รายงานปราบเงี้ยว
๏ รำพันพจน์บทกลอนสุนทรแถลง | |
เหตุที่พรากจากเคหากิจจาแจง | ไว้ให้แจ้งจำตริปฏิทิน |
วันที่หกสิงหาคมาหยิบ | ร้อยยี่สิบเอ็ดยกศกโกสินทร์ |
มีรับสั่งสมเด็จพระจอมนรินทร์ | ที่บางปะอินอาสน์เอกภิเษกทรง |
ให้ท่านนายพลโททพารหน้า | เจ้าพระยาสุรศักดิ์โดยประสงค์ |
เป็นแม่ทัพรับการราญณรงค์ | ปราบเงี้ยวดงโจรดอนที่จรมา |
ประมาณสี่ร้อยคนปล้นเมืองแพร่ | แตกแล้วแน่ในข่าวที่กล่าวหา |
พวกข้าหลวงจัดการงานพารา | มันจับฆ่าฟันเล่นไม่เป็นอัน |
กำลังพลรณรงค์จะยงยุทธ | เครื่องอาวุธสารพัดได้จัดสรรพ์ |
กรมยุทธนาหาไว้ให้ครบครัน | อย่าช้าวันเร็วไวรีบไปรบ |
ท่านแม่ทัพรับสั่งไม่กังขา | มาเรียกหาทหารเก่าเข้าบรรจบ |
ได้สิบนายชายชาญในการรบ | เข้าสมทบกองทัพไปรับการ |
ตัวเรานั้นท่านสั่งเป็นคลังทัพ | เงินตรารับเบิกจ่ายนายทหาร |
ทั้งเสื้อผ้าอาวุธยุทธการ | ให้แดดาลดวงจิตคิดพะวัง |
ด้วยร่างกายเกินหนุ่มเนื้อนุ่มนิ่ม | เหมือนกล้วยริมสุกรุมในตุ่มขัง |
ทั้งเหนื่อยหอบบอบชำสิ้นกำลัง | จะประทังทานไม่รอดตลอดคราว |
และบุตรหลานคลานนั่งกำลังรัก | ยายก็มักเรอรากอ้าปากหาว |
ประเดี๋ยวเมื่อยประเจ็บเป็นเหน็บพราว | มีเรื่องราวรุงรังดูลังเล |
เมื่อหนุ่มสาวคราวฮ่อก็อนาถ | ต้องนิราศแรมร้างไปห่างเห |
กำลังอยู่ชูชมสมคะเน | ก็ร้องเร่รักชมพนมไพร |
ต้องแบกรักหนักอุราพาไปทัพ | เป็นสองกลับกลืนรักแทบตักษัย |
มาสามซ้ำจำจรให้อ่อนใจ | ความอาลัยลึกยิ่งกว่าสิ่งรัก |
แต่รักอื่นชื่นชุ่มเมื่อหนุ่มสาว | เป็นครั้งคราวยังวิตกเพียงอกหัก |
ครั้งนี้หน่วงห่วงหลังรุงรังนัก | ให้พะวักพะวงใจอาลัยลาน |
จะสั่งยายก็จะยาวสาวถึงลูก | เป็นห่วงผูกพันคอต่อไปหลาน |
ลงนิ่งอึ้งคะนึงคิดกิจการ | รีบเขียนบาญชีพลันดังบัญชา |
เบิกข้าวของกองขนไปจนหมด | เอาใส่รถรีบตรงไปลงท่า |
บรรทุกเรือรีบรัดจัดนาวา | ที่ศาลาแดงเสร็จสำเร็จพลัน |
วันที่หกสิงหาเวลาบ่าย | แม่ทัพหมายมุ่งกิจคิดกระสัน |
สั่งให้ออกนาวาจากท่าพลัน | ส่วนตัวท่านขึ้นรถไฟครรไลลาน |
เฝ้าประณตบทเรศเกศโกสินทร์ | ที่บางปะอินทิพย์อาสน์ราชฐาน |
ท่านนายกองนายทัพที่รับการ | ออกจากบ้านพร้อมหน้ามาลงเรือ |
พอน้ำขึ้นรีบคํ้าละล่ำละลัก | เรือก็หนักน้ำก็น้อยอร่อยเหลือ |
บอกขวาซ้ายให้สำเนียงจนเสียงเครือ | นึกน่าเบื่อใจจรนั่งอ่อนใจ |
แปดทุ่มถึงเรือกลกมลมุ่ง | ปากคลองผดุงลอยลำแม่น้ำไหล |
ผูกพ่วงเสร็จสั่งบอกออกเรือไฟ | แล่นครรไลลอยคว้างมากลางชล |
ระยะย่านบ้านเรือนมีเกลื่อนกลาด | เรื่องนิราศพูดเล่นไม่เป็นผล |
ชายกับหญิงจริงในใจของตน | จะนั่งบ่นบ้าให้ผู้ใดฟัง |
เก็บรักซ้อนซ่อนกลไว้ต้นรัก | แม้นพูดนักเขาจะว่าเป็นบ้าหลัง |
พวกที่มาทั้งสิ้นได้ยินฟัง | เขาจะลังเลใจอาลัยเมีย |
อันมนุษย์สุดคิดแต่จิตหมาย | ทุกข์สุขหายเพราะตัดสลัดเสีย |
ตัวจะไปใจจะรออยู่คลอเคลีย | ละห้อยละเหี่ยเห็นผิดความคิดไป |
พอรุ่งสายสุริยาห้าโมงเหมาะ | ก็ถึงเกาะบางปะอินกระสินธุ์ใส |
เข้าจอดเลียบเทียบท่าชลาลัย | ต่างตั้งใจจะเข้าเฝ้าทูลลา |
แต่ฝ่ายท่านแม่ทัพได้รับสั่ง | เห็นมาพรั่งพร้อมกันก็หรรษา |
จึงแจ้งความตามรับสั่งไม่รั้งรา | เรื่องทูลลาโปรดประสาทพระราชทาน |
อนุญาตอย่าให้ช้าเวลาเฝ้า | ได้ข่าวเล่าลือว่าศึกมันฮึกหาญ |
จะเสียเวลาช้าวันไม่ทันการ | แม่ทัพท่านลงนาวาก็คลาไคล |
พฤหัสบดิ์สัตโนสโมสร | ชุลีกรขึ้นประนมบังคมไหว้ |
ขอพระเดชากั้นสรรพภัย | ศัตรูประลัยลาญกลัวให้ทั่วทิศ |
เรือไฟพ่วงล่วงพาหน้าที่นั่ง | แลสะพรั่งพร้อมพรักอกนิษฐ์ |
คอยแวดล้อมจอมนราสวามิตร | มิได้คิดเหนื่อยยากลำบากกาย |
ออกหัวเกาะกลับลำล่องน้ำรี่ | เข้าแควสีกุกไปดังใจหมาย |
ริมฝั่งชลคนดูอยู่เรียงราย | มีตัวนายกำนันนำร่องน้ำเดิน |
บางทีผิดติดตื้นในพื้นน้ำ | ต้องเข็นคํ้าเต้นโลดบนโขดเขิน |
พวกผู้ใหญ่บ้านนั่งบนฝั่งเนิน | ร้องเรียกเกริ่นกรูตามลำน้ำมา |
ช่วยจับฉุดยุดถือเฮฮือลาก | ก็หลุดจากชายหาดดังปรารถนา |
ออกแล่นลิ่วฉิวไปในคงคา | เปิดหลอดจ้าจักรจ้ำน้ำเป็นฟอง |
บนตลิ่งเขียนฉลากถากไม้ปัก | บอกที่พักจัดจ่ายรายสิ่งของ |
เจ้าหน้าที่มีอยู่เป็นหมู่มอง | ช้าวสารกองฟืนรายชายชลา |
ฝ่ายพระสงฆ์ทรงสิกขาทุกอาวาส | ก็ฟังสาธยายมนต์บ่นคาถา |
เสียงสนั่นยันโตโพธิยา | ค่อยเป็นผาสรรพสดับพร |
ถึงวัดเกษไชโยชโลจักร | เจ้าหยุดพักภิญโญสโมสร |
ขึ้นนมัสการดานจิตคิดอาวรณ์ | ท่านแต่ก่อนสร้างไว้ก็ใหญ่โต |
เขาลือข่าวกล่าวคุณบุญฤทธิ์ | ใครตั้งจิตบำราศทุกข์ได้สุโข |
อธิษฐานกล่าวขอหลวงพ่อโต | ถึงเป็นโรคาก็หายสบายบาล |
จบเจ๊กจ้อยพลอยไหว้ให้เจ้าหลง | มีเฮียกงอาศัยในวิหาร |
โต๊ะจีนวางตั้งป้ายไม้กระดาน | วัดเป็นศาลเจ้าแทรกดูแปลกใจ |
ไม้ไผ่รากถากปรับประกับหมาย | ไว้เสี่ยงทายเจาะจงแก้สงสัย |
อันหนึ่งหงายอันหนึ่งคว่ำจงจำใจ | ว่าเจ้าได้รับธุระไม่ละเลย |
แม้คว่ำทั้งสองอันนั้นบังคับ | เจ้าไม่รับบนเบือนจึงเชือนเฉย |
สองอันหกตกหงายภิปรายเปรย | ว่าเจ้าเย้ยหยอกเยาะหัวเราะรับ |
ไม้ติ้วเสี่ยงทายลั่นครั้นตกออก | เฮียกงบอกตัวยี่ชี้กำกับ |
จะดีร้ายถ่ายเทคะเนนับ | พอได้รับเฟื้องสลึงพึ่งพระคุณ |
ฝ่ายท่านเจ้าอธิการชาญคาถา | ปลุกเสกผ้าเหลืองไว้ให้อุดหนุน |
เป็นเชือกเกลียวเหนียวจิตคิดการุญ | ช่วยค้ำจุนปลุกใจให้ไปรบ |
มาให้ท่านแม่ทัพสำหรับทหาร | เป็นเครื่องตัานต่อตีไม่หนีหลบ |
สารพันสรรพภัยคุ้มได้ครบ | ท่านเคารพรับไว้แจกไพร่พล |
แล้ววันทาลาสงฆ์ลงจากวัด | โดยรีบรัดเร็วไปไม่ขัดสน |
เปิดหลอดลั่นสนั่น่ไปในสายชล | ทุกตำบลบ้านเมืองเนืองคำนับ |
มีเป็ดไก่หมูปลาเอามาให้ | ขนส่งใส่เรือร่ำเป็นลำดับ |
รวยเสบียงเลี้ยงท้องทั่วกองทัพ | ไม่รอรับเลยไปเสียหลายเมือง |
แต่เช้าจรผ่อนค่ำจะร่ำจด | เห็นไม่หมดคำกล่าวในราวเรื่อง |
จะพูดนักชักหาเวลาเปลือง | มีแต่เรื่องครวญใคร่ในอุรา ๚ะ |
๏ ถึงเมืองพิษณุโลกเป็นโชคหยุด | ไหว้พระพุทธชินราชดังปรารถนา |
เป็นเมืองมณฑลใหญ่ในอุตรา | ท่านพูดจาไต่ถามความที่เป็น |
ท่านผู้รั้งที่รักษามาคำนับ | ได้ทราบศัพท์เล่าความไปตามเข็ญ |
ชาวเมืองเหนือเหลือร้อนไม่ผ่อนเย็น | บ้างตื่นเต้นตกใจร้องไห้โฮ |
พวกพ่อค้าร้านใหญ่ในเมืองเหนือ | เก็บลงเรือข้าวของกองอักโข |
คิดจะหนีไปอยู่ที่ปากน้ำโพ | ดูเรโรรวนรนทุกคนไป |
พอได้ข่าวว่าใต้เท้าเป็นแม่ทัพ | จะมารับรบสู้จึงอยู่ได้ |
คอยถามหาว่าจะมาสักเมื่อไร | เขาตั้งใจคอยดูอยู่ทุกวัน |
เมื่อก่อนนี้สี่วันนั้นเขาว่า | ใต้เท้ามาถึงนครสวรรค์ |
ดูเริงรื่นชื่นบานสำราญครัน | เห็นจะบรรเทาร้อนนอนสบาย |
แล้วเอาผ้าประเจียดขาวยาวสักศอก | กระซิบบอกชัดชี้ดีใจหาย |
คนในเมืองมุงชิงทั้งหญิงชาย | ผ้าขาวขายดีครันทุกวันมา |
อันเหตุนี้มีเมื่อเสด็จประพาส | หล่อรูปพระชินราชดังปรารถนา |
นิมนต์ไปไว้ที่อยุธยา | ท่านที่มารู้วิธีพูดชี้แจง |
บอกให้ดูประตูโบสถ์แล้วโปรดเล่า | ว่าอกเลาลายสลักประจักษ์แจ้ง |
รูปปราสาทสรรค์สร้างอย่าคลางแคลง | ที่กลางแว้งงวงเลขาอุณาโลม |
เป็นเครื่องกันปืนไฟได้ทุกสิ่ง | ต่างเห็นจริงจับใจวิไลโฉม |
ต่างนับถือลือพิลึกกันครึกโครม | มโนโน้มหน่วงเนื่องเป็นเครื่องราง |
เอาหมึกทาลวดลายระบายอาบ | ผ้าขาวทาบถอดชัดไม่ขัดขวาง |
ลายขนดหมดละไมไม่ระคาง | เป็นเยี่ยงอย่างนับถือเลื่องลือมา |
การครั้งนี้มีพระอนุญาต | โปรดพระราชทานให้ทำไว้ท่า |
แจกแม่ทัพนายทหารที่ท่านมา | ปราบปัจจามิตรให้บรรลัยลาญ |
ครั้นรุ่งแจ้งแสงสีสุริเยศ | ออกนาเวศวิ่งไวด้วยใจหาญ |
ถึงอุตรดิตถ์แดนท่าชลาธาร | จอดขนานหน้าลาดเชิงหาดทราย |
หลวงวิเศษภูธรขจรจัด | เป็นปลัดเมืองมั่นสำคัญหมาย |
หลวงอุดรดิตถาภิบาลก็ชาญชาย | ตำแหน่งนายอำเภอใหญ่ในอุดร |
พลกำลังพรั่งพร้อมน้อมคำนับ | มาคอยรับเรียงหน้าท่าสลอน |
เชิญแม่ทัพขึ้นท่าลีลาจร | ให้พักผ่อนเรือนบ้านสำราญดี |
เรือนสองชั้นปั้นหยาทั้งใหญ่กว้าง | ยี่ห้อห้างอากรเตงกิมเส้งหลี |
นายทหารที่มาบรรดามี | ขึ้นพักที่ห้างใหญ่ได้ทุกคน |
เมื่อจัดทัพคับคั่งตั้งจะยก | ขึ้นเดินบกต่อไปเข้าไพรสณฑ์ |
ขุนพิพิธโกษากรแกร้อนรน | มาสองคนกับพระกันทะคีรี |
เข้าเรียนแม่ทัพใหญ่เรื่องอ้ายเงี้ยว | ดูหน้าเซียวเศร้าสลดไม่สดสี |
