศร้าหมอง |
ถึงศาลาป่าสักที่พักปอง | แต่ขาดหนองน้ำละหานเป็นดานดอน |
ไม่หยุดพลด้นไปตามไพรป่า | ลานศิลาแลเผินเนินสิงขร |
จนถึงห้วยบ่าวนายอยู่ชายดอน | ก็พักผ่อนโยธาริมวาริน |
ครั้นรุ่งออกนอกทุ่งเดินมุ่งหมาย | เห็นเรือนรายระยะเนื่องเรียกเมืองหิน |
นามพระยาที่รักษาเขตบุรินทร์ | เป็นเจ้าถิ่นที่นั้นพรหมปัญญา |
แต่งทำเนียบเรียบร้อยเขาคอยรับ | ดูคั่งคับโรงเรือนเขื่อนเคหา |
มีฟืนตองกองกลาดดาษดา | ทั้งน้ำท่าตักเทียบไว้เรียบเรียง |
มาคอยฟังนั่งล้อมอยู่พร้อมพรั่ง | ระแวดระวังนิ่งกรับสดับเสียง |
ท่านแจกปันรางวัลของผู้ครองเวียง | ที่รองเรียงได้ทั่วทุกตัวคน |
ภูมิสถานบ้านตำบลมีล้นหลาม | ตั้งเขตคามคั่งคับดูสับสน |
ประมาณร้อยห้าสิบหลังทั้งตำบล | อุดมผลไม้ออกเป็นดอกดวง |
แล้วเดินพลดลเมืองศรีสะเกษ | ผู้รั้งเขตเมืองนี้เล่าเรียกเจ้าหลวง |
เข้าพักพลยลนิคามตามกระทรวง | มิได้ล่วงเลยสถานทุกบ้านเมือง |
ในบุรีศรีสะเกษประเทศสถาน | มีละหานห้วยลำลาบละมาบเหมือง |
เป็นทุ่งนาน่าสนุกทุกประเทือง | ขนัดเนื่องแนวเถินเนินลำเนา |
ดูอันนาน่ากระสันเป็นหลั่นลด | เขาขุดทดธารามาแต่เขา |
ทำท่อทางวางลำดับรองรับเอา | ใส่ต้นข้าวขึ้นฟูน่าชูชวน |
ละแวกบ้านลานตั้งสะพรั่งพฤกษ์ | แลดูคึกขึ้นสะพร่าวราวกับสวน |
พรรณผลต้นงามตามกระบวน | คะนึงนวลนุชนาฏลีลาศแล |
แม้นมาคู่ดูได้แจ้งแสดงผล | จะชมต้นกะลิงปลิงที่กิ่งแปล้ |
ชวนชิงเก็บสระเล็บล้อทำกอแก | แล้วพาแชชี้ผลที่ต้นทรง |
เห็นล้มซ่าสุกหล่นผลออกเหลือง | ลูกมะเฟืองแฝงใบอาลัยหลง |
หมากมะพร้าวขึ้นสะพร่าวราวกับดง | สุดจะจงจำไม้ที่ในเนิน |
ครั้นค่ำค้างกลางคืนไม่ชื่นจิต | รุ่งอาทิตย์เดินทางไปกลางเถิน |
เข้าป่าชัฏตัดข้ามไปตามเนิน | ล้วนโขดเขินขึ้นชันอรัญเรียง |
ถึงแนวป่าศาลาหลวงแหงตก | นิยายยกหยิบลือเป็นชื่อเสียง |
ว่าหลวงแหงตกช้างลงกลางเพียง | จึงเรียกเรียงนามนั้นตามกันไป |
แล้วเดินช้างทางชะแง้เหลือบแลเหลียว | เห็นเขาเขียวสูงตั้งบังไถง |
จำเพาะขวางทางจรัลที่ครรไล | ต้องจำใจจรตามข้ามคีรี |
ก็ไสช้างย่างเดินขึ้นเนินเขา | แลเสลาลอยคว้างหว่างวิถี |
สูงถงันชันเยี่ยมเทียมเมฆี | ก้าวสักทีทอดเหนื่อยเมื่อยกายา |
ช้างใช้งวงหน่วงไม้เหนียวค่อยเกี่ยวก้าว | อาทิตย์ผ่าวแผดส่องต้องมังสา |
ฉาบกุญชรร้อนรุ่มกลุ้มอุรา | หยุดยืนอ้าโอษฐ์โอกโสกน้ำลาย |
อาละวาดฟาดทรวงทิ้งงวงป๋อง | ยืนจองหงองโงกหอบบอบใจหาย |
หมอเอาน้ำในกระบอกออกประปราย | ให้เย็นกายแล้วค่อยขับขยับเดิน |
เลียบไหล่เขาเว้าวุ้งเป็นคุ้งคด | มิใคร่หมดเขาขวางหนทางเถิน |
ตั้งหมอกเมฆวิเวกว้างในกลางเนิน | เห็นสุดเกินกะพืชช่างยืดโยง |
ดูลอยเมฆเอกกว่าเหล่าเขาทั้งหลาย | ช่างเหมาะหมายนามว่าดอยตาโล่ง |
ค่อยเดินช้างย่างยันดูงันโงง | หมอโชลงชะลอใจให้ไคลคลา |
ลงจากเขาเข้าห้วยพวยออกทุ่ง | ก็หมายมุ่งยาตรเยื้องเข้าเมืองสา |
ผู้รั้งเมืองมีกำหนดพจนา | ชื่อพระยาอินทวงษาสงคราม |
เขารับแรงแข็งขอบชอบขนบ | โดยคำรพเรียบดีไม่ผลีผลาม |
มาภักดีมีอุตส่าห์พยายาม | ไม่มีความหมองใจระไวระวัง |
ประมาณมีที่เคหาประชาราษฎร์ | จะคิดคาดก็ไม่น้อยเจ็ดร้อยหลัง |
ตามตำบลต้นพฤกษาดาประดัง | เขาปลูกฝังขึ้นฟูในบุรี |
พอพบหมู่คชมาระดาดาษ | ดำเนินนาฏข้างหน้าพระยาศรี |
ก็หยุดข้างทางถามตามไมตรี | แล้วก็ลีเลยลาล่วงหน้าไป ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพกับพลาโยธาหาญ | พักสำราญรุ่งศรีรวีไข |
จึ่งเดินทัพขับช้างตามทางไป | ล่วงครรไลเที่ยงเวลาท่านการุญ |
เข้าหยุดช้างกลางนาเอาผ้าลาด | พักขนาดพลรบสบสมุน |
กำลังแดดแผดร้อนอ่อนละมุน | ลงทอดทุ่นทนสู้สุริยน |
พอเสนาประชาชาวลาวเมืองน่าน | นำคชสารสามมาแจ้งแห่งนุสนธิ์ |
กับพานเมี่ยงพานชลาบุปผาปน | เข้าน้อมตนต่อแม่ทัพคำนับเรียน |
ว่าเจ้าน่านผ่านบุรีมีมนัส | โดยสวัสดิ์หวังเจริญเชิญเสถียร |
เข้าในเวียงเสียงซ้องคำร้องเรียน | แต่ฟังเพี้ยนแผกหูดูยังงง |
ท่านแม่ทัพสดับรสพจนารถ | จึ่งตอบราชเจริญตามความประสงค์ |
ขอบฤทัยในคำที่จำนง | จงทูลองค์เจ้าสถานน่านนคร |
ขอหยุดพลพอพักสำนักเหนื่อย | ด้วยยังเมื่อยมึนเดินเขินสิงขร |
ต่อรุ่งจึ่งจะยาตราพลากร | เข้านครคำนับดังตั้งกระมล ๚ะ |
๏ ครั้นเย็นย่ำค่ำค้างอยู่กลางทุ่ง | น้ำค้างฟุ้งฝอยพร่ำเหมือนน้ำฝน |
อนาถนอนดอนดาลสงสารตน | ตากสกนธ์กลางด้าวให้หนาวกาย |
ผ้าที่คลุมหุ้มร่างน้ำค้างชุ่ม | อากาศกลุ้มกลบควันตะวันสาย |
สุริย์แสงแจ้งกระจ่างน้ำค้างพราย | จัดพลรายเรียงเดินเนินพนานต์ |
ช้างที่เจ้าพาราให้มารับ | ท่านแม่ทัพเทียบเรียงเคียงขนาน |
นิมนต์พระนิลวรรณ์อันตระการ | ใส่คชยานนำทัพลำดับมา |
อีกสองสารขนานแข่งเดินแซงข้าง | พวกขุนนางลาวรายทั้งซ้ายขวา |
นำหน้าช้างย่างยาตรให้คลาดคลา | เข้าพารารีบไปไม่ประวิง |
เห็นบ้านเรือนเกลื่อนกลาดระดาษด้าว | เสียงเกรียวกราวเกริ่นกรายทั้งชายหญิง |
บ้างยืนแอบแนบกายทำอายอิง | บางนางนิ่งเนตรชายชม้ายเมียง |
ทั้งสองข้างทางทำร้านน้ำตั้ง | ที่เหนื่อยนั่งนิ่งเซาพูดเบาเสียง |
ได้เสพสินธุ์กินชื่นดูรื่นเรียง | ก็เข้าเคียงขอหมากลาวสาวสาวอม |
ข้างฝ่ายสาวลาวสะเทิ้นทำเขินขวย | แต่งตัวสวยมิได้เศร้าล้วนเกล้าผม |
หยิบหมากยื่นฝืนอายระคายคม | ดูนิยมยิ้มละไมอยู่ในที |
ต่างสำรวลสรวลสาค่อยผาสุก | พอแก้ทุกข์เดินทางหว่างวิถี |
ถึงทำเนียบเทียบพลาไม่ราคี | หยุดทัพที่หน้านครผ่อนสำราญ |
พร้อมด้วยเจ้าเผ่าพระยามาคั่งคับ | ต่างคำนับสนองรสพจน์ประสาน |
เหมือนอย่างคุ้นเคยรักกันหนักนาน | พิณพาทย์ขานอุโฆษฆ้องกลองละเวง |
แล้วเชื้อเชิญเจริญรักให้พักทัพ | โดยลำดับรายเราะช่างเหมาะเหม็ง |
ที่หนึ่งสองสามเรียงไม่เพลี่ยงเพลง | ดูครื้นเครงอวยชัยแล้วไคลคลา ๚ะ |
๏ นับวันเดินเถินวิถียี่สิบเอ็ด | โดยเขบ็ดขบวนบกยกจากท่า |
ถึงเมืองน่านผ่านนครจรทัพมา | ปีระกาเดือนยี่ดิถีแรม |
สองค่ำคงลงวันพฤหัสบดิ์ | แจ้งกระจัดจริงหมดไม่จดแถม |
สามโมงเช้าเข้านครหยุดร้อนแรม | มีเศษแซมสี่สิบห้าวินาที ๚ะ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้านครถาวรสวัสดิ์ | จงได้จัดเมี่ยงหมากเป็นศักดิ์ศรี |
กับผ้านวมนิ่มนุ่มคลุมอินทรีย์ | ให้มนตรีนำน้อมจอมโยธา |
เป็นของเยื้อนเตือนต้อนสุนทรทัก | ว่าบ่ายสักสี่โมงจะมาหา |
แม่ทัพสดับรสพจนา | ถวายผ้านวมตอบว่าขอบใจ |
ครั้นภาณุมาศผาดศรีสี่โมงเศษ | เจ้ามาเลศก็มาเหมือนปราศรัย |
พร้อมพระวงศ์พงศาเสนาใน | ก็ครรไลกรีกรูเป็นหมู่มา |
มีข้าหลวงทะลวงฟันเป็นหลั่นลด | ประดับยศดูกำยำเดินนำหน้า |
ถือดาบหอกออกขนานลานชลา | แน่นคณานิกรงามทรามประเทือง |
เจ้าเมืองน่านแต่งองค์ทรงยศศักดิ์ | สวมสะพักเยียรบับระยับเหลือง |
นุ่งผ้าปูมภูมิผ่องดูรองเรือง | ค่อยยาตรเยื้องย่างทยอยเดินลอยชาย |
แต่เจ้าอุปราชาอยู่ล้าหลัง | ดูขึงขังคมสันรีบผันผาย |
เดินแคล่วคล่องก้องแก้งตกแต่งกาย | เอาผ้าด้ายแดงเทศโพกเกศกรรณ |
ท่านแม่ทัพรับอยู่ประตูค่าย | ทั้งสองฝ่ายปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
เชิญครรไลไคลคลอจรจรัล | ขึ้นบนชั้นเชิงพื้นดูรื่นรมย์ |
แล้วไถ่ถามนามวงศ์ด้วยจงรัก | ทราบประจักษ์แจ้งจิตสนิทสนม |
ไม่ไหวหวั่นพรั่นเสียวตูเกลียวกลม | โดยนิยมยินรสพจนา |
ท่านจัดสรรสิ่งของในกองทัพ | เป็นคำนับในเล่ห์เสน่หา |
ถวายท้าวเจ้าสถานน่านพารา | กับบุตราอุปราชราชวงศ์ |
ดูยินดีปรีดาสถาผล | มีกระมลมุ่งมิตรพิศวง |
อาทิตย์ดับลับลัดอัสดง | ก็กลับคงคืนไปยังในวัง |
ครั้นรุ่งวารท่านแม่ทัพกับพหล | ก็ไปยลเยี่ยมเจ้านายที่หมายหวัง |
ล้วนมีชื่อลือเลื่องกระเดื่องดัง | เสร็จแล้วตั้งรอฤกษ์จะเบิกตรา ๚ะ |
๏ เที่ยวแวดชมนิคมเขตประเทศสถาน | ป้อมปราการก่อตั้งเป็นฝั่งฝา |
มีเชิงเทินเนินใส่ใบเสมา | ทวาราเรือนยอดตลอดแล |
เป็นดอนดอยลอยพื้นดูรื่นเรียบ | แต่ไม่เทียบท่าห่างทางกระแส |
สักสี่เส้นเห็นไกลอาลัยแล | ใช้เรือแต่ชะล่าล้วนควรระคาง |
ชาวประชาผาสุกทุกคาเมศ | อยู่ตามเพศพวกพรรคไม่มักหมาง |
จีนพ่อค้าที่อาศัยก็ไว้วาง | ให้อยู่ทางแถวขนัดเขาจัดการ |
เห็นวัดหนึ่งจึ่งพินิจพิศวง | ดูมั่นคงขอบโขดโบสถ์วิหาร |
กำแพงแก้วแถวกั้นเป็นชั้นชาน | แลละลานเอกสำอางกลางนคร |
บันไดนาคหลากล้ำทำสะดุ้ง | เป็นคันคุ้งคดคู้เชิดชูหงอน |
เกล็ดระบายลายขนดดูชดชอน | ดังนาคนอนแนบทางข้างบันได |
เข้าในโบสถ์บงพระพุทธวิสุทธิ์ศรี | อัญชลีลานจิตพิสมัย |
ยลรูปเขียนเพี้ยนภาพให้ปลาบใจ | ยักษ์อะไรนุ่งซิ่นจินตนา |
จึ่งแจ้งจิตคิดเห็นเป็นกำหนด | ภาพทั้งหมดหมายงามตามภาษา |
ภาพจีนจามพราหมณ์ฝรั่งแขกลังกา | ลายเลขาคงเป็นเช่นตระกูล |
ออกเดินดาลชานชาลาที่หน้าโบสถ์ | เห็นสูงโสตทรงเจดีย์จับสีศูนย์ |
ดูสมควรส่วนสัดพิพัฒน์พูน | เรืองจรูญแลขาวราวสำลี |
ที่เชิงชานฐานทำช่างขำคิด | ประดับประดิษฐ์คชลักษณ์เป็นศักดิ์ศรี |
ยลแต่เศียรตัวแสกแบกเจดีย์ | ดั่งจะรี่ร่อนไปในโพยม |
จึ่งให้นามตามคชาที่คล้าคล่ำ | วัดช้างคํ้าคู่พาราสง่าโฉม |
พระทรงศิลป์แสนสุขไม่ทุกข์โทรม | ไม่ครื้นโครมเคร่งครัดระมัดองค์ |
ทุกวัดวาน่าเคารพนอบนบไหว้ | รักษาไตรวรวัตรขนัดสงฆ์ |
ภิกขาจารใบตาลตั้งบังอนงค์ | ยืนดำรงให้ยถาแล้วคลาคลาย |
ประชาราษฎร์ดาษดื่นดูรื่นเรียบ | ได้ระเบียบแบบบทใบกฎหมาย |
ไม่ฝ่าฝืนขืนคำทำหยาบคาย | สุขสบายสมบูรณ์พูนทวี ๚ะ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าเข้าในเวียงเสียงออกแซ่ | เที่ยวดูแม่ค้าลาวนางสาวศรี |
เรียกว่ากาดตลาดใหญ่ในบุรี | เสียงอึงมี่หมู่ลาวชาวพารา |
พวกเจ้าชู้ดูเชิงเที่ยวเบิ่งสาว | เห็นขำขาวเคียงคลอเข้ารอหน้า |
เดินแทรกแซงแสร้งเสพูดเฮฮา | เว้าภาษาลาวล้อในข้อคำ |
ทั้งหญิงชายซื้อขายกันอนันต์เนก | ไม่แกล้งเสกสรรใส่พิไรร่ำ |
ลาวผู้ชายรายราสักขาดำ | ล้วนแต่น้ำหมึกมัวจนทั่วพุง |
ช่างเจาะหูรูโตดูโร่ร่า | เอามวนยายัดใส่เหมือนไถ้ถุง |
นุ่งตาโถงโจงกระสันพันออกนุง | ห่มเพลาะกรุ้งกริ่งกรอเดินรอรี |
หญิงผมยาวเกล้ามวยสวยสะอาด | ลักษณ์วิลาสแลประไพวิไลศรี |
ลานทองคำทำตุ้มหูดูก็ดี | นุ่งซิ่นสีแดงประดับสลับแล |
เป็นริ้วรายลายขวางที่นางนุ่ง | เฝ้ามองมุ่งพินิจบางไม่ห่างแห |
ห่มผ้าจ้องคล้องคอเดินคลอแคล | เว้นเสียแต่เต้าไม่ปิดให้มิดเลย |
หรือจะอวดประกวดถันยุคันคู่ | เปิดให้ชูช่อดอกไว้ออกเฉย |
บ้างยานย้อยคล้อยเคลื่อนไม่เชือนเชย | บางคนเผยผายกางเหมือนช้างงา |
บ้างเป็นปุ่มตุ่มติดอยู่หนิดหนึ่ง | ไม่งอกผี่งผายล้นพ้นภูษา |
ศีรษะใหญ่ยาวเท่าฟองเต่านา | จะร่ำว่าไปก็กลแต่มลทิน |
สินค้าขายรายตลาดดูดาษดื่น | พรรณพื้นผักไห่แลไคลหิน |
ทั้งกล้วยส้มชมผลจะยลยิน | เหมือนไม้ถิ่นทางไปที่ได้ดู |
เนื้อสัตว์ป่าบรรดามีที่หาได้ | อีกเป็ดไก่ปูปลาบ้างค้าหมู |
หอยโข่งต้มหอยขมปนระคนปู | อึ่งอ่างหนูเขียดนาแลปลาซิว |
ปลาแห้งสดกดกาแลปลาดุก | ทั้งปลาอุกอ้ายเบี้ยวบัวตัวจิ๋วจิ๋ว |
ดูผอมหมดอดแกนตัวแกร็นกริว | ช่างเต็มกิ่วเกินปลาน่าระคาย |
แต่เนื้อโคกระบือเป็นถือขาด | ใครพิฆาตฆ่าริบเอาฉิบหาย |
ว่าเป็นสัตว์พิพัฒน์ผลคนหญิงชาย | ไม่ทำลายล้างผลาญให้ลาญชนม์ |
พระสุริยงทรงส่องห้องเวหา | กระจ่างหล้าลอยคว้างมากลางหน |
ต่างล่วงลับกลับบ้านสถานตน | ก็กลับดลแดนสำนักพักโยธี ๚ะ |
๏ ฝ่ายองคท้าวเจ้านิกรนครน่าน | ครั้นถึงวารวรสิทธิ์ถ้วนดิถี |
อาทิตย์แรมห้าค่ำทำพิธี | ในเดือนยี่เช้าเวลาได้ห้าโมง |
จัดให้เจ้าราชวงศ์องค์หัวหน้า | คุมคณาลาวแห่แลโอ่โถง |
มียวดยานคานหามงามโชลง | ดูยืดโยงเครื่องยศพระกลดบัง |
กลองชนะกลองนำเป็นลำดับ | สุรศัพท์เซ็งแซ่เสียงแตรสังข์ |
มาทำเนียบเรียบพลดลประดัง | ดูสะพรั่งพร้อมแซ่คอยแห่ตรา ๚ะ |
๏ ข้างฝ่ายท่านพระยาศรีที่ข้าหลวง | ซึ่งคุมดวงตราสุวรรณก็หรรษา |
แต่งตนพร้อมดูละม่อมละไมตา | จัดดวงตรากับสารใส่พานทอง |
เชิญขึ้นตั้งยังเสลี่ยงคนเคียงข้าง | พระกลดกางกั้นไถงมิให้หมอง |
พวกดนตรีตีประโคมร่ำโรมกลอง | เสียงกึกก้องโกลาที่หน้าลาน |
ท่านแม่ทัพรับงานจัดการแห่ | แบ่งตอนแต่คนลาวชาวเมืองน่าน |
เป็นหมวดหมู่ดูงามไปตามการ | หัวหน้าหนานแสนเคียงอยู่เรียงราย |
ที่หนึ่งมีคนนำหน้าคอยตราตรวจ | เป็นตำรวจเร่งรัดถือมัดหวาย |
ใครกีดขวางทางไล่มิใกล้กลาย | ไปยืนรายเรียงรั้งตั้งกระบวน |
ที่สองสรรมั่นคงดูองอาจ | พลขนาดดาบประดิษฐ์ไม่ผิดผวน |
เป็นหมู่หมวดตรวจกันคั่นกระบวน | มิให้ลวนลามเดินเกินกันไป |
ที่สามซ้องกลองประโคมเสียงโครมครั่น | เสนาะสมั่นอึงมี่ปี่ไฉน |
กลองชนะจังหวะรับฟังจับใจ | เข้าแถวไว้วางระยะเป็นกระทรวง |
ที่สี่มีตำรวจตรวจสองแถว | เข้ายืนแซ่วสมทบสองเป็นกองหลวง |
ถือดาบปืนยืนงามตามกระทรวง | มิให้ล่วงล้ำจำนวนกระบวนลาว ๚ะ |
๏ กระบวนไทยในกองทัพรับสมทบ | ทหารรบเริงศึกดูฮึกห้าว |
เข้าแถวเรียงเรียบปืนดูยืนยาว | ไทยกับลาวแลไกลมิใช่แคลน |
ออฟิเซอร์นั้นสะพายสายทองแถบ | สนับแนบนำพลพหลแหน |
ถือธงชัยเช่นอังกฤษเรียกริชแมน | อเนกแน่นแซ่ประสานทหารแตร |
เป่าเป็นเพลงเครงครื้นพื้นพิภพ | พลรบระยะวางไม่ห่างแห |
แบกอาวุธหยุดยั้งคอยฟังแตร | แล้วถึงแคร่เครื่องประทานใส่สารตรา |
งามเครื่องราชอิสริยยศดูหมดเหมาะ | ดังจะเหาะเหินเร่ขึ้นเวหา |
งามกลดปักหักทองขวางกางศาลา | งามสง่าศุภสารบนพานทอง |
งามแม่ทัพกับข้าหลวงดูช่วงโชติ | ดังจะโลดลอยลมสมทั้งลอง |
แต่งเต็มยศหมดละไมในทำนอง | งามทั้งสองสมสกนธ์พลเรือน |
งามตัวนายชายชาญทหารกล้า | งามทีท่าว่องไวใครจะเหมือน |
แม้นข้าศึกฮึกรอมาต่อเตือน | คงไม่เคลื่อนคลาดที่ด้วยฝีมือ |
งามธงช้างสล้างสลัดลมพัดฉิว | เหมือนทองปลิวเปลวฟ้าลงมาถือ |
ต้องแข็งข้อรอไว้ให้กระพือ | ดังฮือฮือหวนหันจรัลราย |
พอฤกษ์ดีคลี่เคลื่อนให้เลื่อนลาด | แลระดาษดื่นดูเป็นหมู่หมาย |
ทหารยืนสองข้างหนทางราย | ตั้งแต่ค่ายถึงคุ้มซุ้มทวาร |
ที่ริมคันมรรคาระดาด้วย | ต้นอ้อยกล้วยปักเรียงเคียงขนาน |
มีธงฉัตรบัตรยอดตลอดลาน | แลประสานสีตองละอองนวล |
ที่ใบแก่แลสลับวะวับวาบ | ดังสีขาบเข้มคมสมสงวน |
เพสลาดผาดสีฉวีนวล | ที่ใบม้วนมองกระสันเป็นมันดี |
นึกสีตองน้องปรุงนุ่งตองอ่อน | สะพักผ่อนพันสมผ้าห่มสี |
แพรสีนวลหวนประทิ่นกลิ่นมาลี | สลับสีประสานสอดเหมือนยอดตอง |
พินิจพลางย่างเยื้องชำเลืองเหลียว | กระสันเสียวเศร้าในฤทัยหมอง |
ยลผู้สาวลาวล้วนนวลละออง | เขม้นมองพิศนวลน่ายวนยล |
ทั้งสาวแส้แม่ร้างสล้างสลับ | อเนกนับหนานแสนแน่นถนน |
เข้าเบียดหมู่ดูแห่ออกแจจน | ตั้งกระมลนุ่งแลชะแง้เงย |
ดำเนินพลดลประดาทวาเรศ | ชาวนิเวศแหวกบานทวารเผย |
กระบวนรั้งตั้งประดาอยู่หน้าเกย | มิได้เลยลามหยุดดุษฎี |
ท่านแม่ทัพรับรองประคองสาร | เคียงขนานพร้อมหน้าพระยาศรี |
เชิญหีบตราคลาคลอจรลี | ขึ้นสู่ที่โอ่โถงในโรงคัล |
พร้อมเจ้านายฝ่ายมาลาคณาแน่น | มาแห่แหนห้อมหุ้มประชุมขวัญ |
แน่นขนัดอัดแออยู่แจจัน | เสียงสนั่นนฤนาทฆาตประโคม ๚ะ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้ามาเลศประเทศสถาน | นครน่านนั่งหน้าสง่าโฉม |
เสนานาถดาษดื่นดูครื้นโครม | เป็นที่โสมนัสามาลาแล |
พอสาราตราประทับลงกับที่ | เผยวาทีทักถามตามกระแส |
ดูชิดชอบตอบต่อกันจอแจ | ประสานแซ่สนทนาสถาพร |
ข้างฝ่ายท่านพระยาศรีปรีชาชาติ | ผู้เชิญราชกิจนำคำอักษร |
เรียกอาลักษณ์ขุนนางลาวชาวนคร | ส่งอักษรศุภสารให้อ่านความ ๚ะ |
๏ ศุภลักษณ์อักษรถาวรถวิล | จอมนรินทร์รมเยศเกศสยาม |
มาถึงองค์พงศ์มาลาวราราม | ออกพระนามองค์ท้าวเจ้าอนันต์ |
มีสร้อยเสริมเติมวรฤทธิ์เดช | สกุลเชษฐ์เตไชยใหญ่มหันต์ |
ครองโยนกนัคราถาวรวรรณ | ไม่มีอันตรายราญสถานทาง |
ทั้งซื่อตรงจงจิตในกิจราช | ต่อใต้บาทบทรัชไม่ขัดขวาง |
ราชการงานสิ่งใดไม่ระคาง | เป็นไว้วางพระทัยทำโดยจำนง |
เมื่อครั้งก่อนมีทัพก็รับเลี้ยง | ส่งเสบียงเสร็จสมอารมณ์ประสงค์ |
ทั้งกำลังพลรบสมทบณรงค์ | ช่วยเสริมส่งราชการงานแผ่นดิน |
เป็นความชอบครั้งใหญ่ในปฐม | ทรงนิยมอย่างในพระทัยถวิล |
คิดจะตอบความชอบใหญ่ในแผ่นดิน | ได้ทรงยินดีดังตั้งพระทัย |
จะรอท่าช้าไว้เมื่อไปเฝ้า | ก็แก่เฒ่าทุพพลคิดวินิจฉัย |
จะช้าเกินเนิ่นนักหนักพระทัย | จึ่งโปรดให้นำตรามาประทาน |
ประสิทธิ์ประสาทเครื่องราชอิสริยยศ | ให้ปรากฏแจ้งกิจทุกทิศสถาน |
ชั้นที่หนึ่งซึ่งจัดในรัชกาล | นามขนานชื่อมหาสุราภรณ์ |
เป็นความชอบขอบพระทัยในครั้งแรก | จัดจำแนกแนะนำคำอักษร |
เมื่อสำเร็จเสร็จการที่ราญรอน | จึ่งจะย้อนยกความชอบตอบต่อไป ๚ะ |
๏ พอจบลงองค์น่านผ่านนิเวศ | ได้ทราบเหตุสารแจ้งแถลงไข |
พระพักตร์ผันมั่นมุ่งมากรุงไกร | บังคมไทยธเรศรักจักรพาล |
พระยาศรีคลี่อักษรบวรราช | อ่านประกาศแจ้งใจที่ในสาร |
ออกพระนามความพินิจพิสดาร | ว่าประทานให้สำหรับประดับยศ |
ความในกลอนอักษรนี้ไม่ถี่ถ้วน | พูดด้วนด้วนเห็นดำดำพอจำจบ |
แม้นอยากดูรู้จริงทุกสิ่งพจน์ | จงดูบทบัญญัติบอกออกธิบาย |
พออ่านจบเจ้าประเทศเกศโยนก | ก็ยอยกหัตถ์ประนมก้มถวาย |
บังคมคุณจุลจักรหลักนิกาย | พระพักตร์ผายผันมุ่งกรุงนคร |
ถ้วนสามลาพระยาศรีที่ข้าหลวง | จึ่งหยิบดวงตราวิจิตรอดิศร |
ติดเสื้อทรงองค์มาลาสถาพร | ที่ทรวงค่อนข้างซ้ายวิไลโลม |
แล้วสวมสายสะพายพันกระสันสอด | เรียกกันตลอดคู่ตราวราโฉม |
สีน้ำเงินเงาส่องห้องโพยม | ลานประโลมเลื่อมสลับดูจับตา |
พิศดูชูช่วงดวงมงกุฎ | ช่างผ่องผุดเพชรระบายลายเลขา |
ลงยาสีลิ้นจี่ช่วงในดวงตรา | กลางมหามงกุฎก่ำน้ำสุวรรณ ๚ะ |
๏ ครั้นแต่งเสร็จพระยาศรีคลี่อักษร | สถาพรเพิ่มความตามกระสัน |
ว่าสารตราฉบับนี้ที่สำคัญ | ให้พร้อมกันปลงใจลงในการ |
คือเกณฑ์ช้างโคต่างเข้ากองทัพ | ให้ได้รับเร็วพลันดังบรรหาร |
ฉลองคุณบุญเบื้องบทมาลย์ | ให้เสร็จการได้ดังรับสั่งทรง |
เจ้าน่านตอบพจนาว่าไม่ขัด | จะรีบจัดให้สมอารมณ์ประสงค์ |
ทั้งโคต่างข้างคนรณรงค์ | ให้ได้ส่งเสร็จพลันดังบัญชา |
พลางพินิจพิศดูเครื่องปูลาด | มีเจียมสาดสะอ้านปูชูยศถา |
จะกล่าวนักชักชมภิรมยา | เป็นโบราณคติพื้นยังยืนยาว |
มีเครื่องแก้วแพรวพรรณหิรัญรัตน์ | ล้วนเครื่องมัสการสรรพประดับขาว |
มีเศวตฉัตรกั้นห้าชั้นพราว | ผนังราวรายอารุธยุทธนา |
เพดานดาดวิลาสลายระบายเมฆ | ดูวิเวกวนเล่ห์พื้นเวหา |
สุวรรณวามอร่ามดาวพรั่งพราวตา | ทัศนานิ่งพิศพินิจพลาง |
พอเสร็จสั่งสนทนาก็ลากลับ | มาพักทัพทอดในฤทัยหมาง |
กะตำบลสถลแถวในแนวทาง | ในป่ากว้างกว่าจะไปหลายทิวา ๚ะ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้ามาลาพาราน่าน | จัดคชสารสมมาดปรารถนา |
ทั้งพังพลายรายหมวดนับตรวจตรา | ได้พร้อมมาร้อยเชือกเสือกสะกอ |
มาส่งให้ใช้การในงานทัพ | สัปคับแหย่งยานทั้งควาญหมอ |
ยืนกำยำประจำที่คนขี่คอ | ไม่รั้งรอเรียกขานทำบาญชี |
จดชื่อช้างชื่อคนตำบลบ้าน | เสร็จแล้วทานทบทวนถูกถ้วนถี่ |
จ่ายตามหมวดตรวจรับลำดับดี | ประจำที่คอยอยู่ดูกรูเกรียว ๚ะ |
๏ มีช้างหนึ่งผึ่งผายวิไลลักษณ์ | สูงได้สักสี่ศอกปลายชื่อพลายเขียว |
พึ่งรุ่นหนุ่มชุ่มมันเหมาะมั่นเจียว | กำลังเปลี่ยวเปล่งมองลำพองพัง |
เป็นช้างเจ้าราชวงศ์ทรงสำหรับ | จะขี่ขับว่องไวดังใจหวัง |
ไม่ตื่นเต้นปืนปังให้ตึงตัง | ทราบวาจังแจ้งจิตคิดคะนึง |
ท่านแม่ทัพสดับคำที่ร่ำว่า | ช้างที่ส่งมาทั้งนี้ไม่ดีถึง |
อยากซื้อไว้ใช้ศึกนึกคะนึง | แล้วท่านจึงไถ่ถามตามราคา |
ข้างฝ่ายท่านเจ้าของช้างไม่ร้างรัก | คิดจะภักดิ์ผูกพันโดยหรรษา |
ไม่รักทรัพย์รับไมตรีมีวาจา | ยกคชาให้เป็นของที่ต้องใจ |
ท่านแม่ทัพไม่รับไว้จะใคร่ซื้อ | เป็นหลายรื้อเรรวนมาหวนให้ |
ต้องรับช้างหมางกระมลด้วยจนใจ | คิดเงินให้สามพันอันรูเปีย |
ต่างรับตอบชอบใจในจริต | ดูสนิทในขนบประสบเสีย |
ได้เคยคุ้นสุนทรามาคลอเคลีย | กะลิ้มกะเหลี่ยผูกอาลัยทางไมตรี |
แล้วตั้งชื่อช้างใหม่เรียกพลายน่าน | เปลี่ยนขนานนามเมืองประเทืองศรี |
หวังรำลึกนึกถวิลความยินดี | เป็นไมตรีตรึงใจอาลัยลาน ๚ะ |
๏ ครั้นสำเร็จเสร็จสมอารมณ์ประสงค์ | แม่ทัพส่งก๊าดเชิญเจริญสาร |
พร้อมเจ้านายฝ่ายเสนาผู้ว่าการ | กับเจ้าน่านมาที่ทัพอันดับกัน |
เวลาค่ำย่ำทุ่มประชุมนั่ง | มาสะพรั่งพร้อมขนัดที่จัดสรร |
ก็จัดโต๊ะแต่งเลี้ยงเข้าเคียงกัน | ต่างรำพันกิจการงานนานา |
จนดึกดาวพราวพร่างน้ำค้างกลุ้ม | เลิกประชุมหวนคิดขนิษฐา |
ไม่วายว่างห่างถวิลจินตนา | จับอุรารุ่มร้อนลงนอนซึม |
จึ่งห้ามจิตอย่าคิดเลยเฉยเสียนะ | ห้ามอุระอย่าให้เศร้าทำเหงาหงึม |
ห้ามวาจาอย่าให้เผลอพูดเพ้อพึม | ห้ามอย่าขรึมครวญใคร่ใจจะตรอม |
ทุกคืนค่ำร่ำรักเมื่อพักทัพ | แม้นจะนับคะแนนกองสักสองอ้อม |
ยิ่งห้ามนักก็ยิ่งหน่วงในทรวงตรอม | แทบจะงอมงมอาลัยความไมตรี ๚ะ |
๏ จนถึงวันครรไลลาโยธาเคลื่อน | อาทิตย์เดือนยี่แรมไม่แจ่มศรี |
สิบสองค่ำกระทำกิจการพิธี | พระสัพพีพรชัยได้เวลา |
หัวหน้านายฝ่ายเมืองน่านในการช้าง | มีนามอ้างออกเสียงเจ้าเวียงสา |
เข้ากองทัพลำดับดลพลโยธา | กลางชลาลานยลพลนิกร |
พร้อมด้วยเจ้าเผ่าพระยามาคอยส่ง | ราชวงศ์อุปราชดาสมร |
มาส่งสั่งตั้งใจอาลัยวอน | พอทินกรประกอบยามได้สามโมง |
ก็ลีลาคลาทัพสลับสล้าง | ออกเดินช้างข้ามชลาดูอ่าโถง |
หมู่พหลพลลุยกระจุยโจง | วิ่งตะโพงลำพังแรงดูแข่งเคียง |
ขึ้นจากท่าธาราออกเดินนอกทุ่ง | เขม้นมุ่งทัพก้าวทางลาวเฉียง |
เลียบโขดเขินเดินดอนสิงขรเคียง | จะเรียบเรียงระยะย่านบ้านตำบล |
ก็ป่วยกล่าวยาวยืดชักจืดหู | ทั้งสุดรู้สุดฤทธิ์คิดฉงน |
จึ่งหยิบเค้าเล่าข้อแต่พอยล | แถวสถลเถื่อนทางที่กลางดง |
บ้างรกชัฏลัดดาเป็นป่าสูง | ต้นยางยูงยอดชูดูระหง |
บ้างแลโล่งโปร่งตาเป็นป่าพง | บ้างเป็นดงดื่นด้วยหญ้าเรียกป่าแดง |
บางแห่งห้วยกรวยโกรกซะโงกง้ำ | มีธารน้ำไหลดูไม่รู้แห้ง |
บ้างเป็นเกาะเฉาะขวางขึ้นกลางแปลง | มีหญ้าแซงแทรกรายชายวารี |
บางแห่งลื่นพื้นนาหญ้าหยอกหยอย | ขึ้นตายฝอยเฝือแดดแผดออกจี๋ |
แตกระแหงแห่งขัดทางนัทที | เป็นรอยรีรานน่าระอาใจ |
บางแห่งอาบคราบไคลน้ำไหลแซะ | เป็นทางแฉะชุ่มชื่นลื่นไถล |
ค่อยสันเสาะเลาะเดินไม่เพลินใจ | บ้างครรไลเลียบจรตามดอนดอย |
บางทางแหวกแฝกเฝือเหลือวิตก | เดินในรกหญ้าระเหลือละห้อย |
ถูกหญ้าบาดผาดผิวเป็นริ้วรอย | ย่างทยอยยับยั้งระวังกาย |
บ้างสะอ้านลานลาดอาวาสวิเวก | ช่างมาเสกสร้างอาศัยน่าใจหาย |
มืบ้านเถื่อนเรือนรั้งประทังกาย | เที่ยวยักย้ายแยกอยู่เป็นหมู่มอง |
ในทุ่งท่าป่าดงพงพฤกษา | ก็มีอารามสถานแลบ้านช่อง |
อาศัยธารละหานหินกระสินธุ์นอง | อยู่แถวท้องทุ่งไพรทำไร่นา |
แต่เช้าจรผ่อนค่ำรีบร่ำรุด | คะนึงนุชนาฏเดินตามเนินผา |
ลงเดินเหนื่อยเมื่อยขึ้นช้างพลางลีลา | ครั้นเวลาค่ำพักสำนักพล |
วันหนึ่งค้างกลางเถื่อนริมเขื่อนเขา | ยังเก็บข้าวของรับกันสับสน |
ไม่ทันหมดบถมัวทั่วอำพน | บัดเดี๋ยวฝนฝอยร่ำลงพร่ำพรู |
จนมืดค่ำคลำเคล้นไม่เห็นของ | อากาศก้องแลบลั่นสนั่นหู |
บ้างเข้าเต๊นท์เร้นบังคอยนั่งดู | เสียงดังซู่ซ่าซาบอาบสุธา |
ทั้งผ้าเสื้อเกลื้อกล้ำด้วยน้ำชุ่ม | บ้างก็ชุ่มกายอาศัยไพรพฤกษา |
น้ำฝนสาดหวาดเสียวเปลี่ยวอุรา | เสียงชลาไหลนองในท้องธาร |
กระทบหินกระสินธุ์ลั่นเสียงครั่นครึก | อึกทึกกระเทือนก้องห้องละหาน |
ตำแหน่งนี้ชี้นามเรียกตามธาร | ชื่อสถานเถื่อนลำห้วยน้ำพูน |
ครั้นรุ่งเดินเนินไคลตามไหล่เขา | แลเสลาลอยแจ้งส่องแสงสูรย์ |
ดูโป่นปุ่มตะคุ่มเขาลำเนานูน | ไม่เพิ่มพูนพฤกษาไพรในลำเนา |
เห็นแต่หญ้าคาแห่งขึ้นแฝงฝอย | ดูแดงกร๋อยกรอบแดดต้องแผดเผา |
ช่างเกรียนโกร๋นโล้นแลเป็นแง่เงา | บางแห่งเว้าแลว่างหว่างคีริน |
ที่พื้นเผินเนินดอยเป็นพลอยสี | เขียวขจีแจ่มจรัสแทบทัสหิน |
ทุบเข้าแตกแหลกยุ่ยเป็นขุยดิน | แม้นเป็นหินแล้วจะหอบมาตอบแทน |
ให้อนงค์ปลงจิตพิสมัย | เจียระไนเม็ดน้อยน้อยทำพลอยแหวน |
ไว้รำลึกนึกเมื่อไปที่ในแดน | ด้วยความแกนเก็บกรวดมาอวดนาง |
เฝ้าแคะขุดหยุดดูไม่รู้จบ | มิได้พบพลอยคิดจิตขนาง |
จึ่งจดนามตามเค้าเป็นเลาทาง | เรียกเขากวางเขาแก้วแนวพนม |
ลูกหนึ่งใหญ่ยอดแย้เหลือบแลโล่ง | เรียกดอยโป่งอุ่นเรียงขึ้นเคียงสม |
เหมือนคลื่นคลั่งประดังลูกเมื่อถูกลม | ไปสิ้นพรมแดนน่านชานบุรินทร์ |
ย่างเข้าเขตประเทศสถานเมืองล้านช้าง | วิเวกว้างวาบไหวฤทัยถวิล |
เห็นธารใสไหลล้นหยุดยลยิน | ต่างแยกถิ่นทางล่องไปสองแคว |
ด้วยพื้นพูนมูนสันคั่นสิงขร | เขตนครทั้งสองสอดยอดกระแส |
เหมือนเสาศิลาหลักปักไว้แล | เป็นที่แน่กำหนดขั้นคันคีรี |
พลางกำหนดจดเขาเนาพนัส | เข้าดงชัฏชุ่มชื้นพื้นวิถี |
ถึงทำเนียบเทียบทัพลำดับดี | ตำแหน่งที่ทุ่งถิ่นนาดินดำ |
ครั้นรุ่งแสงสุรีย์ลีลาลับ | ไปพักทัพที่รื่นเป็นพื้นต่ำ |
เรียกนาแวนแดนนาชาวป่าทำ | อาศัยน้ำยอดที่พรากจากคีรี |
พอหยุดพลเห็นคนลาวพวกชาวป่า | ขนธัญญามากลางทางวิถี |
จึ่งซักไซ้ไล่ถามตามคดี | คนพวกนี้จะไปหนตำบลใด |
หัวหน้านบคำรบแจ้งแถลงเล่า | ข้าพเจ้าเพี้ยกุมพลคุมคนไพร่ |
ด้วยเจ้าราชนัดดาภาคิไนย | ท่านสั่งให้ขนลำเลียงเสบียงมา |
ให้ส่งกลางทางทัพสนับสนุน | พอเจือจุนตามมาดปรารถนา |
ท่านแม่ทัพสดับแจ้งแห่งกิจจา | รับธัญญาจ่ายพักสำนักพล |
อนาถนอนตอนดึกนึกระทด | เย็นสยดสยองค้างอยู่กลางหน |
จนรุ่งรางสร่างศรีสุริยน | จึ่งเดินพลมาบุรีศรีน้ำฮุง |
พอจวนเที่ยงเสียงดังระฆังร่ำ | อ้ายจั่วจ้ำกลองเพลประเคนตุ๋ง |
ทั้งเณรพระคละกันฉันออกนุง | ดูเต็มยุ่งมิได้แยกแปลกกว่าไทย |
ขุนนางลาวชาวป่าทำหน้าตื่น | ออกมายืนเยี่ยมดูอยู่ไสว |
ทั้งเพี้ยท้าวเจ้าราชภาคิไนย | กับบ่าวไพร่ตามพรูเป็นหมู่มา |
เข้าเชื้อเชิญกองทัพไปยับยั้ง | ยังที่ตั้งทำเนียบใหญ่ให้สุขา |
เนาสำนักพักพลโยธา | ที่กลางนานายแดดแผดประดัง |
เที่ยวยลย่านบ้านใหญ่มิใช่น้อย | สักสามร้อยเรือนเครื่องผูกเขาปลูกฝัง |
พระยาเทพจอมพลคนระวัง | เป็นผู้รั้งรักษาเมืองกระเดื่องดง |
คามาวางกลางตำบลชนบท | หว่างบรรพตพุ่มไม้ไพรระหง |
อาศัยน้ำลำธารในดานดง | ทำไร่กงเก็บเล็มดูเต็มเลว |
เห็นไทยทัพกลับกลัวผีทำพลีบัตร | ใบไม้มัดผูกหลักปักเฉลว |
ตามหน้าเรือนแลเรียงสูงเพียงเอว | ว่าผีเหวละหานห้วยมาด้วยไทย |
ครั้นรู้ความตามที่ลาวเขากล่าวแจ้ง | ให้คิดแหนงนึกอดสูไม่อยู่ได้ |
ตัวเป็นผีแล้วมิสามาว่าไทย | พาผีไปให้เขากลัวตัวรังควาน ๚ะ |
๏ ฝ่ายเพี้ยท้าวลาวหัวหน้ามามากหลาย | เบิกข้าวจ่ายแจกพลาโยธาหาร |
จนเย็นย่ำค่ำยลอนธการ | พักสำราญรุ่งจรค่อยคลอนโคลง |
ถึงท่าเดื่อแลเด่นเห็นทำเนียบ | ดูรายเรียบเรียงตั้งริมฝั่งโขง |
เข้าหยุดพลดลเวลาบ่ายห้าโมง | พินิจโล่งลานชลาหลั่งวารี |
ยลหาดทรายรายรื่นเป็นพื้นหิน | ไม่มีดินดานระคายล้วนทรายสี |
ขาวสะอาดดาษรายชายนที | ริมฝั่งมีระบัดหญ้าขึ้นน่ายล |
ชลาลั่นสนั่นก้องห้องกระแส | ดังออกแซ่เสียงระงมเหมือนลมฝน |
ด้วยน้ำเซาะเกาะเกียนไหลเวียนวน | บางแห่งล้นหลั่งอาบเป็นคราบไคล |
ครั้นเย็นย่ำค่ำค้างอยู่กลางหาด | เหนื่อยอนาถนอนระงับต่างหลับใหล |
พอรุ่งรางสร่างสุริโยทัย | ก็ครรไลเลียบมาริมท่าธาร |
ข้ามแก่งเกาะเสาะทางข้างตลิ่ง | ล้วนแต่สิงขรรายชายละหาน |
มาถึงท่านทีที่เมืองนาน | มีลำธารโกรกกรวยเรียกห้วยเครือ |
เห็นพวกลาวชาวพารามาคอยรับ | ดูคั่งคับแข็งขันขยันเหลือ |
เชิญให้พักผ่อนสำราญได้จานเจือ | ประกอบเกื้อกิจสวัสดิ์ทำบัตรพลี |
ที่เมืองนานนั้นมีศาลเทพารักษ์ | ว่าดุนักหนาร้ายเป็นนายผี |
เขานับถือลือกันขันเต็มที | ชาวมาลีหลาบจำไม่กล้ำกราย |
ชื่อเทวานั้นเรียกว่าเจ้าตาดน้ำ | รักษาถ้ำธารถิ่นกระสินธุ์สาย |
ตาดน้ำนี้ชี้บอกออกธิบาย | ว่ากระสายน้ำหลั่งพลั่งลงมา |
จากยอดเขาเขินชะแง้แลสูงสุด | วัดเป็นฟุตมิใช่น้อยได้ร้อยห้า |
สิบกำหนดจดจำเป็นตำรา | ทุกทิวาวันไหลดูใสนอง |
อีกหนึ่งว่าประชาชนตำบลนี้ | เป็นพวกผีปอบมาตั้งสิ้นทั้งผอง |
แม้นพิโรธโกรธคิดใจจิตจอง | เข้าในท้องทึ้งตับทำลับลวง |
ถ้าคนในหลวงพระบางเป็นอย่างนี้ | ว่ากาลีไล่ออกนอกเมืองหลวง |
ให้เป็นข้าเจ้าตาดขาดกระทรวง | มาตั้งล้วงตับอยู่หมู่เมืองนาม |
มีเรือนบ้านประมาณตาสักห้าสิบ | ดูเงียบกริบกร่อยดังฝั่งละหาน |
ผู้รักษาคามายศกำหนดการ | เรียกแก่บ้านบอกว่าเป็นเช่นอำเภอ |
พักสองวันครรไลเข้าในป่า | แก่บ้านมานำทางต่างเสนอ |
ได้ถามชื่อเขาห้วยจึ่งอวยเออ | ฟังออกเพ้อพูดพลางทางดำเนิน |
ลัดครรไลในลำเนาภูเขาขอน | เร่งพลจรจนกระทั่งถึงฝั่งเถิน |
มีทำเนียบเลียบรายอยู่ชายเนิน | ก็หยุดเดินทัพประดาท่าเชียงแมน |
พร้อมเจ้านายฝ่ายมาลาเสนามาตย์ | ประชาราษฎร์แซ่ดูแห่แหน |
