นิราศเมืองหลวงพระบาง

๏ นพพระไตรรัตน์ทั้ง เทพประทาน โลกย์เอย
อีกเอกพระองค์ภาน ภพหล้า
ครูกลอนอักษรสาร สองชนก
เชิญช่วยเผยพจน์ข้า คิดข้อ คำแถลง
  ๏ ดำเนินความตามนิราศคลาศสมร
จดหมายเหตุประเทศถิ่นถวิลวอน โดยสุนทรที่ใจอาลัยนาง
ข้าพเจ้าผู้แถลงแจ้งหน้าที่ ออเดอรีเพิ่มนิพนธ์กระมลหมาง
เป็นสองความยามไปจดไว้พลาง เมื่อแรมร้างนิราศพรากจากเนื้อเย็น
ให้เสียวเศร้าเจ่าจิตคิดวิตก อยู่เต็มอกอัดใจใครจะเห็น
จะนิ่งอดสะกดใจมิให้เป็น ก็สุดเร้นรักซ่อนไปดอนแดน ๚ะ
๏ ขอกล่าวความตามนุสนธิ์แต่ต้นเหตุ ฮ่อเข้าเขตขันศึกทำฮึกแหน
ตีสบแอตเชียงฆ้อต่อดินแดน ที่จดแคว้นแขวงประเทศเขตอานัม
อยู่ทิศทางหว่างบุรพาอุตรามุข มันบุกรุกรานร้าวก้าวถลำ
เที่ยวล้างไล่ผู้ไทยขาวลาวทรงดำ โจรกรรมแย่งกินในถิ่นลาว
จึ่งโปรดให้เจ้าหมื่นไวยวรนารถ[๑] ไปพิฆาตข้าศึกที่ฮึกหาว
ปราบศัตรูหมู่ทมิฬในถิ่นลาว ตามเรื่องราวรายฮ่อที่ต่อตี
อันตัวเราเล่าพระคุณการุณย์เลี้ยง โดยธรรมเที่ยงชูหน้าเป็นราศี
ควรเอากายหมายกตเวที โดยภักดีอุดมจิตตามติดไป ๚ะ
๏ ดำเนินความตามจำนวนกระบวนทัพ โดยตำรับยุโรปงามตามสมัย
เยเนอร์ราลแม่ทัพรับยศไทย พระนายไวยวรฤทธิ์สนิทองค์
ได้ออกมาว่าการทหารหน้า ท่านปรีชาเชิงอาวุธสุดประสงค์
ทั้งกล้าหาญการกลรณรงค์ จึงได้ทรงโปรดให้ปราบภัยพาล
มีที่สองรองมาพระพาหล[๒] เป็นสองคนกับจ่ายวด[๓]ตรวจทหาร
ทั้งบุ๋นบู๊รู้กลเชิงรณราญ พระราชทานเมเยอร์ยศกำหนดมา
ตั้งนายทัพนายกองเป็นสองภาพ เรียกสตาฟกอมปนีมีหัวหน้า
กองสตาฟแอดยุแตนแกว่นกิจจา รับบัญชาชี้การในงานพล
ตำแหน่งนี้ที่หลวงหัตถ์สาร[๔] ผู้จัดการกะรับไม่สับสน
เออเดอรีที่รับสารการสกล นามนิพนธ์เพิ่มรับกำกับไป
การรักษาหิรัญท่านแม่ทัพ นายวันรับตามจำนงไม่หลงใหล
เป็นเปมาศเดอร์ดังชาวคลังใน ด้วยเข้าใจจัดจำหน่ายจ่ายหิรัญ
กวศเตอร์มาศเตอร์นั้นนายสอน รู้ผันผ่อนกะกิจไม่ผิดผัน
การเสบียงเลี้ยงทัพนับอนันต์ เบิกหิรัญซื้อใส่ไปให้พอ
พนักงานเรียงรายจดหมายเหตุ เป็นนักเทศน์ที่ปราชญ์ฉลาดปร๋อ
รู้ลิขิตอังกฤษไทยเข้าใจพอ จึงสมส่อแจ่ม[๕]กวีที่เฉียบแลน
หมอเทียนฮี้[๖]นี้รักษาขายุรป รู้เจนจบยลแยบในแบบแผน
ใคร่ไข้ปวยช่วยชูไม่ดูแคลน เคาเวอร์แมนต์หมายบอกว่าดอกเตอร์
จัดเขด็จเด็กนักเรียนพึ่งเพียรหัด ยี่สิบทัศสาธกยกเผยอ
ใครแคล่วคล่องว่องไวให้นัมเบอร์ ยกเผยอความดีที่ในการ
อีกอังกฤษวิจิตรแปลนการแผนที่ กับอิตาลีสองผู้ครูทหาร
สตาฟตั้งเติมแต่งตำแหน่งงาน จึงจัดการกอมปนีที่ว่ากอง ๚ะ
๏ หลวงโยธาณัติการนั้นชาญช่าง รู้แบบอย่างกิจการงานทั้งผอง
ไปโอเนียนามช่างตั้งเป็นกอง สำหรับจองจัดไว้ทำค่ายคู
กองดินดำกำกับนายทัดเล็บ เตอร์แนนเก็บแก็บชะบวนล้วนดินหู
กระสุนแตกปัสตันทุกอันดู มิให้ผู้ถือไฟเข้าใกล้กราย
กองรบนั้นกัปตันหนึ่งพึงจดนับ มีเลขสับสองคู่เป็นหมู่หมาย
ซายันต์หมวดตรวจรองสิบสองนาย คุมนิกายกองณรงค์เข้าสงคราม
พลฉกรรจ์สรรกองละสองร้อย แตรเดี่ยวคอยเป่าปองกองละสาม
อยู่ขวาซ้ายรายท่าสง่างาม ป่าวบอกความล่อไล่ล้างไพริน
ซายันต์ธงถือธงดำรงเรียบ ตามระเบียบแบบคำสั่งดังถวิล
เปซายันต์นั้นจดหมายรายระบิล เป็นเสร็จสิ้นส่วนบังคับในกัปตัน
กัปตันมีสี่นามตามลิขิต หลวงวิชิตชาญศึกนึกกระสัน
เป็นครูจัดหัดทหารมานานครัน ท่าประจัญโจมจับรับไพรี
หลวงอาจหาญณรงค์องอาจศึก ดูเหี้ยมฮึกห้าวรบไม่หลบหนี
ล้วนเจนจัดหัดปรือฝีมือดี ทั้งท่วงทีเชิงชั้นสำคัญคม
หลวงจำนงค์ยุทธกิจ[๗]ลิขิตไข ว่าตั้งใจทำสงครามเห็นงามสม
ทั้งราบเรียบระเบียบแบบแยบนิยม โดยอุดมจิตจบที่ทบทวน
หลวงดัษกรปลาศน์[๘]นั้นอาจหาญ ชำนาญการกิจหัดสันทัดถ้วน
ทีโรมรันผันแก้รู้แปรปรวน ในกระบวนยุทธหัตถ์ใช้ศัสตรา
คนปืนใหญ่ได้บรรจบสมทบทัพ ร้อยหนึ่งสรรพหลพลวังหน้า
ล้วนชำนาญการอาวุธยุทธนา เลือกเอามาแต่ที่มั่นฉกรรจ์พล
ทั้งนายไพร่ได้ห้าสิบห้าทัศ เคยยิงยัดปืนใหญ่ไม่ฉงน
ขุนสิงหนาทก้องศึกฮึกผจญ กำกับพลพื้นใช้ปืนใหญ่ชาญ
จัดปืนผาอาวุธสุดประเสริฐ ยิงระเบิดพังค่ายทลายผลาญ
ล้วนลูกแตกแหลกไล่ประลัยมาร ดังพระกาลล้างทำลายวายชีวี
ลูกอย่างหนึ่งข้างในใส่ยาพิษ ประเสริฐฤทธิ์ราวกับได้ใช้ภูตผี
ยิงเป็นหมอกออกกลุ้มรุมราวี แม้นไพรีสูบรสแล้วปลดปลง
ใหญ่สามกำลำกล้องยาวสิบเก้านิ้ว เป็นตาริ้วริมที่นั่งตั้งระหง
สำหรับไว้ในวังหน้ารักษาองค์ ชื่อนั้นคงยั่งยืนปืนมอตา
อีกคู่หนึ่งปืนล้อหล่อด้วยเหล็ก เป็นอย่างเล็กเลือกคัดคิดจัดหา
ยิงลูกแตกแหลกสังหารผลาญพาลา เป็นสง่างามสำหรับกองทัพชัย
ขนานนามอามสตรองจดจองอ้าง ชื่อผู้สร้างสรรค์แจ้งแถลงไข
อีกคู่หนึ่งชื่อวิเสริฐเลิศไกร ไม่โตใหญ่กว้างยาวก็ราวกัน
แต่เป็นปืนทองเหลืองเรืองอร่าม สีสุกวามวาวแจ้งส่องแสงฉัน
ลูกแตกล้วนควรพินิจไม่ผิดพัน ทุกสิ่งอันเอกอิทธิฤทธิ์แรง
ปืนทหารชาญชัยสะไนเด้อร์ รีวอลเว่อร์ตัวนายสะพายแล่ง
บรรจุก้นนลกิจประดิษฐ์แปลง ทั้งเร็วแรงฤทธาดูน่ากลัว
แม้นข้าศึกฮึกรอเข้าต่อฤทธิ์ เห็นชีวิตวายเปล่าหมดเงาหัว
เหมือนแมงเม่าเคล้าเพลิงทำเริงรัว ไม่รู้ตัวตอมไฟบรรลัยลาญ ๚ะ
๏ เดือนสิบเอ็ดปีระกาจะคลาทัพ พระโหรจับชั้นโชกโฉลกหาร
ได้ฤกษ์ดีตรีจันทร์สรรพการ แสนศฤงคารสมบัติสวัสดี
แรมสิบเอ็ดค่ำอังคารชาญโฉลก เป็นชั้นโชคจัตุรงค์ลงดิถี
ไปรบทัพจับศัตรูหมู่ไพรี จะภักดียอมระย่อไม่ต่อกร
เป็นสองวันสรรเวลาโหราแจ้ง จึงจัดแบ่งปันเวลาคลาสมร
แรมสามค่ำวันจันทร์ตะวันรอน พร้อมนิกรเข้าประนมบังคมลา
พอเย็นย่ำค่ำศรีสุริเยศ พระจอมเกศนิกรฤทธิ์ทั่วทิศา
เสด็จที่นั่งจักรีศรีโสภา พร้อมเสนามาตย์หมู่ประยูรวงศ์
ถวายบังคมกรอ่อนศิโรตม์ ด้วยมาโนชญ์นอบนบสบประสงค์
สดุดีสดับกิจประสิทธิ์ทรง ขอพระองค์อิศเรศปกเกศกัน
ข้างฝ่ายพระมนตรี[๙]ผู้มียศ มีสร้อยพจนกิจประสิทธิ์สรร
เป็นผู้นำทูลฉลองปองรำพัน อภิวันทนากรอ่อนประนม
ขึ้นยืนหน้านายกองประคองสาร คลี่ออกอ่านเสียงดังฟังขรม
ว่าแม่ทัพกับนิกายถวายบังคม ไประดมเผด็จปราบพวกหยาบคาย
อังคารแรมสิบเอ็ดค่ำเดือนสิบเอ็ด ระกาเสร็จจุลศักราชหมาย
พันสองร้อยสี่สิบเจ็ดเสร็จภิปราย หยุดถวายคำนับนั่งฟังกิจจา ๚ะ
๏ พอทรงจบจึงรับสั่งชาวคลังราช ให้ยกภาชนะทองรองสลา
กับกระบี่ฝักสุวรรณจัดสรรมา ตลับ[๑๐]พระศรกสมยาอีกหนึ่งองค์
ประคำทองผ่องฉวีสิสุกสด ทั้งเสื้อยศอย่างวิจิตรพิศวง
พนักงานนำประนตบทบงสุ์ ถวายองค์อิศเรศเกศนิกร
ทรงประทานท่านแม่ทัพรับเคารพ ประนมนบบาทธิเบศมเหศร
เป็นโชคชัยไปกำจัดดัสกร ให้ถาวรอิศโรมโหฬาร
เมเยอร์รองสองนายอยู่ซ้ายขวา ล้วนปรีชาเชิงชายนายทหาร
ได้เสื้อยศอย่างรองของประทาน เกษมสานต์ลืมคิดที่จิตจง
ประทานเสร็จทรงประสิทธิ์สฤษดิลาภ อรินทร์ราบชาติเชื้ออย่าเหลือหลง
สรรพภัยในนุทิศให้ปลิดปลง สิ่งใดจงใจมาดอย่าคลาดเลย ๚ะ
๏ อนึ่งที่นับถือคือคุณพระ อย่าลืมละหมั่นรำลึกนึกเฉลย
เป็นที่พึ่งหนึ่งนะอย่าละเลย เป็นของเคยเคารพอย่าราคี
เสร็จประสาทสรรพพรถาวรสวัสดิ์ ชุลีหัตถ์รับวางหว่างเกศี
เสด็จคืนขึ้นบนพระมณฑีร์ ต่างก็ลีลากลับมาฉับพลัน ๚ะ
๏ คนึงนวลนิ่งนอนสะท้อนจิต จะจากมิตรสมรร้างไปห่างขวัญ
สุดจะฝืนกลืนรักที่พักพัน แข็งใจอั้นอกอึ้งตะลึงลาน
คิดคิดผอยม่อยหลับระงับจิต จนอาทิตย์อุทัยแจ้งส่องแสงฉาน
จัดเสื้อผ้าหาของที่ต้องการ โดยวิจารณ์จัดจบครบจำนวน
แต่อาหารการกินมีสิ้นสรรพ ท่านแม่ทัพซื้อยุรปมีครบถ้วน
หมูแฮมแห้งแป้งสาลีอย่างดีล้วน ลูกไม้กวนกุ้งปลาสารพัน
ใส่กระป๋องปิดผนึกจารึกชื่อ แม้นจะรื้อเรื่องกินไม่สินสรรพ์
ลูกไม้ดองของแช่แลอนันต์ จะรำพันพูดนักจะชักนาน
๏ แปดค่ำเช้าเสาร์แรมเดือนสิบเอ็ด ก็จัดเสร็จส่งพหลพลทหาร
ให้ล่วงหน้าคล้าคล่ำในลำธาร ออกขนานหน้าผายมีนายพล
ปลัดทัพรับยศเมเยอร์ใหญ่ คุมนายไพร่ล่วงหน้าพระพาหล
อาทิตย์บถกลดบังตั้งมณฑล ได้ฤกษ์บนรีบบอกให้ออกเรือ
เรือไฟพ่วงช่วงยาวไม่ก้าวเกี่ยง จรัลเรียงแล่นรายสบายเหลือ
ธงช้างปัดสะบัดปลายอยู่ท้ายเรือ ดูจนเฝือเนตรลับสลับบัง
แล้วกลับหลังยังสถานรำคาญจิต สุขุมคิดคับอกเหมือนตกถัง
ตัวจะไปใจจะเวียนเพียรระวัง จนกระทั่งวันนิราศจะคลาดคลา ๚ะ
๏ เวลานั้นท่านเจ้าพระยามหินทร์ ว่าโยธินสมทบการทหารหน้า
มีน้ำจิตประกิตเกื้อเมื่อวันลา เลี้ยงโยธาทัพใหญ่ทั้งไพร่นาย
สะพรั่งพรูหมู่นิกรสลอนสลับ คอยแม่ทัพอยู่ที่ท่านาวาผาย
มาพร้อมเพรียงเรียงกันจรัลจราย ด่างภิปรายเปรมปรีดิ์ฤดีดาล
เลี้ยงน้ำชากาแฟเสียงแซ่ซ้อง ด่างเรียกร้องไพรเพราะพูดเคาะขาน
ทั้งบ๋อยบ่าวเหย่าย่างที่กลางชาน ดูพลุกพล่านพลาดพลำถลำเลย
เสียงสรวลเสเฮฮาสง่าทัพ บางคนปรับทุกข์ทำว่ากรรมเอ๋ย
จะเดินดงพงไพรยังไม่เคย บ้างพูดเย้ยหยอกเยาะหัวเราะเพลิน
บางครอบครัวมัวกระสันมาฟั่นเฝือ ยังเอื้อเฟื้อเฝ้านั่งริมฝั่งเผิน
ผูกอาลัยใจตั้งจนพลั้งเพลิน ทำแลเมินเนตรชม้ายระคายคน
มาส่งเสียเคลียคลอรีรอรัก ละล่ำละลักใหลหลงงงฉงน
ดูดก้นพลูดูเพลินไม่เขินคน ใช้ต่างก้นบุหรี่เอาจี้ไฟ
นั่งคอยท่านแม่ทัพอยู่คับคั่ง ดูสะพรั่งพร้อมที่ท่าชลาไหล
ออกเขียดยัดอัดแอเซ็งแซ่ไป เหลืออาลัยเล็งแลแดฤดี
๏ ข้างฝ่ายท่านหลวงสิทธิ์สนิทเสน่ห์[๑๑] เธอทอดเททางรักเป็นศักดิ์ศรี
จัดเรือไฟครรไลล่องท้องนที จรลีเร็วรับแม่ทัพมา
จากสถานทุ่งสีลมสมสนุก เกษมสุขเป็นนิรันดร์จิตหรรษา
เดี่ยวนี้เพี้ยนเปลี่ยนผันจำนรรจา เรียกศาลาแดงเด่นเห็นแต่ไกล ๚ะ
๏ ฝ่ายข้างท่านแม่ทัพจัดสรรพเสร็จ ได้ฤกษ์เพชรผ่องผุดวิสุทธิ์ใส
ลาพระสงฆ์ทรงธรรมอันอำไพ เทพไทยที่รักษาโลกากร
ลาเผ่าพงศ์วงคาคณาเนื่อง ไม่ขุ่นเคืองมโนสโมสร
ลงเรือแจวจรมาในสาคร สงฆ์สวดพรเพิ่มรำพันชยันโต
ออกจากช่องถึงคลองผดุงราษฎร์ เรือไฟปราดปร๋อไปใส่ไฟโฉ่
เข้ารอรับแม่ทัพไปในชะโล ออกแล่นโร่แลริ้วริ้วละลิ่วมา ๚ะ
๏ ขณะนั้นท่านเจ้าพระยามหินทร์ ตั้งใจจินตนาคอยละห้อยหา
เขม้นดูอยู่ที่ลานชานคงคา เห็นแล่นมาไวไวดีใจจริง
พอถึงท่าราทอดเข้าจอดพัก คนคักคักแลหลายทั้งชายหญิง
ดูแม่ทัพคับคั่งนั่งประวิง ตามตลิ่งแลล้นมายลยวน
ดูเรือไฟใหม่มั่นเป็นมันยับ ชื่อประดับเพชรผุดสุดสงวน
เครื่องประดับสำหรับลำน่ารำจวน อะไหล่ล้วนด้วยหิรัญเป็นหลั่นเรียง
พอเรือเทียบสะพานลอยที่คอยท่า สำรวลร่าเรียกขานประสานเสียง
ต่างดำเนินเดินคลอเข้ารอเรียง ประคองเคียงขึ้นบนตึกเสียงคึกคึก
พร้อมด้วยเจ้าเผ่าพระยาเวลานั้น ล้วนพงศ์พันธุ์ผู้ดีที่มีศักดิ์
มาส่งเสียละเหี่ยละห้อยเศร้าสร้อยพักตร์ ด้วยจิตรักจำร้างไปห่างกัน
อธิบดีที่มาส่งองค์ประสิทธิ์ พระขนิษฐ์นฤเบศพิเศษสรร
กรมหมื่นเทววงศ์ทรงนิพันธ์ สร้อยสารันต์สฤษดิ์วโรปการ
ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าพระยามหินทร์ เป็นเจ้าถิ่นที่พักอัครฐาน
อีกพลเรือนที่เป็นเพื่อนราชการ โดยประมาณที่ได้มาห้าสิบปลาย ๚ะ
๏ พอฤกษ์งามสามนาฬิกากึ่ง แม่ทัพจึงน้อมประนมบังคมถวาย
พระเจ้าน้องยาเธอเปรอภิปราย ทุกท่านนายต่างคำนับเข้าจับมือ
แต่ท่านเจ้าคุณมหินทร์ถวิลหวัง มาส่งยังเรือแม่ทัพโดยนับถือ
วักน้ำประศีรษะเรือเพื่อระบือ ให้เชิดชื่อไชโยมโหฬาร
ขอพระรัตนตรัยอันไพจิตร ได้ปลดปลิดข้าศึกที่ฮึกหาญ
นิราศทุกข์สุขสวัสดิ์ขจัดพาล จงบันดาลดลชื่นทุกคืนวัน
พอจบพรจรจากเรือเหลือละห้อย ดูพักตร์สร้อยเศร้าในใจกระสัน
หลวงนายสิทธิ์มิตรที่รักมาพักพันธ์ ขี่กำปั่นไปส่งในคงคา ๚ะ
๏ เสร็จสั่งเลื่อนเคลื่อนคลายขยายทัพ เป็นลำดับดูสะพรั่งพลหลังหน้า
เรือไฟมีที่หมายท้ายเภตรา น้มเบอร่ารับช่วงพ่วงนิกร
พวกพหลพลทหารลนลานวิ่ง จากตลิ่งลงนาวาหน้าสลอน
จับแจวถ่อรอราในสาคร เรือไฟผ่อนเชือกพันผูกทันที
เขาเปิดจักรวักกระสายกระจายฟุ้ง เรือสะดุ้งดังจะดิ้นออกปลิ้นหนี
เปิดหลอดลั่นมั่นหมายนายนาวี ให้โยธีทัพตั้งระวังตัว
เรือพหลพลไพร่ทั้งใหญ่น้อย ให้คนคอยถือพร้าราอยู่หัว
เพื่อเสียท้ายหมายฟันไม่พันพัว ระวังตัวตั้งใจทั้งไพร่นาย
ดูเป็นพืดยืดยาดออกดาษน้ำ เรือไฟซํ้าบอกลำคัญจะผันผาย
ต่างผูกพ่วงช่วงเคียงดูเรียงราย ไม่ก้าวก่ายเกี่ยวลำดับนับประมวล
เรือเล็กใหญ่ได้ห้าสิบห้าชัด คนนั่งยัดเยียดลำแลกำสรวล
ดูสลอนน่าสลดกำสรดนวล สุดจะครวญใคร่แทนแน่นฤทัย
เพราะตัวเราเล่าก็ไหวฤทัยหวน อุระป่วนปั่นคิดพิสมัย
เมื่อจากเจ้าจะรับขวัญลาครรไล ก็ตันใจหน้าเจื่อนเชือนลงเรือ
ป่านนี้นุชบุตรมิพร่ำโศกกำสรด จะรันทดท้อฤทัยอาลัยเหลือ
จะตวงทุกข์ชุกชุ่มอยู่คลุมเครือ อลักเอลื่อจิตเจ่าอยู่เฝ้าเรือน
จะเปล่าเปลี่ยวเสียวจิตขนิษฐ์น้อย กำสรดสร้อยเศร้าใจใครจะเหมือน
เพื่อนหญิงเล่าเขาจะยั่วว่าผัวเชือน เป็นหม้ายเลื่อนระทดกายน่าอายจริง
เขาหย่าร้างค้างขายตายจากอก จึงต้องตกพุ่มหม้ายทั้งชายหญิง
นี่หม้ายทัพยับยากลำบากจริง เห็นสิ้นสิ่งสุขแท้ต้องแดดาล
แต่หม้ายน้องหมองพี่ก็มีเพื่อน ยังอยู่เรือนร่วมบุตรสุดสมาน
พี่หม้ายพรากจากเคหายุพาพาล ฤดีดาลแดดิ้นเห็นสิ้นเชิง
ต้องแบกรักหนักอึ้งคะนึงหา เทวษว้าว้างหาวกว่าว่าวเหลิง
มัวโศกเซื่องเงื่องงันไม่บันเทิง จะเสียเชิงที่บัญชาเพราะอาวรณ์
คิดมานะละโศกวิโยคยาก เรือไฟลากแล่นไปฤทัยถอน
เห็นบ้านเรือนเกลื่อนท่าริมสาคร แลสลอนลานตาขอลาโลม
ประเดี๋ยววับลับเนตรเทวษว้า เรือไฟพาวิ่งไวใส่ไฟโหม
กระฉ่อนกระฉอกระลอกลั่นเสียงครั่นโครม เหมือนจะโจมจับศึกพิลึกดัง
ระยะย่านบ้านตำบลทุกหนแห่ง เหลือจะแจ้งแจกได้โดยใจหวัง
คัดแต่ข้อพอเป็นเค้าเล่าให้ฟัง ในเมื่อครั้งนี้ไปปราบภัยพาล
รำพึงพลางทางวิโยคยิ่งโศกเสริม ถึงวัดเฉลิมแลโสตโบสถ์วิหาร
ก็รอเรียบเทียบนาวาริมท่าธาร ให้รำคาญขุ่นวิญญาณ์เป็นอารมณ์ ๚ะ
๏ ฝ่ายเจ้าอธิการญาณวิเศษ รู้ไตรเพทผ่องฤทธิ์ประสิทธิ์สม
นิมนต์สงฆ์ลงศาลาท่านิคม ใบตาลกลมป้องหน้ากล่าวบาลี
สวดการุณย์คุณพระพุทธสุดประเสริฐ บำราศเลิศโรคภัยในวิถี
สรรพภัยพาธาอย่ายายี จบบาลีแล้วคุณพระประน้ำมนต์
พลทหารชาญชัยในกองทัพ เคารพรับพรพระศุภผล
เป็นที่พึ่งหนึ่งคำนับเมื่ออับจน เปียกน้ำมนต์นึกนิยมด้วยสมใจ ๚ะ
๏ ฝ่ายผู้รั้งกรรมการผ่านประเทศ นนท์บุเรศเรือแพแลไสว
พอเรือจอดหลอดลั่นสนั่นไป ก็ครรไลลีลาข้ามมารับ
ด้วยเขตแคว้นแดนนี้หน้าที่ท่าน จึงจัดด้านระดมคนดูสนสับ
ทั้งบกเรือเหนือใต้ให้กำชับ เป็นเวรรับแวดระวังมานั่งกอง
เสร็จวางเวรเกณฑ์กะกันระดับ หาแม่ทัพทอดอารมณ์ประสมสอง
ต่างคำนับรับเชิญเดินประคอง โดยจิตจองจงรักกันหนักนาน
จนเวลาฟ้าสลัวมัวเวหน พระยานนท์ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
ขอเชิญท่านแม่ทัพไปรับประทาน กับนายทหารพร้อมพรักขึ้นพักจวน
สู่สถานบ้านนั่งยังเก้าอี้ ต่างพาทีทอดเทดูเสสรวล
จัดของเลี้ยงเรียงรายหลายกระบวน แล้วเชิญซวนรับประทานของหวานคาว
มีลำลำรำมะนาเล่นหน้าโต๊ะ เสียงโจ๋งโจ๊ะจ๊ะทั่งกำลังสาว
ขยับฉิ่งจิ่งจับเสียงกรับกราว มีนางกล่าวกลอนเพราะเสนาะนวล
สักวานายทัพกับทหาร ละสถานทิ้งนุชสุดสงวน
จะเดินทัพลับไปให้รัญจวน น้องจะครวญครุ่นให้เสียใจจริง
ได้เห็นกันวันเดียวเจียวหนอพี่ ตั้งแต่นี้นับวิตกโอ้อกหญิง
ขอเชิญชายเนตรช้อนอย่าค้อนติง พอเห็นจริงใจประจักษ์ว่ารักเอย ๚ะ
๏ ฟังถ้อยคำลำร้องทำนองแนะ เหมือนมาแคะคุ้ยอุระขึ้นเฉลย
จะตอบต่อข้อคำร่ำภิเปรย เกรงจะเลยลาวเลี้ยวเป็นเกี้ยวกวน
ครั้นเสร็จเลี้ยงลุกมานั่งยังที่ลาด ฟังพิณพาทย์พาใจอาลัยหวน
เสภาร้องพร้องเพราะเสนาะนวล น่ารัญจวนจับใจอาลัยลาน ๚ะ
๏ จนดึกดาวพราวพร่างกลางเวหา ครรไลลายังสำนักที่พักทหาร
ต่างคำนับรับรสพจมาน ค่อยเบิกบานชื่นหน้ากลับมาเรือ
พอถึงทัพกลับสะท้อนถอนเทวษ แรมทุเรศร้างใจอาลัยเหลือ
ยังมิหนำซํ้าหนาวลมว่าวเจือ ต้องนอนเรือแรมรากลางวารี
เห็นพหลพลทหารขนานหน้า นอนนาวายัดเยียดแทรกเสียดสี
ไม่อบอุ่นครุ่นร้อนอาวรณ์ทวี จนรังสีส่องแจ้งอัมพร
ยกโยธาจากวัดเฉลิม ยิ่งพูนเพิ่มพิสมัยฤทัยถอน
จักรก็หมุนใจก็มุ่งฟุ้งขจร เสียงสาครครื้นครั่นสนั่นไป ๚ะ
๏ ข้างฝ่ายท่านยานนท์กระมลมุ่ง พอย่ำรุ่งเร่งเร้าพวกบ่าวไพร่
ออกล่วงหน้านิมนต์สงฆ์ลงอวยชัย ทุกวัดในนนท์แนวแถวธารา