ด้วยทุกข์ร้อนจรมาหลายราตรี | จวนชีวีวอดวายเพราะอ้ายโจร |
มันจับได้ไทยฆ่าไม่ปราศรัย | ลาวเป็นใจองอาจทำผาดโผน |
ทรยศคดเคี้ยวกับเงี้ยวโจร | น้ำใจโอนเอนไปเสียใจจริง |
แม่ทัพนั่งฟังความตามที่เล่า | ก็เห็นเค้าเงื่อนยุ่งเกิดสุงสิง |
ให้เงินหนุนจุนกำลังไม่ชังชิง | ได้ซื้อสิ่งเสื้อผ้าแล้วลาไป |
ครั้นรุ่งเช้าช้างม้ามาเสร็จสรรพ | ก็เดินทัพตัดตรงไม่สงสัย |
ข้ามทุ่งนาป่าละเมาะเป็นเกาะไป | ผลไม้หมากพลูเป็นหมู่มี |
เป็นบ้านเถื่อนเรือนทุ่งพุงดำล้วน | ทำเรือกสวนไร่นาประสาประสี |
เห็นทัพเดินเมินหน้าไม่พาที | บ้างหลีกลี้หลบหน้าเข้าป่าดง |
พระสุริเยนเบนเบือนจะเลื่อนลับ | ให้วาบวับว้าจิตพิศวง |
เสียงจังหรีดกรีดกรุ่มในพุ่มพง | พาจิตวงเวียนหวนรัญจวนใจ |
จังหรีดร้องเรียกคู่คูออกเพรียก | เราจะเรียกร้องกล่าวสาวที่ไหน |
พบพวกลาวสาวแซ่พอแลไป | ไม่อาลัยหลบหนีเสียทีเดียว |
เดินรำพึงพอถึงระยะย่าน | วัดบ้านด่านดวงจิตคิดเฉลียว |
เข้าหยุดทัพสับสนผู้คนเกรียว | แม้พบเงี้ยวเข้าที่นี่จะดีครัน |
ได้รบสู้ดูดีเป็นทีแรก | เหมือนรับแขกเมืองเล่นจะเห็นขัน |
แต่ที่ไหนจะได้พบประสบกัน | เขารบมันแตกไปเสียไกลแล้ว |
จนพลบค่ำย่ำฆ้องกองทหาร | เข้าจัดการยามยืนถือปืนแซ่ว |
ใครออกเข้าเจ้าหน้าที่ดูวี่แวว | รุ่งเช้าแล้วลีลาเข้าป่าไป |
ลงตามห้วยกรวยกรอกเป็นซอกเผิน | บ้างเป็นเกริ่นโกรกลำเนาเขาไศล |
ฝนฝอยพร่ำน้ำนองในท้องไพร | บ้างครรไลลื่นล้มลงตมเลน |
ระยะทางกลางป่าจะว่าด้วย | ทั้งลำห้วยละหานยาวเป็นกราวเขน |
ว่าง่ายยากหากจะจัดให้ชัดเจน | เกรงจะเกณฑ์กะพจน์ว่าปดลวง |
แม้นเดินทางหน้าแล้งดินแห้งมาก | มักอดอยากน้ำท่าในป่าหลวง |
ทั้งร้อนรุ่มกลุ้มกลัดอึดอัดทรวง | ใบไม้ร่วงหล่นแจ้งแสงตะวัน |
แม้นหน้าหนาวก้าวย่างทางพนัส | จะเลาะลัดหลีกไปเข้าไพรสัณฑ์ |
ยังดีกว่าหน้าร้อนจรอรัญ | ที่ลุ่มหลั่นน้ำเหลือพอเจือใจ |
ม้าเดินป่าหน้าฝนล้นกระสินธุ์ | ที่ดอนดินแผ่นพื้นลื่นไถล |
ภูเขาเขินเนินลำราบเป็นคราบไคล | ที่ลุ่มไหลเลนตมเป็นหล่มลุย |
ทั้งเปื้อนเปรอะเกรอะกรำแสนลำบาก | ร่านริ้นทากเถื่อนมีตามขี้ขุย |
มันกัดกินเลือดล้วนอ้วนปุกปุย | ไม่แกล้งคุยคิดหลอกบอกจริงจริง |
สัตว์พวกหนึ่งตัวลายร้ายสาหัส | ตรงเข้ากัดเอาสดสดเลือดหยดติ๋ง |
จะปิดเป่าเท่าไรไม่ไหวติง | มันกัดนิ่งแนบตัวไม่กลัวตาย |
แม้นโคต่างตามตอนล้อมเป็นกลุ่ม | เข้ากัดรุมราวีไม่หนีหาย |
ตามซอกหูจู่จรเข้าซ่อนกาย | ต้องแสงสายสุริย์ศรีจึงหนีไป |
ลงที่เรียบรีบย่างขับช้างปร๋อ | ถึงบางอ้ออาทิตย์มืดไศล |
เห็นค่ายตั้งรั้งรับกองทัพชัย | หยุดอาศัยสำนักพักพลา |
เป็นปากทางที่ตรอกเข้าซอกห้วย | น้ำระรวยไหลรินจากหินผา |
เป็นคันเขาเว้าเวิ้งเชิงชลา | ที่พระยาพิไชยตั้งไว้รบ |
ว่าอ้ายโจรจ้วงจาบรำดาบแต้ | ร้องวัดแลไล่ฟันประจันจบ |
พระยาพิไชยไล่พลเข้ารณรบ | ยิงบัดซบสิ้นชีวิตด้วยพิษปืน |
อ้ายชล่าโปชายเป็นนายทัพ | ก็หนีกลับเข้าป่าไม่ฝ่าฝืน |
พระยาพิไชยได้ท่าขึ้นมายืน | ต้อนพลครื้นครึกรุกบุกไปตาม |
ถึงตำบลบ้านอยู่ได้รู้แน่ | ตรงเข้าแพร่พร้อมพรักพักสนาม |
ตั้งมันอยู่ดูแลกระแสความ | ยังไม่ปรามปราบได้ทำใจเย็น |
พักพอแจ้งจรเข้าหว่างเขาเขียว | เห็นอ้ายเงี้ยวตายหมกริมรกเหม็น |
อ้ายโจรดงหลงจิตมาคิดเป็น | ขบถเล่นล้มตายน่าอายแทน |
เห็นเขาพรึงขึงขึ้นที่มั่นหมาย | มาตั้งค่ายทำคึกสู้ศึกแสน |
เป็นกองการด่านดักมากักแดน | เหมือนตั๊กแตนตอมเพลิงระเริงลาน |
ได้กลิ่นควันหันหน้าเข้าป่าหนี | เป็นค่ายผีหลอกลาวชาวไพรศาล |
ด้วยขลาดเขลาเง่าโง่โมหะการ | หยิ่งทะยานยกหัวว่าตัวดี |
เช่นแย้ป่าหากินในถิ่นรก | หัวปะหงกทำสง่าน่าบัดสี |
เสียงกรากแกรกแหวกวิ่งเป็นสิงคลี | เห็นรูมีมุดหัวด้วยกลัวตาย |
คะนึงพลางย่างเดินขึ้นเนินผา | อังศุมาลีแจ้งส่องแสงฉาย |
หนทางยาวก้าวชันย่างยันกาย | หยุดกระหายหอบราคอยหาแรง |
พอลมชื่นฝืนฝ่าขึ้นหน้าเขา | เลาะลำเนาเนินคิดในจิตแหนง |
หนทางแคบแอบเคียงเอียงตะแคง | ด้วยเหวแซงเห็นซึ้งตะลึงแล |
ดูเวิ้งวุ้งคุ้งโค้งเป็นวงวก | เครือเขารกเรอะระเห็นกระแส |
ละลิ่วลึกนึกกลัวมัวมองแล | ระวังแต่ตัวจะตกที่รกรุม |
พิรุณโรยโปรยแประลงแฉะเฉอะ | หนทางเลอะเลนตมเป็นหล่มหลุม |
ค่อยย่างยันมั่นก้าวไม้เท้ากุม | เดินสามขุมค่อยไปมิได้เร็ว |
พอมาพบนายขุนผลาญทหารหน้า | บอกว่าม้าตกไปอยู่ในเหว |
ติดรกร้างค้างอยู่ดูเต็มเลว | เรียกคนเร็วรวมกันช่วยมันที |
แลดูม้ามุ่นหมกติดรกร้าง | ตะแคงค้างอยู่นิ่งไม่ติงหนี |
เอาเชือกเกลียวเหนี่ยวกายาตัวพาชี | จึงพ้นที่เหวห้วยไม่ม้วยมรณ์ |
ถึงทางลัดตัดข้ามลงตามช่อง | ค่อยย่างย่องเหยียบลื่นพื้นสิงขร |
ลงถึงเกริ่นเนินทางที่กลางดอน | เห็นไม้ขอนสักเกลื่อนริมเถื่อนทาง |
บ้างยืนตายต้นแห้งส่องแสงฉาน | รอยเขากานก่นตัดไม่ขัดขวาง |
ที่พึ่งรุ่นดรุณวัยเป็นไม้นาง | แลสล้างสูงละลิ่วเป็นนิ้วมือ |
บ้างงอกงามตามพื้นดูชื่นชุ่ม | แลเป็นพุ่มเด่นเดี่ยวใบเขียวปื๋อ |
วายุโบกโยกไหวใบกระพือ | ดังฮือฮือหวนหันสนั่นดง |
ที่ป่าแดงดูสะพรั่งเต็มรังร่ม | ต้นเกลากลมเรียงระดะดูระหง |
เป็นทิวแถวแนวไม้ที่ในดง | สุดจะจงเจาะจำเฝ้ารำพัน |
ที่หุบห้วยกรวยโกรกชะโงกผา | ต้นกล้วยป่าขึ้นไสวชักใบสั้น |
ดูอวบอ้วนนวลศรีฉวีวรรณ | ขึ้นประชันชูต้นบนคีรี |
ข้างเอนค้อมน้อมหนักอลักเอลื่อ | ด้วยตกเครือถ่วงทับไม่นับหวี |
ยังยาวยานก้านขั้วติดหัวปลี | แม้นลมมีมาพัดก็กวัดไกว |
ต้นกระเทือนเขยื้อนยอดตลอดก้าน | เหมือนนมยานอยู่ในอกยกไม่ไหว |
ต้องเหวี่ยงวัดฟัดช้ำระกำใจ | พินิจใคร่ครวญมาน่ารำคาญ |
อีกไม้ปาล์มแลเป็นเห็นหลายสิ่ง | เรียกหมากลิงจั่นออกดอกประสาน |
มะพร้าวเต่าตาวต้นยลละลาน | ปุ่มเป้งก้านใบงามอร่ามตา |
มีต้นเฟิร์มแฝงสอดชูยอดเฟือย | ขึ้นพาดเลื้อยเลาะแลงแซงพฤกษา |
ต้นเอื้องออกดอกดวงพวงพกา | เป็นระย้าย้อยยลวิมลมอง |
ชมพฤกษาพาเพลินเหมือนเดินเที่ยว | แม้นอ้ายเงี้ยวโจรยังมาตั้งซ่อง |
แอบยิงชิงสู้ดูทำนอง | เรามัวมองไม้จะพาเสียท่าทาง |
รู้สึกใจไคลคลาขับม้าแล่น | บนพื้นแผ่นพสุธาในป่ากว้าง |
พระสุริยงเย็นพยับลับนภางค์ | ก็ถึงบางแม่พวกสะดวกดาย |
เห็นเรือนบ้านชานชลาน่าฉงน | ไฉนคนผู้ร้างไปห่างหาย |
ถามคนนำทางเล่าเค้าภิปราย | ว่าบ้านอ้ายปะกาหม่องเป็นซ่องโจร |
พวกขายค้ามาไปใจถวิล | ไม่ดูหมิ่นองอาจทำผาดโผน |
มิหาไม่ให้บูชาหัวหน้าโจร | จึงไม่โดนตีปล้นคนไปมา |
อ้ายหัวโจกโจรลือชื่อนายซ่อง | ปะกาหม่องอยู่เฝ้าเป็นเจ้าป่า |
เจ้าเมืองแพร่เลี้ยงไว้ใช้ต่างตา | ดูช้างม้าวัวควายไม่หายเลย |
ทางบ่อแก้วอีกตำบลคนอักโข | ชะลาโปชายลือชื่อเฉลย |
หัวหน้าเงี้ยวเที่ยวปล้นเป็นคนเคย | แม้นออกเอ่ยชื่อกลัวหนังหัวพอง |
การครั้งนี้นี่ใครที่ไหนปล้น | อ้ายสองคนนี่แหละเข้าเป็นเจ้าของ |
เหมือนเงาะป่ามาบังรูปสังข์ทอง | เขาโห่ร้องรุกร้นปล้นนคร |
ได้ฟังเล่าเศร้าจิตคิดพระเดช | บำรุงประเทศราชรักษ์ศักดิ์นุสรณ์ |
ให้เพิ่มพูนตระกูลพาสถาพร | มาตัดรอนร้างพระบารมี |
ไหนจะฝืนยืนยงดำรงยศ | คงจะลดเลื่อนเยื้องไปเมืองผี |
ตระกูลวงศ์พงศาพวกกาลี | คงจะลี้ลับหายละลายลาน |
คิดแล้วเมื่อยเหนื่อยอ่อนลงนอนแผ่ | เขาเป่าแตรเร่งรุกปลุกทหาร |
ด้วยจวนแจ้งแสงศรีรวีวาร | ต่างลนลานเลิกรื้อเสียงอื้ออึง |
เก็บข้าวของกองลำดับดูสับสน | พวกคนขนของหาวหุงข้าวนึ่ง |
ควาญช้างผูกช้างเรียงเสียงเอ็ดอึง | กระดิ่งกระดึงดังปนอลเวง |
คนเลี้ยงม้าจูงม้ามาแออัด | บ้างโขกกัดกันโลดกระโดดเหย็ง |
เข้าระเบียบเรียบยืนเสียงครื้นเครง | เป่าแตรเพลงเดินหน้าให้คลาไคล |
ดำเนินทัพขับม้ามาบอหึง | ถึงบ้านพึ่งพักแดดแผดไถง |
มีเรือกสวนไร่นาประสาใจ | เป็นชายไพรแพร่ดอนนครคัน |
เห็นพระราชวงศ์จำนงสนอง | ถือไหทองใส่บุปผามาเชิญขวัญ |
กับเทียนเงินเทียนทองของสำคัญ | อภิวันท์แม่ทัพคำนับเรียน |
ว่าองค์ท้าวเจ้าพาราจะมารับ | ยังยั้งยับอยู่ที่ทางหว่างเสถียร |
ท่านแม่ทัพสดับคำที่ร่ำเรียน | ไม่ผัดเพี้ยนพูดว่าเชิญมาพบ |
ราชวงศ์วันทาขับม้าแต้ | เชิญเจ้าแพร่พร้อมหน้ามาประสบ |
ต่างทักถามตามไมตรีที่คำรพ | เจ้าแพร่นบนอบเชิญให้เดินไป |
พักศาลาพร้อมพรั่งได้นั่งเล่น | บ้านสุเมนถิ่นที่มีอาศัย |