สล้างสลับคับคั่งประดังแดน | ที่เชียงแมนหน้าเมืองเนื่องคณา |
อุปราชราชวงศ์ดำรงรับ | เชิญแม่ทัพสถิตพลางทางหรรษา |
ให้หยุดยั้งฝั่งชลพลโยธา | ดูประดาประดังเรียงพร้อมเพรียงรับ |
ท่านพระยาสุโขทัยดูใสสด | ซึ่งรับยศข้าหลวงใหญ่ได้กำกับ |
มาด้วยเจ้าลาวเรียงเคียงคำนับ | ท่านแม่ทัพทักถามตามไมตรี |
กับฝรั่งตั้งแต่งตำแหน่งยศ | เป็นผู้จดจัดแปลนทำแผนที่ |
เดิมชื่อเขาขานว่าแมกคาที | ได้เป็นที่พระวิภาคภูวดล |
เขาล่วงหน้ามาตะบึงได้ถึงก่อน | เข้ารับต้อนท่านแม่ทัพอยู่สับสน |
เปิดหมวกรับคำนับพักตร์เหมือนชักยนต์ | แล้วต่างคนจับกรจรพยุง |
ขึ้นทำเนียบเทียบตั้งริมฝั่งโขง | แลดูโล่งศิลาลานชานกุหนุง |
เห็นเรืองามตามริมฝั่งคนนั่งมุง | บ้างพายฟุ้งน้ำฝอยรีบถอยมา |
เรือลำทรงองค์ท้าวเจ้าเมืองหลวง | ดูทีท่วงทำขันน่าหรรษา |
หัวท้ายสอดยอดสถูปรูปนาวา | คล้ายชะล่าลำงอนเหมือนช้อนมุก |
มาดทั้งแท่งแต่งตกกระหนกกระหนาบ | สีชาดฉาบชักสีทองให้ส่องสุก |
กราบนั้นหนาฝ่ามือเกินแม้นเฉินชุก | โดนหินกุกกึกดังประทังทาน |
ฝีพายแต่งเสื้อแดงดูเป็นหมู่มาท | ระดาดาษดื่นแลกระแสสาร |
เสียงขานยาวกราวมาที่ท่าธาร | ถึงขนานจอดท่าสาคโร |
ครั้นพรั่งพร้อมน้อมคำนับจะรับข้าม | ขึ้นสนามทำเนียบใหญ่ให้สุโข |
ท่านขอพักผ่อนพลาท่าโชล | รุ่งอโนทัยเช้าจะเข้าเมือง |
ฟังบัญชาท่านแม่ทัพเขากลับหลัง | ก็หยุดตั้งทัพท่าธาราเนื่อง |
อยู่ที่ริมฝั่งโขงตรงหน้าเมือง | เห็นลาวเนื่องนาฏมาลงวารี |
ค่อยเดินด้อมท่อมท่องท้องกระสินธุ์ | แล้วถลกซิ่นขึ้นกระสันพันเกศี |
ลงแช่ชลชำระร่างล้างธุลี | เปลือยอินทรีย์สรงกายในสายชล |
ไม่เกรงสัตวมัจฉาจะมาตอด | กลับนั่งหยอดเหยื่อคิดจิตฉงน |
ไม่มีเหนียมเสงี่ยมนั่งในวังวน | ถูสกนธ์เฉยช้าไม่ราคิน |
นั่งยองยองย่องย้ายเที่ยวส่ายหา | ก้อนศิลาหลังชลฝนขมิ้น |
ดูเรียงรายชายชลาในวาริน | ทุกนางผินพักตร์นวลทวนธารา |
ครั้นสำเร็จเสร็จก็ย้ายขยายขยด | ค่อยเลื่อนลดซิ่นกระสอบครอบเกศา |
ขยับไหวไววับให้ลับตา | แต่มังสามิได้บังดูตั้งเต็ม |
ผู้ชายแร่แก้กองลงท่องน้ำ | เอากรกำลงชลาปล่อยปลาเข็ม |
แม้นปักเป้าเจ้ากรรมมันทำเค็ม | มาแทะเล็มแล้วละทำกรรมทวี |
เมื่อขึ้นฝั่งแล้วยังมีจริต | มายืนบิดขาบีบหนีบออกจี๋ |
นุ่งกระสันพันผ้าแต่งกายื | เขาไม่มีลื้นกันช่างขันจริง |
ตั้งดรุณรุ่นใหญ่เป็นไปหมด | ดูน่าอดสูอายทั้งชายหญิง |
สุริยงลงลับไม้ใจประวิง | กลับมานิ่งนอนสุธาเอกากาย |
พอรุ่งแจ้งแสงอุทัยไขกระจัด | ห้าโมงขัดเข้าศรีสุรีย์ฉาย |
พอพวกลาวท้าวแสนแน่นนิกาย | เขาเลียบรายเรียงนาวาเข้ามารับ |
เรือพิณพาทย์ฆาฏประโคมเสียงโครมครึก | ดังก้องกึกในน้ำนำเป็นลำดับ |
ดูเกลื่อนกลาดดาษไปมิได้นับ | ท่านแม่ทัพขี่เรือคำล้ำวิไล |
พวกนายกองนายทัพลำดับดาษ | ขี่เรือมาดนั่งเป็นหมู่ดูไสว |
ทหารรบรีบข้ามตามกันไป | ถึงโพนไทรเทียบนาวาขึ้นท่าพลัน |
ท่านแม่ทัพขับขี่พาชีชาติ | ระดาดาษด้วยพหลพลขันธ์ |
ออกเดินทัพสลับแลดูแจจัน | บัดเดี๋ยวบรรลุค่ายชายคีรี |
ดูใหญ่กว้างสร้างไว้ให้หยุดพัก | ค่ายสำนักนี้อยู่ข้างภูษี |
ทหารเทียบเรียบอาวุธดุษฎี | ประจำที่แถวค่ายรายระวัง ๚ะ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้ามาเลศประเทศราช | อุปราชราชวงศ์จำนงหวัง |
ขุนนางลาวชาวพารามาประดัง | ดูสะพรั่งพร้อมสรรพคอยรับรอง |
แม่ทัพถึงจึ่งทหารประสานศัพท์ | บอกคำนับอาวุธเสียงสำเนียงสนอง |
ลาวขุนนางต่างคำรพสบทำนอง | เจ้าหลวงร้องเชิญชักทักแต่ไกล |
เข้าเคียงถามความที่มาเป็นผาสุก | ฤๅได้ทุกข์เดินทางต่างปราศรัย |
เผยวาทีมีสุนทรอวยพรชัย | แล้วครรไลลาชื่นคืนเข้าเวียง |
พวกกองทัพขนของขึ้นกองกลาด | ระดาดาษดื่นวางกลางเฉวียง |
ทหารยามอยู่โรงแถวเป็นแนวเรียง | ไม่ก้าวเกี่ยงกะไว้ช่างใหญ่โต |
ทำลดหลั่นชั้นช่องเป็นห้องหับ | ท่านแม่ทัพทำเนียบกลางกว้างอักโข |
ดูแยบคายคล้ายฝรั่งบังกะโล | แลดูโอ่โถงถ้าไม่น่าชัง |
ก็พักผ่อนรอนราภาณุมาศ | ล่วงลีลาศลับเนตรเทวษหวัง |
นึกคะนึงรำพึงมาในป่ารัง | แต่จากวังเวียงน่านผ่านลำเนา |
ถึงกรุงศรีสัตนาค์จารึกร่ำ | แรมสองค่ำเดือนสามนามวันเสาร์ |
ยี่สิบเอ็ดวันถึงค่ายสบายเบา | พอบรรเทาทอดอารมณ์ที่ตรมตรอง ๚ะ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าเจ้าพาราก็มาเยือน | ต่างเอ่ยเอื้อนมธุรสพจน์สนอง |
ปรึกษากิจคิดการงานที่ปอง | โดยปรองดองปรีดาสถาพร |
เวลานั้นพร้อมด้วยท่านพระยาศรี | มาสู่ที่บังกะโลสโมสร |
ท่านแม่ทัพจึ่งแถลงแจ้งสุนทร | เรื่องจะรอญรานสู้หมู่ทมิฬ |
เดิมพระบาทบพิตรอิศเรศ | ได้โปรดเกศราชกิจคิดถวิล |
ให้เป็นสองกองบรรจบรบไพริน | ล้างให้สิ้นสูญเผ่าพวกเหล่าพาล |
เผอิญพระยาพิไชยบรรลัยลับ | จำจะรับรบศึกที่ฮึกหาญ |
ฉลองคุณอดุลย์ศักดิ์จักรพาล | มิได้คร้านครั่นใจกับไพรี |
แต่เห็นการพาลจะพาให้ว้าวุ่น | แม้นเจ้าคุณช่วยรักษาสักหน้าที่ |
ส่งเสบียงเลี้ยงโยธาไปราวี | อย่าให้มีห่วงใยในเสบียง |
พระยาศรีดีใจได้สดับ | ว่าจะรับส่งให้มิได้เลี่ยง |
จะจัดเจ้าท้าวผู้ใหญ่ที่ในเวียง | กำกับเรียงรายฉางวางประจำ |
ท่านแม่ทัพกลับตอบว่าขอบจิต | เจ้าคุณคิดช่วยชุบอุปถัมภ์ |
มีอาหารการฮ่อจะขอทำ | รบกระหน่ำตั้งหน้าประดาตี |
ต่างปราศรัยไถ่ถามตามวิมุต | พอสิ้นสุดสุริย์ฉายลงบ่ายศรี |
พูดถึงตรานำทัพสำหรับมี | นัดพรุ่งนี้วางสนามตามกระทรวง |
ต่างก็ลาคลาไคลกลับไปที่ | รุ่งรังสีส่องใสไศลหลวง |
ได้เวลามาประดังสิ้นทั้งปวง | พากันล่วงลุสถานทวารเวียง |
เขาเชิญขึ้นโรงคัลอันสะอาด | มีอำนาจลาวรายชายเฉลียง |
ส่วนเจ้านายนั่งเป็นชั้นจรัลเรียง | ไม่แข่งเคียงยศหย่อนผ่อนผ่อนไป |
มหาดเล็กเด็กชาพวกข้าเฝ้า | ก็ทูลเจ้าหลวงแจ้งแถลงไข |
ออกมายังโรงคัลด้วยทันใด | ก็ถามไถ่กิจการทุกท่านนาย |
จึ่งวางตราราชสีห์ที่นำทัพ | ขุนนางรับอ่านความไปตามหมาย |
ถึงเจ้าเมืองเนืองมาพาราราย | แลเจ้าฝ่ายประเทศราชเป็นมาตรา |
หนึ่งขัดสนผู้คนในกองทัพ | จะเรียกรับเร็วเหมือนมาดปรารถนา |
สองแม่ทัพบังคับต้องตามท้องตรา | อย่าหน่วงข้าราชการให้นานวัน |
สามแม่ทัพเกณฑ์จ่ายจำหน่ายบอก | ส่งยังออกพันทนายเหมือนหมายมั่น |
ได้กราบทูลมูลข้อพอสำคัญ | ก็ลงวันเดือนปีที่มีมา |
เจ้านครหลวงพระบางกระจ่างแจ้ง | ฮ่อแรงรอญศึกฮึกนักหนา |
เล่านุสนธิ์ต้นเข็ญที่เป็นมา | ทราบกิจจาแจ้งจริงหายกริ่งใจ |
แล้วก็ลามาเยี่ยมอุปราช | กับเจ้าราชวงศาอัชฌาสัย |
ต่างคำนับรับตอบด้วยขอบใจ | ถูกฤทัยทอดสนิทไม่คิดแคลง |
ก็เลยลามาค่ายค่อยคลายร้อน | เข้าพักผ่อนร่มศรีสุรีย์แสง |
จะชมคุ้มขวงวังสัจจังแจง | ก็จะแว้งเวียนช้าเวลารบ |
คเนรุ่งแจ้งแสงศรีสุรีย์ฉาย | ปลัดซ้ายนำบาญชีมีฉบบ |
คือคนพระยาพิไชยที่ได้รบ | ส่งมาครบร้อยยี่สิบพอดิบดี |
ตรวจดูรูปซูบเศร้าเห็นเหงาหงอง | นั่งพุงป่องก้นปอดรอดจากผี |
จะเกณฑ์ไปใช้ก็คงปลงชีวี | แม่ทัพมีอนุญาตให้คลาดคลา |
ทำจดหมายรายชื่อให้ถือกลับ | แม้นใครจับจ่ายมาดปรารถนา |
เกณฑ์เอาเงินกะเอางานการนานา | แล้วกลับมาร้องเรื่องราวกล่าวประจาน |
พวกไพร่พร้อมน้อมคำนับสดับกล่าว | เข้ากราบเท้าแทบจะบินไปถิ่นฐาน |
ดูหน้าสดหมดดำค่อยสำราญ | ชุลีลานลาไปตามใจตน ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพคับคิดในจิตร้อน | แม้นนิ่งนอนเนิ่นช้าเกรงฟ้าฝน |
จะตกต้องท่องธารสงสารพล | จึ่งรีบขวนขวายกลุ้มประชุมเชิญ |
พร้อมเจ้านายฝ่ายมาลาแลข้าหลวง | จัดกระทรวงเสบียงวางในกลางเถิน |
เป็นระยะกะการทางดานเดิน | เสร็จดำเนินความใส่ในสารา |
บอกจำนวนพนักงานจัดการฉาง | ที่ไว้วางเสบียงในไพรพฤกษา |
สิบสองข้อที่บังคับประทับตรา | ส่งศาลาเวรจำเป็นสำคัญ |
แล้วจัดเจ้าท้าวพระยามาลาสลับ | เข้ากองทัพนำทางกลางไพรสัณฑ์ |
เจ้าราชวงศ์คุมพหลพลฉกรรจ์ | ดูเหมาะมั่นหมู่ลาวชาวนคร |
กับเจ้าราชภาคิไนยไปสมทบ | เป็นกองรบรับสู้สู่สมร |
พร้อมกำลังตั้งขจัดดัสกร | จึ่งคิดผ่อนผันสั่งการทั้งปวง |
กับพระยาสุโขทัยไปอีกหนึ่ง | เป็นผู้ซึ่งทราบประเทศเขตเมืองหลวง |
เคยจัดเจนเกณฑ์กะในกระทรวง | รู้จักท่วงทีมาลากิจจาแจง |
กับกายตงที่ลงมาอยู่อาศัย | แตกไทยไล่พลัดพรากจากเมืองแถง |
มาแจ้งเหตุประเทศทางที่คลางแคลง | อยากรู้แห่งจึ่งเอาไปได้ถามการ ๚ะ |
๏ จัดสำเร็จเสร็จไปค่อยใสสุข | สั่งให้กุ๊กทำกับข้าวทั้งคาวหวาน |
จ้คโต๊ะตั้งเป็นจังหวะดูตระการ | แล้วเชิญท่านที่บรรดามาประชุม |
กับเจ้าหลวงบุตรหลานขนานหน้า | พร้อมกันมามากมายหญิงชายกลุ้ม |
เรียกสาธุแทนคำเจ้ากล่าวกันชุม | ทั้งแก่หนุ่มไม่กำหนดพจนา |
เวลาย่ำค่ำขานประสานฆ้อง | มาแซ่ซ้องสิ้นด้วยกันดูหรรษา |
เข้านั่งโต๊ะเต็มที่มีอัตรา | แยกคณาหญิงอยู่เป็นหมู่มอง |
ดูการเล่นเป็นที่เจริญรับ | มีลาวขับแคนเสียงสำเนียงสนอง |
ประชันวงคงคู่ดูทำนอง | ที่ประลองโลมเลี้ยวเข้าเกี้ยวกัน |
พวกทหารนักสวดประกวดเสียง | ขึ้นร้านเรียงร้องลำนำกระสัน |
พูดภาษาลาวญวนเสสรวลกัน | แต่ตัดอันอวกเรื่องเยื้องกระบวน |
เมื่อพระรถพาเมรีเที่ยวลีลาศ | ออกประพาสไพรพนมเที่ยวชมสวน |
เขาแคลงจิตคิดความจะลามลวน | แปลงสำนวนเป็นอิเหนาเมื่อเข้าดง |
เขาเกรงร้ายหมายความไปตามเล่ห์ | ว่าเมืองเมรีตั้งดังประสงค์ |
จะเท็จจริงกริ่งตรึกนึกจำนง | ไม่ตกลงเหลือจะเล่าในเค้าเดิม |
ชาวพารามาประชุมทั้งหนุ่มสาว | ดูนางลาวโลมจิตให้คิดเหิม |
มาเบียดปนยลเต้าที่เค้าเดิม | สั่นระเริ้มระริกร่ำชอกช้ำนวล |
จนดึกดาวพราวพร่างกลางเวหา | ได้เวลาเลิกไปอาลัยหวน |
คิดถึงน้องหมองใจให้รัญจวน | จะซ่อนนวลหรือจะนิ่งให้กลิ้งทรวง ๚ะ |
๏ ครั้นรุ่งการงานทัพก็สรรพเสร็จ | พักสิบเจ็ดวันพรากจากเมืองหลวง |
ในเดือนสี่ปีระกาขอลาดวง | อังคารล่วงขึ้นห้าค่ำจำเวลา |
สามโมงเช้าชายโชคโฉลกล้ำ | พิรุณร่ำโรยพร่างกลางเวหา |
ก็ยกทัพลำดับดาษออกยาตรา | เป็นสองท่าเดินทางต่างกระบวน |
ที่ของหนักชักลงเรือเกลือข้าวสาร | ให้ทหารกำกับลำประจำถ้วน |
เราต้องเดินบกไปใจรัญจวน | ขี่ม้าป่วนปั่นข้ามแม่น้ำคาม |
ออกทุ่งนาแนวเถินขึ้นเนินเขา | จะร่ำเล่าแคะไค้ไม่วิตถาร |
ถ้วนชะโงกโกรกเขาลำเนาธาร | เหลือประมาณแม้นจะเล่าก็เศร้าใจ |
ขึ้นยอดแย้แลดูหย่อมกระท่อมแตะ | พวกข่าแจะตั้งเป็นจุกทุกไศล |
ปลูกสาลีแลรื่นเป็นพื้นไป | บางแห่งไร่เก่าร้างดูว่างตา |
ที่ถางใหม่ไฟเผาเป็นเถ้าฟุ | ยังติดคุแดงโขดโหดพฤกษา |
ทิ้งที่เก่าเผาที่ใหม่ไม่นำพา | ด้วยลือว่าที่ดินนั้นสิ้นรส |
แม้นปลูกซํ้าร่ำไปได้ผลน้อย | ชั้นกล้วยอ้อยต้นลำเซียวไม่เขียวสด |
ถ้าที่ใหม่ไม้ฟูต้นชูชด | จึ่งเที่ยวจดจุดเผาทุกเขาคัน |
จะบอกย่านขานตำบลชนบท | มธุรสฟังแปลกช่างแผกผัน |
ทั้งลาวลื้อชื่อเปลี่ยนผิดเพี้ยนกัน | ไม่เหมาะมั่นจดจำก็รำคาญ |
วันหนึ่งม่ายชายเขาเข้าสำนัก | หยุดผ่อนพักพลรายชายสนาน |
เรียกน้ำอูสู้กระแสแลละลาน | ช่างไหลซ่านเสียงสนั่นอยู่ครั่นครืน |
แต่ล้วนผาราร่ำในน้ำดาษ | เป็นเก่งกาจเกาะเฝือเห็นเหลือฝืน |
บางแห่งซึ้งน้ำใสออกไปยืน | ถลำลื่นแลอาบล้วนคราบไคล |
บ้างลงน้ำหนาวงันตัวสั่นงก | แล่นขึ้นบกยืนบ่นทนไม่ไหว |
ขนลุกซ่าร่าวิ่งเข้าผิงไฟ | เหมือนเป็นไข้สั่นพลางครางฮือฮือ |
ตรงฟากข้ามนิคามคนชาวชนแซ่ | เรียกแท่นแบ๊บอกบ้านขนานชื่อ |
เป็นคนแผกแปลกนามความระบือ | เขาเรียกลื้อหลากชนิดผิดกว่าลาว |
เสื้อกางเกงสวมกายาล้วนขาแคบ | มีผ้าแถบขลิบชายลายเขียวขาว |
ผู้หญิงนุ่งซิ่นสีต่างดูพร่างพราว | เป็นริ้วยาวยลขวางสล้างลาย |
หยุดพักผ่อนนอนรุ่งมุ่งเขม้น | พอเก็บเต๊นท์ตะวันแดงส่องแสงฉาย |
ออกเดินทัพลำดับดาษริมหาดทราย | แล้วทางย้ายแยกขึ้นเขาลำเนาเนิน |
มีบ้านหนึ่งพึ่งมาตั้งยังใหม่ใหม่ | หวังจะไถ่ถามทางในกลางเถิน |
เป็นคนชาติผู้ไทยเพศสังเกตเกิน | บอกดำเนินนามชัดกระจัดจริง |
ว่าตัวชื่อท้าวพลคนเมืองแอด | อ้ายฮ่อแผดหนีพ่ายทั้งชายหญิง |
มันรบรุกทุกตำบลเที่ยวปล้นชิง | จึ่งต้องทิ้งถิ่นไม่อาลัยแล |
ได้ทราบเหตุเพศผลเป็นต้นข้อ | มิได้รอรัดความข้ามกระแส |
สิบเอ็ดวันดั้นพนานต์มาดาลแด | เฝ้าแต่แลดูไศลยิ่งใหญ่ยล |
ขึ้นฟากฝั่งตั้งทัพระดับดื่น | ไม่มีชื่นชุกในใจฉงน |
ตำแหน่งบ้านขานชี้คดียล | ชื่อตำบลบอกเรื่องว่าเมืองงอย |
อยู่หว่างเขาเว้าวุ้งเป็นคุ้งอ้อม | ไศลล้อมแลไปใจละห้อย |
ตั้งอยู่ลำน้ำอูดูเด่นลอย | มีแง่ย้อยตั้งปราการเป็นด่านน้ำ |
ท่านเห็นที่มีดอยขึ้นลอยกว้าง | ศรัทธาสร้างพระเจดีย์ที่ปถัมภ์ |
ไว้รำลึกนึกเมื่อยากมากรากกรำ | ออกเงินประจำจ้างคนพลเมือง |
มอบพระยาสุโขทัยให้กำกับ | แลคอยรับการนิกายอีกหลายเรื่อง |
ส่งลำเลียงเสบียงไปให้เนืองเนือง | แม้นขาดเปลืองหมดแล้วซื้อหารือกัน |
อยู่เป็นสองกองกับพระพาหล | คุมพวกพลทหารอยู่เป็นหมู่มั่น |
เหมือนกองหนุนรุนโรมโจมประจัญ | ให้ตั้งมั่นมุ่งยลอยู่ต้นทาง |
เรียกเพี้ยท้าวลาวล้อมมาพร้อมหน้า | ถามมรรคาเข้าจังหวัดก็ขัดขวาง |
เหมือนเข้าป่าเวลามืดฝืดหนทาง | ไม่กระจ่างใจจริงลงนิ่งจน |
เดชะเดชเกศสยามหาสถาน | มาบันดาลดลเห็นเป็นกุศล |
ให้คิดถึงคำกล่าวตาท้าวพล | จึ่งให้คนรีบไปตามมาถามทาง |
ท้าวพลถึงจึ่งแจ้งแถลงเล่า | ในป่าเขาสารพัดจะขัดขวาง |
แกรับนำตำบลชี้หนทาง | ทราบกระจ่างแจ้งธิบายค่ายทั้งปวง |
อ้ายนายโจรจีนฮ่อชื่อกอยี่ | เป็นตัวดีชาวบ้านเรียกกวานหลวง |
อยู่บ้านใดไล่ปล้นคนทั้งปวง | ทุกกระทรวงแตกสันเที่ยวดั้นดอน |
บ้างหนีบุกซุกอาศัยในเขาเขื่อน | ทิ้งบ้านเรือนแรมนิ่งอยู่สิงขร |
มันเที่ยวค้นปล้นเล่นเสียเป็นบอน | ใครบ่ห่อนจะมาหาญออกต้านยิง |
บางครอบครัวมั่วหมู่อยู่ในป่า | มันพบฆ่าขายผัวเอาตัวหญิง |
ลูกน้อยนิดติดไปไม่ประวิง | ให้เอาทิ้งรกร้างอยู่กลางดง |
ต้องยอมทู้อยู่เป็นข้าประสายาก | มันใช้กรากกรำสมอารมณ์ประสงค์ |
แม้นโกรธาฆ่าตายวายชีวง | ทำทะนงจิตบาปหยาบสันดาน |
แม่ทัพฟังคงแค้นแสนพิโรธ | อ้ายฮ่อโหดหินชาติมาอาจหาญ |
ประชุมทัพคับคั่งให้ตั้งการ | เลือกทหารห้าวณรงค์คงประจญ |
จึ่งสั่งให้หลวงดัษกรปลาศน์ | กับเจ้าราชภาคีกรีพหล |
เดือนสี่แรมสองค่ำให้นำพล | ไปโรมรณพวกที่ชั่วจับตัวการ |
หลวงดัษกรปลาศน์องอาจรบ | พอฟังจบรีบรัดจัดทหาร |
ได้ร้อยห้าสิบนายล้วนชายชาญ | ระวิวารรุ่งเวลาก็คลาไคล ๚ะ |
๏ แต่กองเจ้าราชวงศ์ยังคงอยู่ | พร้อมด้วยหมู่พหลพลไพร่ |
จึ่งหาตัวหัวพันมาทันใด | ซึ่งเป็นใหญ่อยู่รักษาพารางอย |
ให้เรียกฃ่าเคียนของส่งกองทัพ | ได้พร้อมสรรพส่งมานั่งหน้าจ่อย |
ทั้งชายหญิงนิ่งหย่องดูตองตอย | ช่างเต็มกร่อยกรอบมนุษย์เห็นสุดจน |
ผู้ชายแจะอุจาดคาดผ้าเตี่ยว | พอเหน็บเหนี่ยวหมากต้องได้สองผล |
ตามเพศพันธุ์นั้นทั่วทุกตัวคน | ดูพิกลกว่าเพื่อนไม่เหมือนลาว |
ผู้หญิงยุ่งนุ่งซิ่นล้วนวิ่นหวะ | เนื้อหนังคระครุสีไม่มีขาว |
อยู่กับดินกินกับดอนนอนดูดาว | ถ้าแม้นหนาวหนักก็รุมกันสุมไฟ |
อันการกินสิ้นแกนแสนสาหัส | มีเกลือกัดลิ้มเล็มพอเค็มไส้ |
แล้วอยู่เย็นเป็นสุขสนุกใจ | เรียกมาใช้แบกขนช่างทนทาน |
จึ่งจำแนกแจกจ่ายท่านนายทัพ | ให้สำรับเป้ของกองทหาร |
จะใช้ช้างโคต่างไปในพนานต์ | ระยะย่านนี้ยากลำบากครัน |
ล้วนโกรกกรอกซอกผาลดาดก | สุดจะยกหยิบอวดประกวดขัน |
ถ้าโคต่างช้างเดินเนินอรัญ | ไปไม่ทันติดทางต้องถางจร |
จึ่งใช้ข่าต่างโคไม่โอ้เอ้ | ให้มันเป้ของเดินขึ้นเขินขอน |
จ่ายสำเร็จเสร็จคลาพลากร | ด้วยการร้อนรีบกะเป็นกระทรวง |
เจ้าราชวงศ์คงคุมโยธาเคลื่อน | ยกเข้าเลื่อนเป็นทัพหน้ามาลาหลวง |
เดือนสี่แรมเจ็ดค่ำจำกระทรวง | วันศุกร์ล่วงเวลาเช้ายกเข้าไพร |
แรมสิบเอ็ดค่ำอังคารชาญโฉลก | อุษาโยกยามศุกร์ทุกข์กษัย |
สามโมงเศษก็ประเวศกองทัพชัย | ฝนตกใหญ่หยุดพลดลประดัง |
อยู่กลางนารารอก็พอค่ำ | ต้องนอนกรำฝนฝ่าทั้งหน้าหลัง |
อนาถนึกดึกกำดัดสงัดดัง | เสียงละมั่งร้องรายอยู่ชายดง |
พยัคฆ์ยาตรนาฏเนินร้องเกริ่นรับ | สุรศัพท์แสร้งทำให้ล้ำหลง |
ละมั่งหนายพวกพามาในดง | พยัคฆ์ตรงเข้าตะโกรมเสียงโครมคราม |
ฟานลำพองร้องร่าน่าขนลุก | ทวีทุกข์เทวษไหวหทัยหวาม |
ชะนีครวญหวนจิตคิดถึงยาม | เมื่อแนบงามสงวนอยู่เป็นคู่เคียง |
เสนาะน้ำคำเหลือแล้วเนื้อนิ่ม | เมื่อจะยิ้มแย้มเพราะเสนาะเสียง |
กระซิบเสียดเบียดกายชะม้ายเมียง | น้องแอบเอียงอายค้อนอ่อนละมุน |
ถ้าพี่ยั่วเย้าแย้มพูดแนมเหน็บ | แล้วถูกเล็บหยิกลายไม่หายหุน |
ชะนีร้องถ้องขรมชมอรุณ | ไม่เหมือนอุ่นใจจัดวัจนา |
ครั้นรุ่งรางสร่างใสฤทัยระทด | ขึ้นบรรพตพิศลำไม้ฉำฉา |
สูงละลิ่วแลลิบหลายสิบวา | พรรณพฤกษาสะพรั่งเคียงขึ้นเรียงราย |
ไม้อย่างหนึ่งแลพิกลผลล้วนหนาม | มีอยู่ตามริมสถลลงหล่นหลาย |
เหมือนผลเงาะเก็บแงะแกะตะกาย | เมล็ดคล้ายลูกเดือยพบลองขบดู |
มีรสมันครั้นกินแล้วเก็บห่อ | เรียกหมากก่อเรียงกกดกอักขู |
ไม้หนึ่งยลผลพรรณช่อชันชู | พากันกรูเข้าตะโกรมฟันโครมครืน |
ชวนกันชิงวิ่งแย่งมดแดงกลุ้ม | นั่งเป็นกลุ่มกินกับเกลือเหลือจะฝืน |
เรียกหมากแฟนแปร้นเปรี้ยวเคี้ยวแล้วคืน | มีออกดื่นดกระดะดูตระการ |
อย่างหนึ่งผลยลสีลิ้นจี่จัด | รสกำดัดกระเดียดเปรี้ยวเกี่ยวกับหวาน |
แม้นผลว่าถ้าจะเปรียบเอาเทียบทาน | แต่เขาขานคำปากเรียกหมากคัง |
อย่างหนึ่งเฟื้อยเลื้อยกระสันพันพฤกษา | ผลระย้าสุกแสงแดงสะพรั่ง |
เก็บลองลิ้มชิมเสียวเปรี้ยวสัจจัง | ไม่น่าหวังแวะเชยก็เลยจร |
เรียกหมากหลอดแลผลกลละมุด | แล้วลงหยุดยั้งรายขายสิงขร |
เห็นหมากเดื่อดงใหญ่ให้อาวรณ์ | เท่าสะท้อนห่องามมีครามครัน |
แต่เขาเรียกหมากวาชาวมาเลศ | เพราะเปลี่ยนเพศชื่อแปลกฟังแผกผัน |
หมากเดื่ออื่นดื่นไปในอรัญ | ไม่เท่าทันผลหมากวากิจจานาม |
อย่างหนึ่งเฝือเหลือปองค่อยมองมุ่ง | เรียกไข่กุ้งเก็บลูกกลัวถูกหนาม |
เป็นกอกกรกไร้ดูไม่งาม | สุกอร่ามรายระดะเหลืองลออ |
เก็บชิมรสจดจำไว้ร่ำเล่น | พอรู้เช่นผลชาดไม่ฝาดศอ |
ที่ไม่รู้สุดจะร่ำต้นลำกอ | จะเป็นก้อเกินเหตุสังเกตกล |
ไม้หนึ่งฟุ้งจรุงรื่นชื่นนาสา | พิศบุปผาคล้ายจำปีมีพวงผล |
เรียกไม้งวมรวมประทิ่นกลิ่นสุคนธ์ | แม้นใครดลดงชมรมย์สำราญ |
ยลรุกขามาถึงฉางสบช้างหยุด | อุตลุดจ่ายเสบียงเลี้ยงทหาร |
แล้วเร่งลาวท้าวพระยาอย่าช้าการ | ด้วยถึงย่านหยุดข่าที่มาเวร |
พวกข่าเคียนเปลี่ยนผลัดกันยัดยุ่ง | ตาแสงฟุ้งเลือกเฟ้นเหมือนเต้นเขน |
เรียกนายหมวดตรวจบาญชีที่กะเกณฑ์ | ให้รับเวรเร่งเรียกออกเพรียกไพร |
พักเวลาช้าเชือนเที่ยวเลื่อนลาศ | เห็นบ้านราษฎรเรียงเคียงไศล |
ยี่สิบห้าหลังทั่วทั้งครัวไฟ | ตั้งทำไร่ริมเขาลำเนาเนิน |
พอคนข่ามาเวรเกณฑ์ได้ถ้วน | จึ่งยกด่วนด้นไปในไพรเถิน |
ถึงผาตั้งยั้งพิศพินิจเพลิน | แลเจริญรายรุกขาพนาเนา |
เห็นไร่กว้างทางสงสัยอยู่ในจิต | ใครหนอคิดขึ้นมาสร้างไว้กลางเขา |
ฤๅฮ่อโจนโค่นทำในลำเนา | ปลูกไร่ข้าวเลี้ยงกำลังเที่ยวตั้งตี |
ก็เดินตรึกนึกไปไม่ประจักษ์ | เห็นป้ายปักกลาดเกลื่อนเป็นเรือนผี |
อักษรบอกออกความตามคดี | เป็นตัวยี่ยลไม่เข้าใจความ |
ถามห้าวขุนคนที่นำเข้าร่ำแจ้ง | ว่าแม้วแฝงเฝ้าตำบลอยู่ล้นหลาม |
ทำไร่ฝิ่นถิ่นอาศัยมิได้ลาม | เที่ยวตะกลามกลุ้มซนเหมือนคนจร |
ชอบอยู่เนินเผินไศลในพนัส | แม้นฝนจัดเจ่านิ่งอยู่สิงขร |
ไม่จากเขาเนาถิ่นลงดินดอน | กลัวชีพมรณ์ม้วยยั้งระวังกาย |
ว่าลงดินยินเสียงเขียดขิ้งคก | แล้วตื่นตกใจสั่นมิ่งขวัญหาย |
มักปวดหัวตัวสั่นเป็นอันตราย | ว่าผีร้ายรุมกินสิ้นชีวี |
การบริโภคโยกอย่างต่างอาหาร | คิดเห็นการดีพร้อมไม่ซ้อมสี |
ครือข้าวโพดแต่เขาว่าข้าวสาลี | มาใส่ที่โม่หมุนเป็นจุณไป |
แล้วฝัดร่อนล่อนธุลีทีละเมียด | หยาบละเอียดสิ้นละอองดูผ่องใส |
ไว้ต้มนึ่งนึกประกอบตามชอบใจ | เก็บขึ้นใส่ยุ้งไว้ครันอนันตัง |
ผลไม้หวานเปรี้ยวนั้นเที่ยวหา | ที่ในป่าตามแต่สมอารมณ์หวัง |
ไม่สร้างสมเรือกสวนน่าชวนชัง | แต่เลี้ยงขังโคแพะแกะไก่มี |
สำหรับไว้เซ่นไหว้วอนผีฟ้า | ให้รักษาสรรพทุกข์เป็นสุกขี |
หรือเจ็บไข้ภัยพาธามายายี | ล้างชีวีสัตว์นั้นมาบูชาชู |
แม้วผู้ชายหมายเช่นก็เป็นเจ๊ก | ผู้ใหญ่เด็กดูสล้างไว้หางหนู |
ไม่ถักไหมใช้ปล่อยเป็นฝอยฟู | โพกหัวหูรุงรังช่างพิกล |
เสื้อกางเกงขากว้างอย่างกวางตุ้ง | ผ้าคาดพุงพันวกสักหกหน |
เหมือนงิ้วบู๊ดูดีทีผจญ | แต่ตัวตนเต็มด้วยไคลในอินทรีย์ |
ผู้หญิงแปลงแต่งผมดูสมสาว | ทิ้งไว้ยาวยลกระสันอย่างปันหยี |
บ้างพันเศียรเวียนหน้าผากดูหลากดี | เอาผ้าสีโพกผมดูสมทรง |
สอดตุ้มหูดูลออเหมือนขอมุ้ง | เป็นติ้งตุ้งติดงามตามประสงค์ |
แม้นทำการงานนักพะวักพะวง | เอาเกี่ยวส่งสับไขว้ไว้ท้ายทอย |
สวมกำไลใส่ปลอกคอลออเอก | อดิเรกด้วยหิรัญพันกับหอย |
สวมเสื้อสันกระสันทรวงดูดวงลอย | เหมือนจะย้อยยลยุคันสั่นระรัว |
นุ่งผ้าจีบกลีบรายลายตลอด | อย่างสกอตเกี่ยวทบประจบหัว |
มีเชือกรัดมัดมั่นพันกับตัว | นึกน่ากลัวเกลือกจะกลายเป็นลายโลน |
ยังอายหน้าผ้านิดมาปิดท้อง | ใช้ปกป้องเป็นผ้าห้อยหน้าโขน |
เมื่อนั่งปัดสลัดปิดให้มิดโลน | แม้นกระโจนคงกระจายระบายบาน |
ทำห้องหับหลับนอนซ่อนอาศัย | พอนอนได้คนเดียวซุกไม่สุขสานต์ |
ถึงมีคู่ก็ไม่อยู่ให้สำราญ | ถือว่าการนั้นผิดกิจธรรมเนียม |
เมียที่ห้องต้องทำอยู่จำเพาะ | แต่พอเหมาะหมกนอนเหมือนซ่อนเสียม |
มีฝากั้นกันความจะตามเลียม | นิ่งเสงี่ยมเหงาอุราเอกากาย |
เมื่อมีจิตจะคิดเรียงเข้าเคียงหมอน | เอาไม้ยอนแยงตนกระมลหมาย |
เดือนให้ตื่นชื่นชู้รู้ระคาย | จึ่งค่อยผายผันสู่คู่นิยม |
แม้นหลับใหลไม่รู้ตัวผัวเข้าหา | ว่าผีฟ้าเคียดตูไม่สู่สม |
มักมีภัยไข้ขุกทุกข์ระทม | ถึงล่มจมจนทำลายวายชีวา |
ธรรมเนียมชายที่เป็นคนจนสิ้นสู่ | จะหาคู่เห็นขันน่าหรรษา |
ต้องเรียนดื้อถือด้านอ่านตำรา | ตรงเข้าหาแม่ยายนั่งไหว้วอน |
ขอบุตรสาวกล่าวตามเนื้อความรัก | ด้วยสมัครในมโนสโมสร |
ข้างบิดรมารดาพะงางอน | ก็ขุดค่อนแคะว่าสารพัน |
แต่ไม่จ้วงล่วงประมาทถึงญาติมิตร | นั่งประดิษฐ์ด่าแต่ตัวชั่วมหันต์ |
ต้องถือรักหักเหือดไม่เดือดดัน | ฟังรำพันพจนาที่ด่าทอ |
สิ้นเวลาทิวาหนึ่งไม่ขึ้งโกรธ | สมประโยชน์ยกบุตรสาวเหมือนกล่าวขอ |
ให้กับชายหมายเช่นเห็นใจคอ | ว่าซื่อต่อความรักประจักษ์จริง |
แม้นฟังว่าด่าทอตัดพ้อนัก | ตัวลืมรักพิโรธไปมิได้หญิง |
เขาเลื่องชื่อลือทั่วว่าชั่วจริง | จนแล้วหยิ่งมิได้ยำคำผู้ใด |
ธรรมเนียมการงานบ่าวสาวขอกล่าวกล้ำ | เหมือนจีนจำแจ้งตรงอย่าสงสัย |
พูดกันเพลินเดินชมพนมไพร | ดังจะไปสู่สถานพิมานอินทร์ |
เวลาเช้าแลชมพนมพนัส | เมฆหมอกกลัดกลุ้มดังว่าชลาสินธุ์ |
แลดูขาวพราวพร่างอย่างเมฆิน | ไม่เห็นดินดานแลแต่โพยม |
จนแสงสายย้ายย่างลงหว่างเขา | เห็นไร่เปล่าปละไปไฟยังโหม |
มีเรือนร้างบ้างชำรุดหักทรุดโทรม | รีบทัพโจมถึงนครซ่อนบุรี |
สี่โมงเช้าเสาร์เสร็จขึ้นเจ็ดค่ำ | เดือนห้าจำปีจอต่อดิถี |
พระอาทิตย์ประทับมิลเมื่อสิ้นปี | ออกวาจีจอศกตกระกา |
นับวันคล้อยงอยบุเรศประเทศสถาน | เข้าไพรสาณฑ์ไศลเผินขึ้นเนินผา |
ถึงเมืองซ่อนชัยบุรีรวมทิวา | สิบเวลากับวันหนึ่งถึงสำนัก |
สิริทัพนับวันจรอมรรัตน์ | โดยขนัดบกน้ำจำประจักษ์ |
แปดสิบสี่วันกำหนดไม่จดพัก | รวมสำนักนับเสร็จถึงเจ็ดเดือน |
ตั้งค่ายคูดูดีเป็นสี่เหลี่ยม | ระเนียดเรี่ยมรายคูดูเหมือนเหมือน |
มีหอรบโรงยามไม่ลามเลือน | อยู่ริมเขื่อนเคียงรอบเป็นขอบคัน |
ที่แม่ทัพทำวางไว้กลางเด่น | ดังจะเผ่นพิฆาตศึกนึกกระสัน |
ชักธงช้างวางเช่นเป็นสำคัญ | ใครประจัญคงประจญให้ป่นไป |
เมืองซ่อนนี้มีทุ่งนาป่าละเมาะ | เป็นซึ้งเซาะแซงเผินเนินไศล |
ล้วนห้วยธารละหานหินในถิ่นไพร | กินน้ำในห้วยแอดไม่แปดปน |
ที่เมืองอยู่ดูสถานมีบ้านตั้ง | สิบสองหลังเหลือวิบัติช่างขัดสน |
เรียกซ่อนลาวกล่าวนามตามยุบล | รักษาสกนธ์เกษตรนี้ที่พระยา |
ในนามตั้งฟังแต่งตำแหน่งที่ | พระยาศรีสุมังราชพงศา |
ผู้รั้งเมืองกระเดื่องยศพจนา | คุมลาวข่าแม้วคงในกงดิน |
ต่าบลมีที่รักษาล้วนป่าเขา | ผู้ไทยเย้าเที่ยวอยู่ไม่รู้สิ้น |
ครั้นมีเวรเกณฑ์เอางานการแผ่นดิน | เที่ยวเสาะถิ่นที่อาศัยจึ่งได้คน |
แล้วตรวจเขตประเทศทิศที่ติดต่อ | ทางที่ฮ่อเดินลัดเที่ยวตัดปล้น |
ไปเมืองแอดแปดวันจรัลพล | แม้นรีบร้นเร็วได้ในหกวัน |
ทางหนึ่งไปในหัวพันตะวันออก | เฉียงใต้บอกเบื้องบูรพาพนาสัณฑ์ |
กำหนดระยะกะเสร็จสิบเอ็ดวัน | ทางหนึ่งนั้นตัดไปทิศใต้ตรง |
เช้าเขตแคว้นแดนเมืองพวนก็ล้วนเขา | สล้างเสลาล้วนรุกขาป่าระหง |
สิบเอ็ดวันบรรลุโดยจุจง | ถึงเขตกงดินเชียงคำจงจำใจ |
ที่เรียกว่าหัวพันห้าทั้งหกนี้ | จะจำชี้ชัดแจ้งแถลงไข |
คือซ่อนโสยซำเหนือเจือกันไป | อีกซำใต้เชียงฆ้อต่อหัวเมือง |
รวมทั้งหกยกขึ้นชี้ที่ประเทศ | เป็นเมืองเขตแดนลาวที่กล่าวเรื่อง |
มีชนชาติผู้ไทยข่าคณาเนือง | แต่ชายเยื้องยักนุ่งผ้ากางเกง |
ผู้หญิงยลปรนปรุงยังนุ่งซิ่น | บอกระบิลบ่อนเบาะดูเหมาะเหม็ง |
เป็นเพศลาวพุงขาวอ้างแต่ปางเพลง | เสื้อกางเกงไม่สวมจริงเหมือนหญิงญวน |
เที่ยวอาศัยในอรัญทุกคันเขต | ในประเทศสถานลาวเหมือนชาวสวน |
ที่เมืองน้อยบ้านนามาประมวล | เขาแบ่งส่วนขึ้นหัวพันเป็นหลั่นไป |
แต่พื้นภูมิพาราน่าวิตก | จนชั้นนกก็ไม่เนาเขาไศล |
มีแต่สัตว์วิบัติเข็ญที่เป็นภัย | พยัคฆ์ใหญ่ชุมยิ่งเสียจริงจัง |
ท่านตรวจการด่านทางวางระยะ | เสร็จแล้วกะทัพตามเนื้อความหวัง |
ให้แยกทางวางท่าดาประดัง | ยกโอบหลังล้อมหน้าไล่ราวี |
สั่งให้เจ้าราชวงศ์คงคุมทัพ | บรรจบกับกองทหารชาญชัยศรี |
หลวงจำนงค์คุมทหารไปต้านตี | รวมได้สี่ร้อยถ้วนจำนวนพล |
ให้ยกเยื้องบุพทิศติดข้างใต้ | อย่าทันให้ฮ่อแจ้งแห่งนุสนธิ์ |
รักษาการณ์ด่านตั้งระวังคน | ทุกสถลทางเนื่องไปเมืองพูน ๚ะ |
๏ อีกกองหนื่งสามร้อยถ้วนจำนวนหมาย | สั่งให้นายพลอยสับเป็นทัพหนุน |
ไปเมืองสบแอดอีกทางวางประมูล | เข้าเพิ่มพูนกองสกัดหลวงดัษกร |
เป็นสามทัพจับฮ่ออย่าหลอเหลือ | ให้สิ้นเชื้อชาติเหล่าทึ้งเถาถอน |
กองหลวงนั้นจะตั้งฟังราญรอน | อยู่เมืองซ่อนส่งทัพที่รับรบ |
ด้านไหนฮ่อต่อตั้งประดังรับ | จะยกทัพใหญ่หนุนเข้าจุนจบ |
แต่งคนสืบข่าวสารการรุกรบ | ได้สมทบทัพทันอย่าพรั่นใจ ๚ะ |
๏ ฝ่ายนายกองนายทัพรับบรรหาร | โดยราชการจะแจ้งแถลงไข |
ต่างก็ลาเป็นลำดับยกทัพไป | ตามที่ในคำสั่งดังสุนทร |
พอล่วงวันนั้นผู้ถือหนังสือสาร | ส่งทหารยามให้นำคำอักษร |
ก็รีบขึ้นเรียนความตามธิกรณ์ | ท่านรีบร้อนเร็วอ่านสารที่มา ๚ะ |
๏ ว่าข้าพเจ้าหลวงดัษกรปลาศน์ | กับเจ้าราชภาคิไนยได้อาสา |
เดินกองทัพขับขันอรัญวา | ถึงบ้านนาลานตั้งหยุดยั้งพล |
วันอาทิตย์อุทัยแผดขึ้นแปดค่ำ | เดือนห้าจำปีจอต่อนุสนธิ์ |
ด้วยใกล้ค่ายอ้ายฮ่อทรชน | เข้าซุ่มพลพักร้อนให้ผ่อนเย็น |
เขาบอกว่าจะไปเห็นใกล้นัก | ต้องหยุดพักพลไว้อย่าให้เห็น |
แม้นฮ่อรู้ไหนจะอยู่ให้จับเป็น | จึ่งเข้าเร้นพงร้างอยู่กลางแปลง |
ผลัดกันนอนผ่อนกันนั่งระวังอยู่ | เห็นคนจู่มาจะเข้าบังเงาแฝง |
หลบไม่ทันมันเห็นตัวกลัวระแวง | จึ่งไล่แย่งหมายจะฟันให้บรรลัย |
มันรู้ตัวกลัวร้องทิ้งของหนี | เข้าไพรศรีวิ่งเสือกเถลือกไถล |
จับไม่ทันพลันกลับมาฉับไว | บอกเหตุให้รู้กิจรีบคิดการ |
หากฮ่อรู้กรูกรีจะหนีลับ | ต้องเร่งจับจัดพลพหลทหาร |
เดินกระบวนด่วนไปมิได้นาน | เป็นสามด้านประดังรายถึงค่ายโจร |
ห้วยแอดขั้นถลันข้ามไปตามหมาย | จะเข้าค่ายฉุดชักให้หักโค่น |
ยิงปืนสาดปราดปรายถึงค่ายโจร | ฮ่อตะโกนเรียกทหารรบต้านทาง |
ลากหามแล่นลูกกลมเท่าส้มเกลี้ยง | พอยิงเปรี้ยงยกแรกก็แตกผาง |
พากันทิ้งวิ่งวนหาหนทาง | เข้ารกร้างเร้นตัวเห็นหัวดำ |
ลุดเตอร์แนนต์นายดวงทะลวงไล่ | เข้าด้านใต้พังประตูลู่ถลำ |
นายเอื้อนลุดเตอร์แนนต์รบเข้าทบทำ | ข้างทิศต่ำตะวันตกยกประดัง |
หลวงดัษกรกับเจ้าราชพิฆาตหนุน | ยิงเป็นจุณวิ่งกระจายในค่ายขัง |
พลทหารราญโรมกระโจมพัง | มิได้ยั้งรบรุมตะลุมบอน |
อ้ายฮ่อหอบครอบครัวมัวแต่หนี | ออกวิ่งจี่หนีขึ้นเทินเนินสิงขร |
บ้างล้มกลิ้งนิ่งขวางอยู่กลางดอน | ทหารฟอนฟันดับนับประเด็น |
ทั้งบ่าวนายตายกับที่ยี่สิบสาม | ที่เลือดซามสาดไปซ่อนบ่ห่อนเห็น |
ทหารด้นค้นไล่ไปจนเย็น | พบฮ่อเป็นป่วยนั่งกำบังกาย |
จะจับตัวมาถามเนื้อความฮ่อ | ให้ได้ข้อจริงจังเหมือนดังหมาย |
มันกลับยิงตนมันให้อันตราย | ดูแยบคายควรจะยอใจคอมัน |
ทหารเราเล่าก็ถือฝีมือจัด | ตรงเข้าตัดเอาหัวอ้ายตัวกลั่น |
มิให้เสียทีที่ได้ตามไปทัน | เป็นรางวัลมือมาเข้าหานาย |
แต่ครอบครัวตัวเมียฮ่อกับบุตร | มันหนีผลุดผลุนพังออกหลังค่าย |
จับไว้หมดจดจำนวนถ้วนหญิงชาย | นับจำหน่ายรวมสามสิบสองคน |