เรือกระบวนพวนเหนี่ยวเลี้ยวเผด็จ เข้าลัดเกล็ดเรือนกลาดดื่นดาษท่า
มีร้านโรงโอ่งอ่างทางคลา เป็นสินค้าขายกินที่ถิ่นมอญ
เม้ยรามัญพันมวยสวยสะอาด ลักษณ์วิบาศแลพินิจพิศสมร
ดังโกเมศนิเวศน์ลางสาคร ชูฉะอ้อนออกชื่อพอลือโลม
ชักอารมณ์ชมนางในทางลัด พอถึงวัดประไมยใส่ไฟโหม
เสียงจักรลั่นฟั่นคลื่นดังครื้นโครม เหมือนหนึ่งโรมกลงาร่ำทุกลำราย
เหมือนคนคุ่มกลุ่มขวางกลางสมุทร บ้างดำผุดโผพ้นชลสาย
เกาะไม้หลักแลแปลกแยกกระทาย เขาดำทรายใส่นาวากลางสาคร
เรียกชื่อบ้านบางพูดนึกพูดน้อง พูดพลางร้องไห้พลางกลางบรรจถรณ์
พูดอาลัยในพี่ยาพูดอาวรณ์ พูดไม่จรจากใจพูดไม่จาง
ยังยืนแจ้วแว่วใจเรือไฟประเวศ ล่วงเข้าเขตเมืองปทุมเขาสุมสาง
แสงอัคคีจี่อิฐติดเรืองราง แลกระจ่างแจ้งรายชายวาริน
เห็นเรือจักรพักทอดจอดอยู่นิ่ง ริมตลิ่งหลากในฤทัยถวิล
เสียงคนเรียกสำเหนียกใจพอได้ยิน ลุกขึ้นผินพักตร์เขม้นพอเห็นมือ
ดูไกวกวักควักไขวชะใครหนอ มานั่งป๋อในกำปั่นเรียกกันอื้อ
จะไถ่ถามความอะไรไฉนฤๅ จึ่งมารื้อเรียกกันสนั่นอึง
ก็หยุดเรือจักรราเสียงซ่าซ้อง ลงสัดจองแจวไปพอใกล้ถึง
เห็นหลวงหัตถสารมองร้องเรียกอึง กระโดดตึงเต้นหรับรับมาพลัน
พอใกล้ถึงเรือกลท่านยลพักตร์ ได้รู้จักจึ่งถามตามกระสัน
ไฉนรอเรือไม่ไปก่อนพลัน มานิ่งตันติดช้าอยู่ว่าไร ๚ะ
๏ ฝ่ายหลวงหัตถสารศุภกิจ เชิงสนิทนบแจ้งแถลงไข
เรียนข้อความตามคดีที่เรือไฟ ว่าเครื่องไกลติดเห็นผิดที
จะแก้ไขก็ไม่แล่นสุดแสนยาก ต้องทอดกรากกรำยับอยู่กับที่
เรืออื่นอื่นทั่วทั้งหลายสบายดี แต่ลำนี้ติดมั่นตันอารมณ์
จนอาหารการเสบียงจะเลี้ยงท้อง สิ้นทำนองนึกว่ายับขอรับผม
กินบอนเผาเคล้าปลาร้าเป็นอารมณ์ นิ่งระทมคอยให้ท้าวทุกเช้าเย็บ
ท่านทราบศัพท์รับเอาไปในเรือจักร ออกเล่นวักน้ำฟุ้งเหมือนกุ้งเต้น
เปิดหลอดร้องก้องกู่ดูดังเป็น เหมือนจะเผ่นโผนท่องท้องสินธู
พอบ่ายเบี่ยงเสียงลมระทมพัด ที่หน้าวัดตีนท่าเสียงซ่าซู่
ไม้ไผ่พับยับย่อยฝนพลอยพรู พฤกษาสู่ลมปัดสะบัดโยน
ทั้งเรือพ่วงเรือพาก็คว้าคว้าง ดูเหมือนช้างเช่นหมอต่อเข้าโขลน
แล่นรี่ร่าท่าดีทีจะโดน ปะรำโค่นผ้าลาดขาดทลาย
บ้างลงน้ำคํ้าจุนรุนเข้าฝั่ง ลมประดังฝนประดาฟ้าฟาดสาย
วะวับวาบปลาบปราดปาดประกาย จอดเรือรายริมฝั่งเข้านั่งงอ
พอฝนหายตะกายแก้แร่เข้าพ่วง เรือไฟจ้วงจักใช้ก็ไปปร๋อ
จรัลเรียงเคียงแข่งไม่แรงรอ แล่นชะลอแลสล้างถึงบางไทร
ชาวด่านจ้องฆ้องกระแตแร่ตีป๋อง นั่งจองหงองเหงาเหงื่อเข้าเจือไส
คอยเรียกเรือขายสินค้าที่มาไป เป็นด่านใหญ่อยู่เขตประเทศกรุง
ไปไม่ดีมีของที่ต้องห้าม แล้วลวนลามเรียกค้นถึงก้นถุง
มีพริกเกลือมะเขือไข่ให้คุณลุง แล้วไม่ยุ่งยอมให้ไปสำราญ
ก็เลี้ยวแล่นเข้ากระแสแควสีกุก ไผ่สีสุกเฝือแฝงบังแสงฉาน
จนเย็นย่ำค่ำยลอนธการ แซ่ประสานเสียงจักรไม่พักพา
ได้สองทุ่มคลุ้มลมระทมพัด เข้าจอดวัดสุวรรณภาชน์ระดาษท่า
เสพอาหารสำราญรื่นชื่นอุรา แล้วก็ลาแล่นชมลมระริน
อนาถหนาวพราวพร่างน้ำค้างหล่น เย็นสกนธ์ชุ่มนองละอองกระสินธุ์
พฤกษาบังฝั่งฝ้ายิ่งราคิน มัวมลทินแถวทางไม่สร่างทรวง
อาทิตย์ดับลับโลกไม่โศกนัก สี่ยามชักรถเร้าข้ามเขาหลวง
มาส่องแสงแดดเด่นให้เห็นดวง วิเชียรช่วงโชติชัดกระจัดตา
ลับพระจันทร์วันข้างแรมไม่แจ่มแสง ข้างขึ้นแจ้งจ้าส่องห้องเวหา
ลับเวลาเช้าเย็นเป็นเวลา ลับนิทราสร้างฟื้นก็ชื่นใจ
แต่ลับนุชสุดลับไม่นับเห็น ลับประเด็นดวงจิตพิสมัย
ลับครรไลไกลลับไม่นับไกล ลับอาลัยลับนุชสุดรำพัน
คิดวิโยคโศกเศร้าให้เหงาง่วง เรือไฟพ่วงพาแล่นแสนกระสัน
ยามยิ่งดึกเรือยิ่งเดินดูเพลินครัน เสียงไก่ขันขานหลับจับอารมณ์
ครั้นรุ่งแจ้งแสงอุทัยขึ้นใสสอด เห็นเรือทอดเทียบท่าพระอาศรม
วัดกำแพงแขวงกรุงคุ้งนิคม คนยังซมเซานอนอ่อนระทวย
จึงเป่าแตรแปร๋แปร้นแล่นเข้าหู ทหารรู้สึกนั่งยังระหวย
บ้างง่วงงึมพึมเพ้อพูดเอออวย ดูระทวยอ่อนระทดเหมือนหมดแรง
แล้วเลื่อนแล่นนาวาจากท่าวัด สตรีมจัดเปิดจักรคึกคักแข็ง
น้ำลงเหลือเรือคว้างมากลางแปลง ไม่วิ่งแข่งเคียงตามกันหลามมา
ริมฝั่งรายทรายสวะเรอะระเหลือ บนฝั่งเฝือแลทำเลที่เคหา
กระบือโคคอกรายชายชลา ล้วนบ้านนาแนวชลไม่ยลยิน
แลลิบลิ่วทิวทุ่งเป็นวุ้งเวิ้ง นกกระเจิงเจิ่นท่าชลาสินธุ์
ข้าวเป็นรวงพวงผลพ้นวาริน กระจาบบินโบยฉาบคาบไปรัง
กระดี่โดดโลดโผนกระโจนงับ ต้นข้าวยับย้อยจมได้สมหวัง
ชะโดต้องร่องแฉลบเข้าแอบบัง กระดี่พลั้งฮุบโพล่งวิ่งโผงไป
ตามตลิ่งคนวิ่งมาหยอยหยอย ทั้งใหญ่น้อยนั่งดูอยู่ไสว
บางคนกลัวตัวหมกรกรำไร บ้างลองใจขู่สำทับว่าจับตัว
แล่นเตลิดเปิดออกไปนอกทุ่ง ลงแอบมุ่งมองเว้นแลเห็นหัว
ที่เป็นสาวหนาวนมผ้าห่มพัว นั่งแฝงตัวตาลอดมาสอดมอง
ที่มีคู่สู่สมภิรมย์รัก นั่งเคียงพักตร์ผ่องพริ้มทำยิ้มย่อง
เห็นแม่ทัพกับนิกายท่านนายกอง อนันต์นองนั่งเคียงเรียงจรัล
ที่ไม่รู้ดูกระซิบกันอิบอับ ท่านแม่ทัพนั้นคนไหนบอกให้ฉัน
ที่รู้จักชักชิดสะกิดกัน ริมคนนั้นเคียงคนนี้ชี้ให้ดู
ที่สาวสรรค์หันเข้าบังนั่งสะกิด ไหนพี่ทิดถามเอียงเข้าเคียงหู
ต่างอุบอิบกระซิบเสียงเราเหลียวดู เหมือนเพลิงจู่จ่อเชื้อเหลือระวัง
เรือไฟเดินเพลินวิ่งตลิ่งวับ ประเดี๋ยวลับแลเขม้นไม่เห็นหลัง
พระสุริยาราแสงลงแบ่งบัง พอกระทั่งถึงทอดเข้าจอดจวน
นครนี้มีนามตามสังเกต เรียกวิเศษไชยชาญสารสงวน
คีอเขียนบอกออกนามตามกระบวน ในสำนวนตราเห็นเป็นสำคัญ ๚ะ
๏ แต่คำคนชนชาวนั้นกล่าวอ้าง ว่าเมืองอ่างทองทัดระหัดหัน
เป็นสองชื่อลือเพรียกเขาเรียกกัน เสียงจำนรรจาจำเป็นคำจอง ๚ะ
๏ ฝ่ายผู้รั้งที่รักษาก็มารับ ดูคั่งคับเรียกคนให้ขนของ
มาทักทายรายเราะเหมาะทำนอง โดยหมายปองประกอบกิจไม่บิดเบือน
จัดสุกรกุ้งไก่ให้อักโข เลี้ยงพวกโยธาใหญ่ใครจะเหมือน
สารพัดจัดจองไม่ต้องเตือน มิได้เชือนแชทำโดยจำนง
ทั้งฟืนใส่ไฟกำปั่นอนันต์นับ ได้พร้อมสรรพเสร็จสมอารมณ์ประสงค์
เร่งคนขนล้นเหลือใส่เรือลง ท่านจัดส่งเสร็จดังที่หวังใจ
พอสิ้นแสงสุริยามืดอากาศ ก็ลีลาศเลื่อนลาอัชฌาสัย
ออกนาวีรี่ร้อนไม่นอนใจ เขาเร่งไฟจัดจริงเรือวิ่งโชน
นึกคะนึงถึงชนตำบลนี้ ไยจึ่งชี้ชื่อฉาวยิ่งกราวโขน
ว่าลมลิ้นปลิ้นปล้อนพูดล่อนโลน ชิวหาโยนยาวตวัดปัดถึงกรรณ
เหมือนโคขะละสุระบุชื่อ อีกกระบือโคหักเขามักสรร
ฟังถ้อยคำร่ำว่าสารพัน เหมือนแกล้งกลั่นกล่าวเจาะจำเพาะเมือง
ไม่ไว้บ้างช่างตีชาว่าไปหมด มธุรพจน์แผดดุเจ็บหูเหือง
ช่างค่อนแคะแกะว่าทั้งห้าเมือง ไม่ทราบเรื่องราวตั้งแต่ครั้งไร
มาติดคำร่ำว่าน่าฉงน คนเหมือนคนค่อนว่าน่าสงสัย
หยิบชั่วฉาวกล่าวลือกันอื้อไป เฉพาะในห้าเมืองเคืองรำคาญ
รำพันพึมงึมงมระทมนิ่ง ถึงวัดสิงห์เสียงไก่พิไรขาน
ห้าทุ่มเศษนาเวศว่ายในสายธาร แล่นขนานน้ำดังไม่รั้งรอ
นิ่งระงับหลับไหลไปจนแจ้ง สุริย์แสงสอดส่องห้องเวหา
พ้นอ่างทองจองจดพจนา บางพุทราแขวงเมืองพรหมนิยมยิน
นามผู้รั้งนคเรศพิเศษศรี ตำแหน่งที่พระพรหมประศาสน์ศิลป์
มีสถานบ้านรายชายวาริน ถึงแขวงอินท์อันธการรำคาญใจ
พวกกำนันอำเภอเสมอหน้า แจ้งกิจจาจัดรับกองทัพใหญ่
เกณฑ์ผู้คนล้นหลามนั่งตามไฟ สว่างในแนวธารสราญแล
มีกำนันมาคอยนำร่องน้ำด้วย กลัวจะชวยชายลาดหาดกระแส
จะติดตื้นพื้นธารอยู่ดาลแด มาคอยแก้กันปักที่หลักตอ
สี่ทุ่มครึ่งถึงเมืองอินท์ถิ่นสำนัก หลวงบริรักษ์ปลัดเมืองดูเปรื่องปร๋อ
เรียกคนผู้กล่นกลัดมาอัดออ นั่งกองก่อกองเพลิงเถกิงการ
ครั้นรุ่งเช้าชาวเมืองเนื่องคำนับ ท่านแม่ทัพถามระบิลในถิ่นฐาน
ท่านเจ้าเมืองเรืองรมย์สมสำราญ กรมการราษฎรร้อนหรือเย็น
หลวงบริรักษ์ร่ำแจ้งแถลงเล่า ผู้ร้ายเร้ารุมราษฎร์พิฆาตเข็น
ดังกองกูณฑ์พูนร้อนไม่ผ่อนเย็น ต้องหนีเร้นรวมอยู่เป็นหมู่กัน
แล้วบอกว่าผู้รักษาสถานถิ่น คือพระอินทประศาลน์ศรนอนกระสัน
ป่วยเป็นไข้มิได้รับกองทัพทัน ให้นึกครั่นคร้ามผิดในกิจตน
ท่านแม่ทัพสดับรสพจนารถ อนุญาตยอมช่วยอำนวยผล
ให้สิ้นโศกโรคร้างห่างสกนธ์ เจริญชนม์ชื่นหน้าแล้วลาจร
แล่นนาวาคลาไคลดูไววิ่ง แลตะลึงเรือนเรียงเคียงสลอน
ขายฟักแฟงแตงกวาริมสาคร ถั่วงาซ้อนตวงใส่ในกระบุง
หลังเคหาป่าชะอุ้มเป็นพุ่มพฤกษ์ ดูพิลึกลอยเด่นเห็นกุหนุง
ว่าว่านยาสารพันอันจรุง จึ่งเรียกปรุงนามปรับเขาสรรพยา
ใบแขวงนี้มีกำนันมานำร่อง เห็นบ้านช่องชายฝั่งให้กังขา
จึงไถ่ถามนามตำบลชลชลา จดสาราเรียงเล่าเป็นเค้ามูล
หาดอาสาเหมือนเรามาในคราวนี้ ละไมตรีตรอมสวาทให้ขาดสูญ
อาสาศึกซ่อนรักหักอาดูร ละประยูรเยื่อใยมิตรไมตรี
ออกชื่อรักชักพะวงให้สงสาร พอหอมถึงบ้านอ้อนรายชายวิถี
คิดอ้อยอบกลบกลั่นควันอัคคี มาลีรื่นอารมณ์ชมสำราญ
เห็นเรือนตั้งบังป่าน่าขนลุก เรียกตาหลุกหลากใจเขาไขขาน
บางไก่เถื่อนเรือนขวางอยู่กลางลาน พอถึงบ้านศาลายาวให้เร้ารุม
ตะวันเที่ยงเปรี้ยงแดดแผดไถง ทั้งร้อนไอสติมอบประสบสุม
เข้าพักร้อนผ่อนประทังนั่งประชุม พอหายกลุ้มกลัดบอกให้ออกเรือ
แล่นระลอกกระฉอกฉานลมต้านหน้า ทั้งธาราแรงไหลหนักใจเหลือ
ใบจักรจ้ำน้ำเปื้อนกระเทือนเรือ วิบากเบื่อทวนน้ำขึ้นร่ำไป
ค่อยเลียบลัดตัดคุ้งมุ่งสถาน เขาบอกบ้านบ่อนตำบลชนอาศัย
ระยะนี้ชี้จำสวนลำไย เห็นหมู่ไม้โนทยานบันดาลดอน
เรือก็ไปใจก็งงพะวงหลัง มาถึงวังวนกระแสแม่ลูกอ่อน
เขาเล่าเรื่องเคืองเข็ญเป็นธิกรณ์ ว่าแต่ก่อนมีกุมภามันกล้าครัน
หญิงแม่ลูกอ่อนล่องนาวามาถึงนี้ กุมภารี่ร่าใส่ใจมหันต์
เข้าพิฆาตฟาดล้างเอากลางคัน เป็นเหยื่อมันม้วยมอดวอดชีวา
ได้ฟังเล่าเค้าข้อจระเข้ มันเกเรร้ายนักยิ่งยักษา
ประเดี๋ยวนี้มีหรือไม่ไฉนนา อยากดูหน้ามันให้ชัดอ้ายสัตว์พาล
เรือวิ่งไวไกลคุ้งยิ่งมุ่งหมาย ดูเรือนรายทางประเทศเขตสถาน
ถึงชัยนาทลาดแลกระแสลาน บ่ายประมาณสามโมงหยุดโยงเรือ
เข้าจอดฝั่งยังจวนเจ้าเมืองพัก เห็นพร้อมพรักไพร่นายมาหลายเหลือ
คอยคำนับรับรองมีของเจือ ทั้งข้าวเกลือสารพัดเขาจัดแจง
ท่านแม่ทัพทักถามตามระบอบ โดยประกอบราชกิจไม่คิดแหนง
สนทนาพาทีคดีแสดง ให้ทราบแจ้งจริงกระจ่างหนทางมา
แล้วถามถึงท่านเจ้าเมืองเรืองสถาน อยู่สำราญรมย์สุขหรือทุกขา
กรมการขานรสพจนา มีท้องตราโปรดให้ลงไปกรุง
จึ่งถามว่าได้ยินข่าวเขากล่าวหลาย ว่าผู้ร้ายรุกร้นปล้นกันยุ่ง
ต้อนวัวควายหลายคอกกันออกนุง ถึงรบพุ่งฆ่าฟันทุกวันคืน
เขาตอบว่าถ้าสมทบบรรจบจับ มันรู้ศัพท์เสไพร่หนีไปอื่น
แม้นไปน้อยลอยน้ำออกมายืน ประจุบันยิงปังไม่รั้งรอ
ต้องแตกถอยย่อยยับกลับมาหมด มันทรหดเหี้ยวฮึกคึกหนักหนา
ราวกับเสือเหลือสู้หมู่บีฑา ชาวประชาชนงกสะทกสะเทือน
สดับฟังนั่งคิดในจิตร้อน อ้ายโจรจรฉกาจใจใครจะเหมือน
เที่ยวราญรอนร้อนรำคาญทุกบ้านเรือน ฟังสะเทือนถอนในฤทัยทวี ๚ะ
๏ ครั้นทราบเสร็จแล้วลานาวาเคลื่อน ครรไลเลื่อนแล่นไปในวิถี
เห็นเรือรายขายค้าในวารี ที่คู่มีเมียงชิดสะกิดเกา
พระสุริยงลงลับพยับเมฆ ให้วิเวกวาบทรวงนั่งง่วงเหงา
วิหกเหินเกริ่นร้องก้องลำเนา เรียกคู่เคล้าเคลียคลอเสียงจอแจ
พินิจนกอกร้อนอาวรณ์เทวษ แรมทุเรศเริศร้างมาห่างแห
อกเอ๋ยอกนึกอายนกมาสอบแล ให้ท้อแท้ถอนฤทัยอาลัยลาน
เรือก็เรื่อยเฉื่อยฉิวละลิ่วไล่ ถึงท่าไม้มองดูหมู่สถาน
ลุบ้านกล้วยขวยจิตคิดรำคาญ เสียงฆ้องขานอุโฆษที่งตะบึงไป
คอยเรียกเรือเหนือค้าสารพัด ใครหลีกลัดไล่จับไปปรับไหม
เขาผูกถือซื้อช่วงเงินหลวงไป ตั้งโรงใหญ่ยาวเคียงอยู่เรียงราย
พอเลี้ยวแหลมแง้มที่ภาษีตั้ง เห็นกุดังเด่นแควกระแสสาย
ดูสูงกร้างทางท่าน่าสบาย เครื่องจักรรายเรียงวางไร้กลางโรง
ทำสะพานซานแซ่กระแสลาด แลประหลาดลานตาดูอ่าโถง
ใช้เครื่องจักรชักชุงพยุงโยง เข้าในโรงเลื่อยรอเสียงกรอกรู
แลริ้วริ้วรี่เรื่อยชะเฉื่อยแล่น พอล่วงแด่นอัสดงลงรุบรู่
ขมุกขมัวมัวกลุ้มคลุ้มสินธู พินิจดูฝั่งเฝื่อระเรื่อดำ
ไม่กระจัดชัดแน่แลเสียเปล่า เป็นเงาเงางุ้มแง่แลฉงำ
เหมือนรูปกินรินร่อนยืนฟ้อนรำ อสูรกำวาสุกรีทีดังเป็น
รูปสิงห์สัตว์หยัดยืนทะมึนมาด แลประหลาดหลากครันเหมือนฝันเห็น
น้ำค้างย้อยพรอยพราวนั่งหนาวเย็น เนตรเขม้นมุ่งชมไม่สมปอง
แต่ผู้นำจำประเทคเขตสถาน ตำบลบ้านบอกซัดไม่ขัดช้อง
เห็นเนินลาดหาดนูนขึ้นมูนมอง เรียกหาดกองสินตั้งฝั่งประจิม
แต่ในลำน้ำขานย่านเปาหลอด สุดจะสอดเสาะถามความหยุมหยิม
หรือเป่าหลอดเลียบกระสายมารายริม ท่องเที่ยวลิ้มโลมชู้ที่คู่เคย
ครั้นสมรักสมัครมั่นจึ่งผันผาย มาสู่สายสวาทเรียงเคียงเขนย
ได้กองสินที่หินหาดเพราะมาดเชย จึ่งได้เลยร่ำลือเรียกชื่อมา
หรือกระไรไม่แน่เป็นแต่นึก อย่าเพิกทึกถ้อยคำที่ร่ำว่า
ถึงประจำรังแถลงแจ้งกิจจา ว่ากุมภาพาลมีที่วนวัง
สามยามย่ำร่ำพ่วงจนง่วงเหงา ถึงหาดเสาหยุดจักรเข้าพักฝั่ง
พบกองทัพพระพาหลดลประดัง ทอดสะพรั่งพร้อมหน้าอยู่ราราย
เข้าจอดเรียงเคียงข้างทางสะท้อน อนาถนอนนึกไปแล้วใจหาย
ประเดี๋ยวหลับประเดี๋ยวตื่นไม่ชื่นกาย จนรุ่งสายสุริยายิ่งอาวรณ์
ต่างตื่นตารารายร้องทายทัก อุตส่าห์หักเรื่องนิราศคลาดสมร
สนทนาพาทีมีสุนทร พอได้ผ่อนพักตร์ตรมอารมณ์เรา
ที่เรือจอดทอดท่านั้นหน้าวัด มีขนัดสงฆ์อยู่เชิงภูเขา
จึ่งไถ่ถามอารามรายชายลำเนา บอกว่าเขาวัดท่าธรรมามูล
มีพระพุทธสุทธิ์เลิศประเสริฐฤทธิ์ อันสถิตที่โบสถ์เป็นโสตศูนย์
ใครเคารพนบพระอันจรูญ แล้วได้พูนสวัสดิ์จิตเป็นนิจรันดร์
ครั้นแจ้งใจไคลคลาขึ้นอาวาส ตั้งจิตมาดหมายความตามกระสัน
เคารพสงฆ์ทรงศิลาศรัทธาธรรม์ พระพรหมจรรยารมณ์อุดมดี
ดูอร่ามงามสง่าหน้าบรรพต อุโบสถสุกใสประไพศรี
บันไดสอก่อจรัสคันคีรี เป็นนาคีเคียงทอดตลอดลาน
ขึ้นบนชั้นบันไดด้วยใจหวัง จนกระทั่งถึงศาลาหน้าวิหาร
ระหวยหอบบอบกายอยู่ดายดาล พอลมพานพัดชื่นระรื่นรมย์
จึ่งจุดธูปเทียนสมาบูชาพระ คารวะนอบนบประสบสม
พินิจนั่งภาวนาตั้งอารมณ์ โดยนิยมยินรสพจนา
ลำเร็จกิจพิศพุทธรูปพระ ลักษณะทอดเทดังเลขา
สุวรรณวามห้ามสมุทรสุทธิ์ศักดา ที่กลางฝ่าพระหัตถ์ซ้ายมีลายลอย
เป็นรูปจักรทักษิณแสนพิเศษ จะสังเกตก็กลกับก้นหอย
บางคนคิดจิตประสงค์ที่ตรงรอย เอาผี้งย้อยยัดหยอดเข้าถอดลาย
เขาเลื่องชื่อลือพระธรรมจักร ตามลายลักษณ์ลอยวิไลเหมือนใจหมาย
ทั้งศักดิ์สิทธิ์ฤทธีมีมากมาย บ้างยกบายศรีมาตั้งนั่งประวิง
เขาลือข่าวกล่าวฤทธิ์ประสิทธิ์เหลือ พวกชาวเหนือนับถือหลายทั้งชายหญิง
ใครขัดสนบนไว้แล้วได้จริง เหมือนเทพสิงสถิตพระปฏิมา
อันตัวเราเล่าก็พรากมาจากนุช ไม่เสื่อมสุดสวาทสิ้นถวิลหา
ขอเชิญเทพเทวฤทธิ์คิดเมตตา จงรักษาเสน่ห์นางอย่าจางจร
แล้วเลยลาคลาคลาดค่อยยาตรย่าง ขึ้นบนโขดเขินเนินสิงขร
ค่อยเลียบเลาะเกาะลัดดาอุตส่าห์จร ขึ้นบนก้อนโขดเขาลำเนาเนิน
ถึงยอดผาตาชมพนมมาศ เห็นอาวาสเวิ้งว้างอยู่กลางเถิน
พังทลายรายราบบหน้าเนิน ค่อยเลียบเดินดูดาษอนาถใจ
รูปพระองค์ทรงพุทธสุทธิ์สวัสดิ์ ที่โปรดสัตวเศร้าหมองให้ผ่องใส
มาหักกลิ้งทิ้งร้างอยู่กลางไพร เห็นสุดใจที่จะจัดเหลือศรัทธา
จะนาฏเนินเผินไศลก็ใหญ่ยืด ดูเป็นพืชพุ่มทุมาลย์ชานภูผา
นึกเกรงสัตว์บำหยัดยั้งถอยหลังมา ลงนาวาคิดวนกระมลมอง
ตัวจะไปใจจะมาให้ว้าหวาด นึกอนาถนั่งคิดจิตสยอง
พร้อมนายไพร่ในนาวาคณานอง เป่าแตรร้องสั่งให้รีบไคลคลา
สะพรึบสะพรั่งนั่งแลกระแสสินธุ์ เสียงวารินแรงพานดังฉานฉ่า
ในจิตเสียวเหลียวหลังคอยตั้งตา แล่นนาวาหวั่นไหวตั้งใจมอง
เห็บปลาโผนโจนน้ำแล้วดำดั้น กระซิบกันว่ากุมภีล์ทีสยอง
หัวสักศอกหลอกเล่าให้เฝ้ามอง โดยคะนองนิกเล่นเช่นเดาเดา
ถึงบ้านชีตักคะนนตำบลบ้าน แล้วถึงย่านใหญ่นามมะขามเฒ่า
ถัดถัดรายหมายมุ่งคุ้งตะเภา แนวลำเนาเนื่องมาเรียกท่าซุง
ก็สิ้นแคว้นแดนพิสัยเมืองชัยนาท นิ่งอนาถนึกคิดจิตสะดุ้ง
เรือยิงไปใจยิ่งดาลละลานลุง เหมือนชลพลุ่งพล่านล้นที่กลกวน
ขอคุณพระธรรมจักรหลักชัยนาท จงบำราศร้างทุกข์สุขสงวน
อย่าให้มีสรรพภัยสิ่งไรกวน จงมีส่วนเกษมสันต์ทุกวันคืน
ล่วงตำบลพ้นไปใจวิตก เห็นเรือนรกโรยราไม่ฝ่าฝืน
มีแต่ชื่อกระพือพงอยู่ยงยืน จึ่งไม่ชื่นชมกล่าวให้ยาวนาน
แล่นไปพ้นตำบลบ้านย่านระยะ เข้าเขตมโนรมย์ชมสถาน
ริมฝั่งรายชายเฟือยออกเลื้อยลาน ยอดตระการก่อรายชายวารี