ท่านแม่ทัพรับวาจาแล้วลาไป | กองทัพไคลคลาตามออกหลามทาง |
ถนนใหญ่มูลดินทางลิ้นลาด | สามวาพาดทุ่งทำเลคะเนกว้าง |
ยาวสักสามร้อยเส้นเป็นหนทาง | ดูสำอางเอี่ยมเมืองรุ่งเรืองดี |
ที่ละมานเหมืองน้ำลำละหาน | มีตะพานข้ามสิ้นถิ่นวิถี |
ทั้งช้างม้ามาไปได้ด้วยดี | ขับพาชีฉิวเฉื่อยระเรื่อยมา |
ถึงสุเม่นเห็นโรงตำรวจตั้ง | ผู้คนคั่งคับอยู่ดูรักษา |
ถือหลาวยืนขึ้นคำนับกองทัพมา | ประมาณห้าร้อยคนพลหัวเมือง |
พระสุริยงส่งแสงออกแรงเร้า | ถูกแดดเผาแผดกล้าจนหน้าเหลือง |
เข้าพักร้อนผ่อนใจให้ประเทือง | เจ้าแพร่เยื้องยาตรเดินเชิญแม่ทัพ |
ขึ้นโรงตำรวจภูธรพักผ่อนเหนื่อย | พระพายเฉื่อยชื่นอุรังแทบนั่งหลับ |
ขุนนางลาวเจ้าแพร่กับแม่ทัพ | ท่วงทีรับรองกันเป็นชั้นเชิง |
ดูกระดากปากใจในจริต | จะคาดคิดเงื่อนเงาเหมือนว่าวเหลิง |
ไม่ย้ายยักชักชื่นให้รื่นเริง | ต่างละเลิงลมอึ้งตะลึงแล |
พอกองหลังประดังหน้ามาจะหยุด | บอกให้รุดรีบเนื่องเข้าเมืองแพร่ |
เจ้าพาราลาพลันไม่ผันแปร | กลับเข้าแพร่ก่อนหน้าไม่ช้าเชือน |
พอลมดีแดดชอุ่มคลุ้มพยับ | ท่านแม่ทัพขึ้นม้ารีบคลาเคลื่อน |
พวกนายทัพขับพาชีเร่งตีเตือน | สุธาสะเทือนฝุ่นฟุ้งตามทุ่งทาง |
มาพบพระยาศรีสุริยราช | ที่ห้องกาดโดยกิจไม่คิดหมาง |
มารอรับรวมคนอยู่ต้นทาง | ชี้กระจ่างแจ้งเรื่องในเมืองลาว |
แล้วนำทัพขับม้าลีลาลิ่ว | เป็นแถวทิวเดินทางมากลางหาว |
แผ่นดินดังดุจเกราะเขาเคาะกราว | ด้วยฝีเท้าม้าลั่นสนั่นเวียง |
พอถึงทางสามแพร่งตำแหน่งเลี้ยว | มีวัดเงี้ยวอยู่ข้างทางเฉวียง |
เห็นภิกษุจุจองมามองเมียง | ไม่ส่งเสียงสวดให้เป็นไชโย |
หรือเป็นใจด้วยอ้ายเงี้ยวพวกขบถ | ลืมเพศพรตพรหมจรรย์ขันอักโข |
นับถือชาติขาดธรรมสัมพุทโธ | จริงไม่โมทนารับกองทัพเดิน |
ธรรมการเล่าก็เฉยชั่งเลยละ | ไม่สั่งพระสงฆ์บ้างทำห่างเหิน |
ทั้งเจ้านายฝ่ายขุนนางก็หมางเมิน | สติเพลินเผลอเลี้ยวเป็นเงี้ยวไป |
เห็นบ้านเรือนโรงร้างข้างถนน | ไม่มีคนขายค้าอยู่อาศัย |
ล้วนบ้านเงี้ยวเปลี่ยวเปล่าน่าเศร้าใจ | มันหนีไปป่ากลัวตัวจะตาย |
พลเมืองมีบ้างแอบข้างฝา | เยี่ยมแต่หน้าแลดูเป็นหมู่หมาย |
ถือว่าการโจรกรรมไม่กล้ำกลาย | จึงไม่หน่ายแหนงหนีไปทีเดียว |
ขับอาชาคลาไคลวิ่งไววู่ | เข้าประตูชัยเพ่งเหลือบเล็งเหลียว |
เสียงคนผู้ฉู่ฉาวอยู่กราวเกรียว | หมายว่าเงี้ยวแลไปเป็นไทยเรา |
ก็ตรงเข้าเค้าสนามตามกระสัน | เป็นค่ายมั่นมูลมองเก็บของเข้า |
ทหารยามยืนรอบขอบลำเนา | ก็ตั้งเป้าปึงวางอยู่กลางเมือง |
สงบทัพยับยั้งตั้งสืบสาว | ไม่ได้ข่าวจริงประจักษ์เลยสักเรี่อง |
ถามเจ้านายฝ่ายลาวพวกชาวเมือง | ก็พูดเยื้องย้อนยอกไม่บอกจริง |
จนไทยเราเหล่าข้าหลวงกระทรวงตั้ง | ที่ตัวยังเหลือตายทั้งชายหญิง |
มาเล่าความตามเข็ญเป็นจริง | เรื่องเงี้ยวชิงฉกค้นปล้นนคร |
กรกฎาคมศกท่านหยิบ | ยกร้อยยี่สิบใส่ใช้อักษร |
วันที่ยี่สิบห้าทิวากร | เกีอบจะจรแจ่มแจ้งแสงอุทัย |
เสียงปืนปึงตึงมาก้องกาหล | ยิงโรงพลตำรวจรบสบสมัย |
แล้วสามารถอาจองทะนงใจ | ยิงโรงไปรษณีย์ไม่รีรอ |
ขึ้นทำลายเครื่องสายโทรเลข | เสียงโปกเปกปืนยิงคนวิ่งสอ |
ร้องวัดแล่แร่ใส่เจียวใจคอ | รำดาบก้อก๋ารี่เข้าตึไทย |
ขึ้นบนเค้าสนามได้ไล่สังหาร | กระทุ้งบานประตูหักไม่พักไข |
หีบกำปั่นลั่นกุญแจแร่เข้าไป | คัดง้างได้เงินทองของทั้งปวง |
เก้าอี้โต๊ะตู้ใช้ใส่หนังสือ | มันเลิกรื้อทิ้งกองล้วนของหลวง |
เครื่องแบบอย่างทางการงานกระทรวง | เข้าจวบจ้วงทลายยับทั้งสับฟัน |
บ้างเกรียวกรูพรูพร้อมเข้าล้อมบ้าน | ไล่จับท่านข้าหลวงล่วงถลัน |
ต่างหลบหลีกปลีกตัวด้วยกลัวมัน | เที่ยวแตกสันซ่อนซุ่มประชุมชน |
รวมห้านายหนีร้อนเที่ยวซ่อนซุ่ม | ตรงเข้าซุ้มคิดสู้ดูสักหน |
ยืมอาวุธยุทธนาถลาจน | ได้สักคนละบอกจะออกรบ |
เจ้าแพร่ว่าหามีปืนจะให้ | ทั้งกลัวอ้ายเงี้ยวปล้นผจญจบ |
ก็กลับออกนอกซุ้มเที่ยวซุ่มซบ | ต่างเลี่ยงหลบหลีกแยกแตกกันไป |
ข้าหลวงเล่ายังไม่ไหวใจแต่เหตุ | ด้วยจิตเจตนาตรงไม่สงสัย |
ว่าโจรปล้นค้นทรัพย์จะกลับไป | คงจับได้ตัวดังตั้งกมล |
เที่ยวเกณฑ์ลาวชาวพาราให้มาจับ | มันก็กลับเข้าเกลียวกับเงี้ยวปล้น |
ต้องหนีร้อนซ่อนป่าเข้าตาจน | ทรพลอดอยากลำบากกาย |
บ้างแปลงเพศโกนผมประสมซุ่ม | ผ้าเหลืองคลุมห่อสกลกมลหมาย |
เป็นรูปเถรเณรตามความอุบาย | ได้รอดตายด้วยวิชารักษาตัว |
บ้างหนีร่นพ้นไปทำใจฝ่อ | กลับผูกคอตายที่ป่าดูน่าหัว |
ไปตีตนด่วนตายด้วยรายกลัว | ให้ผียั่วหยันเล่นไม่เห็นดี |
บ้างซุ่มรกหมกป่าลาวมาเห็น | มันจับเป็นมัดไปมิให้หนี |
ส่งให้เงี้ยวพวกมันด้วยทันที | ล้างชีวีวายวางลงกลางคัน |
พวกผู้หญิงภรรยามาด้วยผัว | ตกใจกลัวโจรหนีไม่มีขวัญ |
หอบลูกเต้าเข้าป่าพนาวัน | เที่ยวด้นดั้นดงดอนไปซ่อนตน |
มันพบจับสับฆ่าไม่ปราศรัย | บ้างเอาไปบูชาสถาผล |
คราววิบากจากผัวของตัวตน | ต้องนิ่งทนทรกรรมด้วยจำใจ |
ส่วนตัวอ้ายปะกาหม่องจองหองเหลือ | ฉวยเอาเสื้อยศพระยาหยิบมาใส่ |
กระบี่หมวกยอดทองผ่องอำไพ | เต็มยศใหญ่ติดตราทำท่าทาง |
นั่งเก้าอี้ชี้ขาดประกาศยศ | บ้านเมืองหมดเป็นของมันมาขันจ้าง |
ให้หาท้าวเจ้าพุงดำไม่อำพราง | ทั้งขุนนางในพารามาประชุม |
กระทำสัตย์ลัญญากันคล้าคล่ำ | แล้วกินน้ำนึกปองตั้งซ่องสุม |
หัวหน้าสองกองทัพกำกับคุม | พวกลาวซุ่มส่งลำเลียงเสบียงไป |
ปะกาหม่องนายทัพกำกับอ้าง | ตีลำปางเปิดด่านเป็นการใหญ่ |
แตกแล้วตีลำพูนหนุนเข้าไป | ยึดเชียงใหม่มั่นตั้งกำลังพล |
อ้ายชะล่าโปชายไปฝ่ายหนึ่ง | อยู่เขาพรึงพร้อมพรั่งฟังนุสนธิ์ |
ไม่มีทัพรับรบประจบจน | ตีตำบลท่าอิฐมันคิดการ |
ปะกาหม่องเมื่อไปมันได้เงี้ยว | สามร้อยเชี่ยวชาญแรงกำแหงหาญ |
ลาวขมุมาประดนเป็นคนงาน | หาบข้าวสารส่งเสบียงไปเลี้ยงกัน |
ถึงวัดป่ารวกปองเข้ามองมุ่ง | พอใกล้รุ่งสุริย์ใสเสียงไก่ขัน |
ตีฆ้องหึ่งฮึกโหมเข้าโรมรัน | มันจะฟันฟาดไทยให้เป็นบอน |
พวกลำปางตั้งค่ายคอยหมายมุ่ง | เอาไม้ซุงซ้อนรองไว้สองท่อน |
มีช่องปืนยืนยิงไม่นิ่งนอน | กัปตันยอนเซลสู้อยู่บังคับ |
พลภูธรเทียบนึ่งระวังที่ | ยี่สิบสี่คนรบไม่หลบหลับ |
ยิงอ้ายเงี้ยวแตกอพยพยับ | ที่ตายนับสามสิบพอดิบดี |
ที่เจ็บป่วยต้องปืนวิ่งตื่นแต่ | มาเมืองแพร่พร้อมใจเข้าไหว้ผี |
ปีศาจหลอนสอนว่าอย่าช้าที | กองทัพมีมาใกล้จงไปพลัน |
มันเชื่อผีหนีพล่านทิ้งบ้านเสีย | พาลูกเมียมุ่นไปอยู่ไพรสัณฑ์ |
ที่ยังอยู่สู้หน้าจะว่ากัน | ก็พวกมันหมดสิ้นไม่หมิ่นแคลน |
ทางเขาพรึงพรั่งพรูไปสู้รบ | พอกระทบปืนยิงก็วิ่งแล่น |
แตกกระจายหายซ่อนเข้าดอนแดน | บ้างขืนแค่นเข้าซ่อนนอนอยู่เรือน |
ไม่เกล้าผมโพกผ้ารักษาหัว | มาแปลงตัวปลอมอยู่กับหมู่เพื่อน |
ดูหัวโล้นโกนแลเที่ยวแชเชือน | เป็นทิดเถื่อนสึกมาแต่ป่าโจร |
เมื่อทัพไทยไล่เงี้ยวกราวเกรียวแตก | มีทูตแขกโพกหัวเปลี่ยนตัวโขน |
ถือสารทูลเศียรร้องก้องตะโกน | มิใช่โจรจะมารับกองทัพไทย |
ท่านนายทัพรับสารอ่านความว่า | เจ้าพาราแพร่รอนสุนทรไข |
ขอให้ทัพยับยั้งตั้งอยู่ไพร | จัดคนให้เรียบจะรับกองทัพมา |
ทูตแขกกลับฉับพลันรุ่งวันใหม่ | ฝรั่งไปห้ามทัพเข้ารับว่า |
จะระงับดับเหตุเจตนา | แม้นเข้ามาลาวจะแหลกแตกกระเจิง |
เขาจะจัดแจงระเบียบให้เรียบร้อย | หาไม่จะพลอยนังนุงเกิดยุ่งเหยิง |
พดชี้แจงแจ้งใจให้บันเทิง | จนระเริงหลงช้าเวลาเย็น |
จะขอผ่อนนอนอาศัยที่ค่ายมั่น | ราวกับฉันญาติกาได้มาเห็น |
พระยาพิไชยใจร้อนไม่ผ่อนเย็น | เดินทัพเป็นกระบวนตามกันหลามมา |
เจ้านครร้อนใจดังไฟจุด | ให้ราชบุตรออกตามไปห้ามว่า |
ให้พักทัพยับยั้งตั้งโยธา | ท่านพระยาพิไชยก็ไม่ฟัง |
ยกทัพด่วนเดินทางกลางทุ่งท่า | พบพระวาสุเทพได้โดยใจหวัง |
เข้ารวมรอมพร้อมพหลพลกำลัง | จะเข้ายังแพร่นครด้วยร้อนใจ |
ฝ่ายพระเสนาราชก็คลาดแคล้ว | จากบ่อแก้วกะวันทันสมัย |
พอประสบพบหน้าพระยาพิไชย | ก็รีบไคลคลาทัพลำดับมา |
อายเงี้ยวโจรดีใจจะได้รบ | เที่ยวเดินทบทวนกรอทำก้อก๋า |
คนลาวแลแน่ใจในสัญญา | ดูเงี้ยวฆ่าไทยเล่นเคยเห็นมือ |
มันเลือกเล่นปัศตันท่าขันขึง | นกสับตึงตื่นชิงกันวิ่งตื้อ |
บ้างแหกรั่วหัวร่อแต่พอครือ | บ้างวิ่งตื้อดันหมกเข้ารกไป |
พินิจดูเหมือนหมู่สุนัขเฝ้า | นั่งหอนเห่าตองแห้งแกว่งไหวไหว |