เครื่องอาวุธยุทธนาสารพัด | มันช่างจัดพร้อมสรรพสำหรับปล้น |
ปืนแฮนรีมีใช้มิใช่จน | ของนายพลฮ่อใช้ในสงคราม |
กระบือโคโภชาแลม้ามิ่ง | มีทุกสิ่งสมบัติปล้นคนซำสาม |
ทั้งธงดำธำรงสู้สงคราม | จารึกนามหนังสือย่อยี่ห้อตัว |
พอรวมรอมพร้อมจึ่งถามความเมียฮ่อ | ที่ปาดคอนี้คนไหนได้เป็นผัว |
สาวจุ่งแจ้งแสดงนามด้วยความกลัว | ว่าผัวตัวชื่อยี่เป็นที่รอง |
กวานหลวงใหญ่ไม่อยู่หารู้ไม่ | แล้วร้องไห้รักผัวจนมัวหมอง |
ฟังไม่ชัดขัดในน้ำใจปอง | ให้ป่าวร้องชาวชนาอย่าได้เกรง |
อ้ายกวานยี่ที่แกว่นสุดแสนชั่ว | ได้ตัดหัวเสียบสมที่ข่มเหง |
เห็นฮ่อมาอย่าพรั่นคิดยั่นเกรง | จงรีบเร่งรุมฆ่าให้สาใจ |
ให้ช่วยกันสรรเสาะสืบเบาะแส | แม้นรู้แน่นอนว่ามันอาศัย |
เที่ยวซ่องสุมซุ่มพลตำบลใด | มาบอกให้รู้จะจับสับประจาน |
ฟังชาวชนคนที่ทู้อยู่กับฮ่อ | ถ้าเกรงข้อผิดให้มาไขขาน |
โทษที่ได้ไปประจบคบคนพาล | แต่ก่อนกาลก็เป็นจะเว้นกัน |
แม้นปิดไว้ไม่ฟังดังกล่าวแจ้ง | ใครมาแย้งยันสู้เป็นคู่ขัน |
ว่าคบฮ่อก่อเข็ญเป็นสำคัญ | จะห้ำหั่นเหมือนฮ่อยี่คนนี้เจียว |
ชาวผู้ไทยได้ฟังลงนั่งกราบ | เชิญช่วยปราบปรามทมิฬให้สิ้นเสี้ยว |
ข้าพเจ้าเฝ้าแต่ทุกข์ขนลุกเกรียว | มิได้เที่ยวทำตั้วเหี่ยคิดเคลียคลอ |
ดูงันงกสะทกสะท้านสงสารนัก | เห็นไม่รักไมตรีอั้งยี่ห้อ |
มาแจ้งเหตุเภทพาลที่ราญรอ | ช่วยสืบส่อเสาะค้นพวกคนพาล |
ตั้งทัพยลกลรบสงบไว้ | ยังบ้านใดดาพลพหลทหาร |
บำรุงรักษาเขตสืบเหตุการณ์ | ออกตั้งด่านดักรายหลายตำบล |
ได้ข้าวฮ่อเลี้ยงทหารประมาณมาก | ไม่อดอยากเหลือกินจนสิ้นฝน |
ค่ายหนึ่งอยู่บ้านนาปาตาท้าวพล | แกรีบร้นบอกให้ไปขนเอา |
มันรู้ข่าวว่าค่ายบ้านใดแตก | ก็ยกแยกหนีหน้าขึ้นป่าเขา |
ทิ้งแต่ค่ายเปล่าว่างกลางลำเนา | เก็บได้ข้าวเปลือกสารประมาณมี |
ห้าสิบแปดเกวียนหมายปลายยี่สิบ | ถังพอดิบดีประมวลได้ถ้วนถี่ |
ควรมิควรขออาชญาได้ปรานี | ตามคดีโดยดลประจญทัพ ๚ะ |
๏ ฝ่ายข้างกองหลวงจำนงส่งหนังสือ | ให้คนถือมาแถลงแจ้งสดับ |
ว่าพาพลดลเมืองจาดที่ลาดลับ | ก็หยุดทัพตั้งสถิตด้วยอิดโรย |
ในแว่นแคว้นแดนเมืองจาดนี้ชาติม้อย | อยู่ตามดอยเดินเนื่องถึงเมืองโสย |
เข้าทู้ฮ่อก่อเข็ญเป็นขโมย | เที่ยวตีโบยบุกราษฎร์บังอาจทำ |
เมื่อทัพหน้ามาถึงนั่นวันพฤหัสบดิ์ | เดือนหกจัดจดดิถีขึ้นสี่ค่ำ |
พวกม้อยรอตออาวุธยุทธกรรม | รบกระหน่ำรับหน้าประดาพล |
อ้ายพวกม้อยน้อยมากยากจะรู้ | ด้วยเป็นหมู่ป่าไม้กลางไพรสณฑ์ |
มันยิงปืนครื้นครึกฮึกผจญ | จะเข้าปล้นกองทัพให้ยับเยิน |
นายเพ็ชร์สับลุดเตอร์แนนต์แกว่นอาวุธ | เข้ายิงยุทธ์รบรุกกันฉุกเฉิน |
ทหารห้อมล้อมระดมพนมเนิน | ม้อยตะเพิ่นแตกพ่ายทิ้งค่ายคู |
จึ่งสำนักพักทหารอยู่บ้านม้อย | ตะวันคล้อยเคลื่อนย่ำค่ำรุบรู่ |
จะตามไล่ไปเล่าล้วนเขาคู | จึ่งหยุดอยู่ท่ากองหลังด้วยยังไกล |
พอกองเจ้าราชวงศ์ตรงมาถึง | นายเพชรจึ่งเล่าแจ้งแถลงไข |
ว่าม้อยรอต่อรับกองทัพไทย | แล้วแตกไปแต่เวลาล่วงสายัณห์ |
เจ้าราชวงศ์ได้ฟังจึงสั่งว่า | ให้กรีธาทัพไปในไพรสัณฑ์ |
จะมืดค่ำจำเป็นอย่าเว้นมัน | แม้นตามทันฆ่าเล่นให้เป็นบอน |
ก็เดินพลด้นพาโยธาทัพ | ถึงผาคับแคบทางหว่างสิงขร |
จุดคบเพลิงโพลงมาในป่าดอน | อ้ายม้อยซ่อนซุ่มหาญเข้าราญรอ |
ระดมปืนครื้นครั่นมันก็แตก | ออกหนีแยกยกไปต้านอยู่บ้านหอ |
กองทัพไล่ไปมันกลับเข้ารับรอ | ต่างก็ต่อสู้กันยืนยันยิง |
เป็นสามครั้งตั้งรบไม่หลบแหลก | อ้ายม้อยแตกตื่นอลวนวิ่ง |
ออกหนีหน้าเข้าป่าไปก็ไล่ยิง | แต่ตายทิ้งอยู่กับที่นั้นสี่คน |
ก็ยกทัพกลับหลังประทังถอย | มาค่ายม้อยมั่นทัพอยู่สับสน |
ด้วยมืดค่ำจำพักสำนักพล | ทั้งสถลทางทั่วมัวมลทิน |
ครั้นรุ่งรางสร่างศรีสุริย์ใส | ฝนตกใหญ่ท่วมธารละหานหิน |
หนาวสะท้านซ่านซ่าทั่วกายิน | พวกโยธินไข้จับทับระทม |
ข้าวเสบียงในระหว่างทางก็ขัด | ต้องหยุดจัดแจงระยะทอดสะสม |
แม้นพร้อมพรั่งตั้งทัพรับระดม | ตีให้ล่มแหลกยับโดยฉับไว |
อันพวกม้อยที่มันทู้อยู่กับฮ่อ | ทำการก่อศึกสู้เป็นหมู่ใหญ่ |
เพราะคบฮ่อยอตัวไม่กลัวใคร | มันตั้งใจจะคิดปราบให้ราบเตียน |
ม้อยนี้หมายฝ่ายอานำเขาร่ำเรียก | ลาวสำเหนียกนึกจำนรรจ์จึงหันเหียน |
เห็นใช้ผ้าย้อมฝาดทั้งคาดเคียน | จึงเรียกเพี้ยนแผกไปผู้ไทยแดง |
คนพวกนี้มีอนันต์หัวพันห้า | เคยอยู่มาก่อนเก่าเล่าแถลง |
ครั้นคบฮ่อต่อเติบกำเริบแรง | บ้างก็แปลงปลอมตัวไว้หัวเปีย |
หัวเหมือนฮ่อฮ้อไม่เป็นเล่นข้าวเหนียว | จนพุงเขียวขึ้นป่องเป็นท้องเหี้ย |
เมื่อตั้งทัพกลับรอมาคลอเคลีย | ได้พูดเกลี้ยกล่อมให้กลับใจคืน |
ก็มิฟังยังดื้อนับถือฮ่อ | เที่ยวปล้นต่อตีตัดทำขัดขืน |
จะทิ้งไว้ให้ตั้งอยู่ยั่งยืน | ก็จะฟื้นฝอยยุ่งเกิดรุงรัง |
จึ่งได้จับจำจองไว้นองแน่น | อยู่เมืองแวนมากมายในค่ายขัง |
รวมแปดสิบริบสิ้นในถิ่นรัง | มิให้ตั้งอยู่ได้ในเมืองแวน |
พอจบบอกแม่ทัพใหญ่สั่งให้หา | เจ้าเวียงสากับลาวพวกห้าวแสน |
ให้ไปรับม้อยหมู่อย่าดูแคลน | ถ้ามันแล่นหนีแล้วล้างให้วางวาย |
เจ้าเวียงสาลาไปไม่วิตก | กับไพร่หกสิบด้วยกันก็ผันผาย |
คุมครัวม้อยมาเมืองซ่อนต้อนระบาย | ใช้จับจ่ายลากถูที่ดูแคลน ๚ะ |
๏ แล้วกองทัพทางบ้านใดมาให้ข่าว | ว่าฮ่อก้าวสกัดศึกทำฮึกแหน |
รวมกำลังตั้งรายอยู่ชายแดน | อเนกแน่นซ่องสุมประชุมพล |
จะตีคีนเอาค่ายให้หายแค้น | คิดทดแทนที่ได้ตีมันปี้ป่น |
อีกสามวันมันจะพามาประจญ | ตีตำบลชายป่าบ้านนายม |
ข้าพเจ้าจัดทัพไปรับพักตร์ | ตั้งด่านดักตีจับคอยทับถม |
เป็นหลายวันมันไม่มาทางนายม | จึงระดมทัพเดินเนินพนานต์ |
ถึงห้วยแหลกเห็นน้ำในลำห้วย | หยุดระหวยหิวหากระยาหาร |
มิทันจะเสร็จสรรพรับประทาน | อ้ายฮ่อหาญยกโหมเข้าโจมตี |
ยิงประดังลูกประดาดังห่าฝน | ต้องถอยร่นแอบรายชายพฤกษี |
เร่งแตรเป่าเร้าทหารเข้าต้านตี | ต่างก็กรีกรูลั่นประชันรบ |
เสียงครึกครื้นปืนลั่นสนั่นก้อง | สะเทื้อนห้องหิมวันต์ควันตลบ |
อ้ายฮ่อแตกแยกขึ้นเขาไม่เข้ารบ | ทำทวนทบทีจะลัดสกัดกัน |
เห็นได้ท่ารารุกเข้าบุกไล่ | ขึ้นบนไหล่เขายิงวิ่งถลัน |
อ้ายฮ่อหวนจวนตัวกลัวจะทัน | แข็งใจลั่นปืนล่อพอให้เกรง |
เหมือนไก่ดีดกรีดกรายขยายห่าง | มองหาทางที่จะเผ่นทำเต้นเหย็ง |
ทหารซํ้าร่ำปืนเสียงครื้นเครง | เข้ารบเร่งราวีตีตะลุม |
อ้ายฮ่อหวนป่วนป่นก็ย่นแยก | ออกวิ่งแตกปลีกตัวไม่มั่วสุม |
ต่างซ้อนซบหลบเข้าในไพรสุมทุม | ทหารทุ่มเทไล่ไปจนลิบ |
พวกฮ่อตายรายลำดับนับแต่ศพ | พอได้ครบแปดถ้วนล้วนผีดิบ |
ที่เลือดสาดดาษไศลตัวไปลิบ | สุดจะหยิบยกจำคำประมวล |
หหารรบรอนราญในการนี้ | รวมได้ยี่สิบห้านายทั้งไพร่ถ้วน |
หัวหน้าศึกฮึกสู้รู้กระบวน | บอกจำนวนนามใส่ในบาญชี |
ลุดเตอร์แนนต์นายดวงขอควงสร้อย | กับนายพลอยสับรองเป็นสองศรี |
กับพระเจริญกรมการที่ต้านตี | จนฮ่อหนีย่นแยกแตกทลาย |
ครั้นเลิกรบสงบทัพระงับราษฎร์ | ที่ระบาดบุกเข้าป่าพากันผาย |
ให้มาอยู่สู่สถานสำราญกาย | จบจดหมายเดือนปีมีณวัน ๚ะ |
๏ ฝ่ายคณาประชาชนที่จนยาก | อุตส่าห์บากบุกป่าพนาสัณฑ์ |
มาหาท่านแม่ทัพใหญ่ได้รำพัน | ด้วยการกันดารกินเป็นสิ้นแกน |
ขุดหัวเบาเอามาล้างใช้ต่างข้าว | กับเกลือเคล้าคลุกกลืนสุดขืนแค่น |
เพราะฮ่อกวนป่วนหนีทิ้งที่แดน | เที่ยวหลีกแล่นหลบตัวด้วยกลัวภัย |
ท่านแม่ทัพสดับฟังสั่งให้เลี้ยง | ข้าวเสบียงมีปันจัดสรรให้ |
พอเจือจุนหนุนจนทุกคนไป | ด้วยยากไร้แรมหอบพาครอบครัว |
ทํ้งผ้าเสื้อเหลือขัดวิบัติทุกข์ | ดูเต็มรุกรุยรังทั้งเมียผัว |
รวมแก่เฒ่าได้เก้าสิบห้าครัว | นับเรียงตัวใหญ่น้อยห้าร้อยปลาย |
กับหนึ่งคนยลเหตุสมเพชนัก | แม่ทัพทักถามนุสนธิ์คนทั้งหลาย |
เดิมอยู่ไหนจึงได้พลัดกระจัดกระจาย | อยากรู้รายฮ่อตีกี่ตำบล ๚ะ |
๏ หัวหน้านำร่ำแจ้งแถลงเล่า | ข้าพเจ้าเพี้ยหัวพันต้องดั้นด้น |
หนีฮ่อพาลลานหลบเที่ยวซบซน | เดิมตำบลบ้านอาศัยในเมืองพูน |
คนหนึ่งร่ำพร่ำไห้อาลัยโหย | จากเมืองโสยแสนสวาทไม่ขาดสูญ |
ทิ้งเรือนบ้านสถานมาก็อาดูร | แล้วยังสูญเสียชีวันบุตรภรรยา |
อ้ายฮ่อปล้นป่นไปในคราวนี้ | ไม่เห็นที่พึ่งทุกข์ให้สุขา |
ขอพึ่งบุญเจ้าคุณคิดเหมือนบิดา | ช่วยโปรดฆ่าฮ่อให้บรรลัยลาญ |
หญิงเมืองแอดออกวาจาว่าขอรับ | อ้ายฮ่อจับผัวมัดประหัตประหาร |
ส่วนเมียนั้นมันเอาไว้ใช้งานการ | ทิวาวารถูกเวรเป็นเดนแดน ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพสดับถ้อยให้สร้อยเศร้า | สงสารเหล่าราษฎรเดือดแสน |
น้อยหรือฮ่อต่อหาญเข้าดานแดน | ช่างเต็มแกนกากจนปล้นอะไร |
แล้วท่านแจกเงินรางวัลปันเฉลี่ย | สี่รูเปียถ้วนทั่วทุกครัวให้ |
เป็นกำลังพอประทังฤทัยไป | จึงสั่งให้ควบคุมประชุมกัน |
อยู่ในเขตซ่อนบุรีที่อาศัย | ตั้งทำไร่นาอยู่เป็นหมู่มั่น |
ทั้งจอบเสียมมีดพร้าสารพัน | ท่านจัดสรรส่งให้ทำไร่นา |
กับโคที่มีไปในกองทัพ | ให้พร้อมสรรพสมมาดปรารถนา |
แล้วมีหนังสือส่งบอกลงมา | ยังเสนาหอสนามตามกระทรวง |
ให้นำทูลมูลเหตุประเทศท้าว | พระร่มขาวเจ้ามาลาพาราหลวง |
เป็นรายงานการทำนุกทุกกระทรวง | ที่ลุล่วงแล้วไปดังใจจง |
กับคนครัวที่อาศัยในเมืองซ่อน | ได้ดับร้อนดังอารมณ์สมประสงค์ |
ให้ตั้งทำนาไร่โดยใจจง | แต่ยังคงขาดกำลังที่ตั้งทำ |
แม้นโปรดสัตว์จัดซื้อกระบือให้ | เหมือนดังได้ช่วยชุบอุปถัมภ์ |
คนไร้ถิ่นสิ้นแกนแสนระกำ | เป็นการคํ้าจุนเจือเมื่อกันดาร ๚ะ |
๏ สงบทัพรับรอข้อประสงค์ | พอหลวงจำนงค์ให้คนถือหนังสือสาร |
ว่าทิ้งค่ายเมืองจาดล่ออ้ายฮ่อพาล | คิดทำการกลลวงดูท่วงที |
วางลูกแตกแยกรายในค่ายนั้น | เป็นชั้นชั้นช่องแฝงทุกแห่งที่ |
เชือกผูกแก๊ปแนบชิดสนิทดี | ดูท่วงทีแยบคายเป็นสายยนต์ |
เฉพาะทางวางทีที่ตรงหมาย | กระเทือนสายเชือกถูกก็ลูกหล่น |
เหมือนดักสัตว์จัดทำหลายตำบล | แล้วให้คนลัดลอดคอยสอดดู ๚ะ |
๏ ฝ่ายอ้ายฮ่อรอซุ่มในพุ่มพฤกษ์ | ไม่ออกฮึกหาญเร้นเหมือนเช่นหนู |
เห็นวิฬาร์มาถึงที่วิ่งหนีพรู | ไม่คิดสู้น่ากลัวตัวบรรลัย |
ครั้นทิ้งค่ายไปเจ็ดวันมันจึงแจ้ง | มาตำแหน่งค่ายเก่าเข้าอาศัย |
สักห้าสิบฮ่อม้าม้อยพลอยเข้าไป | ถูกสายใยที่ประตูไม่รู้กล |
ผลักประตูลู่ลากกระชากแก๊ป | ดังฟ้าแลบหล่นผางลงกลางหน |
แตกเอาตายวายชีวาลงห้าคน | บ้างลูกป่นเจ็บป่วยแทบม้วยมรณ์ |
ก็ทิ้งค่ายย้ายแยกตื่นแตกหนี | เข้าไพรศรีอาศัยในสิงขร |
ฒลูกแตกแปลกตาที่ทาปรอน | ใส่หาบคอนหิ้วไปใจคะนึง |
คนที่รอดสอดดูอยากรู้แจ้ง | ค่อยแอบแฝงดั้นด้นไปจนถึง |
ค่ายเมืองพูนพบฮ่ออยู่อออึง | แล้วมันจึ่งจับลูกปืนมาชื่นชม |
สุกเหมือนคำคลำป้อยไม่ปล่อยปละ | โดยจะกละกล่อมจิตสนิทสนม |
แย่งกันดูกรูตรึกนึกนิยม | อิ่มอารมณ์รำพึงตะลึงลาน |
เห็นขั้วห่วงควงหิ้วเอานิ้วฉุด | มันไม่หลุดลุกพวยไปฉวยขวาน |
มาต่อยตอกออกดังกังสดาล | พอถึงกาลก็ลูกหัวขั้วชนวน |
แตกดังตึงปึงลั่นสนั่นก้อง | ตายอีกสองศพซํ้าลงคลำป้วน |
ที่ถูกน้อยถอยเทต่างเรรวน | ออกเที่ยวป้วนปั่นแยกตื่นแตกไป |
ไม่รอราฝ่าฝืนลูกปืนดัก | ทิ้งค่ายพักเที่ยวตะเพิ่นเดินไศล |
ไปรวมพรรคพวกพ้องสิบสองจุไทย | ตำแหน่งในท่าขวารักษากาย |
บ้างอาศัยอยู่ในเถื่อนเที่ยวเกลื่อนกลาด | ไม่สิ้นชาติช่างเกิดละเมิดหมาย |
จะขืนอยู่จู่ปล้นสู้ทนตาย | เที่ยวเรี่ยรายระรานบ้านตำบล |
กับพวกม้อยหมู่ผู้ไทยในเมืองโสย | นับได้โดยจริงแจ้งแสดงผล |
รวมสามสิบบ่าวนายกับไพร่พล | ยังตีปล้นบ้านรายตามชายเมือง |
ทิ้งไว้นานการจะเติบกำเริบร้าว | เที่ยวแฉ่ฉาวชักฮ่อมาต่อเรื่อง |
จะเกิดเข็ญเป็นนิรันดร์อนันต์เนือง | ให้เป็นเครื่องร้อนร้าวพวกชาวดง |
ได้แต่งกองทหารให้ไปราญรบ | ตีตลบล้างไล่มิให้หลง |
ลุดเตอร์แนนต์นายแขกหาญราญณรงค์ | เป็นตัวยงยกพหลดลประดา |
ร้อยเจ็ดสิบพลไพร่ทั้งนายเสร็จ | ในเดือนเจ็ดดั้นเดินเนินพฤกษา |
จากเมืองแวนแรมวันอรัญวา | สามเวลาเร่งรุดไม่หยุดโรย |
อาทิตย์แรมสี่ค่ำได้จำจด | วันกำหนดยกเนื่องเข้าเมืองโสย |
เห็นค่ายฮ่อรอตั้งประดังโดย | เร่งตีโบยบุกบั่นกระชั้นยิง |
พวกฮ่อหาญต้านต่อออกรอรับ | ถูกปืนยับยิงล้มลงจมกลิ้ง |
บ้างวิ่งแหวกแตกตื่นกลัวปืนยิง | ทหารวิ่งล้อมไล่จับไว้ทัน |
ได้สี่คนจนจริงนิ่งให้มัด | ก็ผูกรัดรวมรบสงบมั่น |
เป่าแตรร้องเรียกทหารชาญฉกรรจ์ | มาพร้อมกันถ้วนหน้ารวมอาวุธ |
ด้วยพระเดชกฤษฎาอานุภาพ | คุ้มพลราบรอญรับสัประยุทธ์ |
ตะลุมไล่ไพรีแตกหนีรุด | ดังเพลิงจุดโจรสิ้นในดินแดน |
พลทหารปานเสือเห็นเนื้อฮ่อ | เข้าหักคอพิฆาตศึกล้วนฮึกแหน |
แม้นขืนอยู่สู้ยิงเข้าชิงแดน | เหมือนเป้าแขวนยืนขวางหนทางปืน |
มิได้รอดลอดลับกลับไปค่าย | คงวอดวายชีวาไม่ฝ่าฝืน |
ไหนจะเหลือเหมือนเอาเนื้อมาสู้ปืน | ไม่ยั่งยืนยิงทลายล้มตายยับ |
คราวนี้ตายหลายศพครบสิบห้า | ที่หลบล่าแตกไปไม่ได้ศัพท์ |
จะตายเป็นเร้นหนีไปลี้ลับ | สุดจะนับคาดคะเนสิ้นเวลา |
ต้องตั้งค่ายคอยฟังกำลังศึก | เกลือกจะฮึกโมโหคิดโทษา |
กลับรอนราญพาลปล้นสนธยา | รายรักษาอยู่จนแจ้งแสงตะวัน |
ก็ยกตามข้ามธารละหานหิน | ลุยวารินร่ำไปทางไพรสัณฑ์ |
ถึงเมืองพูนแลเผินเนินอรัญ | กลบควันเพลิงพลุ่งรุ่งจรูญ |
ได้ความว่าฮ่อไปเอาไฟเผา | ทิ้งเรือนเหย้ายกพ่ายไปหายสูญ |
หมดทั้งพวกพาลพงศ์วงศ์ตระกูล | ทิ้งเมืองพูนหนีพ้นตำบลไป |
ต้องตั้งมั่นตันมืดสืบพืชพวก | เหมือนหูหนวกเนตรบอดไม่สอดใส |
จนถึงเดือนแปดจึ่งแจ้งที่แคลงใจ | กายตงในอานำถือหนังสือมา |
เป็นความญวนล้วนตัวยิเขาติอิน | แจ้งระบิลบอกนามตามภาษา |
แปลเป็นความสยามแจ้งแห่งกิจจา | ขออาญาทัพไทยได้ผดุง |
พวกข้าเจ้าเหล่านี้บุรีน้อย | อ้ายฮ่อม้อยมันไปทำใหญ่ยุ่ง |
เที่ยวตีปล้นคนญวนกวนกันนุง | คือเมืองพุงพ้องจะรออยู่รอริม |
ข้าเจ้ามาทิศาหมายข้างฝ่ายออก | เมืองนอกนอกนับเนื่องอีกเมืองสิม |
ทั้งเมืองเคียดเมืองคังตั้งริมริม | ฮ่อเที่ยวชิมชิงค้นปล้นประดัง |
ขอเชิญกองทัพไทยไประงับ | เข้าตีจับโจรระดมให้สมหวัง |
การเสบียงเลี้ยงพหลพลกำลัง | จะจัดตั้งแต่งรับกองทัพไทย |
ได้ทราบกิจแล้วจึงคิดคดีตอบ | โดยระบอบแบบสาราที่ปราศรัย |
ใจความว่าพวกอานำมีน้ำใจ | จะให้ไปปราบปรามโดยความตรง |
เป็นฤดูฝนชุกจะบุกป่า | ไปปราบข้าศึกตามความประสงค์ |
เห็นขัดขวางทางไปที่ในดง | ขอดำรงทัพตั้งอยู่รั้งรอ |
พอตกแล้งแห้งแล้วจะแคล้วคลาด | จะเดินลาดตระเวนทัพเที่ยวจับฮ่อ |
ทุกบ่อนเบาะเสาะเสี้ยนให้เตียนตอ | กำหนดพอวันออกจะบอกการ |
ครั้นแต่งเสร็จส่งหนังสือผู้ถือกลับ | ก็ตั้งทัพหยุดสู้อยู่ไพรสาณฑ์ |
จับพวกที่ทู้ฮ่อคิดรอราญ | ซึ่งทำการกำเริบจิตไม่คิดกลัว |
หลวงจำนงค์ส่งเนื่องมาเมืองซ่อน | เที่ยวกวาดต้อนทุกตำบลพวกคนชั่ว |
จะทิ้งไว้ให้อยู่เป็นหมู่ครัว | เกรงจะพัวพันไปเป็นไส้โจร |
จึงจับขังสั่งสอนให้อ่อนจิต | จนไม่คิดองอาจทำผาดโผน |
เห็นน้ำจิตคิดจะไม่ไปเป็นโจร | ค่อยปลอบโยนอยู่ทุกวันรำพันแจง ๚ะ |
๏ได้ทราบเสร็จเผด็จศึกนึกกระสัน | ตั้งทัพมั่นมองศึกที่ศึกแข็ง |
พอฝนชุกชุ่มป่าท้องฟ้าแดง | เย็นแสยงเสียวสยองในห้องไพร |
ฟังครึกครื้นพื้นอรัญแทบลั่นเลื่อน | ฟ้าสะเทื้อนท้องพนมแทบล่มไหล |
เสียงขรึมครึมครวญรัญจวนใจ | พายุใหญ่โยกยุคุนพิรุณนอง |
เสียงซู่ซ่าชลาไหลลงในห้วย | ทุกโกรกกรวยยกรับฟังนั่งสยอง |
ให้หนาวเหน็บเจ็บสกนธ์ชักขนพอง | บ้างนอนร้องครางละเมอเพ้ออาเจียน |
ทอดระทมล้มวินาศน่าหวาดไหว | พอสร่างไข้เร้ารวดให้ปวดเศียร |
พิษไข้ป่าซ่าสิงดูวิงเวียน | แม้นไข้เปลี่ยนแปลกชนิดเป็นบิดไป |
ทั้งกองทัพจับไข้ให้อนาถ | ด้วยอำนาจไข้จับเหมือนหลับไหล |
ที่ถือผีถี่มนต์ปนกันไป | บ้างถีอในธาตุกสิณไม่สิ้นดี |
ว่าน้ำใหม่ไหลมัวใครกลั้วกล้ำ | แล้วก็ทำธาตุวิบัติปัถวี |
ให้เสียดจุกทุกข์ระทมตรมทวี | ว่ายาดีได้มาท่านการุญ |
น้ำจะกินดินข้างใต้เอาใช้แช่ | เป็นยาแก้ธาตุพิรุธช่วยอุดหนุน |
เขาแนะนำรำพันอนันต์คุณ | ดูออกวุ่นวายดื้อถือตำรา |
บางคนได้คัมภีร์มาเป็นยาเกล็ด | จดปะเก็ดบุกสำหรับรับรักษา |
ใส่เครื่องเทศพริกไทยใบมัดกา | รากไผ่ป่าสับป่นเข้าปนกัน |
ก็กินไปไม่หายหลายขนาน | บ้างถึงกาลกิริยาก็อาสัญ |
ยากองทัพกลับว่าสารพัน | ตำราดันดื้อเล่าเอาเป็นครู |
ว่ายาควินินกินแก้ไข้แล้วไม่ฟื้น | ด้วยความตื่นกลับตายอายอดสู |
ท่านแม่ทัพบังคับสั่งคอยนั่งดู | แกล้งข่มขู่ขืนใจเอาให้กิน |
บางคนกลัวกลั้วกลืนก็ฟื้นไข้ | บางคนไม่กลืนอมถ่มเสียสิ้น |
ท่านต้องนั่งตั้งใจเอาให้กิน | เป็นอาจิณจนหายขึ้นหลายคน |
ได้กินยาพากันฟื้นค่อยชื่นชุ่ม | นั่งชุมนุมแนะนิเทศจำเหตุผล |
สรรพคุณยาควินินกินทุกคน | รักษาตนรอดตายสบายบาน |
คนที่ดื้อถือบ้าว่ายาพิษ | สิ้นชีวิตวายยับดับสังขาร |
ที่ยังอยู่รู้แก้แปรสันดาน | ด้วยเต็มฌานสู้ขืนกล้ำกลืนกิน |
ไข้ก็ฟื้นชื่นหน้าทั้งตาทัพ | ต่างก็นับถือมั่นไม่ผันผิน |
เห็นประสิทธิ์ฤทธายาควินิน | เก็บไว้กินสู้ไข้มิได้เกรง |
ตั้งรับฝนทนอยู่สู้กับไข้ | ยาที่ใช้หมดมอดทอดเขนง |
ไข้มันร่ำทำร้ายเอาหลายเพลง | ลงนอนเท้งทอดกายเห็นตายจริง ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพทอดระทมอารมณ์ร้อน | ดังต้องศรเสียบขึงคะนึงนิ่ง |
คิดขัดใจพระพิไชยชุมพลจริง | ยาทุกสิ่งสั่งส่งให้จงเร็ว |
แต่เตือนไปในสาราห้าฉบับ | ไม่ตอบรับว่ากระไรทำไหลเหลว |
ฤๅปล่อยช้างโคต่างทิ้งทำสิ่งเลว | อมเอาเปลวเพลิงไว้ที่ในทรวง |
จึ่งร่างบอกนามตามรับสั่ง | ซึ่งโปรดตั้งยศรับแม่ทัพหลวง |
พร้อมนายทัพกำกับการงานทั้งปวง | บอกกระทรวงส่งขาดมหาดไทย |
ให้ออกพันทนายเวรผู้เจนจัด | นำรหัสเหตุแจ้งแถลงไข |
กราบเรียนต่อท่านมหาศาลาใน | ดังที่ได้เร่งร้นให้ขนยา |
ไม่ตอบต่อข้อคำแกล้งทำแฉะ | ได้แค่นแคะเตือนตักเป็นนักหนา |
ควรมิควรขอพระคุณกรุณา | ได้โปรดยาควินินส่งเหมือนจงใจ |
พอเสร็จสรรพพับใส่ซองไม้สาน | จัดกรมการเกณฑ์ส่งอย่าหลงใหล |
ถ้าแม้นช้าเวลาจรไม่ร้อนใจ | จะจับใส่คาเฆี่ยนให้เจียนตาย |
ผู้ถือหนังสือลารีบคลาคลาด | ก็เร่งมาดมุ่งไปเหมือนใจหมาย |
กองทัพค้างระหว่างไข้ไม่สบาย | ทั้งไพร่นายนอนระทมตรมฤดี ๚ะ |
๏ เวลานั้นทราบว่าองบาฮ่อ | มันยกยอตั้งตัวเป็นตั้วยี่ |
อยู่ท่าขวาแขวงจุไทยน้ำใจดี | ไม่ต่อตีการยุทธตั้งขุดทอง |
ถ้าจะเกี้ยวเกี่ยวไว้เป็นใยเยื่อ | อย่าให้เจือฮ่อร้ายเป็นฝ่ายสอง |
เขียนความตามคิดในจิตปอง | โดยทำนองปลอบขู่กระทู้ความ |
แล้วให้พระสวาอาสาถือ | นำหนังสือไปเป็นเหมือนเช่นล่าม |
ได้แต้มต่อข้อกระทู้ดูให้งาม | เขารับตามบัญชาแล้วลาเดิน ๚ะ |
๏ พอแม่ทัพได้รับสารด้านเมืองแอด | ว่าฮ่อแผดอำนาจลุกเกิดฉุกเฉิน |
ธงดำนำทัพนับประเมิน | สองร้อยเกินเกณฑ์กันเนื่องอยู่เมืองฮุง |
จะมาตีค่ายใหญ่ในเมืองแอด | คิดจะแวดล้อมรบสมทบยุ่ง |
ชาวบ้านกลัวฮ่อพาลละลานลุง | ยกครัวมุ่งมาอาศัยอยู่ค่ายรบ |
พอวันศุกร์เดือนเจ็ดแรมเก้าค่ำ | ฮ่อธงดำเดินพลผจญจบ |
บ้านเรือนรายชายอรัญแม้นมันพบ | ไม่อพยพยิงทลายล้มตายยับ |
หลวงดัษกรร้อนใจดังไฟจุด | ก็เร่งรุดพลขันธ์ประจันจับ |
คนก็ไข้ไปมิทันมันสำทับ | พวกด่านรับรบหน้าประดาพล |
ออกยิงฮ่อรอหน้ามันร่ารบ | ไม่แหลกหลบตะลุมตีกันปี้ป่น |
มันโรมรุกบุกไล่เร่งไพร่พล | พวกด่านร่นรายถอยด้วยน้อยตัว |
อ้ายฮ่อโถมโหมฮึกสะอึกไล่ | หญ้ารำไรรกเร้นพอเห็นหัว |
เสียงปืนลั่นควันฝ้านัยน์ตามัว | จนใกล้ตัวต่างยืนปืนประชัน |
พอนายเอื้อนลุดเตอร์แนนต์แล่นตลบ | เข้าช่วยรบรับสู้เป็นคู่ขัน |
ยิงกันแหลกแตกตายวายชีวัน | เสียงสนั่นแนวอรัญริมบรรพต |
อ้ายฮ่อฮึกศึกโหมกระโจมจ้วง | ในห้วยก๊วงก้องคลุ้มกลุ้มไปหมด |
ฝ่ายมันมากฟากเราน้อยต้องถอยทด | มันขยดยิงรุกมาทุกที |
ปืนมาต้องตนตายตัวนายด่าน | คือกรมการเมืองพิชัยได้รับที่ |
พระเจริญจัตุรงค์ยงยุทธดี | จึ่งได้มีชื่อชำนาญราญณรงค์ |
เล็บเอื้อนเห็นพวกฮ่อมาต่อหาญ | กำเริบร่านรกมาในไพรระหง |
ก็แยกทบหลบทางเข้ากลางดง | จะตัดตรงมาบ้านใดเร่งไพร่พล |
ทหารมีมาหกนายรีบผายผัน | ฮ่อถลันไล่ทัพยิงสับสน |
เสียทหารไปกับที่นั้นสี่คน | ตัวนายพลถูกขาเข้าป่าบัง |
แอบเร้นรกหมกมุ่นหนอ้ายฮ่อ | มันวิ่งสอหมั่นไส้พอให้หลัง |
ริวอลเว่อมีไปก็ใส่ปัง | ยิงหมดทั้งสี่นัดไม่พลัดแพลง |
ถูกฮ่อนายตายดิ้นลงสิ้นสาม | ฮ่อบ่าวตามตัวพบที่หลบแฝง |
ด้วยขาเพลียเสียร่างอยู่กลางแปลง | อ้ายฮ่อแรงอีกร่านมาบ้านใด |
แต่ไม่เข้าตีค่ายแอบรายเร้น | สักสองเส้นซุ่มหน้ามาหาใกล้ |
แอบยิงเย้าเร้ารายอยู่ชายไพร | เห็นไวไววิ่งกลอกไม่ออกรบ |
ยิงประปรายรายมาระดาดาษ | กระสุนสาดเสียงลั่นควันตลบ |
ต้องยิงรับรั้งไว้ให้กระทบ | ด้วยคนรบไข้อรัญนอนสั่นฮือ |
อายฮ่อรายค่ายล้อมอยู่พร้อมหน้า | พอพระสวาที่ได้ให้หนังสือ |
ไปท่าขวาหาเจ๊สัวที่ตัวฦๅ | ซึ่งมีชื่อชี้บ่งว่าองค์บา |
มาถึงค่ายบ้านใดเห็นฮ่อล้อม | ค่อยเดินด้อมแอบซุ่มพุ่มพฤกษา |
มีไพร่ตามสามสิบคนดั้นด้นมา | เข้าถึงหน้าค่ายใหญ่ก็รายรบ |
ยิงประดังตั้งต่อฮ่อจึ่งห่าง | ค่อยวายว่างฮ่อศึกฮึกสงบ |
พระสวานั้นให้อยู่ช่วยสู้รบ | แต่งคนหลบลอบถือหนังสือจร |
เมื่อฮ่อแตกห่างตัวส่งครัวฮ่อ | ทั้งเหล่ากอเก็บเนื่องมาเมืองซ่อน |
ท่านแม่ทัพสดับแจ้งแห่งสุนทร | ก็รีบร้อนจัดทัพไปรับการ |
เลือกคนที่ไข้น้อยสองร้อยรับ | ตัวนายทัพนั้นจัดหลวงหัตถสาร |
กับปืนใหญ่ใช้ลูกแตกให้แหลกลาญ | ยกไปต้านตีฮ่ออย่ารอรา ๚ะ |
๏ แล้วทำหนังสือให้คนไปส่ง | เจ้าราชวงศ์จัดเมืองแวนให้แน่นหนา |
แล้วยกกลับมาบ้านใดไล่ประดา | เข้าตีฝ่าฟันทลายให้วายปราณ |
ทั้งสองทัพไปสองวันไม่ทันถึง | ฮ่อทะลึ่งล้อมค่ายด้วยใจหาญ |
ทั้งหอรบตบมือร้องก้องกังวาน | ห่างประมาณสองเส้นแลเห็นกัน |
มันแอบรบหลบอยู่ไม่สู้หน้า | ยิงปืนมาปราดเปรี้ยงเสียงสนั่น |
ต้องเตรียมคนไข้ไว้รับมัน | ถึงเจ็ดวันเรียนเร้าไม่เข้ามา ๚ะ |
๏ ฝ่ายผู้ถือหนังสือไปในพนัส | โดยรีบรัดเร่งตะบึงถึงท่าขวา |
ก็แจ้งความตามประสงค์แก่องค์บา | ส่งสาราเรื่องรสพจมาน |
หนังสือห่อยี่ห้อแจ้งแห่งจารึก | เปิดผนึกอ่านเสนาะไพเราะสาร |
มีนามบ่งถึงองค์บารักษาการ | ซึ่งอยู่ด่านท่าขวาด้วยอาลัย |
มีข่าวลือชื่อกระฉ่อนขจรจบ | ว่าสมคบซุ่มคนปล้นอาศัย |
เลี้ยงฮ่อพาลหาญลำพองคะนองใจ | เป็นซ่องใหญ่ซุ่มอยู่ดูระคาย |
ปล่อยให้ปล้นพลเมืองออกเฟื่องฟุ้ง | ตื่นสะดุ้งเต็มประดาพวกค้าขาย |
หลบเข้าเถื่อนบ้านเรือนทิ้งทั้งหญิงชาย | ล้วนข่าวร้ายคำรื้อชื่อองค์บา |
เราแม่ทัพสดับฟังยังสงสัย | จึ่งแคะไค้สืบข่าวที่กล่าวหา |
ถามกายตงที่แต่งตำแหน่งมา | เป็นพระสวาหวังคำร่ำแสดง |
เขาแจ้งเหตุเภทฮ่อที่ก่อตั้ง | เป็นผู้รั้งเคยรู้อยู่เมืองแถง |
ได้ชี้แจงแจ้งกระจ่างไม่คลางแคลง | ทุกตำแหน่งฮ่อสำนักประจักษ์ความ |
ว่าองค์บาอาศัยในจังหวัด | อมรรัตน์รมเยศเขตสยาม |
มิได้ก่อข้อกวนให้ลวนลาม | รักษาความสุจริตเป็นนิตย์เนาว์ |
แต่ฮ่อโจรโลนลุกทำอุกอาจ | ถืออำนาจองค์บาหมายเป็นนายเถา |
ไปมั่วสุมซุ่มอาศัยในลำเนา | แล้วก็เข้าตีค้นปล้นสะดม ๚ะ |
๏ บัดนี้เรารับอาสาฝ่าพระบาท | นรินทร์ราชวรฤทธิ์ประสิทธิ์สม |
ปราบฮ่อศึกฮึกอาศัยในนิคม | ให้ล่มจมสิ้นโจรทั้งโดนแดน |
ครั้นทราบว่าองค์บาได้อาศัยสุข | ไม่บุกรุกราราญสงสารแสน |
จะรบร้าฆ่าตีให้บี้แบน | ก็นึกแน่นในจิตคิดเมตตา |
แม้นรักชื่อถือสัตย์สันทัดเที่ยง | อย่าได้เลี้ยงฮ่อโลนพวกโจรป่า |
ให้เลื่องชื่อลือเช่นเป็นตำรา | ดังหมึกทาทั่วสกนธ์มัวมลทิน |
คำนับเราเข้าหาสามิภักดิ์ | ต่อองค์อัครอิศโรกรุงโกสินทร์ |
พึ่งพระเดชเขตจังหวัดปัถพิน | อาศัยถิ่นสถานสุขทุกนิรันดร์ |
แม้นขัดขืนฝืนฝ่าทำช้าอยู่ | เราจะจู่โจมทัพเขาขับขัน |
ไปล้างไล่ไสส่งพวกพงศ์พันธุ์ | ในขอบคันมิให้คงดำรงครอง ๚ะ |
๏ องค์บาแจ้งแปลงหนังสือให้สื่อสาร | จึ่งแต่งกวานเล่าแย้ฮ่อเป็นคอสอง |
มาสมัครภักดีไมตรีตรอง | มิได้ข้องขัดการมาบ้านใด |
แรมสี่ค่ำพฤหัสบดิ์อัฐมาส | กำลังฆาตคอยศึกนึกสงสัย |
เห็นเล่าแย้เดินเหย่าไม่เข้าใจ | คิดว่าไส้ศึกสวนทำทวนทบ |
ทหารยามลุกยืนยกปืนจ้อง | เล่าแย้ร้องไอ๊ย่าถลาหลบ |
ชักหนังสือถือชูไม่สู้รบ | จะขอนบนอบคำนับแม่ทัพเธอ |
ได้ทราบคำนำมาโดยสามารถ | ถึงเจ้าราชภาคิไนยให้เสนอ |
จึ่งเอ่ยอ่านสารศรีที่บำเรอ | ฟังออกเพ้อพูดทางพวกกวางไซ |
พระสวามาดูจึ่งรู้แน่ | เขาอ่านแปลออกตรงไม่สงสัย |
ว่าองค์บาสามิภักดิ์ประจักษ์ใจ | ทั้งบ่าวไพร่พร้อมกันรับบัญชา |
ที่แม่ทัพรับกิจนริศราศ | ให้โอวาทสอนสั่งไม่กังขา |
ตั้งจิตจำคำการุญสุนทรา | โดยบัญชาชี้แจงให้แจ้งจริง |
ไม่ฝ่าฝืนขืนข้อทรยศ | พร้อมกันหมดสมัครหมายทั้งชายหญิง |
ขอเป็นข้าอาณาจักรได้พักพิง | อันเบ่าบิงจะบังคับรับธุระ |
มิให้เป็นเช่นเขาลือออกชื่อฉาว | ว่าก้าวร้าวกำเริบจิตอิสระ |
พวกที่ห้อมล้อมค่ายบ้านใดนะ | ข้าเจ้าจะห้ามไว้มิให้ตี |
ด้วยเดิมไซร้ไม่ทราบจึ่งหยาบหยาม | เพราะฟังความนายฮ่อชื่อกอยี่ |
ว่าทัพลาวก้าวรุกมาคลุกคลี | เข้าต้อนตีครอบครัวไปเสียใจครัน |
มิรู้ว่าทัพใหญ่ในสยาม | มาปราบปรามโจรจรสิงขรขัณฑ์ |
ขออภัยได้โปรดงดโทษทัณฑ์ | กอยี่นั้นจะกลับทวนไปชวนชัก |
ขอแต่บุตรภรรยาส่งมาให้ | เห็นว่าไม่ขัดขวางทางสมัคร |
คงนอบน้อมยอมเป็นข้าสามิภักดิ์ | ให้รับรักษาสัตย์วัจนา |
ข้าพเจ้าเล่าก็ขอพออาศัย | ให้อยู่ไหนแล้วแต่สั่งไม่กังขา |
ได้ทำกินเลี้ยงกันบุตรภรรยา | จะชีวาวายดับล่วงลับไป |
ถ้าแม้นมีราชการเป็นงานทัพ | จะรบรับต่อสู้ศัตรูไหน |
ขออาสากว่าชีวันจะบรรลัย | คงอยู่ในข้อบังคับไม่กลับกลาย |
ก็สิ้นความตามตำราสามิภักดิ์ | รับสมัครมั่นสมอารมณ์หมาย |
ตั้งศาลบวงสรวงสถานพิมานพราย | สุรารายรินบูชาเทวาวัน |
กระโปรงไก่ใส่วางไว้ข้างหน้า | อ่านคำสาบานแช่งช่างแสร้งสรร |
ให้ศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์รงค์องค์เทวัญ | พลางรำพันพิศวงด้วยจงใจ |
พอจบคำร่ำแจ้งแสดงสัตย์ | จับไก่ตัดคอเชือดให้เลือดไหล |
รองระคนปนสุราแล้วว่าไป | ถ้าแม้นไม่คงคำให้จำเป็น |
ต้องอาวุธพิรุธร้ายทำลายร่าง | เหมือนดาบล้างคอไก่ที่ได้เห็น |
ดังคมกรดจดฟาดขาดกระเด็น | เหมือนหนึ่งเช่นไก่ดับล่วงลับเลย |
แล้วกินเหล้าเข้าเลือดที่เชือดใส่ | ทั้งนายไพร่พร้อมหน้าไม่ช้าเฉย |
จึ่งเขียนตอบขอบใจเหมือนได้เคย | อย่าย่านเลยให้องค์บารักษาใจ |
ได้รับความตามองค์บาสามิภักดิ์ | โดยสมัครมั่นคงไม่สงสัย |
จะแปลความตามหนังสือให้ถือไป | ถึงค่ายใหญ่ยกคำขึ้นร่ำเรียน |
กวานเล่าแย้แลยิ้มด้วยอิ่มอก | ยืนปะหงกพยักหงับคำนับเศียร |
รับสาราลาตรงไม่วงเวียน | เข้าเยี่ยมเยียนกวานกอยี่พูดชี้แจง |
พอรุ่งขึ้นสุริยาห้าโมงเศษ | ก็รู้เหตุรายฮ่อที่รอแฝง |
มาร้องขอรอคำร่ำแสดง | ไม่ต่อแย้งยอมทู้ชูสารา |
กองทหารราญรอให้ฮ่อออก | มันเดินกลอกหัวเกลือกเสือกมาหา |
ส่งหนังสือมือคำนับนั่งหลับตา | ด้วยติดยาฝิ่นยับจนสับเงา |
คลี่ออกอ่านกวานกอยี่มีพวกพรรค | ขอสมัครมั่นหมายต่อนายเถา |
จะยอมทู้อยู่อาศัยในลำเนา | ขอรับเอาบุตรภรรยากลับมาคืน |
มีใจความตามองค์บาที่ว่าร่ำ | ไม่กลืนกล้ำกลับสัตย์ให้ขัดขืน |
ฟังรำพันมั่นคงเห็นยงยืน | จึ่งให้คืนไปสถานบอกกวานมา |
ถอดเสื้อรบนบร่างวางอาวุธ | ให้เห็นสุจริตคำเหมือนร่ำว่า |
จะรับตามความมั่นที่สัญญา | ฮ่อทูตากลับไปโดยใจจง |
พอเวลาตะวันชายลงบ่ายศรี | กวานกอยี่มาตามความประสงค์ |
วางอาวุธสุจริตโดยจิตจง | ลูกบ่าวคงตามมีมาสี่คน |
จึ่งทำสัตย์สัญญาประสาฮ่อ | จนสิ้นข้อเสร็จความตามนุสนธิ์ |
แล้วชี้แจงแจ้งระบิลให้ยินยล | จงจัดคนกอยี่มาจะพาไป |
หาแม่ทัพคำนับแจ้งแสดงข้อ | จะได้ขอบุตรภรรยามาคืนให้ |
กอยี่รับคำนับตอบด้วยขอบใจ | มอบให้ฮ่อสองคนมาหาแม่ทัพ ๚ะ |
๏ เวลาเมื่อต่อสู้อยู่กับฮ่อ | ในปีจอเดือนเจ็ดไม่เสร็จสรรพ |
รบศึกฮ่อรอไข้กันใหญ่ยับ | ยังมีทัพแจะทบมารบราญ |
กลับเป็นเจืองเคืองข้อทรยศ | คือกบฏอ้ายหัวหน้าพระยาว่าน |
คุมข่าแจะเจืองปล้นเป็นคนพาล | พลประหารร้อยเศษสังเกตดู |
มาตั้งค่ายรายร่ำริมน้ำล้อม | เรียกห้วยห้อมฮึกหาญจะขานสู้ |
เข้าเขตแคว้นแดนเมืองซ่อนสิงขรดู | ดังจะจู่โจมจับเอาทัพชัย |
มันเที่ยวบุกรุกรานชาวบ้านหนี | ไล่ต้อนตีชิงเสบียงมาเลี้ยงไพร่ |
เที่ยวเลียบลาดกวาดต้อนทุกบ่อนไป | ชนชาวไพรพรั่นตัวกลัวชีวิต |
พวกเจ้าเมืองกรมการบ้านเมืองซ่อน | วิ่งสลอนน่าสลดระทดจิต |
จะเข้าป่าล่าไปมิได้คิด | ด้วยเกรงฤทธิ์ข่ารบจะหลบตัว ๚ะ |
๏ แม่ทัพฟังดังไฟมาไหม้สุม | ด้วยไข้รุมทหารรอนลงนอนทั่ว |
จึ่งประชุมควาญช้างพวกต่างวัว | ช่วยจับตัวแจะเจืองที่เคืองใจ |
รวมได้คนพลอาสาห้าสิบเศษ | ต่างก้มเกศนอบนบสบสมัย |
จะขอฆ่าฝ่าฟันให้บรรลัย | มิทันให้พริบตาเวลาเดียว |