ถิ่นตำบลชลอยู่ดูวิโยค บ้านวัดโคกเคียงตั้งฝั่งวิถี
ดูหงอยเหงาเงียบสงัดริมนที ประเดี๋ยวลี้ลับตำบลพ้นคามา
พอบ่ายแสงแดงสอดยอดไศล ถึงเนินไผ่พุ่มตั้งริมฝั่งฝา
ลัวนกอไม้ไผ่แถวแนวชลา ถัดถึงท่าแขกคามนามภิปราย
ว่าเดิมทีมีแขกมาสร้างบ้าน แล้วทิ้งร้านโรงร้างไปห่างหาย
กลับเป็นป่าหญ้าเฝือเหลือระคาย บรรยายแยะแยกแขกตะนี
ศีรษะดาลบ้านรายริมชายฝั่ง ดูรุงรังริมแควกระแสสี
มีเกาะขวางกลางวนชลธี ก็แล่นลี้หลีกล่วงในทรวงตรอม
ประเดี๋ยวสุขประเดี๋ยวโศกด้วยโรครัก จนเรือจักรแล่นมาถึงท่าขอม
มิได้วายรายตรมระงมงอม ยิ่งเหนี่ยวน้อมเหมือนหนึ่งน้าวให้ร้าวรึง
โรคอะไรในร่างพอร้างได้ อันโรคใจเจ็บตันให้อั้นอึ้ง
ยิ่งถอนถ่ายก็ไม่ถูกเหมือนผูกตรึง เห็นเต็มตึงติดตันไม่บรรเทา
ทอดระทมตรมอุราลีลาลาศ ถึงบ้านหาดมะตูมคิดในจิตเหงา
มะตูมผลหล่นหอมถนอมเนา ไม่เทียบเต้าตูมอุบลพี่คนเดียว
ถึงละเมาะเกาะเทโพโอ้มัจฉา ไม่เห็นพาพวกพ้องขึ้นท่องเที่ยว
หลบลงชลวนกันชมอยู่กลมเกลียว เรามาเดียวมิได้เชยก็เลยจร
ถึงอาศรมชมระย้าพฤกษาไสว เรียกวัดใหญ่ภิญโญสโมสร
แล่นครรไลไปจนสิ้นทินกร ยิ่งอาวรณ์หวั่นใจกระไรเลย
ถึงจวนจอดทอดเทียบเรียบระยะ เรียกเมืองมโนรมย์นิคมเฉลย
คิดคำเขาเล่านิยายภิปรายเปรย ว่าชายหนึ่งเคยขี้เมาเหล้ากัญชา
มันโหยกเหยกเกกเก่งข่มเหงราษฎร์ ทำบังอาจเบียดเบียนเสี้ยนเคหา
ชนระบือชื่อฉาวราวกับกา ชาวคามาหมายจะตีเอาชีวัง
ถึงคราวดีได้ช้างศรีเศวตรผู้ นำมาสู่เสร็จสมอารมณ์หวัง
ถวายพระองค์ทรงศักดิ์นครัง จึ่งโปรดตั้งให้เป็นพระมโนรมย์
ครองแดนดินสุดสิ้นเสียงช้างร้อง ประทานของภาชนะเครื่องตะถม
ประดับยศงดงามตามนิคม เป็นบรมสุขครันแต่นั้นมา
พลางรำพึงถึงจะไปในคราวนี้ ปราบไพรีโจรสิ้นทั้งสังขา
แม้นเหมือนหมายได้นายมันมัดมา เช่นคชาเฉลิมองค์พระทรงธรรม์
คงโปรดเปลื้องเลื่องยศปรากฏหล้า ในใต้ฟ้าเฟื่องลือหฤหรรษ์
ได้สมสุขชุกชื่นทุกคืนวัน นึกรำพันพาไปพอใจเพลิน ๚ะ
๏ ฝ่ายผู้รั้งกรมการขนานหน้า พร้อมกันมานบนั่งริมฝั่งเผิน
ตั้งกองก่อเพลิงพลางสว่างเนิน แลดูเพลินโพลงไปในนที
ท่านไถ่ถามตามนุสนธิ์แต่หนหลัง พอได้ฟังคำปากเป็นศักดิ์ศรี
ได้ทราบเหตุเขตแคว้นแดนบุรี ตามคดีสดับฟังนั่งคะนึง
พออาทิตย์อุทัยเรือไฟออก แล่นระลอกลั่นสล้างเสียงผางผึง
ถึงสถานสะพานหินถิ่นสำคะนึง นั่งตะลึงแลอาลัยมิได้ชม
จนถึงบ้านหาดทะนงเฝ้าจงจิต ทะนงคิดหาคู่ที่สู่สม
เป็นเพื่อนไร้แรมเรื้อชิดเชื้อชม ที่ระทมก็จะเบาบรรเทาลง
รู้ลึกยั้งตั้งสติดำริตรึก ไฉนนึกทะนงจิตพิศวง
มาสงครามห้ามสวาทนาฏอนงค์ เราควรคงคำมหาพระอาจารย์
ครั้นคิดกลับเกลื่อนรักพอหักเหตุ ดูนาเวศวิ่งเพลินเกินสถาน
แลริ้วริ้วทิวรุกขาริมท่าธาร ถึงหมู่บ้านบอกระยะศีรษะยาง
สิ้นประเทศเขตข้างเมืองช้างร้อง ได้จดจองบ่อนเบาะเฝ้าเสาะสาง
ล่วงเข้าแขวงพยุหะจังหวะวาง ตำบลร้างรกที่ไม่มีชน
นั่งถวิลจินตนาถึงท่าอ้อย ลูกค้าคอยซื้อรับกันสับสน
ท่าชาวดงลงกระทั่งถึงฝั่งชล เลยตำบลบ้านไปตั้งใจจร
จวบถึงจวนพยุหะดูเทวษ หน้าบุเรศโลเลแทบเทถอน
ดูรุงรังช่างกระไรไม่อาวรณ์ เสือแทบซ่อนซุ่มได้ที่ในจวน
ไม่รอจักรพักไฟไปเตลิด เผอิญเกิดวายุพัดกลุ้มกลัดหวน
เรือโยงยุดฉุดมั่นเข้าพันพวน กำปั่นป่วนลมปัดพัดตะแคง
แล่นตะบึงถึงบางผีโดยรี่รุด พยุหยุดยั้งคิดในจิตแหนง
กลัวผีหลอกออกขวางเอากลางแปลง เร่งไฟแรงจักรจ้ำถึงน้ำทรง
ดูเวิ้งรุ้งคุ้งใหญ่น้ำไหลอ่อน จึ่งเรียกผ่อนผันนามตามประสงค์
เห็นอ่อนอับจับจำเป็นคำคง เรียกน้ำทรงแต่ไม่นิ่งจริงเหมือนนาม
แล้วล่วงเข้าย่านมัทรีมีคำหมาย คุ้งกระสายยาวเยิ่นคิดเขินขาม
ประมาณมากยากแท้ไม่แน่ความ จึ่งเลื่อนลามเล่าเหตุเทศน์มัทรี
พอเทศน์จบครบกำหนดก็หมดคุ้ง จึ่งได้มุ่งหมายนามตามวิถี
แต่จะขึ้นหรือล่องท้องนที ก็ไม่มีปลายต้นเห็นจนใจ
จึ่งคิดตอบสอบนาฬิกาตั้ง เดินกระทั่งท้ายคุ้งมุ่งสมัย
เรือไฟโยงโมงหมดกำหนดใจ เข้าย่านใหญ่วังปราบทราบกิจจา
ว่าเดิมทีมีกุมภามันร่าร้าย เที่ยวแหวกว่ายวารินกินมัจฉา
เห็นเรือขึ้นล่องลงในคงคา มันแกล้วกล้ากลอกใกล้เข้าไล่คน
กินเสียมากยากยับนับไม่ถ้วน ต่างคนป่วนปั่นคิดจิตฉงน
คิดพิฆาตมาดล้างให้วางชนม์ มันคงทนแทงฟันไม่บรรลัย
มีบุรุษสุทธิ์ประสิทธิ์วิทเยศ เรื่องพระเวทวรฤทธิ์ประสิทธิ์สัย
แต่งแพหยวกผูกยันต์ป้องกันภัย เคารพไทยธรนิศร์ตั้งกิจกรรม
แพลอยดลวนวังดังถวิล วักวารินเรียกให้ออกมานอกถ้ำ
พลางอ่านมนต์บ่นงึมเสียงพึมพำ บริกรรมชื่อประชุมหมู่กุมภา
จระเข้ร้อนนอนน้ำเหมือนสำลัก พ่นไพลพลักโผล่ลำพองคะนองกล้า
หมอก็หาญชาญกลด้วยมนตรา เรียกกุมภาพาลเคียงเข้าเรียงรอ
เร่งสาดน้ำพร่ำคาถาตาปริบปริบ แล้วเยื้องหยิบด้ายยันต์เข้าพันศอ
ผูกกระหวัดรัดหัวมันกลัวงอ เอามีดหมอจดสมองมันร้องคราง
กระโดดดิ้นสิ้นกำลังไพลพลั่งพล่าน ลงกบดานสูญไปมิได้สาง
ชนจึ่งลือชื่อแถลงแสดงทาง เรียกบ้านบางปราบชี้คดีมา
แล่นเรือพลางทางจำในคำกล่าว ถึงยางขาวทอดทัพเข้ากับท่า
ต้นยางเคียงเรียงรายชายคงคา ทัศนานวลยางสล้างแล
หยุดทัพค้างสร่างไสครรไลแล่น ยลเขตแคว้นแควชลาท่ากระแส
มีกรวดรายชายลาดหาดสะแก สลับแลต้นสล้างริมทางธาร
ถึงหาดตะนิวแนะชี้คดีเล่า ว่ามีเต่าขึ้นไข่ในละหาน
ทำรอยเรียบเทียบถูให้ดูลาน แกล้งทำมารยาหวังระวังภัย
คิดถึงสัตว์จัดแสร้งแต่งวิมุต มิให้มนุษย์รู้จักจะลักไข่
เราพรากน้องหมองมาด้วยอาลัย ยังมิได้ซ่อนรักเลยสักวัน
รำพึงพาอาลัยเรือไฟแล่น ล่วงเข้าแดนเมืองนครสวรรค์
ริมฝั่งรื่นพื้นรุกขาสารพัน เร่งกำปั่นเร็วไปใส่ไฟฮือ
บ้านบางฉ่าตั้งเรียงเคียงระยะ บ้านโกรกพระยางตลาดเขาขานชื่อ
บางชะพลูบ้านหว้าท่าสะตือ บ้านเกาะชื่อช่างเหมาะเห็นเกาะมี
ดูโดดเด่นเผ่นพินิจสถิตเสถียร บ้านตะเคียนเลื่อนรายชายวิถี
บ้านยางโทนต่อแถวแนวนที ก็รีบรี่เลยบางทางจรัล
ตะวันบ่ายชายแสงแฝงพฤกษา ก็ถึงหน้าเมืองนครสวรรค์
เข้าจอดเทียบเรียบเรียงเคียงเคียงกัน ดูเป็นหลั่นหลามหน้าท่าบุรินทร์
มีทำเนียบเทียบรับแม่ทัพตั้ง อยู่บนฝั่งบูรพาน่าถวิล
ดูเรียบรื่นพื้นพูนเขามูลดิน สถานถิ่นเรือนรายริมชายชล
พวกนักการงานเร่งระเบ็งเสียง เขากวาดเกลี้ยงเกลื่อนถางทางสถล
แล้วกรมการเดินตามมาสามคน ถึงเรือกลก้มคำรบนอบนบเรียบ
เชิญขึ้นนั่งยังทำเนียบที่เรียบรับ ให้พักทัพทอดยังฝั่งเฉนียน
ท่านรับเชิญเจริญคำเขาร่ำเรียน ขึ้นบนเตียนที่ตั้งแล้วสั่งพลัน
ให้นายงานการเสบียงเลี้ยงทหาร ตรวจข้าวสารสืบสาวดูยาวสั้น
ทางนทีที่จะไปอีกหลายวัน คิดกะกันให้ตรงลงบัญชี
พนักงานคำนับรับคำสั่ง มาคิดตั้งตั๋วฎีกาตามหน้าที่
เบิกสำเร็จเสร็จส่งลงนาวี หยุดราตรีตรอมใจอยู่ในเรือ
พวกกรมการเกณฑ์พลมากล่นกลุ้ม นั่งกองสุมเพลิงพลางสว่างเหลือ
เสียงตีฆ้องมองยามคอยห้ามเรือ มิให้เจือแจวเคียงมาเมียงมอง
จนอาทิตย์อุทัยแสงขึ้นแจ้งจ้า ครรไลลาแล่นไปดังใจหมอง
ถึงเกาะเห็ดเล็ดล่วงในทรวงตรอง เกาะมากองกีดขวางทางอยู่ไย
ที่ริมธารชานกระสินธุ์เป็นถิ่นค้า เรียกวัดท่าชับมองดูผ่องใส
หนทางดอนจรลงท่าชลาลัย ถัดขึ้นไปริมทางเรียกบางปรอง
ออกชื่อบางหมางกระมลให้จนจิต ไฉนคิดค่าคำร่ำสนอง
เหมือนมิ่งมิตรสนิทในฤทัยปอง เคยปรองดองเด็ดอาลัยมาไกลกัน
วิโยคยากพรากนวลมาครวญคร่ำ ถึงปากน้ำโพทอดจอดกำปั่น
ด้วยน้ำตื้นพื้นบางทางจรัล ต้องผ่อนผันถ่ายขนปรนโยธิน
เรือที่ไปใหญ่ยาวในคราวนั้น ชื่อกำปั่นเวสตาน่าถวิล
เครื่องจักรจัดพัดพาไม่ราคิน ดังจะบินแบกไปโดยใจปอง
มาติดตื้นฟื้นชลเห็นจนจิต จึ่งต้องคิดผ่อนปรนให้ขนของ
เที่ยวเช่าเรือเหนือมาได้ดังใจปอง โดยลำยองใหญ่ดีทั้งสี่ลำ
ยังเหลือล้นปรนจ่ายเรือนายทัพ บรรทุกปรับเพียบประแทบจะคว่ำ
ยังแต่เกลือเหลือมากชนจากลำ มอบให้กำนัลไว้ในตำบล
นาวาแหวดแอดเดอรีขี่สำหรับ ก็ถ่ายรับฝรั่งครูดูสับสน
ต่างโยกย้ายถ่ายถอนจัดผ่อนปรน ไปนั่งจนใจราอยู่หน้าเรือ
ในลำท่านแม่ทัพขี่มีระยะ ทางศีรษะโล่งลมระทมเหลือ
หนาวฤดูพรูพร่างน้ำค้างเจือ คะนึงเนื้อนุชนาฏไม่คลาดคลาย
หมองอารมณ์ตรมอุรานักหนานัก สุดจะหักอาดูรให้สูญหาย
เห็นเรือแพแม่ค้าอยู่ราราย เขาซื้อขายขึ้นล่องท้องนที
ที่อยู่แพแลกระสันวรรณวิลาส เอี่ยมสะอาดเอกนางสำอางศรี
ดูจิ้มลิ้มยิ้มย่องต้องฤดี ช่างเซ้าซี้แนบสนิทดูชิดชม
เห็นคู่เขาเคล้าคลอนั่งรอพักตร์ ระเริงรักเรียงคู่ที่สู่สม
สรวลระริกซิกซี้คะรี้คะรม แต่เราตรมเตรียมช้ำระกำกาย
แกล้งทำเชือนเลือนแลแพสินค้า เห็นมีปลาเต้าแตงตกแต่งขาย
ทั้งใต้ชันน้ำมันยางตุ่มวางราย น้ำตาลทรายยาสูบธูปไทยจีน
บ้างนุ่งขาวสาวค้าเนื้อปลาสด ช่างขี้ปดปิดซื่อไม่ถือศีล
ประชันประชดสบถสะบัดพูดปัดปีน ถึงเป็นจีนใจก็ทราบเรื่องบาปบุญ
ค้าเม็ดบัวหัวผักกาดกวาดขึ้นไว้ ของข้างใต้ติดเจือมาเกื้อหนุน
เกลือพริกไทยใบชาปลาสีกุน ชุลมุนมุ้งม่านดูลานตา
ผ้าลายตั้งทั้งกุลีมีแพรหลิน ทุกสิ่งสิ้นสารพัดเขาจัดหา
ของข้างเหนือเหลือหลามตามกันมา เป็นทางท่าสมทบแควกระแสลง
ที่บนฝั่งตั้งศาลขานม้าล่อ เจ๊กไม่ฮ้อซวยเสียหาเฮียก๋ง
ปล่อยผมเปียเคี้ยปนเถาคุกเข่าลง ให้โต้หลงจีนตึ๋งไปตึ้งซัว
แม้นขายหมูอู้จี่มีมั่งคั่ง หางิ้วหนังมาคูเล่นเช่นเจ๊สัว
ตั้งโต๊ะเลี้ยงเหล้าหมูอู้ซิมกัว ยกเป็นตั้วยี่ใหญ่ใช้นิ้วมือ
ชมตำบลจนค่ำต้องจำค้าง ใกล้สว่างนอนหนาวลมว่าวหวือ
ไม่มีฝาผ้าบังตั้งกระพีอ เสียงฮือฮือหวนให้ใจคะนึง
แรมนิราศคลาดนุชก็สุดยาก ลมยังกรากโกรกพัดเอาอัดอึ้ง
น้ำค้างหยาดสาดซํ้านอนรำพึง นิ่งคะนึงหนาวอุระจนอรุณ ๚ะ
๏ จะกล่าวฝ่ายนายบ้านปานเศรษฐี แกมาที่ท่านแม่ทัพสนับสนุน
อะไรขัดจัดเกื้อช่วยเจือจุน เหมือนดังคุ้นเคยรู้จักมาทักทาย
จึ่งไถ่ถามตามไมตรีที่มาทัก ได้ประจักษ์แจ้งเค้าเล่าขยาย
เดิมเป็นคนจนยากลำบากกาย คิดผันผายผ่อนมาตั้งหากิน
อยู่ปากน้ำโพนี้สิบปีกว่า ตั้งกองค้าขายรับได้ทรัพย์สิน
ปีกลายนี้มีศรัทธาไม่ราคิน ด้วยจิตจินตนาการมานานครัน
สร้างอาศรมโดยนิยมบนยอดเขา แลเสลาลอยเมฆได้เสกสรร
ชี้ให้ดูอยู่บนดอนสิงขรคัน นั่งชมบรรณศาลาอยู่หน้าเรือ
แต่ยังร้างค้างราด้วยหน้าฝน จะแบกขนของก็ยากลำบากเหลือ
จึ่งรวมรอห่อหุ้มไว้คลุมเครือ จนเต็มเฝือแฝงตาลัดดาปน
พอดกแล้งแห้งน้ำจะร่ำรุด ให้สิ้นสุดแล้วลุการกุศล
ไว้เป็นทรัพย์สำหรับกายเมื่อวายชนม์ เป็นถนนนฤพานกันดารดง
ท่านแม่ทัพสดับสารตาปานบอก ศรัทธาออกสิบสองบาทอังคาสสงฆ์
แกโมทนาสาธุโดยจุจง ให้พรส่งเสริมศรัทธาสถาพูน ๚ะ
๏ ครั้นเสร็จสรรพเคลื่อนทัพออกจากท่า แล่นนาวาหวังสวาสดิ์ไม่ขาดสูญ
เรือยิ่งไปใจยิ่งเฝือเหลืออาดูร ยิ่งเพิ่มพูนรักร่ำระกำโกย
เห็นต้นเลาเสลาดอกออกกำดัด พระพายพัดพาลกระพือพาฮือโหย
ละอองขาวราวสำลีประชีโปรย ประดาษโดยแดนชลหล่นละลาย
ถึงแหลมโหลโร่รุ้งเป็นทุ่งกว้าง เห็นนกยางขยอกยืนกลืนอาหาร
เสียงซอแซแซ่ซื่นรื่นสำราญ ตะลึงลานแลรายชายสาคร
วิเวกว้าชลาเหลิงกระเจิงไหล ถึงบ้านใหม่เรือนหมู่ดูสลอน
พรึกสะพรั่งบังศรีรวีวร ไม่รุ่มร้อนเหมือนเราเร้าฤดี
นาวาวิ่งยิ่งพูนอาดูรเด็ด ถึงบอระเพ็ดพิศบ้านสถานที่
เห็นสาวสาวชาวบ้านปลาดูราคี ผิวฉวีหมองคล้ำไม่น้ำนวล
ด้วยถูกแดดแผดสกนธ์จึ่งหม่นหมอง เพราะลงหนองจับปลาดูน่าสรวล
เกลือกแต่ตมงมแต่ปลักไม่รักนวล สุดชวนชมแก้วตาให้พาเพลิน
ที่ริมบ้านธารดูมีคูร่อง ไปออกช่องชานหนองเป็นคลองเขิน
ถึงดอนคาท่าสถานกันดารเดิน นึกดำเนินความที่เขาเล่าแสดง
ว่าใครใครอยากจะใคร่กินเต่า ไปอยู่เขากะลาวาจาแจ้ง
อยากกินปลาสารพันจำนรรจ์แจง อยู่ตำแหน่งบอระเพ็ดเป็นเสร็จกัน
อีกคำว่าถ้าจะชมสมสนุก ให้เป็นสุขสะสมภิรมย์ขวัญ
ไปสถานบ้านดอนคากลางอารัญ ชมนางครรไลลาตักวารี
ว่าทางไกลไปเปลี่ยวคอยเที่ยวตัก ประสบพักตร์อนงค์ชมประสมศรี
กำเริบฤทธิ์อิศโรเรื่องโลกีย์ ฟังคดีดูอุบาทว์ประหลาดความ
นึกกังขาถ้าจะเป็นก็เห็นผิด ใครหนอคิดหลากผู้สู่สนาม
เป็นโคถึกออกทุ่งมุ่งตะกลาม เที่ยววิ่งตามติดสุรางค์นางกระทิง
คิดไปพลางทางแลเห็นแควแยก อกจะแตกเตือนสะดุ้งนึกสุงสิง
เหมือนรักแยกแตกบำราศอนาถจริง เฝ้าคิดกริ่งตรึกถามนามภิปราย
กำนันนำร่ำชี้คดีเล่า เขารู้เค้าเขตขัณฑ์ที่มั่นหมาย
ซ้ายนาวาน้ำเวิ้งปากเชิงกราย หนทางผายผันเนื่องเมืองกำแพง
เราไปขวาชลาลานเขาขานไข เมืองพิชัยชี้จดไม่หมดแขวง
เนื่องชโลโยนกยกมาแจง สุดจะแจ้งจดระบิลให้สิ้นกลอน
พลางชมเชิงชลาลัยหญ้าใบเขียว สามหาวเดียวดอกเด่นเห็นสลอน
หญ้าพองลมนมแนบแกมนมงอน แฝงกอบอนใบระบัดสลัดลม
แมลงหวี่หวีหวู่บินฉู่ฉ่า ปลาสร้อยส้าเสือแฉลบแอบประสม
ว่ายระริกกระดิกดูเป็นหมู่กลม ปลาเสืออมชลปรีดฉีดแมงวัน
พลัดตกผลอยฝอยฟุ้งดูยุ่งแย่ง ปลาเค้าแว้งวูดวาดไล่ผาดผัน
ชะโดต้องล่องลอบประกอบกัน ระลอกลั่นไล่คว้าฮุบซ่าซิว
ชมมัจฉาพาเพลินถึงเนินไผ่ เรียกบ้านไร่แลเป็นหลั่นกำปั่นฉิว
เห็นแต่ไม้ไผ่แนวเป็นแถวทิว ดูริ้วริ้วเรือรุดไม่หยุดรา
ถึงทับกฤษคิดกริ่งนิ่งอนาถ เสียงวูดวาดแหวกว่ายกระสายซ่า
สยองสยดระทดทุ่มว่ากุมภา แล่นนาวาหวั่นใจกลัวภัยพาล
แลดูชนบนฝั่งที่ตั้งอยู่ ไม่เป็นหมู่โรเรเคหฐาน
ช่างเต็มแกนแสนเข็ญเห็นกันดาร เหลือทนทานทับกระท่อมดูกรอมกรอย
พอบ่ายสามนาฬิกาก็ราจักร เข้าหยุดพักพลที่ไร่ไผ่หยอกหยอย
เห็นคนเฒ่าเหย่าย่องช่างตองตอย แกแอบต้อยตาตั้งมานั่งมอง
จึ่งปราศรัยไถ่ถามตามสงสัย บ้านอะไรไร่ป่าตาเจ้าของ
แกช่างตอบชอบอารมณ์ให้สมปอง ตะโกนร้องบอกดังว่าวังนา
ท่านชอบใจให้หิรัญอันหนึ่งบาท กลับพาญาติเหลนหลานคลานมาหา
ท่านก็ให้เฟื้องสลึงถึงราคา ตามศรัทธาทั่วถ้วนพอควรการ
๏ ครั้นสุรีย์ศรีแสงฉายชายพฤกษา แล้วก็ลาแล่นน้ำลำละหาน
จนเย็นย่ำค่ำยลอนธการ ล่วงทิวารลับตะวันจันทร์กระจาย
ล่องสว่างทางครรไลพอได้ทุ่ม เข้าจอดซุ่มทัพค้างบางสวาย
กำดัดดึกเดือนดับระงับกาย พอสางสายสุริยันก็ครรไล
เรือระรี่เรื่อยมาบางปลากด เลี้ยวคุ้งคดโคกม่อมีกอไผ่
ระยะย่านบ้านบางนั้นห่างไกล แต่บอกไว้วางเค้าสำเนาทาง
ถึงเกยชัยใจเต้นเห็นศาลเจ้า เดิมเขาเล่าว่ากุมภาหน้ามันด่าง
อยู่ตำบลวนนี้เป็นที่ทาง เที่ยวไล่ล้างคนกินสิ้นอนันต์
เห็นเรือล่องหนุนล่มให้จมน้ำ แล้วคาบซ้ำในกระสินธุ์สิ้นอาสัญ
ไม่อาจล่องเรือแพมาแจจัน เพราะกลัวมันจะมากินสิ้นชีวี
ครั้นนานมาเขาจึ่งฆ่ามันลงได้ ตัดหัวไว้วางประจานบนศาลผี
ยังตั้งอยู่ดูสลัวหัวกุมภีล์ จึ่งได้มีชื่อขนานศาลเกยชัย
นั่งรำพันจนตะวันลงเฝือแฝง ถึงวัดชมแสงหยุดจักรพักอาศัย
รุ่งอรุณเร่งบอกออกเรือไฟ แล่นเข้าในแขวงพิจิตรคิดจำนวน
เขตซึ่งต่อล่อแหลมอยู่แง้มซ้าย มีเรือนรายริมฝั่งกำมังด้วน
มะขามเรียงเคียงวังกร่างจะร้างซวน สุดจะครวญครุ่นชี้คดีแดน
เนินมะกอกบอกย่านอีกบ้านไร่ เป็นป่าไม้มุ่นหมกหญ้ารกแสน
ถึงบ้านช้างร้างชนด้วยกลแกน ก็ล่วงแล่นลับไปอาลัยเลย
โอ้นิราศคลาดรักอลักเอลื่อ มาแล่นเรือซมรกโอ้อกเอ๋ย
เห็นเรือนไหม้ไฟล้มลมรำเพย เถ้าระเหยหอบฮือกระพือจร
อันเรือนเราเล่าก็ไร้มิได้เฝ้า จะถูกเถ้าทัพระคายสายสมร
ทั้งร้อนเถ้าเร้ารักหนักอาวรณ์ ไหนจะผ่อนพ้นโรคที่โศกซม ๚ะ
๏ สงสารสุดนุชจะหมองละอองอบ นั่งเซาซบซูบศรีไม่หวีผม
ทุกข์ถึงเราเศร้าถึงกายไม่วายตรม นิ่งระทมสู้ทนแต่กลกรรม
พี่อยู่ด้วยฉวยว่ามีกลียุค สักหมื่นทุกข์แสนทับมาสรรพสัม
มิได้ทิ้งนิ่งให้น้องต้องตรากตรำ นี่จนจำใจลาสุดาดวง
ถึงตัวไกลใจยังกล่อมถนอมพักตร์ ภิรมย์รักร้อนใจเป็นใหญ่หลวง
เรือยิ่งไกลใจยิ่งกลุ้มถึงพุ่มพวง รักจะตวงเห็นจะโตกว่าโลกา
มาถึงย่านบ้านบางงิ้วละลิ่วเลื่อน น้ำสะเทื้อนเรือสะท้านเสียงฉานฉ่า
บ้านมูลนาคสองฟากรายชายคงคา พักนาวาแวะค้างสว่างจร
แล่นเรื่อยเรื่อยแลไรไรบางไข่เน่า ชะวากเว้าเวิ้งกระแสแลสลอน
เรียกคลองไกรไหลมาแต่ป่าดอน ออกนครพิจิตรเก่าเล่ารำพัน
คลองบางไผ่ไหลล้นชนบางโป่ง เป็นคุ้งโค้งคดคู้ดูขยัน
สุดวิสัยไม่รู้บางทางจรัล เรือก็บรรลุถิ่นบ้านสินเทา
สงสัยนามตามในน้ำใจคิด หรือประดิษฐ์ดัดแปลงแถลงเล่า
ชื่อสินธพกลบกล้ำกลืนสำเนา หรือสินเธาว์ธาตุเกลือในเนื้อบาง