พอลมจัดพัดฮือกระพือใบ | ก็ตกใจโจรวิ่งเป็นสิงคลี |
พระยาพิไชยไคลคลาเช้ามาถึง | ตั้งค่ายขึงคอยศึกไม่นึกหนี |
ไม่เห็นอ้ายเหล่าร้ายในบุรี | พักโยธียับยั้งคอยฟังการ |
ด้วยเดชะพระอำนาจราชฤทธิ์ | อ้ายพวกคิดขบถยับดับสังขาร |
แตกกระจายหายรุดจนสุดปราณ | เที่ยวหนีซ่านซ่อนหน้าอยู่ป่าดง |
ได้ฟังเล่าเศร้าในฤทัยเสียว | น้อยหรือเงี้ยวโจรจิตคิดประสงค์ |
ตั้งตัวเองเก่งกาจทำอาจอง | พุงดำพงศ์พายุ่งด้วยพุงแดง |
มาคิดใหญ่ใฝ่ฝันจะปั้นยศ | บ้านเมืองหมดเป็นของมันดูขันแข็ง |
อ้ายจิ้งจอกเห็นดอกทองกวาวแดง | คิดจะแย่งนึกว่าเหยื่อเนื้อเป็นพวง |
มานั่งเฝ้าเห่าโหกกระโชกหอน | พอแดดร้อนร่มกายก็หายหวง |
น้ำลายหยดหมดเปล่าเที่ยวเห่าลวง | หนีเข้าห้วงหุบเขาลำเนาเนิน |
หรือหิ่งห้อยห้วยน้ำลำไศล | ว่าก้นใสส่องกระสินธุ์เที่ยวบินเหิน |
แมลงลาวชาวนิคมอารมณ์เพลิน | ว่าจำเริญฤทธิไกรไหว้วันทา |
เห็นแวววาวพราวพรอยย้อยอยู่นิด | ลืมอาทิตย์ที่ส่องห้องเวหา |
ลืมดวงจันทร์วันเพ็ญเด่นนภา | ลืมโยธาหาญล้างจะวางวาย |
น่าสงสารภรรยาท่านข้าหลวง | มาต้องบ่วงโจรไพรน่าใจหาย |
แสนระกำลำบากยับยากกาย | ด้วยผู้ร้ายรุกร้นเข้าปล้นชิง |
พยายามตามผัวตัวม้วยมอด | ที่ยังรอดก็วิตกโอ้อกหญิง |
ถึงคนอื่นหมื่นแสนแม้นจะอิง | เข้าพึ่งพิงพัวพันไม่มั่นใจ |
อันนารีที่เป็นหม้ายชายจะรัก | ก็พอพักผ่อนแดดแผดไถง |
พอหายร้อนผ่อนรักหักครรไล | ยิ่งจะได้ทุกข์ทับอัประมาณ |
แม้นแก่เฒ่าเศร้าศรีไม่มีแสง | จนเหี่ยวแห้งหายระเหยเลยสงสาร |
ได้สวดมนต์ภาวนารักษาการ | หมายวิมานเมืองแมนแดนอมร |
คะนีงคิดจิตใจให้ไหววับ | ท่านแม่ทัพทอดในฤทัยถอน |
ด้วยการุญจุนประชานรากร | ที่เดือดร้อนระงับเข็ญให้เย็นยืน |
ทั้งหญิงชายรายตัวได้ทั่วหน้า | ให้เงินตราเป็นประโยชน์ไม่โหดหืน |
ช่วยอุดหนุนจุนจำพอกล้ำกลืน | จะได้ชื่นชูพระเดชปกเกศไป |
แต่เรื่องเงี้ยวเกี่ยวกลคนบังคับ | ครั้นจะจับกุมลงยังสงสัย |
พออังกฤษเขาให้มิสเตอร์ไล | เป็นที่ไวกงสุลมาจุนเจือ |
จับเงี้ยวที่มีชื่อลงมือปล้น | ได้หลายคนมอบไมตรีอารีเหลือ |
หีบที่นอนหมอนตกครกกะเบือ | กับทั้งเสื้อยศด้วยช่วยเอามา |
ให้แม่ทัพรับชำระช่วยสะสาง | ไม่ขัดขวางข้อคดีชี้ปรึกษา |
ใครทำผิดติดคอกนอกศาลา | ไม่แฉะช้าช่วยจริงทุกสิ่งอัน |
พอได้รับโทรเลขเอกสาร | ข้าหลวงน่านนครอักษรสรรพ์ |
ว่าผู้ร้ายรายปล้นคนสำคัญ | หนีด้นดั้นดงดาลข้ามด่านมา |
เข้าช่องแคบรกชัฏสงัดเงียบ | ทางสบเอียบแอบเดินตามเนินผา |
พวกด่านดักกักไว้มิให้มา | ทั้งช้างม้าอัดแออยู่แจจน |
ทั้งเงี้ยวลาวชาวขมุมิใช่น้อย | นับได้ร้อยเก้าสิบห้าอย่าฉงน |
มีช้างม้าพาหนะเข้าปะปน | รวมระคนคั่งคับจับไว้คอย |
แม่ทัพฟังสั่งตำรวจภูธรเรียบ | ไปสบเอียบเร็วพ่ออย่าท้อถอย |
คุมพวกที่หนีหน้าเข้าป่าดอย | มาถ้อมถ้อยความดูได้รู้การ |
ตำรวจภูธรรับบังคับใช้ | ก็รีบไปเร็วพลันโดยบรรหาร |
คุมเงี้ยวง้าวลาวมาไม่ช้าการ | ขมุม่านมีปนระคนกัน |
จึงสั่งให้พนักงานการไต่สวน | สอบสำนวนเนื้อความตามกระสัน |
จดชาติชื่อถือนายหมายสำคัญ | เข้ามาพันพัวพืชชักยืดโยง |
ขมุหมายนายหวังฝรั่งเศส | อังกฤษเพศเงี้ยวพม่าดูอ้าโถง |
ล้วนสัตย์ซื่อถือจิตไม่คิดโกง | อยู่ป่าโป่งลากชักไม้สักซุง |
แต่ลาวกล่าวรับบังคับสยาม | เข้าเป็นสามก๊กใส่กันใหญ่ยุ่ง |
ว่าบ้านเมืองเคืองเข็ญเป็นนังนุง | ตื่นสะดุ้งเหตุนี้จึงหนีไป |
ฟังถ้อยคำอำญวนสำนวนแหนง | เหมือนเงินแดงถูกันขึ้นมันใส |
แต่เปลี่ยนผลัดลัทธิศิวิไล | ถึงจะได้แดงดำก็ทำเนา |
ต้องกลืนกล้ำคํ้าจุนทั้งคุณโทษ | จนมีโจทย์ยืนยันว่ากันเข้า |
ชี้หลักฐานพยานยันไม่ดันเดา | จึงได้เค้าข้อความตามที่เป็น |
ขุนนางหนึ่งหน้าที่มีบังคับ | สำหรับรับมาดหมายจ่ายทุกเส้น |
คำหาชี้คดีชัดจัดประเด็น | ถือลายเซ็นสั่งบังคับไปลับแล |
ให้เกณฑ์บ่าวลาวพลันมาบรรจบ | ได้ช่วยรบรับสู้อยู่เมืองแพร่ |
ถามไม่รับกลับเกลื่อนพูดเชือนแช | ทำอ้อแอ้อุบอิบต้องจับจำ |
มันจนจิตบิดเบือนกลบเงื่อนสาย | ผูกคอตายล่วงลับไม่สับสำ |
สิ้นเค้ามูลสูญด้วนสำนวนคำ | ต้องนิ่งกล้ำกลืนกลมอารมณ์รึง |
ส่วนเจ้าแพร่แดดาลรำคาญขุ่น | ให้หมกมุ่นหมองช้ำดูอํ้าอึ้ง |
เหมือนเพลิงสุมรุมเร้าเป็นเถ้ารึง | ก็ลั่นตึงออกตัวกลัวชีวี |
โทษที่ทำกรรมก่อข้ออุบาทว์ | ก็ปลาตหลบหน้าเข้าป่าหนี |
ทิ้งสมบัติวัตถาบรรดามี | ทั้งบุตรีบุตราไม่อาลัย |
จึงทรงพระกรุณาให้ปรากฏ | ถอดศักดิ์ยศเจ้าลงคงเป็นไพร่ |
เรียกว่าน้อยเทพวงศ์คงชื่อไป | แม้นจับได้ตัวล้างให้วางวาย |
จึงแต่งคนด้นเดินเนินพนัส | ก้าวสกัดทางทิศตามจิตหมาย |
กองหนึ่งแปลงแต่งปนสกลกาย | ดังเช่นนายร้อยเงี้ยวออกเที่ยวดง |
โพกหัวหูดูยืนถีอปืนแบก | แลแลก็แปลกตามความประสงค์ |
ใครไม่ตั้งสังเกตโดยเจตจง | ก็คงหลงแลเหลียวว่าเงี้ยวจร |
มาคำนับแม่ทัพสั่งให้ทั้งจิต | อุตส่าห์ติดตามรีบโดยถีบถอน |
แม้นประสบพบแจ้งแห่งสุนทร | ค่อยผันผ่อนพูดรับเอากลับมา |
ถ้าดึงดันขันข้อจะต่อต้าน | จงประหารให้ยับดับสังขาร์ |
เอาแต่หัวตัวมันฟันให้กา | ยี่สิบห้าชั่งจะให้ในรางวัล |
พวกเงี้ยวแปลงแจ้งจบเคารพรับ | แล้วคำนับลาไปเข้าไพรสัณฑ์ |
เที่ยวสืบเสาะเลาะลัดสกัดกัน | จนสิ้นคันเขตแคว้นแดนบุรี |
ไม่ประสบพบเห็นเป็นแต่ข่าว | ครั้นจะกล่าวกลอนเฝือเหมือนเชื่อผี |
ว่าแลบลิ้นปลิ้นตาทำกาลี | เอาเป็นหนีพ้นไปไม่ได้ตัว |
แต่เหตุผลปล้นสาวกันยาวยืด | ดูยังมืดเหมือนเวลาฟ้าสลัว |
ไม่แจ่มแจ้งแฝงฝ้านัยน์ตามัว | ความดีชั่วชอบผิดบังปิดคลุม |
การชำระสะสางอย่างเดี๋ยวนี้ | ไม่เฆี่ยนตีต้องเล่นเป็นสุขุม |
อ้ายโจราลาลับต้องจับกุม | โจรีรุมถามปลอบเพราะชอบเย็น |
เหมือนหุ่นยนต์กลไกพอไขจักร | ก็เชิดชักชี้ช่องให้มองเห็น |
ทั๊งสามนางต่างแตกแยกประเด็น | ก็ได้เช่นเชิงชนกลอุบาย |
แล้วสอบสวนทวนถามตามประสงค์ | ราชวงศ์กลบเกลื่อนปิดเงื่อนสาย |
ครั้นได้ดินระเบิดมาดูน่าอาย | ความที่ร้ายอื้อฉาวขึ้นกราวเกรียว |
รู้สึกโทษโสตสุดทุจริต | กินยาพิษล่วงลับโดยฉับเฉียว |
เมืองชื่นเมียหมุนไปเป็นใจเดียว | มิได้เหลียวแลลูกผูกอาลัย |
กลืนยาตายตามผัวระรัวดิ้น | พากันสิ้นสูญภพสบสมัย |
ด้วยอำนาจอาชญามหาภัย | ลงโทษให้เห็นวิบัติเป็นอัศจรรย์ |
แต่พวกที่มีพยานศาลไต่สวน | ได้สำนวนแน่จิตไม่ผิดผัน |
โทษเบาหนักจักแจกแยกรำพัน | ที่มหันตโทษหมายวายชีวัง |
ตัดสินลงโทษตายทั้งชายหญิง | มันแย่งชิงปล้นฆ่าเหมือนว่าหวัง |
บ้างเข้าเกลียวเงี้ยวด้วยช่วยกำลัง | จับไทยรั้งรัดมือผูกถือมา |
ให้โจรล้างวางวายอายอดสู | ทั้งอิตู้ตัวอุบาทว์ชาติยักษา |
ฆ่าลูกเด็กเล็กชำแหละแหวะอุรา | แล้วควักคว้าไส้ตับมาสับฟัน |
นั่งตัดรอนทอนเล่นเป็นชิ้นชิ้น | ใจทมิฬเหมือนยักษ์มักกะสัน |
บ้างอยากกินสินบนซนบอกมัน | รวมด้วยกันแปดคนต้องทนตาย |
วันประหารชีวิตคิดถวิล | ตามตัดสินสั่งบอกให้ออกหมาย |
ท่านนายทัพกับทหารที่ชาญชาย | ก็สั่งนายพะทำมะรงให้ล่งตัว |
เขาเปิดคอกออกมานับหน้าถ้วน | แล้วตัดตรวนตรีงออกนั่งกลอกหัว |
มัดมือไร้ให้เดินไม่เมินมัว | บอกเตรียมตัวทหารยืนถือปืนเรียง |
ให้อ้ายเงี้ยวเกี่ยวข้องที่ต้องหา | ออกนำหน้าผ่านยามไปตามเสียง |
ทหารล้อมพร้อมพรูเป็นคู่เคียง | กระเวนเวียงวนออกนอกประตู |
ซึ่งมีนามตามตำบลดลสถาน | ประตูมารท้ายเมืองคันเหืองหู |
เป็นป่าช้าหน้าสยองไปมองดู | ขนลุกซู่ซ่าเงียบยะเยียบเย็น |
นักโทษถึงจึงผู้คุมเข้ากลุ้มกลัด | เข้าผูกมัดอ้ายเจ้ากรรมที่ทำเข็ญ |
ยีนกอดหลักหักชีวิตปลิดทั้งเป็น | ผ้าผูกเม้นมิดหน้าคอยท่าปืน |
ทหารเข้าแถวเรียงเคียงประทับ | ดูเป็นตับเต็มศรัทธาไม่ฝ่าฝัน |
นายร้อยสั่งฟังระยะจังหวะปืน | ถ้าเยียดยืนมือชี้สามทียิง |
เวลานี่นท่านผู้พิพากษา | พระจรรยายกกล้องมาส่องนิ่ง |
ถ่ายรูปมัดชัดเจนแลเห็นจริง | พอแล้วยิงปืนปังไม่รั้งรา |
เลิยงนกสับฉับเฉาะดังเผลาะแผละ | เลือดไหลแซะโทรมชักพยักหน้า |
บ้างกระดิกระริกรัวทั่วกายา | บ้างแหงนหน้านิ่งพับเหมือนหลับไป |
ทหารรบสงบปืนยืนระกะ | บอกคุณพระถ่ายฝีอีกทีใหม่ |
เก็บกล้องพลันหันหน้ารีบคลาไคล | แล้วบอกให้พะทำมะรงที่คงคุม |
แกมัดหลุดฉุดใส่ในที่ฝัง | เรียงกันทั้งแปดศพแล้วกลบหลุม |