เลือกนายทัพจับไข้ไม่เป็นส่ำ | ได้เจ้ากล่ำปากกล้าแต่ตาเหมียว |
จะให้คุมโยธาคิดบิดเป็นเกลียว | ดูหน้าเซียวถอดสีไม่มีเสบย |
ต้องขู่เข็ญเป็นเวลาเข้าตาทัพ | จึ่งจำรับรีบไปมิได้เฉย |
แกกลัวงกตกประหม่าก็ลาเลย | ด้วยไม่เคยคิดสู้กับผู้ใด |
ถึงค่ายข่าตาตื่นอกตื่นเต้น | แกเข้าเต๊นท์ยิงยัดให้ตัดษัย |
จะถูกผิดกิจการสถานใด | ไม่เข้าใจยิงกลุ้มสุ่มตะรัง |
เป็นสามวันหวั่นไหวมิได้ลด | ยิงจนหมดลูกดินสิ้นหลายถัง |
ข่าก็สู้อยู่ในค่ายมิพ่ายพัง | แกยิ่งสั่งลูกดินส่งให้จงทัน ๚ะ |
๏ แม่ทัพแจ้งแคลงใจเห็นไม่จบ | มัวแต่รบนอนเร้นในเต๊นท์มั่น |
พอเล็บแจไข้จางสร่างขึ้นพลัน | ก็จัดสรรปืนใหญ่ให้ไปยิง |
พอถึงค่ายรายคนเข้าค้นดัก | คอยรบกักกันไว้มิให้วิ่ง |
ปืนใหญ่วางกลางเนินบนเผินพิง | พอได้ดิ่งกระตุกปับดังฉับฮุม |
แตกทลายกระจายจบศพไม่นับ | บ้างหนีลับหลบไพล่ลงในหลุม |
ทหารห้อมล้อมรายเข้าค่ายคุม | ไล่ตะลุมบอนล้างให้วางวาย |
อ้ายหัวโจกแจะข่าลูกขาทบ | ไม่สู้รบจับริบเอาฉิบหาย |
ทิ้งอาวุธยุทธหัตถ์กระจัดกระจาย | ออกเรี่ยรายกลางชาลาเก็บมากอง |
ได้คนครัวมั่วหมู่อยู่ในรก | สามสิบหกชายหญิงทั้งสิ่งของ |
แล้วเผาค่ายไฟกระพือฮือละออง | พวกครัวร้องไห้ร่ำก็นำมา |
ถึงแม่ทัพคำนับแจ้งแสดงสดับ | จึ่งบังคับให้เอาตัวอ้ายหัวหน้า |
ไปตัดศอเสียบไว้ในทุ่งนา | ให้โจรข่าแจะจำอย่าทำเจือง |
จนเสร็จศึกไข้สั่นยังรันรบ | ไม่รู้จบจับฝ้าจนหน้าเหลือง |
พอได้ยามาทันอนันต์เนือง | ก็ส่งเนื่องจำหน่ายพลทุกคนไป |
ต่างก็ฟื้นชื่นหน้าดังยาทิพย์ | ก็ออกกริบเที่ยวเกริ่นพอเดินได้ |
ทุกเช้าเย็นไม่เว้นยารักษาไป | ก็สิ้นไข้สดขึ้นทุกคืนวัน |
เสียงสรวลเฮฮาเป็นผาสุก | ด้วยสิ้นทุกข์ไข้หายเที่ยวผายผัน |
ไปโลมสาวลาวผู้ไทยในคามันต์ | เป็นประกันรักแกนในแดนดอน |
ครั้นเย็นย่ำค่ำเข้าสู่ในหมู่บ้าน | ขึ้นเรือนชานชื่นอารมณ์ชมสมร |
ไม่หลบหลีกปลีกไปให้อาวรณ์ | มารับต้อนเต็มพักตร์พูดชักชวน |
ธรรมเนียมสาวชาวเมืองซ่อนไม่ค่อนแคะ | เมื่อโลมและลูบต้องของสงวน |
เข้าเคล้าคลอรอนางไม่ห่างนวล | หมดกระบวนมีกระบิดอยู่นิดเดียว |
รื่นอารมณ์ชมนางกลางเคหา | นึกอายหน้าขนางในฤทัยเสียว |
สาวกลับชอบขอบอารมณ์ดูกลมเกลียว | แม้นไม่เกี้ยวแล้วเขาเก้อไม่เอออวย |
ทั้งบิดามารดรก็ค่อนขุด | โกรธว่าบุตรสาวนั้นมันไม่สวย |
ถ้าชายรักชักมื่นดูรื่นรวย | แล้วไม่ขวยเขินหน้าเหมือนวาที |
แม้นขอสู่คู่เคียงไว้เรียงข้าง | ก็มักอ้างออกนามเอาตามผี |
จะกินสัตว์สิ่งไรในวิธี | ล้างชีวีไหว้เซ่นเป็นสำคัญ |
กับเงินตราค่าสินสู่ที่ชูพักตร์ | อย่างเต็มรักเรียกถึงสักหนึ่งขัน |
ฤาสองเบี้ยสามเบี้ยได้เสียกัน | แล้วแต่ผันผ่อนตามความเอ็นดู |
อนึ่งในอัตราว่าเงินขัน | แล้วพูดผันเบี้ยแผกให้แปลกหู |
คือสิบเบี้ยเป็นขันหมั่นคิดดู | เบี้ยหนึ่งอยู่สิบสลึงคะนึงนับ |
นี่ความโลมโครมครืนเล่นชื่นหน้า | ทีนี้ว่าเลิกขวงเล่นล้วงตับ |
ลูฝาช่องห้องหัวนอนไม่ซ่อนลับ | เข้าล้วงจับคว้าจบไม่หลบมือ |
พูดกระซิบเสียงกระเส่าเว้ากันวุ่น | พอเป็นทุนที่ได้กุมประทุมถือ |
เขย่งยืนขืนใจดังไฟฮือ | เห็นเต็มรื้อต้องร้างไม่บางเบา |
แม้นกลางวันครรไลไปชมน้อง | นั่งหน้าห้องสางหัวหาตัวเหา |
ผลัดกันคุ้ยชวนกันแคะนั่งแกะเกา | ไม่อาจเข้าใกล้กลัวตัวจะตอม |
ผิวเนื้อเหลืออาลัยเป็นไคลคราบ | ช่างเหม็นสาบเศร้าศรีไม่มีหอม |
ชั้นพื้นเรือนเปื้อนตมสมมมมอม | สุดจะน้อมหน่วงกำหนัดสวัสดี |
คะนึงคิดขนิษฐ์น้องครองสวาท | มายลนาฏนางไพรวิไลศรี |
หมายจะหักรักร้อนผ่อนฤดี | กลับทวีรักเร้าเศร้ากระมล |
ทั้งเสียงสัตว์จัตุบทสยดสยอง | มันเดินร้องเร้าแรงแสยงขน |
ดังปีบเปิบกำเริบรายชายอรญ | ต้องนิ่งทนเนาถิ่นจนสิ้นกลัว |
สารพันสรรพภัยมิได้ย่อ | ภักดีต่อกตัญญูเจ้าอยู่หัว |
อันเกิดกายตายสำหรับอยู่กับตัว | ย่อมมีทั่วทุกสัตว์ไม่อัศจรรย์ |
เกิดเป็นชายหมายชื่อให้ลือเช่น | จะตายเป็นตามแต่กิจประสิทธิ์สรรพ์ |
เกิดแก่กายตายดับนับอนันต์ | ชื่อก็บรรลัยลับไปกับกาย |
รับอาสาฝ่าพระบาทพิฆาตศึก | เขาจารึกรายงานอ่านถวาย |
แม้สูญโฉมชมชื่อให้ลือชาย | ชีพไม่วายหวังสมอารมณ์เรียม |
พึ่งพระเดชเกศนิกรขจรจบ | ถึงจะพบเพื่อนชายไม่อายเหนียม |
ใครจะเคาะเกาะแกะพูดและเลียม | ถึงไม่เทียมก็พอทันเป็นมั่นคง |
นี่คิดคาดมาดหมายทำลายรัก | พอได้พักผ่อนใจที่ใหลหลง |
เป็นนิสัยใจคนย่อมวนวง | มักจะงงงมโง่ด้วยโลกีย์ |
เหมือนม้ารถพยศผยองลำพองเผ่น | แหนบก็เต้นเตือนสำทับขับออกจี๋ |
รู้สึกเสียวเหนี่ยวพอให้รอรี | กลับเข้าที่หายกระเทือนพอเตือนตน |
ประเดี๋ยวหยุดประเดี๋ยวขับกระสับกระส่าย | ด้วยม้าร้ายร้อนรุมทุกขุมขน |
ลำพองโผนโจนจับแทบอับจน | กำเริบร้นแรงจัดอัศดร |
เอาไตรลักษณ์หักจิตคิดสังขาร | สมุฏฐานธรรมถือให้รื้อถอน |
ก็ได้หน้าลืมหลังตั้งนิวรณ์ | ประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวดับพอหลับไป ๚ะ |
๏ ฝ่ายกองเจ้าราชวงศ์ที่คงตั้ง | อยู่ระวังเมืองแวนแดนไศล |
แจ้งความว่าข่าเจืองที่เคืองใจ | มันกลัวภัยพากันทู้ไม่สู้รบ |
หลายตำบลคบข่าพาโขยง | อยู่เพียงโค้งห้วยคี้เที่ยวหนีหลบ |
แกวหมากเฟืองผาลอยคอยสมทบ | ที่มันคบคิดกันเที่ยวฟันแทง |
อยู่ในดินเมืองซำเหนือเจือซำใต้ | เที่ยวล้างไล่ฆ่าลาวชาวเขตแขวง |
มันรู้ตัวกลัวตายโทษร้ายแรง | จึ่งมาแจ้งจริงทั่วที่ตัวทำ |
หัวหน้านายรายนามตามพวกข่า | ชื่อพระยาน้อยคำฟันช่างขันขำ |
ท้าวยี่น้อยท้าวยี่ใหญ่เพี้ยไซคำ | เพี้ยเท่าจำจดแจ้งแขวงเตียวกา |
ยังอีกชื่อลือชาช่างสามารถ | พระยาราชสุวรรณขันอาสา |
พระยาแก้วพระยาพระคณนา | อีกพระยาลิ้นท้องล้วนกองพาล |
มาเข้าหาสารภาพกราบประณต | ไม่ทรยศยำเยงเกรงทหาร |
ขออาศัยในถิ่นแผ่นดินดาล | ไม่ทำการกบฏเจืองให้เคืองใจ |
จะรับน้ำทำสัตย์พิพัฒน์ผล | ทั่วทุกคนเคารพสบสมัย |
อันข่าเจืองที่เที่ยวจรอยู่ดอนไพร | ก็หมดในแขวงหัวพันเป็นมั่นคง |
กับอ้ายฮ่อก่อหาญทำการรบ | อพยพยกไปไพรระหง |
อยู่เมืองลาดพ้องจะลอต่อเขตคง | ก็กลับวงเขาถิ่นด้วยสิ้นทาง |
มาขอทู้อยู่ในแว่นแคว้นจังหวัด | มีนามชัดชื่อบ่งว่าองค์ถาง |
พร้อมพวกพรรคสมัครหมายจนวายวาง | รับน้ำอย่างจีนจำเหมือนทำมา |
แล้วลาลับกลับไปหาที่อาศัย | ค่ายบ้านใดด้วยกอยี่ที่สู่หา |
แล้วจึ่งจะพร้อมกันจรัลมา | ยังพาราซ่อนบุรีที่แม่ทัพ ๚ะ |
๏ได้ทราบความตามระบิลจนสิ้นเสร็จ | เป็นสำเร็จเรียกกองรบให้ทบกลับ |
มาเมืองซ่อนมั่วสุมประชุมทัพ | ตั้งเตรียมรับฮ่อราเวลาคอย ๚ะ |
๏ เดือนสิบเอ็ดเผด็จศึกจารึกรส | มาพร้อมหมดเหมือนนัดไม่ขัดถ้อย |
ทั้งข่าเจืองฮ่อโจรทุกโดนดอย | เป็นหลายร้อยมารับบังคับการ |
ค่อยปลอบโยนโอนอ่อนให้ผ่อนพัก | เนาสำนักค่ายใหญ่ปราศรัยสาร |
ท่านชี้แจงแจ้งจิตพิสดาร | จนเห็นการจะไม่ก่อทำต่อเติม ๚ะ |
๏ในเดือนนี้มีการสำราญรื่น | ดูครึกครื้นแซ่ซ้องฉลองเฉลิม |
ประสาไพรใจครุ่นคิดจุณเจิม | ให้พูนเพิ่มบารเมศเดชอดุล |
ได้พิทักษ์รักษาอาณาเขต | โดยพิเศษสิ่งสุดที่อุดหนุน |
ประชาชาวลาวข่าได้การุญ | ทรงพระคุณคุ้มภัยมิให้พาล |
ในการนี้มีแต่ใบไม้ประดับ | ไม่วาบวับส่องสีมณีฉาน |
ไขโคหล่อจ่อเพลิงเถกิงการ | งามกันดารแดนป่าลัดดาเครือ |
ผูกเป็นเฟื่องเรืองระยะอุบะระบัด | รอบจังหวัดวางรายดูหลายเหลือ |
ราวกับป่ามหาวันผูกพันเครือ | ขึ้นเลื้อยเฝือแฝงสีอัคคีราย |
พินิจไปใจกระสันแม้นวันนี้ | อยู่กรุงศรีแสนจะชมภิรมย์หมาย |
ทั้งหนุ่มสาวกราวเดินดูเกริ่นกราย | เที่ยวแวดชายชมพระเดชเกศนิกร |
สารพันสรรพ์แก้วพราวแพรวแสง | กระจ่างแจ้งแจ่มจำรัสประภัสสร |
ดูครึกครื้นชื่นหน้านรากร | สุดจะซ้อนเสาะจำขึ้นรำพัน |
มาอยู่ดงพงพีมิได้เห็น | ดูแจะเล่นลำร้องดูข้องขัน |
เข้านั่งล้อมพร้อมพรูเป็นหมู่กัน | ร้องรำพันส่งเสียงแล้วเรียงโรย |
ลูกคู่รับกรับฟังดังกระหึ่ม | เสียงพำพึมพูดครวญไม่หวนโหย |
ดังซุบซิบกริบกรับสดับโดย | นานนานโอยโอดดังลำพังครู |
นั่งฟังไปไม่รู้เหตุสังเกตถ้อย | เห็นเต็มกร่อยฟังเหลือจะเบื่อหู |
ชักเอาความถามทวนสำนวนครู | พูดไม่รู้เรื่องกันต้องครรไล |
มาฟังลาวกล่าวลำก็จำจืด | เห็นเต็มฝืดเฝือจิตผิดนิสัย |
ทั้งสามวันตันตื้นไม่ชื่นใจ | ฟังอะไรก็รำคาญให้ดาลทรวง |
ประชุมชาวลาวผู้ไทยมิใช่น้อย | ทั้งฮ่อม้อยมากมายในค่ายหลวง |
ให้กินเลี้ยงเรียงหมวดตรวจกระทรวง | หมดทั้งปวงเป็นสำเร็จเสร็จยุบล |
แล้วปล่อยให้ไปที่อยู่สู่อาศัย | ตามชอบใจเขตแขวงทุกแห่งหน |
แต่พวกฮ่อเกรงจะหาญเที่ยวราญรณ | เพราะการปล้นปลอกปลิ้นเขายินดี |
จึ่งชักนำจำนรรจาให้มาเฝ้า | พระเป็นเจ้าจอมประเทศพิเศษศรี |
ก็เห็นพร้อมยอมทั่วล้วนตัวดี | ทุกคนมีชื่อดังทั้งฝีมือ |
เป็นเล่าแย้แซ่กวางไซใกล้กวางตุ้ง | ผมเปียยุ่งเป็นซือแย้แปลหนังสือ |
ที่หนึ่งสองรองหัวหน้าได้หารือ | รับเป็นสื่อสาราลงมาแทน |
ฮ่อกอยี่ดีใจอยากได้ยศ | พร้อมกันหมดหมายเข้ามาเฝ้าแหน |
สู้ปลดปละละถิ่นที่ดินแดน | มาอยู่แน่นค่ายนั้นอนันต์เนือง ๚ะ |
๏ จึ่งไต่ถามความฮ่อข้อประสงค์ | ซึ่งให้ธงแดงดำแลทำเหลือง |
บ้างก็ลายหมายลือเอาชื่อเมือง | หรือเป็นเครื่องคิดไฉนจงให้การ |
ให้กอยี่ชี้ต้นไปจนจบ | อันธงรบสำหรับใช้ในทหาร |
จึ่งเล่าเดิมเริ่มคิดจิตวิจารณ์ | มีชื่อขานแซ่เสงลิวเทงไคว ๚ะ |
๏ เมื่อจะคิดจิตพาลสันดานดิบ | ได้ยี่สิบปีอายุลุสมัย |
ตำบลบ้านสถานทางอยู่กวางไซ | พบนายใหญ่คนหนึ่งลือชื่อองลิว |
ได้รักษาเมืองเล่ากายเป็นนายเถา | ไม่รุมเร้าครอบครัวคอยตั้วสิว |
เกลี้ยกล่อมพลคนแกล้วเข้าแถวทิว | ตั้งตาริ้วหัดรบสมทบทัพ |
กับข้าเจ้าเข้ากันคนพันเศษ | ธงสังเกตศึกใส่ใช้กำกับ |
เป็นผ้าดำทำตัวยี่สีระยับ | ไว้สำหรับนำทหารไปราญรอน |
แต่สมัยในเวลานั้นผาสุก | บรรเทาทุกข์ภิญโญสโมสร |
ประชาชนดนดื่นพื้นนคร | ไม่มีร้อนสำราญร่าชั้นทารก ๚ะ |
๏ ครั้นถึงคราวจะกำเนิดเกิดวิบัติ | เมื่อนักษัตรฉลูปีมีฉอศก |
พันสองร้อยศักราชที่ยาตร์ยก | ยี่สิบหกเศษทัศกระจัดจริง |
มีจีนหนึ่งใจหาญจะทานทด | เป็นกบฏซัวเถาเจ้าปักกิ่ง |
มีพลหมื่นพื้นกำลังตั้งประวิง | มาตั้งนิ่งสำนักสู้อยู่เต้งปัก |
มีชื่อแซ่แปลความตามประสงค์ | ง่ออาจงใจเติบกำเริบศักดิ์ |
ใช้ธงเหลืองเนื่องล้ำในสำนัก | ที่ตั้งพักนั้นเป็นเขตประเทศญวน |
เจ้าอานัมทำอักษรวอนสนอง | ไปขอกองทัพใหญ่ในเสฉวน |
แต่องค์ลิวเมืองเล่ากายอยู่ฝ่ายญวน | ยกทัพล้วนเหล่าณรงค์พวกธงดำ |
สมทบกับแม่ทัพญวนเข้าควรคู่ | องค์แต้วฟูแม่ทัพหน้าของอานัม |
รวมทหารราญรุดยุทธกรรม | มีประจำหมื่นเศษสังเกตพล |
เข้ารบทัพง่ออาจงด้วยองอาจ | เป็นสามารถหมายตีให้ปี้ป่น |
ต่างต่อต้านหาญโหมเข้าโรมรณ | ตั้งประจญรับรองอยู่สองวัน |
พอทัพใหญ่ในซัวเถาเข้าห้อมหุ้ม | เป็นมรสุมสองทัพเข้าขับขัน |
ชื่อแม่ทัพกำกับกองฟองตายัน | พลฉกรรจ์หมื่นมั่นอนันต์เนือง |
ระดมรบสมทบกองเป็นสองทัพ | เข้าโจมจับง่ออาจงพวกธงเหลือง |
แตกกระจายพ่ายออกไปนอกเมือง | ไล่ตีเนื่องหนีมาเมืองฮายาง |
ง่ออาจงนายพลรณยุทธ์ | ถูกอาวุธวายชีวีเป็นผีสาง |
พวกพลหนีลี้หลบสมทบทาง | ญวนไล่ล้างแหลกยับถึงจับเป็น |
ได้สักห้าพันถ้วนประมวลนับ | ด้วยเสียทัพยอมทู้ให้ขู่เข็ญ |
แต่นายรองน้องอาจงหลงประเด็น | มืเชื้อเช่นชื่อนั้นพันลันซี |
เกลี้ยกล่อมได้คนมาห้าพันเศษ | เที่ยวทุเรศอรัญพาเข้าป่าหนี |
หาที่พักสำนักไปในพงพี | ถึงบุรีขันเทียนสื่อตั้งปรือปรน |
เป็นเมืองแม้วลอยเมฆเอกราช | อยู่ย่านขาดจีนญวนควรฉงน |
ไม่เกี่ยวถิ่นดินคละให้ปะปน | ตั้งพักพลพึ่งพาพระยาแม้ว ๚ะ |
๏ ฝ่ายแม่ทัพฟองตายันครั้นปราบศึก | ที่เหิมฮึกหักวินาศเหมือนกวาดแผ้ว |
จัดบ้านเมืองใหญ่น้อยเรียบร้อยแล้ว | ก็คลาดแคล้วทัพถึงยังตึ้งซัว |
ยกองค์ลิวให้กำลังตั้งสำหรับ | เป็นแม่ทัพนายเถาอย่างเจ้าสัว |
เรียกว่าลิวตายันคนย่านกลัว | ตั้งเป็นหัวหน้าเฝ้าเมืองเล่ากาย |
แม่ทัพญวนก็ยกทัพกลับขึ้นเถิน | ไปฟูเชินเมืองหลวงกระทรวงหมาย |
ลิวตายันนั้นเป็นสุขสนุกสบาย | ไม่ระคายราคีได้ปีเลย ๚ะ |
๏ ข้างฝ่ายพันลันซีซึ่งหนีหลบ | ไปตั้งซบซ่อนอาศัยมิได้เฉย |
เฝ้าเตรียมกิจคิดต่อเป็นหน่อเตย | ไม่เสบยเพราะวิบากจากลำเนา |
พอสมจิตคิดไว้ไม่ฉงน | ก็ยกพลห้าพันจากคันเขา |
จรจรัลดั้นเดินเนินสำเนา | ถึงเมืองเล่ากายตรงตีองค์ลิว |
ลิวตายันสรรกำลังออกตั้งรับ | แลสลับธงสลัดลมพัดฉิว |
ทั้งธงเหลืองธงดำทำเป็นทิว | ตั้งตาริ้วแรมปีฤดีดาล ๚ะ |
๏ ฝ่ายแม่ทัพพันลันซีมีสติ | นึกกริ่งกริเกรงญวนจะหวนหาญ |
เข้าสมทบรมรุมประชุมการ | เป็นสองด้านประดังเข้าเราเสียที |
จงแต่งทัพเดินทบตลบหลัง | แบ่งกำลังลอบไปเข้าไพรศรี |
ให้ฟาเก้าเป็นนายการราญราวี | ไปตั้งที่เขตขัณฑ์เมืองตั้นกวาน |
ถ้าแม้นมีทัพล้อมมาห้อมหุ้ม | เป็นกองซุ่มตีทัพจับประหาร |
ระยะทางห่างห้าเวลากาล | ดักอยู่ด่านทางเข้าเมืองเล่ากาย ๚ะ |
๏ ครั้นเสร็จแล้วพันลันซีที่ตั้งล้อม | ก็เข้าห้อมรบหักสมัครหมาย |
ทหารลิวตายันลั่นปืนราย | กระสุนปรายปราดลูกถูกลันซี |
ตัวไม่ตายแต่ก็ต้องถอยกองทัพ | ยกกันกลับไปห่างเหมือนอย่างหนี |
ลิวตายันกระชั้นชิดติดตามตี | พันลันซีแตกมาเมืองฮายาง |
แล้วแต่งให้ใต้ตุม่านออกต้านทัพ | ไปรวมกับฟาเก้าเข้าสองข้าง |
ริมน้ำแดงแฝงตัดสกัดทาง | ในระหว่างแว่นแคว้นแดนดินแกว |
ลิวตายันนั้นตามด้วยความโกรธ | แทบจะโดดเดินทัพไม่นับแถว |
พอทัพญวนสวนทางมากลางแนว | แม่ทัพแกวชื่อมียินซีฟอง |
ยกบรรจบรบรับทัพขนาบ | ไม่เข็ดหลาบไล่ห้อมล้อมเป็นสอง |
พันลันซีมิออกสู้ดูทำนอง | แต่คอยมองมุ่งหมายอยู่หลายเดือน ๚ะ |
๏ ฝ่ายฟาเก้าเจ้ากลแบ่งพลถอย | สักห้าร้อยรีบไปอยู่ในเถื่อน |
คอยลอบลัดตัดกำลังกระทั่งกระเทือน | เที่ยวตีเตือนต้อนท้ายทำถ่ายเท |
พวกเล่ากายเกณฑ์ลำเลียงเสบียงส่ง | ฝ่ายพวกธงเหลืองไล่เอาไพล่เผลอ |
พวกธงดำก็ป่วนกันรวนเร | ด้วยต้องเล่ห์กลสกัดตัดเสบียง |
พวกธงดำกรำกรากอดอยากยับ | เข้าที่อับจนเหงากระเส่าเสียง |
ยินซีฟองฟาเก้าเข้าล้อมเรียง | มิได้เลี้ยงรบรุกบุกทลาย |
ลิวตายันกับพลประจญหน้า | ค่อยหลีกล่าเลยไปเหมือนใจหมาย |
ไปตั้งอยู่ที่เก่าเมืองเล่ากาย | ฟาเก้ารายทัพรี่เข้าตีญวน |
ญวนก็แตกแหลกพังไปทั้งสิ้น | สมถวิลว่างศึกไม่ฮึกหวน |
มิได้ตามตีตั้งยั้งกระบวน | หยุดประมวลพลมั่นอยู่ตั้นกวาน |
แล้วแยกทัพรับรองเป็นกองหน้า | อยู่ตันฮาเท้าฮึกเป็นศึกหาญ |
คอยสืบข่าวเล่ากายจะร้ายราญ | ระยะย่านสามวันจากตันฮา |
ลิวตายันสรรพลปรนทหาร | อยู่ประมาณปีมาดปรารถนา |
จัดสำเร็จเสร็จนำธงดำมา | ติดตันฮาตั้นกวานตั้งการรบ |
ข้างเมืองญวนก็ยกทัพกลับมาเล่า | สมทบเข้าพวกเล่ากายรายบรรจบ |
ตีธงเหลืองล้อมระดมกันสมทบ | แตกบัดซบหนีไปเสื้องเมืองจอพอ |
ระยะทางห่างตันฮาเวลาหนึ่ง | ไปนิ่งอึ้งแอบซอกไม่ออกป๋อ |
คิดจะจับสับไสเสียให้พอ | เผอิญก่อการใหญ่ในเมืองญวน |
มีหนังสือเรียกกองทัพให้กลับหลัง | อย่ารอรั้งเร็วระดมกว่าลมหวน |
ญวนก็กลับทัพใหญ่ไปเมืองญวน | องค์ลิวรวนเรกลับกองทัพไป ๚ะ |
๏ เพราะเหตุด้วยกุลาขาวทำฉาวฉ่า | เข้าเมืองฮานอยหาญเป็นการใหญ่ |
คบพวกธงเหลืองโลนอ้ายโจรไพร | ประมาณในร้อยคนเข้ารณราญ |
พวกเมืองญวนป่วนยิ่งในสิ่งศึก | องค์ตือดึกเดือดใจจึ่งไขขาน |
เรียกลิวตายันให้ไปช่วยการ | แม้นนิ่งนานแล้วจะหนักพะวักพะวน |
เกรงกุลาจะมาส่งพวกธงเหลือง | ให้รื้อเรื่องวุ่นวายเป็นสายสน |
เร่งรีบรัดจัดทหารมาราญรณ | ไปประจญจับกุลาเมืองฮานอย ๚ะ |
๏ ลิวตายันครั้นแจ้งแห่งรหัส | ก็รีบรัดทัพฮ่อไม่ท้อถอย |
ตรงเข้าตีพวกกุลาเมืองฮานอย | ก็แตกถอยยกทัพหนีกลับไป |
จับได้เป็นเห็นหน้ากุลาขาว | มีหนวดยาวผิดกับญวนชวนสงสัย |
เป็นตองซู่กุลาภาษาใด | ก็ซักไซ้สอบถามทั้งสามคน |
กุลาว่าข้าเป็นพวกลิปับลิก | เห็นเคราหยิกร่างใหญ่ใคร่ฉงน |
แต่ผมแดงแคลงจิตคิดกังวล | ถามถึงต้นชาติใช้ชื่อไรนาม |
ที่เป็นจีนเคยเข้าใจปราศรัยจ้อ | เรียกอั้งหมอหมายผมนิยมหยาม |
แต่ยังรวมกรวมชาติไม่ขาดความ | จึ่งแจ้งความจริงในน้ำใจจง |
จีนเรียกว่าอั้งหมอก็ฝรั่ง | ซึ่งแต่งตั้งเรียงเอาความตามประสงค์ |
แล้วฆ่าเสียมิให้คืนอยู่ยืนยง | สิ้นชีวงวายวางอยู่กลางเมือง |
ลิวตายันครั้นกุลาล่าไปลับ | ยกพลกลับกรูกรีตีธงเหลือง |
ได้ต่อสู้คู่แข่งจะแย่งเมือง | ต่างก็เยื้องยักทีมีทำนอง |
พวกธงดำร่ำรุดไม่หยุดรบ | ตีกระทบจนกระทั่งกันทั้งสอง |
ธงเหลืองแหลกแตกตามทั้งสามกอง | พาพวกพ้องหนีมาเมืองฮายาง |
ลิวตายันครั้นได้ชัยชนะ | สิ้นธุระเรื่องวิบัติไม่ขัดขวาง |
ก็จัดแจงแต่งทหารตรวจด่านทาง | ในระหว่างแว่นแคว้นแดนตันฮา |
เมืองพอจอตันกวานเป็นด่านตั้ง | มีผู้รั้งรายดูอยู่รักษา |
ทั้งสามเมืองมอบอำนาจให้อาชญา | แล้วลิวตายันเข้าเมืองเล่ากาย ๚ะ |
๏ ครั้นล่วงวารประมาณมีได้ปีเศษ | ผู้ครองเกศปักกิ่งตรึกกริ่งหมาย |
แค้นพวกพันลันซีไม่มีวาย | คิดทำลายล้างวงศ์พวกพงศ์พาล |
ให้แม่ทัพมอตายันสรรพลหมื่น | ดูครึกครื้นเกรียวกราวล้วนห้าวหาญ |
หลียอยซอยเป็นที่สองรับรองการ | จะเข้าต้านต่อฆ่าในฮายาง |
เมื่อจวนถึงจึ่งได้ให้คำสั่ง | เรียกทัพทั้งสองกองประคองข้าง |
คือทัพญวนทัพเล่ากายเมืองรายทาง | ให้รีบย่างยาตรทัพมารับรบ ๚ะ |
๏ ได้ทราบความตามสั่งที่บังคับ | ก็ยกทัพพร้อมกันเข้าบรรจบ |
เป็นสามทัพมากระทั่งตั้งสมทบ | เข้ารุกรบรายพร้อมตั้งล้อมเมือง |
ทันลันซีสิ้นกำลังไม่ตั้งรับ | ก็หนีทัพทิ้งวงศ์พวกธงเหลือง |
อพยพแยกออกไปนอกเมือง | คิดจะเปลื้องปละหนีแต่รีรา |
พวกธงเหลืองที่ยังหลงอยู่คงค่าย | ไม่คิดพ่ายพากันกลับรับอาสา |
นำทัพจีนเข้าประจญค้นพารา | จึ่งแจ้งว่าพันลันซีหนีออกไป |
ตั้งค่ายสู้อยู่ห่างฮายางซุ่ม | ก็ยกทุ่มเททัพไปจับได้ |
ตัดศีรษะใส่หีบรีบส่งไป | ยังเมืองใหญ่เขาขึงเรียกตึ้งซัว |
พวกพลพันลันซีบ้างหนีบุก | ไปเที่ยวซ่อนซุกเร้นไม่เห็นหัว |
ที่ยอมทู้อยู่ก็บากเข้าฝากตัว | ยกครอบครัวเข้ากองทัพไปกับจีน |
กองทัพญวนหวนกลับไม่สับสำ | พวกธงดำก็ยกเข้าเขากีสิน |
ที่ถือว่าชาดีบุรีจีน | ไม่ป่ายปีนเป็นลำดับกลับนคร ๚ะ |
๏ พวกธงเหลืองที่ยังหลบซ่อนซบอยู่ | ก็เที่ยวจู่แตกเจิ่นขึ้นเขินขอน |
เป็นเจ๊กบกจีนบ่าอยู่ป่าดอน | เขตนครญวนสยามตามอำเภอ |
ไม่ก่อร่างสร้างเคหาเสพยาฝิ่น | ปล้นเขากินโจรกรรมทำเสมอ |
ญวนมาปราบหลาบแหลกก็แตกเกลอ | เที่ยวกระเซอบุกกระเซิงระเริงลาน |
ครั้นญวนกลับจับหมู่ที่จู่ปล้น | ไม่สิ้นกลกากเล่ห์เดรัจฉาน |
ทำหยาบยุ่งฟุ้งฉาวให้ร้าวราน | นับประมาณหลายปีแต่มีมา |
จนครั้งนี้มีทัพไทยมาไล่รบ | อพยพแยกย้ายตายนักหนา |
ตั้งเมืองพวนหัวพันเป็นหลั่นมา | รอบอาณาเขตลุถึงจุไท |
อันจีนโจนโยนยาวที่กล่าวนี้ | พันลันซีต้นแซ่มาแฉให้ |
ยี่สิบสามปีเศษสังเกตใจ | จนถึงในปัจจุบันนี้มั่นคง |
เดิมก็ใช้ธงเหลืองเป็นเครื่องหมาย | ครั้นแล้วกลายกลับจิตพิศวง |
ยกยี่ห้ออย่างใหม่ยักใช้ธง | ตามจำนงนึกหมายสีลายแดง |
เที่ยวกระจัดพลัดพรายเป็นหลายหมู่ | บ้างเข้าอยู่ด้วยธงดำทำเคลือบแฝง |
บ้างถือธงเก่าชัดไม่ดัดแปลง | ตามแต่แบ่งบากหมู่ออกกรูเกรียว ๚ะ |
๏ ง่ออาจงนายเก่าเขาฮ่อแท้ | นับรวมแซ่ชื่อเสงครั้งเม่งเฉียว |
ง่อซำกุ้ยตัวฉกาจเปลื้องปราดเปรียว | เป็นแซ่เดียวชื่อดังทั้งแผ่นดิน |
จึ่งแจ้งตรงว่าอาจงเป็นฮ่อด้วย | ไว้ผมมวยหมายแซ่เห็นแท้สิ้น |
พลทหารขานโห่พวกโจริน | ประเทศถิ่นสถานทางอยู่กวางซี ๚ะ |
๏ ครั้นกองทัพฝ่ายจีนเมื่อสิ้นศึก | ยกทัพฮึกหาญไปเข้าไพรศรี |
ถึงเมืองจีนจึ่งเฝ้าเจ้าธานี | ก็ยินดีด้วยได้ดังใจปอง |
ปูนบำเหน็จนายทัพลำดับยศ | ให้เชิดชดความชอบตอบสนอง |
มกตายันนั้นเป็นใหญ่ในทำนอง | แต่หลียองชอบเป็นเจ้าเมืองเจาฟู |
เป็นเมืองขึ้นขอบเขตประเทศราช | ในอำนาจลำฟูไทยไกลอักขู |
มาถึงทางกวางไซใหญ่พอดู | ยองซอยกรูพลพื้นสักหมื่นมา |
เจ้าเมืองไกวลำฟูไทมิให้อยู่ | เมืองเจาฟูตามมาดปรารถนา |
หลียองซอยเคืองขัดอัธยา | ก็กรีธาพลแพ่นไปแดนญวน |
ตรงเข้าเมืองปักการเจาเนาสำนัก | ไม่กลับพักตร์พาไพร่ไปเสฉวน |
อยู่ได้สามเดือนเศษในเขตญวน | พลประมวลหมื่นสรรพประดับยศ |
องค์ตือดึกนึกสะดุ้งเห็นสุงศรี | คิดว่าหลียองซอยเป็นเช่นกบฏ |
จะต่อสู้กรุงปักกิ่งทำหยิ่งยศ | จึ่งยกทศโยธาไปราวี |
ส่งหนังสือถือสนองเรียกกองทัพ | ให้ช่วยจับกบฏแท้พวกแซ่หลี |
ลิวตายันครั้นแจ้งแห่งคดี | ยกโยธีธงดำมาสัมทบ |
แล้วบอกราชการไปในปักกิ่ง | กรุงจีนกริ่งใจคิดผิดขบบ |
จะจริงเท็จไม่ทันรู้กรูมารบ | เข้าบรรจบพร้อมกับกองทัพญวน |
นามนายพลคนที่มาเวลานั้น | ฟองตายันแม่ทัพใหญ่ในเสฉวน |
คุมโยธาดาดื่นหมื่นประมวล | สามทัพถ้วนระดมตีหลียองซอย |
ได้รบรุดยุทธนาเป็นสามารถ | ต่างพิฆาตฆ่าฟันไม่พรั่นถอย |
พวกสามทัพตายมีโยธีทอย | หลียองซอยตายหมดลดทุกที |
อ่อนกำลังตั้งรับทัพทั้งสาม | ยิ่งล้อมลามตีทลายก็พ่ายหนี |
จากปักการเจาไปไกลบุรี | เข้าอยู่ที่จองามตามตำบล |
ตั้งทัพตรวจหมวดโยธาเหลือมาน้อย | สักแปดร้อยรวมดูหมู่พหล |
ลิวตายันดั้นเดินดำเนินพล | โดยรีบร้นเร็วยกหกเวลา |
ถึงจองามหลามล้อมเข้าพร้อมที่ | ข้างฝ่ายหลียองซอยสู้ไม่สู่หา |
ต่างรบรับขับโต้ต้อนโยธา | ประมาณห้าเดือนตั้งประดังเรียง |
หลียองซอยน้อยพลจนอาหาร | อดกันดารเหลือทนไพร่พลเลี่ยง |
หนีเข้าหาองค์ลิวหิวเสบียง | ก็รับเลี้ยงชีพซนพลโยธี |
หลียองซอยเห็นจะสู้อยู่ไม่รอด | ก็เล็ดลอดลอบล่าเข้าป่าหนี |
ฟองตายันแม่ทัพใหญ่ใจก็ดี | ตั้งพักรี้พลรออยู่จองาม |
เกลี้ยกล่อมไพร่ให้สมัครหักเข้าหา | โดยเมตตาเต็มสุภาพไม่หยาบหยาม |
ตั้งอยู่นานประมาณเดือนไม่เลื่อนลาม | ต่างก็ตามกันมาทู้อยู่เป็นกอง |
หลียองซอยรู้เช่นเห็นแม่ทัพ | คอยต้อนรับไพร่พลไม่หม่นหมอง |
เข้าไปทู้อยู่ด้วยกันอนันต์นอง | แล้วหลียองซอยก็หาฟองตายัน |
จึ่งแจ้งความตามที่เห็นเป็นกบฏ | ให้ทราบหมดเรื่องหมายที่ผายผัน |
ไม่สมจิตคิดจะคืนก็ตื้นตัน | จึ่งบุกบั่นบากไปเพราะได้อาย |
ฟองตายันครั้นได้ยินก็สิ้นโกรธ | ไม่ลงโทษกบฏฆาตเหมือนมาดหมาย |
ให้คงยศอย่างที่รับไม่กลับกลาย | แล้วก็ผายผันพากันคลาไคล |
พลที่พ่ายกระจายหมู่ไม่สู่หา | อยู่ในอานัมดินถิ่นอาศัย |
สักพันเศษทุเรศร้างอยู่กลางไพร | เข้าหมู่ใหญ่ยกซ่องเป็นกองโจร |
ตั้งบรรจบทบทัพกับธงเหลือง | จึ่งจับเรื่องปล้นราษฎร์เที่ยวผาดโผน |
แยกใช้ธงดำลายตั้งค่ายโดน | เที่ยวเป็นโจรฮ่อกระเจิงระเริงลาน ๚ะ |
๏ ข้างฝ่ายทัพฟองตายันจรัลร่ำ | ถึงไกวลำฟูไทยในสถาน |
ก็พักพลดลประดาเวลากาล | ผ่อนสำราญรมย์เข้าหยุดเนานิตย์ |
เจ้าเมืองไกวลำฟูไทยไปนอบนบ | โดยประจบจวนตัวกลัวความผิด |
ที่ฝ่าฝืนขืนตราตั้งบังไม่มิด | ด้วยความอิจฉาไม่ชอบประกอบการ |
บัดนี้หลียองซอยมาในตาทัพ | คงจะกลับกล่าวหาขึ้นว่าขาน |
โทษเราทำจะมาทับอัประมาณ | จึ่งคิดอ่านเข้ากระทำสำมัคคี |
ลียองซอยหลงกลจนสนิท | เอายาพิษแทรกอาหารประสานศรี |
ให้ลียองซอยกินสิ้นชีวี | เสียในที่พักอยู่ลำฟูไทย |
ฟองตายันก็ครรไลไปปักกิ่ง | ความทุกสิ่งมิได้เห็นเป็นไฉน |
ขัดคำสั่งตราตั้งนั้นเป็นฉันใด | โทษคงไม่พ้นมันคนสันดาน |
ครั้นกองทัพลับเลื่อนสามเดือนเศษ | พอสิ้นเขตขาดพลพหลหาญ |
พวกที่แตกหนีอยู่ป่ามาคิดการ | เป็นพวกพาลปล้นกินในถิ่นดง |
พาพรรคพวกพื้นฉกรรจ์สามพันเศษ | เที่ยวทุเรศแรมในไพรระหง |
ชื่อต้นก๊กลกมันไตเป็นใหญ่ยง | ที่สองบ่งซำซีไทยเป็นนายรอง |
หลีอาซางเป็นที่สามมีนามตั้ง | ยกกำลังพลขันธ์สนั่นก้อง |
ตีปักการเจาแตกย้ายแยกกอง | พาพวกพ้องพักสบายอยู่ค่ายคึก |
ข้างเมืองญวนสืบสารรู้การแน่ | จึ่งแต่งแม่ทัพใหญ่ในตือดึก |
ชื่อไตซันเป็นแม่ทัพกำกับฮึก | มีที่ปรึกษาคู่ชื่อปูเจ็ง |
กำลังพลคนฉกรรจ์สี่พันเศษ | มาปราบเขตญวนทั่วล้วนตัวเส็ง |
ถึงเมืองปักการเจาเข้าระเบ็ง | สั่งให้เร่งรบกับทัพมันไต |
ได้ต่อสู้คู่คี่ตีกันแหลก | ทัพญวนแตกตายป่นไม่ทนได้ |
จับปูเจ็งไตชันได้ทันใด | พวกญวนไพร่หนีพรูไม่อยู่รอ |
แม่ทัพญวนครวญใคร่อาลัยร่าง | กลัวจะล้างชีพลาญจึ่งขานขอ |
ถ่ายโทษตัวกลัวชีวาน้ำตาคลอ | นั่งงอนง้อเอาเงินทำเป็นกำนัล |
ลกมันไตได้ท่าทำหน้าขึง | แกล้งตั้งปึงพูดปัดระหัดหัน |
อันการศึกฮึกโหมเข้าโรมรัน | ก็หมายมั่นมุ่งฆ่าชีวาวาย |
เสียทีทัพจับได้อาลัยชีพ | มานั่งบีบน้ำตาน่าใจหาย |
จะซื้อร่างสร้างชื่อให้ลือชาย | ว่าต้องถ่ายโทษตนจึ่งพ้นตัว |
จะแบกอายตะพายหน้าไปหาเจ้า | ใครเห็นเข้าก็จะเคาะเย้ยเยาะหัว |
องค์ตือดึกก็จะดาลประหารตัว | อันความชั่วก็จะฉาวอยู่ยาวยืน |
จงก้มหน้าลาท้าวเจ้าตือดึก | ว่าเสียศึกสิ้นชีวาไม่ฝ่าฝืน |
ขุนนางญวนเขาจะหยันทุกวันคืน | ให้เสื่อมพื้นเสียพงศ์ในวงศ์ญวน |
ไตชันฟังดังอัคคีมาจี้โสต | ทำไม่โกรธตรอมใจเฝ้าไห้หวน |
กลับยกเมืองกระเดื่องดินในถิ่นญวน | อีกสองส่วนให้เป็นสิทธิ์ไม่คิดคด |
ปักการเจาเมืองฮายางที่กลางย่าน | เงินขันขานสี่ร้อยขันเข้ากันหมด |
ขันละยี่สิบบาทไม่ขาดลด | จึ่งคิดทดมาเป็นไทยในเงินตรา |
รวมร้อยยี่สิบห้าชั่งดังถวิล | เป็นสุดสิ้นสมมาดปรารถนา |
ลกมันไตรับตอบชอบอัชฌา | ปล่อยหัวหน้านายทัพให้กลับไป |
เมื่อไตชันหันกลับมายับยั้ง | เข้าอยู่ยังเมืองฮานอยละห้อยไห้ |
เกรงตือดึกจะกระเดื่องเคืองฤทัย | ก็จำใจแจ้งจริงไม่นิ่งนาน |
เขียนหนังสือถือส่งประจงแจ้ง | ไม่เคลือบแคลงข้อเค้าสำเนาสาร |
เจ้าญวนทราบวาบใจดังไฟกาล | ว่ายกด่านแดนประเทศในเขตญวน |
ให้ข้าศึกสร้างสมทำข่มเหง | จึ่งรีบเร่งขอรับทัพเสฉวน |
ให้ระงับจับศึกที่ฮึกกวน | มาตั้งฮ้วนหาญใหญ่อยู่ในแดน |
แล้วบอกลิวตายันให้สรรทัพ | ไปโจมจับข้าศึกที่ฮึกแหน |
ลิวตายันยกทหารข้ามดาลแดน | เข้าตีแคว้นแขวงด่านปักกานเจา |
ตั้งรบสู้อยู่สักปีกุลียุค | องค์ลิวรุกรบรายเข้าค่ายเผา |
ลกมันไตแตกสิ้นถิ่นลำเนา | ทหารเล่ากายไล่ตามไปตี |
หลีอาซางวางชีวีในที่รบ | พวกพลอพยพแยกออกแตกหนี |
ทิ้งตำบลด้นดงเข้าพงพี | เที่ยวหลบลี้แล่นออกไปนอกเมือง |
เมื่อกองทัพลิวตายันกระชั้นไล่ | ลกมันไตตกประหม่าจนหน้าเหลือง |
ด้วยทัพจีนจู่มาทันอนันต์เนือง | ก็ยกเนื่องสกัดหน้าซูตายัน |
ระดมพลรณรบบรรจบทัพ | เข้าล้อมจับลกมันไตไล่ถลัน |
ยิงปืนกราดปราดตัดสกัดกัน | ถูกลกมันไตตายวายชีวง |
จับตัวซำซีไทยได้สำเร็จ | ก็สิ้นเสร็จศึกสมอารมณ์ประสงค์ |
ลิวตายันหยุดรบสมทบธง | เข้าดำรงรวมตั้งดูคั่งคับ |
พลข้าศึกที่เข้าทู้ไม่สู้รบ | อพยพยกไปได้เสร็จสรรพ |
ทั้งตัวซำซีไทยผู้นายทัพ | รวมเอากลับไปด้วยหมู่ซูตายัน |
ที่คงทู้อยู่เล่ากายก็หลายเหลือ | ล้วนชาติเชื้อจีนแท้ไม่แปรผัน |
คะเนนับอนันต์นองสักสองพัน | ลิวตายันรวมรับเข้าทัพจร |
ที่ระบาดสาดมาอยู่ป่ารก | ประมาณหกร้อยอาศัยไพรสิงขร |
ตั้งเป็นพวกโจรไพรอยู่ในดอน | เที่ยวราญรอนรุกร้นปล้นสะดม |
บ้างผลัดเพี้ยนเปลี่ยนยี่ห้อออกต่อเนื่อง | ธงแดงเหลืองลายคละเข้าประสม |
เป็นสามโจรเที่ยวค้นปล้นสะดม | ในนิคมญวนสยามต่อตามมา |
แต่ญวนปราบหลาบทลายเป็นหลายหน | ก็ดั้นด้นหนีอาศัยไพรพฤกษา |
พอกองทัพกลับไปมันไพล่มา | ทำพาลาลำพองใจในพนม ๚ะ |
๏ ฝ่ายข้างเรื่องเมืองเล่ากายหมายประสงค์ | ซึ่งใช้ธงดำเดิมเริ่มปฐม |
ได้เชลยทหารเลี้ยงเรียงระดม | เข้าเป็นกรมเดียวตรงกับธงดำ |
รวมระคนพลฉกรรจ์หกพันถ้วน | เป็นกระบวนทัพหน้าของอาหนำ |
บำรุงหัดจัดรับสำหรับทำ | ยุทธกรรมกับไพรีที่บีฑา |
ดูครื้นคึกฮึกหาญสำราญจิต | โดยวิวิธหวังมาดปรารถนา |
ชาวบุรีมีสุขทุกทิวา | พวกพาลาหลาบหนีไม่มีอึง ๚ะ |
๏ ครั้นล่วงปีตรีศกตกมะเส็ง | เกิดการเร่งร้อนเร้าเข้ามาถึง |
ด้วยตือดึกขับขุนนางต่างดันดึง | ขุนนางหนึ่งหนีพรากไปจากญวน |
ถึงซัวเถากล่าวหาว่าตือดึก | คิดหาญฮึกห่างเหจากเสฉวน |
เก็บส่วยสาภาษีที่เมืองญวน | มาประมวลให้ฝรั่งหยั่งไมตรี |
ที่ประณามความสัตย์เห็นตัดขาด | ไม่หมายมาดพึ่งพาหันหน้าหนี |
มิได้ส่งส่วยมากว่าสิบปี | ไปร่ำชี้ชั่วฉาวกล่าวแสดง ๚ะ |
๏ เจ้าเสฉวนป่วนจิตไม่คิดหน่วง | ความทั้งปวงเห็นชัดกระจัดแจ้ง |
เชื่อจริงใจในคดีไม่มีแคลง | พิโรธแรงว่าอานัมไม่คำรบ |
จึ่งจัดทัพขับขันสรรอาสา | สองหมื่นห้าพันคนผจญจบ |
ว่องทงเลงไกวลานว่าการรบ | ที่สองทบชื่อบงชิวธงเลง |
ฟังบังคับรับโอวาทลาคลาดแคล้ว | คุมทแกล้วกลั่นทั่วล้วนตัวเสง |
ถึงเมืองญวนเรียกชื่อยากปากนิงเตง | เข้าตั้งเกงสืบสารการณรงค์ |
ได้ทราบเหตุว่าฝรั่งมาตั้งเนื่อง | อยู่เมืองฮานอยจริงสิ่งประสงค์ |
สมเหมือนคำอานัมชี้คดีตรง | คิดจำนงกำหนดการจะราญรณ |
ทัพฝรั่งตั้งรอไม่ท้อถอย | อยู่ฮานอยทราบความตามนุสนธิ์ |
ว่าจีนยกทัพมารั้งตั้งประจญ | ก็รีบร้นแต่งทูตไปพูดจา |