นึกพินิจคิดเห็นเป็นประหลาด ถึงบ้านหาดแตงโมดูโตกว้าง
น้ำลดลาดหาดมูนขึ้นพูนกลาง แลดูพร่างพราวตาริมวารี
ยลกรวดทรายรายระหว่างทางทุเรศ ลุประเทศคามาตาขุนสี
เดิมผู้เฒ่าเจ้าสำนักนั้นศักดิ์มี ได้รับที่ประทวนหมายนายกำนัน
ถึงบ้านหนึ่งนามพูดจังกูดเจ๊ก ผู้ใหญ่เด็กเรียกดังฟังดูขัน
ช่างให้ชื่อถือจำเป็นสำคัญ จะถามคั้นเค้าเดิมว่าเคลิ้มคลาย
ที่น้ำนูนพูนขวาซ่ากระสินธุ์ สะพานหินเห็นขวางกลางกระสาย
เรือเดินแนบแอบจรัลตะวันชาย ทางฝั่งซ้ายสุดสิ้นที่หินดาน
บ้านงิ้วรายชายชลมีต้นงิ้ว สูงละลิ่วแลดอกออกประสาน
นกเอี้ยงออซอแซแซ่สำราญ ร้องประสานเสียงเพราะเสนาะนวล
บ้านห้วยเกดเหตุผลมีต้นเกด ทางประเวศไปเมืองคำปลายน้ำด้วน
ในพื้นธารดาลตื้นไม่ชื่นชวน เรือกระบวนบ่ายบากยักยากจร
พระสุริยาราแรงสร่างแสงเศร้า ถึงบ้านเขาลูกช้างอ้างสิงขร
แลเป็นกลุ่มพุ่มรุกขาเวลารอน ดังกุญชรเชิญชัดกระจัดตา
เข้าทอดเทียบเลียบหน้าท่าสำนัก พระจันทร์ชักรถล่องห้องเวหา
ยลแสงจันทร์ดั้นเมฆวิเวกตา คะนึงหน้านวลฉวีจับศรีจันทร์
สักเมื่อไรจะได้ยลวิมลพักตร์ ให้ร้อนรักรัญจวนใจจนไก่ขัน
พอรุ่งรางสว่างสายขึ้นพรายพลัน ชาวบ้านนั้นมาคำนับแม่ทัพชัย
มียอดผักฝักถั่วหัวผักกาด ยกกระจาดลงมานั่งปราศรัย
พร้อมลูกเต้าเผ่าพันธุ์ที่ครรไล ท่านแจกให้เงินทั่วทุกตัวคน
เสร็จรางวัลปันให้ด้วยใจเจตน์ ก็ประเวศนาวาพาพหล
บ้านถัดถัดขนัดรายริมสายชล บางตำบลนี้เล่าเรียกเขาพระ
แล้วเลยต่อล่อหลามมีนามบ่ง ศีรษะดงเด่นเคียงเรียงระดะ
ดอกเลารายชายเชยขอเลยละ ถึงจังหวะวังฟ้าผ่าสัจจาเจียว
เห็บทุ่งนาปลาชุมผุดปุ๋มป๋อม วิหคจ๋อมเล็บจับไล่ฉับเฉี่ยว
นกกาน้ำดำระลอกเป็นกลอกเกลียว นกนางเหยี่ยวเยื้องท่าถาบถาลง
นกนายงั่วตัวดีทีจะจับ ทำขยับยักตลบสบประสงค์
นกออกแอบแนบออริมกอพง กระสาส่งเสียงซ่าชลาลาน
นกยางกรอกซอกเซื่องค่อยเยื้องย่อง กระทุงล่องลอยแพแลขนาน
จะกรุมโกร๋นโล้นศีรษะแลละลาน ส่องประสานสอดสีสุริยัน
ต้อยตีวิดติดแตร้องแต้แหวด นางแอ่นแอดอัดลมดูคมขัน
เดินกระดกยกหางอยู่กลางคัน นกกดขันตอเหมือนอูดปูดปูดไป
นกกิ้งโครงโคลงเคล้าเฝ้ามหิงส์ นกเอี้ยงอิงแอบเอี้ยงส่งเสียงใส
ชมวิหคนกบางพลางครรไล พอเรือใกล้บินกลุ้มขึ้นพุ่มพง ๚ะ
๏ ท่านแม่ทัพทัศนาชลาลาด เห็นเรือดาษดื่นจอดทอดระหง
เฉลวปักเป็นสำคัญไว้มั่นคง คือบอกตรงว่าจะขายเป็นรายวาง
จึ่งสั่งให้เรือไปเลียบเข้าเทียบท่า ถามซื้อหาเห็นชัดไม่ขัดขวาง
เจ้าของบอกออกให้ไม่ระคาง ตามแบบอย่างเล็กใหญ่ในราคา
ลำหนึ่งใหญ่ใหม่ปลั่งห้าชั่งสิบ ลำย่อมหยิบยกมาดปรารถนา
ลดให้หกสิบบาทขาดราคา ต่อถอยมาเป็นไม่ลงอยู่คงตัว
ชวนกันก้มชมมองห้องเรือเรียบ กงตะเกียบขวาซ้ายทั้งท้ายหัว
กระดานพื้นลื่นละอองไม่หมองมัว พินิจทั่วประทุนท้ายสบายบาน
นับเงินให้ในจำนวนไม่ชวนช้า สิบชั่งห้าตำลึงลงที่คงขาน
ไม่เกี่ยงงอนผ่อนเวลาให้ช้าการ เจ้าของกรานกราบคำนับมารับเงิน
แล้วให้คนขนของกองทัพใส่ บรรทุกได้อักโขโตยาวเยิ่น
เครื่องถ่อแจวจัดให้ไม่ก้ำเกิน พอเสร็จเกริ่นแตรบอกให้ออกเรือ
ทหารถ่ออ้อแอ้พอแก้ขัด ไม่สันทัดทีก้าวเหมือนชาวเหนือ
ด้วยขัดคนเอาทหารเข้าจานเจือ การถ่อเรือเวียนวนนี้จนจริง
ทีผูกพ่วงล่วงครรไลแล่นไปหน้า ที่ถ่อช้าเฉื่อยหลามตามตลิ่ง
ถึงบ้านกำมังคิดจิตประวิง เป็นกรรมสิ่งใดหนอมาก่อกรรม
บ้านบางเทียนเพี้ยนแผกเห็นแปลกจิต คะนึงคิดเทียนทองของงามขำ
เคยจุดส่องผ่องพักตร์พี่ลักจำ ดูเป็นน้ำนวลศรีฉวีวรรณ
บ้านสวนแตงเห็นผลแตงแฝงระบัด งามกำดัดร่มใบใจกระสัน
ถึงนวลแตงแฝงละอองดูผ่องพรรณ ไม่เหมือนขวัญนวลเนื้อที่เจือใจ
รำพันนวลชวนช้าเวลาเฉลย ถึงบ้านเกยชัยแจ้งแถลงไข
เป็นสองนามถามเหตุสังเกตใจ ชื่อเกยไชยชื่อกำมังนี้ยังแคลง
เขาบอกว่าที่ล่วงมาแล้วแต่หลัง เรียกกำมังด้วนหนอต่อชุมแสง
แล้วปากน้ำเกยไชยพิไรแจง ที่จดแขวงนครสวรรค์ต่อกันมา
พึงกำหนดจดไว้อย่าให้คลาด แล่นลีลาศแลหลามบ้านสามขา
ฟังชื่อบ้านขานกล่าวกันยาวมา ใส่สาราเรียงร่ำที่รำพัน
ฟังไม่เพราะเสนาะรสนั่งจดถ้อย อีเต่าน้อยนามตั้งดูช่างขัน
แล้วหนองหนูชูชื่อลือจำนรรจ์ เป็นสำคัญคำกล่าวช่างยาวโยน
รำพันรื้อชื่อบ้านขึ้นขานไข อีเต่าใหญ่กลับยาวยิ่งกราวโขน
แล้วยังขานบ้านหนึ่งบึงตะโกน ช่างแผดโผนพูดกันทุกวันมา
ไม่กระเดื่องเคืองคำร่ำขรม บ้านวังกรมกรมอะไรใจกังขา
บ้านน้ำกรัดอัดอั้นตันอุรา บ้านวังปลาดุกตั้งริมฝั่งชล
ถึงท่าหลวงล่วงเวลาจอดนาเวศ สองทุ่มเศษสำนักพักพหล
มีทำเนียบเทียบทางเป็นอย่างยล ทั้งผู้คนคอยรับประคับประคอง
แต่มาตั้งฝั่งขวาบุรพาทิศ จวนสถิตฝั่งซ้ายย้ายเป็นสอง
กรมการกะเวรตั้งเกณฑ์กอง ให้ตีฆ้องขานยามคอยห้ามเรือ
อนาถนิ่งกริ่งตรึกรำลึกคิด พระพิจิตรจงใจอาลัยเหลือ
ครั้งขุนแผนพักทหารก็จานเจือ ประกอบเกื้อการุญหนุนสงคราม
ยกบุตรีศรีมาลายุพาพักตร์ ให้บุตรรักร่วมณรงค์ทรงสนาม
กำลังหนุ่มชุ่มชายชื่อพลายงาม ทั้งสองทรามสวาทสมอารมณ์ปอง
เราแรมร้างค้างมาดูว้าเหว่ ต้องร่อนเร่ร่อนในฤทัยหมอง
ถ้าแม้นมีมาลามาประคอง เหมือนดังจองจิตจริงได้อิงอัง
จะถนอมกล่อมโฉมประโลมประเล้า นั่งคลำเคล้าวรนุชให้จุดหลัง
จะเหน็บแนมแกมกวนให้ซวนซัง แล้วจะนั่งปลอบน้องครองไมตรี
เมื่อรุ่งวันครรไลจะไปทัพ จึงจะปรับปรุงนางสำอางศรี
ให้จำจิตพิศวาสมาดไมตรี รอนไพรีแล้วจะมาอย่าอาวรณ์
คะนึงขนิษฐ์จนอาทิตย์ขึ้นไขแสง ดูแจ่มแจ้งดวงจรัสประภัสสร
เห็นเรือแพแม่ค้าในสาคร นั่งชะอ้อนแอบคู่ดูละมุน ๚ะ
๏ ฝ่ายกรมการนอนกองมานองแน่น ล้วนปึกแผ่นภาคพื้นเป็นหมื่นขุน
ยกถาดรองของเกื้อมาเจือจุน กล้วยขนุนเนื้อปลาสารพัน
มาเสนอบำเรอเรียงเคียงคำนับ ท่านแม่ทัพตอบปองเป็นของขวัญ
เสื้อสักหลาดราชปะแตนแทนกำนัล แล้วก็ครรไลลานาวาเดิน
เห็บฝั่งรายชายชลต้นขนุน บางสีตุนชื่อบ้านเขาขานเขิน
บ้านปากทางห่างหมู่ดูไม่เพลิน เรือไฟเดินจักรดังกึงกังไป
ยลหาดทรายรายรอยกุมภาพ่าน มันลนลานหลบลงท่าชลาไหล
นิ่งกบดานเรือเดินสะเทิ้นใจ เห็นแต่ไพลพลุ่งชลนั่งขนพอง
เชิงชลาหญ้าไหวไปหวั่นหวั่น เอาเรือหันเข้าตลิ่งค่อยวิ่งหย่อง
เห็นกุมภาราแรงตากแสงทอง ไปแอบจ้องจับมาแต่ป่ารก
ตัวหนิดหนิดจิตกล้าอ้าปากหวอ มันขู่ฟ้อฟัดตัวหัวปะหงก
เอาไม้ใส่ไล่งับดังกับยก ไม่พลัดตกตาเขม้นดุเป็นมัน
ออกเดินทางพลางแลกระแสซึ้ง เห็นบ้านหนึ่งมีหาดลาดจอมขวัญ
ทั้งสองฝั่งตั้งเรียงเรือนเคียงกัน มีพืชพรรณผลพื้นดูรื่นเรียง
เลยกระทั้งวังมะเดื่อเรือแน่นอัด ล้วนขนัดเจ๊กแน่นประแปร้นเสียง
เข้าซึ้อเรือเหนือปรนขนเสบียง ผ่อนลำเลียงแล่นถลันตามกันมา
ลำนี้ใหญ่ใหม่มั่นเป็นมันปลาบ น้ำมันอาบอ่องเอี่ยมเลี่ยมเลขา
วิไลลายระบายระบัดทัศนา เป็นราคาหกชั่งใหม่ทั้งตัว
จรัลเรียงเคียงกันวังคันไถ ถัดขึ้นไปวังถํ้าย่ำสลัว
เสียงโจษจนอนอึงพวกตึ้งซัว มาตั้งพัวพักโยงอยู่โรงความ
บ้านท่าล่อกอแกล้วนแต่เจ๊ก ลงจั้งเอ๊กอึกทึกไม่นึกขาม
ตั้งโรงโปโฮเต็ลเที่ยวเล่นลาม ชาวนิคามเขตเหนือจะเจือจุน
สงสารสาวชาวเหนือเหลือลำบาก เจ๊กมันถากแถกเสียปี้ป่น
ตั้งล่อลวงล้วงกินเอาสิ้นตน ที่ไม่ซนก็ค่อยไสสไบบาง
รำพึงไปในนาวีไม่มีสุข เห็นเจ๊กพลุกพล่านอาศัยบ้านไผ่ขวาง
เหมือนยาดำคำว่าอย่าระคาง คงมีวางไว้ระคนเข้าปนยา
ครรไลเลยแลลาดบ้านหาดสูง อยู่เป็นฝูงแฝงในไพรพฤกษา
หาดมูลควายรายเรียงเคียงกันมา แล่นนาวาลับตะวันจันทร์กระจาย
ถึงบ้านดงเศรษฐีชี้กระจัด ล้วนปาชัฏชมไพรน่าใจหาย
ดูโรงเรือนเหมือนจะพังประทังกาย ไม่สมหมายเหมือนเศรษฐีมีเงินทอง
ครรไลล่วงลับไปไกลสถาน พอถึงย่านยาวเดือนก็เลือนล่อง
เข้าพักทัพยับยั้งให้นั่งกอง พอเรืองรองสุริยันก็ครรไล
ถึงสถานชานชลาหน้าวัดหงส์ เห็นพระสงฆ์สวดคาถาศาลาใหญ่
พระปริตรสิทธิกรรมอันอำไพ พลางอวยไชยันโตอาโปปราย
ท่านรารุดหยุดจักรพักคำรบ พอสวดจบจัดจองของถวาย
ชาบุ้นพ้อยี่ห้อหอมเข้าน้อมกาย จัดจำหน่ายนบพระที่ประโปรย
ออกจากวัดตัดข้ามสนามเคล้ ให้ว้าเหว่วาบในฤทัยโหย
เป็นที่กลางหว่างเขตทุเรศโรย กำนันโดยสารชี้คดีแดน
สิ้นเขตแคว้นแดนบุรีเมืองพิจิตร เข้าแขวงพิษณุโลกยิ่งโศกแสน
ยลรุกขาสารพันประกันแกน ในแขวงแคว้นเขตรายตามชายชล
ไม้อำภาร่ารื่นดูชื่นชุ่ม บ้างเป็นพุ่มพวงปริพึ่งผลิผล
เห็นส้มโอโตย้อยห้อยอยู่บน ที่บางต้นดังฉัตรระบัดใบ
งามตระการก้านกอเป็นช่อชิด นั่งพินิจแนวแควกระแสไส
เรือแล่นล่วงพ่วงมารีบคลาไคล เห็นบ้านใหม่บอกแจ้งกำแพงดิน
ตั้งเป็นหย่อมกระท่อมทับยับชำรุด โคกสลุดเหลือจะคิดจิตถวิล
หาดตะกูดูรายชายวาริน แล้วถึงถิ่นบ้านสะพรั่งเรียกวังยาง
ระยะย่านบ้านหมู่นี้ก็มีเนื่อง จะร่ำเรื่องรื้อจัดก็ขัดขวาง
เรือไฟพ่วงล่วงหลามไปตามทาง พอถึงบางน้ำหลากเรียกปากพิง
เป็นทางลัดตัดจรัลสวรรคโลก หน้าน้ำโกรกกรากทบลบตลิ่ง
เขาล่องแพมาออกแควปากน้ำพิง ดังม้าวิ่งไวฉิวละลิ่วลม
ถึงคุ้งเปลี่ยวเลี้ยวลำริมน้ำคู้ พินิจดูในนามเห็นงามสม
ช่างหลายลดคดทางบางนิคม จะนิยมยกเหตุสังเกตเกิน
จึงนิ่งอั้นครรไลฤทัยสะท้อน ถึงบ้านดอนดาลจิตให้คิดเขิน
ช่างแห้งโหยโรยร้างอยู่กลางเนิน ไม่น่าเพลินพลางคิดจิตรำคาญ
ถึงท่าแคแลรายริมชายฝั่ง พอเรือคั่งแข่งเรียงเคียงขนาน
กำลังแดดแผดจ้าเวลากาล หยุดสนานสำนักร้อนผ่อนสบาย
ที่เชิงหาดลาดละหานมีธารท่า บ้านขอนม้าบอกกำหนดลงจดหมาย
มีพฤกษาเรือกสวนชวนสบาย พากันผายผันขึ้นนั่งบนฝั่งพรู
เห็นกระท่อมหย่อมเหย้าดูเหงาเงียบ ได้ยินเกรียบกรับเสียงเข้าเอียงหู
มีหญิงแม่ลูกนั่งบังประตู เห็นคนกรูเกรียวกลัวจับตัวตน
ท่านแม่ทัพสดับกิจคิดสงสัย ร้องเรียกให้ออกแจ้งแห่งนุสนธิ์
อยากทราบความตามในน้ำใจจน อย่านิ่งทนทุกข์กายให้ดายแด
ฝ่ายหญิงยากบากเบือนค่อยเลื่อนออก มาข้างนอกนบนั่งฟังกระแส
เห็นกองทัพสับสนทำลนแล ดูท้อแท้ทีสะทกตกตะลึง
แล้วแจ้งว่าประชาชนตำบลนี้ เขาหลีกลี้ละบ้านไปนานถึง
ว่ากองทัพมาจับคนพูดอนอึง ต่างตะบึงทิ้งบ่อนไปนอนดง
แต่ผัวฉันนั้นไปค้าหามาไม่ พลางร้องไห้หอบบุตรสุดประสงค์
ผัวไปค้าว้าเหว่อยู่เอ้องค์ ทิ้งให้คงทอดระทดอยู่อดกิน
มาอยู่นี่ที่ของนายท่านให้เฝ้า เก็บผลเต้าแตงได้เอาไปสิน
ครั้นอดอยากหากเอาแลกจ่ายแจกกิน คิดเป็นสินทรัพย์ตั้งสลักหลังกรม
เมื่อแรกเริ่มเดิมจะมาเป็นข้าเขา คิดกันเข้าลูกผัวทั้งตัวผม
อยากขายค้าหากำไรใจนิยม ทำสารกรมกู้ท่านมาห้าตำลึง
ครั้นค้าไปกำไรทุนก็สูญหมด ซํ้าผัวปลดปลิดเปลื้องเฟื้องสลึง
ซื้อยาฝิ่นกินรำไม่รำพึง ได้ปีกึ่งหมดตัวมัวระเริง
ทิ้งต้นดอกพอกพืชเข้ามืดหน้า เป็นเงินตราหกสิบแลลิบเหลิง
จะถ่ายถอนผ่อนปรนก็ป่นเปิง ลงสิ้นเชิงชักทอดตลอดเลย
ท่านก็จ่ายรายงานเป็นการเหมา ให้มาเฝ้าสวนศรีอยู่นี่เฉย
ทิ้งข้าวปลาปละปลดไม่ชดเชย ช่างเฉยเมยไม่นำพาเมตตาตัว ๚ะ
๏ ท่านแม่ทัพกับนายฝ่ายทหาร ฟังคำขานหญิงยากที่จากผัว
นั่งเลี้ยงบุตรสุดตรอมจนมอมมัว เหมือนหนึ่งหัวอกเราเป็นไม่เว้นคืน
พินิจหญิงสิ่งที่ปรุงเครื่องนุ่งห่ม ช่างสมมมหมักกายระคายขืน
ด้วยความจนทนประทังเอายั่งยืน จำเพาะผืนพันพอกจนดอกดำ
ต่างคนคิดจิตจงให้สงสาร ช่วยให้ทานทำนุปอุปถัมภ์
ด้วยเห็นชัดว่าขัดสนทนกรากกรำ แล้วได้ลำบากอดระทดใจ
มีเงินตราผ้าเสื้อเกลือข้าวสาร ของเปรี้ยวหวานจัดสรรแบ่งปันให้
ลูกน้อยน้อยพลอยยินดีมีน้ำใจ หยุดร้องไห้สงบพักตร์ประจักษ์จริง
หยิบของส่งตรงเข้ามาหาทั้งหมด ดูหน้าสดสมหมายทั้งชายหญิง
ด้วยเต็มแกนแสนรำพึงได้พึ่งพิง มาสบสิ่งประสงค์สมอารมณ์รวย
นางแม่รับผ้าใหม่ได้ลงน้ำ ที่มัวคล้ำเคลื่อนคลายนุ่งลายสวย
มาหุงข้าวเผาปลาเวลารวย พรั่งพร้อมด้วยลูกเต้าก็เข้ากิน
จึงสั่งเสียเมียเขาว่าเจ้าผัว แม้นมายั่วหยอกขยับยักทรัพย์สิน
อุตส่าห์ซ่อนผ่อนผันกันไว้กิน ถ้าหมดสิ้นแล้วลูกน้อยจะพลอยโซ ๚ะ
๏ ครั้นเบี่ยงบ่ายคลายคลาจากท่าพัก ฟังเสียงจักรจัดหันดูควันโฉ
ถึงน้ำตนพี้นทรายสายชโล ค่อยแล่นโย้โยกคลำร่องน้ำไป
ดูชายหาดดาษแควกระแสสาย ถึงบางทรายน้ำองสุดซึ้งไส
สงบเงียบเลียบแล่นดูแว่นไว ภาณุไมเลี้ยวลับก็อับทาง
จนดวงเดือนเลื่อนล่องขึ้นส่องไข ถึงบ้านใหม่หมองจิตคิดขนาง
พฤกษาพรั่งบังจันทร์จรัลราง เรือสล้างแล่นมาถึงท่าโรง
ไม่หยุดยั้งนั่งชะแง้แลระริก ถึงวัดพริกบ้านสะพรั่งริมฝั่งโถง
วังส้มส้าท่ารายชายโชลง ไม่หยุดโยงแล่นระเริงกระเจิงมา
เห็นเรือนรายชายฝั่งตั้งขนัด บ้านสกัดน้ำมันมีเป็นที่ท่า
จึงหยุดจักรพักจอดทอดนาวา จนสุริยาเยี่ยมสอดยอดยุคันธร์
ก็เปิดจักรวักกระแสแลสล้าง ถึงบ้านยางยลดูเป็นหมู่มั่น
บ้านท่าทองมองตั้งฝังอนันต์ คิดสุวรรณวาบใจอาลัยเลือน
เลยระเริงเชิงชาลเห็นบ้านไร่ ถัดขึ้นไปบ้านกลอกดูออกเกลื่อน
ถึงบ้านคอนเด่นตั้งเห็นหลังเรือน อยู่กลางเถื่อนถูกแดดแผดกระไร
บ้านพันปีมีจิตให้คิดถึง นั่งคะนึงนามขนานที่ขานไข
ขอรับรื้อชื่อเชิดประเจิดใจ มาฝากให้ถนอมขวัญอยู่พันปี
รำพันพรจรใจให้กระสัน ถึงวัดจันจอดค้างทางวิถี
ครั้นเรืองรองส่องแสงพอแจ้งดี จรลีแล่นไปโดยใจจร
ถึงท่ามะปรางทางเพ่งแลเล็งบ้าน เป็นหย่อมย่านปลูกตั้งสล้างสลอน
ไม่เห็นผลต้นมะปรางอย่างว่าวอน อนาทรทางประเทศเขตนิคม
คิดหันเหียนเวียนวนนั่งจนจิต ถึงบ้านพิษณุโลกโศกสะสม
แต่เก่าก่อนเป็นนครสำราญรมย์ โดยนิยมอย่างเกษมปรีดิ์เปรมใจ
พอพบทัพพระอนุชสุดสวัสดิ์ คุมขนัดพลขัณฑ์เสียงหวั่นไหว
แม่ทัพรองสองนายรายกันไป มียศในตำแหน่งชี้คดีนาม
คุณพระราชวรินท์ตำรวจหน้า ท่านอาสาสู้ศึกไม่นึกขาม
เป็นทัพหนึ่งพึงรู้กระทู้ความ ยังอีกนามหนึ่งตั้งประดังดี
พระอมรวิสัยสรเดช[๑๒] แสนวิเศษในกระบวนรู้ถ้วนถี่
ท่านเจนจัดศัสตราเรื่องราวี อธิบดีปืนใหญ่ยิ่งไชยัน
เป็นสองทัพรับรอนข้างตอนใต้ รบฮ่อให้หมดเหตุในเขตขัณฑ์
คอยรับสั่งฟังองค์พระทรงธรรม์ จะจัดสรรสิ่งประสงค์อยู่คงเคียง
แม่ทัพทางข้างเหนือพอเรือเทียบ ขึ้นทำเนียบน้อมคำนับสดับเสียง
ทรงสุนทรถ้อยเสนาะเพราะสำเนียง ที่รองเรียงทักถามตามไมตรี
แล้วลาเลื่อนเคลื่อนมาจอดท่าวัด พุทธรัตนชินราชสะอาดศรี
ขึ้นคำรพนบคุณพระมุนี ทำพิธีทอดตั้งสรวงสังเวย
ถวายภูมิเทวัญอันสถิต เชิญประดิษฐ์ดุษฎีที่เสวย
พอขาดคำร่ำบนฝนก็เชย เมฆไม่เผยเผือดอับพยับโพยม
บัดเดี๋ยวหายฉายช่วงดวงอาทิตย์ งามวิจิตรทรงกลดดูชดโฉม
ไม่ดานแดดแผดส่องมาล่องโลม เหมือนหนึ่งโคมแก้วช่วงดูดวงกลม
ท่านแม่ทัพกับทหารให้ดาลจิต นิ่งพินิจนึกสยองนั่งพองผม
หน่วงมนัสทัศนาตั้งอารมณ์ ต่างนิยมยลเหตุสังเกตกัน
เห็นประสิทธิ์ฤทธิ์เดชวิเศษโสด เข้าในโบสถ์พร้อมพหลพลขัณฑ์
ต่างถวายกรคำนับอับภิวันท์ องค์พระสรรเพชร์ผ่องทองประไพ
พิศพระพักตร์ลักษณะทั้งพระโอษฐ์ เหมือนจะโปรดพจนาเยื้อนปราศรัย
นั่งพินิจพิศดูชื่นชูใจ แล้วครรไลลาคิดจิตพะวัง
เห็นกุฎน้อยน่าพินิจพิศวง ดูมั่นคงมุงหลังคาฝาผนัง
มีพระยืนพื้นผ่องทองประทัง เป็นเงาปลั่งปลาบตาไม่ราคี
ถามผู้เฝ้าเล่าแจ้งที่แคลงจิต ว่าสัมฤทธิ์รูปหล่อลออศรี
เหลือจากพระชินราชสะอาดดี เอาทองนี้หล่อระคนเข้าปนเจือ
เพราะสัมฤทธิ์เศษเหลือจากเนื้อนั้น มาสร้างสรรสมญาว่าพระเหลือ
ไหว้พระแล้วแคล้วคลาลงมาเรือ คะนึงเนื้อนวลสวาทไม่คลาดคลาย
ออกจากท่ามาหัวรอท้อระทด ไม่ปลิดปลดเปลื้องรักสมัครหมาย
อยากให้รอที่หัวรอพอสบาย พอรักคลายจึงค่อยเคลื่อนเลื่อนจากรอ
คิดเสียเปล่าเขายิ่งไปเรือไฟฟุ้ง ดูเวิ้งวุ้งแลวิงเรือวิ่งปร๋อ
บ้านสะแกแลสลับเขาสับตอ เป็นกกกอสะแกดงพงสะแก
บ้านเต่าไหหรือเต่าให้ฟังไม่ชัด เกรงจะลัดพูดล้อว่าตอแหล
ทั้งเต่าไหเต่าให้จดไว้แล ใครรู้แน่แนะบ้างอย่าพรางความ
บางพะยอมยลนิคามนามขนาน ฟังแล้วซ่านเสียวในหทัยหวาม
พะยอมบ้านขานพ้องกับน้องนาม ใครหนอลามลวนรื้อชื่อนิคม
บ้านวัดตาลต้นตาลมีที่หน้าวัด เขาช่างจัดชื่อเสาะให้เหมาะสม
คิดรสหวานน้ำตาลหายคลายนิยม รสคารมมิได้คืนช่างชื่นทรวง
เห็นหินรายชายฝั่งเรียกวังหิน พลางแล่นลิ้นลากลางหนทางหลวง
ถึงท่าลาดหาดแรยิ่งแดดวง เห็นแต่ห้วงหินห้องท้องนที
ค่อยแล่นลัดตัดย้ายตามชายหาด ดูอนาถแนวถิ่นกระสินธุ์ศรี
ถึงปากโทกมีทางลัดท้องนัที ไปธานีนครไทยได้ดังจง