ต่างก็กลับฉับไวไปประชุม | อยู่ที่คุ้มคอยเหตุสังเกตการณ์ |
ที่ไม่ล้างวางโทษโปรดรับสั่ง | ให้จำขังคุกไว้ไม่ประหาร |
มีกำหนดกฎหมายบอกรายงาน | ให้ทหารคุมส่งลงไปกรุง |
รวมสิบหกคนกล่าวทั้งลาวเงี้ยว | เป็นพวกเดียวส่งไปดูใหญ่ยุ่ง |
มีเงี้ยวลาวกราวกรูมาดูมุง | ก็เดินรุงรังตามกันหลามไป |
เมื่อกำลังไต่ถามความผู้ร้าย | ก็จัดจ่ายทหารเดินเนินไคล |
เที่ยวสืบสาวข่าวปล้นคนจัญไร | อยู่ที่ไหนแน่จับส่งกลับมา |
เมืองสองสั่งตั้งมั่นให้ขันแข็ง | เป็นคานแขวงแพร่เก่าเข้ารักษา |
แล้วปลูกฉางวางเสบียงเลี้ยงพลา | คนไปมามุ่งหมายดูร้ายดี |
แล้วแจกจ่ายหมายชี้คดีขาน | ให้แก่บ้านทราบเหตุพิเศษศรี |
ว่าบ้านเมืองเคืองแค้นแสนทวี | เกิดฆ่าตีปล้นได้ด้วยใช้ปืน |
จงบอกกล่าวชาวนิคามตามประกาศ | ปีสินาทล่งโสตอย่าโหดหืน |
แม้นปิดงำอำกันใครยันยืน | ว่ามีปืนโจทย์จับจะปรับทัณฑ์ |
เมื่อส่งมาถ้ามีที่ขัดข้อง | ยื่นคำร้องเรียนความตามกระสัน |
มีม้าช้างต่างค้าสารพัน | ขอปืนกันโจรกรรมประจำตน |
ได้ตรวจดูรู้ชัดไม่ขัดขืน | จะให้คืนไปรักษาสถาผล |
มีหนังสือถือสำหรับไว้กับตน | เป็นสิ้นมลทินที่ราคีคาว |
แล้วสั่งหมายจ่ายพลันอนันต์เนื่อง | ห้าหัวเมืองในมณฑลนุสนธิ์สาว |
รวมกันหมดจดเรื่องก็เมืองลาว | ให้บอกกล่าวเก็บอาวุธยุทธนา |
อยู่ในแคว้นแดนดินถิ่นเมืองไหน | ก็รีบให้เก็บกักเอารักษา |
ให้ถูกทางอย่างชี้คดีมา | ส่งสาราแนะนำให้ทำการ |
ในเมืองแพร่แก่บ้านไม่ขานขืน | ได้เก็บปืนส่งพลันดังบรรหาร |
ในเจ็ดวันพันเศษสังเกตการณ์ | ระยะย่านเดียวดูพึ่งจู่จร |
ข้าหลวงน่านขานโทรศัพท์เล่า | ว่าเงี้ยวเข้าปล้นชานด่านขนอน |
เผาเมืองงาวกล่าวว่าจะมารอน | รบนครน่านแน่ไม่แปรปรวน |
ท่านแม่ทัพรับข่าวที่กล่าวว่า | โจรจะมาปล้นน่านทำหาญหวน |
แยกทหารรานณรงค์คงจำนวน | กองพันด่วนโดยไวไปสมทบ |
ตำรวจภูธรเพิ่มเติมไปด้วย | จะได้ช่วยอุดหนุนเข้าจุนจบ |
ก็ไปทันวันจดกำหนดครบ | อ้ายเงี้ยวหลบหลีกหน้าเข้าป่าไป |
กองสืบสอดลอดลัดสงัดเงียบ | ถึงสบเอียบแอบป่าซุ่มอาศัย |
ตั้งค่ายช่องป้องกันสรรพภัย | มิไว้ใจโจรจรจะซ้อนกล |
พฤศจิกายนดิถีที่สิบห้า | ดึกเวลาเจ็ดทุ่มทั้งคลุ้มฝน |
อ้ายโจรป่ากล้าหาญมารานรณ | เข้ายิงปล้นปลุกทัพแล้วกลับไป |
เหมือนปีศาจราชทูตพวกภูตผี | หลอกแล้วหนีขึ้นเขินเนินไศล |
ออกโจมจับรับรบไม่พบใคร | ทั้งมองไม่เห็นหนสถลทาง |
ครั้นรุ่งแจ้งแสงศรีสุริเยศ | ได้ทราบเหตุผลชัดไม่ขัดขวาง |
อ้ายโจรตั้งค่ายมั่นออกกั้นกาง | ละแวกหว่างเขาเวียงเมืองเชียงคำ |
พลเมืองมีกำหนดจะจดชื่อ | เงี้ยวลาวลื้อเหลือนับอยู่สับสำ |
ส่งเสบียงเลี้ยงผีที่กระทำ | เข้าช่วยคํ้าจุนเจือด้วยเชื่อใจ |
ว่าเงี้ยวดีมีวิชาล้วนกล้ากลั้น | คงกระพันปืนยาจะหาไหน |
จึงยอมตัวกลัวดีพวกผีไพร | ให้มันใช้เช่นข้าชั่งสาธารณ์ |
จึงเร่งเดินโดยไวจะใคร่พบ | ได้ต่อรบเหล่าร้ายทลายผลาญ |
ให้สิ้นสูญกุลวงศ์พวกพงศ์พาล | เข้าไพรสาณฑ์สืบค้นดั้นด้นเดิน |
ถึงดอยปูม่อมเขม้นเห็นค่ายเงี้ยว | ทหารเกรียวกรูยิงวิ่งตะเพิ่น |
เห็นเลือดหยดรดทางอยู่กลางเนิน | ตัวมันเหินหายหน้าเข้าป่าไป |
เอาเพลิงเข้าเผาค่ายทลายยับ | แล้วเดินทัพเข้าทางหว่างไศล |
ระยะย่านบ้านดงตามพงไพร | พบก็ไถ่ถามข่าวเรื่องราวโจร |
ทราบว่ามันกันกางอยู่ข้างหน้า | ที่ท่าฟ้าองอาจทำผาดโผน |
พลภูธรจรจบเข้ารบโจร | ยอนเซนโดนปืนถอยด้วยน้อยตัว |
ร้อยเอกบุตรรุดรับขับทหาร | ออกต่อต้านเงี้ยวบุกเที่ยวซุกหัว |
มันหนีออกนอกค่ายด้วยใจกลัว | ไปนอนตัวสั่นสะดุ้งอยู่มุ้งลาว |
ทหารไล่ไปค้นถึงก้นถุง | เข้าเปิดมุ้งมองเงี้ยวแยกเขี้ยวขาว |
ก็ยิงดับกับที่เป็นผีลาว | บ้างออกก้าวสกัดไล่เข้าในดง |
เห็นสิ้นทางทวนทบตลบเลี้ยว | เผาค่ายเงี้ยวไหม้กระจุยเป็นผุยผง |
อ้ายเงี้ยวแตกแหลกเลี่ยนไม่เวียนวง | ก็ยกกรงกรูไปค่ายเชียงคำ |
แล้วลาวเอาข่าวเงี้ยวมาเที่ยวบอก | ว่ามันออกตั้งรับอยู่สับสำ |
ที่ช่องแคบแอบเขาเข้าประจำ | แม้นถลำเลยเข้ามันเอาตาย |
บ้านตำบลยลเหตุเป็นเขตขั้น | เรียกผีปันน้ำลือเป็นชื่อหมาย |
เอาหินก้อนซ้อนกันป้องกันกาย | ทำป้อมค่ายขึ้นล้อมพร้อมกำลัง |
ยินดีครันมันอยู่คอยสู้รบ | จะได้พบพักตร์สมอารมณ์หวัง |
พยายามตามมาพะว้าพะวัง | เป็นหลายครั้งแล้วไม่เห็นใจจริง |
เคยแต่รบหลบหน้าเข้าป่าหาย | เห็นแต่ค่ายเงียบจี๋เป็นผีสิง |
ครั้งนี้เอาเข้าเป็นค่ายไม่ไหวติง | คงไม่ทิ้งถิ่นอยู่สู้กับเรา |
แม้นลิเคอเข้ายิงจะนิ่งซ่อน | ไปถูกก้อนหินตั้งบนหลังเขา |
มันจะได้ใจจู่มาดูเบา | แกล้วยั่วเย้ายิงเล่นเหมือนเป็นมา |
เราตั้งมั่นรังรารอช้าไว้ | ขอปืนใหญ่ยิงเปิดระเบิดผา |
จึงจะได้เห็นมันเป็นขวัญตา | พูดปรึกษาเสร็จถือหนังสือจร |
ท่านแม่ทัพรับสารอ่านแล้วให้ | ส่งปืนใหญ่เร็วรีบโดยถีบถอน |
ก็ได้ดังหวังว่าไม่อาวรณ์ | จึงรีบร้อนเร็วทัพเข้ารับรบ |
ถึงผีปันน้ำชะแง้เหลือบแลเหลียว | ไม่เห็นเงี้ยวง้าวมีมันหนีหลบ |
ทิ้งค่ายเปล่าเหงาฉงนคนบัดซบ | อพยพยกหนีไม่รีรอ |
ก็เดินทัพขับขันถลันล้ำ | เข้าเชียงคำข่าวว่ามันมาป๋อ |
อยู่เชียงของจองจัดคนอัดออ | ขมุฮ้อลื้อคละเข้าปะปน |
พลกำลังตั้งพันล้วนกลั่นกล้า | ได้ทิ้งอาวุธวิเศษชี้เหตุผล |
เป็นเงื่อนงำลำดับสัปดน | หยิบเอาต้นต่อปลายระคายคาว |
ที่ไหนคันมันคุ้ยกระจุยจ้าน | ให้รำคาญเคืองหูขึ้นฉู่ฉาว |
ลงเล่นลิ้นสิ้นไฟอาศัยดาว | แสงจันทร์เจ้าจ้าทัพคงลับแล |
ทหารตั้งฟังสำนวนสืบสวนสาว | ก็ได้ข่าวมั่นเหมาะรู้เบาะแส |
ว่ารวมรอมพร้อมเพรียงอยู่เวียงแก | ทหารแร่รุกไล่เข้าไปยิง |
หนีไม่ทันหันสู้สักครู่พัก | เหมือนสุนัขจนตรอกเที่ยวออกวิ่ง |
ไม่เห็นช่องต้องยืนให้ปืนยิง | จนนอนกลิ้งเกลื่อนตายลงหลายคน |
ก็ตื่นแตกแหกค่ายกระจายออก | ไม่มีกรอกเกรียวไปเข้าไพรสณฑ์ |
ครั้นหมดถิ่นสิ้นท่าเข้าตาจน | กลับเดินวนเวียนทวนสวนเข้ามา |
จับได้สองคนถามนามแลชื่อ | มันไม่อือเออออกบอกภาษา |
เป็นเงี้ยวลื้อหรือขมุพวภกุลา | เป็นคนข้าเขตไหนมิได้ความ |
สืบคนนอกบอกว่าจำหน้าแน่ | หนีจากแพร่มาปล้นคนซำสาม |
จะขังไว้ไต่สวนสำนวนนาม | ถ้าผลีผลามผลุนหนีจากที่ไป |
ข้ามของเข้าเขตปนคนฝรั่ง | จะต่อตั้งลุกลามเกิดความใหญ่ |
เขาจะร้องฟ้องขานทหารไทย | ว่าจับได้โจรปล่อยเป็นถ้อยความ |
จึงฆ่าเสียให้สิ้นมลทินที | ทำกาลีเบียดเบียนเป็นเสี้ยนหนาม |
ให้สิ้นโทษโสตสุขทุกนิคาม | ให้มันขามเข็ดจิตที่คิดปอง |
จึงสงบจบโจรที่โลนลุก | มันเที่ยวซุกซ่อนตนกมลหมอง |
ตั้งจัดการด่านตรวจเป็นหมวดกอง | ตามหุบห้องห้วยเขาลำเนาไพร |
กองทัพค้างหว่างอยู่เที่ยวดูบ้าน | ตามเรือนร้านโรงรีที่อาศัย |
บ้างมุงหญ้าคาแฝกซอกแซกไป | บางบ้านไม้สักมุงไม่รุงรัง |
ทำเป็นเกล็ดแลละม้ายคล้ายกระเบื้อง | ดูรุ่งเรืองเรือนบ้านนอกชานตั้ง |
บ้างทำใหม่ใหญ่ยาวราวกับวัง | ทาสีปลั่งแปลกตาสง่างาม |
ถนนใหม่ใหญ่แยกเป็นแฉกตัด | ในจังหวัดเวิ้งเว้าเค้าสนาม |
เขาจัดแจงแต่งไว้มิใช่ทราม | แลอร่ามรั่วสีตีลูกตรง |
กำแพงดินเด่นโดดเป็นโขดขั้น | เหมือนเขาคันขึงตั้งดังประสงค์ |
พรรณไม้ใบชอุ่มเป็นพุ่มพง | ขึ้นเป็นดงดาษดื่นพื้นนคร |
แล้วออกนอกพาราเวลาร่ม | ในน้ำยมยลสาวลาวสลอน |
ยืนยกอกรอราในสาคร | บ้างลงช้อนกุ้งปลาตามวาริน |
ที่ลงน้ำชำระสริร่าง | ไม่ระคางขายหน้ารักผ้าซิ่น |
กลัวเสียศรีปี้ป่นเป็นมลทิน | ใครจะยินดีดูอดสูเอง |
ชายก็เป็นเช่นกันดูขันขำ | ล้วนพุงดำโดดเล่นลงเต้นเหย็ง |
แลดูเพื่อนเหมือนดังนุ่งกางเกง | ดูโตงเตงตามกันช่างขันจริง |
ได้ถามซักสักดำทำไฉน | ว่าสักไว้อวดลาวสาวผู้หญิง |
เขาเห็นดำน้ำใจไม่ประวิง | เป็นสิ้นสิ่งสงสัยที่ในตัว |
ว่าใจกล้าสามารถองอาจนัก | ควรจะรักร่วมใจไว้เป็นผัว |
แม้นพุงขาวลาวสันไม่พันพัว | เขายิ้มยั่วเย้ยเยาะหัวเราะเกรียว |
แต่จะเชื่อเหลือจำในคำกล่าว | เห็นพุงขาวมาทั้งสิ้นกินข้าวเหนียว |
จึงตริตรึกนึกกริ่งจริงจริงเจียว | ไม่พูดเลี้ยวเล่นลิ้นให้กินใจ |
แต่การสักสู้ทนเป็นพ้นคิด | ถึงชีวิตจะวิบัติปัดไถม |
ก็สู้ทนพระกรรมทำกันไป | ยังสงสัยสิ้นที่จะชี้แจง |
เหมือนเจาะหูดูกว้างเอาต่างใส่ | ทองคำใบแผ่แบนเป็นแผ่นแผง |
ถือว่างามความควรชวนระแวง | สุดจะแจ้งจัดเค้าเล่านิทาน |