ว่าฝรั่งตั้งหาญในการนี้ | เพราะคดีเดิมเข็ญเป็นนักหนา |
จึ่งเล่าเรื่องเคืองขัดอัธยา | มีพ่อค้าฝรั่งเศสทุเรศแรม |
อยู่ฮานอยเป็นนายห้างมาสร้างตึก | ตั้งคักคึกคิดก่อเห็นล่อแหลม |
มีโจรจำธงดำล้วนกับญวนแกม | เข้าปนแปมตีค้นปล้นสะดม |
จับฝรั่งพ่อค้าฆ่าเสียสาม | ที่เหลือข้ามคืนไปร้องฟ้องขรม |
จึ่งมาเล่าเจ้าประเทศเขตนิคม | ก็นิ่งอมเอื้อนอำไม่ชำระ |
ผู้ปกครองของฝรั่งจึ่งตั้งทัพ | ให้มาจับโจรที่คิดอิสระ |
ข้างฝ่ายจีนมิได้จองมาพ้องพะ | ทราบเถิดนะในกิจจาอย่าประวิง |
ว่องทงเลงไกวลานฟังสารแสร้ง | ไม่แยกแย้งต่อรบสงบนิ่ง |
เตรียมพหลพลพักอยู่ปักนิง | การทุกสิ่งบอกหนังสือให้ถือไป |
ถึงกรุงจีนแจ้งจริงทุกสิ่งสม | โดยคารมฝรั่งชี้คดีไข |
เจ้าจีนตรึกนึกตรองทำนองใน | จึ่งแต่งให้ซำกงเปาเข้าณรงค์ |
คุมทัพใหญ่ยกมาห้าหมื่นเศษ | สั่งไปรเวตหวังในใจประสงค์ |
เหมือนไม่ต้องข้องขานการณรงค์ | แต่ให้คงคํ้าจุนหนุนองค์ลิว |
อะไรขัดจัดจองให้ต้องที่ | แต่ในทีทำเชื้อเช่นเสือหิว |
ซำกงเปาลาลำดับกองทัพทิว | รีบยกลิ่วเลยเข้าเมืองเล่ากาย |
ตั้งเกลื้อหนุนลิวตายันแล้วสันสั่ง | ให้ไปตั้งเมืองเต้งไตเหมือนใจหมาย |
หกโมงทางห่างฮานอยคอยระคาย | ตั้งเรียงรายรอแฝงไม่แรงรุณ |
ซำกงเปาเข้าปองคอยรองรับ | เพื่อเสียทัพจะโถมเข้าโจมหนุน |
สารพัดจัดเกลื้อคอยเจือจุน | ตั้งทอดทุ่นอยู่กับที่สักสี่เดือน |
ทัพฝรั่งตั้งประดาเข้ามาใกล้ | เมืองเกาใยทางยาตรไม่คลาดเคลื่อน |
ห่างฮานอยสองนาฬิกาเตือน | องค์ลิวเลื่อนทัพประชิดเข้าติดพัน |
รบฝรั่งพังรุกเป็นยุคเข็ญ | ฝ่ายญวนเห็นสองทัพเข้าขับขัน |
แยกพลญวนออกเป็นสองกองฉกรรจ์ | พวกหนึ่งนั้นเข้าข้างนายฝ่ายกุลา |
พวกหนึ่งเข้าลิวตายันปันแผนก | ดูก็แปลกใจจริงกริ่งนักหนา |
ญวนต่อญวนหวนต่อไม่รอรา | เป็นญวนมาตีญวนดูป่วนจริง |
พวกกุลาก็ประดาประดังทัพ | องค์ลิวรับพลรบลงซบกลิ้ง |
ทั้งสองฝ่ายตายดื่นด้วยปืนยิง | ตั้งประวิงทัพสู้อยู่สักปี |
ฝรั่งเสียนายทหารประมาณมาก | ก็เบือนบากถอยไปตั้งอยู่ยังที่ |
เมืองฮานอยเนาทัพลำดับดี | ไม่ต่อตีแต่ตรึกตราหาอุบาย |
ทัพธงดำก็ประดนพลไพร่ | อยู่เกาใยหยุดมั่นไม่ผันผาย |
รักษาการด่านตั้งฟังระคาย | องค์ลิวย้ายยกเร่งมาเต้งไต ๚ะ |
๏ เวลาเมื่อลิวตายันประชันตั้ง | รับฝรั่งรอนรบสบสมัย |
องค์ตือดึกชีพดับลับประลัย | เสียที่ในเมืองอยู่ชื่อฟูเชิน |
ญวนก็ยกเจ้าญวนที่หวนฮึก | เป็นตือดึกครองดินในถิ่นเถิน |
องค์ลิวเจ้าเล่ากายก็หมายเมิน | มิได้เกริ่นกรายรับบังคับญวน |
คงทำการราญรบสมทบเข้า | ซำกงเปาเป็นนายฝ่ายเสฉวน |
สงบทัพยับยั้งตั้งกระบวน | นับประมวลมีเวลาสิบห้าวัน ๚ะ |
๏ ฝรั่งเศสคิดศึกช่างลึกลบ | ปิดทำนบน้ำแดงขึ้นแข็งขัน |
กับน้ำตาวถมพื้นให้ตื้นตัน | ชลาลั่นไหลเข้าเมืองเกาใย |
ท่วมไพร่พลล้นแลกระแสสินธุ์ | ล้มตายสิ้นสู่ลำแม่น้ำไหล |
เครื่องสาตราอาวุธยุทธิไกร | ชลาลัยไหลส่งลงทะเล |
ทั้งเหย้าเรือนเคหาประชาราษฎร์ | พังวินาศน้ำพัดเอาปัดเป๋ |
ถูกอุทกภัยตายออกดายเด | สมคะเนฝรั่งคิดกิจการ |
พวกธงดำที่เหลือตายก็พ่ายกลับ | มาตั้งรับรวมพลพหลทหาร |
อยู่เต้งไตต่อสติดำริการ | ได้ประมาณปีเศษสังเกตดู |
ฝรั่งยกกองทัพมาสับสำ | พวกธงดำก็ประดังออกตั้งสู้ |
เป็นสามารถมิได้ท้อต่อริปู | รบกันอยู่สามเวลาก็ราราย |
ลิวตายันถอยกำลังไม่ตั้งรับ | ก็แตกทัพธงดำระส่ำระสาย |
มารวมรอมพร้อมพหลพลนิกาย | ตั้งค่ายรายรับระเบ็งอยู่เต้งฮึง |
ระยะทางห่างไปไม่ไกลใกล้ | จากเต้งไตโดยพลันไปวันหนึ่ง |
ฝรั่งไม่ไล่กระพือทำอื้ออึง | นิ่งคะนึงเนาหมู่อยู่เต้งไต |
แล้วจัดการบ้านเมืองให้เฟื่องฟุ้ง | คิดบำรุงพลขันธ์อยู่หวั่นไหว |
ตั้งด่านทางกางกันสรรพภัย | มิไว้ใจเกรงริปูจะจู่ตี |
ครั้นจัดแล้วแคล้วคลาโยธาหาญ | ไปต่อต้านข้าศึกไม่นึกหนี |
เดินกระบวนทัพตรงเข้าพงพี | ยกไปตีทัพธงเลงเมืองเต้งปัก |
ว่องธงเลงไกวลานไม่หาญสู้ | ฝรั่งจู่โจมด่านเข้าหาญหัก |
ก็หนีแยกแตกกระจายทิ้งค่ายพัก | กลับไปปักกิ่งแถลงแจ้งกิจจา |
กรุงจีนทราบวาบจิตให้คิดโกรธ | จึ่งปรับโทษลงทัณฑ์บนเกศา |
ว่องธงเลงเกรงข้อมรณา | ก็กินยาพิษทำลายวายชีวี |
ชิวธงเลงปลัดทัพนั้นปรับเขต | เนรเทศขับไล่เข้าไพรศรี |
ไม่ลงราชอาชญาถึงฆ่าตี | ละถิ่นที่สถานลาเข้าป่าไป |
แล้วกรุงจีนจัดการเร่งงานทัพ | ได้พร้อมสรรพพวกพหลพลไพร่ |
ฟองตายันเป็นแม่ทัพรับยกไป | เร่งครรไลรี้พลผจญโจม ๚ะ |
๏ ฝ่ายกองทัพฝรั่งกำลังเร่ง | ไล่ธงเลงเลยด่านทำหาญโหม |
ถึงเมืองเลียงซางศึกทำครึกโครม | แต่ไม่โรมรอรั้งตั้งกระบวน |
แต่เมืองนี้เป็นที่มั่นประจันประเทศ | เข้าจดเขตแดนทำเลเมืองเสฉวน |
อยู่ระหว่างกลางเนื่องต่อเมืองญวน | ฝรั่งรวนรอพักสำนักพล ๚ะ |
๏ ฟองตายันครั้นเมื่อเดินกองทัพ | ได้ทราบสรรพข้อความตามนุสนธิ์ |
ว่ากุลาเลยล้ำล่วงตำบล | ก็เร่งพลรบโรมเข้าโจมตี |
ทัพฝรั่งตั้งต้านทานไม่หยุด | ทัพจีนรุดเร่งรบไม่หลบหนี |
ฝรั่งแตกแหลกทลายพ่ายโยธี | จีนตามตีตายกองสักสองพัน |
ฝรั่งร่นพ้นประเทศเขตปักกิ่ง | มาปักนิงตั้งทัพอยู่คับขัน |
เสียอาวุธยุทธกรรมที่สำคัญ | ปัสตันปืนลูกแตกแปลกชนิด |
สี่สิบสามกระบอกถ้วนจำนวนนับ | แล้วยังจับนายฝรั่งได้ดังจิต |
อีกสามคนฆ่าตายวายชีวิต | แล้วยกติดตามไปไล่ประจญ |
เข้าล้อมเมืองปักนิงยิงกระหนาบ | ไม่เข็ดหลาบรบรับอยู่สับสน |
ทั้งสองทัพขับคู่สู้ประจญ | จีนต้อนพลล้อมฝรั่งอยู่รั้งราย ๚ะ |
๏ ข้างกองทัพทางฝ่ายเล่ากายเล่า | ซำกงเปาตั้งปึ่งดูผึ่งผาย |
แต่ให้เต้งธงเลงซุ่มคุมนิกาย | ทั้งไพร่นายนับยกมาหกพัน |
พบฝรั่งตั้งอาศัยอยู่ในที่ | เมืองสามคี้คุมทัพอยู่ขับขัน |
ก็เข้าห้อมล้อมฝรั่งตั้งประจัน | ลิวตายันแยกลัดสกัดทาง |
เพื่อมิให้ฝรั่งเหิมมาเติมทัพ | คอยตั้งรับรบตัดให้ขัดขวาง |
อยู่จ้อหยกย่างกะระยะทาง | โมงหนึ่งห่างกว่าสนามเมืองสามคี้ |
ทัพฝรั่งตั้งสู้อยู่ในค่าย | ต่างเรียงรายรอรบไม่หลบหนี |
ตั้งประชิดติดต่ออยู่รอรี | ประมาณสี่ห้าเดือนไม่เลื่อนลด ๚ะ |
๏ ทัพฝรั่งทางฮานอยซึ่งคอยอยู่ | ครั้นได้รู้ว่าจีนล้อมไว้พร้อมหมด |
จึ่งจัดทหารดาลเดือดไม่เงือดงด | โดยกำหนดโยธาจากฮานอย |
ถึงจ้อหยกยกโถมเข้าโจมจ้ำ | ทัพธงดำเสียท่าก็ล่าถอย |
มาเมืองเล่ากายตั้งกำลังคอย | รีบถ่ายทอยทางคิดกิจการ ๚ะ |
๏ ฝรั่งตีธงดำล่าไม่รารบ | ตีตลบทัพที่ล้อมป้อมขนาน |
เต้งธงเลงเหลือกำลังไม่ตั้งทาน | พาทหารหนีเข้าเมืองเล่ากาย |
ทัพฝรั่งตั้งรวมเข้าสวมที่ | เมืองสามคี้สมคิดในจิตหมาย |
ประชุมทัพรับพหลพลนิกาย | ทั้งไพร่นายเนาสถานสำราญรมย์ ๚ะ |
๏ อีกทัพหนึ่งซึ่งล้อมอยู่พร้อมพรัก | เมืองเต้งปักปองรบประสบสม |
ฟองตายันมั่นค่ายรายระดม | ไม่ล่มจมตั้งประจำทุกค่ำคืน |
ทัพฝรั่งที่ตั้งอยู่สามคี้ | ไม่ยกรี้พลกล้าไปฝ่าฝืน |
สงบทัพขับพลคอยยลยืน | จังกาปืนกำกับป้อมอยู่พร้อมกัน ๚ะ |
๏ ฝ่ายพวกจีนสามทัพที่กลับหนี | มาอยู่ที่เมืองเล่ากายคอยหมายมั่น |
เต้งธงเลงกับหัวหน้าลิวตายัน | อีกหนึ่งนั้นนามบ่งซำกงเปา |
ทั้งสามนายรายราโยธาพัก | หยุดสำนักอยู่เล่ากายเป็นนายเถา |
ประมาณสี่ปีคาดเป็นลาดเลา | ในเมืองเล่ากายโศกด้วยโรคราญ |
เป็นไข้พิษฤทธิ์ร้ายตายวินาศ | ดังฟ้าฟาดอสุนีที่ประหาร |
เสียสักสามส่วนหมายที่วายปราณ | ที่เหลือกาลเก็บประมวลสักส่วนเดียว |
ทัพฝรั่งก็ยังรอเป็นข้อเค้า | ซำกงเปาป่วนคิดในจิตเสียว |
ทหารร่วงโรยราทำหน้าเซียว | ไม่กรูเกรียวตรอมใจด้วยไข้กิน |
จึงเล้าโลมโน้มน้าวชาวกวางตุ้ง | ตั้งบำรุงรวมได้ดังใจถวิล |
ทั้งกวางไซได้บรรจบทบโยธิน | มาร่วมถิ่นถือตรงเป็นธงดำ |
ได้พวกพลมาประชุมไว้ชุ่มชื่น | สักสองหมื่นเศษสลับกันสรรพสำ |
ให้รักษาเมืองเล่ากายจ่ายประจำ | ทุกคืนค่ำคอยเหตุสังเกตการณ์ |
ข้างฝ่ายกองฟองตายันนั้นตั้งนิ่ง | ล้อมปักนิงแน่นไว้ไม่ไขขาน |
ต่างตั้งมั่นขันกล้ารักษาการ | ไม่ต่อต้านตั้งประชิดด้วยติดพัน |
พอได้รับหนังสือเบิกบอกเลิกทัพ | ให้ยกกลับไปประเทศเข้าเขตขันธ์ |
ผู้ปกครองสองพาราได้ว่ากัน | ดินญวนนั้นยกให้นายฝ่ายกุลา |
ฟองตายันแจ้งจริงสิ่งประสงค์ | บอกซำกงเปาไปว่าให้หา |
กองทัพกลับซัวเถาเข้าพารา | กับลิวตายันเจ้าเมืองเล่ากาย |
จึ่งเลิกทัพกลับหลังยังปักกิ่ง | เป็นสิ้นสิ่งศึกสมอารมณ์หมาย |
ประมาณปียี่สิบสามตามธิบาย | ที่จีนกรายกรูมาในอานัม |
เพราะเหตุที่มีศึกมาฮึกหาญ | เข้าต่อต้านตีแดนแล่นถลำ |
มาหักหาญราญณรงค์กับธงดำ | แล้วเที่ยวล้ำล่วงเขตประเทศญวน |
ยังเลยลามสยามหล้าอาณาจักร | ล้วนพืชพรรคพวกเผ่าเหล่าเสฉวน |
อันความเดิมเริ่มรบหลายทบทวน | ขอประมวลหมายเค้าพอเข้าใจ |
แต่รี้พลคนที่มาสามิภักดิ์ | เข้าสมัครหมายจิตพิสมัย |
อยู่กับลิวตายันก็ครรไล | ที่เขาไม่สมัครจรก็ผ่อนตาม |
อยู่ดินญวนสวนส่อต่อปักกิ่ง | กับตองกิงแฝงเฝือออกเหลือหลาม |
เที่ยวอาศัยในประเทศทุกเขตคาม | ด้นดั้นตามใจตนทุกหนทาง ๚ะ |
๏ ฝ่ายฝรั่งตั้งบำรุงผดุงหมาย | พวกเล่ากายแจ้งกิจคิดขนาง |
ต่างย้ายแยกแตกออกทุกซอกทาง | ก็เที่ยวคว้างควบคุมเป็นกลุ่มไป |
ตามเมืองน้อยบ้านนาที่ป่าเขา | ชวนกันเข้าพักพาอยู่อาศัย |
จนล่วงลัดตัดลุถึงจุไทย | ตั้งเป็นใหญ่ตัวยงคือองค์บา |
เมื่อแรกเริ่มเดิมทีที่อาศัย | อยู่กวางไซแซ่ลินจีนอาสา |
ชื่อก๊กเฮงเตงเถาเหล่าโยธา | คุมคณาร้อยคงเป็นธงดำ |
อีกพวกหนึ่งนามหมายงายเล่าแย้ | เป็นจีนแท้รวมรับเป็นสรรพสำ |
อยู่เมืองม่วยหมายดินถิ่นอานัม | มิล่วงล้ำเลื่อนไปให้ไกลกัน |
กองหนึ่งอยู่เมืองลามาร้อยเศษ | ว่าคงเขตญวนซัดเขาจัดสรร |
ชื่อลิวเจ๊กเซงจำเป็นสำคัญ | ล้วนพวกพันธุ์แถวทางเมืองกวางไซ |
เป็นทหารราญรุดอาวุธถือ | สำหรับมือริมิงตันจัดสรรให้ |
ซำกงเปาเมื่อจะกลับกองทัพไป | ก็ยกให้สำหรับตัวทั่วทุกคน |
ออกแยกย้ายขยายอยู่เป็นหมู่ย่อย | แห่งละน้อยเหลือนับดูสับสน |
ประมาณยากมากมายหลายตำบล | เห็นสุดจนที่จะแจงให้แจ้งใจ |
ยังพวกพันลันซีที่ตีแตก | ก็ย้ายแยกพวกพากันอาศัย |
เที่ยวรุกร้นปล้นกินในถิ่นไพร | ทำยุ่งใหญ่ยกสมทบเที่ยวรบราญ |
หัวหน้าชื่อยิบไต้ได้มาตั้ง | มีกำลังธงเหลืองเนื่องขนาน |
สามพันคนด้นพามาเมืองลาน | เที่ยวก่อการโจรกรรมทำคึกคัก |
อีกพวกหนึ่งนามขนานชื่อมานยี่ | กำลังสี่ร้อยเนื่องมาเมืองตึก |
ฝั่งน้ำแท้ทิศบูรพาชลาลึก | มาตั้งคึกตามเขตประเทศญวน |
แต่ยิบไต้ใจทะนงทำองอาจ | แบ่งพลลาดหาเสบียงเลี้ยงกันป้วน |
ตีบ้านเล็กเมืองลับเที่ยวทับทวน | ทำรบกวนก่อเข็ญไม่เอ็นดู |
พวกผู้รั้งกรมการลนลานวุ่น | กับท้าวขุนขันกำลังออกตั้งสู้ |
ก็ไม่ต้านทานทัดพวกศัตรู | ต้องยอมทู้ถอนทัพเข้ารับเกณฑ์ |
ตกเป็นกองลำเลียงส่งพวกธงเหลือง | ทั้งเจ็ดเมืองร้อนร้าวเป็นกราวเขน |
คือเมืองม่วยเมืองลามาเข้าเวร | เป็นดินเดนแด่นฮ่อเที่ยวต่อตี |
กับเมืองมกเมืองลำแลเมืองวัด | อ้ายฮ่อปัดใช้ขนเสียป่นปี้ |
ทั้งเมืองซางเมืองฮุงเมืองปรุงไพรี | อยู่ในที่บังคับคอยรับการ |
พวกที่ทู้อยู่มันทำเสียกรำกราก | ต่างเบือนบากหนีไปเข้าไพรสาณฑ์ |
ทิ้งถิ่นที่ลี้หลบเที่ยวซบซาน | หอบลูกหลานครอบครัวกันงัวเงีย |
ถ้าฮ่อเห็นจับเป็นไปใช้เช่นสัตว์ | แม้นฝึกหัดไม่ฮ้อปาดคอเสีย |
ที่ยังสาวสรรค์ไว้ให้เป็นเมีย | มาปัวเปียโลมเล้าทำเคล้าคลอ |
พวกท้าวขุนขุ่นเคืองทุกเมืองหมาย | ไปหาฝ่ายญวนฟ้องแล้วร้องขอ |
ให้จับจีนโจรฉกาจไปปาดคอ | มันเที่ยวต่อตีกินในถิ่นแดน |
ข้างฝ่ายญวนก็มีทัพกับฝรั่ง | พะว้าพะวังการทั้งปวงที่หวงแหน |
จึ่งทิ้งให้โจรจีนมาหมิ่นแคลน | อยู่เขตแคว้นแขวงนั้นทุกวันมา ๚ะ |
๏ โจรยิบไต้ใจเติบกำเริบร้าย | ใช้ธงลายแบ่งกำลังออกตั้งหน้า |
ชื่อสามปิวเป็นแม่ทัพกำกับมา | คุมโยธาพันเศษล่วงเขตคัน |
ตีบ้านเล็กเมืองลับยับระย่อ | ถึงเชียงฆ้อสบแอดเที่ยวแผดผัน |
จนล่วงล้ำตำแหน่งแขวงหัวพัน | เข้าประจัญโจรกรรมเที่ยวย่ำยี |
พวกท้าวขุนที่เป็นข้าอาณาจักร | ต่างแยกยักอพยพเที่ยวหลบหนี |
ถึงประเทศเขตแคว้นแดนบุรี | เที่ยวหลบลี้ซุ่มตัวด้วยกลัวภัย |
บ้างนิ่งจนทนทู้อยู่กับฮ่อ | จะคิดต่อตีกู้สู้ไม่ไหว |
พวกธงเหลืองธงลายก็หมายใจ | คิดการใหญ่ยกกำลังเที่ยวตั้งก๊ก ๚ะ |
๏ ครั้นล่วงกาลนานมาเที่ยวคลาคลาด | เมื่อศักราชปีจอเป็นฉอศก |
สามปิวย้ายคลายคลาคณายก | ไปตั้งก๊กเก็บเสบียงทุ่งเชียงคำ |
เจ้าเมืองพวนสวนทัพเข้าจับฮ่อ | ได้ออกต่อรบรับกันสรรพสำ |
พวกสามปิวแม่นปืนยืนประจำ | ยิงกระหน่ำขนานมาหน้าโยธี |
ถูกเจ้าเมืองพวนบรรลัยในสมร | พลนิกรแตกพ่ายกระจายหนี |
พวกธงลายรายพลเที่ยวปล้นตี | ตั้งค่ายที่ทุ่งเชียงคำนั้นร่ำมา |
บ้างแยกก๊กยกไปตั้งต่างตำแหน่ง | ใช้ธงแดงสำหรับโดนเป็นโจรป่า |
ใครไม่หาญราญสู้หมู่บีฑา | กำเริบร่าเริงรื่นทุกคืนวัน |
ล่วงเวลามามีได้ปีเศษ | อ้ายต้นเหตุหัวหน้าตัวกล้ากลั่น |
คือสามปิวที่เป็นใหญ่ในอรัญ | ยกพลพันไปปล้นพวกคนแม้ว |
ตำบลหนใดไม่ทราบแน่ | ได้รู้แต่สามปิวนายนั้นตายแซ่ว |
ก็ถอยทัพกลับหนีไม่วี่แวว | ครั้นมาแล้วหองให้ฮ่อไกวซิง |
เป็นหัวหน้าคุมกำลังไว้ทั้งสิ้น | แล้วพากันรบพุ่งทำสุงสิง |
เสมอมามีแต่ค้นเที่ยวปล้นชิง | ช่างยุ่งยิ่งยุคเข็ญที่เป็นมา ๚ะ |
๏ แล้วมีพวกธงแดงกำแหงหาญ | คุมพวกพาลพลขันธ์สักพันห้า |
ไปเวียงจันท์เข้าประจญปล้นคามา | ชาวชนานั้นพ่ายกระจายพัง |
ราษฎรร้อนร้ายด้วยอ้ายฮ่อ | มันเที่ยวต่อตีไล่มิไว้หวัง |
ที่ไหนสุขรุกร้นปล้นประดัง | แล้วก็ตั้งค่ายกองอยู่หนองคาย ๚ะ |
๏ ในครั้งนั้นท่านพระยามหาอำมาตย์[๑๔] | ไปพิฆาตข้าศึกที่ฮึกหาย |
อ้ายฮ่อแหกแตกหนีชีวีวาย | วิ่งกระจายเจิ่นพาเข้าป่าไป |
รวบรวมพรรคพวกอยู่เป็นหมู่เลี้ยง | ที่ทุ่งเชียงคำเก่าเข้าอาศัย |
บ้างเลยไปบ้านลาดฮ้วงกระทรวงไพร | เที่ยวล้อมไล่รบลาวชาวพนา ๚ะ |
๏ ครั้นปีกุนจุลศักราชเสร็จ | พันสองร้อยสามสิบเจ็ดได้แจ้งว่า |
กองทัพใหญ่ในกรุงศรีอยุธยา | ยกขึ้นมาหลายทางวางประจำ |
พระยาพิไชย[๑๕]ทับหน้ามาสกัด | คุมขนัดทัพหนึ่งดูขึงขำ |
ยกมาลาดบวกเกณฑ์เวรประจำ | จะตั้งทำยุทธฮ่อที่ก่อการ |
แม่ทัพหลวง[๑๖]ล่วงมาตั้งประดังหมาย | อยู่ปากลายลำของกองขนาน |
กิตติศัพท์ลือดังกังสดาล | ออกนามท่านสะท้านกลัวไปทั่วทิศ |
ประสาทศักดิ์อรรคมหาเสนาหมาย | ว่าการฝ่ายเหนือขาดราชกิจ |
มีที่สองรองเรียงอยู่เคียงชิด | โปรดประสิทธิ์ศักดิ์สำคัญในสัญญา |
บัตรบอกแจ้งแห่งให้ในที่พระ | สุริยะภักดี[๑๗]มียศถา |
แม่ทัพหลวงให้รับคุมทัพมา | เป็นกองหน้านำล่วงหลวงพระบาง ๚ะ |
๏ ทัพข้างใต้ตอนหนึ่งมาขึงตั้ง | คุมกำลังลัดเลาะค่อยเสาะสาง |
สืบข่าวฮ่อรอราดูท่าทาง | มาแรมร้างในบุรีราชสีมา |
เป็นสามทัพสี่ทางเที่ยวล้างไล่ | ทั้งนายไพร่ฮึกแหนมาแน่นหนา |
พระยาพิไชยได้ทีก็กรีธา | ยกพลาพลขันธ์ประจัญโจร |
ธงแดงฮ่อรอรับอยู่คับขัน | ออกยืนลั่นปืนยิงบ้างวิ่งโผน |
พลสองฝ่ายตายรอบอยู่ขอบโดน | อ้ายพวกโจรจีนหลบสงบพัก |
ไม่ต่อสู้ทู้ขอทำน้ำพิพัฒน์ | โดยความสัตย์เสร็จพร้อมยอมสมัคร |
เลิกการยุทธรุดณรงค์คงสำนัก | ก็ตั้งพักพลในไพรรำพึง |
จีนพวกนี้มิรู้ว่ามาแต่ไหน | ชื่อนายใหญ่นั้นประจักษ์ว่าปักอึ้ง |
ใช้ธงแดงดาษแดแลตะลึง | ลอดทะลึ่งลงมาตั้งแต่ครั้งไร ๚ะ |
๏ ครั้นทัพพระสุริยะภักดีล่วง | จากเมืองหลวงพระบางมาหาช้าไม่ |
ถึงลาดบวกลาดฮ้วงกระทรวงไพร | พระยาพิไชยแม่ทัพมารับรอง |
แล้วชี้แจงแจ้งคดีที่ตีฮ่อ | จนมันขอทู้ทำคำสนอง |
ถือน้ำพิพัฒน์สัตยาวาจาจอง | จะขอปองเป็นข้าอย่าราคี |
ท่านพระสุริยะภักดีสดับ | ไม่ยอมรับวาจาจังพวกตั้งหนี |
สัญชาติฮ่อทรลักษณ์มันภักดี | แล้วไม่มีสัตย์ประสงค์ตรงกับใคร |
มันจวนตัวก็ทู้อยู่ต่อหน้า | พอลับตาตามค้นปล้นอีกใหม่ |
จะละเลยเฉยตั้งฟังมันไย | เร่งพลไพร่พรูตรงตีธงแดง |
พวกปักอึ้งตึงตังกำลังเผลอ | มัวละเมอไมตรีไม่มีแหนง |
ทัพกระโจมเข้าประจัญโรมรันแรง | ก็พลัดแพลงผลุนหนีไม่รีรอ |
ทั้งสองค่ายทลายแหลกออกแตกพวก | ค่ายลาดบวกลาดฮ้วงทิ้งออกวิ่งปร๋อ |
ที่เจ็บป่วยไปมิทันฟันเสียพอ | แล้วไล่ต่อตามไปมิได้ละ |
ถึงทุ่งเชียงคำตั้งกำลังรบ | ไม่อพยพย้อนมาคิดอิสระ |
เข้าต่อต้านหาญฮึกนึกชนะ | มิทันกะพริบตาก็ล่าไป |
เที่ยวพันพัวอยู่หัวพันอนันต์แน่น | ในเขตแว่นเวียงลำเนาเขาไศล |
ครั้นฮ่อแตกแล้วกลับกองทัพไป | อ้ายฮ่อไกวซิงหวนกลับทวนมา |
พวกลาวพวนจวนตัวกลัวฮ่อจับ | ไปต้อนรับทำอารีดีนักหนา |
ขออยู่ด้วยช่วยยากฝากกายา | เข้าพึ่งพาพิงพักด้วยรักตัว |
ฮ่อไกวซินสรรเอาพวนแต่ล้วนเด็ก | ไว้หางเจ๊กจัดเล่นเช่นเจ้าสัว |
ล้วนแซ่ลาวพวนสะพรั่งตึ้งนั่งซัว | เป็นกองตั้วเหี่ยเนื่องอยู่เมืองพวน ๚ะ |
๏ พระยาพิไชยได้แจ้งแห่งรหัส | ว่าฮ่อจัดจีนลาวทำห้าวหวน |
จึ่งแต่งทัพกลับรบมาทบทวน | คุมกระบวนบ่ายหน้าเข้าราวี |
ตัวนายทัพที่มารอต่อสมร | พระนครไทยแต่งตำแหน่งที่ |
เข้าโรมรุกบุกบันกระชั้นตี | สิ้นชีวีวางวายด้วยรายรบ |
พวกไพร่พลพ่ายพากันล่าลับ | อ้ายฮ่อกลับลุกกระพือฮือตลบ |
ลาวพวนไพร่ในเชียงคำเข้าสำทบ | เป็นกองรบรวมอยู่ในฮ่อไกวซิง ๚ะ |
๏ ฝ่ายยิบไต้ซึ่งตั้งกำลังกล้า | อยู่เมืองลาวเขตจุไทยใจสุงสิง |
แต่กำลังรุกร้นเที่ยวปล้นชิง | ทำใหญ่ยิ่งหยาบยุ่งระลุงลาน |
แล้วแยกพวกธงรายกระจายเปลื้อง | เป็นธงเหลืองลอบใช้ให้วิตถาร |
ตัวนายชื่อลอลีเที่ยวตีลาญ | มีพวกพาลใหญ่น้อยสามร้อยคน |
เที่ยวคลุกคลีตีรายมาหลายแห่ง | ถึงเมืองแถงยกโถมเข้าโจมปล้น |
โลยยิดเจ้าเมืองไม่มีไพร่พล | ต้องนิ่งทนยอมทู้ให้อยู่เมือง |
ฮ่อลอลีมิไว้ใจสนิท | จับโลยยิดล้างชีวาตม์ให้ขาดเปลื้อง |
พลไพร่ในพาราคณาเนือง | ต่างทิ้งเมืองออกหนีจากที่ไป |
อพยพยกสิ้นตั้งถิ่นฐาน | หาวังม่านมุ่งหน้าไปอาศัย |
อยู่เมืองมูนเขตของสิบสองจุไทย | หนทางไปสองเวลาต้องราแรง |
นอนแรมทางค้างเนินเถินทุเรศ | ถิ่นประเทศแถวเนื่องต่อเมืองแถง |
เข้าหาวังม่านชี้คดีแสดง | อยู่ตำแหน่งสำนักนั้นด้วยกันมา |
ตัววังม่านยังมีอยู่ได้รู้จัก | เขารับศักดิ์เสริมศรีมียศถา |
เป็นผู้รั้งเมืองแถงตั้งแต่งมา | ชื่อพระสวามิภักดิ์ประจักษ์ใจ |
มีสร้อยเสริมเติมนามสยามเขต | ได้ประเวศมากับกองทัพใหญ่ |
พระสวามาอยู่นั่นในทันใด | จึ่งซักไซ้สอบถามเอาความจริง |
ว่าเวลานั้นธงเหลืองอยู่เมืองแถง | รู้จริงแจ้งจดไว้ได้ทุกสิ่ง |
ฮ่อลอลีทำเล่ห์ประเว่ประวิง | มาตั้งนิ่งอยู่นานประมาณปี ๚ะ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้าพารามาลาประเทศ | ครองนิเวศวรลักษณ์เป็นศักดิ์ศรี |
ดำรงรักษาลาวชาวบุรี | นครศรีสัตนาวราเรือง |
จึ่งแต่งเจ้าราชวงศ์ทรงพหล | ให้คุมพลโยธีตีธงเหลือง |
ลอลีแหลกแตกสันอนันต์เนือง | ก็ทิ้งเมืองแถงหนีหลบลี้ไป |
ตั้งซ่องสุมคุมกันประชันก๊ก | เป็นหมู่หมกเมืองลาที่อาศัย |
ครั้นฮ่อแตกแหลกกลับกองทัพไป | เมืองแถงไร้ร้างที่ไม่มีคน |
ลอลีเลาะเสาะไปเที่ยวไต่ถาม | ประมาณสามเดือนเศษทราบเหตุผล |
ว่าเมืองแถงทิ้งร้างบางตำบล | ก็พาพลมาสถานบ้านเชอเลอ |
เป็นเขตแคว้นแดนดินถิ่นเมืองแถง | เที่ยวตีแย่งชิงปล้นคนเสมอ |
ฝ่ายญวนแจ้งแต่งขุนนางต่างอำเภอ | สืบเสนอข้อเข็ญที่เป็นมา |
ชื่อองค์ตูเข้ามาตั้งยังสถาน | ที่วังม่านอยู่อาศัยได้ปรึกษา |
รวมพวกพลคนสมัครที่พรรคพา | ประมาณห้าร้อยตั้งกำลังแรง |
จึ่งยกพวกพลไปด้วยใจหวัง | เข้าประดังรบลอลีที่เมืองแถง |
เป็นสองวันขันสู้อยู่กลางแปลง | ต่างต่อแย้งยิงปืนเสียงครื้นครึก |
พวกลอลีหนีพาโยธาแยก | ออกตื่นแตกหลีกตัวด้วยกลัวศึก |
วังม่านคุมพลไล่ไปคักคึก | อึกทึกทัพเนื่องไปเมืองลำ |
ลอลีหวนจวนทันประจัญรับ | วังม่านทับโถมยิ่งวิ่งถลำ |
ถูกลอลีตีอกหกคะมำ | ลงล้มคว่ำอยู่กับที่ชีวีวาย |
ฮ่อพหลพลไพร่เข้าไพรสาณฑ์ | พวกวังม่านสมจิตที่คิดหมาย |
เข้าเมืองแถงพักสถานสำราญกาย | เป็นสองฝ่ายด้วยองค์ตูอยู่จัดแจง |
จึ่งแต่งตั้งวังม่านสารประสงค์ | เป็นกายตงรักษาพาราแถง |
แต่องค์ตูอยู่ด้วยช่วยจัดแจง | ในเขตแขวงนิคามนั้นสามปี ๚ะ |
๏ ข้างฝ่ายฮ่อธงเหลืองอยู่เมืองตึก | ตั้งคักคึกตัวกวานชื่อม่านยี่ |
กับยิบไต้ใจต่างทางไมตรี | ก็แบ่งรี้พลแยกออกแตกกอง |
ม่านยี่ยกพวกพาเข้าอาศัย | หาท้าวไลแจ้งจิตที่คิดหมอง |
ขอกำลังตั้งรบสมทบกอง | ยกพวกพ้องพาเนื่องมาเมืองลา |
ตรงเข้าตียิบไต้นายธงเหลือง | ด้วยคิดเคืองแค้นขัดสหัสสา |
รบกันเองเครงครื้นพื้นสุธา | ต่างแตกบ่าบากเบือนเที่ยวเชือนแช |
ฝ่ายท้าวไลเห็นกำลังฮ่อพลั้งพล่าน | จึ่งแต่งสารขอกองทัพหนองแส |
ให้ปราบโจรจีนฮ่อที่กอแก | เที่ยวแตกแพร่พรูปล้นพลเมือง |
หนองแสแจ้งแต่งพหลพลทหาร | มาต่อต้านรณรงค์พวกธงเหลือง |
สามร้อยคนพลที่พามาแต่เมือง | เข้าหนุนเนื่องสมทบทัพกับไทยไล |
นามแม่ทัพหนองแสประสงค์ | ชื่อจงทงคุมทัพกำกับไพร่ |
ม่านยี่ฮ่อนำจงทงยกตรงไป | ตียิบไต้ธงเหลืองที่เมืองลา |
ส่วนกายตงนั้นก็ตั้งยังเมืองแถง | ครั้นได้แจ้งจัดทัพรับอาสา |
ยกพหลพลกำลังประดังมา | ยังเมืองลาห้อมล้อมเข้าพร้อมกัน |
พวกยิบไต้ใจกล้าไม่ว้าหวาด | โดยสามารถหมายสู้เป็นคู่ขัน |
ทั้งสองฝ่ายตายยับนับอนันต์ | ต่างตั้งมั่นทัพพักอยู่สักปี |
พลเมืองเคืองเข็ญเห็นวิบัติ | จึ่งคิดจัดแจงการส่งสารศรี |
ขอกองทัพญวนมาช่วยราวี | ปราบไพรีระงับร้อนให้ผ่อนเย็น |
เจ้าเมืองญวนครวญใคร่ในลิขิต | ว่าฮ่อติดตีแดนสุดแสนเข็ญ |
จึ่งจัดคนพลพันสรรประเด็น | แต่ล้วนเป็นทหารเก่าเมืองเล่ากาย |
ซึ่งแม่ทัพกำกับมาน่าถวิล | กวานเล่งบินบอกแจ้งตำแหน่งหมาย |
เป็นคนญวนควรร่ำคำภิปราย | ทหารรายรณรงค์พวกธงดำ |
ทัพญวนได้ไคลคลาเข้ามาถึง | ตั้งค่ายขึงแข็งทัพไม่สรรพสำ |
พวกยิบไต้ใจเต้นเห็นธงดำ | ไม่อาจทำยุทธกิจด้วยคิดกลัว |
กวานเล่งบินจินตนาเห็นข้าศึก | ไม่คักคึกขนพองสยองหัว |
จึ่งเกลี้ยกล่อมยอมสมัครเข้าพักพัว | กวาดครอบครัวกลับไปพลันสองพันเลย |
ครั้นญวนกลับทัพไปพอไกลที่ | ฮ่อที่หนีซุ่มหน้าไม่ช้าเฉย |
อีกสักสามร้อยคนไม่ล้นเลย | ด้วยเขาเคยข้างพาลสันดานเดียว |
หัวหน้านายหมายคงเป็นธงเหลือง | ชื่อกอเจียงใจกล้าเหมือนม้าเฉียว |
มีฝีมือลือลั่นสนั่นเจียว | พาพวกเที่ยวท่องทั่วในหัวพัน |
แต่ม่านยี่นี้ท้าวไลให้รักษา | คุมโยธาพักพหลพลขันธ์ |
อยู่เมืองวัดจัดแจงคิดแบ่งปัน | ตั้งขอบคันเขตคามตามแต่ใจ |
พวกจงทงท้าวไลให้มาสร้าง | อยู่เมืองบางแบ่งถิ่นที่ดินให้ |
ที่แตกสันดั้นดงเข้าพงไป | พวกยิบไต้ตั้งเริ่มเป็นเดิมมา |
แล้วแยกย้ายผายผันปันเป็นหมู่ | เที่ยวตั้งอยู่หย่อมย่านชานพฤกษา |
เป็นผู้ร้ายรายปล้นคนไปมา | ในอาณาเขตสยามเที่ยวลามลวน ๚ะ |
๏ ฝ่ายท้าวไลได้ฮ่อก็รับเลี้ยง | สิ้นเสบียงเบือนพักตร์คิดหักหวน |
ทั้งขัดทรัพย์จับจ่ายหลายกระบวน | จึ่งคิดทวนทบมาหาจงทง |
ยืมเงินไปใช้สอยเสียย่อยยับ | ไม่คิดกลับคืนตามความประสงค์ |
กลับให้คนลอบมาฆ่าจงทง | ชีวิตปลงปลดเปลื้องอยู่เมืองบาง |
พวกไพร่พลยลเหตุสังเกตหมาย | มาฆ่านายนึกตามเนื้อความหมาง |
ก็ทราบว่าท้าวไลทำใจจาง | จึ่งคิดล้างเล่ห์แก้ที่แชเชือน |
ไปสถานม่านยี่ที่เมืองวัด | แจ้งกระจัดความเล่าตามเค้าเงื่อน |
ม่านยี่ทราบปราบจิตคิดสะเทือน | ก็ชวนเพื่อนพวกพามาหัวพัน |
เข้ารวมรอมพร้อมทัพกับธงเหลือง | ฮ่ออาเจืองแจ้งกิจที่ผิดผัน |
พร้อมกำลังพังทลายเมืองควายพลัน | เข้าประจัญจับกลพวกคบพาล |
พวกท้าวขุนวุ่นวายไม่หมายสู้ | เข้ายอมทู้ยกดินให้ถิ่นฐาน |
ฮ่ออาเจืองเคืองจริงไม่นิ่งนาน | ยกล่วงด่านเลยแดนด้วยแค้นใจ |
ตีวังม่านที่มาตั้งยังเมืองแถง | ได้ต่อแย่งยิงกันอยู่หวั่นไหว |
ข้างเมืองควายได้ข่าวว่าท้าวไล | คิดขัดใจเจ้าเมืองด้วยเรื่องทู้ |
จึ่งลอบให้คนมาฆ่าเขาเสีย | เพราะเข้าเกลี้ยกล่อมศึกไม่นึกสู้ |
พวกธงเหลืองหลามล้อมเข้าพร้อมพรู | เป็นสองหมู่หมายมาดพิฆาตคึก |
ให้โอ้ยซำกำกับเป็นทัพใหญ่ | ตีเมืองไลเลยโถมเข้าโจมศึก |
ฮ่ออาเจืองตีเมืองแถงว่าแหงฮึก | เป็นสองศึกสู้ประดังกำลังแรง |
อาเจืองฮ่อต่อติดประชิดรบ | ตีตลบล้อมเนื่องเข้าเมืองแถง |
พวกวังม่านต้านต่อคิดท้อแรง | ทิ้งตำแหน่งหนีหน้าเข้าป่าไป |
อาเจืองตั้งยั้งทัพไม่สรรพสำ | พวกโอ้ยซำหนุนเนื่องตีเมืองไล |
แตกวินาศสาดสรรพด้วยทันใด | ตัวท้าวไลหนีเนื่องไปเมืองแต ๚ะ |
๏ ฝ่ายวังม่านดาลเดือดไม่เหือดหาย | จึ่งทำป้ายเขียนความตามกระแส |
ให้คนถือป้ายส่งลงมาแปล | ถวายแก่องค์ท้าวเจ้านคร |
ซึ่งเป็นใหญ่ในคณามาลาวะ | เมืองหลวงพระบางแจ้งแห่งอักษร |
ขอให้แต่งกองทัพไปรับรอน | อ้ายฮ่อจรโจรจะตั้งเข้านั่งเมือง |
แล้ววังม่านพล่านผลุดหลุดทะลึ่ง | ไปเต้งฮึงชี้แจงแสดงเรื่อง |
ขอทัพญวนชวนพาให้มาเมือง | ตีอาเจืองคิดจับให้อับจน |
เมืองญวนรับสดับสารวังม่านสิ้น | ให้เล่งบินเบิกทัพโดยสับสน |
ยกธงดำนำทหารมาราญรณ | รีบเร่งพลพาประดังมาตังตึง |
นับประมาณพลไม่น้อยหกร้อยเศษ | เร่งทุเรศแรมอรัญก็ทันถึง |
เข้าเมืองไลตีแหลกฮ่อแตกอึง | ไล่ตะบึงหนีระบาดไม่อาจรอ |
รักชีวีหนีหน้ามาเมืองแถง | เที่ยวแอบแฝงเฝือป่าทำหน้าจ๋อ |
กองทัพญวนยกไล่มิได้รอ | ไล่ตีต่อรบร่ำกระหน่ำไป |
ฮ่ออาเจืองธงเหลืองแตกไม่แยกย้อน | มาเมืองซ่อนซุ่มหน้าเที่ยวอาศัย |
ธงดำฮึกศึกหาญทะยานใจ | ก็ลุยไล่เลยตามความคะนอง |
อาเจืองย้ายพ่ายพากันล่าหลบ | ไปแอบซบอยู่ห้วยทรายเป็นนายซ่อง |
แขวงเมืองพวนพรรคพาคณานอง | ได้พวกพ้องสักสี่ร้อยอยู่ดอยดอน |
แต่ธงดำทำศึกเหิมฮึกจิต | ไล่ตามติดตีธงเหลืองถึงเมืองซ่อน |
แล้วรีบกลับทัพไปไม่อาวรณ์ | มิได้ผ่อนพักอาศัยอยู่ในแดน |
มารวมทัพยับยั้งยังตำแหน่ง | ที่เมืองแถงทอดพลพหลแหน |
ยกวังม่านเป็นผู้รั้งระวังแดน | มีนามแม้นหมายข้างขุนนางญวน |
เรียกเจ้าอี้มีตำแหน่งแห่งผู้รั้ง | เขาจัดตั้งตามจริตไม่ผิดผวน |
พอถูกยุคทุกทบมารบกวน | ฝรั่งทวนทัพมาเมืองฮานอย |
ทัพธงดำกำลังจัดตั้งแต่ง | อยู่เมืองแถงรู้ท่าก็ล่าถอย |
ธงเหลืองที่หนีอาศัยอยู่ในดอย | ก็ออกลอยนวลปล้นคนหัวพัน |
แต่ย้ายแยกแตกกระจายไปหลายหน | เที่ยวซอกซนซุ่มป่าพนาสัณฑ์ |
ในเมืองพวนสวนส่อต่อหัวพัน | เที่ยวโรมรันรุกร้นปล้นกันมา |
ทั้งสองข้างต่างทวนกันสวนสื่อ | จนออกอื้อฉาวฉานนานนักหนา |
ราษฎรร้อนรุกทุกทิวา | ล่วงเลยมาจนป่านนี้ชี้กระจาย ๚ะ |
๏ ฝ่ายอาเจืองเนื่องพาคณาเที่ยว | เข้ากลมเกลียวสิงสู่เป็นหมู่หมาย |
รวมกับไกวซิงสุขสนุกสบาย | แต่ห้วยทรายสืบเนื่องมาเมืองพวน |
เป็นสองซ่องท่องเที่ยวเลี้ยวตลบ | ปล้นจนจบเจนใจคอยไต่สวน |
ราษฎรร้อนสิ้นในดินพวน | บ้างหนีป่วนปั่นไปอาศัยรก ๚ะ |
๏ ครั้นล่วงมาช้านานประมาณแน่ | ปีมะแมเมื่อเป็นเบญจศก |
ได้สี่ปีล่วงไปทัพใหญ่ยก | ดังจะผกโผนบินบนดินดาน |
แม่ทัพใหญ่ในโยธาพระยาราช[๑๘] | ถืออำนาจนำพหลพลทหาร |
มีข่าวลือชื่อไปในพนานต์ | ตั้งการรวมกองอยู่หนองคาย ๚ะ |
๏ อีกกองหนึ่งก้าวสกัดยกลัดล่วง | จากเมืองหลวงพระบางโดยหมาย |
ชื่อแม่ทัพกำกับพลสกลกาย | นามภิปรายโปรดมาพระยาพิไชย |
ตัวชื่อมิ่งมาม้วยด้วยไข้พิษ | ก็เสร็จกิจสูญสุขทุกข์กระษัย |
มาเมืองพวนสวนทันกันดังใจ | ล้อมค่ายไกวซิงตั้งอยู่รั้งรา |
พวกธงลายเหลืออยู่น้อยสามร้อยเศษ | ได้คนเขตพวนที่ทู้ออกสู้หน้า |
สักสองร้อยคอยรับทัพที่มา | ออกตั้งหน้าต่อตีจะหนีไป |
เป็นสามารถคาดจะแหวกให้แตกห้อม | ทัพใหญ่ล้อมรอบมั่นไม่หวั่นไหว |
พระยาราชพิฆาตศึกนึกเอาชัย | พลางขับไพร่พร้อมหน้าเข้าราวี |
อ้ายฮ่อยิงปืนทยอยคอยโต้แย้ง | มาถูกแข้งแม่ทัพใหญ่มิได้หนี |
กลับเร่งเร้าให้รีบเข้ากระโจมตี | จนแผลที่ถูกปืนปวดเข้ารวดรุม |
มาหยุดพักก็สบายพอหายพิษ | ศึกก็ติดตั้งรอมรสุม |
สิบห้าวันลั่นปืนยืนประชุม | ตั้งตะลุมบอนรบสมทบทัพ |
แต่พวกฮ่อต่อสู้อยู่ในค่าย | ครั้นจะพ่ายพาครัวก็กลัวจับ |
จนเต็มอ่อนงอนง้อขอคำนับ | ไม่คิดรับรายรอการต่อยุทธ |
ท่านแม่ทัพรับว่าถ้าจะทู้ | ไม่ต่อสู้แจ้งใจให้ใสสุด |
ให้ส่งสรรพสาตราเครื่องอาวุธ | สิ้นวิมุตแล้วมาพูดจากัน |
ข้างพวกฮ่อก็กริ่งในสิ่งศึก | ด้วยใจฮึกหาญจ้วงล่วงถลัน |
เมื่อคราวก่อนอ่อนน้อมก็ยอมกัน | แล้วกลับหันหาญไล่ดังไฟฮือ |
จึ่งหยุดยั้งชั่งใจเห็นไม่แน่ | เกรงจะแปรปรวนกลับไม่นับถือ |
ก็รอรั้งตั้งราฟังหารือ | มิให้รื้อเรื่องรบสงบพล |
ประมาณสองเดือนเศษสังเกตนับ | จนกองทัพถึงเวลาเข้าหน้าฝน |
ขาดเสบียงเลี้ยงทหารที่ราญรณ | ต้องยกร่นราทัพถอยกลับไป |
พระยาราชนั้นมาอยู่เป็นหมู่หมาย | เมืองหนองคายคั่งคับกองทัพใหญ่ |
ทัพหัวเมืองเนื่องพากันคลาไคล | เข้าพักในหลวงพระบางอยู่ค้างแรม |
แต่พระยาพิไชยนั้นไปก่อน | ทางเมืองซ่อนสืบฮ่อที่ล่อแหลม |
ทำแผนที่ชี้สถลเป็นกลแกม | เที่ยวสอดแนมสำนักโดนพวกโจรจร |