เรือแล่นพลางทางเขม้นแลเห็นบ้าน เขาขนานนามว่ากองทองประสงค์
หรือจะมีสุวรรณวางอยู่กลางดง จึ่งได้บ่งบอกว่าทองกองสำคัญ
อันที่ตั้งทั้งสิ้นถิ่นประเทศ คงหมายเหตุเห็นชัดจึ่งจัดสรร
แต่การเก่าเล่าลึกดึกดำบรรพ์ จะรำพันพูดเล่นจะเป็นเดา
มาถึงบ้านขานคารมดูคมขำ พยาดำดูมุทะลุเล่า
นึกตกใจไหวหวั่นตัวสั่นเทา คิดสำเนานรชาติฉกาจไพร
สันดานดื้อถือตนเป็นคนห้าว เห็นคนขาวแล้วก็ฆ่าไม่ปราศรัย
ครั้นรู้สึกนึกว่าเขตประเทศไทย เห็นจะไม่มีเหมือนเรื่องเมืองนานา
เป็นนามหมายไม้ป่าพนาสณฑ์ เหมือนบ้านต้นมะตูมตั้งอย่ากังขา
จะรื้อร่ำจำจัดวัจนา ก็จะพาความพัวด้วยมัวแจง
จึ่งรีบรัดคัดข้อพอสังเกต ถิ่นประเทศท่าน้ำร่ำแถลง
พอเป็นเค้าสำเนาทางที่กลางแปลง ให้ทราบแขวงเขตย่านบ้านตำบล
ที่ไม่แจ้งก็ไม่จดจำงดเงื่อน เกรงจะเชือนชักวงงงฉงน
บ้านเดียวนามสามสองข้องระคน พะวักพะวนเว้นชี้รีบลีลา
บ้านท่าไชยไผ่ขออยู่ต่อติด เข้าสถิตทอดทับอยู่กับท่า
ที่มีเหตุเจตจงลงสารา แจ้งกิจจาจดใส่ในเดรี
ด้วยฟืนใส่ไฟสิ้นที่ถิ่นนั้น เรียกกำนันนายบ้านสถานที่
ขอฟืนส่งลงเรือไฟในราตรี เขาก็ดีดูวิ่งทั้งหญิงชาย
ช่วยบั่นรอนทอนส่งลงให้เสร็จ ได้สำเร็จพร้อมสมอารมณ์หมาย
ไม่รังเกียจเคียดขุ่นให้วุ่นวาย ทั้งไพร่นายนับปนระคนกัน
ยี่สิบเอ็ดคนลงบรรจงจด แจกทั้งหมดมิได้แยกให้แผกผัน
คนละสลึงเฟื้องเครื่องรางวัล แล้วก็ครรไลลานาวาจร
ครั้นดึกเดือนเลื่อนล่องส่องสว่าง ขึ้นกระจ่างแจ่มจำรัสประภัสสร
ถึงท่าช้างทอดทัพเข้าหลับนอน ได้พักผ่อนทางระทมที่ตรมใจ
พอแจ่มแจ้งแสงสุวรรณก็ลั่นเลื่อน เสียงสะเทื้อนท้องมหาชลาไหล
ค่อยเลียบเลาะเกาะหาดระวาดระไว แล่นครรไลแลชมไม่สมทรวง
มาถึงย่านบ้านหม้อแกงให้แคลงจิต นึกพินิจถึงน้องแต่งแกงผักขวง
พี่ช่วยเด็ดผักเคลดคลอพูดล่อลวง เย้าหยอกดวงสุดาย้อนนั่งค้อนคม
บ้านคลองแคแลซึ้งเป็นบึงบ่อน น้ำกระฉ่อนกระฉอกดังฟังขรม
มีคลองขวางกว้างเป็นเล่ห์ทะเลลม ไปนิคมถิ่นสถานบ้านกำมัง
ว่าปลาชุมกลุ้มกล่นขนมาขาย มีมากหลายเหลือจะนับเหมือนจับขัง
เป็นบ้านปลาหาเสบียงเลี้ยงชีวัง มีเรือนตั้งตามชลาริมวาริน
เรือก็เลยแล่นหนักด้วยจักรพัด ก็ล่วงลัดลุบ้านสะพานหิน
เห็นเรือเจ้าคุณทหาร[๑๓]มาริมวาริน พักโยธินทอดเทียบเข้าเรียบราย
ท่านแม่ทัพจึ่งคำนับน้อมประณต มธุรสเรียนกิจที่คิดหมาย
ว่าเสบียงเลี้ยงพหลพลนิกาย แม้นพอจ่ายทัพทอดตลอดปี
สิ้นกังวลขวนขวายหมายจะรบ ตีตลบไล่แหลกให้แตกหนี
ถึงฟ้าฝนทนสู้ดูสักที ไม่รอรีรั้งช้าทำท่าทาง
ท่านตอบว่าข้าวเสบียงเลี้ยงกองทัพ อนันต์นับหมื่นถังได้ตั้งฉาง
ไว้ระยะกะทอดตลอดทาง ถึงจะค้างปีก็คงส่งให้รวย
แล้วให้เสื้อเครือสุวรรณกระสันสวม เนื้อนิ่มน่วมห่มหนาววะวาวสวย
พี้นดำมันสุวรรณวงแลงงงวย ประดับด้วยไหมทองผ่องประไพ
ปักเป็นขอบรอบระใบดอกไม้เทศ ฝรั่งเศสสร้างทำดูขำไข
เอามาห่มชมชายสบายใจ ดูแปลกนัยน์ตาจริงช่างพริ้งเพรา
ครั้นชี้แจงเสร็จสรรพท่านกลับล่อง แต่เราต้องต่อขึ้นไปฤทัยเหงา
แทบจะโดดโลดล่องท่องลำเนา ตามมาเฝ้าแฝงบุญเจ้าคุณไป
ล่วงประเทศเขตพิษณุโลก กำสรดโศกทรวงช้ำทำไฉน
คิดเวียนวนจนจริงนิ่งครรไล เรือก็ไปถึงนิคมพรหมพิราม
บ้านกรับพวงดวงใจไม่มาด้วย จะได้ช่วยชวนทักกันทักถาม
วังเต่าเล่าเฝ้าคิดพินิจนาม สงสัยความเต่าหรือเตาเล่ายังแคลง
ถึงย่านขาดลาดสล้างดูกว้างล้ำ อ้อยเป็นลำต้นตั้งริมฝั่งแฝง
ดงสมอรอรีเขาชี้แจง หาดใหญ่แซงแทรกรายเห็นชายโคน
ตลิ่งชันชันแสนคอแหงนหงาย แลสุดสายตาตกแม้นหกโหน
คงม้วยมอดวอดชีวิตเหมือนปลิดโยน ลงทอดโกลนเกลือกดิ้นอยู่ดินทราย
ก็หยุดจักรพักทอดจอดระงับ พอม่อยหลับรุ่งศรีสุรีย์ฉาย
จรดลยลย่านริมชาญชาย นาวาผายผันแซงกันแข่งเคียง
ลุตำบลบ้านหมากต้องเขาร้องเรียก เพราะสำเหนียกต้นสะท้อนยอกย้อนเสียง
เป็นคำเหนือเจือจำผิดสำเนียง จึ่งได้เรียงแจ้งจริงที่กริ่งใจ
เห็นเรือนตั้งป่าอยู่รารก หมู่ไม้ดกดื่นทางบ้านหางไหล
เขตนิคมพรหมพิรามไม่งามใจ มุงไม้ไผ่ผุพังเหมือนรังกา
ถึงบุรีศรีภิรมย์ยิ่งตรมตรึก ไม่วายนึกคะนึงพวงดวงยิหวา
พอเห็นสาวชาวเหนือล่องเรือมา ดูหน้าตาทีตื่นไม่ชื่นชม
ยินเขากล่าวชาวเหนือนี้เนื้อจืด มักไม่ยืดยาวนานจะพาลขม
หรืออ่อนเกลือเนื้อเน่าเจ้าคารม ถึงหนองตมเต็มวิตกในอกตรอง
ตมจะขุ่นมุ่นมัวทั่วทั้งทุ่ง เห็นไม่พลุ่งพลั่งเท่าทรวงเราหมอง
บ้านย่านยาวคราวนิราศยิ่งมาดมอง จะจดจองใจยาวกว่าดาวแดน
บ้านวังด่านไม่เห็นด่านขานฆ้องเรียก จะสำเหนียกเหตุอะไรสงสัยแสน
ไม่ทราบแจ้งแห่งทางในกลางแดน ก็เลยแล่นดาประดังเข้าวังกลาง
ไม่เห็นวังตั้งสถิตผิดสังเกต พิเคราะห์เหตุเห็นไม่สมอารมณ์หมาง
ฤๅองค์ท้าวเจ้านครแต่ก่อนปาง มาสรรสร้างวังสถานพิมานพราย
บ้านท่าง่ามขามเหตุสังเกตชื่อ ช่างเลื่องลือเล่ากันขันใจหาย
ไม่เห็นมีแง่ง่ามตามเชิงชาย นึกก็หน่ายนามขนานย่านนิคม
มาถึงบ้านหาดใหญ่ฤทัยหวน แลเห็นจวนผู้รั้งที่สร้างสม
ประมาณมีสี่ห้าหลังตั้งนิคม ไม่น่าชมเชิดกลอนสุนทรครวญ
มาถึงวัดบ้านส้องให้ข้องจิต ใครหนอคิดตั้งส้องต้องสืบสวน
เป็นพวกเพียรเสี้ยนหนามให้ลามลวน มาก่อกวนราษฎรร้อนระคาย
ถึงบ้านแดนเรือเดินดังเหินเหาะ ด้วยสิ้นเกาะโล่งแลกระแสสาย
เห็นเรือนตั้งสองฝั่งเคียงอยู่เรียงราย มีหาดทรายร่มรื่นบนพื้นดอน
เหมือนเรือกสวนชวนชมพนมพนัส กำลังผลัดผลิผลหล่นเกสร
บ้างทรงดอกออกช่ออรชร หมู่ภมรมุ่นเคล้าเสาวคนธ์
คิดถึงดวงมาลีศรีสมร ซ่อนเกสรมิให้ต้องละอองฝน
ถึงภมรหมายกลิ่นเที่ยวบินวน มิได้ดลดังนิยมต้องตรมเตรียม
มาถึงวัดพระยาแมนเห็นแสนสาว พึ่งรุ่นราวแลชะม้ายทำอายเหนียม
หมายจะวอนค่อนแคะพูดและเลียม ให้หายเตรียมตรมที่เรามาเศร้ากาย
สิ้นบุรีศรีภิรมย์นิคมเขต เข้าประเทศปัดบูนพิมูลหมาย
มีบ้านเรือนแลเคียงอยู่เรียงราย เร่งเรือผายผันมาในสาคร
พอถึงท่าเมืองพิไชยเรือไฟหยุด อุตลุดแลทัพสลับสลอน
เข้าจอดรายชายลาดหาดสาคร หมู่นิกรพร้อมกันฟังบัญชา
รวมรายวันจรัลมาในนาเวศ ยี่สิบเศษวันหนึ่งก็ถึงท่า
เดือนสิบสองแรมสองวันจันทรา เช้าเวลาสามโมงครึ่งก็ถึงเมือง ๚ะ
๏ ฝ่ายพระยาอุตราการโกศล มีกมลมุ่งพาคุณาเนื่อง
ได้พิทักษ์รักษาพาราเรือง ไม่ขุ่นเคืองชาวประชาให้ราคี
มาพร้อมพรักพนักงานก้มกรานกราบ โดยสุภาพเชิญพักเป็นศักดิ์ศรี
ยังทำเนียบเทียบตั้งฝั่งบุรี โดยยินดีคอยรับบังคับการ
ท่านแม่ทัพกับนายกองค่อยผ่องพักตร์ ขึ้นสำนักแน่นขนิดสถิตสถาน
พักพหลพลไพร่ให้สำราญ คิดกะการกำหนดยกทัพบกไป ๚ะ
๏ ในวันเมื่อเรือมาทอดจอดกองทัพ เมฆพยับพยุห์ลั่นเสียงหวั่นไหว
พิรุณร่ำพรำฟองออกนองไพร ชลาไหลล้นลาดท่วมหาดทราย
เมื่อวสันต์นั้นฝนไม่หล่นแล้ง ต้นข้าวแห้งเหี่ยวเพลียทิ้งเสียหาย
นิ่งสลัดตัดอาลัยไม่เสียดาย ปล่อยให้ตายแตกระแหงด้วยแห้งชล
ครั้นฝนตกยกใหญ่ข้าวใบเขียว ชาวเมืองเฉลียวหลากจิตคิดฉงน
ว่าทัพใหญ่ไชยยันต์อันมงคล มาให้ผลพูนสวัสดิ์กำจัดพาล
จึ่งชวนกันจรัลมาหาแม่ทัพ น้อมคำนับนั่งพิไรพูดไขขาน
ว่าแสนสุขชุกฝนดลบันดาล เดชพระผ่านจอมจักรนครา
ทั้งบุญท่านแม่ทัพดับยุคเข็ญ ได้ชุ่มเย็นด้วยอำนาจวาสนา
ร้อนถึงอาสน์อมรินทร์ปิ่นนภา อยู่ฟากฟ้าดาลดลให้ฝนเชย
อัศจรรย์ลั่นกระฉ่อนอุดรทิศ เห็นประสิทธิ์สุดชี้คดีเฉลย
ต่างสำราญบานใจกระไรเลย ก็ได้เคยคุ้นกันแต่นั้นมา ๚ะ
๏ ขอหยุดทัพกลับกล่าวชนชาวเหนือ เป็นชาติเชื้อจีนหลากพากย์ภาษา
ชื่อจีนพังตั้งอาศัยในพารา มีนามว่าสุโขทัยอันไพบูลย์
นำพระแก้วนิลวรรณอันส่องศรี นั่งล้อมสี่องค์สลับประดับศูนย์
พระปฤษฎางค์อังอิงพิงพิบูลย์ สี่เหลี่ยมพูนผ่องพิศไม่ผิดกัน
เหลี่ยมหนึ่งฐานประมาณมีสักสี่นิ้ว ทั้งขอบคิ้วสูงสมดูคมสัน
พระพักตร์ผ่องส่องศรีฉวีวรรณ สารพันดังพิมพ์ดูอิ่มองค์
ให้แม่ทัพรับรองเป็นของฝาก เพราะจะบากบิดให้พ้นคนประสงค์
หวังถวายพระโอรสยศยง ตัวกับพงศ์พันธุ์จะเข้าเฝ้าธุลี
ให้ช่วยนำคำทูลประมูลถวาย จะเฉิดฉายชูหน้าเป็นราศี
ท่านแม่ทัพรับไว้ด้วยไมตรี ถามคดีเดิมได้ที่ไหนกัน
จีนพังเล่าเค้าแจ้งแถลงข้อ ปีวอกฉอศกจำเป็นคำมั่น
เดือนเจ็ดขึ้นแรมหายหมายสำคัญ ไม่เหมาะมั่นลืมหลงคงแต่จุล
ศักราชพันสองร้อยสี่สิบหก ประจำศกสิบเจ็ดเป็นเสร็จสุน
ทรที่กล่าวคราวเคราะห์จำเพาะบุญ ว่าดรุณชาวไร่อยู่ในดง
ทางแต่เมืองสุโขทัยไปวันหนึ่ง ถิ่นสำนึงบ้านนาชื่อกาหลง
เที่ยวเลี้ยงควายชายอารามตามป่าพง ชื่อนั้นบ่งบอกชัดว่าวัดเชิง
เป็นวัดร้างว่างกุฎีมีแต่ชื่อ ว่าพระฦๅสร้างไว้วิไลเหลิง
เจดีย์เด่นยอดด้วนจวนจะเปิง ล้วนแต่เชิงซุ้มเถาเชือกเขาพัน
เหล็กแกนสอดยอดเจดีย์ยังชี้เด่น เด็กนั้นเห็นอยากได้ใจกระสัน
ปีนขึ้นยอดถอดออกได้ดังใจพลัน ที่ยอดนั้นแลทะลุเห็นตรุมี
จึงล้วงลอดสอดลงไปได้พระพุทธ บริสุทธิ์สดใสประไพศรี
จีนพังไปได้ดูรู้คดี ขอจากที่เด็กได้ดังใจปอง ๚ะ
๏ ท่านแม่ทัพสดับฟังจีนพังเล่า เป็นข้อเค้าชนชอบตอบสนอง
จะทำหนังสือทูลถวายเหมือนหมายปอง ตามทำนองแนะนำคำธิบาย
จีนพังฟังยังไม่ชอบอัชฌาสัย เห็นหนักใจที่จะเข้าเฝ้าถวาย
จึ่งเรียนรอขอให้รับไว้กับกาย นิมนต์ผายผันไปกับกองทัพพลัน
เมื่อกองทัพกลับมาข้าพเจ้า จะตามเฝ้าทูลถวายเหมือนหมายมั่น
ท่านแม่ทัพรับคำที่รำพัน จดรายวันเสร็จสรรพได้รับมา ๚ะ
๏ เมื่อหยุดทัพรับข้างโคต่างต้อน เป็นการร้อนรีบรับทัพอาสา
เมืองไหนขาดบาดหมายเอานายมา เสียเวลาล่วงวารประมาณเดือน
ตั้งฝึกหัดจัดท่าทีว่ารบ แล่นตลบลัดไล่ไม่ไหลเลื่อน
ถ้ายืนยิงชิงรบกระทบกระเทือน เสียงสะเทื้อนสะทึกก้องริมห้องธาร ๚ะ
๏ ท่านแม่ทัพยับยั้งเห็นยังว่าง ด้วยม้าช้างช้าไปจึ่งไขขาน
จะครรไลไหว้พระแท่นในแดนดาล ชมสถานทุ่งทางกลางพนา
จึ่งสั่งให้ผูกช้างสล้างสลับ ได้พร้อมสรรพหมอควาญขนานหน้า
เราก็ได้ไปด้วยคิดจิตศรัทธา ขึ้นคชาตามชมพนมจร
ยกยาตรย้ายท้ายเมืองทางเหมืองมุ่ง เป็นชายทุ่งแถวไพรฤทัยถอน
คิดคะนึงถึงยุพาให้อาวรณ์ ล้าแม้นจรมาจะชวนให้ยวนยล
สารพันสรรพพืชผลพฤกษา ยอดระย้าคลี่แย้มดอกแกมผล
เถากล้วยไม้ใบดอกออกระคน ขึ้นกับต้นตาลเต็งดอกเบ่งบาน
เล็บมือนางลางไม้เหนี่ยวก้าวเกี่ยวเลื้อย ลำต้นเฟื้อยแลแฝงดอกแดงฉาน
พวงพะยอมหอมระเหยแลเลยลาน พอคชสารถึงกระสินธุ์ท่าดินแดง
หยุดเสพพักตร์โภชนาเวลาเช้า ในทรวงเศร้าสุดที่จะชี้แถลง
สู้ขมขืนกลืนกล้ำกินน้ำแซง แม้นจะแจ้งใจจริงสุดสิ่งเทียม
แล้วข้ามลำน้ำไปขึ้นไร่อ้อย คิดละห้อยมิได้หายนึกอายเหนียม
ยิ่งโศกเชื่องเงื่องงมให้ตรมเตรียม จะเทียบเทียมทุกข์ทับอัประมาณ
ถึงบึงใหญ่ไสช้างไปกลางเหมือง ชื่อฟ้าเลืองแลหลงพงละหาน
เช้าบ้านดงพงยางขึ้นทางดาน มีหมู่บ้านปายางอยู่กลางดง
ทุ่งสามขาน่าสงสัยฤทัยแหนง ครั้นจะแย้งยักถามตามประสงค์
ช้างย้ายโยกโงกงูบกูบไม่ตรง นั่งโงกงงโงงเงงโคลงเคลงคลอน
หนองกระเบื้องเนื่องน้ำในลำหนอง นกยางหงองหงิมเหงาจับเจ่าขอน
ย่องหาเหยื่อเกลื้อกระเพาะเที่ยวเสาะซอน ไม่แรงร้อนเหมือนเราหาสุดานาง
นกกาน้ำดำมัจฉาไล่คว้าจับ เหมือนเรียมรับขวัญขนิษฐ์ไม่คิดหมาง
บกอีลุ้มลุ่มหลงลงอยู่กลาง เที่ยวไล่คว้างเหมือนพี่คว้าสุดาดวง
พลางดั้นดัดลัดดงเข้าพงพฤกษ์ ไม่วายนึกนกไร้ในไพรหลวง
กะลิงเกาะแก้วบินกินจันพวง กะลางล้วงเลียบเลาะเสาะแมลง
กะลุมภูคู่ลำพังฟังเสนาะ เรียกเพื่อนเสาะผลไทรบังใบแฝง
เขาขันคูคูหาคู่อยู่กลางแปลง กระทาแฝงเฝ้าปักหากระทาดง
ฟังเสียงนกเสียดในฤทัยเสียว จะแลเหลียวล้วนแต่ไม้ไพรระหง
ต้นเต็งรังมะสังซุ้มเป็นพุ่มพง มะปรางปรงปริงปรูประดู่แดง
ต้นสนสักหักเกี่ยวเหนี่ยวตาเสือ มะแว้งเจือจริงจ้อจันพันธุ์ชมแสง
ลัดดาเฟื้อยเลื้อยลดมีมดแดง เข้าเกาะแฝงใบฝังทำรังรอง
ลัดในดงลงในทางออกกลางทุ่ง แต่ใจมุ่งหมายมิตรไม่คิดสอง
ชมนกไม้ไพรป่านัยน์ตามอง จิตนั้นปองคะนึงนุชสุดรำพัน
พระสุริยนสนธยาให้ว้าหวาด น้ำค้างหยาดเย็นใจกลางไพรสัณฑ์
หริ่งหริ่งเรียงเสียงเรไรในอรัญ จักจั่นร้องร่ำส่ำสำเนียง
ยิ่งมืดค่ำคล้ำคลุ้มเดินดุ่มเดาะ พลางพูดเคาะแคะกันสนั่นเสียง
ข้างแม่ทัพขับปร๋อไม่รอเรียง เงียบสำเนียงลับป่าพนาเนิน
จึ่งกู่ก้องร้องหาในป่าชัฏ ก็สงัดเงียบทางที่กลางเถิน
เห็นกองไฟใสสว่างอยู่กลางเนิน จึ่งรีบเดินด้นไปว่าไฟคอย
ครั้นเข้าใกล้ไฟดับก็กลับมืด เป็นพุ่มพืชพาเฝือเหลือละห้อย
คิดคำเขาเล่าว่าตามป่าดอย โขมดคอยคนไปเอาไฟลวง
ล่อให้หลงเข้าดงชัฏสลัดทิ้ง ให้นอนกลิ้งเอกาอยู่ป่าหลวง
บางทีเห็นเป็นเคหากานดาดวง ถูกผีหลวงหลงหลับอยู่กับไพร
คิดแล้วขืนฝืนเฝือเหลือวิมุต ผีจะฉุดชักพาไปท่าไหน
ผีเอ๋ยผีผีเอ๋ยพาข้าครรไล ผีจงได้พาเดินอย่าเกินทาง
พอลมพัดปัดเป่าไฟเถ้าลุก เห็นทั่วทุกทางคิดจิตขนาง
ที่กองใหญ่ไฟโพลงแลโล่งทาง เลิกสว่างวาววับแล้วดับไป
จึ่งกระจัดขัดใจมิใช่ผี อันวาทีกล่าวเกลื่อนเห็นเลื่อนไหล
แม้นงวยงงหลงแลเอาแน่ใจ ผีกองไฟพาเพ้อละเมอมี
พอออกทุ่งไผ่กิ่วก็ลิ่วลับ มืดพยับย่างไปในวิถี
ถึงวัดสว่างทางสะท้อนถอนทวี ไม่ส่องสีแสงเหมือนนามให้วามวาว
บ้านไทยเตยเป็นลาวชาวบ้านไร่ เขาก็ไฟสงฟางอยู่กลางหาว
บ้านไผ่เขียวผู้คนไทยปนลาว เร่งช้างก้าวโดยลำลองถึงคลองเตย
บ้านไผ่ล้อมค้อมคู้หมู่ไม้ไผ่ บ้านนาใหม่เป็นหมู่ตั้งอยู่เฉย
ถึงทุ่งยั้งหยุดช้างเข้าข้างเกย ค่อยเสบยเบาอุราที่อาวรณ์
เห็นผู้คนยลยืนดื่นระดับ ท่านแม่ทัพทอดเอกเขนกหมอน
อยู่บนศาลาใหญ่ที่ในดอน พร้อมนิกรแน่นอนันต์ในศัลลา
พวกหมื่นขุนคั่งคับกับผู้รั้ง เมืองทุ่งยั้งอย่างอารีดีนักหนา
แต่ไปเที่ยวเจียวยังกอบชอบอัชฌา ถ้าแม้นมาราชการจะปานไร
พอหยุดนั่งยกเนื่องเครื่องสำรับ เป็นลำดับฝาชีแดงตกแต่งให้
เลี้ยงเอมโอษฐ์โภชนาประสาไพร ดูมิได้มีรังเกียจให้เคียดเคือง
ครั้นสำเร็จเสร็จพักสำนักนิ่ง ให้คิดกริ่งใจเหลือถึงเนื้อเหลือง
แม้นมาด้วยช่วยฤทัยให้ประเทือง พอเป็นเครื่องคำรบอาสน์ศาสดา
นี่มาเดียวมิได้มีศรีสวัสดิ์ เหมือนหนึ่งตัดเครื่องประทิ่นกลิ่นบุปผา
มีแต่ธูปเทียนทองของน้องมา จุดบูชาพอเป็นเชื้อที่เจือจาง
ลงนิ่งเหงาเศร้าทรวงจนง่วงหลับ พอสุรศัพท์สกุณาในป่าก้อง
ก็พลิกฟื้นตื่นแจ้งสร่างแสงทอง ออกจากห้องศาลาจรลี
เห็นอารามงามรื่นพื้นสถาน ชื่อพิหารมหาธาตุสะอาดศรี
กำแพงแก้วแถวห้อมล้อมเจดีย์ เข้าชุลีแลให้อาลัยลาน
ดูเอี่ยมเอกวิเวกว่างกลางอาศรม รื่นอารมณ์ด้วยพฤกษาพนาสาณฑ์
แล้วก็ออกนอกอาวาสเห็นลาดลาน ล้วนแดงดาลดูขุมเป็นหลุมคลี
ว่าลานเงาะเดาะลูกชัยได้ชนะ ต่อองค์พระอิศโรท้าวโกสีย์
ทั้งหกเขยขายหน้าไม่พาที พระบิดาชนนีก็ปรีดิ์เปรม
ทั้งเจ้าเงาะรจนาหน้าสุกก่ำ ได้ขึ้นน้ำนั่งพลับพลาหน้าเป็นเหม
ที่ชังหายพรายพริ้มดูอิ่มเอม สุขเขษมสมบูรณ์พูนทวี
แล้วครรไลเลยลาศค่อยยาตรย่าง ตามแถวทางทิวไม้ชายวิถี
พื้นศาลาแลงลาดสะอาดดี พอถึงที่วัดพระยืนค่อยชื่นลม
เข้ามณฑปพบพระพุทธบาท แลวิลาสลานจิตทองปิดถม
เป็นคู่ตั้งหวังจะวัดขัดอารมณ์ ลงนั่งชมชวนชิดเข้าพิศพรรณ
แม้นน้องมาจะยืมผ้าสไบวัด คงจะปัดปิดกุมปทุมถัน
ได้ชมงอนค้อนพี่ยาตาเป็นมัน ประชดประชันป้องปัดด้วยขัดใจ
ดำริพลางทางหาลัดดาวัด โดยขนัดศอกหนึ่งตรงอย่าสงสัย
กว้างสิบนิ้วคิ้วขอบกรอบละใบ แลประไพงามจังหวะลายกระจัง
ที่ฐานปัทม์กลีบบัวกลั้วทองทึบ ดูสะพรึบสะพรั่งลายระบายฝัง
แล้วออกมาหน้าลานขานระฆัง เสนาะดังแข็งขับกับกระดึง
เจดีย์งามสามองค์ทรงค้อมค่อม ตะล่อมป้อมเป็นปุ่มคล้ายพุ่มผึ้ง
แล้งลงเนินเดินไปใจคะนึง คิดรำพึงแม้นได้พาสุดาจร
จะชวนชมรุกขาในป่าเปลี่ยว นี่มาเดียวมิได้ยลวิมลสมร
แม้นมาคู่ดูไม้ที่ในดอน จะได้วอนถามพฤกษาบรรดามี
ต้องเดินพึมหงึมเหงาเข้ามณฑป ประนมนบแท่นพระชินศรี
จุดธูปหอมพร้อมประทิ่นกลิ่นมาลี สดุดีนบหน้าตั้งอารมณ์
สวดการุญคุณพระธรรมที่พำนัก คือไตรลักษณ์ที่รำลึกนึกปฐม
เมื่อองค์สัมพุทธพระโคดม ทรงบรรทมแท่นศิลาเอกากาย
ได้โปรดสัตว์ตัดบ่วงห่วงสงสาร เหมือนเพลิงผลาญกิเลสล้างให้ห่างหาย
ได้ผ่องพักตร์มรรคผลพ้นอุบาย แล้วก็ผายผันหนีเข้านิพพาน
แม้นพระองค์คงคืนฟื้นมาได้ คงโปรดให้เรียมกำจัดประหัตประหาร
ดับโทโสโมหาโลภาพาล ราคาราญรอนสำเร็จเด็ดกระเด็น
แม้นโปรดให้ไปจะย้อนมาวอนน้อง เข้าสู่ห้องนฤพานดับการเข็ญ