คิดฉงนจนใจครรไลลับ | ก็เดินกลับเข้าประเทศเขตสถาน |
เที่ยวดูกาดตลาดของที่ต้องการ | เขาออกร้านเรียงวางกลางชลา |
พริกมะเขือเนื้อส้มขนมขาย | ผักหญ้ารายเรียงมัดช่างจัดหา |
มีกล้วยอ้อยกลอยเกล็ดเมล็ดงา | อ้างปลาร้าเรียงตั้งเที่ยวนั่งมอง |
แม้นจะซื้อสิ่งใดไม่เลือกหน้า | บอกราคานั่นหมายรายสิ่งของ |
ถ้าต่อน้อยถอยมาแล้วอย่าปอง | ไม่ได้ของกินละอย่าทะนง |
ที่เจ้าชู้กรูเกรียวพูดเกี้ยวสาว | ก็ว่ากล่าวข้อความตามประสงค์ |
เสียงฮาเฮเสสรวลนวลอนงค์ | เที่ยวเดินวงเวียนรอทำกรอกราย |
ทั้งหนุ่มสาวสวยสมห่มผ้าสี | สูบบุหรี่อมเมี่ยงมองเมียงหมาย |
ดูตุ่ยแก้มแย้มยิ้มพะพริ้มพราย | นุ่งซิ่นลายเหลืองรอบแต่ขอบดำ |
เดินยกเท้าก้าวย่างทางถนน | ดูกรอมส้นสวยตาออกคล้าคล่ำ |
เสียสิ่งเดียวเยี่ยวไม่นั่งหล่อนช่างทำ | เห็นให้รำคาญตาทำท่าทาง |
ล้วนเกล้าผมคมสันเป็นมันมุ่น | งามละมุนเมาลีด้วยหวีสาง |
เข็มทองกลัดขัดทำดูสำอาง | ดอกไม้ต่างสีเสียบดูเรียบราย |
ลานทองคำทำต่างอย่างทองม้วน | ใส่ประต่วนดีดูอุดหูหาย |
เป็นตุ้มถ่วงหน่วงยานสงสาวกาย | แต่เขาหมายมุ่งความว่างามดา |
สไบหุ้มปทุมถันนั้นก็ใช้ | แต่มันไม่มิดดวงพวงบุหงา |
ให้เด่นดอกออกทางเป็นช้างงา | ไม่แกล้งว่ากล่าวความตามที่เป็น |
พระสุริยงยอแสงแฝงบรรพต | ตลาดหมดมองไปมิได้เห็น |
ดูเงียบเหงาเปล่าว่างน้ำค้างเย็น | แลดูเป็นหมอกมัวไปทั่วทิศ |
ให้เหน็บหนาวร้าวรัวจนตัวสั่น | เมื่อหม่นหมองกมลนั่งจนจิต |
บางเป็นไข้ไอละอองด้วยต้องพิษ | หมอตรวจฤทธิ์โรครู้ดูอาการ |
ว่ารุมร้าวหนาวใจเป็นไข้จับ | ทำให้ตับบวมได้ในสังขาร |
แม้นขืนอยู่สู้เย็นไม่เป็นการ | ให้คืนบ้านแบกตับกลับลงไป |
บ้างร้อนตัวกลัวเขาลำเนาห้วย | เฝ้าบอกป่วยป้องกันน่าหมั่นไส้ |
เป็นโรคบิดติดอกน่าตกใจ | หรือเป็นไข้แตงโมจึงโลเล |
โรคนี้หายาให้ไม่ชนะ | เพราะผีกะกินพุงจึงยุ่งเก๋ |
เล่นขี้ปดหมดอายทำถ่ายเท | เป็นเจ้าเล่ห์เล่นลิ้นได้ยินยล |
ธรรมเนียมข้าราชการมางานทัพ | จะยากยับยุคเข็ญเป็นกุศล |
แม้นเปล่าปลอดรอดกายไม่วายชนม์ | ก็คงพ้นทุกข์ไปได้สักวัน |
จึงสู้ตนจนจริงทำนิ่งขรึม | คิดกระหึมนึกในใจกระสัน |
เที่ยวยลสาวลาวแพร่แลอนันต์ | ให้กระสันเสียวจิตคิดถึงเรือน |
ทั้งร่างกายเกิดมาเวลาบ่าย | จะมาฝ่ายฝันชมสมสงวน |
เขาจะว่าบ้าจริตผิดกระบวน | จึงคิดหวนหันร้างห่างนิยม |
คนแก่กายหมายสาวคราวกำดัด | มักอุปัทว์เหตุรับมาทับถม |
ที่ติเล่าเขาก็ชังไม่ฟังลม | เราจะล้มลงด้วยรักนั้นหนักกาย |
ถ้าจะได้ด้วยวิบัติเขาขัดสน | เหมือนซื้อคนแพงค่าราคาขาย |
เป็นไฝปานรานร้าวคาวระคาย | มักทำร้ายร้อนรุ่มให้กลุ้มใจ |
แต่คราวจนทนไปไม่กระดาก | นั่งกินหมากเมี่ยงลาวคราวสมัย |
เสียแรงมาท่าเฉยละเลยไป | แล้วก็ไม่รู้ชัดกระจัดจริง |
พูดอือเออเพ้อพยักได้พักผ่อน | พอแก้ร้อนเรื่องเจ้าชู้เกี้ยวผู้หญิง |
ครั้นหนาวหนักหักใจไม่ประวิง | กลับมานิ่งนอนตรมอารมณ์รึง |
ที่หนุ่มหนุ่มนายทหารนั้นชาญเชี่ยว | ท่านไปเกี้ยวสาวสันนั้นบหึง |
ก็รักใคร่ได้เฝ้าอยู่เคล้าคลึง | เหมือนแมงผึ้งภู่ฟอนเกสรลาว |
พอได้กลิ่นกระถินเถื่อนก็เลื่อนลับ | ไปเที่ยวจับเจาะตามดอกสามหาว |
ชอบโลมลิ้มชมชืดไม่ยืดยาว | จนออกฉาวฉ่าดังแทบทั้งเมือง |
นิสัยชาวลาวดื้อถือเนื้อหนัง | ไม่เปื่อยพังหมดสิ้นได้ยินเรื่อง |
แมงภู่ไปผึ้งมาพาประเทือง | ไม่คิดเคืองขุ่นข้องหมองกระมล |
ทั้งทหารคนใช้ก็ได้สิ้น | เลยหากินเก็บรักษ์เป็นภักษ์ผล |
ความคิดลาวคราวทัพถึงอับจน | เนื้อหนังป่นเปื่อยไปทั้งไทยลาว |
ท่านคิดเห็นเป็นภัยฤทัยเศร้า | จะเปื่อยเน่าเหม็นกลุ้มทั้งหนุ่มสาว |
ทั้งโรงรักษาศรีราคีคาว | ไม่แกล้งกล่าวกลอนรับลำดับมา |
พนักงานท่านก็เด็ดช่างเล็ดลอด | เที่ยวสืบสอดรู้ตัวจนทั่วหน้า |
จับตัวได้ให้หมอไม่รอรา | ตรวจโรคกาเมมัวจนทั่วกาย |
แม้เห็นแผลแน่ตาเอายาล้าง | ให้นอนค้างรักษากว่าจะหาย |
จ้างคนอยู่ดูมิให้ใครใกล้กราย | กลัวโรคร้ายราคินไม่สิ้นคาว |
รายหนึ่งเหมาะเกาะมาน่าสงสาร | เมียทหารแตรยังกำลังสาว |
ผัวมาง้อขอโทษโปรดสักคราว | อย่าให้ฉาวฉ่าเป็นเช่นคนจร |
ได้ขอสู่อยู่เย็นไม่เป็นหวัด | ช่วยโปรดสัตว์สุโขสโมสร |
ท่านไม่ฟังขังไว้มิให้จร | เจ้าผัวร้อนรนใจอาลัยเมีย |
แม่ยายเล่าก็เฝ้ามาบอกว่า | ลูกสาวข้าเจ้าดีไม่มีเสีย |
คนอื่นไกลมิได้มาปัวเปีย | พี่งเป็นเมียทหารพลนี้คนเดียว |
ท่านก็ว่าข้ารับแม่ทัพสั่ง | แม้ไม่ฟังรอท่าช้าประเดี๋ยว |
ได้อยู่สุขสนุกยิ่งจริงจริงเจียว | มาขืนเขี้ยวขัดข้องไม่ต้องการ |
เจ้าผัวทุกข์ชุกเฉินเที่ยวเดินหา | พูดปรึกษามูลนายฝ่ายทหาร |
ก็คิดเห็นเป็นอุบายตามรายงาน | แต่เป็นการคราวเคราะห์จำเพาะดี |
หาไม่จะต้องหมองหมายทนอายอวด | ให้หมอตรวจดวงชาตาดูราศี |
หมอมาเห็นเอ็นดูรู้วิธี | ว่าไม่มีโรคากลับมาเรือน |
เรื่องโรคาพยาธิจะริร่ำ | ท่านคิดบำรุงให้ใครจะเหมือน |
จัดหัวหน้าพยาบาลการแม่เรือน | ชักชวนเพื่อนภรรยาข้าแผ่นดิน |
พูดชี้แจงแจ้งประจักษ์เป็นศักดิ์ศรี | ล้วนสตรีตรองตรึกนึกถวิล |
เห็นโยธาพหลพลแผ่นดิน | เป็นมลทินทรมาให้อาวรณ์ |
จะปราบอ้ายทรยศขบถเงี้ยว | ไข้มาเขี้ยวขับระดมเอาล้มขอน |
เสียเวลาช้าการเรื่องราญรอน | ควรผันผ่อนเภทภัยให้กำลัง |
เราเป็นหญิงจริงจิตจะคิดหมาย | แข่งขันชายสู้ศึกเหมือนนึกหวัง |
หาความชอบตอบพระคุณกรุณัง | ก็ขัดทั้งแรงปัญญาดูน่าอาย |
เทวดาฟ้าดินในถิ่นเถื่อน | จะแย้มเยื้อนเย้ยเหล่าเราทั้งหลาย |
ว่าสตรีมีร่างสำอางกาย | กินแรงชายชอบเฝ้าแต่เหย้าเรือน |
เมื่อนึกมาว่าเราเล่าก็จิต | ควรจะคิดถึงบุรุษมนุษย์เพื่อน |
เขาป่วยไข้ได้ยากจากบ้านเรือน | เราคิดเอื้อนอวยผลให้ยลยิน |
ช่วยอุดหนุนจุนเจือเมื่อเจ็บไข้ | เหมือนเราได้รับอาสามาทั้งสิ้น |
ให้แรงพลรณราญการแผ่นดิน | นับเป็นชิ้นชอบปองสนองคุณ |
ต่างเห็นพร้อมยอมตนปรนนิบัติ | จึงได้จัดทำนอนที่แลหมอนหนุน |
บอกเฉลี่ยเรี่ยรายให้ทำบุญ | ได้เงินทุนทำของที่ต้องการ |
คนเจ็บไข้เหมือนได้อยู่บ้านช่อง | ไม่ขัดข้องข้าวปลากระยาหาร |
มีคนอยู่ดูรักษาพยาบาล | สำเร็จการเกื้อกูลประมูลความ |
แล้วตีสายถวายสมเด็จพระ | บรมราชินีศรีสยาม |
ขอพระราชานุญาตประกาศนาม | ตั้งเป็นง่ามแง่สภาอุณาโลม |
โปรดประทานโทรเลขภิเษกศรี | พระเสาวนีย์ทะนุช่วยอำนวยโฉม |
มีต้นทุนหนุนอุดไม่ทรุดโทรม | ทรงพระโสมนัสรับประคับประคอง |
เงินเรี่ยได้ที่แพร่แลสังเกต | สองพันเศษบาทได้บ้างให้ของ |
มีเสื่ออ่อนหมอนม้าผ้าปูรอง | ที่ขัดข้องเข้าช่วยเอาด้วยแรง |
โมทนาสถาผลกุศลช่วย | ทั้งไข้ป่วยสิ้นไปอย่าได้แหนง |
ทานมัยให้ผลดลแสดง | ประจักษ์แจ้งใจมั่นเป็นสัญญา |
ทำฉันใดให้กับท่านนั้นแลผล | เกิดเป็นต้นลำชาติศาสนา |
เหมือนชาวไร่ได้พันธุ์เม็ดธัญญา | ก็อุตสาหะปลูกทำนั้นร่ำไป |
ข้าวก็งอกออกงามตามระบอบ | ได้ผลกอบกองกูลประมูลให้ |
เพราะเพียรกิจคิดเมตตาศรัทธาใจ | เป็นนิสัยแสวงผลดลฤดี |
สามัญชนผลได้เป็นชัยยะ | เหมือนองค์พระมุนินทร์ชินศรี |
ทานเป็นทางสร้างพระบารมี | นับได้สี่อสงไขยกำไรรวย |
ได้ถึงแสนมหากัลป์ท่านกำหนด | เป็นแบบบทของมนุษย์นั้นสุดสวย |
แม้นสิ่งใดใจประสงค์อย่างงงวย | ให้ได้ด้วยโดยสวัสดิ์พิพัฒน์พร |
กองทัพตั้งฟังข่าวลาวแลเงี้ยว | ฟังมันเที่ยวขู่ตะคอกทำหลอกหลอน |
ตั้งสอดแส่แหย่ลาวชาวนคร | ให้สยอนสยดใจไม่เสบย |
จึงเรียกพลทหารใหม่ในเมืองเหนือ | ขึ้นมาเกื้อหนุนไว้มิใช่เฉย |
หัตถ์ท่าปืนครื้นครึกให้คึกเคย | ได้เปิดเผยแผ่อำนาจราชการ |
พวกชาวเมืองมองเห็นทุกเย็นเช้า | ค่อยบรรเทาทุกข์ใจปราศรัยสาร |
ได้เคยคุ้นสุนทรสพจมาน | ทั้งโรงร้านขายซื้อกันอื้ออึง |
ข้างฝ่ายพระยาพิไชยได้รับสั่ง | เป็นผู้รั้งแพร่พาราขึ้นมาถึง |
จัดระเบียบเทียบทำโดยคำนึง | ตั้งเป็นหนึ่งแน่ลงจำนงนาม |
ที่ศาลาว่าการท่านเปลี่ยนใทม่ | โปรดให้ใช้ชื่อเอาเป็นเค้าสนาม |
เสนาหกยกแยกจำแนกนาน | ท่านจัดตามบทแบบดูแยบคาย |
มหาดไทยหน้าที่มีระบอบ | การโต้ตอบรับส่งจำนงหมาย |
เก็บหนังสือถือทะเบียนเพียรภิปราย | สืบข่าวร้ายดีได้อยู่ในมือ |
ทั้งการวัดจัดสร้างทางกุศล | อีกฝึกฝนเล่าเรียนเขียนหนังสือ |
เรื่องไข้เจ็บเก็บรักษาเพื่อหารือ | จัดยกรื้อฤกษ์งานการพิธี |