กับพระวิภาคภูวดลเที่ยวด้นดั้น | ในอรัญราวประเทศเขตสิงขร |
พวกไกวซิงนิ่งการไม่ราญรอน | กองทัพจรแล้วจึ่งปล้นกันป่นมา |
ความที่รบจบคำพอจำได้ | ดูยืดใหญ่ยาวชักนานนักหนา |
ฟังออกเฝือเหลือล้นคณนา | น่าระอาอึดอกเห็นรกใจ ๚ะ |
๏ ยังการที่ล่วงมาเวลาลับ | แม้จะนับปีเป็นสามตามสมัย |
ระกาเดือนสิบเอ็ดชะดกระจัดใจ | ขุนนางในอานัมขานคือกวานธง |
มาเกลี้ยกล่อมฮ่อให้ใจสมัคร | เป็นพวกพรรคซุ่มอาศัยไพรระหง |
ในดินเมืองเต้งแถงแจ้งจำนง | ให้คิดคงคืนเขตประเทศญวน ๚ะ |
๏ เป็นสิ้นเค้าเล่าข้อที่ฮ่อหลาม | เข้าเขตสยามยกเร่จากเสฉวน |
เที่ยวสาดสรรจรัลจรายหลายกระบวน | ถึงเมืองพวนพวกฮ่อคิดกอแก |
ฮ่อที่มาพายุ่งทำสุงสิง | คีอไกวซิงเป็นหัวหน้าตาแชแหม |
ทั้งสองข้างหมางอุทัยมิได้แล | มันมาแส่ส่อหาญทำการรบ ๚ะ |
๏ ขอกลับกล่าวสาวต้นนุสนธิ์สวน | ที่ในส่วนตัวจริงทุกสิ่งจบ |
มาอาศัยในอรัญหัวพันพบ | จนได้นบนอบคำนับกองทัพไทย |
เมื่อเดิมทีที่จรัลได้ผันผาย | จากเล่ากายเกิดการเป็นปานไฝ |
เล่นน้ำเต้าปูปลาประสาใจ | ก็ประลัยเสียล้นจนพ้นตัว |
ออกหนีมาแปดคนเที่ยวด้นดั้น | พาหัวพันเที่ยวพาลเพราะการชั่ว |
มีอาวุธยุทธกรรมประจำตัว | เข้าพันพัวพักประเทศเขตจุไทย |
ถึงเมืองลารารอนเข้าผ่อนพัก | ในสำนักฮ่อที่ลือชื่อยิบไต้ |
ใช้ธงเหลืองสำหรับกองทัพชัย | เที่ยวล้างไล่ตีปล้นตำบลราย |
ได้เงินตรามาด้วยกันสองพันบาท | จึ่งคลาคลาดแยกถิ่นซื้อฝิ่นขาย |
ไปสำนักปักอึ้งถึงหนองคาย | ได้จำหน่ายเนื้อฝิ่นจนสิ้นไป |
แล้วเลยอยู่สู่หาคณาเนื่อง | ด้วยธงเหลืองละเลิงจิตพิสมัย |
ประมาณปีเศษสุขสนุกใจ | ไม่มีภัยพาลามาระคาย ๚ะ |
๏ พอกองทัพท่านพระยามหาอำมาตย์ | ตีพินาศหนีแตกออกแหลกหลาย |
ข้าพเจ้าเล่าก็กลัวตัวจะตาย | พาพวกพ่ายหนีเนื่องมาเมืองลา |
เงินจำหน่ายขายฝิ่นก็สิ้นสุด | ทุนกลับหลุดลอยขาดวาสนา |
ต้องกลับอยู่กับยิบไต้ในเมืองลา | สามเดือนกว่าเกิดการดาลฤดี |
ฮ่อยิบไต้ใจเคืองพวกเมืองตึก | แล้วทำศึกต่อต้านด้วยม่านยี่ |
เจ้าเมืองไลไปแจ้งแห่งคดี | ขอโยธีทัพใหญ่ในอานัม |
มาราญรอต่อณรงค์ด้วยธงเหลือง | อนันต์เนื่องกองทัพมาสรรพสำ |
ทหารญวนล้วนแต่พลคนธงดำ | ยิบไต้นำพลเข้าทู้ไม่สู้รบ |
กวานเล่งบินยินดีแล้วลีลาศ | จึ่งให้กวาดฮ่อไปไล่ตลบ |
สองพันคนเศษรับเข้าทัพทบ | ยกพยบพวกพาไปธานี |
แต่ข้าเจ้าเล่าคิดกลัวด้วยตัวผิด | เพราะโทษคิดคบพากันล่าหนี |
แม้นกลับไปไหนจะปลอดรอดชีวี | เพราะโทษมีอยู่กับตัวจึงกลัวภัย |
หลีกหนีออกซอกซนไม่ปนแปด | มาสบแอดออกหาที่อาศัย |
พบอาเจืองฮ่อโจรทะโมนไพร | ก็พร้อมใจบรรจบเข้าทบกัน |
แล้วอาเจืองพาจรเที่ยวร่อนร่าย | ไปห้วยทรายตามจิตคิดกระสัน |
แล้วกวานทงลงมาพาไปพลัน | เข้าสู่คันขอบเขตประเทศญวน |
ข้าพเจ้ามิเต็มใจจะไปด้วย | ก็ออกป่วยเป็นบิดด้วยจิตหวน |
มีพวกห้าสิบคนปนประมวล | จากเมืองพวนพักหมู่อยู่หัวพัน |
ในเมืองแอดแวดระวังคิดตั้งค่าย | เป็นสองฝ่ายแบ่งคนพลขันธ์ |
ตั้งที่บ้านนาปาท่าประจันต์ | บ้านใดนั้นที่อยู่พวกหมู่พล |
เพราะจีนฮ่อกอไต้ได้อยู่ก่อน | จึ่งคิดผ่อนผันจัดเพื่อขัดสน |
เป็นสองพวกพักทหารไว้ราญรณ | อยู่ตำบลนั้นมาเป็นช้านาน |
ถึงปีวอกจัตวาที่ตราศก | ท้าวโต้ยกพวกพหลพลทหาร |
มาตีค่ายรายกำลังเข้าตั้งการ | แทบจะทานทัพไว้มิใคร่ทัน |
ด้วยไพร่พลข้าพเจ้าเล่าก็น้อย | คิดจะถอยทัพไปเข้าไพรสัณฑ์ |
พอพวกฮ่อเมืองฮุงทวนสวนมาทัน | จึ่งได้มั่นมุ่งหน้าเข้าราวี |
ท้าวโต้หาญราญแรงกำแหงหุน | ถูกกระสุนปืนพับอยู่กับที่ |
พลก็แตกแหลกลาญไม่ต้านตี | พากันหนีหลบลับไม่กลับมา ๚ะ |
๏ เลิกศึกสองเดือนเศษทราบเหตุแจ้ง | องค์บาแบ่งถิ่นพิทักษ์ให้รักษา |
แขวงหัวพันคนไว้ให้สัญญา | แม้มีข้าศึกรบมาทบกัน |
ครั้นอยู่มาปีระกาเดือนสิบสอง | องค์บาข้องขุ่นคิดจิตกระสัน |
ให้องค์ทั่งทั้งข้าเจ้าเข้าด้วยกัน | ไปประจัญจับผู้รั้งยังเมืองพูน |
ทั้งเมืองแวนเมืองโสยเมืองซำไต้ | พิฆาตให้แตกวินาศไปขาดสูญ |
เวลานั้นสันกำลังตั้งประมูล | ได้เพิ่มพูนพลลาวชาวผู้ไทย |
พวกองเมืององค์บาห้าร้อยเศษ | ทั้งพลเขตโขดเขาเนาไศล |
คือข่าแจะที่เป็นเจืองมันเคืองใจ | มาเข้าในพวกเดียวกันเกลียวกลม |
พอทราบศัพท์ว่ากองทัพยกมาใหญ่ | ตีบ้านใดฮ่อแตกลงแหลกล่ม |
ข้าเจ้ากลับทัพมาทู้อยู่นิยม | ในนิคมเขตจังหวัดปัถพิน |
เมื่อเดือนแปดปีจออัฐศก | พฤหัสบดิ์ตกแรมหวังดังถวิล |
สิบสี่ค่ำจำตริปฏิทิน | หมดระบิลบอกประมาณการในตัว |
แต่เข้ามาอาศัยในจังหวัด | อมรรัตน์รมเยศประเทศทั่ว |
สิบสามปีมีมั่นไม่พันพัว | ได้ตั้งตัวครองสถานอยู่บ้านใด |
มีขุนนางข้างญวนมาชวนชัก | ออกคุมพรรคพวกพลด้นไศล |
ชื่อไตซันคิดแค้นแน่นในใจ | คอยลอบไล่ล้างทำลายนายกุลา |
เป็นสองพวกคุมพลเที่ยวด้นดัก | ด้วยจิตรักเจ้านายหมายอาสา |
เกลี้ยกล่อมใจให้ข้าเจ้าเข้าพักพา | จะแต่งตราตั้งกำหนดให้ยศมี |
มอบให้พักสมัครมั่นหัวพันหก | เป็นต้นก๊กกะเขตประเทศที่ |
ส่วนองค์บารักษาแว่นแคว้นบุรี | ในถิ่นที่ประเทศทางข้างจุไทย |
ความในตราว่าให้ตั้งระวังอยู่ | ถ้าต่อสู้ฝรั่งเศสเป็นเหตุใหญ่ |
จงจัดทัพขับขันโดยทันใด | เร่งยกไปรอญราญการณรงค์ |
ข้าพเจ้าแจ้งแห่งเหตุประเทศนี้ | มิใช่ที่ถิ่นญวนไม่ควรหลง |
เป็นเขตหลวงพระบางคิดในจิตจง | จึ่งไม่ปลงวิญญาสามิภักดิ์ |
ข้าพเจ้านับองค์บาปรึกษาพร้อม | เข้าขอยอมเป็นข้าอาณาจักร |
รับฟังบทกฎหมายไม่ย้ายยัก | ยึดเป็นหลักมั่นแน่ไม่แปรปรวน |
คิดสละละรั่วไม่มัวหมาย | ทำหยาบคายคดคิดให้ผิดผวน |
จะรวมพวกพ้องพามาประมวล | มิให้กวนก่อเข็ญเหมือนเป็นมา |
เป็นความสัตย์จังจริงทุกสิ่งสม | ไม่นิยมยินร้ายให้ขายหน้า |
ควรมิควรแล้วแต่โปรดโทษอาชญา | ขอพระบารมีกั้นสรรพภัย ๚ะ |
๏ เป็นหมดความนามที่ฮ่อมาต่อหาญ | ได้ทราบสารสิ้นลงไม่สงสัย |
แล้วจัดกิจคิดการงานที่ไป | กองทัพใหญ่จะยกเดินเนินพนานต์ |
พวกท้าวขุนที่จะมารับตราตั้ง | ให้กลับยังที่อาศัยเข้าไพรสาณฑ์ |
จัดครอบครัวมั่วหมู่สู่สำราญ | กำหนดการที่จะพบประสบกัน |
ในเดือนสี่ปีจอรอให้พร้อม | มารวมรอมรีบรัดได้จัดสรร |
ในนครหลวงพระบางทางจำนรรจ์ | ทุกหัวพันสั่งกำหนดพจนา |
แล้วจัดพระพาหนให้ไปสมทบ | เข้าบรรจบกันกับกองทัพหน้า |
ถึงบ้านใดให้เรียกองค์บามา | ทำสัจจาแจ้งประจักษ์ตามภักดี |
แล้วเลยลัดตัดเนื่องไปเมืองแถง | ท่านชี้แจงจัดกระบวนให้ถ้วนถี่ |
กะเป็นหมวดตรวจจังหวัดปัถพี | แบ่งหน้าที่เดินทบบรรจบทัพ |
กองทัพใหญ่ให้พระอินทแสนแสง | ไปเมืองแถงทำค่ายไว้สำหรับ |
ขุนนางลาวท้าวแสนแน่นคำนับ | ไปกำกับกะวางฉางเสบียง |
ต่างล่วงลัดดัดดั้นอรัญเวศ | โดยประเทศทางทุรัศฉวัดเฉวียง |
กองทัพใหญ่แยกพหลพลลำเลียง | พอพร้อมเพรียงโยธาก็คลาไคล |
แรมแปดค่ำพฤหัสบดิ์เดือนสิบสอง | ก็ยกกองทัพเดินเนินไศล |
ไปเมืองแถงทางพ้องสิบสองจุไทย | ปราบท้าวไล่พ่อลูกที่ปลูกพาล ๚ะ |
๏ พวกชาวเมืองเนื่องพากันมาส่ง | ด้วยจิตจงผูกใจปราศรัยสาร |
ทั้งชายหญิงวิ่งวนมาลนลาน | หมดทั้งบ้านบ่นพึมเสียงครึมครวญ |
ด้วยได้หนุนจุนเจือเมื่อพักทัพ | ครั้นจะกลับตรอมใจอาลัยหวน |
มาส่งเสียเคลียคลอดูรอรวน | ตามกระบวนทัพมาด้วยอาลัย |
พอเบี่ยงบ่ายชายศรีชะนีโหน | ถึงบ้านโงนหยุดโยธาเข้าอาศัย |
กลางทุ่งนาว้าเวิงกระเจิงใจ | อนาถในทรวงสะท้อนลงนอนเพียง |
พวกสาวสาวชาวเมืองซ่อนที่จรส่ง | ยังพะวงเวียนเว้ากระเส่าเสียง |
ละห้อยละเหี่ยเคลียคลออยู่รอเรียง | สำออยเอียงอิดออดทอดระทวย |
ผูกอาลัยใจคอท้อระทด | ไม่ปลิดปลดเปลื้องปละทำระหวย |
ละล่ำละลักชักพะวงให้งงงวย | แทบมาด้วยทัพไทยอาลัยเลือน |
รื่นอารมณ์ลมวอนสุนทรไข | สาวผู้ไทยทีสนิททำอิดเอื้อน |
เจ้าคารี้สีคารมเฝ้าชมเชือน | เหมือนแกล้งเตือนจิตตันถึงขวัญใจ |
ฝีปากลาวกล่าวมวลไม่ชวนชื่น | เหมือนหนึ่งกลืนข้าวกับเกลือพอเจือไส้ |
มาปันจิ้มลิ้มลองไม่ต้องใจ | นั่งพิไรร่ำแคะพูดและเลียม |
จนดึกดาวพราวพร่างขึ้นกลางหน | ต้องนิ่งทนทุกข์ระทึกให้นึกเหนียม |
จะชี้แจงแพลงพลิกกระดิกกระเดียม | นิ่งเสงี่ยมนอนตรมแทบงมงง |
จนรุ่งรางสร่างศรีสุริยาตร | ก็ลีลาศลาไปอาลัยหลง |
แล้วซํ้าขานสารสั่งสัจจังจง | ตั้งใจส่งสุดเนตรเทวษวอน |
ยังหยุดยืนยื่นชายสไบสะบัด | โดยประหวัดหวังในหทัยถอน |
แล้วล่วงลัดตัดตรงเข้าดงดอน | ทรวงสะท้อนถอนในใจรัญจวน |
แต่สาวสาวลาวผู้ไทยมิใช่มิตร | ยังผูกจิตใจกระสันคิดหันหวน |
ทำระทดสลดใจอาลัยครวญ | คิดถึงนวลนุชนาฏเมื่อคลาดคลา |
คิดอาลัยใจจำรีบร่ำรุด | ไม่สมสุดโศกสร้อยละห้อยหา |
ถึงทางแยกแผกผันตันอุรา | ออกจากผาตั้งตัดค่อยลัดแลง |
ขึ้นบนเนินเดินดาลให้รานร้าว | เป็นเหน็บหนาวนั่งอาชาจนขาแข็ง |
ลงหุบเขาข้ามลำห้วยน้ำแซง | บอกตำแหน่งสำนักที่พักพล |
จงจดจำคำข้อจะขอกล่าว | ถึงห้วยตาวตั้งทัพอยู่สับสน |
ไปห้วยแบนแสนเศร้าเปล่ากระมล | มีตำบลบ้านแม้วในแถวทาง |
ปลูกเรือนรายชายป่ากั้นฝาทึบ | ถึงห้วยฮึบหวนจิตคิดขนาง |
ล้วนซอกซุ้มคลุมเครือเหลือระคาง | เห็นรอยกวางวิ่งโลดกระโดดดง |
นึกเกรงสัตว์จัตุบทสยดสยอง | โลดลำพองเผ่นในไพรระหง |
มาพาลพบขบกัดตัดชีวง | มิได้คงคืนกลับจะอับปาง |
พลางรำจวนป่วนใจในไพรสาณฑ์ | ถึงห้วยลานแลบังที่ตั้งฉาง |
อยู่ริมห้วยกรวยกรอกที่ซอกทาง | จังหวัดหว่างเวิ้งผาพฤกษาราย |
จึ่งยั้งทัพสำนักเนาเบิกข้าวสาร | จ่ายทหารทั่วหมวดที่ตรวจหมาย |
แล้วจัดตั้งกำลังพลสกนธ์กาย | หัวหน้านายนำขนัดหลวงดัสกร |
คุมพหลพลรบพอครบร้อย | ยกข้ามดอยตรงดิ่งขึ้นสิงขร |
ไปเมืองแถงแจ้งการจะราญรอน | ให้พวกจรโจรระวังคอยตั้งรบ |
หลวงดัสกรก้มคำนับรับคำสั่ง | พร้อมสะพรั่งนายไพร่ไม่หลีกหลบ |
ดูเหิมฮึกคึกจิตคิดแต่รบ | พอจวนพลบยกทัพล่วงลับไป |
ครั้นรุ่งรังสีวิโรจน์ขึ้นโชติช่วง | กองทัพล่วงยกตามข้ามไศล |
ลงลุยธารท่องกระสินธุ์ในถิ่นไพร | เย็นจับใจจนเนื้อชาเอาผ้าคลุม |
เมื่อหนาวนักพักทางที่ข้างห้วย | ประชุมช่วยก่อไฟหักไม้สุม |
ผิงสกนธ์ลนเพลิงระเริงรุม | ที่เปียกชุ่มชลแห้งค่อยแบ่งเบา |
ขึ้นจากห้วยกรวยโกรกวิโยคย้าย | ย่างตะกายหอบสกนธ์ขึ้นบนเขา |
ยลกำยานชานผาพนาเนา | ต้นสะเพร่าพรูผลัดระบัดใบ |
จรดลต้นทางมากลางป่า | เห็นกาน้าเหลืองผลหล่นไสว |
กำลังบอบหอบหวนรัญจวนใจ | ก็เก็บใส่โอษฐ์กล้ำกลืนน้ำลาย |
ค่อยเลียบเดินเนินคีรีถึงที่พัก | เรียกห้วยหมักหมายถิ่นกระสินธุ์สาย |
เห็นพลับจีนปีนต้นทุรนทุราย | เข้าตะกายเก็บผลเสียงอลอึง |
ตำบลนี้ที่ทางดูกว้างใหญ่ | เป็นชายไพรรื่นรวยเรียกห้วยผึ้ง |
ชลาลัยไหลรินถิ่นสำคะนึง | แลดูซึ้งเย็นเสียวนึกเปลี่ยวใจ |
ทุกสำนักพักพลดลกระแส | ถึงบ้านแส้ไพรสาณฑ์เขาขานไข |
ประชาชาวลาวพลปนผู้ไทย | ที่พักไว้วางเสบียงไม่เลี่ยงลัด |
เบิกข้าวจ่ายรายตัวถ้วนทั่วหมด | แล้วก็บทจรไปในขนัด |
สุดจะยลผลระย้าในป่าชัฏ | ไม่แจ้งจัดจนใจพิไรพิศ |
ข้ามเขาเขินเนินอรัญเป็นหลั่นลูก | มีจมูกไม่ใช้หายใจหวิด |
อ้าโอษฐ์ช่วยด้วยอีกช่องยังข้องคิด | ถึงห้วยอิดอ่อนใจลงไปลุย |
ล้วนศิลารารายสายกระสินธุ์ | มีไคลหินห้อยผูกเหมือนลูกรุ่ย |
ที่ลำลาบคราบไคลครรไลลุย | น้ำกระจุยลื่นล้มลงจมชล |
อันห้วยอิดคิดคำจำให้ชัด | เขาช่างจัดจองนามเห็นงามสม |
แต่ดั้นเดินเนินไพรในพนม | ไม่ระทมท้อเหมือนที่ห้วยนี้จริง |
เช้าจนค่ำร่ำรุดไม่หยุดย่าง | ยังต้องค้างคืนอ่อนลงนอนนิ่ง |
บอบระบมตรมจิตคิดประวิง | เห็นสุดสิ่งที่จะสรรพรรณนา |
จะขี่ขับมโนมัยให้ไคลคลาด | ก็มักพลาดพลำเพลียแทบเสียขา |
ค่อยด้นดัดตัดเนื่องเข้าเมืองยา | หยุดกลางนานั่งเหงาให้เศร้าทรวง |
เป็นที่วางฉางเสบียงไว้เลี้ยงไพร่ | เขาจัดไว้วางรับกองทัพหลวง |
เป็นระยะกะการงานทั้งปวง | แล้วลัดล่วงเลียบยลพลเมือง |
ชาวประชาเป็นภาษาผู้ไทยแท้ | นับถือแซ่สืบวงศ์ไม่ปลงเปลื้อง |
ชายแต่งร่างอย่างญวนล้วนชาวเมือง | แต่หญิงเยื้องมาข้างลาวพุงขาวคง |
ตำบลบ้านดาลดอยดูลอยตั้ง | สิบสามหลังแลพินิจพิศวง |
ทำคอกตั้งขังไก่ใส่ลูกกรง | กลัวเสือดงด้อมมาคว้าไปกิน |
แล้วเดินทางกลางนาป่าละเมาะ | ล้วนซึ่งเซาะซอกธารละหานหิน |
ถึงห้วยแฮะแวะสำนักพักโยธิน | ด้วยใกล้ถิ่นแถงตั้งหยุดฟังการ |
พอหลวงดัสกรปลาตองอาจรบ | ให้คนนบนอบถือหนังสือสาร |
มาเรียนเค้าเล่าคิดในกิจการ | พอท่านอ่านออกระบิลได้ยินยล |
ว่าการรบจบเสร็จสำเร็จร่ำ | ได้ตัวคำสามมาแจ้งแสดงผล |
ไม่ฝ่าฝืนขืนข้อทรชน | มีกระมลมุ่งคำนับไม่รับรบ |
ท่านทราบสิ้นจึ่งสั่งให้ตั้งทัพ | เป็นลำดับเดินตรวจทุกหมวดจบ |
ด้วยมิไว้ใจมันเคยขันรบ | ทำทวนทบหลอนหลอกมาออกนุง |
แล้วเดินทัพขับทหารขนานหน้า | พระสวานำทางมากลางทุ่ง |
เป็นชายป่านารั้งดูรังรุง | ช่างคดคุ้งข้ามลำห้วยน้ำนัว |
มีป่าไผ่ไพรพงเป็นดงทึบ | แลสะพรึบพราวตาฟ้าสลัว |
ไปสักโมงหนึ่งยืดเป็นพืชพัว | จึ่งเห็นทั่วทุ่งทางออกกลางนา |
มีตำบลชนอยู่หมู่กระท่อม | อยู่เป็นหย่อมโรเรตั้งเคหา |
แห่งละห้าหกหลังเหมือนรังกา | ล้วนทุ่งนาร้อนแดดแผดรัญจวน |
พอสุริย์ฉายบ่ายศรีรวีแสง | ถึงเมืองแถงถอนในฤทัยหวน |
ระบมแดดแผดในใจรัญจวน | เดินกระบวนบุกทางมากลางวัน |
หลวงดัสกรจรทวนสวนสนาม | พาคำสามกับพหลพลขันธ์ |
มาคำนับรับรายชายอรัญ | พอจวบกันที่ริมข้างหนทางจร |
จึงให้นำคำสามไปค่ายสำนัก | ทั้งพวกพรรคพลไพร่ให้ไปก่อน |
ไม่อยากรับคำนับไหว้ที่ในดอน | หลวงดัสกรพากลับไปฉับไว |
แล้วยกตามข้ามทางออกกลางทุ่ง | เขม้นมุ่งตามมาหาช้าไม่ |
เข้าหยุดพักพวกพลสกลไกร | ที่ค่ายใหญ่ชื่อขัวลายก็รายพล |
มาถึงนั่นวันพุธสุทธิ์สวัสดิ์ | ปีจออัฐศกแจ้งแห่งนุสนธิ์ |
เดือนอ้ายขึ้นหกค่ำถึงตำบล | ตั้งกระมลมุ่งชี้คดีแสดง |
เมื่อเดินทัพรับยุบลนุสนธิ์สื่อ | ต้นหนังสือพระอินทแสนแสง |
กับขุนนางข้างลาวกล่าวแสดง | มีนามแจ้งว่าพระยาเมืองขวาซ้าย |
ซึ่งล่วงหน้ามาตั้งยังเมืองแถง | ได้ทราบแจ้งใจหมดจึ่งจดหมาย |
ว่าคำสามคำล่าหัวหน้านาย | กับน้องชายชื่อบังเบียนเสี้ยนศัตรู |
เป็นบุตรเจ้าเมืองไลใจฉกาจ | มันมาอาจหาญจิตจะคิดสู้ |
คุมกำลังตั้งรายทำค่ายคู | เป็นหมู่หมู่มุ่งเมียงอยู่เชียงจัน |
จากขัวลายหมายนาฬิกาหนึ่ง | ตั้งค่ายขึงขุดเพลาะไว้เหมาะมั่น |
ทหารฮ่อรอรบเข้าทบกัน | แต่ล้วนกลั่นกล้าหาญการณรงค์ |
ทำแยบคายรายรองประคองประคับ | มาคำนับนอบชิดพิศวง |
ดูทีลวงล้วงไส้จะให้งง | ต้องพะวงคอยระวังไม่หวังใจ |
จึ่งน้าวโน้มโลมล้อมถนอมสนิท | จนชอบชิดชวนมาพูดปราศรัย |
ไม่สะเทิ้นเมินหมางให้จางใจ | แต่ดูในจิตเห็นจะเป็นกล |
คอยดูเชิงเริงรายอยู่ค่ายรบ | ไม่กระทบให้กระทั่งฟังเหตุผล |
มันก็มาหาสู่อยู่ทุกคน | จะกล่อมจนทัพใหญ่ได้ถึงเมือง ๚ะ |
๏ ครั้นกองทัพยับยั้งเข้าตั้งค่าย | ทำยืนรายเรียบทหารขนานเนื่อง |
ทำสง่าท่าทางย่างชำเลือง | อย่างเจ้าเมืองเอกอำนาจราชฤทธิ์ |
ถืออาวุธปืนกระสันล้วนกลั่นกล้า | ดูทีท่าโตเติบกำเริบจิต |
สวมเสื้อกั๊กสักหลาดแลผาดพิศ | ยี่ห้อติดเรียบริ้วเหมือนงิ้วโว |
ดูอาจหาญทะยานทะเยอทำเย่อหยิ่ง | เห็นกรุ้งกริ่งหนักนักชักโมโห |
จึ่งให้จับปรับเล่ห์พวกเฉโก | ที่ทำโตเต็มท่าการทารุณ |
ทั้งคำสามคำฮุยแลคำล่า | ขนานหน้านิกรเหล่าพวกท้าวขุน |
ให้สมจิตที่มันคิดเนรคุณ | ริบเป็นจุณจนเกลี้ยงถึงเชียงจัน |
รื้อหอรบทบทัพลงยับสิ้น | ชั้นมูลดินดูราบดังสาปสัน |
พลทหารที่มาห้อมล้อมนายมัน | ก็แตกกันหนีหน้าเข้าป่าไป |
เก็บสาตราอาวุธได้สุดสิ้น | สมถวิลหวังลงสิ้นสงสัย |
มีจำนวนถ้วนทัดกระจัดใจ | ปืนสะไนเดอร์สิบสามตามบาญชี |
ปืนอินฟินแปดสิบบอกที่นอกนั้น | ริมิงตันสิบสองจดหมดถ้วนถี่ |
วินเชสเตอร์สองรางเป็นอย่างดี | ปืนแฮรีหนึ่งคู่เชิดชูพักตร์ |
ปืนสั้นสองจองจดไม่หมดท่า | คาบศิลาอีกหนึ่งพึงประจักษ์ |
รวมได้ร้อยสิบเอ็ดบอกไม่ยอกยัก | เอาเก็บรักษาไว้ดังใจจง |
ปัสตันของมันมีมิใช่น้อย | พันสามร้อยยี่สิบสี่บาญชีส่ง |
มีดาบง้าวยาวสองคู่ชูณรงค์ | กับทวนธงรบเสร็จสิบเจ็ดคัน ๚ะ |
๏ ครั้นจัดเสร็จเผด็จศึกที่ฮึกหาญ | จึ่งจัดการเมืองแถงให้แข็งขัน |
เรียกเพี้ยท้าวผู้ไทยล้อมมาพร้อมกัน | ให้รำพันบอกเรื่องพวกเมืองไล |
ต่างนอบนบเคารพรับสดับสาร | ชุลีลานเล่าแจ้งแถลงไข |
รำพันว่าทัพเจ้าเหล่าผู้ไทย | ได้อาศัยสุขสถานอยู่นานมา |
จะนับแซ่แลตระกูลประยูรญาติ | ก็หลายชาติช้าอยู่แต่ปูย่า |
ประกอบกรรมทำไร่แลไถนา | โดยบุรพาเภทภัยมิได้พาน |
ครั้นอยู่มาปีไรไม่กระจัด | ท้าวไลลัดล่วงเขตประเทศสถาน |
มาบังคับจับจองตั้งกองพาล | เป็นเจ้าบ้านเบียนชนออกป่นไป |
เกณฑ์เอาเงินกะเอางานทำราญราษฎร์ | ไม่สมมาดมันฆ่าไม่ปราศรัย |
เก็บเอาข้าวส่งเนื่องไปเมืองไล | แล้วจัดให้บังเบียนมารักษาบุรี |
มันกะเกณฑ์เวรเอาข้าวไม่ขาด | บ้างออกลาศหลบล่าเข้าป่าหนี |
ที่ทนอยู่สู้เวรเกณฑ์ทวี | ขึ้นทุกปีป่นไปมิได้ลด |
ครั้งนี้เป็นบุญสนุนสนับ | มีกองทัพใหญ่มาให้ปรากฏ |
ปราบคนพาลสันดานช่อทรยศ | ขอให้หมดสิ้นพ้นพวกคนพาล ๚ะ |
๏ ฟังถ้อยคำร่ำบ่นทุกคนแจ้ง | มันช่างแกล้งเคี่ยวเข็ญเห็นส่งสาร |
เป็นหลายปีมีกรรมน่ารำคาญ | เหมือนเกิดการปลุกปล้นคนทั้งปวง |
พ่อมันปล้นแล้วมิหนำยังซํ้าลูก | ช่างดูถูกท้าวขุนนางข้างเมืองหลวง |
ให้หาตัวไปจะห้ามความทั้งปวง | แกล้งหนักหน่วงนัดเนิ่นให้เกินไป |
ถึงเดือนนี้ปีนั้นจะพลันเฝ้า | แล้วก็เปล่าปลิ้นปล้อนหลอกหลอนให้ |
มาล่วงถิ่นหมิ่นการทะยานใจ | แม้นนิ่งไว้วันนานจะราญแรง |
ถึงคราวนี้ที่มันมาสามิภักดิ์ | ก็ทำศักดิ์สูงจัดเหมือนขัดแข็ง |
มีทหารขานหน้าดูร่าแรง | เหมือนจะแข่งคู่ศึกคึกคะนอง |
จึ่งต้องจับปรับทัณฑ์ที่มันหมิ่น | มาล่วงถิ่นทำการหาญจองหอง |
ให้สมสาที่มันมาเข้าครอบครอง | ตั้งเป็นกองโกงไพร่อยู่ในแดน |
แต่ท้าวไลไปอยู่แม่น้ำแท้ | ก็นอกแควแขวงด่านจะหาญแหน |
ไปจับมาปราบปรามก็ข้ามแดน | มิใช่แคว้นเขตข้างทางจุไทย |
แต่ท้าวขุนที่เป็นข้าอาณาจักร | ตั้งใจรักษากิจพิสมัย |
แม้นไปโลมโน้มน้าวด้วยท้าวไล | จะปรับให้โทษถึงกาลลาญชีวี |
ที่เมืองแถงจะแต่งให้พระสวา | มิภักดิ์สยามาเขตพิเศษศรี |
อยู่ดำรงคงรักษาประชาชี | โดยคดีดังคิดกิจการ |
แล้วเกณฑ์คนพลไพร่ในประเทศ | อยู่ในเขตนั้นมาจัดหัดทหาร |
สำหรับรักษาเมืองเรืองสำราญ | ออกตรวจด่านแดนระวังการทั้งปวง |
แต่งขุนนางลาวให้ดูอยู่รักษา | กำกับว่าการเป็นเช่นข้าหลวง |
ได้ปราบเข็ญเป็นสุขทุกกระทรวง | จนลุล่วงตลอดเหตุเขตนิคม ๚ะ |
๏ ดูพื้นดินถิ่นสถานบ้านเมืองแถง | มีเขตแขวงใหญ่กว้างน่าสร้างสม |
เป็นทุ่งรื่นพื้นสถานสำราญรมย์ | เนินพนมนั้นห่างหว่างพนานต์ |
มีท่าทางวางคนพลรบ | ที่กระทบท่าสำนักเป็นหลักฐาน |
เห็นภูมิพื้นรื่นแท้ให้แลลาน | แล้วเข้าบ้านเชียงแลเที่ยวแชชม |
เห็นเนินแนวแถวที่เป็นสี่เหลี่ยม | ดูสูงเยี่ยมอย่างคีรินมูลดินถม |
ปลูกกอไผ่ไว้รอบขอบนิคม | เป็นของนมนานร้างเขาสร้างมา |
เหลี่ยมหนึ่งยาวราวการประมาณเห็น | สักหกเส้นสมหวังไม่กังขา |
สูงเชิงเทินประเมินตามสักสามวา | มีชลาไหลหลั่นเป็นขั้นคู |
ท่านแม่ทัพทัศนาเห็นหนาแน่น | เป็นปึกแผ่นผูกพักอีกอักขู |
อยู่ริมน้ำยมน่าชมชู | จึ่งเกณฑ์หมู่พลถางดูกว้างครัน |
แล้วมาตั้งค่ายใหญ่ในสำนัก | เข้าพร้อมพรักพวกพหลพลขันธ์ |
ราษฎรเดิมอยู่หมู่เชียงจัน | ก็พากันมาอยู่ในค่ายเชียงแล |
ต่างยินดีปรีดิ์เปรมเกษมสุข | ฟังสนุกสำเนียงขานประสานแซ่ |
ผู้ไทยลาวลื้อข่ามากอแก | สำนวนแปรปรวนไม่แจ้งแห่งคดี |
อันเรื่องรบก็สงบเงียบระงับ | กิตติศัพท์ฟังแจ้งทุกแห่งที่ |
ถึงเมืองม่วยเมืองลาเขตธานี | ว่ายังมีพวกเจ๊กชื่อเต๊กเซง |
มาตั้งอยู่หมู่ใหญ่มิใช่น้อย | สักหกร้อยราญรัวล้วนตัวเส็ง |
ใช้ธงดำร่ำลือชื่อระเบ็ง | เป็นตัวเก่งประกอบกิจชนิดพาล |
มีแซ่เหล่าเผ่าที่พากันอาศัย | พวกกวางไชยเคยศึกเหิมฮึกหาญ |
เดิมท้าวไลได้ชักนำมาทำการ | จ้างให้ราญราวีตีเมืองจัน |
ข้างฝ่ายเจ้าเมืองจันก็ขันรับ | ออกตีทัพท้าวไลมิได้พรั่น |
เต๊กเซงแตกแหลกยับหนีกลับพลัน | มาตั้งมั่นหมู่พลดลประดัง |
เงินค่าจ้างค้างติดไม่คิดใช้ | ท้าวไลให้ที่ถิ่นแผ่นดินตั้ง |
เป็นหักหายขายทำแต่ลำพัง | ฮ่อจึ่งตั้งต่อตามล่อลามมา |
ครั้นทราบว่าทัพใหญ่ได้มาปราบ | พวกที่หยาบหยามจิตริษยา |
น่าสมัครพรรคพลดั้นด้นมา | จากเมืองลาเข้าคำนับแม่ทัพชัย |
เล่าแถลงแจ้งความตามแต่ต้น | เหมือนอย่างยลยินคำที่ร่ำไข |
ไม่เหิมฮึกรู้สึกตัวด้วยกลัวภัย | เช่นท้าวไลลำพองพาลหาญผจญ |
จะขออยู่เป็นข้าอาณาจักร | เข้าพึ่งภักดิ์โดยสวัสดิ์พิพัฒน์ผล |
ให้สัญญาสาบานประจานตน | ทุกทุกคนเหมือนแต่เก่าที่เล่ามา ๚ะ |
๏ พอกองทัพเมืองแอดมาพระพาหล | คุมพวกพลพร้อมพรักเป็นนักหนา |
กับเจ้าราชภาคิไนยก็ไคลคลา | นำคณาฮ่อทู้มากรูกรี |
ล้วนต้นเถาที่เข้าสวามิภักดิ์ | ยอมสมัครหมายมุ่งมากรุงศรี |
มารวมพร้อมที่แม่ทัพสดับคดี | รออยู่ที่ค่ายตั้งคอยฟังตรา ๚ะ |
๏ แล้วเที่ยวยลชนประชาที่อาศัย | ล้วนผู้ไทยแถวทางต่างภาษา |
เป็นลาวเหนือเหลือจดพจนา | แต่งกายายลแปลกคล้ายแขกครัว |
ช่างแต่งเศียรเคียนเกศาเอาผ้าโปะ | เช่นกับโต๊ะตึกขาวทำหนาวหัว |
นุ่งห่มเห็นเช่นอานัมทำพันพัว | แต่หญิงกลั้วกล้ำกรายอยู่ฝ่ายลาว |
เป็นหนึ่งดังหวังในฤทัยถวิล | ยังนุ่งซิ่นกระสันแลทั้งแก่สาว |
พอสังเกตเพศพื้นที่ยืนยาว | เหมือนบอกข่าวเขตหมายฝ่ายมาลา |
พลเมืองเนื่องแนวแถวสถาน | ประกอบการมุ่งมาดศาสนา |
ถือพุทธไสยไหว้ผีมีตำรา | มีหมอยาหมอมนต์ก็กลกัน |
ที่อยู่ไพรไศลยลมีคนแปลก | ดูช่างแผกพิศแลเห็นแปรผัน |
ชอบอาศัยในเขาเนาอรัญ | แต่ไม่มั่นมุ่งประสงค์อยู่ยงยืน |
อย่างนานประมาณมีสามปีเศษ | แล้วประเวศวรรณาไปหาอื่น |
มีหลายเช่นเป็นคนดงไม่คงคืน | ลงอยู่พื้นแผ่นดาวเหมือนชาวเมือง |
ได้เรียงพจน์จดนามมีความเล่า | เรียกเย้าเขาอย่างนี้จะชี้เรื่อง |
เรียกมาดลยลกายาคณะเนือง | ให้แต่งเครื่องสำหรับประดับดู |
เย้าผู้ชายหมายเชื้อเจือเจ๊กบก | สกปรกไคลพอกจนซอกหู |
กางเกงเสื้อเหลือสมมมจะชมชู | พูดไม่รู้เสียงภาษาว่ายังไร |
เช่นกินข้าวเล่าสำเหนียกก็เรียกท่าง | ว่ายันหางเห็นชนิดผิดนิสัย |
กินตะเกียบเปรียบอย่างต่างเจ๊กไพร | ผมก็ไว้เปียปอยปล่อยกระพือ |
ไม่สางซักถักไหมทิ้งไว้ยุ่ง | แต่ความมุ่งหมายนั้นยังใช้หนังสือ |
เหมือนอย่างจีนเจนจัดเฝ้าหัดปรือ | ชะรอยรื้อรกรากมาจากจีน |
เขาใช้ผ้าโพกศีรษะเช่นพระแขก | แต่ไม่แปลกปลอมลือว่าถือศีล |
เลี้ยงสุกรตอนขายไปจ่ายจีน | เที่ยวป่ายปีนป่าสังเกตแปลกเพศพันธุ์ |
การตกแต่งร่างกายฝ่ายผู้หญิง | เห็นสุดสิ่งชนคิดประดิษฐ์ขัน |
จะมาเทียบเปรียบอื่นสักหมื่นพัน | ไม่เหมือนกัลยาเย้าเขาช่างทำ |
เข้าพินิศพิศยุพาไม่น่ารัก | พอประจักษ์แจ้งสำคัญที่ขันขำ |
ผมกระหมวดกวดกันมั่นประจำ | เอาชันรำโรงมาใส่ใจนิยม |
แล้วอังไฟให้ร้อนพออ่อนด้วย | โดยอยากสวยใส่หัวจนทั่วผม |
แล้วเกล้าเป็นจุกเกรี่ยงดูเกลี้ยงกลม | เขาชื่นชมใช้เหมาเอาเป็นเดือย |
ไม่สูงนักประมาณสักสี่นิ้วย่อม | บนกระหม่อมมุ่นไว้แข็งใจเหือย |
ทำโครงหมวกไม้เจาะพอเหมาะเดือย | ดูน่าเหนื่อยหน่ายงามความรำคาญ |
มีไม้โค้งโก่งรีเป็นสี่เหลี่ยม | ผ้าดาษเรี่ยมสีแดงบังแสงฉาน |
มีระใบให้ลมพัดสะบัดบาน | ข้างหลังยานยาวถึงไหล่ได้พอดี |
ในการผมนิยมจริงพวกหญิงเย้า | ถ้าแม้นเศร้าสางใหม่ต้องไหว้ผี |
เซ่นไก่เหล้าเข้ากิจทำพิธี | เห็นเต็มดีประดักประเดิดเขาเชิดชู |
เครื่องประดับสำหรับนางอย่างออกหน้า | มีระย้าลูกปัดใส่ที่ใบหู |
สวมเสื้ออย่างญวนพิศพินิจดู | รังดุมคู่เกี่ยวทาบติดสาบแบน |
เป็นบั้งบั้งช่างแผ่แลกระสัน | ล้วนหิรัญเรียงเม็ดมีเจ็ดแว่น |
เหมือนปลิงทาบราบรายเป็นลายแบน | ติดเอาแน่นแลนุงช่างรุงรัง |
สวมกางเกงขากว้างอย่างกระสอบ | ผ้าแถบรอบรัดสมอารมณ์หวัง |
คล้ายงิ้วนางอย่างยุ่งดูรุงรัง | สุดจะสังเกตจำร่ำแสดง ๚ะ |
๏ อีกพวกหนึ่งนี้ก็ขันกระสันสี | เรียกโอนีอาก้าดูกล้าแข็ง |
ชายแต่งเป็นเช่นเย้าที่เล่าแจง | แต่หญิงแปลงเปลี่ยนตามความนิยม |
บ้างเกล้ามวยสำรวยราบดอกไม้ปัก | ลางนางยักแยกสบายกระจายผม |
เอาพันเศียรเวียนรอบเป็นขอบกลม | บ้างนิยมแยกยักมาถักเปีย |
มีหมวกครอบรอบรีเป็นสี่เหลี่ยม | ประดับเรี่ยมรายผูกด้วยลูกเบี้ย |
ลูกเดือยถักปักลูกปัดดูหยัดเยีย | เจ๊กว่าเงี้ยงามขรึมทำครึมเครือ |
เครื่องนุ่งห่มชมชายรายระยับ | ดูสลับรายกระพือที่มือเสื้อ |
ผ้าต่างสีมีสาบมาทาบเจือ | ดูน่าเบื่อแบบสำหรับประดับกาย |
เอาไม้อ้อมาขวั้นเป็นขั้นขอด | งามไม้หลอดแลสลับกันกับหวาย |
มาย้อมสีประสานกวดเป็นลวดลาย | เหมือนอย่างสายรัดอร่ามงามตระการ |
เป็นแถบแถบแลบลายคล้ายงูหลาม | คนละสามสี่สายลายประสาน |
ตุ้มหูพวงควงหิรัญอันตระการ | ดูย้อยยานมาถึงไหล่มิใช่แกน |
กำไลใส่มือทั้งสองเป็นทองเหลือง | ไม่รุ่งเรืองสุกก่ำเหมือนคำแหวน |
เขาเห็นงามตามโอนีที่ในแดน | มิใช้แค่นแคะเดาเล่าประจาน |
การซื้อขายจ่ายเงินตราใช่ตาชั่ง | ไม่ชิงชังรูปพรรณทรงสัณฐาน |
เล่าสั้นสั้นขั้นข้อพอประมาณ | เมื่อแต่งงานหญิงพามาหาชาย |
การมงคลยลแยบก็แบบเจ๊ก | เมื่อคลอดเด็กดังไฟเหมือนใจหมาย |
แม้นเจ็บไข้ได้ทุกข์ไม่สุขกาย | ก็ทนตายตามเวราอยู่ป่าดง |
เมื่อชีพดับลับอาลัยไม่ไว้หวัง | เอาไปฝังแฝงในไพรระหง |
จะโศกสุขทุกข์ระทดเรื่องปลดปลง | เป็นตกลงเหมือนดังคิดไม่ผิดที |
คนพวกนี้มีความขลาดที่มาดหมาย | เป็นอย่างร้ายแรงครันแทบขวัญหนี |
คือไข้หัวกลัวร้ายวายชีวี | พากันลี้ละตำบลไม่ยลยิน |
หมดหมู่บ้านยกพากันล่าหลบ | คนไข้ซบเสือกกายอยู่ดายดิ้น |
เห็นหลายวันดั้นด้นมายลยิน | ถ้าม้วยสิ้นชีวาไม่อาลัย |
กลับมาอยู่สู่หาพาโขยง | แต่เรือนโรงหลังที่ผีอาศัย |
มิให้คงดำรงเก่าต้องเผาไฟ | แม้นเอาไว้ว่าพิษจะติดตัว |
ฟังฉงนจนจิตคิดระทด | มิตายหมดหรือยังไรออกไข้หัว |
เขาแจ้งความตามสงสัยมิให้มัว | มิหมอปัวแปลงอยู่ในหมู่ตน |
เป่าจมูกปลูกฝีดีชะงัด | เป็นยานัตถุ์เหน็บวางข้างละหน |
แล้วออกฝีดีนอนไม่ร้อนรน | ทุกทุกคนปลูกทันไม่อันตราย |
ถ้าฝีปลุกสุกสมอารมณ์มาด | ก็ไม่คลาดเคลื่อนที่ออกหนีหาย |
อยู่รักษาพยาบาลสำราญกาย | ไม่กลัวตายติดเหมือนฝีที่ขึ้นเอง |
อันตัวยามาแต่จีนเป็นสิ้นเสร็จ | กับสะเก็ดฝีกะเทาะพอเหมาะเหม็ง |
บดระคนปนปามกันตามเพลง | ปลูกกันเองขึ้นออกทั่วไม่กลัวภัย |
ครั้นทราบความตามยุบลพวกคนป่า | เล่ากิจจาชี้แจงแถลงไข |
แล้วต่างคนต่างพากันคลาไคล | เข้าค่ายใหญ่เย็นน้ำค้างลงพร่างพราว ๚ะ |
๏ พระสุริยนเย็นพยับลับสิงขร | อนาถนอนนิ่งตรมระทมหนาว |
ต้องอาศัยไฟดังกันพรั่งพราว | ขอหยุดกล่าวกลอนนิราศลีลาศลิบ |
จะนำเหตุเศษเสริมมาเติมพลอด | หนาวปรอทฟาเรนไฮต์ได้สี่สิบ |
ครั้นรุ่งเที่ยงอาทิตย์ส่องขึ้นห้องทิพย์ | เพียงเจ็ดสิบดีกรีมีอัตรา |
ลงนิ่งจนทนสั่นอยู่งันงก | เหมือนโปฎกแดดิ้นถวิลหา |
ไม่มีรังร้างร้ายอยู่ชายนา | หยาดนภาเย็นหยดระทดกาย |
พอมีตรามาประทานท่านแม่ทัพ | อ่านสดับได้สมอารมณ์หมาย |
ที่สิบแปดปีจอข้อภิปราย | โปรดให้จ่ายเสื้อผ้ามาประทาน |
ทั้งกองทัพรับทั่วจนตัวไพร่ | ค่อยอุ่นใจปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ |
พร้อมทั้งยารักษาไข้กันภัยพาล | ทรงประทานโดยพระทัยมิได้ลืม |
ทุกสิ่งหวังดังประสงค์ทรงธุระ | ควรมานะนึกคิดให้จิตปลื้ม |
จะลำบากยากอย่างไรอย่าได้ลืม | ตั้งจิตดื่มเดี๋ยวคิดกิจการ |
สนองคุณบุญเบื้องบทเรศ | โดยพิเศษสุดลงในสงสาร |
บุตรนัดดาถ้าคงดำรงการ | คงสำราญเรืองยศปรากฏไป |
รำพันบ่นทนร้างอยู่กลางหาว | คอยสืบสาวราชกิจวินิจฉัย |
พอมีตราหากลับกองทัพไป | อย่าทันให้ถูกฝนทนระมาน |
ได้รับตราน่าชื่นอกตื่นเต้น | ดังจะเผ่นขึ้นนภามหาสถาน |
สรวลระริกซิกซี้ฤดีดาล | ก็กะการกองเวรให้เกณฑ์เรือ |
มาพร้อมเพรียงเรียงลำประจำท่า | มีมาลาลื้อขาวแลลาวเหนือ |
ล้วนเจนจัดสันทัดข้างหนทางเรือ | ก็จ่ายเจือให้ประจำทุกลำไป |
พวกฮ่อทู้ไปกับหมู่พวกคำสาม | ออกล่องหลามล่วงหน้ามาไสว |
ท่านแม่ทัพรอท่าไม่คลาไคล | ต่างร้อนใจจำนิ่งประวิงความ |
ในหัวอกเหมือนหนิ่งครกเข้าตำแป้ง | แทบจะแล่งลั่นเลื่อนเมื่อเดือนสาม |
จนขื้นค่ำจำจดกำหนดความ | อังคารสามโมงเช้าจึ่งเข้าเรือ |
ล่องน้ำยมอารมณ์รื่นค่อยชื่นชุ่ม | นั่งสุขุมคิดหวังเห็นฝั่งเฝือ |
ล้วนเชิงซุ้มพุ่มผกาลัดดาเครือ | คะนึงเนื้อนวลใจพลางไคลคลา |
ดูน้ำยมสมถวิลกระสินธุ์ใส | ช่างหลั่งไหลเรื่อยรี่ดีนักหนา |
ไม่มีแก่งเกาะขวางทางนาวา | ล่องลอยมาในนทีได้สี่โมง |
ออกน้ำนัวพัวพื้นดูดื่นหิน | ไม่มีดินดอนศิลาช่างอ่าโถง |
เกาะสลอนก้อนไศลเห็นใหญ่โยง | ไม่มีโล่งแลตั้งสองฝั่งราย |
ในพื้นธารดลทอนล้วนก้อนหิน | ศีขรินทร์รอราท่ากระสาย |