สละล้างทางวิบากที่ยากเย็น ไม่เวียนเป็นวนตายสบายดี
คิดคิดขำรำลึกนึกหัวเราะ ถ้าแม้นเหมาะเหมือนหมายไม่อายผี
ได้หลีกพ้นคนพาลาที่บาบี เข้าบุรีนฤพานสำราญใจ
พลางดูแท่นแผ่นผาศิลาลับ เข้าลูบจับจิตพะวงคิดสงสัย
เห็นพื้นแผ่นแล่นตะกั่วบุทั่วไป แลข้างในปูนสอก่อขึ้นมา
สูงหนึ่งศอกเสริมวางกลางมณฑป วัดตลบเหลี่ยมแท่นที่แผ่นผา
ได้หกศอกหกนิ้วยาวดังกล่าวมา กว้างได้ห้าศอกชัดสกัดกัน
ที่กลางแท่นทำเป็นช่องมองแล้วล้วง เป็นรุ่งร่วงรอยกลมช่างคมสัน
สำหรับใส่เงินทองของสำคัญ เป็นเครื่องกัณฑ์เก็บใส่ไว้บูชา
ชื่อพระแท่นแผ่นผาศิลาอาสน์ ไยมาดาดดีบุกไว้ไฉนหนา
นั่งพินิจพิศวงนึกสงกา สุดปัญญาที่จะแยกออกแจกแจง
ทัศนาอุโบสถงามหมดเหมาะ ช่างจงเจาะจัดไว้มิได้แหนง
พื้นศิลาลาดเลี่ยนเขาเปลี่ยนแปลง ค่อยตกแต่งสะอาดตาไม่ราคิน
โบสถ์ด้านขวางกว้างยี่สิบสี่ศอก ยาววัดออกสิบวาน่าถวิล
เสาทาชาดพิลาสล้วนก็ควรยิน ทรงกระบินทองระบายเป็นลายลอย
ผนังเขียนรูปภาพสอดสาบสี เรื่องบาลีละกิเลสเหตุละห้อย
รูปพระสงฆ์ปลงอสุภด้ายบุบดอย ตราสังร้อยรัดทิ้งดูนิ่งนอน
แลดูบานทวารวุ้งเป็นรุ้งร่วง สลักดวงดอกผการุกขาขอน
มีรูปเทพนมรายขจายจร นาคกินนรนรสิงห์งามจริงเจียว
สิงโตตั้งตากลมอมลูกหิน ไม่มีลิ้นแลแปลกยังแยกเขี้ยว
คอหอยตันฟันมีอยู่ซี่เดียว ทำองค์เอี้ยวโอษฐ์อ้านัยน์ตาพอง
กำแพงแก้วก่อกั้นเป็นคันคอก ที่มุมศอกมีพุทราสาขาสอง
ยอดเอนสู่บูรพทิศดังจิตปอง เอาอิฐกองก่อกันไว้มั่นคง
ซึ่งเรียกว่าพุทราที่แขวนบาตร พึ่งผุดผาดผ่องพ้นต้นระหง
พื้นอาวาสกวาดกว้างในกลางดง มีคนคงคอยรักษาพระอาราม
อนึ่งเขาเล่าบอกว่านอกวัด ด้านสกัดกำแพงกั้นสำคัญห้าม
ใครฝ่าฝืนขืนด่วนทำลวนลาม แล้วเกิดความผีจะคว้าพาเอาไป
นึกอยากดูรู้แน่ไปแลลอบ เห็นคันขอบโขดเขินเนินไศล
เขาตัดถางพลางรุมเข้าสุมไฟ ตลอดในแนวหน้าพนาเนิน
แล้วลัดลงตรงทางอุดรทิศ เห็นสระอิฐเอี่ยมสำอางอยู่กลางเถิน
เขาก่อกันคันขอบรอบจำเริญ ค่อยเลียบเดินดูดาษสะอาดดี
จัตุรัสทัศนาแปดวาเศษ โดยสังเกตคิดกะเหลี่ยมสระศรี
น้ำใสเย็นเห็นมัจฉาในวารี ปลากระดี่ว่ายกระดิกระริกเชย
มีศาลาราเรียงอยู่เคียงสระ ยังเรอะระร้างเริดไม่เปิดเผย
สังกะสีมุงปละทิ้งละเลย ไม่น่าเชยชมชื่นเป็นพื้นดิน
กลับขึ้นนั่งยังหน้าพระอาวาส กุฎีดาษอันดับสงฆ์อยู่ทรงศีล
ศาลาใหญ่ยกพื้นลมรื่นริน หอมประทิ่นบุปผชาติลีลาศลม
มีหมากตูมต้นตาลที่ลานวัด ขนุนจัดผลจ้อยคล้ายหอยขม
จำปาออกดอกเด่นน่าเฟ้นดม ขอให้ลมพัดหล่นดลบันดาล
จะเก็บดมชมจำปาในป่ากว้าง พอแก้ร้างร้อนใจกลางไพรสาณฑ์
แทนจำปาผ้าที่หุ้มปทุมมาลย์ ให้หายดาลทรวงนึกเหมือนตรึกตรอง ๚ะ
๏ ฝ่ายชาวชนตำบลไพรที่ในเขต ได้ทราบเหตุก็มารายนั่งขายของ
มีกล้วยอ้อยน้อยหน่าเอามากอง พุทราดองน้ำอ้อยแดงทำแตงเม
ทั้งข้าวหมากข้าวหลามตามมาขาย ผลกล้ายกล้วยส้มมีถมเถ
คำเปลวธูปเทียนบุปผามาออกเด ร่ำร้องเร่เรียกชื้อออกอื้ออึง
ได้ซื้อของลองลิ้มชิมแปลกแปลก แล้วได้แจกทานประเทืองเฟื้องสลึง
ต้องอุทิศจิตจำคิดคำนึง สรรพซึ่งทุกข์อย่าพาลให้ดาลแด
ครั้นหายเหนื่อยเฉื่อยชื่นกลับคืนหลัง ถึงทุ่งยั้งหยุดร้อนลงนอนแผ่
พอแดดอ่อนจรช้างทางนาแค ไปลับแลชมประเทศเขตนคร
ออกเดินทางกลางทุ่งดูวุ้งเวิ้ง ไม่รื่นเริงเร้าในฤทัยถอน
ล้วนลำลาบมาบละเมาะเลียบเลาะจร หลุมลุ่มดอนเดินไปตามใจจง
คลองแม่พร่องต้องข้ามเมื่อยามร้อน น้ำไหลอ่อนอั้นจิตพิศวง
คิดถึงคลองน้ำใจในอนงค์ ดูเต็มคงมิได้ข้องให้พร่องเลย
บ้านต้นขามขามใครที่ในทุ่ง ขามแต่มุ่งเมินหมางห่างเขนย
ด้วยไกลงามขามอารมณ์ที่ชมเชย เมื่อไรเลยจะหายขามที่ความแคลง
มาถึงวัดชายชุมพลเห็นคนกลุ้ม บ้างแอบซุ่มมองดูเป็นหมู่แฝง
บ้างนั่งดูอยู่ริมทางที่กลางแปลง บ้างวิ่งแซงแทรกดูหมู่โยธี
ก็ขับช้างพลางคิดจิตอนาถ รีบลีลาศลับไปในวิถี
ถึงบ้านยางกะใดในบุรี เป็นถิ่นที่สถานเนื่องเมืองลับแล
มีกำนันพันทนายมารายรับ ดูคับคั่งคนลาวทั้งสาวแก่
พักที่บ้านจีนทองอินถิ่นลับแล เขาไม่แชเชือนชอบคิดขอบใจ
แต่งทำเนียบเรียบรายดอกไม้สด ระใบบดลมพัดสะบัดไหว
ใบหมากพร้าวน้าวเหนี่ยวเกี่ยวกันไป พวงใบไทรผูกเสาดูเพราตา
ที่สำหรับรับพหลพลไพร่ เขาจัดไว้วางทีดีนักหนา
ให้พักพวกพลไกรที่ไคลคลา ปลูกไว้หน้าทำเนียบแนวเป็นแถวยาว
มีปะรำโรงเลี้ยงเคียงทำเนียบ ผ้าดาดเรียบบังรวีนั้นสีขาว
ปูเสื่อสาดสะอาดเอี่ยมเยี่ยมกว่าลาว ประชาชาวช่วยชูไม่ดูแคลน
ถึงเวลาหาของปูนปองเลี้ยง ไม่เบนเบี่ยงหลบลี้ช่างดีแสน
ล้วนปลาหมูชูใจมิใช่แกน ไม่เคียดแค้นคืนค่ำก็คํ้าชู
พอนอนม่อยแอบเมียงเลี่ยงมาปลุก เชิญให้ลุกกินขนมข้าวต้มหมู
หมากบุหรี่น้ำชาหาเลี้ยงดู พอเชยชูชื่นอารมณ์ที่ตรมใจ
ครั้นรุ่งเช้าเที่ยวชมนิคมเขต ภูมิประเทศสถานท่าที่อาศัย
ล้วนบ้านลาวเหล่าละเมาะเป็นเกาะไป มีนาไร่เรือกสวนน่าชวนชม
ทุกตำบลบังรื่นพื้นพฤกษา ดังวนาโนทยานตระการสม
หมากมังคุดละมุดม่วงพวงมะยม มีกล้วยส้มจุนเกลี้ยงเรียงจรัล
อีกส้มโอส้มซ่าส้มมาแป้น ส้มแร้นแค้นชิมเปรี้ยวเสียวกระสัน
กลับคายคืนยืนพิศสะกิดกัน ขนลุกชันชาสิ้นทั้งอินทรีย์
จึ่งถามลาวสาวสะเทิ้นเอิ้นส้มสัง ช่างขี้ถังทิ้งสลัดนึกบัดสี
ลาวว่าส้มใส่คำอำคดี ต่างพาทีดูทั่วมะงั่วเรา
เงาะลิ้นจี่ลางสาดหนาดหมากพร้าว ต้นหมากนาวนมวัวแลถั่วเถา
มะไฟมะเฟืองเหลืองหล่นต้นสะเดา สล้างเสลาสูงล้นต้นทุเรียน
ทั้งกล้วยกล้ายหวายหว้าสารพัด สุดจะจัดจำนรรจ์พูดหันเหียน
บุปผชาติดาษดินกลิ่นอาเกียรณ์ เที่ยวเดินเวียนในจังหวัดทัศนา
บางแห่งราบแลรื่นเป็นพื้นทุ่ง ล้วนคันคุ้งโอบตำบลต้นพฤกษา
ทำสี่เหลี่ยมแลหลั่นเป็นคันนา มีธาราไหลรินทั่วดินแดน
บนดอนเด่นเห็นอารามงามสมร ชื่อวัดหม่อนสร้างไว้วิไลแสน
ดูพิจิตรพิศประเทืองดังเมืองแมน มีเขตแคว้นเสมาพระอาราม
ช่างเสริมสรรหน้าบันโบสถ์โสตสะอาด แลพิลาสลอยกว้างกลางสนาม
กุฎีรายชายพฤกษารอบอาราม ค่อยไต่ตามทางเลาะทุกเกาะเกียน
ขนัดเนื่องเมืองลับแลแม้จะเที่ยว ในวันเดียวเดินไม่สิ้นถิ่นเสถียร
พอแดดร้อนอ่อนอกก็วกเวียน ทุ่งหนึ่งเตียนตารื่นแต่พื้นนา
เห็นไม้ปักสี่เสาเสลาสล้าง อยู่ที่กลางทุ่งเล่ห์ลอยเวหา
สำหรับพาดกรวดลาวชาวชนา เมื่อเวลาตรุษสงกรานต์เล่นการปี
แล้วกลับหลังยังที่พักสำนักนิ่ง คิดถึงมิ่งสมรน้องให้หมองศรี
ชมลับแลแลงามตามบุรี ลับยาหยีเหลือจะตรมอารมณ์จร
ลับแลเมืองประเทืองยลผลพฤกษ์ มาลับลึกแลเผินเนินสิงขร
เมืองลับแลแลถวิลแผ่นดินดอน ลับบรรถรที่สถานเดือดดาลใจ
ลับแลแลอนันต์สักพันหมื่น ไม่แลชื่นเหมือนมิตรพิสมัย
ลับแลแลบ้านสถานไพร ลับอาลัยเมื่อจะมาลีลาแล
ลับแลแลเมื่อลาน่าอนาถ ลับเยื้องยาตรแลย่างมาห่างแห
ลับแลเลื่อนลงนาวาตายังแล ลับแลแลแลลับทับทวี
คิดถึงเมืองลับแลที่แลลับ จนเดือนดับอาทิตย์ผ่องขึ้นส่องศรี
ท่านจึ่งลาจีนทองอินด้วยยินดี ไปวารีริมฝั่งท่าบางโพ
มาพักหนึ่งถึงเมืองอุตรดิตถ์ ฤท่าอิฐที่เรือค้าน่าสุโข
แนวชลาท่าอิฐติดบางโพ เป็นท่าโคต่างมาสินค้าลง
เมืองแพร่น่านล้านช้างยางพม่า กะเหรี่ยงข่าลาวในไพรระหง
ทั้งเงี้ยวฮ่อใช้ล่อต่างมาทางดง เป็นท่าส่งของขายชายชลา
มีลูกเล่วกระวานครั่งทั้งยาฝิ่น ตามแต่ยินดีมาดปรารถนา
ทั้งหนังเขาป่านปอแลนองา ไหมมาลาแลศรีไม่มีมัน
พวกเจ๊กไทยทอดท่าแพนาเวศ มีผ้าเทศของไทยไว้ผ่อนผัน
เอาเงินซื้อหรือจะแลกยักแยกปัน เขาจัดหันหาตอบให้ชอบชน
แล้วปลงช้างค้างคืนขึ้นสำนัก เข้าหยุดพักพิงพะวัดถนน
ผู้รักษาเมืองลับแลมาแจจน เป็นทำวนแวดระวังมานั่งกอง
ด้วยบ้านตั้งอยู่ริมฝั่งอุตรดิตถ์ มากอบกิจการระไวมิให้หมอง
ทุกสิ่งสรรพรับเลี้ยงเคียงประคอง อเนกนองเจือจานทั้งหวานคาว
ครั้นเย็นย่ำค่ำนอนหยุดผ่อนพัก ดูคึกคักโยธีเสียงมี่ฉาว
พระพายพัดหยาดน้ำค้างลงพร่างพราว อนาถหนาวนิ่งสะท้อนนอนศาลา
ไม่มีบานทวารบังประดังพัด ดึกกำดัดดาวพร่างกลางเวหา
ดูดวงเด่นเห็นสลับระยับตา ชมดารารายประจำที่อัมพร
ลมสงัดพัดระงับหลับสนิท พระอาทิตย์อุทัยเผินเนินสิงขร
ท่านแม่ทัพกลับมาทางสาคร เราดั้นดอนเดินป่ามาลำเค็ญ
หยุดนอนดงพงพื้นอีกคืนหนื่ง ต่อรุ่งจึ่งเดินแดนดูแสนเข็ญ
ช้างย้ายโยกโงกงูบกูบกระเด็น ก็ตื่นเต้นวนวิ่งเป็นสิงคลี
หมอสับฟันมันเท่าไรก็ไม่หยุด ช่างรีบรุดเร็วจริงออกวิ่งจี๋
ร้องแปร๋แปร้นแล่นไปในพงพี หูหางชี้หมอกระชากอ้าปากกลวง
ครั้นสิ้นฤทธิ์ร้องโอกเขาโขกสับ จนย่อยยับยืนเซาดูเหงาง่วง
เลือดออกอาบฉาบชาดยืนฟาดงวง น้ำตาร่วงไหลรินสิ้นลำพอง
เห็นช้างเหงาเศร้าซึมเดินงึมเงื่อง เฝ้าคิดเรื่องนิราศนางมาหมางหมอง
คเชนทร์เหงาหรือจะเท่าเราตรมตรอม คะนึงน้องมาจนที่เมืองพิชัย ๚ะ
๏ ฝ่ายกองเวรเกณฑ์หัวเมืองเนื่องสมทบ มาบรรจบจัดรับกองทัพใหญ่
ทั้งม้าช้างโคต่างเนื่องเมืองที่ไกล พร้อมนายไพร่แซ่ส่ำโดยจำนง
ตรวจบาญชีถี่ถ้วนจำนวนหมาย เรียกชื่อจ่ายจดนามตามประสงค์
กำแพงเพชรร้อยคนรณรงค์ ช้างก็ส่งยี่สิบพอดิบดี
ทั้งหมอควาญสัปคับมีสรรพเสร็จ โดยเขบ็จนายบังคับกำกับที่
พระอินทร์แสนแสงตำแหน่งมี คุมโยธีเทียบทัพรับบัญชา
เมืองสวรรคโลกนายไพร่ก็ได้ร้อย ไม่มากน้อยยี่สิบช้างอย่างที่หา
พระพลสงครามหมายเป็นนายมา นำคณานอบนบอภิวันท์
เมืองเถินนี้มีจำนวนถ้วนสิบช้าง ไม่คั่งค้างรีบรัดเร่งจัดสรร
ช้างเมืองแพร่ห้าสิบถ้วนจำนวนปัน โคต่างนั้นห้าร้อยไม่ถอยทด
นายกำกับโคต่างช้างนี้ไซร้ พระยาไชยประเสริฐความนามปรากฏ
เป็นหัวหน้านำพหลพลคช มาประณตน้อมคำนับกำกับไป
จึ่งจัดจ่ายรายกองตามจองจด กะกำหนดที่จะยกทัพบกใหญ่
ขุนสิงหนาทกองหน้าให้คลาไคล คุมปืนใหญ่ล่วงหน้าไม่ช้าการ ๚ะ
๏ เวลานั้นท่านแม่ทัพต้นรับสั่ง ประกาศตั้งนายทัพบังคับทหาร
เพื่อเสียทีชี้ขาดราชการ มิให้คร้านครั่นท้อต่อณรงค์
ท่านชี้แจงแจ้งความตามกระแส ให้เห็นแท้ทางจริงสิ่งประสงค์
เมื่อพลั้งพลาดชีวาตม์วายทำลายลง การณรงค์เรียงรับบังคับไป
เป็นที่หนึ่งที่สองรองเสนอ คอยบำเรอราชกิจวินิจฉัย
คิดไว้เพื่อเกิดเข็ญจะเป็นไป จึ่งจะไม่เสียการที่ราญรณ
จึ่งเขียนนามตามบาญชีที่ทรงโปรด แล้วก็โวดวางลำดับไม่สับสน
ชื่อใครมากฉลากหมายเป็นนายพล ตั้งกมลมุ่งทำสำมัคคี
ได้ที่หนึ่งที่สองจัดจองเสร็จ รวมได้เจ็ดนายจำนงลงดิถี
เดือนอ้ายแรมค่ำอังคารทิวารมี ดังวาจีจดจำเป็นสำคัญ
ให้นายทัพกำกับกองจงครองจิต อย่าทำผิดผวนแผกให้แปลกผัน
รักษากิจอิศเรศจอมเขตคัน ให้การนั้นล่วงลุเหมือนจุจง
แล้วประกาศธงชัยวิไลเลิศ แสนประเสริฐสุดฤทธิ์พิศวง
เป็นธงรบสำหรับรับณรงค์ ก็ล้อมวงจิตหวังจะฟังความ ๚ะ
๏ ดำเนินสารอ่านเสนอบำเรอราช โดยพระบาทธิบดินทร์ปิ่นสยาม
ทรงโปรดปรานประทานธงสู่สงคราม ซึ่งมีนามในอังกฤษเรียกริชแมน
เป็นสง่าหน้าศึกให้ฮึกเหิม แลเฉลิมลักษณ์เลิศประเสริฐแสน
ปลุกใจรื่นชื่นชมระดมแดน ดังจะแล่นโลดไล่ล้างไพรี
เป็นที่หมายนิกายกองคะนองนับ สำหรับทัพทุกประเทศพิเศษศรี
ให้กลั่นกล้าร่าโรมกระโจมตี ไม่บิ่นบี้ย่นยู่กับหมู่พาล
ตั้งจิตจงเหมือนหนึ่งองค์อิศเรศ มาปกเกศกั้นเกล้าเหล่าทหาร
อำนาจธงดังองค์อวตาร มาล้างมารหมู่อมิตรที่คิดคด
รับอาสาฝ่าละอองฉลองบาท ให้สมชาติชายกล้าเห็นปรากฏ
คิดพระคุณจุณเจิมเฉลิมยศ จงกำหนดนับถือคือพระองค์
ธรรมเนียมชายนายทหารเหมือนสารกล้า เข้าประงางวงชูดูระหง
สงวนงวงหน่วงอารมณ์ไม่งมงง จนชีพปลงมิได้ปละสละงวง
อันยอดธงได้เชิญองค์พระศกสถิต มาประดิษฐ์ประดับสนองเป็นของหลวง
จงหมายหนึ่งพึงยลกระมลดวง เป็นแน่หน่วงดังพระองค์มาทรงทัพ
ตั้งเคารพนบนาถบาทบพิตร อันสถิตธงทำมาสำหรับ
เชิญประพาศพิฆาตพาลให้ลานลับ จนย่อยยับเยินแหลกตื่นแตกไป
แม้นข้าศึกฮึกรอเข้าต่อฤทธิ์ จงตั้งจิตจับมันอย่าหวั่นไหว
รักษาองค์ธงสำคัญให้มั่นใจ อย่าทำให้ศัตรูมันดูแคลน
อันการทัพจับศึกนึกประสงค์ ก็หมายธงทัพกันเป็นมั่นแม่น
อันทัพใดในพิภพจนจบแดน ถ้ามาดแม้นทิ้งธงแล้วคงลือ
จะเสื่อมเชื้อเสียเช่นเป็นทหาร จนอวสานล่วงลุระบุชื่อ
ให้ปรากฏพจน์นิพนธ์คนระบือ พิไรรื้อร่ำเรื่องกระเดื่องดิน
แม้นสวัสดิ์วัฒนาถาวเรศ ทุกประเทศน้อยใหญ่มิได้หมิ่น
กระเดื่องชื่อลือชาไม่ราคิน ชั่วฟ้าดินเด่นช่วงดังดวงจันทร์
จบสำเร็จเสร็จประกาศราชฤทธิ์ พระโมลิศเลิศมกุฎสุดสวรรย์
ถวายคำนับนบน้อมลงพร้อมกัน กระมลมั่นมุ่งหมายไม่วายวาง ๚ะ
๏ เวลานั้นพระยาศรีสิงหเทพ ได้มาเสพสมสนิทไม่คิดหมาง
รวมราชการกองจ่ายรับรายทาง ท่านจัดข้างพนักงานการเสบียง
ตั้งยุ้งฉางทางทอดเป็นระยะ ได้เกณฑ์กะไพร่สมทบไม่หลบเลี่ยง
ด้วยผู้รั้งกรมการด้านข้างเวียง หมดทั้งเลี้ยงสิทธิ์ขาดมหาดไทย
ได้แจ้งความตามที่มีโอวาท ว่าอนุญาตยกยศให้สดใส
โปรดประทานตรามงกุฎผุดประไพ เพิ่มยศให้เจ้าสถานน่านนคร
แล้วจะเกณฑ์พหลพลรบ เข้าสมทบที่ในการราญสมร
ท่านแม่ทัพสดับแจ้งแห่งสุนทร จึ่งยกย้อนทัพใหญ่ไปด้วยกัน
กับพระวิภาคภูวดลคนแผนที่ มาพาทีทุกข์ร้อนได้ผ่อนผัน
จะรีบล่วงหน้าไปในอรัญ กลางไพรวันเกรงพาลาจะราวี
จึ่งสั่งให้ลุดเตอร์แนนต์นายปุ้ยรับ คุมพลสรรพกล้าศึกไม่นึกหนี
สามสิบสองคนรักษาการราวี เข้าพงพีล่วงลับลำดับไป ๚ะ
๏ ครั้นถึงวันฤกษ์ดีจะกรีทัพ จัดเสร็จสรรพบัตรพลีคัมภีร์ไสย
บวงสรวงเทพทุกสถานพิมานชัย ประตูไพรมีพระประน้ำมนต์
ทหารรบเรียบพื้นปืนปลายดาบ เป็นมันปลาบปลั่งมองสยองขน
เหน็บเซ็กใส่ไหล่ผึ่งน่าพึงยล ทุกทุกคนยืนเคียงอยู่เรียงราย
ออฟิเซอร์สวมสะพายสายกระบี่ ขึ้นควบขี่ม้าตรวจทุกหมวดหมาย
เป็นกองหน้าร่าเรียงเคียงนิกาย หัวหน้านายหลวงจำนงให้คงคุม
ที่สองกองพระพลคนเกณฑ์หัด เอามาจัดจ่ายพอมรสุม
ถืออาวุธเหวี่ยงวัดไม่รัดกุม หลังคุ่มคุ่มไหล่ค้อมดูซอมซอ
ที่สามพลคนเมืองแพร่แลพิลึก ขาสักหมึกดูมนเหมือนก้นหม้อ
เจาะหูกว้างต่างยัดดูอัดออ พูดออกจ้อเสียงแจ้วว่าแกล้วดี
กองพิเศษที่กำกับกองทัพหน้า นั้นคุณจ่ายวดแจ้งตำแหน่งที่
ขับม้าตรวจหมวดหมายรายโยธี ประจำที่นิ่งอยู่คอยดูธง ๚ะ
๏ พลช้างยืนช้างวางระยะ ที่หนึ่งพระไชยเฉิดระเหิดระหง
ออกนำหน้าร่าหรับรับณรงค์ ศุภมงคลคุ้มคุมนิกร
ที่สองข้างปืนมอต้าง่าศักศอก ตัวละบอกบรรทุกใส่ประไพสร
ยินเคียงคู่ดูงามตามกุญชร งางามงอบแหงนเงยเสยพระพาย
ที่สามช้างธงชัยวิไลลักษณ์ เป็นเอกอัครอุดมแสงดูแดงฉาย
งามสีทองรองเรืองเลื่อมเหลืองพราย พอพระพายพัดพานดูลานตา
มีทหารแตรเรียงเดินเคียงข้าง แลสล้างสลับรายทั้งซ้ายขวา
สวมเสื้อยันต์คาดกั้นหยั่นพันกายา แม้นพบข้าศึกเป่าเร้าระดม
ที่สี่ช้างเบาะใส่ให้คนขี่ เขด็จสี่คนสำรวยดูสวยสม
ปืนสำหรับจับประจำช่างขำคม ดูน่าชมช้างคู่ยืนอยู่เคียง
มีเขด็จเดินลำดับกำกับแถว ถือปืนแซ่วนิ่งเซากระเส่าเสียง
พอสาวสาวชาวพิชัยมาใกล้เคียง ให้หมากเมี่ยงกินบ้างค่อยสร่างเซา
ช้างแม่ทัพที่ห้าดูอ่าโถง ช่างปรุโปร่งเขียนวาดฉลาดเฉลา
ทำอย่างใหม่ใช้ผ้าทาสีเทา ที่แหย่งเอาปรอนปรายให้รายเรือง
ทำแผงแผ่นแทนกระดานสานตอกย้อม ลายหย่อมหย่อมดำระคนเข้าปนเหลือง
ไม้แกงแนงแนบสนับทับประเทือง ไม่กระเดื่องกระดกตั้งหลังคเชนทร์
ผูกผ่านหน้าผ่านท้ายไม่ย้ายโยก จะขึ้นโคกโขดเขาเป็นกราวเขน
รัดประคนหนังขนาบทาบคเชนทร์ ไม่เอียงเอนผูกพันดูมั่นคง
งามหัตถีทีท่าดูร่าหรับ สัปคับแลเลิศระเหิดระหง
งามกูบกั้งบังแสงสุริยง ดูสมทรงคชสารละลานตา
ช้างที่หกพระพาหลวิมลเหมาะ ดูหยดเหยาะอย่างวิจิตรคิดเลขา
ทหารแซงสองข้างทางมรรคา ถัดถัดมาช้างนายนายยืนรายเรียง
ช้างที่สุดใส่ของในกองทัพ เป็นลำดับดาษด้าวไม่ก้าวเกี่ยง
โคต่างต่อนล่วงไปมิใกล้เคียง ก็เรียบเรียงรอฤกษ์เบิกทวาร ๚ะ
๏ ฝ่ายสาวสาวชาวประชาคณาแน่น ดูแห่แหนให้พะวงนึกสงสาร
บ้างสมัครรักรื่นชื่นลำราญ ฤดีดาลแดอาลัยไขสุชล
มาสั่งเสียเคลียคลอดูท้อแท้ ไม่เซ็งแช่กระซิบสั่งนั่งฉงน
บ้างก้มหน้าตาแดงแสร้งทำกล น้ำตาหล่นไหลซาบลงอาบปราง
เรียมยืนยลอ้นอั้นคิดขวัญข้าว ให้สร้อยเศร้าเสียวในหทัยหมาง
เขาจากชู้เจียวยังช้ำทำระคาง พี่จากนางนึกน่าระอาอาย
ปานนี้น้องจะนองชลสกนธ์ซูบ สิริรูปโรครักไม่หักหาย
ปรางเคยปรุงฟุ้งประทิ่นกลิ่นอบอาย จะฉลายแลอาบคราบสุชล