การรับรองปองส่งคงธุระ | พาหนะจัดจ่ายไม่หน่ายหนี |
จัดแคว้นแขวงแบ่งหมู่ดูวิธี | ตามพื้นที่ประเทศสถานแลภารโรง |
ยุติธรรมจำจดบทปัญหา | พิพากษาเสร็จชี้คดีโผง |
แล้ววางบทกฎพิกัดไว้ตัดโกง | ทั้งปรุโปร่งปรีชาปรึกษาความ |
ตำแหน่งนาค้าขายทั้งฝ่ายเมือง | นาสวนเรื่องแดนดินถิ่นสยาม |
ชนสามัญอันมีในนิคาม | เก็บเงินตามบาญชีเหมือนที่ดิน |
ทั้งอากรผูกขาดอาชญาบัตร | ใครฆ่าสัตว์พาหนะโดยถวิล |
สุกรด้วยช่วยเอามาฆ่าให้กิน | รวมทั้งสิ้นนาตำแหน่งแจ้งกระจาย |
เสนาคลังตั้งกำปั่นรายวันจด | เงินทั้งหมดแม่นมั่นสำคัญหมาย |
งบประมาณการจรผ่อนต้นปลาย | จะเบิกจ่ายสิ้นยังคลังจัดแจง |
ตำแหน่งนายฝ่ายทหารการต่อสู้ | ตำรวจภูธรฮึกดูคึกแข็ง |
คอยป้องกันอันตรายเหตุร้ายแรง | ปราบโจรแย่งชิงปล้นให้ป่นไป |
ท่านฝึกหัดจัดเช่นเป็นทหาร | ตั้งกองด่านดูแลคอยแก้ไข |
เครื่องศัสตราอาวุธยุทธไกร | ตกแต่งไว้สำหรับรับณรงค์ |
มีที่พักหลักฐานการรักษา | เป็นสง่างามเมืองเรืองระหง |
ทุกตำแหน่งแห่งพักก็ชักธง | เป็นมิ่งมงคลคุ้มประชุมชน |
เสนาวังตั้งแต่งตำแหน่งว่า | การโยธาก่อสร้างทางถนน |
ช่วยซ่อมแซมแต้มแต่งแห่งตำบล | นับเป็นต้นที่อาศัยไปรษณีย์ |
ทั้งตึกกว้านบ้านถิ่นที่ดินหลวง | เป็นผู้หวงห้ามรักษาทุกหน้าที่ |
ความสะอาดกวาดเป่าเถ้าธุลี | ทั้งเรือนผีเขื่อนขอบรอบกำแพง |
การปกครองท้องที่ชี้เสนอ | นายอำเภอเปลี่ยนไปใช้ว่าแขวง |
แล้วเรียกแคว้นแทนกำนันรำพันแจง | แก่บ้านแย้งยกผู้ใหญ่ใช้กันมา |
ท่านกำหนดจดความตามหน้าที่ | ผิดชอบมีในตำแหน่งแขวงรักษา |
ต้องรับทุกข์สุขสมภิรมยา | คิดตรวจตราป้องกันทุกวันคืน |
แม้มีเหตุเภทพาลการจิกจุก | จะเป็นทุกข์มีโทษอย่าโหดหืน |
รีบระงับดับเข็ญให้เย็นยืน | เมื่อสุดฝืนฝ่าต้องมาร้องเรียน |
ประชากรร้อนรุกร้องทุกข์ราษฎร์ | ขออำนาจแผ่นดินถิ่นเสถียร |
ป้องกันภัยให้พ้นไม่วนเวียน | ต้องพากเพียรเป็นธุระอย่าละเลย |
แล้วมั่นหมายนายแขวนเป็นแก่นสาร | กับแก่บ้านตักเตือนอย่าเชือนเฉย |
หมั่นพูดจาการุญให้คุ้นเคย | ได้เปิดเผยเหตุผลตามกลการ |
หรือแคว้นกับแก่บ้านพาลเกะกะ | เป็นธุระห้ามหักสมัครสมาน |
ความเห็นแยกแตกต่างหนทางการ | พูดคัดค้านขุ่นเคืองด้วยเรื่องไร |
ควรกลบเกลื่อนเตือนตอบชอบแลผิด | โดยน้ำจิตกรุณาอัชฌาสัย |
เอาแต่การงานเสร็จสำเร็จไป | อย่าปล่อยให้เถียงทุ่มประชุมชน |
อนึ่งต้องตรวจกะระยะย่าน | ตำบลบ้านหนึ่งนะเดือนละหน |
เมื่อทางไกลไปยากลำบากตน | เวลาฝนฟ้าก็จำต้องทำเนา |
ถ้าเกิดโจรปล้นชิงยิงฟันฆ่า | ถึงในป่าทุ่งเถินแลเนินเขา |
ต้องรีบไปให้เห็นเป็นสำเนา | สืบสวนเอาตัวตนคนกระทำ |
ถ้าหนีพ้นให้พลภูธรช่วย | ข้ามเขาห้วยง่ายยากถลากถลำ |
มีแดดฝนดลเวลาทารกรรม | ถือน้ำจิตจองสนองคุณ |
พะทำมะรงเรือนขังสั่งเข้าออก | คุกเรียกคอกบังคับสนับสนุน |
ก็ฝึกหัดจัดทำได้คํ้าจุน | ชุลมุนหมายการไม่คร้านกาย |
การปกครองจองจำจะร่ำจด | ก็ตามบทแบบมีเป็นที่หมาย |
ได้แนะนำจำจดบทธิบาย | ตั้งจัดจ่ายพนักงานทำการไป |
แต่อย่าดื้อถือมั่นต้องหันเห | เหมือนชเลคลื่นลั่นอยู่หวั่นไหว |
จะเดินเรือเหลือยากลำบากใจ | ถ้าแม้นไม่ระวังล่มลงจมชล |
เช่นกองทัพยับยั้งมาตั้งรบ | ต้องสมทบคั่งคับอยู่สับสน |
ระวังผิดกิจกรรมเป็นทำวน | เรื่องแบกขนรุงรังของทั้งปวง |
คิดเฉลี่ยเกลี่ยไกล่ไปทุกแห่ง | ให้นายแขวงระดมงานเป็นการหลวง |
เกณฑ์ช้างม้าพาหนคนทั้งปวง | ให้รับช่วงช่วยทำขนลำเลียง |
ทั้งเงินตราผ้าเสื้อเกลือข้าวสาร | ส่งทหารให้พออย่าต่อเถียง |
เป็นการใหญ่ในยุบลขนเสบียง | จัดจ่ายเลี้ยงเหลือล้นการปรนปรือ |
แต่การเมืองเรื่องคลังนั่งวินิจ | ดีดลูกคิดเขี่ยคุ้ยทั้งกุยตือ |
เงินงวดเตือนเลือนมาได้หารือ | จนยกรื้อเรื่องสัญญาขึ้นว่ากัน |
สารบบงบประมาณการศกนี้ | เรื่องภาษีสอบคิดเห็นผิดผัน |
เงินยังตกบกพร่องเกี่ยวข้องกัน | หลายเดือนวันว่างลงไม่ส่งเลย |
จึงหาตัวอากรมาเจ้าภาษี | มาพูดชี้แจงเตือนก็เชือนเฉย |
เงินจันอับทับถมจะล้มเลย | หรือจึงเฉยเชือนค้างวางอารมณ์ |
อากรมาว่าได้ทำเป็นคำร้อง | ยื่นขัดข้องหลายฉบับขอรับผม |
ลายเซ็นมาว่าไรขอให้ชม | จะให้ล้มหรือให้ลุกไม่ทุกข์ใจ |
พนักงานท่านก็ว่าจีนมาดื้อ | ให้ลงชื่อผัดส่งสิ้นสงสัย |
จีนมาทำผ่อนผัดอึดอัดใจ | ร้องทุกข์ไม่ทราบเรื่องไปเมืองจีน |
ภรรยาอยู่หลังระวังจัด | ถึงวันผัดไปรับส่งทรัพย์สิน |
ไม่ขอร้องข้องขัดพูดปัดปีน | เป็นเมียจีนเจ้าภาษีใจดีครัน |
เรื่องสุรายาฝิ่นสิ้นทั้งสอง | เป็นของเจ้าเดียวทำเป็นล่ำสัน |
ก็ตักเตือนเอื้อนงอกบอกสำคัญ | ให้ต้มกลั่นขายทำอย่าอำพราง |
อากรร้องข้องขัดให้ตัดสิน | ด้วยยาฝิ่นเสียหายหลายกระถาง |
ขาดทุนยับคับใจให้ระคาง | คนก็ร้างเร่พรากออกจากเวียง |
ถึงขายก็น้อยคงถอยถด | จะขอลดเงินให้พิไรเถียง |
ลงนิ่งอั้นตันใจในสำเนียง | มีคนเลี่ยงลอยหน้าขึ้นมามอง |
เข้าซื้อขอต่อว่าราคาให้ | เป็นกำไรอากรเก่าผู้เจ้าของ |
หมื่นสองพันมั่นคงก็ลงคลอง | เรื่องที่ร้องของหายละลายลาน |
แต่อากรสุรายังว่ากล่าว | ยื่นเรื่องราวร่ำไรพูดไขขาน |
ว่าบ้านเมืองเคืองเข็ญไม่เป็นการ | พูดคัดค้านข้องเกี่ยวด้วยเงี้ยวโจร |
มันปล้นข้าหลวงตายลงหลายแหลก | ผู้คนแตกตื่นฉาวเป็นกราวโขน |
เป็นของหลวงช่วงชิงอ้ายลิงโลน | จึงกระโจนจู่ค้นปล้นสุรา |
ทั้งเททุบยุบย่อยต่อยโอ่งอ่าง | กระทะกระถางแตกแตนแค้นหนักหนา |
ที่ชอบริบหยิบเอาไปไม่เมตตา | แต่ตัวข้าพเจ้าหนีหลบลี้ไป |
ด้วยความกลัวตัวสั่นไม่ผันผิน | ฉวยเอาซิ่นพันพุงนุ่งไปได้ |
ใครแลมาว่าสาวลาวครรไล | ครั้นเข้าใกล้ลูกเด็กว่าเจ๊กปลอม |
คิดดูของเสียหายแต่ปลายเหตุ | เจ็ดพันเศษสืบส่อให้หล่อหลอม |
ขอลดลาภาษีประนีประนอม | จะได้ซ่อมแซมเพิ่มเติมให้ทัน |
พนักงานท่านไม่ผ่อนพูดตอนตัด | ให้ทำผัดต้มต่อเป็นข้อขัน |
ทำหนังสือถือสัญญาสิบห้าวัน | ไม่ต้มกลั่นแกล้งนิ่งประวิงความ |
จะประชุมเชิญพ่อค้าพร้อมหน้านั่ง | ขายเลหลังทอดวางกลางสนาม |
เงินหลวงขาดพลาดพลั้งไม่ฟังความ | ต้องส่งตามตัวกดกำหนดคลัง |
นายอากรร้อนรนไม่ทนดื้อ | กลัวถูกรื้อร้องเร่บอกเลหลัง |
เก็บของเข้าเอามาละล้าละลัง | จัดแจงตั้งเตาต้มขรมเรือน |
ทำรู้มากบากบิดคิดจะล้วง | ลดเงินหลวงเอากำไรใครจะเหมือน |
กำไรฝิ่นกินเปล่าเก็บเข้าเรือน | ยังจะเลื่อนเล็มเอาเงินเหล้าเติม |
เรื่องรุงรังฟังนานรำคาญหู | จะว่าจู้จี้กล่าวพูดสาวเสริม |
เพราะเว้นว่างทางวุ่นจึงจุณเจิม | เหมือนเรื่องเพิ่มตลกผัดพอจัดการ |
ถึงวันที่ยี่สิบสองคอยมองหา | เดือนมกราคมต่อข้อบรรหาร |
ประชุมพร้อมน้อมประณตบทมาลย์ | ให้ฟังอ่านโทรเลขเอกอดุล |
ว่าทรงพระกรุณาแก่ข้าเฝ้า | ได้โปรดเกล้าตัดสินให้สิ้นสูญ |
ขุนนางลาวชาวแพร่แลตระกูล | ตามมูลมีโทษที่โปรดมา |
ไม่กล่าวชื่อรื้อชี้แต่ที่ผิด | ให้ตั้งจิตจำจดบทปรึกษา |
เหตุอ้ายเงี้ยวเคี้ยวคดขบถมา | ท้าวพระยาลาวช่วยเข้าด้วยมัน |
ธรรมดาข้าราชการหมาย | ปราบผู้ร้ายระงับเหตุในเขตขันธ์ |
ได้เลื่องชื่อลือตระกูลไม่สูญพันธุ์ | จึงนับชั้นชอบใหญ่ในแผ่นดิน |
ไม่ช่วยแล้วกลับชื่นเข้ากลืนกล้ำ | ไปถือน้ำทำสัตย์สะบัดศีล |
ทรยศขบถใหญ่ในแผ่นดิน | ตั้งเที่ยวลิ้นลาดตระเวนเกณฑ์เสบียง |
ให้กำลังเหล่าร้ายหมายชนะ | เป็นอิสรภาพฉาวในลาวเฉียง |
ตัวเป็นไทยใจฟุ้งมามุ่งเมียง | เข้าใกล้เคียงลาวปลื้มแล้วลืมไทย |
ตั้งสตรีทารกเมื่อตกทุกข์ | ฉุกละหุกเหตุวิบัติปัดไถม |
ไม่อุดหนุนจุนเจือสิ้นเยื่อใย | ทิ้งชาติไทยที่เกิดกำเนิดกาย |
ได้โปรดถามตามต่อข้อนุสนธิ์ | ทำทัณฑ์บนบอกประมูลทูลถวาย |
ว่าความจริงสิ่งสรรพบรรยาย | ครั้นมาภายหลังปดปรากฏความ |
รวมห้าข้อทรยศบทท่านสรรพ์ | เป็นมหันตโทษใหญ่ในสยาม |
แต่หากพระกรุณาพยายาม | เห็นว่าหนามเสี้ยนเท่าตัวเหาเล็น |
ใช่หัวหน้าฝ่าฝืนสวรรค์นิเวศ | เป็นต้นเหตุฮึกหาญทำการเข็ญ |
พลอยกำเริบเติบตามความที่เป็น | วิ่งโลดเต้นตามไปอาศัยเกวียน |
ถึงมาดแม้นแก้ตัวกลัวผู้ร้าย | จะฆ่าตายต้องสัญญาเป็นพาเหียร |
ไม่ลบล้างทางบทกฎมณเฑียร | ท่านว่าเสี้ยนหนามยกตั้งกกกอ |
ควรต้องริบราชบาตรขาดถิ่นที่ | ประหารชีวิตเชื้อไม่เหลือหลอ |
หากเมียมีชี้ช่วยมาอวยออ | แจ้งจริงต่อตามเหตุเจตนา |
ผู้ร้ายรู้อยู่ไหนบอกให้ทั่ว | ขอโทษผัวมุ่งมาดปรารถนา |