เรือกระทบหลบไม่ทันจรัลจราย | หลีกทางซ้ายขวากระแทกแทบแตกแตน |
บางแห่งตื้นฝืนฝ่ามาไม่ไหว | เรือควรไลแล่นผิดไปติดแขวน |
ต้องลากเข็นเล่นบนหินเหมือนดินแดน | ด้วยทางแกมเกินยากลำบากจริง |
นั่งในเรือเบื่ออารมณ์ไม่ชมช้า | นอนหลับตาตั้งใจจะให้นิ่ง |
เรือกระเทือนเตือนศีรษะที่พะพิง | เหมือนผีสิงสั่นงกหกคะมำ |
บางทีโผนโดนประดังเข้าจังหน้า | คนถลาโลดล้มลงจมคว่ำ |
เรือก็แตกแหลกทลายลงหลายลำ | สุดจะรำพันชี้คดีแสดง |
อุปมาเหมือนชลาเชลหิน | ไม่มีดินทรายปนระคนแข็ง |
ตั้งเป็นแง่แลสลับลำดับแซง | เอาเรือแข่งเข็ญหินแล่นลิ้นลา |
บ้างเป็นแก่งแรงร่ำน้ำไหลเชี่ยว | ดูกลอกเกลียวคลื่นกลบกระทบผา |
เสียงกึกก้องห้องไศลในชลา | แวะนาวาขนของขึ้นกองเนิน |
พวกคนเรือเหลือใจเขาไวว่อง | เอาเรือล่องลงแก่งดูแข็งเขิน |
ถือถ่อจ้องป้องหัวกลัวพะเนิน | เสียงร้องเกริ่นเกรียวไปในนที |
แล่นละลิวฉิวแชริมแง่หิน | สายกระสินธุ์ปัดเบียดเข้าเสียดสี |
ขูดเป็นขุยกุยกีกหลีกนาวี | บ้างเสียทีกระแทกล่มลงจมชล |
เป็นหาดแก่งแห่งละหานล้วนธารห้วย | บ้างเป็นกรวยโกรกขวางทางสถล |
จะชี้ย่านขนานนามตามตำบล | ก็เห็นล้นเหลือจัดคัดประเด็น |
จึงจดจัดคัดแต่ที่มีประหลาด | เห็นมีหาดหนึ่งฟุ้งเรียกปุงเหม็น |
มีควันกลุ้มคลุ้มเคล้าทุกเช้าเย็น | กลิ่นเหมือนเช่นกำมะถันต้องควันเพลิง |
พอเย็นย่ำค่ำทอดเข้าจอดพัก | เนาสำนักชลาลำแม่น้ำเหลิง |
มฤครายชายป่าเที่ยวร่าเริง | วิ่งตามเซิงซุ้มร้องคะนองไพร |
เสียงปีบเปิบกำเริบเร้าบนเขาโขด | บ้างก็โลดลงแควกระแสใส |
ดื่มกระสินธุ์ลิ้นลาเข้าป่าไป | เที่ยวแล่นไล่ลองเชิงระเริงลาน |
สดับฟังละมั่งร้องคะนองคู่ | เป็นหมู่หมู่มุ่งชมประสมสาร |
อุระร้อนนอนเรือเหลือรำคาญ | เร่งทิวารวันให้รีบไคลคลอ |
ให้เปล่าเปลี่ยวเสียวกระสันอกตันตื้น | ไฉนคืนนี้ช้านักหนาหนอ |
พระสุริยันฉันใดจึงได้รอ | ไม่สอดส่อแสงส่องให้ผ่องพรรณ |
หรือจะดับลับล่องไม่ส่องโลก | ทิ้งให้โศกเศร้าใจอยู่ไพรสัณฑ์ |
แล้วหวนนึกรู้สึกมาเราบ้าครัน | เดือนตะวันเห็นไม่หวังเหมือนดังคิด |
จิตเราร้อนนอนรัญจวนเฝ้าครวญใคร่ | เพราะอยากไปปะนุชจึ่งหงุดหงิด |
นึกเวียนวนจนนภาผ่องอาทิตย์ | พลางพินิจแนวผานาวาเดิน |
บางภูผาน่าสงสัยครรไลลุ | มีน้ำพุพุ่งมาแต่หน้าเผิน |
เหมือนท่อธารซ่านกระแสแลเจริญ | นั่งชมเพลินพลางคิดพินิจเนา |
ใช่วสันต์ฉันใดไฉนหนอ | จึ่งมีท่อธารล้นมาบนเขา |
เสียงออกซู่พรูพร่างไม่บางเบา | ครั้นจะเล่าหลากใจครรไลเลย |
ค่อยเลียบเลาะเกาะแก่งแหล่งไศล | เหลืออาลัยลานตานิจจาเอ๋ย |
ไม่ปรุโปร่งโล่งเลี่ยนเตียนบ้างเลย | พอได้เชยชูจิตที่คิดครวญ |
เห็นติดดันหันหาท่าสนุก | พอแก้ทุกข์ถ่อนาวาเฮฮาสรวล |
ถลากถลำคํ้าลื่นไม่ชื่นชวน | ลงหอบรวนนั่งราในนาวี |
คนถ่อท่องร่องน้ำคลำที่ลึก | อึกทึกแถวทางหว่างวีถี |
บ้างติดขวางหว่างศิลาทวนวารี | ท่องนัททีเข็นคํ้ากันร่ำมา |
ในน้ำนัวนี้เขากลัวตลอดย่าน | มีคำขานภาษิตประดิษฐ์ว่า |
บุตรชายเดียวเที่ยวท่องท้องธารา | มิให้มาน้ำนัวเขากลัวนัก |
นี่จำเพาะเคราะห์กรรมทำไฉน | จึ่งครรไลลอยลึกมาอึกอัก |
แต่ไม่ทุกข์ชุกเฉินให้เกินนัก | ด้วยตั้งพักตร์กลับกล่อมถนอมนวล |
เร่งนาวาราตะวันจรัลร่ำ | ทุกคืนค่ำขุ่นข่มเหมือนลมหวน |
แล่นลัดเกาะเลาะไศลใจรัญจวน | เรือก็ป่วนปะแก่งต้องแบ่งเบา |
เอาพวนพันขันโปรยเหมือนโรยรอก | ให้ตรงซอกกระแสหลบแง่เขา |
เวียนขนขึ้นขนล่องท่องลำเนา | เหลือจะเล่าล่องมาสามราตรี |
เห็นตำบลชลชานในดาลด้าว | เรียกสบนาวแนวแควกระแสสี |
คนอาศัยในจังหวัดริมนัทที | มีโรงรีเรอะระเป็นพะเพิง |
อันมนุษยสุดซนพึงสังเกต | จนปลายเขตป่าไพรไศลเหลิง |
เที่ยวตั้งหมู่สู่สถานสำราญเริง | ตามแต่เชิงชอบจิตเขาคิดกัน |
จะตีชาว่าเขานั้นเง่าโง่ | เที่ยวซุ่มโซเซาป่าพนาสัณฑ์ |
ชอยนิสัยใครก็สุขสนุกครัน | ด้วยจิตหันเห็นทางนั้นต่างใจ |
เหมือนเช่นเราเขาจะมาว่าให้หยุด | อย่ารีบรุดรอจอดทอดอาศัย |
เข้าจอดนอนผ่อนสบายพอหายใจ | เราคงไม่ฟังว่าเหมือนวาที |
นั่งบ่นเบื่อเรือไปจนไกลย่าน | มาถึงบ้านสบยามตามวิถี |
อยู่เชิงโขดเขตป่าพนาลี | ประชาชีชาติผู้ไทยครรไลเลย |
ได้สี่วันดั้นเดาทุกเช้าค่ำ | ออกจากน้ำนัวมาไม่ช้าเฉย |
ถึงน้ำอูดูกระแสเป็นแง่เงย | ไม่เลี่ยนเลยล้วนศิลาเป็นท่าทาง |
ดูวุ้งเวิ้งเชิงผาชลาลั่น | เสียงครื้นครั่นคลื่นระลอกกระฉอกผาง |
มีแก่งลำน้ำโจนเรียกโพนจาง | ก็หยุดค้างคั่งพลดลประดัง |
ด้วยเสนาพระยาลาวชาวเมืองหลวง | มาจัดพ่วงแพรายไว้หลายหลัง |
มาคอยรับทัพใหญ่ระไวระวัง | โดยรับสั่งองค์ท้าวเจ้านคร |
กับเรือทรงองค์มาลาวราราช | ฝีพายดาษแดงโชลสโมสร |
พักถ่ายลำจำราในสาคร | ต้องแรมผ่อนพักทัพระงับใจ |
เสียงครึกครื้นพื้นกระแสออกแซ่ซ้อง | สนั่นห้องห้วงมหาชลาไหล |
นอนนึกเสียวเปลี่ยวอกสะทกใจ | กลัวแพไหลลอยล่องลงท้องธาร |
ให้หวั่นไหวใจหายไม่วายหวน | ไปดูพวนพันพักเป็นหลักฐาน |
กลับมานอนถอนฤทัยอาลัยลาน | พระสุริย์ฉานฉายศรีก็ลีลา |
เปิดแพลอยปล่อยรายสายกระแส | ทีละแพน้ำพาลเสียงฉานฉ่า |
น้ำแก่งนูนพูนล้นพ้นชลา | ประมาณวาวูบกระแสที่แพลง |
เสียงโครมครื้นพื้นแพกระแสล้น | แสยงขนนั่งคิดพิศวง |
แม้นแพแตกแหลกทลายกระจายลง | เห็นชีวงวายวางอยู่กลางชล |
ล้วนแต่หินศิลลาระดาดาษ | คลื่นจะฟาดฟัดแหลกกระแทกป่น |
บกว่ายากลำบากเบื่อเห็นเหลือทน | มาล่องชลก็ยิ่งซ้ำแสนรำคาญ |
อกเอ๋ยอกตกระกำกระอำกระอาก | ตั้งแต่จากนุชน้องครองสถาน |
ทุกข์ถึงกายหมายถึงมิตรนิจกาล | ฤดีดาลเดือดกว่าชลาลัย |
ล่องแพเลยเชยชาลละลานลับ | ถึงน้ำอับนิ่งอึ้งดูซึ้งใส |
มีละเมาะเกาะกั้นเป็นหลั่นไป | ต้นตะไคร้น้ำครึ้มดูครึมเครือ |
แพลอยวนคนแซวไม่แคล่วคล่อง | ช้ากว่าล่องแพเนื่องจากเมืองเหนือ |
จะพายถ่อก็ไม่คล่องเหมือนล่องเรือ | เห็นเต็มเบื่อวิบากกรรมต้องทำเนา |
เป็นความจริงสิ่งยากที่จากนุช | นี่แลสุดสูงกว่ารุกขาเขา |
แม้นจะจรดอนป่าพนาเนา | หรือขึ้นเขาลงน้ำข้ามชเล |
ถ้าบุคคลดลได้แล้วไม่ท้อ | เห็นจะพอตามทันที่หันเห |
แม้อับปางร่างร้ายลงดายเด | ก็สิ้นเวลาโลกที่โศกมา |
รำพันเพ้อเผลอไผลดูไหลเลื่อน | แพก็เคลื่อนคลาคลาดถึงหาดสา |
คนผู้ไทยทำไร่ริมชลา | ปลูกต้นยาสูบสะพรั่งกำลังยล |
ประเทศถิ่นกระบิลบ้านขี้คร้านแจก | จะแยะแยกยืดเห็นไม่เป็นผล |
มีหรอมแหรมร้างราไม่น่ายล | จะร่ำบ่นนักจะว่าเป็นบ้ากลอน |
จึ่งกล่าวลัดตัดย่อข้อละน้อย | ถึงเมืองงอยเหงาในฤทัยถอน |
เข้าพักพลยลบุรีทวีวอน | เป็นนครด่านขั้นเมืองชั้นใน |
มีโขดเขาเสลาตั้งสล้างติด | แลเหมือนปิดป้องแควกระแสใส |
หน้าบุรีมีดอยลอยวิไล | แม่ทัพให้สร้างทรงองค์เจดีย์ |
แต่เมื่อมาพักทัพได้จับสร้าง | ออกเงินจ้างจัดประมวลไว้ถ้วนถี่ |
แล้วสำเร็จเสร็จประสงค์องค์เจดีย์ | จึ่งได้กรีพลกรูขึ้นบูชา |
ดูเอี่ยมอ่องผ่องพรรณทรงสัณฐาน | มโหฬารลอยชูบนภูผา |
เหลี่ยมหนึ่งฐานประมาณงามสักสามวา | สูงนภาผ่องกลมพอสมทรง |
ท่านแม่ทัพทัศนาด้วยปราโมทย์ | ตั้งมาโนซญ้นอบนบประสบสม |
ศรัทธาทานการเจดีย์โดยนิยม | ทำการสมโภชกันให้ทันการ |
นิมนต์เจ้าหัวขรัวลาวกล่าวคาถา | สวดภาษาลาวสิ้นระบิลสาร |
ครั้นสิ้นแสงสุริยาเวลากาล | มีลาวอ่านหนังสือร้องทำนองนวล |
ทั้งสาวหนุ่มประชุมล้อมกันพร้อมพรั่ง | เอาผ้าบังโอษฐ์โอยทำโหยหวน |
กล่าวคำโลมโฉมศรีให้ยียวน | ผู้สาวทวนถ้อยชายพี่อ้ายเอย |
น้องนี้มักหักเว้ากับเจ้าแท้ | ให้ตับแกกินขิงข้าจริงเอ๋ย |
ช่างสบถลดเลียบพูดเปรียบเปรย | เหลือจะเชยชื่นคำเขารำพัน |
จนรุ่งรางสร่างศรีรวีไข | ช่วยกันใส่ธารณะให้พระฉัน |
เลี้ยงสำเร็จเสร็จลาจากท่าพลัน | โดยอรัญวาเรศประเทศทาง |
บ้านตำบลชนบทมิลดลับ | จะจดนับแน่ชัดก็ขัดขวาง |
เป็นหย่อมหย่อมกระท่อมเถื่อนอยู่เกลื่อนทาง | บางแห่งร้างโรยราพนาเนา |
รายรุกขาปักษาเกาะเฉพาะพุ่ม | มีกระลุมพูมาปนระคนเปล้า |
มยูรยืนพื้นหญ้าพนาเนา | นิ่งคอยเจ่าจิกดักตัวตั๊กแตน |
นกเขาขันจรัลจรายทำฉายฉุย | คุ้ยลูกขุยคูลวงทำหวงแหน |
ตัวเมียรอคลอข้างทำหางแบน | แฉลบแล่นลมระเริงกระเจิงจร |
สกุณาชลาเลาะเสาะมัจฉา | มีนกกาน้ำจับสลับสลอน |
บ้างดำด้นค้นปลาในสาคร | บ้างเกาะซ่อนซุ้มอยู่เป็นคู่เคียง |
ปากมันงุ้มแลงอเรียกขอช้าง | ปืนยิงผางแผดร้องออกก้องเสียง |
ตัวหนึ่งตกหกคะเมนลงเอนเอียง | ตัวหนึ่งเรียงเรียกหาถลาลม |
เที่ยวร่อนร้องท้องชลาเรียกหาเพื่อน | คิดดูเหมือนตัวพี่ที่สู่สม |
อยู่หลัดหลัดพลัดคู่เคยชูชม | ต้องระทมทุกข์ถึงขวัญอนันต์เนือง |
เห็นนกเงีอกเถลือกถลาเที่ยวพาคู่ | พินิจดูดำทั้งตัวแต่หัวเหลือง |
สลับเหลือบเคลือบแดงแสงประเทือง | ออกบินเนื่องนำคู่ไปสู่รัง |
นกนี้จำคำลาวเขากล่าวเรียก | เพราะสำเหนียกนึกมั่นสุวรรณหวัง |
ศีรษะสุกปลุกปลื้มให้ลืมชัง | จึงได้ตั้งนามนกเรียกกกดำ |
ยลปักษาพาหมู่เป็นคู่จับ | พอไปลับเลื่อมลามคิดความขำ |
เวลานี้มีวิตกอกระกำ | ต้องนิ่งจำจากใจให้ประวิง |
อันกำเนิดเกิดร่างก็อ้างสัตว์ | มีนามชัดชื่อหมายเป็นชายหญิง |
จึ่งเป็นสองครองรักอยู่พักพิง | นี่มาทิ้งทุกข์ขวัญให้รัญจวน |
แสนละห้อยลอยน้ำมาตามคลื่น | ถึงเมืองชื่นชวนให้ฤทัยหวน |
เห็นลื้อสาวลาวกระหยิ่มมายิ้มยวน | เหมือนจะชวนชักชื่นสักหมื่นปี |
แลผาดไปวิไลล้วนเป็นนวลเปล่ง | กำลังเต่งตั้งถันวรรณฉวี |
ล้วนไว้ผมสมหน้าไม่ราคี | มุ่นเกศีสวยเฉลิมยิ่งเพิ่มพูน |
เพ่งพินิจพิศพาอุราเสียว | นึกเฉลียวละลายรักให้หักสูญ |
ใยมาหลงทรงนางต่างตระกูล | จนอาดูรดาลกระมลเฝ้ายลยิน |
ไม่น่าอยู่สู่หากับปลาแดก | จะสู้แบกรักโร่ไปโกสินทร์ |
หาหมู่จ่อมกุ้งเจ่าเคล้าประทิน | จรุงกลิ่นรสกลืนจะชื่นทรวง |
คิดหักหายรายรออยู่พอรุ่ง | ก็ลอยพุ่งถึงตำแหน่งเรียกแก่งหลวง |
เป็นแก่งใหญ่ไศลแลให้แดดวง | แก่งทั้งปวงเป็นไม่เท่าจึ่งเล่าลือ |
อันแก่งทั้งแก่งแพะจะแยะแยก | ทั้งแก่งแจกแก่งจายมีรายชื่อ |
ก็กันกลล้นกระแสแลกระพือ | เสียงออกอื้ออ้าวลั่นอยู่ครั่นครืน |
จะจดร่ำจำเรื่องล้วนเครื่องหิน | ในวารินแรงรุดเห็นสุดฝืน |
แต่ก็ต้องล่องล้ำสู้กล้ำกลืน | นิ่งข่มขืนขุ่นข้องลงล่องแพ |
สลับสลอนก้อนสล้างบนหลังน้ำ | บ้างคลาคล่ำเคลือบไคลในกระแส |
บ้างพึ่งผุดผลุดโผล่โชลแล | พอปริ่มแง่ปริง้ำดูรำไร |
ล้วนเนินลาดหาดหินไม่สิ้นสุด | แพสะดุดโดนลั่นเสียงหวั่นไหว |
ลูกบวบแตกแหลกลู่ลากถูไป | ต้องมัดใหม่หมุนชะเนาะเป็นเปลาะโยง |
ด้วยทางเลี้ยวเงี้ยวงอเป็นข้อศอก | จำเพาะซอกแพสบกระทบโผง |
คนเคียนคํ้าถลำเถลือกเอาเชือกโยง | ชักโชลงเลื่อนลากออกจากวน |
แพหนึ่งแตกแหลกยับอยู่กับแก่ง | คนแขย่งยึดเกาะวิ่งเสาะสน |
เสียเสบียงเกลี้ยงหายในสายชล | ทำหน้าจนนิ่งเจ่าอยู่เปล่ากาย |
บ้างวิ่งวนบนเกาะเที่ยวเสาะสาง | ขนของวางไว้ออกเพรื่อดูเหลือหลาย |
ปล่อยแพเปล่าเบาเบียดพอเฉียดชาย | แล้วจอดรายรับของลงกองแพ |
จนเวลาสายัณห์กระสันเศร้า | กำเริบเร้าร้อนทรวงถึงดวงแข |
เสร็จการศึกนึกสมไม่ชมแช | ได้ล่องแพผินหน้าไปหาเรียม |
กลับมารบกระทบผาให้ว้าหวาด | ระดาดาษดูพราวช่างห้าวเหี้ยม |
ไม่หลีกหลบกระทบกระแทะทำและเลียม | แกล้งให้เตรียมตรมช้าเวลาจร |
นึกเคืองคิดแม้นมีฤทธิ์ระเบิดได้ | จะพังให้หักกลิ้งทุกสิงขร |
ไม่ทุกทับอับปางหนทางจร | ให้อาวรณ์หวังในใจจำนง |
แต่เช้าล่องท่องธารดาลสะดุด | พอเย็นหยุดยั้งจิตพิศวง |
เฝ้าร้อนรักหนักทรวงให้ง่วงงง | จนแพลงเลี้ยวชะวากถึงปากอู |
เห็นเซิงซุ้มทุ่มทวารละลานล้ำ | อยู่กลางน้ำแนวแควกระแสสู้ |
สงฆ์ธยายปรายปรนน้ำมนต์พรู | ปราบศัตรูภูตผีโดยฎีกา |
พอแพลอยคล้อยทวารถึงลานลาศ | เข้าจอดหาดทรายพลันโดยหรรษา |
มีเจ้านายฝ่ายขุนนางข้างมาลา | กับพระยาสุโขไทยประไพพักตร์ |
มาคอยรับแม่ทัพท่าชลาสินธุ์ | โดยความยินดีอุดมดูสมศักดิ์ |
ต่างพร้องเพราะเราะรายร้องทายทัก | ด้วยความรักร่วมอารมณ์พนมวัน |
ท่านคิดขำซ้ำถามเนื้อความหลัง | เมื่อเดินยั้งหยุดป่าพนาสัณฑ์ |
คเนรู้ตัวหัวร่อกันงองัน | แล้วเชิญครรไลลาศขึ้นหาดทราย |
เขาจัดทำปะรำเรียบให้เทียบทัพ | แต่งประดับดอกอุบลวิมลฉาย |
ระบัดใบไม้เฟื่องดูเรืองราย | ทั้งหญิงชายมาช่วยอำนวยพร |
พระสุริยนสนธยาลีลาลับ | มีลาวขับแคนโลมโฉมสมร |
เห็นครั่นครื้นชื่นหน้าเฝ้าอาวรณ์ | คิดสมรที่หมายไม่วายเลย |
หญิงเข้าคลอรอชายทำส่ายหน้า | ตอบวาจาสัจจริงไม่นิ่งเฉย |
ล้วนเรื่องรักชักต่อเหมือนคอเคย | ต่างพูดเย้ยยั่วใจเป็นไมตรี |
ล้วนระเริงเริงสำราญดูบานเบิก | แต่พอเลิกสุริย์ใสขึ้นไขศรี |
ก็ลอยเลื่อนเคลื่อนมาในวารี | ออกนทีธารของซ้องสำราญ |
ทั้งหญิงชายฝ่ายลาวชาวเมืองหลวง | ลงเรือพ่วงแพเรียงเคียงขนาน |
ดูอัดแอแซ่ซ้องในท้องธาร | ขับประสานเสียงโห่เป็นโกลา |
ตลอดลำน้ำของค่อยล่องล่วง | ถึงเมืองหลวงพระบางพลันจิตหรรษา |
เห็นลาวสาวชาวเมืองเนื่องกันมา | ดูประดาประดังรายริมชายชล |
แพเข้าเทียบเลียบราริมท่าของ | วัดเชียงทองที่รับดูสับสน |
ขุนนางลาวเจ้ามาลาประชาชน | ล้วนแต่งตนเต็มยศหมดทั้งเมือง |
ถือพานทองรองมาลีสีสลับ | แลระยับย้อยสุวรรณเป็นหลั่นเหลือง |
ลงมาเชิญเดินตามอร่ามเรือง | ให้สู่เมืองหมายในน้ำใจจง |
ท่านแม่ทัพรับเชิญดำเนินหน้า | ขึ้นบนอารามรุมประชุมสงฆ์ |
เข้าในโบสถ์มาโนชญ์นบเคารพองค์ | พระผู้ทรงศิลาสมาทาน |
สวดไชยันกันภัยให้ยถา | พอจบลาลุกออกนอกวิหาร |
ออฟิเซอร์เสนอหน้าชลาลาน | บอกประสานศัพท์ดังระวังตัว |
ทหารปืนยืนกำเป็นลำดับ | บอกคำนับอารุธลั่นสนั่นทั่ว |
แตรบรรเลงเพลงเดินไม่เมินมัว | เปิดเมตรัวระวังเท้าทุกก้าวไป |
ท่านแม่ทัพกับตัวนายก็รายรี่ | ขึ้นพาชีชักเผ่นดูเต้นไหว |
มาถึงซุ้มพุ่มสถานทวารไพร | สิทธิไชยชื่อชี้คดีนาม |
ประดับดวงพวงผการะย้าย้อย | ดูลิ่วลอยเลิศสุดมงกุฎสยาม |
รัศมีสีระยับเข้าจับอาร์ม | แลอร่ามลายงาเอราวัณ |
ช่างวิจิตรพิศพาอุรารื่น | ดังได้ชื่นชมพารามหาสวรรย์ |
ไอยราถลาโลมโพยมคัล | ลงมายันยืนทวารตระการดี |
สามเต้าตั้งปลั่งเปล่งเพ่งกระเพื่อม | น่าจะเอื้อมแอบกระพองประคองศรี |
ระใบระบัดฉัตรชูทั้งคู่มี | ราชสีห์สองทรงดำรงคัน |
ตัวหนึ่งคชพยศผยองลำพองโผน | ดังจะโจนจากพระยาเอราผัน |
ราชสีห์ทีก็เป็นเหมือนเช่นกัน | ดังจะครรไลรับกองทัพรุต |
แต่พานทองรองระบายเขียนลายหลาก | เป็นรูปนาคขนดคำนับรับมงกุฎ |
บอกนามตั้งครั้งปฐมที่สมมุติ | นาคนะหุตเห็นตรงเหมือนจงใจ |
ริมทวารร้านสงฆ์บรรจงสาด | น้ำมนต์ปราดปรายวิบัติปัดไถม |
ชักม้าน้อยซอยเต้นด้วยเย็นใจ | พลางครรไลแลชมภิรมยา |
สองฟากทางสล้างลาวแลขาวเขื่อง | ผิวเนื้อเหลืองล้วนแต่มือถือบุปผา |
ที่มีมั่งตั้งโอโอ่พักตรา | ดูสง่างามสงวนล้วนหรัญ |
ที่เฒ่าแก่แซ่ซ้องเสียงส้องสา | ให้สถาพรยิ่งทุกสิ่งสรรพ์ |
กระบวนเดินเพลินแตรดูแจจัน | เสียงสนั่นแน่นทางกลางนคร |
ดูครึกครื้นชื่นหน้าสถาผล | มายินยลไชโยสโมสร |
ถึงตลาดยาตรย้ายเข้าท้ายดอน | มีซุ้มซ้อนสลับขั้นเป็นชั้นกลาง |
ดูงามสมคมสันเหมือนชั้นต้น | ดำเนินพลพักค่ายทำใหญ่กว้าง |
ลัดดาดวงพวงไหวระใบบาง | ปักธงช้างชูฉัตรสะบัดลม |
ท่านลงม้าคลาคลาดค่อยยาตรเยื้อง | อนันต์เนืองขุนนางลาวชาวสนม |
จัดเครื่องลาดสะอาดดีมีอุดม | แต่ล้วนพรมเจียมปูให้ชูใจ ๚ะ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้านครถาวรถวิล | เธอทรงยินดีจิตพิสมัย |
มาคอยรับแม่ทัพยิ้มกระหยิ่มใจ | ดูประไพพักตร์ผ่องละอองนวล |
แม่ทัพขึ้นพื้นชลาถึงหน้ามุข | เจ้าหลวงลุกรับรองประคองสงวน |
ท่านแม่ทัพคำนับงามตามกระบวน | เธอสำรวลร่ำรักทรงทักทาย |
เชิญให้นั่งยังพรมภิรมย์ราช | ระดาดาษด้วยเจ้าลาวทั้งหลาย |
พร้อมนายทัพนายกองอยู่รองราย | เติมอีกนายหนึ่งกระทรวงข้าหลวงรอง |
ตำแหน่งยศจดใส่ในลิขิต | ชื่อหลวงพิศณุเทพเป็นที่สอง |
ต่างทักถามตามมีไมตรีตรอง | ดูแซ่ซ้องศัพท์ประสานดาลฤดี |
พระสงฆ์สวดรวดรักลักตลบ | แต่พอจบเจ้ามาลาก็บาศรี |
คือทำขวัญพันหัตถ์สวัสดี | โดยคัมภีร์ไสยสร้างแต่ปางบรรพ์ |
แล้วเล่นการงานระเริงสำเริงราช | ด้วยสมมาดมาโนชญ์โปรดกระสัน |
ให้ร้องป่าวสาวกำลังมานั่งงัน | ชายประชันขับชมแทบงมงง |
ธรรมเนียมงันนั้นผู้หญิงนิ่งพิงฝา | เสนอหน้านั่งรายดูคล้ายสงฆ์ |
โต๊ะลาววางขวางจังหวะทุกอนงค์ | จัดประจงเจียนจักฟักสุวรรณ |
นวลละอองผ่องพักตร์หั่นฟักเขียว | ให้นึกเสียวจิตจับแทบรับขวัญ |
ห่มผ้าสร้อยลอยหน้าตาเป็นมัน | ลางบางพันหมากม้วนน่าชวนชม |
สาวน้อยน้อยซอยขิงนิ่งนิ่งเฉย | ผู้บ่าวเย้ยยั่วเย้าทำเกล้าผม |
ลางบางเกล็ดเม็ดถั่วกินฟังลิ้นลม | เจ้าคารมร่ำแก้ไม่แพ้ชาย |
เป็นสามคืนครื้นครันสนั่นเนื่อง | พวกชาวเมืองชื่นชมอารมณ์หมาย |
มาเยี่ยมเยือนเชือนทักพูดทักทาย | มิได้วายวันชื่นทุกคืนวัน ๚ะ |
๏ นับกำหนดจดจำลำกระแส | แต่ล่องแพพาให้ใจกระสัน |
ถึงเชียงทองได้สิบหกขึ้นบกพลัน | เดือนสี่วันแรมค่ำหยุดสำนัก |
คอยเพี้ยท้าวลาวผู้ไทยที่ได้นัด | จนถึงผัดผิดใจไม่ประจักษ์ |
จึ่งนำผ่อนรอนราอยู่ท่าพัก | ละล่ำละลักเหลือใจพิไรจริง |
ให้ร้อนรุ่มกลุ้มอกเหมือนตกถัง | จะนอนนิ่งหนาวจิตคิดสุงสิง |
เห็นแต่สาวลาวลีลาศลองพาดพิง | เหมือนหนึ่งยิ่งยุให้กลุ้มถึงพุ่มพวง |
ทุกทิวามาค่ายเที่ยวขายของ | ด้วยทำนองนางงามไม่ห้ามหวง |
ทางสุนทรอ่อนหวานให้ดาลทรวง | เขาช่างลวงโลมเล่ห์ประเวณี |
แม้นพูดเกี้ยวเลี้ยวลดกระชดกระช้อย | ว่าข้าน้อยนึกมักไม่พักหนี |
เกรงแต่เว้าเปล่าล่าไม่ปรานี | ข้าน้อยนี้คนยากขอฝากตัว |
เรารับรักหักหวนสำนวนพลอด | เห็นบอฮอดฮักคุณใช่บุญหัว |
ชักทำเนียบเปรียบของที่หมองมัว | ตัวของตัวต่ำอยู่ใช่คู่ครอง |
พูดตลบกลบกล้ำอยู่ร่ำรี้ | เฝ้าชวนชี้ชักรื้อให้ซื้อของ |
ผ้าดอกต่างอย่างวิไลทอไหมทอง | สำหรับคล้องคอผู้สาวลาวว่างาม |
เป็นริ้วรายลายสลับระยับสี | ชมว่าดีหยิบดูเหมือนงูหลาม |
อย่างหนึ่งฝ่ายลายชั้นเป็นหลั่นงาม | ดูอร่ามรายศรีแล้วมีครุย |
ที่ลาวสวยสำรวยรมย์ก็ห่มห้อย | เรียกผ้าสร้อยสีก่ำย้อมคำฝุย |
ดูแดงฉาดผาดสุกไม่รุกรุย | เหมือนมาคุ้ยจิตใจให้ประวิง |
อย่างหนึ่งเหมาะเพลาะติดสนิทแนบ | เป็นสองแถบคลุมเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง |
ชายเจ้าชู้ชอบห่มนิยมจริง | ทำกรุ้งกริ่งกรอสาวไม่กราวเกรียว |
ผ้าก้อมไหมใหม่เก่าเอามาขาย | โอตุ้มรายล้วนหิรัญเป็นมันเขียว |
ทองแดงปนระคนใส่ทุกใบเจียว | ขายไม่เรี่ยวแรงนักหนักเท่าตัว |
พูดซื้อขายบ่ายบากฝีปากจัด | ถูกที่หัดไว้ยิ้มกระหยิ่มยั่ว |
ผ้าสร้อยสีคลี่กันออกพันพัว | ขายจนนัวนั่งต่อกันรอรี |
อันคำคมลมลาวที่กล่าวห้าม | ว่าใครลามละเมิดจิตแล้วผิดผี |
แม้นถือตามความที่ว่าเหมือนวาจี | แล้วไม่มีสมมาดขาดเชลย |
อันความจริงสิ่งสมภิรมย์รัก | แม้นสมัครแล้วไม่มีผีเฉลย |
ผีเรือนร้างห่างแหไม่แลเลย | จนได้เคยขายส่งลงประจำ |
ซื้อสำเร็จเสร็จมาทั้งผ้าซิ่น | ไม่ขาดวิ่นไว้ดูเป็นคู่ขำ |
สิบห้าแถบแบบบทได้จดจำ | ครั้นซื้อร่ำแรงรุกขึ้นทุกที |
เป็นเวลาตลาดทัพกลับสถิต | เข้าตั้งติดขายพรูข้างภูสี |
ชิงกันขายรายกันรับทับทวี | จนถึงมีญาติมิตรสนิทนาน |
เที่ยวไปมาหาสู่ได้รู้จัก | ตามภูมิพักพิงพะเคหสถาน |
มีโรงเรือนเกลื่อนกลาดทำลาดลาน | ไม่ใช้ชานทำครัวในตัวเรือน |
ที่รับแขกแยกตัดช่างจัดสรร | ทำฝากั้นห้องหับไว้รับเพื่อน |
เป็นอย่างเดียวเจียวคิดไม่บิดเบือน | ดูช่างเหมือนหมายทำพอกำบัง |
ทุกทุกห้องมองเห็นเป็นประหลาด | เขาปูสาดสนิทดีไม่มีดั้ง |
ไม่โย้เย้เซซุนจุนประดัง | ไม้ไผ่ทั้งลำแซงทแยงมุม |
หลังคามุงปรุงปูเวฬูลำดับ | เอามาสับฟ่าทอนวางซ้อนสุม |
ล้วนไม้ไผ่ใช้กันประชันชุม | ตั้งเป็นกลุ่มกลุ่มดูดาษบุรี |
บ้างมุงหญ้าคาแฝกแยกอย่างใช้ | บ้างเอาใบกะพ้อมุงจรุงศรี |
แต่รูปเรือนเหมือนอย่างคิดไม่ผิดที | แปลกแต่ที่หลังคาน่าจำนง |
มีวัดหนึ่งขึงตั้งหลังทำเนียบ | ดูรื่นเรียบสะอาดดีเห็นมีสงฆ์ |
อยู่ในโบสถ์โสดภิกษุเหมือนธุดงค์ | ตั้งจิตจงเจตนาสมาทาน |
เพ่งพินิจพิศพระพุทธวิสุทธิ์ศรี | รัศมีเปล่งมองส่องประสาร |
เห็นแปลกเนตรพิเศษสรรค์อันตระการ | ก็วิจารณ์จงจิตเข้าพิศพักตร์ |
ถามพระสงฆ์องค์ที่เฝ้าเล่าแถลง | ท่านจึ่งแจ้งจริงใจให้ประจักษ์ |
ชื่อพระบางสร่างใสวิไลลักษณ์ | ซึ่งสำนักอยุธยามหานคร |
พระร่มขาวเจ้านิเวศประเทศราช | กราบทูลบาทบพิตรมหิศร |
ขอนิมนต์พระบางรับกลับนคร | ด้วยอาวรณ์หวังบูชาพุทธาองค์ |
จึ่งโปรดให้ราธนามาเหมือนหวัง | ให้สมดังความคิดพิศวง |
สถิตวิสุ่นอารามตามจำนง | รำพันพงศ์พุทธคุณน่าอุ่นใจ |
พลางแลชมอาศรมทรงจำนงนึก | โอฬารึกแลว่างทั้งกว้างใหญ่ |
รูปทรงคล้ายกระทายทองผ่องประไพ | แลวิไลลายระยับช่างจับตา |
ชื่อจันทันเขียนทองพื้นล่องชาด | ดูสะอาดเอกวิจิตรคิดเลขา |
พินิจพลางทางเลยลีลามา | ออกจากอารามดูภูคีรี |
เห็นอาวาสวิลาสลอยบนดอยเด่น | เขาขามเช่นชื่อพร้อมธาตุจอมศรี |
สถูปทองผ่องฟ้าไม่ราคี | จรลีเลาะลัดขึ้นมัสการ |
เห็นเก๋งกุฎหยุดชำเลืองค่อยเยื้องยาตร | มีพระบาทจำลองวางกลางสถาน |
แล้วขึ้นดูภูผาชลาลาน | มีหอขานยามตั้งคนนั่งมอง |
นาฬิกาอย่างเก่าไม่เข้าจักร | พอจมกักถึงก้นขันก็ลั่นก้อง |
เป็นสถานที่ตำแหน่งแห่งหอกลอง | ไว้ตีต้องยามย่ำประจำแดน |
แล้วลงเดินโคยวิถีค่อยลีลาศ | เห็นอาวาสหนึ่งจรัสเรียกวัดแสน |
ต้นส้มรายชายวิถีกุฎีแดน | ในเขตแคว้นเขมาสถาวร |
มีกุฎหนึ่งพึงตริกะฏิตึก | เห็นจารึกลายลักษณ์ตัวอักษร |
เป็นความลาวกล่าวพจน์จดสุนทร | หวังถาวรไว้ให้เห็นเป็นสำคัญ |
ปีกาหมดกำหนดใจเป็นไทแน่ | คือมะแมเบญจศกตกคิมหันต์ |
พันสองร้อยสี่สิบห้าเวลานั้น | เดือนสี่วันพฤหัสบดิ์อุบัติภัย |
แรมเก้าค่ำย่ำฆ้องตีกลองดึก | พยุครึกครื้นลั่นมาหวั่นไหว |
ฟ้ากระหึ่มครึมครวญรัญจวนใจ | ผลเห็บใหญ่ตกประดังแทบพังเมือง |
สักโมงหนึ่งตึงตูมภูมิสถาน | โบสถ์พิหารหักสิ้นดินกระเบื้อง |
ที่มุงไม้ไผ่ผุทะลุเปลือง | ดังกระเดื่องหักกระเด็นเป็นระนาว ๚ะ |
๏ ที่ลางผลโตเท่าพร้าวหมุนศรี | ถูกอินทรีย์สัตว์สิงห์เที่ยววิ่งฉาว |
เสียงวิหคนกร้องก้องเกรียวกราว | อรัญราวรุกขชาติขาดประลัย |
หมากมะพร้าวราวกระทบยุบขยี้ | เหมือนไม้สีฟันตรงไม่สงสัย |
ผลเห็บกลาดดาษด้าวทุกก้าวไป | แลประไพผ่องงามวะวามวาว |
ดังนครอมรแมนแดนกษัตริย์ | เกิดอุบัติวิเชียรบุษย์วิสุทธิ์ขาว |
มาดาษพื้นรื่นรายให้พรายพราว | ช่างเกลื่อนกล่าวถ้อยคำร่ำแสดง |
แต่สงสัยไพร่พลมีกล่นเกลื่อน | ไม่กล่าวเอื้อนอรรถชี้คดีแถลง |
ผลเห็บจะต้องข้องเข็ญไม่เห็นแจง | ให้จะแจ้งจริงใจในประเด็น |
เที่ยวคลาคลาดยาตรมาเวลาค่ำ | ฆ้องยามย่ำยลสาวเมื่อคราวเข็ญ |
ค่อยเดินท่อมด้อมมองตามช่องเซ็น | หญิงไม่เร้นนั่งราอยู่หน้าเรือน |
มีไฟจุดอนงค์นุชคงมีนั่ง | ทุกเรือนหวังไว้การประมาณเหมือน |
ที่มีชู้คู่รักไม่ชักเชือน | เข้านั่งเอื้อนแอบชิดพูดติดพัน |
ต่างเคลียคลอรอเรียงเสียงกระซิบ | ค่อยย่องกริบกรับฟังช่างกระสัน |
ร่ำตอบต่อข้อคำพูดรำพัน | ฟังแล้วตันเตือนรักหนักอุรา |
ตรงขึ้นชมโฉมลาวสาวเมืองหลวง | ที่กลางขวงคิดรักขึ้นหนักหนา |
ชายที่โลมหลบซ่อนนอนหลับตา | ได้พึ่งผ้าจ้องคลุมนิ่งกรุ่มตรอง |
เป็นแบบอย่างข้างเมืองหลวงโลมขวงสาว | ไม่ก้าวร้าวพิโรธใครให้ใจหมอง |
ต้องเพียรทนจนจริงคอยนิ่งปอง | ไม่คะนองในคารมให้คมคำ |
อันการขวงลวงลมเข้าชมโฉม | นี่ลามโลมเหลือจะคิดในจิตขำ |
อันสาวหนุ่มชุ่มเชยจนเคยคำ | แล้งคงพลำพลาดเชิงสำเริงรวย |
ข้างบิดามารดรสมรมิ่ง | แม้นชายทิ้งให้สะเทิ้นก็เขินขวย |
เห็นหนุ่มหนุ่มชุ่มเชิญคอยเอิ้นอวย | ปราศรัยด้วยประเดี๋ยวหลบเข้าซบนอน |
ปล่อยให้โลมลูกสาวคราวสวาท | ด้วยหมายมาดจะให้รักสมัครสมร |
ทุกบ้านเรือนเหมือนหมายไม่วายวอน | กล่าวสุนทรล้วนทางข้างประโลม |
ทุกทุกขวงบวงบุปผาเทพารักษ์ | ให้ช่วยชักชายภิรมย์มาชมโฉม |
มาลีร้อยห้อยขวงริมดวงโคม | แลประโลมล้วนประทิ่นกลิ่นกระพือ |
ถ้าจันทร์แจ้งแสงจ้าท้องฟ้าขาว | เสียงบ่าวสาวแซ่ประสานอ่านหนังสือ |
ทั้งเห่โห่โร่ร่ำคำระบือ | ล้วนแต่รื้อเรื่องรักที่พักพัน |
เที่ยวเดินดูคูคมคารมเขา | ช่างขี้เมาโมเยเดินเหหัน |
ทั้งดรุณรุ่นระเริงเริงจรัล | อีกฉกรรจ์แก่เฒ่าช่างเมามาย |
หญิงเป็นกลุ่มกลุ้มเมาเหล่าผู้หญิง | ชายเข้าอิงแอบเอียงทำเมียงหมาย |
โลมระเริงเชิงชู้เที่ยวกรูกราย | แม้นถูกรายเรื่องรักจะชักชัง |
ก็เซิ้งใส่ไหล่คลอเข้ารอรื้อ | คุ้ยกระพือแผดใส่ไม่ไว้หวัง |
เรื่องที่ลับกลับขึ้นชูดูประดัง | เห็นเต็มฟังเฝือโสตไม่โอดครวญ |
เป็นหมู่หมู่ดูดื่นเสียงครื้นครั่น | บรรลือลั่นล้วนแต่เสียงสำเนียงสรวล |
ว่าการรื่นชื่นชมภิรมย์ชวน | ออกลอยนวลนาฏครรไลว่าไปปัง |
มีหม้อใหม่ใส่ของประคองกอด | เหมือนไปทอดผ้าป่าที่ว่าหวัง |
ไม่กำหนดพจนาเวลาบัง | ทุกวันตั้งตามแต่เขาจะเอาบุญ |
เที่ยวชมสาวชาวพาราระดาดาษ | ถึงสมมาดแต่ก็ใจไม่เฉียวฉุน |
อยากจะรีบกลับประสบนพคุณ | ยิ่งช้ำขุ่นจิตข้องหมองฤดี |
พอสารตรามาถึงหนึ่งฉบับ | เคารพรับคลี่อ่านในสารศรี |
ได้ความว่าโปรดให้ข้าละอองธุลี | ตั้งพิธีเฉลิมพระปรมา |
เติมภิไธยในองค์สมเด็จพระ | ปรมะยิ่งยศโอรสา[๑๙] |
สร้อยธิราชรังสฤษฏ์สิทธิ์สมญา | โดยพระบารเมศยิ่งสิ่งภิปราย |
โปรดประทานเหรียญสุวรรณหิรัญสฤษฏ์ | เป็นลิขิตคำนึกรำลึกหมาย |
มีรูปพระองค์ทรงเครื่องดูเรืองราย | จำหลักลายลอยเห็นขึ้นเด่นดวง |
กระหนาบเครือเจือลายระบายระบัด | เนาวรัตน์รายเกล็ดเรียงเม็ดช่วง |
แจ้งกระจัดทัศนาผกาพวง | เป็นรุ้งร่วงรัตนาฉายาลักษณ์ |
สารตราบ่งลงนามตามลิขิต | เหรียญวิจิตรแจกกำหนดตามยศศักดิ์ |
ท่านแม่ทัพรับแจกไม่แยกยัก | ต่างตั้งพักตร์ผินก้มบังคมคัล |
ในจิตเจ๊ดให้พระเดชกระเดื่องด้าว | สิทธิกล่าวกล่าวกลอนถวายเหมือนหมายมั่น |
ให้พระคุณอุ่นนิกรถาวรวรรณ | ประเจิดบรรจบหล้ามหานคร |
เป็นดิลกปกสุขทุกกษัย | ศิวิไลลอยยิ่งกว่าสิงขร |
ดังสุริยใสไขแสงแจ้งอัมพร | ส่องนิกรเกศนราทั่วสากล |
เล่ห์จอมภพจักรพรรดิจารันตุราช | ทรงอำนาจทั่วนภาเวหาหน |
เทวฤทธิ์อนันต์นองห้องอำพน | ต้องน้อมตนตามพระบารมี ๚ะ |
๏ ขอกล่าวกลับเมื่อกองทัพถึงเมืองหลวง | การทั้งปวงปนเบียดมาเสียดสี |
ราชกิจติดต่อจึ่งรอรี | ครั้นจะชี้ชักระคนก็วนเวียน |
จึ่งยกตัดคัดคำทำแผนก | ชักมาแยกพจนาเป็นพาเหียร |
เพื่อจะตัดสงสัยเสียให้เตืยน | จึ่งไม่เนียนแนบความมาตามทาง |
มีฝรั่งตั้งนามตามเสนอ | มองซิเออปาวีคดีอ้าง |
มาคอยรับแม่ทัพราทำท่าทาง | ทั้งสองต่างประสบพักตร์พูดทักทาย |
เข้าจับหัตถ์สวัสดิ์หวังดังถวิล | นิยมยินดีรักสมัครหมาย |
ถามถึงสุขทุกข์ยากลำบากกาย | ช่างเปรยปรายเปรมปรีดิ์แล้วลีลา |
ได้สองวันท่านก็ติดกิจประกอบ | ไปเยี่ยมตอบตามเล่ห์เสน่หา |
ต่างเฉลยเคยคุ้นสุนทรา | กิริยาอย่างเป็นเย็นตะแมน[๒๐] |
แล้วแจ้งความตามสัญญามหามิตร | ประกอบกิจการไมตรีช่างดีแสน |
รักษาสัปเยกรอบในขอบแดน | เคาเวอน์แมนต์เขามาขอต่อกระทรวง |
ว่าจะมุ่งหมายความตามอุดหบุน | จัดกงสุลขึ้นมาตั้งยังเมืองหลวง |
ยังปรึกษาสัญญาความตามกระทรวง | เห็บจะล่วงลุการไม่นานนัก |
เขาล่วงหน้ามาจงจำนงหมาย | ตรวจทางขายค้าดูให้รู้จัก |
ประโยชน์การบ้านเมืองจะเยื้องยัก | หนทางพักผ่อนปรนได้ยลเยีย |
จะต่อติดชิดห่างกับทางไหน | ใกล้หรือไกลจงหวังเมืองตังเกี๋ย |
ทราบกระจัดชัดข้อไม่คลอเคลีย | จะกลับเสียทางทะเลลงเมล์ไป |
เข้าสยามความสัญญาแม้นว่าแล้ว | จึ่งจะแคล้วคลาดคลาขึ้นมาใหม่ |
ท่านแม่ทัพสดับแจ้งไม่แหนงใจ | แล้วมีไมตรีตอบว่าขอบคำ |
อันการซึ่งจะดำเนินเถินทุเรศ | จนสิ้นเขตสยามาถึงอาหนำ |
ทางจะไปไกลยากต้องกรากกรำ | แต่โจรจำกองทัพจะรับรอง |
ด้วยได้ปราบราบเตียนหมดเสี้ยนศึก | เห็นไม่ฮึกหาญทำให้ช้ำหมอง |
ยันยอมทู้อยู่ตามความปรองดอง | เห็นไม่ปองเป็นผู้ร้ายเหมือนรายลือ |
ถ้าแม้นจะครรไลแล้วไม่ห้าม | จะให้ล่ามจีนแจ้งแปลงหนังสือ |
ไปส่งให้องค์บาได้หารือ | ซึ่งมีชื่ออยู่ท่าขวารู้ท่าทาง |
แต่นอกแคว้นแดนสยามที่ข้ามเขต | มีประเทศม้อยสกัดอยู่ขัดขวาง |
ไม่ยอมทู้หมู่หมายอยู่ฝ่ายกลาง | เพศก็ต่างญวนกลายมาคล้ายลาว |
มันคบฮ่อก่อเข็ญเป็นผู้ร้าย | เที่ยวกระจายเจิ่นตามกันสามหาว |
ในหัวพันนั้นไม่มีราคีคาว | ได้เสาะสาวสืบชัดกระจัดใจ |
ปาวีตอบขอบคำที่ร่ำเล่า | ได้ทราบเค้ามั่นคงไม่สงสัย |
แต่ได้รับบังคับมาว่าจะไป | ต้องจำใจพยายามไปตามเลย |
ซึ่งชี้แจงแจ้งกระจ่างทางลีลาศ | เพราะมุ่งมาดทางไมตรีชี้เฉลย |
ต่างขอบใจในคารมพูดชมเชย | ช่างภิเปรยเปรมจิตคิดจำนง |
แล้วปาวีว่าซื้อที่ถิ่นสำนัก | ได้พิงพักอยู่ตามความประสงค์ |