ขอฝากคำอำลาสุดาด้วย เทพช่วยชี้แถลงแจ้งนุสนธิ์
ว่าเรียมลายาหยีนิฤมล เข้าไพรทนเทวษนองกองระกำ
สามโมงเข้าทัพชัยก็ไคลเคลื่อน วันศุกร์เดือนอ้ายแรมสิบเอ็ดค่ำ
ทั้งเสียงแตรแซ่ประสานขนานนำ เป็นที่สำคัญบอกให้ออกเดิน
พลเท้าก้าวกรายขยายย่าง พลช้างชูเชิดระเหิดเหิน
พลม้าร่าหรับลำดับเดิน ไม่ก้าวเกินเกะกะไปปะปน
เป็นหมวดหมู่ดูดื่นครึกครื้นครัน บรรลือลั่นแหล่งหล้าก้องกาหล
เป็นฝุ่นฟุ้งมุ่งมัวทั่วสากล ดำเนินพลม้าโผนโขลนทวาร
พระสงฆ์สวดพระปริตรประสิทธิ์รด ม้าพยศคนขยับขับขนาน
น้ำมนต์ปราดม้าปร๋อห้อทะยาน คชสารน้ำสาดไม่ปราดเปรียว
พอล่วงบานทวารวับก็ขับช้าง วิเวกว้างวาบไหวฤทัยเสียว
เห็นพหลกล่นเกลื่อนเหมือนมาเดียว เพื่อนเขาเกรียวเรียมกรุกทุกข์ระทม
อยู่บนช้างพังตุ้มเดินดุ่มเดาะ ย่างเหยาะเหยาะกระดึงดังฟังขรม
บางช้างผูกลูกเกราะเคาะระงม ระบายลมใบไม้หล่นปนกระดึง
ใบไม้กราวเกราะกริกกระดิกกระดิ้ง เสียงกริ่งกริ่งโกร่งกร่างครางหึ่งหึ่ง
จักจั่นลองไนเรไรรึง เข้าเกาะกรึงกรวดกระแสงแข่งสำเนียง
อยู่บนต้นเต็งรังฟังเสนาะ ช่างไพเราะหริ่งเรื่อยฉ่ำเฉื่อยเสียง
ล้วนหมู่ไม้รายรื่นบนพื้นเพียง จรัลเรียงรารอจรลี
เป็นวันแรกจะรีบเดินให้เกินนัก ไม่หยุดพักพาลจะเพลียซูบเสียศรี
พอบ่ายโมงหนึ่งสำนักพักโยธี ทอดพักที่ทุ่งท่านาคะนึง
ปล่อยโคต่างช้างม้าออกคล้าคล่ำ ลงเล่นน้ำหนองกว้างเสียงผางผึง
บ้างลำพองร้องเร้าเฝ้าคะนึง บ้างยืนบึ้งบ่มมันหูชันเชิง
ลูกช้างน้อยน่าเอ็นดูอยู่กับแม่ เห็นคนแปร๋แปร้นไล่ครรไลเหลิง
เที่ยวไล่หลงวงกลับวิ่งหรับเริง ไปยืนเบิ่งเบียดมารดางวงคว้านม
หมู่สินธพตลบไล่กันในทุ่ง ต่างหมายมุ่งตัวเมียมองร้องขรม
บ้างขบโขกกระโชกกัดพลัดตกตม บ้างวิ่งดมโดนหางดีดผางไป
เหล่าโคต่างวางวุ่นหลุนหลุนวิ่ง โดนกันกลิ้งกลางนาหน้าไถล
บ้างขึ้นก้นสนจมูกไม่ถูกใคร ระเริงไล่ลับเขาเข้าขวิดดิน
หมู่พหลหุงหากระยาหาร ธุมาการตรลบไปในไพรสิน
เสียงโจษจันอนันต์ขนัดปัถพิน สุดจะยินดีชื่นให้รื่นรวย
บ้างตัดร้างถางรกรีบยกเต๊นท์ บ้างแอบเร้นรกร้อนนอนระหวย
เห็นเต๊นท์ตั้งเต็มพื้นดูรื่นรวย ทุกโกรกกรวยเกรียวกราวออกฉาวไป
เต็นท์แม่ทัพทวยหาญก็ขานฆ้อง สะเทื้อนท้องทุ่งลั่นอยู่หวั่นไหว
ครั้นเย็นย่ำค่ำพลบจุดคบไฟ สว่างไพรแลพราวราวอรัญ
ทหารยามยืนประจำกำอาวุธ คอยยงยุทธต่อแย้งดูแข็งขัน
ใครเข้าออกบอกให้เห็นเป็นสำคัญ ถ้าผลุนผลันแล้วไม่คืนถูกปืนยิง
พอฆ้องลั่นสนั่นก้องได้สองทุ่ม เสียงแตรรุ่มเป่ารับไม่หลับนิ่ง
คือตรวจกองร้องถามตามประวิง ใครละทิ้งหน้าที่หลับปรับประจาน
แล้วเป่าเกริ่นทหารแตรมาแออัด เป็นจังหวัดวงล้อมซ้อมประสาน
เป่าเป็นเพลงเครงครืนรื่นสำราญ ที่สุดสารสรรเสริญพระบารมี
พอฆ้องย่ำยามเร้าเป่าให้หลับ สุรศัพท์สอดช้าต้าตาตี๋
สดับฟังวังเวงเพลงดนตรี แทบจะหรี่เรื่อยอารมณ์ด้วยลมแตร
แต่ผูกพันกระสันเศร้าให้เร่าร้อน นิ่งสะท้อนระทดทรวงถึงดวงแข
แม้นมาเพื่อนพี่จะเตือนให้ชมแตร นี่มาแต่ผู้เดียวชมแต่ลมลอย
รักก็รึงกรึงรัดสัตว์ก็ไต่ มันดุร้ายร่านริ้นบินหยอยหยอย
มาสูบเลือดไหลแลแผลเป็นรอย ตัวจ้อยจ้อยจุบแปลบทั้งแสบคัน
เขาเล่าว่าที่นาคะนึงนี้ พระมัทรีแสนวิโยคหยุดโศกศัลย์
แสวงบุตรสุดร่ำจะรำพัน เฝ้าจาบัลย์บอบระบมตรมกระมล
ให้โศกแสนแน่นในฤทัยระทด เที่ยวบ่ายบทบุกแสวงทุกแห่งหน
พลางครวญคร่ำร่ำรักพะวักพะวน ทุ่งตำบลนี้จึงอ้างนางคะนึง
ครั้นจำเนียรเปลี่ยนแปลงก็แผลงว่า นางเป็นนานั่งพินิจไม่คิดถึง
แท้ก็ข้อต่อเรื่องเครื่องรำพึง แต่ไม่ถึงเทียมเท่าที่เราเตรียม
คะนึงนางมัทรีที่หาบุตร มาถึงกุฏิแจ้งจบสงบเสงี่ยม
คะนึงทัพลับไปใครจะเทียม จะต้องเตรียมตรอมอุราก้มหน้าไป
คะนึงบุตรสุดสวาทจะขาดจิต คะนึงมิตรหมองหน้าเลือดตาไหล
คะนึงนอนดอนเดียวนึกเสียวใจ คะนึงในทุ่งทางที่กลางเนิน
คะนึงอนาถราชกิจฉวยผิดพลั้ง คะนึงทั้งโทษทุกข์จะชุกเฉิน
คะนึงภัยไพรพงดั้นดงเดิน คะนึงเหินห่างเหย้าเฝ้าคะนึง
พะว้าพะวังหวังถวิลไม่สิ้นเสร็จ พอสิบเอ็ดทุ่มกระทั่งฆ้องดังหึ่ง
เป่าแตรปลุกลุกลนเสียงอนอึง ที่คะนึงนั้นค่อยเบาบรรเทาระทด
ล้วนพรั่งพร้อมรอมรัดมัดข้าวของ เป็นกองกองเก็บขนไปจนหมด
เป่าแตรออกบอกยุบลพลคช เป็นกำหนดบอกโยธาให้คลาไคล
ออกเดินดงพงพุ่มชอุ่มพฤกษ์ ล้วนซากซึกสักสนต้นไสว
เต็งรังเรียงร่มรื่นเป็นพื้นไป มากกว่าไม้หมู่อื่นออกดื่นดง
เห็นหนองตับน้ำตื้นมีพื้นกก ช่างดื่นดกดอกใบอาลัยหลง
น้ำเย็นใสในจิตคิดจำนง น่าจะลงอาบเล่นให้เย็นทรวง
ดูกว้างใหญ่ได้สักสองเส้นเศษ ไอยเรศรีลงประจงจ้วง
สูบน้ำซัดโศกกายด้วยรายงวง ช้างพลายล้วงโลมพังกำลังกิน
ที่เรียบรื่นพื้นรายล้วนทรายอ่อน บทจรจวบแควกระแสสินธุ์
เรียกน้ำอ่างหว่างไศลใสระริน เป็นห้วยหินเห็นเวิ้งกระเจิงใจ
มีทำเนึยบสองหลังเขาตั้งรับ แต่ไม่ยับยั้งข้ามธารน้ำไหล
ขึ้นโขดเขินเผินพักสำนักไพร มีป่าไม้บังศรีสุริย์จร
เห็นบ้านลาวแลสลับนับหลายหลัง มาปลูกตั้งเรือนรายชายสิงขร
นายบ้านมาหาแม่ทัพรับสุนทร มีสุกรเป็ดไก่ให้กำนัล
ท่านแม่ทัพรับโดยที่มีระบอบ รางวัลตอบตามจารีตไม่ผิดผัน
เงินเฟื้องจ่ายรายเหล่าที่เผ่าพันธุ์ หัวหน้านั้นให้เสื้อผ้าแล้วลาไป ๚ะ
๏ พอสายัณห์ตะวันจวนจะพลบค่ำ ชายหนึ่งนำหนังสือมาน่าสงสัย
มาส่งให้ท่านแม่ทัพด้วยฉับไว แล้วจึ่งแจ้งไขข้อความตามคดี
ว่ามาแต่หลวงพระบางทางทุรัศ แจ้งกระจัดความว่าพระยาศรี
ศุกราชให้รีบมาไม่ช้าที ท่านจึงคลี่ออกอ่านสารสุนทร
ว่าถึงท่านแม่ทัพต้นรับสั่ง ถ้าผิดพลั้งพลาดพล้ำคำอักษร
ขออภัยในสาราร่ำว่าวอน โดยความร้อนรีบเขียนคำเรียนมา
ว่าพระยาพิไชยเป็นไข้หนัก ให้หอบนักเห็นไม่ฟื้นคืนสังขาร์
แต่เดือนอ้ายขึ้นห้าค่ำเป็นร่ำมา แจ้งในอาการจริงทุกสิ่งอัน
ท่านแม่ทัพสดับสารรำคาญคิด ศึกยังติดต่อสู้เป็นคู่ขัน
ฉวยเพลี่ยงพล้ำทำยากลำบากครัน พระจอมธรรมโปรดให้มาปรึกษาการ
ครั้นรุ่งแสงสุริย์ใสก็ไคลเคลื่อน เสียงสะเทื้อนแถวป่าพนาสาณฑ์
เดินเยียดยัดอัดแอแลละลาน มาในดาลแดนชัฏระบัดบัง
เร่งเดินทัพโดยเร็วข้ามเหวห้วย พรั่งพร้อมด้วยโยธาพลหน้าหลัง
แลดูหลามตามกันมาดาประดัง เพียงจะพังหินผาทุกท่าธาร
ถึงน้ำพี้พักโยธาให้ราเรียบ มีทำเนียบสำนักกลางทางไพรสาณฑ์
สองหลังเรียงเคียงคู่อยู่ในลาน กรมการคอยรับกองทัพราย
มีเรือนอยู่หมู่ประมาณสี่สิบหลัง เขาติดตั้งเตาอัคคีตีมีดขาย
แร่เหล็กดีมีดื่นในพื้นทราย หัวหน้านายแนะชี้คดีแสดง
บ่อหนึ่งเหล็กดีเลิศประเสริฐนัก เขาเก็บรักษาส่งโรงพระแสง
จึงบอกนามตามที่ลือชื่อแสดง บ่อพระแสงสุดฤทธิ์ประสิทธิ์ทรง
ครั้นแจ้งความนามไพรต่างไสยาสน์ ดูดาดาษที่ในไพรระหง
คืนวันนี้หนาวน้ำค้างที่กลางดง เหมือนผีทรงนอนสั่นดูขันจริง
มิได้หลับจับจิตด้วยฤทธิ์หนาว อุระร้าวรุมเพลิงระเริงผิง
ค่อยอุ่นไอไฟดังนั่งประวิง คนยามจริงนำผู้ถือหนังสือมา
เข้าคำนับแม่ทัพแจ้งนึกแคลงจิต จะเป็นกิจการอะไรไฉนหนา
จึงรีบร้อนจรจนพ้นเวลา รับสาราอ่านดูก็รู้การ
ว่าพระยาสุโขทัยเรียนให้ทราบ ฟังสุภาพพจนาที่ว่าขาน
พระยาพิไชยได้รักษาพยาบาล จนถึงการดับชีวันล่วงครรไล
วันพฤหัสบดีจัดจองแรมสองค่ำ เดือนอ้ายจำจดแจ้งแถลงไข
พันสองร้อยสี่สิบเจ็ดศกเสร็จไป นักษัตรในปีระกาไม่คลาคลาย
ท่านแม่ทัพสดับสารรำคาญคิด นั่งพินิจนึกถึงการประมาณหมาย
จึ่งร่างรสพจนารถไม่คลาดคลาย ทูลถวายมาเป็นคำที่สำคัญ
พอรุ่งแจ้งแสงศรีก็ลีลาศ เร่งยกยาตราพหลพลขัณฑ์
ตามป่ากว้างทางพงดงอรัญ ก็ดัดดั้นด้นเดินตามเนิบแนว
เห็นบ้านลาวชาวเหนือมาเจือตั้ง มีเด็กนั่งดูหน้าตาแจ๋วแหวว
พุงก็โรโซงอมผอมแกร็นแกรว มานั่งแซ่วซุ่มมองริมท้องทาง
ข้ามลำเนาเขาเขินเนินไศล ออกทุ่งใหญ่ยาตรเยื้องเข้าเมืองฝาง
เห็นคนลาวกราวกรูดูเดินทาง รีบเร็วช้างฉิวไปมิได้แล
เข้าหยุดยั้งตั้งทัพระดับดาษ ที่ชายหาดละหานธารกระแส
ดูซึ้งใสไหลเลื่อนไม่เชือนแช อยู่ในแควแขวงลำน้ำพิไชย ๚ะ
๏ ฝ่ายเจ้าเมืองกรมการขนานแน่น รักษาแว่นเวียงมาลาอัชฌาสัย
มาคั่งคับรับคำสั่งระวังระไว ทั้งนายไพร่พรั่งพร้อมน้อมประนม
จึ่งสั่งให้เบิกอาหารทะนานนับ ต่างตวงรับตรวจถังฟังขรม
ได้พร้อมเพรียงเรียงตัวทั่วหมวดกรม ทอดอารมณ์แรมช้าสองราตรี
เที่ยวเดินดูหมู่ประชาในคาเมศ แสนสมเพชผอมอดไม่สดศรี
ว่าข้าวแพงแล้งฝนพ้นทวี สัดละสี่สลึงล้นคณนา
ลูกทารกงกงันโดยมันอยาก เก็บเอาหมากฮุงมาปอกออกนักหนา
ยังดิบดิบหยิบกินสิ้นตำรา เวทนาเด็กอดสลดใจ
เห็นลาวแก่แม่เฒ่าเฝ้ากระท่อม ดูเต็มหง่อมงกเงิ่นเดินไม่ไหว
จงไถ่ถามความจนแต่ต้นไป แกเล่าให้แจ้งจำน่ารำคาญ
ว่าความจนข้นแค้นแสนวิบัติ พากันลัดป่าเลาะเสาะอาหาร
ทิ้งบุตรไว้ในระหว่างหนทางธาร เสือมาพานพบเข้าก็เอากิน
ทั้งหิวหาอาหารสงสารสุด ทั้งเสียบุตรวิบัติไปฤทัยถวิล
เป็นสองทุกข์ชุกมาน่าราคิน สุดจะยินยลจำร่ำตะบอย
เราก็ร้างห่างเหเสน่ห์นุช มิได้สุดสิ้นเศร้าที่เหงาหงอย
จะนับวันนับเดือนก็เลื่อนลอย นับปีคอยคาดไปในพนา
แล้วกลับหลังยังที่พักสำนักทัพ เย็นพยัพสุริย์แสงแฝงพฤกษา
ก็นิ่งนอนถอนฤทัยอยู่ไปมา พอนภาผ่องศรีสีรวีวรรณ
ก็เดินทัพลำดับหมู่ดูสล้าง จากเมืองฝางพร้อมพหลพลขัณฑ์
ล้วนโขดเขินเนินไศลในอรัญ คชยันย่างย้ายค่อยบ่ายเบน
แลศิลาผาเผินเนินพนัก วิลาสลักษณ์ลายแดงดังแสงเสน
สลับสีจี่จับกับโกเมน พอสุริเยนเยื้องรถลงบดบัง
ลงเลียบลำถ้ำธารละหานหิน แล้วออกถิ่นทุ่งนาไม่น่าหวัง
อยู่หว่างเขาเว้าวุ้งดูรุงรัง แล้วข้ามฝั่งฟากพ้นชลธี
ถึงชายลาดหาดกรวดประกวดแสง อาทิตย์แจ้งแจ่มจัดจรัสศรี
ช่างอบไอออกรุมสุมอินทรีย์ ทับทวีร้อนรักให้หนักใจ
เห็นบ้านลาวสาวแส้เหลือบแลเหลียว ให้นึกเสียวทรวงกระสันอยู่หวั่นไหว
เรียกผาเลือดบ้านลาวเป็นชาวไพร อยู่หมู่ใหญ่ยลลิบลิบหกสิบปลาย
แต่เช้าจรผ่อนค่ำรีบร่ำรุด คะนึงนุชนึกไปแล้วใจหาย
เดินลำธารดาลแดนแสนระคาย ล้วนกรวดรายราคินกับศิลลา
เลียบละเมาะเกาะกั้นเป็นหลั่นลด เชิงบรรพตปัถพินดินเป็นผา
มีลาวอยู่หมู่อาศัยในพนา นึกก็น่ากลัวเสือเหลือระแวง
ร้อนอารมณ์ตรมไปในวิถี ถึงวัดสีบุญเรืองกุฏิเนื่องแฝง
พฤกษ์สะพรั่งบังวัดเป็นชัฏแซง บ้านตำแหน่งนี้ไม่น้อยสักร้อยเรือน
อยู่ริมฝั่งนทีที่ท่าข้าม เป็นหลั่นหลามแลตั้งทุกหลังเหมือน
เห็นสาวสาวลาวชมอารมณ์เชือน เหมือนแกล้งเตีอนตาให้อาลัยแล
นั่งลอยนวลทวนวารีสีขมิ้น ไม่มีซิ่นพันพุงนุ่งกระแส
จนชักเชือนเบือนบากไม่อยากแล ต้องทำแชชมพระสินธุ์ดูหินดาน
ขึ้นถึงฝั่งตั้งทัพอยู่กับท่า เรียกท่าปลาเข้าประเทศเขตเมืองน่าน
เป็นทุ่งกว้างทางดงพงพนานต์ มีนายบ้านอยู่รักษาท่านิคม
ตำแหน่งยศพจนาพระยาเถื่อน ได้มาเยื้อนเยี่ยมชิดสนิทสนม
โดยระบอบชอบการสำราญรมย์ เขาช่างกลมเกลียวดีทีทำนอง
ครั้นรุ่งเดินเถินทางกลางไศล ล้วนป่าไม้เยือกเย็นเห็นสยอง
เมฆหมอกมัวทั่วสกนธ์เดินขนพอง เสียงนกร้องร่ำรัญจวนเหมือนครวญคราง
ลงจากเนินเดินห้วยเป็นกรวยโกรก ช้างก็โยกยาตรเหย่ารีบก้าวย่าง
น้ำระรินหินราเป็นท่าทาง ตั้งอยู่กลางแลเกลี้ยงค่อยเลี่ยงเลย
ตามริมธารบ้านเถื่อนมีเรือนตั้ง ดูรุงรังรักษากายสบายเฉย
ตัดซุงสักขายกินเป็นถิ่นเคย นามภิเปรยบอกสถานบ้านจริม
ข้ามละหานธารศิลาเข้าป่ากว้าง มีน้ำค้างพร่างพร้อยย้อยหยิมหยิม
ติดทองกวาววาววับเหมือนทับทิม ดังชาติจิ้มจุดเจือดูเรื่อเรือง
เห็นน้ำค้างขังใบพฤกษ์นึกถึงแหวน ยิ่งสุดแสนโศกเหลือถึงเนื้อเหลือง
ทับทิมน้ำก่ำแก่แลประเทือง เหมือนแหวนเนื่องแบบอนามิกากาญจน์
ไปถึงเขินเนินโคกโตรกห้วยไผ่ เสียงเรไรสนั่นร้องท้องไพรสาณฑ์
วิหคเหินเกริ่นไปในพนานต์ ฟังสะท้านแถวพนมระงมไพร
ประสานศัพท์สดับฟังนั่งสะทึก อนาถนึกนกเจ้ากรรมทำไฉน
มาร้องเรียงเสียงเหมือนเรียกออกเพรียกไพร ทั้งเรไรหริ่งรอเข้าคลอคลุม
เห็นพวกพ้องพลกล่นเกลื่อนในเถื่อนทึบ แลสะพรึบสะพรั่งหยุดนั่งขุดหลุม
ตามป่าไม้ชายเชิงเชิงสุมทุม บ้างนั่งกุมเกาะทึ้งดึงเถามัน
ต้นเป็นหนามถามสอบเขาตอบปาก ว่ามันกระชากศีรษะเราสักเท่าขัน
ต้มใส่จานฝานกินสิ้นด้วยกัน รสคล้ายมันมือเสือเนื้อเป็นยาง
แล้วเลียบลัดตัดไปในป่ากว้าง ดูอ้างว้างว้าจิตคิดขนาง
ล้วนโขดเขินเนินแนวในแถวทาง แลสล้างลำไม้ไผ่นางนวล
งามละอองผ่องลออเห็นกอโปร่ง ขึ้นโชลงแลสะพร่าวราวกับสวน
อยู่ริมทางกลางอรัญประชันนวล น่ารัญจวนใจยืดเป็นพืชพัว
ภูเขาเคียงเรียงขึ้นเป็นหลั่นลด ไม่รู้หมดมืดไปด้วยไม้หลัว
แลเบื้องบนอำพนผ่องไม่หมองมัว เบื้องล่างพัวพรรณพฤกษาพนาเนิน
ดูดาษดื่นพื้นผการะย้ายอด ประสานสอดสีงามอยู่ตามเถิน
เห็นเหวลึกนึกอนาถลีลาศเดิน มิได้เมินมองไพรตั้งใจแล
พลางครรไลใจตรมระทมทุกข์ ไม่มีสุขเสียวทรวงถึงดวงแข
แม้นพธูคู่มาจะพาแล ชะโงกแง่เขาง้ำทุกตำบล
พี่มาเดียวเที่ยวชมพนมพนัส เห็นป่าชัฏพุ่มไม้ในไพรสณฑ์
จะหยุดร้อนผ่อนเย็นก็เห็นจน ต้องดั้นด้นเดินไปตามไม้กรุย
เขาเรียงรายหมายปักหลักละเส้น เดินเขม้นมองไพรเห็นไผ่ขุย
ไก่เถื่อนทบหลบเข้าป่าหญ้ารุกรุย เห็นรอยคุ้ยลูกขุยค้างข้างทางจร
ระวังไพรพิไรร้องจึ่งมองมุ่ง จนออกทุ่งทางคิดจิตสยอน
กลัวเสือพบขบบรรลัยเสียในดอน เร่งกุญชรฉิวเดินเนินอรัญ
ถึงทำเนียบเทียบโยธาที่ท่าแฝก เป็นละแวกคามาพระยาขันธ์
คือเจ้าเมืองท่าแฝกไม่แผกพันธุ์ ดูเหมาะมั่นหมู่มุ่งล้วนพุงดำ
มาคอยรับคับคั่งฟังกระแส ตะลึงแลรูปร่างอยู่ข้างขำ
นุ่งถลกถกผ้าเห็นขาดำ สักลายน้ำหมึกมัวทั่วถึงเอว
พักรอท่าพระยาศรีอยู่ที่นั้น เป็นสี่วันเวียนวกเหมือนตกเหว
เที่ยวโลมสาวลาวพลคนเลวเลว แลดูเอวอ้วนป่องเหมีองท้องมาน
มีบ้านเรือนเขื่อนคูดูขึงขัง พฤกษ์สะพรั่งร่มใบดูไพศาล
ต้นหมากพลูพรูพร่างอยู่กลางลาน ดูสนานสนุกเนื่องพื้นเมืองไพร
พอกองรั้งหลังรุดมาหยุดช้าง จึงกระจ่างแจ้งตรงไม่สงสัย
พระยาศรียังอยู่ที่เมืองพิไชย ครั้นแจ้งใจแล้วจึ่งคลาพลากร
ขึ้นคันเขาเสลาแลแง่ฉง้ำ แล้วลงน้ำลุยห้วยระทวยถอน
กระสินธุ์กระเซ็นเย็นใสหลั่งไหลจร มีชะง่อนแง่ผารอวาริน
บางแห่งลึกช้างล้วงเอางวงดูด เสียงสูดสูดแซกไซ้ตามไคลหิน
บ้างไหลนองละอองอาบคราบคีริน ครรไลลิ้นลาดมาห้วยสาลี
เป็นเนินรอบขอบเขาดูเว้าวุ้ง แลกระพุ้งเพิงผาศิลาสี
ไศลสลอนก้อนสลับลำดับดี ล้วนคีรีเรียงรื่นพื้นอรัญ
ไม้สักสนต้นสูงนกยูงร้อง เสียงเพรียกพร้องไก่ป่าแจ้วจ้าขัน
ชะนีนางครางคร่ำร้องรำพัน เสียงสนั่นยอดยางทั้งค่างลิง
พวกควาญช้างง้างปืนยืนขยับ แอบไม้ลับแลยุ่งทำสุงสิง
เห็นลิงโผนโยนร่างไล่นางลิง พอหยุดยิงตึงหกตกกระเด็น
ยิงประชันลั่นประดังไปทั้งป่า รบค่างข้าศึกสัตว์วิบัติเข็ญ
กระสุนซัดพลัดพลาดสาดกระเซ็น มาตกเต็นท์ท่านแม่ทัพให้จับตัว
มาถามไล่ได้ความแล้วห้ามขาด ใครองอาจยิงสัตว์จะตัดหัว
ให้หลวงหัถสารสั่งระวังตัว บอกให้ทั่วทุกกองปองระวัง
หยุดแรมร้อนนอนอรัญให้หวั่นหวาด แสนอนาถนึกในหทัยหวัง
เสียงเสือสิงห์วิงวงในดงรัง ไล่ละมั่งหมุนโดดโลดลำพอง
ร้องเปิบปีบถีบสุธาชะล่าแล่น บนพื้นแผ่นบรรพตสยดสยอง
มันร้ายกาจอาจใจไล่ลำพอง ลิงค่างร้องแล่นโลดกระโดดโจน
มันด้อมเดาะเลาะลัดสกัดกั้น ได้ทีผันพักตร์โฮกกระโชกโผน
เสียงค่างแจดแผดร้องก้องตะโกน บ้างวิ่งโดนกระโดดดงเข้าพงไพร
นิ่งอนาถนิราศมาในป่าชัฏ นึกเกรงสัตว์เสือสิงห์วิ่งไสว
จะขบกัดตัดชีวันให้บรรลัย อนาถภัยพยัคฆ์นิ่งนึกกริ่งตรอง
พอรุ่งแสงสุริยาลีลาลาศ ไถงผาดแผดเผายิ่งเศร้าหมอง
ถึงศาลาป่าสักที่พักปอง แต่ขาดหนองน้ำละหานเป็นดานดอน
ไม่หยุดพลด้นไปตามไพรป่า ลานศิลาแลเผินเนินสิงขร
จนถึงห้วยบ่าวนายอยู่ชายดอน ก็พักผ่อนโยธาริมวาริน
ครั้นรุ่งออกนอกทุ่งเดินมุ่งหมาย เห็นเรือนรายระยะเนื่องเรียกเมืองหิน
นามพระยาที่รักษาเขตบุรินทร์ เป็นเจ้าถิ่นที่นั้นพรหมปัญญา
แต่งทำเนียบเรียบร้อยเขาคอยรับ ดูคั่งคับโรงเรือนเขื่อนเคหา
มีฟืนตองกองกลาดดาษดา ทั้งน้ำท่าตักเทียบไว้เรียบเรียง
มาคอยฟังนั่งล้อมอยู่พร้อมพรั่ง ระแวดระวังนิ่งกรับสดับเสียง
ท่านแจกปันรางวัลของผู้ครองเวียง ที่รองเรียงได้ทั่วทุกตัวคน
ภูมิสถานบ้านตำบลมีล้นหลาม ตั้งเขตคามคั่งคับดูสับสน