จึงโปรดงดบทริบหยิบชีวา | ให้เป็นข้าบำเหน็จตอบความชอบเมีย |
แต่เปลื้องปลดยศศักดิ์อัครฐาน | ที่ประทานถอดออกใส่คอกเสีย |
เจ็ดปีโปรดโทษที่ชั่วทำปัวเปีย | เพราะคนเหี้ยให้ผลดลบันดาล |
ทั้งลาวไทยได้โปรดโทษทั้งนี้ | นับได้สี่คนคดบทบรรหาร |
อีกสิบลาวคราวเข็ญที่เป็นพาล | หรือกิ่งก้านกาฝากโปรดภาคทัณฑ์ |
กับพระวิไชยราชาเมตตาจิต | ช่วยปกปิดไทยซ่อนคิดผ่อนผัน |
ถึงถือน้ำทำสัญญาพูดจากัน | ว่าไม่มั่นจุนเจือพอเชื่อฟัง |
โปรดให้รับราชการบ้านเมืองเลี้ยง | ได้เป็นเยี่ยงอย่างไว้เหมือนใจหวัง |
ทรงอุดหนุนจุนใจให้กำลัง | เมตตาตั้งเต็มสุดสมุหทัย |
ควรจำเค้าเร่าผู้รองสนองนาถ | ซึ่งรับราชการคิดวินิจฉัย |
เป็นเรือน้อยห้อยลำกำปั่นไป | ตรึกตรองให้เห็นการงานทั่งปวง |
มักพูดบ่นสนทนาว่านายใช้ | จะเสียได้ตามทำนองเป็นของหลวง |
ความระคนปนยืดเป็นพืชพวง | อย่าคิดล่วงเลยละเมอทำเผลอเพลิน |
ท่านใช้ชอบกิจนริศราช | จงมุ่งมาดหมายทางอย่าห่างเหิน |
แม้นทำผิดคิดหมายตะกายเกิน | ถ้าได้เดินตรวนยังประทังกาย |
แม้นลงบทอัยการประทานโทษ | ฆ่าทั้งโคตรญาติริบแล้วฉิบหาย |
ไม่หลอเหลือเชื้อชาติอุบาทว์ชาย | แจ้งกระจายประจำลือชื่อประจาน |
เราเป็นข้าราชกิจคิดประหวัด | สัญญาบัตรบุระจำเป็นคำขาน |
ท่านย่นย่อข้อทบงบประมาณ | เป็นคำค้านข้อบัญชาไว้หารือ |
ว่าเว้นการควรเว้นเป็นแก่นสาร | ประพฤติการควรประพฤติจงยึดถือ |
ท่านผู้ใหญ่ใช้รับบังคับคือ | ชอบแล้วหรือเร่งทำอย่าร่ำไร |
พระกรุณาภาษิตจงคิดรักษ์ | ได้เป็นภักษ์ผลสุขทุกข์กษัย |
หมั่นรำลึกนึกจำนงถึงธงชัย | ที่โปรดให้อนุญาตพระราชทาน |
เป็นต้นตั้งหวังจิตสถิตเสถียร | กฎมณเฑียรสาขามหาศาล |
กิ่งกำหนดบทพระอัยการ | อีกใบก้านกฎหมายกระจายแจง |
บำรุงรักฟักฟุมเป็นพุ่มฉัตร | คงผลิผลัดดอกช่อลออแสง |
หอมระรื่นชื่นเฉื่อยระเรื่อยแรง | ไม่เหี่ยวแห้งงอกงามอร่ามเรือง |
ผู้ใดอ่านวานอย่าว่าฉันแส่ | พูดอ้อแอ้อวดรู้คันหูเหือง |
กลอนเจ้ากรรมนำไปให้เขาเคือง | มาพูดเรื่องสอนสั่งรุงรังจริง |
เคยได้ยินนินทามาเป็นนิตย์ | สุภาษิตคำกลอนที่สอนหญิง |
ว่าขอดค่อนสอดสอนพูดค้อนติง | จบสิ้นสิ่งกราบบาทาพระสามี |
เพราะฉะนั้นฉันกลัวชักรั้วปิด | ระวังอิฐแอบฝาหันหน้าหนี |
จิ้งจกเจาะเกาะถํ้าจำคดี | ทักขึ้นทีเดียวเคืองเรื่องนิทาน |
มัวพูดเจิ่นเพลินออกไปนอกเรื่อง | การบ้านเมืองมากมายหลายสถาน |
เขาไม่หามาให้สอนกลอนนิทาน | ขี้เกียจอ่านรุงรังนั่งตะบอย |
พอได้ข่าวข้าหลวงใหญ่เชียงใหม่ว่า | อ้ายหัวหน้าผู้รายคิดมาติดสอย |
เดี๋ยวนี้เจ้าเมืองเลนเห็นร่องรอย | ว่านายร้อยคนหนึ่งลือชื่อโปมอง |
เป็นหัวหน้าตีปล้นซุกซนใหญ่ | บังอาจใจแย่งชิงหยิ่งจองหอง |
อพยพหลบไปดังใจปอง | มีลูกน้องบ่าวนายหลายสิบคน |
เขาจับไว้ให้เราเข้าไปรับ | เอาตัวกลับมาถามตามนุสนธิ์ |
จะควรสถานใดในใจจน | ขอเรียนปรนนิบัติมาได้ปรานี |
แม้ทัพตอบชอบชี้เป็นที่หวัง | คอยคำสั่งกรุงเทพเถิดประเสริฐศรี |
การมาไปในจังหวัดปัถพี | ไม่เห็นมีขัดขวางหนทางการ |
ข้างฝ่ายเมืองเชียงคำนำนิเทศ | ฝรั่งเศสสั่งหมายกระจายสาร |
วันสิบเอ็ดเสร็จขาดราชการ | แต่เดือนขานคำฝรั่งซังวิเย |
ศักราชพับเก้าร้อยกับสาม | ได้ข้อความแม่นมั่นไม่หันเห |
ชื่อเดิมบอกออกให้ผู้ใหญ่เร | สุรังสิปริเออเสนอนาม |
สำเร็จราชการใหญ่ในเขตขันธ์ | เมืองเวียงจันท์จดแว่นแคว้นสยาม |
เหตุอ้ายเงี้ยวเที่ยวกวนทำลวนลาม | แล้วหนีข้ามของไปอาศัยแดน |
เข้าเห็นเหตุเขตแคว้นแดนทั้งสอง | จะมัวหมองไมตรีอารีแสน |
จึงคิดคัดจัดให้ไม่ดูแคลน | ประกาศแคว้นแขวงว่าอาญาวาง |
ข้อหนึ่งเงี้ยวเที่ยวอยู่เป็นหมู่หมาย | ดินฝั่งซ้ายของจำเป็นคำอ้าง |
ให้เก็บอาวุธกองเป็นของกลาง | อย่าให้ค้างเกินกว่าสิบห้าวัน |
ข้อสองฝืนขืนแข็งแห่งบังคับ | แล้วจะปรับโทษตัวชั่วมหันต์ |
ปืนจะเอาเข้าคลังไม่ฟังกัน | ตั้งแต่วันกำหนดที่จดมา |
ข้อสามห้ามเงี้ยวว่ามาอาศัย | แล้วมิให้กลับหลังมาฝั่งขวา |
ชักชวนคนปล้นตีทำบีฑา | เข้าเป็นข้าศึกรับกองทัพไทย |
ข้อสี่ทรัพย์สมบัติสัตว์ทั้งผอง | เอาข้าวของคืนคงไปส่งให้ |
แม้นดึงดื้อถือพาลสันดานใจ | กักขังไว้ปกครองเป็นของตน |
ข้อห้ารู้ผู้ใดไม่ฟังห้าม | ทำลวนลามขัดแข็งแห่งนุสนธิ์ |
ศาลชำระจะจริงสิ่งยุบล | จะต้องทนโทษรับปรับประจาน |
ข้อหกเงี้ยวเที่ยวมาอยู่อาศัย | ทั้งเก่าใหม่จำจดบทบรรหาร |
ให้ยำเยงเกรงประกาศราชการ | ทั้งแก่บ้านขุนนางลาวท้าวพระยา |
เมื่อทราบความตามคดีที่จัดสรร | ก็เป็นฉันท์ไมตรีดีนักหนา |
ผิดกับข่าวกล่าวขวัญจำนรรจา | ที่บอกว่าโจรังตั้งประชุม |
อยู่เชียงของปองรับสัประยุทธ์ | ได้อาวุธมูลมองตั้งซ่องสุม |
จะรบรับทัพไทยไล่ตะลุม | ฟังออกกลุ้มกล่าวกันน่าพรั่นใจ |
แต่ก็ข้ามน้ำของไปซ่องสุม | อาศัยพุ่มพึ่งเงาเขาไคล |
แล้วขนลุกรุกร้าวให้หนาวใจ | บ้างกลับไพล่ผลุนมาตั้งหากิน |
อยู่เมืองแพร่แซ่ซ้องทุกห้องหับ | บ้างขอรับหนังสือว่าถือศีล |
กลับว่าเงี้ยวปล้นคนทมิฬ | ไม่มิถิ่นฐานอยู่เที่ยวจู่จร |
ทั้งงมโง่โมหามาคิดหมาย | เป็นบ้าตายตามจริตจิตสังหรณ์ |
ให้บ้านเมืองเคืองเข็ญเป็นนิวรณ์ | พากันร้อนรนใจดูไม่ควร |
เป็นการโจษจอแจที่แพร่พร้อง | เงี้ยวเป็นสองพวกไปน่าใคร่สรวล |
จะเท็จจริงกริ่งใจนึกใคร่ครวญ | ก็เศษส่วนทรยศขบถตาม |
ต้นมันเน่าเถารกเขายกออก | กลับมีดอกผลดื่นพื้นสนาม |
จะเกลียดชังตั้งหน้าพยายาม | ผีเรือนหยามหยาบจะตีเอาผีไพร |
ก็ป่วยการงานเฝ้านั่งเป่าปัด | ข้าวสารซัดสาดป่าที่อาศัย |
ให้วินาศขาดเชื้อสิ้นเยื่อใย | ก็เห็นไม่ต้องการสงสารคน |
ถ้าเถาทึ้งดึงตอยังรอระ | แม้นพบปะปัดออกทั้งดอกผล |
ไม่ควรนิ่งทิ้งไว้ในตำบล | ให้มันสนสื่อสารรำคาญเคือง |
เช่นหนานจันทิมาก็น่าผลาญ | เป็นแก่บ้านอุตริมาริเรื่อง |
เมื่ออ้ายเงี้ยวเที่ยวไล่ไทยที่เมือง | มันเข้าเยื้องยักเล่นเป็นอุบาย |
พลภูธรจรจนสองคนหนี | มาถึงที่หนานจันก็มั่นหมาย |
เข้าพึ่งพักรักษ์ตัวเพราะกลัวตาย | มันพาผายผันผ่อนเที่ยวซ่อนตน |
แล้วบอกเงี้ยวเกรียวกรูพรูเข้าจับ | ฆ่าตายกับที่ลุอกุศล |
เป็นเวรซัดมัดมาทำหน้าจน | แต่มีการกลเล่ห์ประเว่ประวิง |
อาญาทัพจับได้ต้องไปศาล | ให้ว่าขานรังรุงดูสุงสิง |
จนสืบสวนทวนพยานข้อค้านติง | ได้ความจริงจังสมกลมเข้ามา |
จำเลยมีที่พักล่านักแน่ | ได้เห็นแก่จักษุไม่มุสา |
เป็นห้าปากมากล้ำเกินตำรา | ข้อที่ห้าเห็นผิดพินิจดู |
โจทยก็ยันขันข้อเข้าต่อต้าน | สืบพยานแปดปากก็มากหู |
จะหนักเบาเอามาขึ้นตราชู | จำเลยอยู่ข้างจะหนักที่พักโต |
โจทย์ถึงมากปากก็เป็นแต่เห็นเขา | ก็ยังเบากว่าสำนักนั้นอักโข |
หากได้อิงสิงขรเข้าก้อนโต | จึงได้โย้ยวนยกกระดกมา |
ตัดสินลงโทษตามความมหันต์ | ว่าหนานจันใจชั่วตัวอาสา |
ต้องด้วยบทกฎหมายวายชีวา | มีโทษาหนักล้ำเหลือรำพัน |
พระธรณีหนาแน่นนั้นแสนโยชน์ | ไม่ลงโทษคนคดบทท่านสรรค์ |
ตัดสินเสร็จเด็ดลงปลงชีวัน | อ้ายหนานจันทิมาชีวาวาย |
กุมภาพันธ์ที่ห้าเวลาเช้า | สี่โมงเอาตัวออกจากคอกผาย |
ถึงหลักมัดจัดแจงตกแต่งกาย | เสร็จแล้วฝ่ายทหารยิงลงพิงพับ |
ขอเติมต่อข้อความตามช้างต้น | อีกสองคนเด้วยมาช่วยจับ |
จำขังคอกบอกบาญชีสามปีนับ | เป็นเสร็จสรรพสิ้นไปได้อีกตอน |
ฟังข่าวโจรโยนยาวที่สาวเสาะ | เป็นแต่เลาะเลียบเดินเนินสิงขร |
ไม่ซ่องสุมคุมหมู่เที่ยวจู่จร | หลบหลีกซ่อนตัวตนเป็นคนดี |
ท่านนายกองนายทัพกำกับด่าน | ครั้นอยู่นานเนาในไพรพฤกษี |
ก็ไข้เจ็บเหน็บหนาวร้าวฤดี | บ้างว่าผีโป่งป่ามารังแก |
รู้วิธีวีมีเวทวิเศษไล่ | มาขับไข้พร่ำพรูแล้วขู่แหว |
บ้างอ่านมนต์บ่นเบื่อจนเหลือแล | พวกผีแพ้ก็เบาบรรเทาไป |
บ้างว่าถิ่นดินฟ้าแลอากาศ | กระทำธาตุวิบัติปัดไถม |
ให้ร้อนร้าวหนาวรุ่มกลุ้มหัวใจ | จึงเป็นไข้เจ็บกันอนันต์นอง |
บ้างว่าไข้ในดงพงพนัส | แม้นป่าชัฏชุ่มเย็นเห็นสยอง |
ภูผาห้อมล้อมหลั่นอนันต์นอง | มาปิดช่องลมไม่ให้รำเพย |
กลางวันแดดแผดร้อนพอผ่อนร้าง | หยาดน้ำค้างพรมดินกลิ่นระเหย |
ละอองพิษฤทธิ์ร้ายขึ้นชายเชย | ไม่เลื่อนเลยลอยอบตลบดง |
กลิ่นมากลั้วตัวต้องของเน่าบูด | นาสาสูดสูบริดต้องพิษสง |
จึงเกิดโรคโศกร้างอยู่กลางดง | ตั้งจิตจงพูดจ้อพวกหมอปลอม |