เมื่อสัญญาที่ว่านั้นตกลง | จะให้กงสุลมาอยู่คอยดูการ |
ท่านแม่ทัพสดับฟังเห็นยังขัด | แต่ไม่ตัดคำกล่าวให้ร้าวฉาน |
เพราะเขาอ้างอนุญาตราชการ | ครั้นจะทานทัดก็ขวางทางไมตรี |
จึ่งกล่าวทบกลบเกลื่อนให้เงื่อนหาย | การซื้อขายที่ดินในถิ่นที่ |
ในเมืองหลวงล่วงลิบหลายสิบปี | ไม่เคยมีขายถิ่นที่ดินดาน |
ในเขตแคว้นแดนเมืองหลวงนี้หวงห้าม | มีส่วนตามยศศักดิ์อัครฐาน |
สำหรับตำแหน่งแห่งที่คนมีการ | แล้วประทานที่รับประดับยศ |
ท่านปาวีมีมาดปรารถนา | จะซื้อหาให้เป็นส่วนไม่ควรบท |
แต่จำจะอนุกูลให้พูนพจน์ | ตามกำหนดดังประสงค์ที่จงใจ |
จะยืมท้าวเจ้านิเวศประเทศราช | ท่านจะมาดหมายเอาดินที่ถิ่นไหน |
จะปลูกสร้างห้างบ้านสักปานใด | ท่านจงไว้แปลนวางเป็นอย่างมา |
ปาวีจดกำหนดที่มีตามแผน | ที่เชียงแมนหมายอยู่ริมภูผา |
พอปลูกสามหลังได้ให้สัญญา | เป็นที่ว่ายืมอาศัยมิได้ลวง |
แม่ทัพรับแปลนมาแล้วคลาคลาด | ไปเฝ้าราชร่มขาวองค์เจ้าหลวง |
ชี้นุสนธิ์ต้นตั้งการทั้งปวง | ฝรั่งล่วงลุมาถึงธานี |
ด้วยพระองค์ทรงเดชเกศสยาม | ประสงค์ความบำรุงรักเป็นศักดิ์ศรี |
กษัตริย์ใดในสุธาไม่ราคี | ทรงยินดีโดยสัญญามหามิตร |
เพื่อประโยชน์โปรดนิกรขจรหล้า | ให้สินค้าขายออกนอกสนิท |
ของต่างเมืองเนื่องมาสานุทิศ | โดยวิวิธวัฒนาสถาพร |
บัฒี้ข้างฝรั่งรื้อมาสื่อสวน | ได้เมืองญวนใหญ่โตสโมสร |
จดดินดานล้านช้างข้างอุดร | เขาจึ่งจรเจาะจำมาสำนัก |
ขอตั้งอยู่ดูการไม่หาญหุน | เป็นกงสุลสมญารักษาศักดิ์ |
เพื่อคนญวนลวนล่อมารอพัก | หรือสมัครขายค้าพยายาม |
ถ้าเกิดเหตุเภทภัยขึ้นในที่ | ถูกคดีเกี่ยวข้องท้องสนาม |
ฟังชำระสะสางหนทางความ | คอยห้ามปรามปรองดองในคลองธรรม |
ขออาศัย่ในนครถาวรถวิล | โปรดยืมถิ่นที่เชียงแมนแสนกระสัน |
จะปลูกห้างสร้างเรือนเป็นเขื่อนคัน | ขอทำสัญญาให้อาศัยแดน |
เจ้าหลวงแจ้งแต่งอักษรบวรราช | อนุญาตตามระยะที่กะแผน |
โดยยาวกว้างรังวัดสกัดแดน | ที่เชียงแมนเหมือนคำโดยจำนง ๚ะ |
๏ ฝ่ายปาวีมีกระมลทุรนร้อน | เกรงจะผ่อนผิดในใจประสงค์ |
รีบมาถามตามที่มีจำนง | ครั้นตกลงให้แล้วยังไม่บางเบา |
มาเฝ้าอ้อนวอนว่าให้หาช่าง | ช่วยจัดจ้างทำบ้านเป็นการเหมา |
วางแปลนเรือนไม่เหมือนใครในลำเนา | ต้องรับเขามิให้ขัดวัจนัง |
มุงไม้ฝ้าฝากระดานชานเฉลียง | มีระเบียงระใบงามทั้งสามหลัง |
ราคาเหมาแรงไม้ไม่จีรัง | นับเป็นชั่งหกสิบสิบตำลึง |
ปาวีมอบเงินเสร็จสำเร็จให้ | ว่าขอบใจจงรักได้พักพึ่ง |
แล้วบอกลาว่าจะไปใจคะนึง | ในการซึ่งตรวจแคว้นแดนลำเนา ๚ะ |
๏ จะกล่าวฝ่ายนายงานการแผนที่ | อธิบดีจัดให้ไปกับเขา |
ชื่อขุนนภาพัติการมีชาญเชาวน์ | ตรวจสำเนาแนวดูให้รู้การ |
ท่านแม่ทัพสนับสนุนช่วยจุนจ่าย | เพราะมุ่งหมายราชกิจประสิทธิ์สาร |
เงินแถบให้ใช้กลางทางกันดาร | นับประมาณโดยน้อยสี่ร้อยอัน |
ทั้งเรือคนปรนปรุงบำรุงรอบ | โดยระบอบแบบกิจไม่ผิดผัน |
ขุนนภามาคำนับอภิวันท์ | แล้วลาครรไลตรงไปดงแดน ๚ะ |
๏ ฝ่ายเพี้ยท้าวเจ้าเมืองเนื่องขนัด | ที่รับนัดพร้อมเข้ามาเฝ้าแหน |
ล้วนลาวข่ามาสิ้นในดินแดน | อนันต์แน่นพร้อมหน้าในธานี |
เสนาใหญ่ในสนามก็นำเฝ้า | เป็นหมวดเหล่าตั้งแต่งตำแหน่งที่ |
เรียกท้าวขุนกรมการตามบาญชี | ต่างยินดีโดยจิตคิดจำนง |
โปรดประทานสัญญาให้ตราตั้ง | เป็นผู้รั้งกรมการสารประสงค์ |
ในหัวพันตะวันออกบอกเขตคง | มีรายกงกินแจ้งทุกแขวงเมือง ๚ะ |
๏ ครั้นสิ้นบทหมดธุระหมายจะล่อง | ยังมาข้องขัดการสงกรานต์เรื่อง |
ด้วยเจ้านายฝ่ายลาวพวกชาวเมือง | มาเรียนเยื้องยักขอให้รอการ |
ว่าสุริย์ใสครรไลลาศิวานิเวศ | ขึ้นสู่เมษมาประดังเรียกสังขาร |
สำเนียงแชแปรตรงก็สงกรานต์ | ว่าเป็นการปีใหม่ขอให้คอย |
สิ้นสังขารการกุศลผลพิพัฒน์ | แล้วจะจัดแพรับให้กลับถอย |
ด้วยเจ้านายที่เขามาว่าให้คอย | เพราะจะพลอยโดยสารจึ่งทานทัด |
รับสุนทรวอนว่าต้องช้าแน่ | เพราะเรือแพที่จะไปมิได้จัด |
จึ่งจำรอพอสงกรานต์เป็นงานนัด | ให้ข้องขัดในอารมณ์ไม่สมปอง |
พอถึงวันสังขารการนักขัต | ชาวเมืองจัดจ่ายถือซื้อสิ่งของ |
ในตลาดกลาดสาวลาวลำยอง | หนุ่มคะนองขนานหน้าเสียงฮาเฮ |
เป็นการชื่นรื่นเจริญไม่เขินขวย | ไทยว่าสวยส่วนภาษาลาวว่าเอ๋ |
แต่งประกวดอวดโอ่ไม่โลเล | ที่เต็มเซก็ไม่เศร้าสู้เช่ายืม |
ถึงยากจนขวนขวายเที่ยวไขว้เขว | คงจะเผลพลิกทุกข์ให้ปลุกปลื้ม |
แต่แต่งวาสมาดทรงไม่หลงลืม | จะเช่ายืมก็กำหนดยศไว้มี |
เป็นชั้นชั้นสรรค์สรรพประดับประดิษฐ์ | แม้นไม่พิศผาดดูหารู้ที่ |
เครื่องนุ่งห่มนิยมอย่างต่างต่างมี | จำจะชี้เช่นย่อไว้พอชม |
เจ้าผู้หญิงยกเช่นพอเห็นได้ | มีดอกไม้ไหวสวยปักมวยผม |
เป็นกำหนดยศไว้ในอารมณ์ | อย่างนิยมยศภิปรายที่หมายใจ ๚ะ |
๏ แต่นางลาวชาวสถานการตกแต่ง | เป็นตำแหน่งชนิดอย่างต่างพิสัย |
ซิ่นที่นุ่งมุ่งชัดกระจัดใจ | เป็นริ้วไรแรพิศสนิทดี |
ไม่เหมือนลาวชาวน่านแลลานโล่ง | คล้ายตาโถงทำถุงนุ่งบัดสี |
ไม่ขำคมสมหน้ากับนารี | เหมือนเมืองศรีสัตนาค์ดูร่ารวย |
เชิงซิ่นใส่ไหมทองดูผ่องผาด | สักหลาดแดงรอบทำขอบสวย |
บางทีทอกรอกรายเป็นลายกรวย | แล้วไปด้วยไหมทองช่างกรองลาย |
ห่มสไบไหมทองรองระย้า | พาดอังสาย่างกรุยดูฉุยฉาย |
สองแขนซัดหยัดยาตรพลางนาฏกราย | ข้อหัตถ์ซ้ายขวาใส่กำไลคำ |
เรียกปลอกแขนแสนสง่าน่าถวิล | พึ่งซัดดินสุกดีดูสีก่ำ |
สอดต่างหูดูเฝือล้วนเนื้อคำ | ช่างคิดทำเทียบเท่าดอกดาวเรือง |
ไม่ฝังพลอยรอยรายลายสลัก | ดูน่ารักแรสุวรรณเป็นหลั่นเหลือง |
เกศาพันสร้อยยันระยับทับประเทือง | จรัสเรืองรายระย้าด้วยมาลี |
มาแซมมวยรวยรินให้กลิ่นกลั้ว | เรียกว่าอั่วอบผมประสมสี |
สะพายกระส้ามาตลาดสะอาดดี | ดื่นวิถีแลล้วนนวลละออง |
เสียงแม่ค้าข่าวลื้อออกอื้อฉาว | ทั้งแก่สาวเรียงรายนั่งขายของ |
พวกไทยนอกซอกปักษาคณานอง | ใส่กรงร้องเรียกขายออกดายเด |
ซื้อนกปล่อยข้าน้อยแม้เหลือบแลพักตร์ | ดูอัปลักษณ์เหลือดีเต็มขี้เหร่ |
สารพัดขัดอุรังเสียทั้งเพ | เหลือจะเร่รื้อร่ำโดยจำนง |
สินค้าขายรายสำหรับกับตลาด | มัจฉาชาติหลายชนิดพิศวง |
จะแจ้งนามความฟังก็ยังงง | จึ่งไม่จงจดได้ดังใจนึก |
เห็นปลาใหญ่ในตลาดมุ่งมาดหมาย | มานอนตายโตหนักหนาเรียกปลาบึก |
ดูร่างกายคล้ายเทพาชลาลึก | จึ่งจารึกรายเหตุสังเกตการณ์ |
ชำแหละแล่แผ่ผ่าเป็นปลาริ้ว | ผูกพวงหิ้วตากแห้งส่องแสงฉาน |
เป็นของดีมีสำหรับรับประทาน | ฟองประมาณข้างละฝักเท่าฟักแฟง |
ทำไข่ส้มประสมครั่งแดงดังชาติ | วางตลาดขายดีไม่มีแหนง |
ปลาอื่นอื่นดื่นไปมิได้แจง | ด้วยยังแคลงเคลือบนามโดยความจริง |
จะแจ้งจดหมดทุกอันพรรณพืช | ก็ยาวยืดใหญ่ยุ่งดูสุงสิง |
เขาซื้อขายรายร่ำทำประวิง | ได้สักสิ่งเสียงต่อกันคลอเคลีย |
การซื้อขายจ่ายหิรัญกันก็แยบ | เอาเงินแถบใช้กันสองพันเบี้ย |
กับสี่ร้อยรวมกันอันรูเปีย | คิดเฉลี่ยแลกขาดเป็นบาทเรา |
สามพันสองจองจดกำหนดเรื่อง | สี่ร้อยเฟื้องเงินหนึ่งจำอย่าคลำเขลา |
แต่เจาะหลังนั่งตะบอยเก็บร้อยเอา | พวงหนึ่งเท่าเทียบทัดกับอัฐไพ |
จึงมีนามตามภาษาเรียกว่าแว่น | เบี้ยว่าแก่นกะลงไม่สงสัย |
ภาษาหลากภาคเพี้ยนเปลี่ยนกันไป | แต่นึกใคร่ครวญดูพอรู้ความ |
ตลาดสายรายรวนก็หวนกลับ | มาที่ทัพทอดในฤทัยหวาม |
แรมนิราศคลาดยุพามาสงคราม | ต้องค้างยามตรุษสงกรานต์เป็นการบุญ |
มิได้ยลวิมลสมรอาวรณ์ถวิล | เฝ้าแต่จินตนานวลให้หวนหุน |
ยลสาวสรรค์วรรณฉวีที่ละมุน | มิได้จุนใจจองเท่ายองใย |
จะงามรูปงามจริตงามพิศผาด | งามสะอาดเอกภพสบสมัย |
แม้นจะหยิบยกหวังได้ดังใจ | ก็มิได้ปรารถนาให้อาวรณ์ |
คิดรำลึกนึกมาน่าใจหาย | พี่ก็ดายน้องเดียวเจียวสมร |
เรียมก็ร้างนางก็ไร้จำใจจร | ต้องมานอนอนาถเศร้าอยู่เปล่าดาย |
นิจจาเอ๋ยเคยสุขสนุกสนาน | ยามสงกรานต์ตรุษสมอารมณ์หมาย |
ได้พบเพื่อนเยื้อนญาติเที่ยวนาฏกราย | พูดเราะรายรื่นอารมณ์นิยมยล |
ข้างฝ่ายน้องเล่าก็ปองแต่เจียนจัด | ด้วยจิตศรัทธาทานการกุศล |
หาหมากพลูดูระวังเป็นกังวล | ตั้งกระมลมุ่งมาดใส่บาตรพระ |
ครั้นจัดเสร็จสายสมรสอนโอรส | ให้ประณตนบภิกษุสาธุสะ |
หญิงนั้นสอนวอนวาจาเจ้าขาคะ | ชายจังหวะไว้ท่าว่าขอรับ |
เข้าเคลียคลอรอเรียงอยู่เคียงแม่ | เสียงตุ๊กแกร้องดังนิ่งฟังศัพท์ |
ทั้งพี่น้องหมองหมายใจหายวับ | กลัวกินตับตกใจนิ่งไสยา |
ยังนึกจำน้ำเสียงสำเนียงแว่ว | จะเจื้อยแจ้วจับใจอาลัยหา |
มาแรมร้างค้างสงกรานต์ดาลอุรา | อาทวาวาบในฤทัยทวี |
รุ่มระทมงมงงดำรงร่าง | ออกเดินทางเที่ยวกรายพอบ่ายศรี |
เห็นชาวเมืองเนื่องคณาประชาชี | จรลีแลเป็นหมู่ดูอนงค์ |
ล้วนสวยสมคมสันวรรณฉวี | ดื่นวิถีแถวแลคอยแห่สงฆ์ |
มีหม้อใหญ่ใส่ชลทุกคนคง | คอยอาบองค์พระพุทธสุดศรัทธา |
พวกผู้ชายรายรอเข้าคลอพักตร์ | นุ่งผ้าหยักยกร้นถึงต้นขา |
เที่ยวเบิ่งสาวชาวเมืองเนื่องคณา | เมาสุราเริงร้องคะนองใจ |
บ้างขับลำรำเดินดำเนินนาฏ | ผู้สาวสาดน้ำท่าไม่ปราศรัย |
บ้างซุกซนขนเอาของที่หมองใจ | มาซัดใส่สกปรกตลกโลน |
กากสาโทขี้โล้เหลือจากเนื้อเล่า | ทิ้งไว้เน่าแล้วมิหนำซํ้ากระโถน |
ก้นหม้อใส่ข้าวระคนปนกับโคลน | ไล่กระโจนแตกกระจัดวิ่งพลัดกัน |
ที่ผู้ดีมีอัชฌาดูน่ารัก | เอาเม็ดผักอิตู่แช่ในแม่ขัน |
เก็บเอาใบไม้ทั้งผองเป็นของคัน | แล้วมาคั้นน้ำเคล้าเข้าระคน |
สาดผู้ดีที่พอเทียบปรับเปรียบคู่ | ผักอิตู่ติดเปื้อนออกเกลื่อนกล่น |
ออกวิ่งเหย่าเกาก้นคันทุกคน | ต้องหนีซนซ่อนตัวกลัวฝีมือ |
แต่ไม่เคียดเกลียดชังตั้งแต่วิ่ง | ให้ผู้หญิงทำได้เขาไม่ถือ |
ไว้แก้เผ็ดกันเมื่อขวงลวงให้ลือ | แม้ฝีมือปากชนะจึ่งจะชม |
นี้การเล่นเป็นแต่ป่วนเมื่อรวนระ | พอชักพระแห่ออกนอกอาศรม |
มีพระสงฆ์องค์หนึ่งนั่งตั้งอารมณ์ | เหมือนจงกรมภิรมย์แลเขาแห่เกรียว |
รูปพระพุทธวิสุทธิ์ทรงองค์อร่าม | มีคนหามแห่ใส่มาในเกี้ยว |
เขาสาดสงฆ์องค์ชุ่มเป็นกลุ้มเกลียว | ใครไม่เหลียวแลเผลอเข้าเจอจน |
ถูกมอมหมายป้ายหน้าทาเสียเลอะ | เนื้อตัวเปรอะเปื้อนเปือกวิ่งเสือกสน |
ทั้งเจ้านายฝ่ายเสนาทำหน้าจน | นั่งอยู่บนแคร่คราชะล่าลาม |
มหาดเล็กเด็กเข้าแย่งเอาแผงปิด | เขาไม่คิดยำเยงจะเกรงขาม |
ทั้งน้ำหมากกากสาโทขี้โล้ลาม | สองมือปามปาเล่นไม่เว้นใคร |
ดูยินดีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ผู้หญิงนั้นสนุกเพลินเกินนิสัย |
เล่นลำพองคะนองงามไม่ขามใคร | จนสิ้นในเวลากาลสงกรานต์มา |
แห่พระพุทธสุทธิ์สงฆ์ทรงสนาน | ยกเป็นบ้านแบ่งถิ่นถวิลหา |
สาวที่สวยรวยรื่นชื่นอุรา | จัดเอามาแห่อวดประกวดงาม |
ถือโอตุ่มพุ่มผกาลีลาลาศ | ยุรยาตรเยื้องย่างกลางสนาม |
เป็นคู่คู่ดูเพลินออกเดินตาม | แต่ล้วนงามจริตร่างต่างอนงค์ ๚ะ |
๏ อันการนี้ก็พิธีธุระท้าว | พระร่มขาวจัดโปรดให้โสตสรง |
น้ำเจ็ดแห่งแต่งตักประจักษ์จง | ถวายองค์อธิการประทานพร |
ว่าสัตวารีเรือนอยู่เถื่อนถํ้า | ล้วนเย็นฉ่ำชื่นจริงทุกสิงขร |
จะเรียงพจน์จดนามตามธิกรณ์ | สุดจะซ้อนเสาะชี้คดีดล |
แต่เกณฑ์กันวันละวัดเขาจัดแห่ | เสียงเซ็งแซ่ชื่นหน้าโกลาหล |
ช่างครึกครื้นพื้นนครขจรคน | ด้วยกมลมานัสเขาศรัทธา |
ครื้นแห่กลับลับศรีสุริยาตร์ | อนงค์นาฏเสาะสันต์พรรณบุปผา |
นั่งร้อยกรองจองจัดทัศนา | ทุกทุกอารามรายดูพรายพลัน |
ร้อยเป็นข่ายรายระยะอุบะห้อย | ล้วนรักร้อยแลงามตามกระสัน |
จำปาขาวพราวระยับสลับพัน | ดอกอัญชันชูศรีมณีนิล |
ทางนกยูงปรุงประดับสลับสลอน | มีดอกซ้อนแซมคละดอกกระถิน |
หรือค้อนกลองของดีมีประทิน | ระรนกลิ่นตลบพุ่งจรุงรมย์ |
แลลออช่อชดดูสดชุ่ม | ปักเป็นพุ่มสัตพรรณช่างสรรค์สม |
ประดับเสร็จเจ็ดสีพลางชี้ชม | ดูช่างคนขำคู่ตั้งบูซา |
เห็นลับแลแพรปักลักษณะ | เป็นรูปพระพุทธเล่ห์ลายเลขา |
ไหมทองแรแลระยับดูจับตา | สีกาสาซ้อนเส้นขึ้นเด่นดวง |
เขาเลื่องชื่อลือลบพึ่งพบเช่น | การปักเป็นเหมือนกล่าวลาวเมืองหลวง |
ทำเนื้อหนังปลั่งใสเป็นใยยวง | รูปทรงพ่วงพียลวิมลละไม |
ดำริตรึกนึกพลางทางลีลาศ | ภาณุมาศเย็นพลบสบสมัย |
กลองดึกดังตังตึงคะนึงใน | ทั้งฆ้องชัยยามย่ำค่ำประโคม |
ได้เวลานารีศรีสวัสดิ์ | ก็มาวัดหวังอวดประกวดโฉม |
เข้านั่งงันจรัลรายให้ชายโลม | เป็นที่โสมนัสสาทุกอาราม |
เล่นงานงันกันในโบสถ์สมโภชพุทธ | ตามวิมุตหมายตั้งคุณทั้งสาม |
เป็นกุศลผลพาพยายาม | หวังเป็นความสุขสวัสดิ์วัฒนา |
เรื่องงันวัดนี่แลชัดว่าเล่นชู้ | เข้าจับคู่ดูเล่ห์เสน่หา |
แม้นไม่รักชักเชือนเที่ยวเคลื่อนคลา | ทุกพระอารามนั่งอยู่พรั่งพราย |
ไม่แกล้งกลั่นสันกลอนสุนทรกล่าว | เหมือนกับสาวแสนงอนเที่ยววอนขาย |
กลัวของเน่าเฝ้าเคาะพูดเราะราย | เห็นผู้ชายเฉียดชื่นดูรื่นรวย |
บ้างไม่เกี้ยวเลี้ยวลงเล่นเห็นพิลืก | จนดื่นดึกดูสนิทไม่คิดขวย |
บุปผาวางกลางพื้นดูรื่นรวย | เคาะไม้ด้วยดังเปาะเหมือนเกราะรัว |
คอยระวังฟังผู้ทายจะชายชี้ | เอาไม้ตีต้องจังก็ตั้งหัว |
แล้วก็ปรับรับแพ้ขอแก้ตัว | เล่นจนนัวเนียน่าระอาจริง |
บ้างเต็มแกนแค่นพิไรมิไปสูญ | เล่นตบปูนเปื้อนสู้กับผู้หญิง |
เอาปูนวางกลางใบพลูดูประวิง | มือกุมนิ่งนึกไหวอยู่ในที |
ผู้สาวง่าถ้าจะตบมือหลบลับ | เสียงดังปับปูนติดไม่ผิดที่ |
ร้องหวิดว้ายอายหน้าต่างพาที | ดูซิกซี้สรวลสันต์สนั่นดัง |
จนดึกดื่นชื่นประชาทุกอาวาส | ด้วยจิตมาดมุ่งสมอารมณ์หวัง |
ในสังขารการใหญ่กว่าไปบัง | ผู้สาวทั้งเมืองรื่นด้วยชื่นใจ |
พลอยรื่นเริงกระเจิงใจไปด้วยเขา | แล้วกลับเศร้าเสียวกระสันคิดหวั่นไหว |
เสร็จสังขารการบุญค่อยอุ่นใจ | ด้วยจะได้ยกทัพกลับนคร |
เที่ยวเสาะของมองหาประสายาก | จะมาฝากพุ่มพวงดวงสมร |
เป็นของดีมีชื่อลือขจร | นามกรปรากฏชะมดเชียง |
กับกำยานกานดาก็ปรารภ | เป็นเครื่องอบปรุงเจือของเนื้อเกลี้ยง |
สู้ซื้อเสาะเจาะจองเป็นของเคียง | มาประเคียงโดยสวัสดิ์วัฒนา |
เห็นโอตุ่มตาวนเป็นก้นหอย | คิดละห้อยอยากให้ใส่สลา |
ทำทรงคล้ายกระทายสานของกานดา | ทัศนานึกถึงคะนึงนาง |
บ้างดุนเด่นเห็นช่วงดวงจรัส | เป็นรูปสัตว์สิงลายระบายหาง |
รูปมอมหมอบยอบกายาทำท่าทาง | จังหวะวางไว้ช่องสิบสองตัว |
ทำโอษฐ์อ้าท่าดีทีจะดิ้น | นัยน์ตาปลิ้นเปล่งมองสยองหัว |
เขาทำไว้ใช้กันดูพันพัว | สำหรับตัวแต่งตั้งคนมั่งมี |
ที่ยากจนคนขัดก็จัดหา | เรียกกะส้าสารทรงดูส่งศรี |
มีขอบคิ้วริ้วทองเป็นของดี | เที่ยวเซ้าซี้ซอกหาสารพัน |
เมื่อถึงน้องครองกายารักษาเหย้า | ที่สร้อยเศร้าทรวงซ้ำได้ทำขวัญ |
ให้โศกสูญพูนสุขทุกนิรันดร์ | เที่ยวจัดสรรซื้อทุกสิ่งไมนิ่งเนือย |
บ้างเป็นหมอส่อหาเครื่องยาชัด | ซื้อดีสัตว์เสือสีห์ดีหมีเหมือย |
ได้ดีงูดูดียังมีเดือย | บางคนเรื่อยอารมณ์หลงจนงงงวย |
เที่ยวเลียบเลาะเสาะหาทุกอาวาส | พระสมาธิ์เพชรร่ำไปทำหวย |
ได้สมฤทธิ์คิดสมอารมณ์รวย | พูดเอออวยอวดว่าตำราครู |
ได้ตักกว้างอย่างตำราในห้านิ้ว | แล้วไม่หิวเห็นตรงว่าคงอู๋ |
ตำรานี้ดีไม่น้อยจงคอยดู | ท่านขรัวครูวัดใหญ่ได้สัญญา |
บางคนคิดจิตเห็นเป็นประหลาด | เล่นแปรธาตุเที่ยวสาละวนหา |
ต้นเครือเขาเถาวัลย์สรรพยา | เก็บเอามาชัดใส่ในทองแดง |
ประสมเจือเนื้อหิรัญปนกันเข้า | ให้นั่งเบ้าดูดีเป็นสีแสง |
เนื้อแปดอิ่มกริ่มใจไม่ระแวง | ทำเงินแปลงปลื้มใจว่าได้ดี |
ทั้งรอราคลาเคลื่อนเที่ยวเลื่อนลด | ถึงกำหนดนัดล่องท้องวิถี |
ผูกแพเทียบเรียบราในวารี | ต่างยินดีดังได้ยลวิมลดวง |
ท่านแม่ทัพกับนิกายทั้งหลายล้อม | ก็ไปพร้อมพรั่งเฝ้าองค์เจ้าหลวง |
แจ้งนุสนธิ์กลการงานทั้งปวง | ที่ลุล่วงแล้วดังตั้งกระมล |
จะขอลาล่วงครรไลลงไปเฝ้า | กราบทูลเค้าข้อความตามนุสนธิ์ |
ถ้าธุระราชกิจคิดกังวล | ทรงนิพนธ์แจ้งกระจัดสวัสดี |
ให้ทราบความตามที่คิดจิตประสงค์ | สิ่งจำนงแน่ตระหนักเป็นสักขี |
จะรับรสพจนาเหมือนวาที | ให้สมที่พระทัยนึกจารึกรส ๚ะ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้ามาลากิจจาสนอง | ที่ขุ่นข้องพระทัยพร่ำทรงกำสรด |
แสดงสุขทุกข์ทวีที่ระทด | สุดจะจดจำแถลงแจ้งคดี |
เสร็จปราศรัยในจำนงปลงธุระ | แล้วคารวะไหว้นบประสบศรี |
ท่านอวยพรพูนพิพัฒน์สวัสดี | จรลีลาตรงมาลงแพ |
เสียงมี่ฉาวกราวกรูออกพรูพรั่ง | ที่ริมฝั่งฟากของท้องกระแส |
ที่ผูกรักชักชมอารมณ์แช | ยังมาแคลคลอเกี้ยวกับเกรียวกราว |
ที่โชคดีมีเชลยมาเชยชิด | ผู้หญิงติดตามแซ่ทั้งแก่สาว |
เป็นกำไรไปกลางหนทางยาว | จะร่ำกล่าวนักขี้คร้านรำคาญใจ |
แต่ต้องแงะแคะขอดไม่ทอดทิ้ง | เป็นความจริงจึ่งจำยกคำไข |
พอทราบเรื่องราวที่กลับกองทัพชัย | ขออภัยเถิดอย่าเย้ยว่าเลยลาม |
พอพร้อมเสร็จสั่งให้คลาโยธาทัพ | เป็นลำดับดื่นแลเรือแพหลาม |
ธงช้างปักลมปัดสลัดงาม | ล่องลอยตามวารีระรี่ไป |
แพเพี้ยท้าวเจ้านายในเมืองหลวง | ก็ลอยล่วงตามเรียงเคียงไสว |
แพเจ้าราชนัดดาภาคิไนย | แพบ่าวไพร่ตามพรูเป็นหมู่มา |
แพพวกฮ่อต่อเรื่องมาเนื่องหนุน | แพท้าวขุนหัวเมืองแหนมาแน่นหนา |
ชะลอล่องท้องกระสินธุ์ลอยลิ้นลา | ให้ลงมาอมรรัตน์พิพัฒน์พูน |
ชมโกสินทร์มหินทรามหานิเวศ | แสนพิเศษโภไคยมไหสูรย์ |
เคยอยู่เขาเนาพนาแสนอาดูร | สืบตระกูลทนแกนในแดนดิน |
จะร่ำแจ้งเหมือนหนึ่งแกล้งมากล่าวค่อน | พวกคนดอนโดยคำร่ำถวิล |
เห็นคับแค้นแสนจนมัวมลทิน | สุดจะยินดีจำเป็นคำคง ๚ะ |
๏ จะจำจดกำหนดใจครรไลล่วง | จากเมืองหลวงล่องแพแซ่ประสงค์ |
ปีกุนนพศกสรรค์ไว้มั่นคง | เดือนหกลงจดหมายเป็นรายวัน |
พุฒาวารเวลาล่องวาเรศ | ห้าโมงเศษเช้าศรีสุริย์ฉัน |
ขึ้นหกค่ำจำจริงทุกสิ่งอัน | ลอยล่องครรไลมาในวารี |
พินิจลำน้ำของทั้งสองฝั่ง | เห็นบ้านตั้งตามรายชายวิถี |
เป็นหย่อมหย่อมกระท่อมอยู่ไม่กรูกรี | ล้วนคีรีรายทางหว่างวาริน |
เป็นแก่งเกาะกีดขวางทางกระแส | ชะโงกแง่ศิลารายสายกระสินธุ์ |
ไม่เรียบรื่นพื้นชลาในวาริน | สุดจะยินดีจัดวัจนา |
แต่ล่องลำน้ำของปองกระสัน | ได้ห้าวันหวังคะนึงพอถึงท่า |
บ้านปากลายชายหาดลาดชลา | พักโยธาเทียบแพแซ่สำราญ |
สองเวลารารอก็พอพร้อม | จึ่งรวมรอมเรียบพหลพลทหาร |
ออกเดินทางหว่างเขาเนาพนานต์ | สิบทิวารวายรำพึงถึงพิชัย ๚ะ |
๏ ฝ่ายผู้รั้งกรมการลนลานเหลือ | เร่งเกณฑ์เรือเร็วมาหาช้าไม่ |
ส่งจำหน่ายจ่ายประจำทุกลำไป | ทั้งนายไพร่พร้อมหน้าอยู่ท่าเรือ |
แสนเกษมเปรมปรีดิ์ฤดีดิ้น | ดังจะบินโบยเนื่องจากเมืองเหนือ |
คอยคำสั่งฟังบอกให้ออกเรือ | พอเหตุเจือจวบเวลาที่มาดล |
เขาตั้งงานชานชลามหาระนบ | ทำการศพโดยศรัทธาโกลาหล |
ท่านแม่ทัพรับกิจคิดกังวล | โดยกระมลหมายปองประคองยศ |
ต้องพักพลทนคอยละห้อยหา | หลายเวลาเคลื่อนแคล้วจนแล้วหมด |
การละเล่นเต้นรำจะร่ำพจน์ | ไม่ใสสดต้องตาระอาใจ |
ท่านผู้ดับลับล่วงดวงชีวิต | จนแจ้งจิตจดจำในคำไข |
กล่าวแต่ครั้งหลังมาพระยาพิไชย | เสียที่ในหลวงพระบางแต่ปางมา |
นึกพินิจคิดวิตกในอกเต้น | เมื่อไปเป็นมาตายอายหนักหนา |
จะยากแค้นแสนเข็ญเป็นเวลา | ขอให้มาสบสงวนจงควรตาย |
ให้หวนโหยโดยใจจะใคร่กลับ | พอแม่ทัพสั่งพลันให้ผันผาย |
แสนสำราญบานใจทั้งไพร่นาย | พวกฝีพายโห่ฉาวออกกราวเกรียว |
ต่างแจวจ้ำร่ำรุดไม่หยุดยั้ง | น้ำก็หลั่งล่องไหลดูใสเชี่ยว |
เรือก็แรงแข่งระลอกเป็นกลอกเกลียว | ยังไม่เปรียวปร๋อไปเหมือนใจจร |
แล่นนาวาอารมณ์ไม่ชมอื่น | ทุกวันคืนคอยแต่พบสมสมร |
ได้เก้าวันจรัลมาในสาคร | แล่นสลอนแลสล้างถึงอ่างทอง |
พอประสบเรือไฟเข้าใช้จักร | เสียงคึกคักคิดหมายไม่วายหมอง |
แม้นเรือไฟได้มารับประคับประคอง | พาเราล่องแล่นไปจะไวครัน |
คะนึงพลางทางชะแง้เหลือบแลลับ | เรือไฟกลับล่องแล่นแสนกระสัน |
ชะลอลอยทยอยจักรกึกกักกัน | เสียงสนั่นในกระแสแลตะลึง |
ร้องเรียกเรือกองทัพให้จับจ้วง | เข้าผูกพ่วงเรียงจรัลพอทันถึง |
จับพวนมัดรัดพักกับหลักตรึง | เปิดหลอดอึงออกฉิวแล่นลิ่วมา |
ถึงหน้าเมืองอ่างทองพอฆ้องย่ำ | ก็มืดค่ำเข้าพักสำนักท่า |
จึงแจ้งเหตุเจตน์จงลงสารา | โดยกิจจาจำเค้าเป็นเลาความ |
ว่าทรงพระกรุณาแก่ข้าบาท | ซึ่งรับราชการปราบพวกหยาบหยาม |
ให้ราบเตียนเลี่ยนล้วนไม่ลวนลาม | สำเร็จตามพระประสงค์ณรงค์รุด |
ทราบว่าทัพกลับมาโดยวาเรศ | จึ่งโปรดเกศเกณฑ์เรือไฟให้มาฉุด |
หัวหน้านายเรือกลพระชลยุทธ | ให้รีบรุดเร็วรับกองทัพจร |
แสนเกษมเปรมปริ่มดูอิ่มอก | เหมือนหนึ่งยกทุกข์ทิ้งเท่าสิงขร |
เสียงสรวลสันต์หรรษาสถาพร | สิ้นทุกข์ร้อนเรื่องไร้กลางไพรวัน |
สารพัดพิบัติบากที่ยากยับ | เหมือนนอนหลับตื่นตานึกว่าฝัน |
เป็นสิ้นทุกข์สุขในฤทัยครัน | คอยตะวันส่องศรีจะลีลา |
พระสุริยันฉันใดไฉนเล่า | ไปเฟี้ยนเฝ้าแฝงส่องห้องเวหา |
เชิญเฉลิมเพิ่มพักตร์สักเวลา | ให้เร็วกว่าวันทุกวันที่ครรไล |
เหมือนพระองค์ทรงเดชเกศสถาน | โปรดประทานเรือรุดสุดพิสัย |
มาผูกพ่วงล่วงแล่นดูแว่นไว | เร็วกว่าไปแต่ลำพังกำลังแจว |
รีบทรงกลดรถเร้าอย่าเศร้าหมอง | เหมือนช่วยกองทัพให้ไปเป็นแถว |
ได้ถึงเข้าเฝ้าบาทไม่คลาดแคล้ว | ให้เป็นแล้วเสร็จลงการสงคราม |
เฝ้าบ่นเบื่อเหลืออาลัยจนใกล้แจ้ง | ก็ส่องแสงทองกระจ่างกลางสนาม |
พวกเรือไฟใส่เพลิงระเริงลาม | เปิดหลอดสามทีร้องก้องโกลา |
สติมจัดพัดจักรคึกคักแล่น | ขนานแน่นพ่วงพานน้ำฉานฉ่า |
แล่นละลิ่วฉิวเฉื่อยระเรื่อยมา | สองทิวาวารมุ่งเข้ากรุงไกร |
จอดนาวาท่าเตียนเสถียรที่ | พวกโยธีขึ้นนั่งฝั่งไสว |
บ้างขนของมองหาเมียเสียน้ำใจ | เพราะมิได้เห็นหน้าที่ท่าเรือ |
ขนของเข้าเอาออกทิ้งกลิ้งกุกกัก | แลดูพักตร์เผือดศรีมีแต่เหงื่อ |
ครั้นถามไถ่ให้สำเนียงออกเสียงเครือ | นึกน่าเบื่อใจแค้นโกรธแทนเอง |
เสียแรงรักตั้งพักตร์มาหมายพบ | ควรหรือซบหน้าซ่อนทำนอนเขลง |
หรือแสนแง่แสงอนทำซ้อนเพลง | ทิ้งให้เท้งทอดสู้จะดูที |
ที่มารับคับคั่งนั่งขนาน | ทั้งบุตรหลานแลพบประสบศรี |
ให้เฉียวฉุนกรุ่นกริ่มอิ่มฤดี | ต่างพาทีพอเป็นทางไม่หมางเมิน |
ด้วยผู้คนล้นหน้าท่าตลาด | จึ่งไม่อาจเอื้อมอายระคายเขิน |
ที่มีบุตรสุดสวาทไม่พลาดเพลิน | ก็หยอกเอินอุ้มกระซิบอุบอิบกัน |
พอลูกแลดูมารดาเห็นตาขึง | ก็นิ่งอึ้งอกเต้นเขม่นขวัญ |
กลัวหยิกขาหน้าคว่ำไม่จำนรรจ์ | พ่อรำพันปลอบลูกให้ถูกใจ |
เด็กก็ดีมีความขึ้นถามข่าว | พ่อได้ลาวมาเลี้ยงหนูอยู่ที่ไหน |
เขาว่าลาวอุ้มลูกมันถูกใจ | เหมือนดังได้นอนเปลทุกเวลา |
เอาผ้าผูกสะพายแล่งแกว่งข้างหลัง | ให้ลูกนั่งแหงนคอหัวร่อร่า |
ผมก็ยาวเกล้าจุกเหมือนตุ๊กตา | ฉันอยากหาไว้ให้แม่เขาแก้ตัว |
พ่อฟังลูกถูกใจใครช่างสอน | เจ็บร้อนแทนมารดาดูน่าหัว |
ช่างฉอเลาะเคาะขันพูดพันพัว | จะจับหัวใจพ่อจึ่งขอลาว |
มารดาฟังนั่งหัวเราะเหมาะแล้วลูก | ช่างพูดถูกใจพ่อขอพี่สาว |
เป็นเพื่อนเล่นเห็นสมว่าผมยาว | งามกว่าสาวไทยแท้แม่ก็ชม |
ทั้งสาวแก่แลเกศาก็พาสุข | รักไว้จุกจนไรอาศัยผม |
ล้วนเห็บเหาเข้าทำรังช่างนิยม | ชอบอารมณ์พ่อเจ้าและช่างแกะเกา |
ทั้งลูกแม่แก้กันประชันปาก | ช่วยกันถากถางเก็บจนเห็บเหา |
ว่าไม่มีก็ไม่เชื่อเบื่อจริงเรา | ต่างเก็บข้าวของพากันคลาไคล ๚ะ |
๏ ดำเนินทัพกลับกรุงมุ่งสมร | แต่วันจรจากมิตรพิสมัย |
ยี่สิบเอ็ดเดือนคลาดอนาถใจ | มาถึงในรวิวารดาลฤดี |
เดือนเจ็ดแรมค่ำหนึ่งพึงกำหนด | ได้แจ้งจดจัดคิดเป็นดิถี |
ห้าร้อยแปดสิบเอ็ดร่ำจำวาจี | ในเมื่อปีกุนศกตกนภา |
พันสองร้อยสี่สิบเก้าคราวว่างอก | ประจำศกยี่สิบหยิบเลขา |
แล้วพร้อมเข้าเฝ้าบาทนาถนรา | ในเวลารุ่งเย็นพอเว้นคืน |
ขนสาตราสารพันเป็นหลั่นหลาม | ของคำสามที่มันมาทำฝ่าฝืน |
เก็บนำเข้าเฝ้าถวายทั้งรายปืน | ยังของอื่นอีกก็เบื่อเหลือประมาณ ๚ะ |
๏ พอพร้อมเสร็จสมเด็จพระขนิษฐ์นาถ | ซึ่งว่าราชการใหญ่ในทหาร[๒๑] |
นำแม่ทัพกับตัวนายล้วนชายชาญ | จากสถานที่พักสำนักพล |
ซึ่งมีนามตามจำนงณรงค์รุด | ศาลายุทธนาก้องกาหล |
ออกประตูพรูพร้อมพระจอมพล | ตามสถลถึงวังเหมึอนดังคิด |
สะพรั่งพรูหมู่นิกรสลอนสล้าง | เจ้าขุนนางพร้อมพรักอกนิษฐ์ |
คอยเฝ้าบาทนาถนราสวามิศ | ด้วยจงจิตสดับฟังรับสั่งการ |
พระสุริย์ฉายบ่ายเวลาห้าโมงลั่น | เสนาะสนั่นมโหระทึกคะคึกขาน |
เสด็จออกพระโรงรัตน์ชัชวาล | ข้าราชการเรียงรายถวายคำนับ |
เสด็จถึงที่ของกองถวาย | ที่จัดรายเรียงทำเป็นลำดับ |
ทอดพระเนตรอาวุธหยุดประทับ | แล้วทรงรับสั่งถามความทั้งปวง |
แม่ทัพทูลมูลเหตุประเทศราช | โดยประภาษทรงเรื่องที่เมืองหลวง |
ทูลถวายรายระบิลสิ้นกระทรวง | จนลุล่วงตลอดการทุกบ้านเมือง |
ได้ทรงทราบฝ่าละอองทำนองศึก | ที่ตื้นลึกทูลจบจนครบเรื่อง |
แล้วเสด็จยาตราเสนาเนือง | ตามเฝ้าเบื้องบาทยุคลดลประดา |
ทรงประทับลงกับที่พระแท่น | ขุนนางแน่นน้อมประนมก้มเกศา |
ถวายคำนับสดับฟังรับสั่งมา | โดยพระกรุณาดำริทรงภิปราย |
ท่านที่ว่าคณาเนื่องหัวเมืองออก | คลี่ใบบอกรายงานอ่านถวาย |
ได้ทรงทราบฝ่าพระบาทไม่คลาดคลาย | เป็นรายรายเรียบราบคำกราบทูล |
พอได้ทราบใต้บาทบงสุ์ทรงดำรัส | เหมือนหนึ่งตัดตอเตียนให้เสี้ยนสูญ |
ที่ร้อนร้าวชาวประชาได้อาดูร | แม้นกราบทูลทุกข์เหือดหายเดือดดาล |
พระบรมร่มสิ้นถิ่นประเทศ | แผ่พระเดชกระเดื่องหล้ามหาสถาน |
ที่ชาติต่างห่างฟ้าสุธาธาร | พึ่งสมภารพาสมัครมาพักพลัน |
พอทรงเสร็จสุริยาลีลาลับ | เสด็จกลับขึ้นในมไหสวรรย์ |
ขุนนางเหล่าเฝ้าออกนอกโรงคัล | ต่างจรัลเรือนบ้านสำราญรมย์ |
ได้พร้อมหน้ารารอกระซ้อกระซิก | หัวเราะริกบำราศทุกข์ได้สุขสม |
ลืมลำบากยากไร้ไพรพนม | ลืมที่ตรมตรอมย่างหนทางยาว |
ลืมแสงแดดแผดสกนธ์ที่ทนกราก | ลืมนอนตากน้ำฟ้าเวลาหนาว |
ลืมสัตว์เนื้อเสือร้ายที่กรายกราว | ลืมเมื่อคราวไข้ป่ามาประชุม |
ลืมเสียงครางกลางวสันต์อกตันตื้น | ลืมฮ่อครื้นครึกรบสมทบกลุ้ม |
ลืมแจะเจืองโจรร้ายตั้งค่ายคุม | ลืมเข้าหุ้มห้อมทัพจับไทยไล |
ลืมเมื่อคราวหนาวใหญ่ในเมืองแถง | ลืมลงแก่งน้ำนัวกลัวไศล |
ลืมล่องแพน้ำอูดูรำไร | ลืมเมื่อได้พักเมืองหลวงล่วงเวลา |
ลืมคำโลมโฉมลาวสาวเมืองหลวง | ลืมที่ขวงควงสำลีมีบุปผา |
ลืมคำขานอ่านหนังสือที่ลือชา | ลืมคำจาแจ้วฟังเมื่อนั่งงัน |
ลืมเมื่อรับความปากได้ฝากของ | ลืมกินดองกระดากจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
ลืมลงล่องน้ำของปองรำพัน | ลืมอรัญราวกลางหนทางลืม |
ระเริงใจเพราะว่าได้ดลสำนัก | ระเริงพักตร์พาสุขให้ปลุกปลื้ม |
ระเริงเลียมเยี่ยมญาติไม่มาดลืม | ระเริงดื่มรสรักที่ทักทาย |
อิ่มเอมโอษฐ์โภชนาผลาล้น | อิ่มกระมลมุ่งสมอารมณ์หมาย |
อิ่มสำเร็จเสร็จศึกไม่นึกอาย | อิ่มถวายตัวเข้าเฝ้าบังคม |
ยินดีครันวันได้ฟังรับสั่งถาม | ยินดีปรามปราบฮ่อข้อปฐม |
ยินดีพร้อมล้อมศึกฮึกระดม | ยินดีสมจิตปองสนองคุณ |
มีชื่อชายได้ถวายฝีมือศึก | มีชื่อนึกนำประกอบความชอบหนุน |
มีชื่อหมดจดเดรีเมื่อปีกุน | มีชื่อจุลศักราชฆาตไพรี |
จดถวายรายนามตามระบอบ | ได้ความชอบเชิดพักตร์เป็นศักดิ์ศรี |
พระราชทานศักดิ์ยศกำหนดมี | อยู่ในคำประกาศราชกิจจา |
กับเครื่องราชอิสริยยศตามลดหลั่น | เป็นชั้นชั้นชูอำนาจวาสนา |
นิราศร่ำจำจดพจนา | จนเวลากองทัพกลับนคร |
คัดแต่ย่อพอให้ได้สังเกต | จดหมายเหตุเรื่องฮ่อต่อสมร |
ในเขตแขวงหลวงพระบางหนทางดอน | โดยสุนทรทำชี้คดีเอย ๚ |
๏จบพจน์วิภาคแจ้ง | จรทัพ |
รบฮ่อโจรจีนยับ | อยู่น้อม |
โดยทิศอุตรานับ | ในเขต ขันธ์แฮ |
คืนสู่โกสินทร์พร้อม | พรั่งเฝ้าบทมาลย์ |
[๑] จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี
[๒] พระยาพหลพลพยุหเสนา (กิ่ม)
[๓] พระยาฤทธิรงค์รณเฉท
[๔] พระยาอาหารบริรักษ์ (ภู่)
[๕] หลวงโยธาธรรมนิเทศ
[๖] พระยาสารสินสวามิภักดิ์
[๗] พระยาเทพาธิบดี (อิ่ม)
[๘] พระยาดัษกรปลาศน์ (อยู่)
[๙] พระยาสารสินสวามิภักดึ๋ (เทียนอี้)
[๑๐] ล็อกเกตทองคำฝังนิลขาวเม็ดใหญ่ ในนิลขาวนั้นฝังพระบรมนามาภิไธยย่อ จ.ป.ร. ลงยาที่แขวนมิ่รัศมีมงกุฎ ในล็อกเกตบรรจุเส้นพระเกศาและพระบรมฉายาลักษณ์
[๑๑] ต่อมาเป็นเจ้าหมื่นไวยวรนารถ (บุตร)
[๑๒] ต่อมาเป็นเจ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์ (โต บุนนาค)
[๑๓] เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค)
[๑๔] พระยามหาอำมาตยาธิบดี (ชื่น กัลยาณมิตร)
[๑๕] พระยาพิไชย (มิ่ง)
[๑๖] เจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธุ์)
[๑๗] พระสุริยภักดี (เวก บุณยรัตพันธุ์) ต่อมาเป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช
[๑๘] ต่อมาเป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (เวก บุณยรัตพันธุ์)
[๑๙] สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร
[๒๐] Gentleman = สุภาพบุรุษ
[๒๑] จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