ประมาณร้อยห้าสิบหลังทั้งตำบล อุดมผลไม้ออกเป็นดอกดวง
แล้วเดินพลดลเมืองศรีสะเกษ ผู้รั้งเขตเมืองนี้เล่าเรียกเจ้าหลวง
เข้าพักพลยลนิคามตามกระทรวง มิได้ล่วงเลยสถานทุกบ้านเมือง
ในบุรีศรีสะเกษประเทศสถาน มีละหานห้วยลำลาบละมาบเหมือง
เป็นทุ่งนาน่าสนุกทุกประเทือง ขนัดเนื่องแนวเถินเนินลำเนา
ดูอันนาน่ากระสันเป็นหลั่นลด เขาขุดทดธารามาแต่เขา
ทำท่อทางวางลำดับรองรับเอา ใส่ต้นข้าวขึ้นฟูน่าชูชวน
ละแวกบ้านลานตั้งสะพรั่งพฤกษ์ แลดูคึกขึ้นสะพร่าวราวกับสวน
พรรณผลต้นงามตามกระบวน คะนึงนวลนุชนาฏลีลาศแล
แม้นมาคู่ดูได้แจ้งแสดงผล จะชมต้นกะลิงปลิงที่กิ่งแปล้
ชวนชิงเก็บสระเล็บล้อทำกอแก แล้วพาแชชี้ผลที่ต้นทรง
เห็นล้มซ่าสุกหล่นผลออกเหลือง ลูกมะเฟืองแฝงใบอาลัยหลง
หมากมะพร้าวขึ้นสะพร่าวราวกับดง สุดจะจงจำไม้ที่ในเนิน
ครั้นค่ำค้างกลางคืนไม่ชื่นจิต รุ่งอาทิตย์เดินทางไปกลางเถิน
เข้าป่าชัฏตัดข้ามไปตามเนิน ล้วนโขดเขินขึ้นชันอรัญเรียง
ถึงแนวป่าศาลาหลวงแหงตก นิยายยกหยิบลือเป็นชื่อเสียง
ว่าหลวงแหงตกช้างลงกลางเพียง จึงเรียกเรียงนามนั้นตามกันไป
แล้วเดินช้างทางชะแง้เหลือบแลเหลียว เห็นเขาเขียวสูงตั้งบังไถง
จำเพาะขวางทางจรัลที่ครรไล ต้องจำใจจรตามข้ามคีรี
ก็ไสช้างย่างเดินขึ้นเนินเขา แลเสลาลอยคว้างหว่างวิถี
สูงถงันชันเยี่ยมเทียมเมฆี ก้าวสักทีทอดเหนื่อยเมื่อยกายา
ช้างใช้งวงหน่วงไม้เหนียวค่อยเกี่ยวก้าว อาทิตย์ผ่าวแผดส่องต้องมังสา
ฉาบกุญชรร้อนรุ่มกลุ้มอุรา หยุดยืนอ้าโอษฐ์โอกโสกน้ำลาย
อาละวาดฟาดทรวงทิ้งงวงป๋อง ยืนจองหงองโงกหอบบอบใจหาย
หมอเอาน้ำในกระบอกออกประปราย ให้เย็นกายแล้วค่อยขับขยับเดิน
เลียบไหล่เขาเว้าวุ้งเป็นคุ้งคด มิใคร่หมดเขาขวางหนทางเถิน
ตั้งหมอกเมฆวิเวกว้างในกลางเนิน เห็นสุดเกินกะพืชช่างยืดโยง
ดูลอยเมฆเอกกว่าเหล่าเขาทั้งหลาย ช่างเหมาะหมายนามว่าดอยตาโล่ง
ค่อยเดินช้างย่างยันดูงันโงง หมอโชลงชะลอใจให้ไคลคลา
ลงจากเขาเข้าห้วยพวยออกทุ่ง ก็หมายมุ่งยาตรเยื้องเข้าเมืองสา
ผู้รั้งเมืองมีกำหนดพจนา ชื่อพระยาอินทวงษาสงคราม
เขารับแรงแข็งขอบชอบขนบ โดยคำรพเรียบดีไม่ผลีผลาม
มาภักดีมีอุตส่าห์พยายาม ไม่มีความหมองใจระไวระวัง
ประมาณมีที่เคหาประชาราษฎร์ จะคิดคาดก็ไม่น้อยเจ็ดร้อยหลัง
ตามตำบลต้นพฤกษาดาประดัง เขาปลูกฝังขึ้นฟูในบุรี
พอพบหมู่คชมาระดาดาษ ดำเนินนาฏข้างหน้าพระยาศรี
ก็หยุดข้างทางถามตามไมตรี แล้วก็ลีเลยลาล่วงหน้าไป ๚ะ
๏ ท่านแม่ทัพกับพลาโยธาหาญ พักสำราญรุ่งศรีรวีไข
จึ่งเดินทัพขับช้างตามทางไป ล่วงครรไลเที่ยงเวลาท่านการุญ
เข้าหยุดช้างกลางนาเอาผ้าลาด พักขนาดพลรบสบสมุน
กำลังแดดแผดร้อนอ่อนละมุน ลงทอดทุ่นทนสู้สุริยน
พอเสนาประชาชาวลาวเมืองน่าน นำคชสารสามมาแจ้งแห่งนุสนธิ์
กับพานเมี่ยงพานชลาบุปผาปน เข้าน้อมตนต่อแม่ทัพคำนับเรียน
ว่าเจ้าน่านผ่านบุรีมีมนัส โดยสวัสดิ์หวังเจริญเชิญเสถียร
เข้าในเวียงเสียงซ้องคำร้องเรียน แต่ฟังเพี้ยนแผกหูดูยังงง
ท่านแม่ทัพสดับรสพจนารถ จึ่งตอบราชเจริญตามความประสงค์
ขอบฤทัยในคำที่จำนง จงทูลองค์เจ้าสถานน่านนคร
ขอหยุดพลพอพักสำนักเหนื่อย ด้วยยังเมื่อยมึนเดินเขินสิงขร
ต่อรุ่งจึ่งจะยาตราพลากร เข้านครคำนับดังตั้งกระมล ๚ะ
๏ ครั้นเย็นย่ำค่ำค้างอยู่กลางทุ่ง น้ำค้างฟุ้งฝอยพร่ำเหมือนน้ำฝน
อนาถนอนดอนดาลสงสารตน ตากสกนธ์กลางด้าวให้หนาวกาย
ผ้าที่คลุมหุ้มร่างน้ำค้างชุ่ม อากาศกลุ้มกลบควันตะวันสาย
สุริย์แสงแจ้งกระจ่างน้ำค้างพราย จัดพลรายเรียงเดินเนินพนานต์
ช้างที่เจ้าพาราให้มารับ ท่านแม่ทัพเทียบเรียงเคียงขนาน
นิมนต์พระนิลวรรณ์อันตระการ ใส่คชยานนำทัพลำดับมา
อีกสองสารขนานแข่งเดินแซงข้าง พวกขุนนางลาวรายทั้งซ้ายขวา
นำหน้าช้างย่างยาตรให้คลาดคลา เข้าพารารีบไปไม่ประวิง
เห็นบ้านเรือนเกลื่อนกลาดระดาษด้าว เสียงเกรียวกราวเกริ่นกรายทั้งชายหญิง
บ้างยืนแอบแนบกายทำอายอิง บางนางนิ่งเนตรชายชม้ายเมียง
ทั้งสองข้างทางทำร้านน้ำตั้ง ที่เหนื่อยนั่งนิ่งเซาพูดเบาเสียง
ได้เสพสินธุ์กินชื่นดูรื่นเรียง ก็เข้าเคียงขอหมากลาวสาวสาวอม
ข้างฝ่ายสาวลาวสะเทิ้นทำเขินขวย แต่งตัวสวยมิได้เศร้าล้วนเกล้าผม
หยิบหมากยื่นฝืนอายระคายคม ดูนิยมยิ้มละไมอยู่ในที
ต่างสำรวลสรวลสาค่อยผาสุก พอแก้ทุกข์เดินทางหว่างวิถี
ถึงทำเนียบเทียบพลาไม่ราคี หยุดทัพที่หน้านครผ่อนสำราญ
พร้อมด้วยเจ้าเผ่าพระยามาคั่งคับ ต่างคำนับสนองรสพจน์ประสาน
เหมือนอย่างคุ้นเคยรักกันหนักนาน พิณพาทย์ขานอุโฆษฆ้องกลองละเวง
แล้วเชื้อเชิญเจริญรักให้พักทัพ โดยลำดับรายเราะช่างเหมาะเหม็ง
ที่หนึ่งสองสามเรียงไม่เพลี่ยงเพลง ดูครื้นเครงอวยชัยแล้วไคลคลา ๚ะ
๏ นับวันเดินเถินวิถียี่สิบเอ็ด โดยเขบ็ดขบวนบกยกจากท่า
ถึงเมืองน่านผ่านนครจรทัพมา ปีระกาเดือนยี่ดิถีแรม
สองค่ำคงลงวันพฤหัสบดิ์ แจ้งกระจัดจริงหมดไม่จดแถม
สามโมงเช้าเข้านครหยุดร้อนแรม มีเศษแซมสี่สิบห้าวินาที ๚ะ
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้านครถาวรสวัสดิ์ จงได้จัดเมี่ยงหมากเป็นศักดิ์ศรี
กับผ้านวมนิ่มนุ่มคลุมอินทรีย์ ให้มนตรีนำน้อมจอมโยธา
เป็นของเยื้อนเตือนต้อนสุนทรทัก ว่าบ่ายสักสี่โมงจะมาหา
แม่ทัพสดับรสพจนา ถวายผ้านวมตอบว่าขอบใจ
ครั้นภาณุมาศผาดศรีสี่โมงเศษ เจ้ามาเลศก็มาเหมือนปราศรัย
พร้อมพระวงศ์พงศาเสนาใน ก็ครรไลกรีกรูเป็นหมู่มา
มีข้าหลวงทะลวงฟันเป็นหลั่นลด ประดับยศดูกำยำเดินนำหน้า
ถือดาบหอกออกขนานลานชลา แน่นคณานิกรงามทรามประเทือง
เจ้าเมืองน่านแต่งองค์ทรงยศศักดิ์ สวมสะพักเยียรบับระยับเหลือง
นุ่งผ้าปูมภูมิผ่องดูรองเรือง ค่อยยาตรเยื้องย่างทยอยเดินลอยชาย
แต่เจ้าอุปราชาอยู่ล้าหลัง ดูขึงขังคมสันรีบผันผาย
เดินแคล่วคล่องก้องแก้งตกแต่งกาย เอาผ้าด้ายแดงเทศโพกเกศกรรณ
ท่านแม่ทัพรับอยู่ประตูค่าย ทั้งสองฝ่ายปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
เชิญครรไลไคลคลอจรจรัล ขึ้นบนชั้นเชิงพื้นดูรื่นรมย์
แล้วไถ่ถามนามวงศ์ด้วยจงรัก ทราบประจักษ์แจ้งจิตสนิทสนม
ไม่ไหวหวั่นพรั่นเสียวตูเกลียวกลม โดยนิยมยินรสพจนา
ท่านจัดสรรสิ่งของในกองทัพ เป็นคำนับในเล่ห์เสน่หา
ถวายท้าวเจ้าสถานน่านพารา กับบุตราอุปราชราชวงศ์
ดูยินดีปรีดาสถาผล มีกระมลมุ่งมิตรพิศวง
อาทิตย์ดับลับลัดอัสดง ก็กลับคงคืนไปยังในวัง
ครั้นรุ่งวารท่านแม่ทัพกับพหล ก็ไปยลเยี่ยมเจ้านายที่หมายหวัง
ล้วนมีชื่อลือเลื่องกระเดื่องดัง เสร็จแล้วตั้งรอฤกษ์จะเบิกตรา ๚ะ
๏ เที่ยวแวดชมนิคมเขตประเทศสถาน ป้อมปราการก่อตั้งเป็นฝั่งฝา
มีเชิงเทินเนินใส่ใบเสมา ทวาราเรือนยอดตลอดแล
เป็นดอนดอยลอยพื้นดูรื่นเรียบ แต่ไม่เทียบท่าห่างทางกระแส
สักสี่เส้นเห็นไกลอาลัยแล ใช้เรือแต่ชะล่าล้วนควรระคาง
ชาวประชาผาสุกทุกคาเมศ อยู่ตามเพศพวกพรรคไม่มักหมาง
จีนพ่อค้าที่อาศัยก็ไว้วาง ให้อยู่ทางแถวขนัดเขาจัดการ
เห็นวัดหนึ่งจึ่งพินิจพิศวง ดูมั่นคงขอบโขดโบสถ์วิหาร
กำแพงแก้วแถวกั้นเป็นชั้นชาน แลละลานเอกสำอางกลางนคร
บันไดนาคหลากล้ำทำสะดุ้ง เป็นคันคุ้งคดคู้เชิดชูหงอน
เกล็ดระบายลายขนดดูชดชอน ดังนาคนอนแนบทางข้างบันได
เข้าในโบสถ์บงพระพุทธวิสุทธิ์ศรี อัญชลีลานจิตพิสมัย
ยลรูปเขียนเพี้ยนภาพให้ปลาบใจ ยักษ์อะไรนุ่งซิ่นจินตนา
จึ่งแจ้งจิตคิดเห็นเป็นกำหนด ภาพทั้งหมดหมายงามตามภาษา
ภาพจีนจามพราหมณ์ฝรั่งแขกลังกา ลายเลขาคงเป็นเช่นตระกูล
ออกเดินดาลชานชาลาที่หน้าโบสถ์ เห็นสูงโสตทรงเจดีย์จับสีศูนย์
ดูสมควรส่วนสัดพิพัฒน์พูน เรืองจรูญแลขาวราวสำลี
ที่เชิงชานฐานทำช่างขำคิด ประดับประดิษฐ์คชลักษณ์เป็นศักดิ์ศรี
ยลแต่เศียรตัวแสกแบกเจดีย์ ดั่งจะรี่ร่อนไปในโพยม
จึ่งให้นามตามคชาที่คล้าคล่ำ วัดช้างคํ้าคู่พาราสง่าโฉม
พระทรงศิลป์แสนสุขไม่ทุกข์โทรม ไม่ครื้นโครมเคร่งครัดระมัดองค์
ทุกวัดวาน่าเคารพนอบนบไหว้ รักษาไตรวรวัตรขนัดสงฆ์
ภิกขาจารใบตาลตั้งบังอนงค์ ยืนดำรงให้ยถาแล้วคลาคลาย
ประชาราษฎร์ดาษดื่นดูรื่นเรียบ ได้ระเบียบแบบบทใบกฎหมาย
ไม่ฝ่าฝืนขืนคำทำหยาบคาย สุขสบายสมบูรณ์พูนทวี ๚ะ
๏ ครั้นรุ่งเช้าเข้าในเวียงเสียงออกแซ่ เที่ยวดูแม่ค้าลาวนางสาวศรี
เรียกว่ากาดตลาดใหญ่ในบุรี เสียงอึงมี่หมู่ลาวชาวพารา
พวกเจ้าชู้ดูเชิงเที่ยวเบิ่งสาว เห็นขำขาวเคียงคลอเข้ารอหน้า
เดินแทรกแซงแสร้งเสพูดเฮฮา เว้าภาษาลาวล้อในข้อคำ
ทั้งหญิงชายซื้อขายกันอนันต์เนก ไม่แกล้งเสกสรรใส่พิไรร่ำ
ลาวผู้ชายรายราสักขาดำ ล้วนแต่น้ำหมึกมัวจนทั่วพุง
ช่างเจาะหูรูโตดูโร่ร่า เอามวนยายัดใส่เหมือนไถ้ถุง
นุ่งตาโถงโจงกระสันพันออกนุง ห่มเพลาะกรุ้งกริ่งกรอเดินรอรี
หญิงผมยาวเกล้ามวยสวยสะอาด ลักษณ์วิลาสแลประไพวิไลศรี
ลานทองคำทำตุ้มหูดูก็ดี นุ่งซิ่นสีแดงประดับสลับแล
เป็นริ้วรายลายขวางที่นางนุ่ง เฝ้ามองมุ่งพินิจบางไม่ห่างแห
ห่มผ้าจ้องคล้องคอเดินคลอแคล เว้นเสียแต่เต้าไม่ปิดให้มิดเลย
หรือจะอวดประกวดถันยุคันคู่ เปิดให้ชูช่อดอกไว้ออกเฉย
บ้างยานย้อยคล้อยเคลื่อนไม่เชือนเชย บางคนเผยผายกางเหมือนช้างงา
บ้างเป็นปุ่มตุ่มติดอยู่หนิดหนึ่ง ไม่งอกผี่งผายล้นพ้นภูษา
ศีรษะใหญ่ยาวเท่าฟองเต่านา จะร่ำว่าไปก็กลแต่มลทิน
สินค้าขายรายตลาดดูดาษดื่น พรรณพื้นผักไห่แลไคลหิน
ทั้งกล้วยส้มชมผลจะยลยิน เหมือนไม้ถิ่นทางไปที่ได้ดู
เนื้อสัตว์ป่าบรรดามีที่หาได้ อีกเป็ดไก่ปูปลาบ้างค้าหมู
หอยโข่งต้มหอยขมปนระคนปู อึ่งอ่างหนูเขียดนาแลปลาซิว
ปลาแห้งสดกดกาแลปลาดุก ทั้งปลาอุกอ้ายเบี้ยวบัวตัวจิ๋วจิ๋ว
ดูผอมหมดอดแกนตัวแกร็นกริว ช่างเต็มกิ่วเกินปลาน่าระคาย
แต่เนื้อโคกระบือเป็นถือขาด ใครพิฆาตฆ่าริบเอาฉิบหาย
ว่าเป็นสัตว์พิพัฒน์ผลคนหญิงชาย ไม่ทำลายล้างผลาญให้ลาญชนม์
พระสุริยงทรงส่องห้องเวหา กระจ่างหล้าลอยคว้างมากลางหน
ต่างล่วงลับกลับบ้านสถานตน ก็กลับดลแดนสำนักพักโยธี ๚ะ
๏ ฝ่ายองคท้าวเจ้านิกรนครน่าน ครั้นถึงวารวรสิทธิ์ถ้วนดิถี
อาทิตย์แรมห้าค่ำทำพิธี ในเดือนยี่เช้าเวลาได้ห้าโมง
จัดให้เจ้าราชวงศ์องค์หัวหน้า คุมคณาลาวแห่แลโอ่โถง
มียวดยานคานหามงามโชลง ดูยืดโยงเครื่องยศพระกลดบัง
กลองชนะกลองนำเป็นลำดับ สุรศัพท์เซ็งแซ่เสียงแตรสังข์
มาทำเนียบเรียบพลดลประดัง ดูสะพรั่งพร้อมแซ่คอยแห่ตรา ๚ะ
๏ ข้างฝ่ายท่านพระยาศรีที่ข้าหลวง ซึ่งคุมดวงตราสุวรรณก็หรรษา
แต่งตนพร้อมดูละม่อมละไมตา จัดดวงตรากับสารใส่พานทอง
เชิญขึ้นตั้งยังเสลี่ยงคนเคียงข้าง พระกลดกางกั้นไถงมิให้หมอง
พวกดนตรีตีประโคมร่ำโรมกลอง เสียงกึกก้องโกลาที่หน้าลาน
ท่านแม่ทัพรับงานจัดการแห่ แบ่งตอนแต่คนลาวชาวเมืองน่าน
เป็นหมวดหมู่ดูงามไปตามการ หัวหน้าหนานแสนเคียงอยู่เรียงราย
ที่หนึ่งมีคนนำหน้าคอยตราตรวจ เป็นตำรวจเร่งรัดถือมัดหวาย
ใครกีดขวางทางไล่มิใกล้กลาย ไปยืนรายเรียงรั้งตั้งกระบวน
ที่สองสรรมั่นคงดูองอาจ พลขนาดดาบประดิษฐ์ไม่ผิดผวน
เป็นหมู่หมวดตรวจกันคั่นกระบวน มิให้ลวนลามเดินเกินกันไป
ที่สามซ้องกลองประโคมเสียงโครมครั่น เสนาะสมั่นอึงมี่ปี่ไฉน
กลองชนะจังหวะรับฟังจับใจ เข้าแถวไว้วางระยะเป็นกระทรวง
ที่สี่มีตำรวจตรวจสองแถว เข้ายืนแซ่วสมทบสองเป็นกองหลวง
ถือดาบปืนยืนงามตามกระทรวง มิให้ล่วงล้ำจำนวนกระบวนลาว ๚ะ
๏ กระบวนไทยในกองทัพรับสมทบ ทหารรบเริงศึกดูฮึกห้าว
เข้าแถวเรียงเรียบปืนดูยืนยาว ไทยกับลาวแลไกลมิใช่แคลน
ออฟิเซอร์นั้นสะพายสายทองแถบ สนับแนบนำพลพหลแหน
ถือธงชัยเช่นอังกฤษเรียกริชแมน อเนกแน่นแซ่ประสานทหารแตร
เป่าเป็นเพลงเครงครื้นพื้นพิภพ พลรบระยะวางไม่ห่างแห
แบกอาวุธหยุดยั้งคอยฟังแตร แล้วถึงแคร่เครื่องประทานใส่สารตรา
งามเครื่องราชอิสริยยศดูหมดเหมาะ ดังจะเหาะเหินเร่ขึ้นเวหา
งามกลดปักหักทองขวางกางศาลา งามสง่าศุภสารบนพานทอง
งามแม่ทัพกับข้าหลวงดูช่วงโชติ ดังจะโลดลอยลมสมทั้งลอง
แต่งเต็มยศหมดละไมในทำนอง งามทั้งสองสมสกนธ์พลเรือน
งามตัวนายชายชาญทหารกล้า งามทีท่าว่องไวใครจะเหมือน
แม้นข้าศึกฮึกรอมาต่อเตือน คงไม่เคลื่อนคลาดที่ด้วยฝีมือ
งามธงช้างสล้างสลัดลมพัดฉิว เหมือนทองปลิวเปลวฟ้าลงมาถือ
ต้องแข็งข้อรอไว้ให้กระพือ ดังฮือฮือหวนหันจรัลราย
พอฤกษ์ดีคลี่เคลื่อนให้เลื่อนลาด แลระดาษดื่นดูเป็นหมู่หมาย
ทหารยืนสองข้างหนทางราย ตั้งแต่ค่ายถึงคุ้มซุ้มทวาร
ที่ริมคันมรรคาระดาด้วย ต้นอ้อยกล้วยปักเรียงเคียงขนาน
มีธงฉัตรบัตรยอดตลอดลาน แลประสานสีตองละอองนวล
ที่ใบแก่แลสลับวะวับวาบ ดังสีขาบเข้มคมสมสงวน
เพสลาดผาดสีฉวีนวล ที่ใบม้วนมองกระสันเป็นมันดี
นึกสีตองน้องปรุงนุ่งตองอ่อน สะพักผ่อนพันสมผ้าห่มสี
แพรสีนวลหวนประทิ่นกลิ่นมาลี สลับสีประสานสอดเหมือนยอดตอง
พินิจพลางย่างเยื้องชำเลืองเหลียว กระสันเสียวเศร้าในฤทัยหมอง
ยลผู้สาวลาวล้วนนวลละออง เขม้นมองพิศนวลน่ายวนยล
ทั้งสาวแส้แม่ร้างสล้างสลับ อเนกนับหนานแสนแน่นถนน
เข้าเบียดหมู่ดูแห่ออกแจจน ตั้งกระมลนุ่งแลชะแง้เงย
ดำเนินพลดลประดาทวาเรศ ชาวนิเวศแหวกบานทวารเผย
กระบวนรั้งตั้งประดาอยู่หน้าเกย มิได้เลยลามหยุดดุษฎี
ท่านแม่ทัพรับรองประคองสาร เคียงขนานพร้อมหน้าพระยาศรี
เชิญหีบตราคลาคลอจรลี ขึ้นสู่ที่โอ่โถงในโรงคัล
พร้อมเจ้านายฝ่ายมาลาคณาแน่น มาแห่แหนห้อมหุ้มประชุมขวัญ
แน่นขนัดอัดแออยู่แจจัน เสียงสนั่นนฤนาทฆาตประโคม ๚ะ
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้ามาเลศประเทศสถาน นครน่านนั่งหน้าสง่าโฉม
เสนานาถดาษดื่นดูครื้นโครม เป็นที่โสมนัสามาลาแล
พอสาราตราประทับลงกับที่ เผยวาทีทักถามตามกระแส
ดูชิดชอบตอบต่อกันจอแจ ประสานแซ่สนทนาสถาพร
ข้างฝ่ายท่านพระยาศรีปรีชาชาติ ผู้เชิญราชกิจนำคำอักษร
เรียกอาลักษณ์ขุนนางลาวชาวนคร ส่งอักษรศุภสารให้อ่านความ ๚ะ
๏ ศุภลักษณ์อักษรถาวรถวิล จอมนรินทร์รมเยศเกศสยาม
มาถึงองค์พงศ์มาลาวราราม ออกพระนามองค์ท้าวเจ้าอนันต์
มีสร้อยเสริมเติมวรฤทธิ์เดช สกุลเชษฐ์เตไชยใหญ่มหันต์
ครองโยนกนัคราถาวรวรรณ ไม่มีอันตรายราญสถานทาง
ทั้งซื่อตรงจงจิตในกิจราช ต่อใต้บาทบทรัชไม่ขัดขวาง
ราชการงานสิ่งใดไม่ระคาง เป็นไว้วางพระทัยทำโดยจำนง
เมื่อครั้งก่อนมีทัพก็รับเลี้ยง ส่งเสบียงเสร็จสมอารมณ์ประสงค์
ทั้งกำลังพลรบสมทบณรงค์ ช่วยเสริมส่งราชการงานแผ่นดิน
เป็นความชอบครั้งใหญ่ในปฐม ทรงนิยมอย่างในพระทัยถวิล
คิดจะตอบความชอบใหญ่ในแผ่นดิน ได้ทรงยินดีดังตั้งพระทัย
จะรอท่าช้าไว้เมื่อไปเฝ้า ก็แก่เฒ่าทุพพลคิดวินิจฉัย
จะช้าเกินเนิ่นนักหนักพระทัย จึ่งโปรดให้นำตรามาประทาน
ประสิทธิ์ประสาทเครื่องราชอิสริยยศ ให้ปรากฏแจ้งกิจทุกทิศสถาน
ชั้นที่หนึ่งซึ่งจัดในรัชกาล นามขนานชื่อมหาสุราภรณ์
เป็นความชอบขอบพระทัยในครั้งแรก จัดจำแนกแนะนำคำอักษร
เมื่อสำเร็จเสร็จการที่ราญรอน จึ่งจะย้อนยกความชอบตอบต่อไป ๚ะ
๏ พอจบลงองค์น่านผ่านนิเวศ ได้ทราบเหตุสารแจ้งแถลงไข
พระพักตร์ผันมั่นมุ่งมากรุงไกร บังคมไทยธเรศรักจักรพาล
พระยาศรีคลี่อักษรบวรราช อ่านประกาศแจ้งใจที่ในสาร
ออกพระนามความพินิจพิสดาร ว่าประทานให้สำหรับประดับยศ
ความในกลอนอักษรนี้ไม่ถี่ถ้วน พูดด้วนด้วนเห็นดำดำพอจำจบ
แม้นอยากดูรู้จริงทุกสิ่งพจน์ จงดูบทบัญญัติบอกออกธิบาย
พออ่านจบเจ้าประเทศเกศโยนก ก็ยอยกหัตถ์ประนมก้มถวาย
บังคมคุณจุลจักรหลักนิกาย พระพักตร์ผายผันมุ่งกรุงนคร
ถ้วนสามลาพระยาศรีที่ข้าหลวง จึ่งหยิบดวงตราวิจิตรอดิศร
ติดเสื้อทรงองค์มาลาสถาพร ที่ทรวงค่อนข้างซ้ายวิไลโลม
แล้วสวมสายสะพายพันกระสันสอด เรียกกันตลอดคู่ตราวราโฉม
สีน้ำเงินเงาส่องห้องโพยม ลานประโลมเลื่อมสลับดูจับตา
พิศดูชูช่วงดวงมงกุฎ ช่างผ่องผุดเพชรระบายลายเลขา
ลงยาสีลิ้นจี่ช่วงในดวงตรา กลางมหามงกุฎก่ำน้ำสุวรรณ ๚ะ
๏ ครั้นแต่งเสร็จพระยาศรีคลี่อักษร สถาพรเพิ่มความตามกระสัน
ว่าสารตราฉบับนี้ที่สำคัญ ให้พร้อมกันปลงใจลงในการ
คือเกณฑ์ช้างโคต่างเข้ากองทัพ ให้ได้รับเร็วพลันดังบรรหาร
ฉลองคุณบุญเบื้องบทมาลย์ ให้เสร็จการได้ดังรับสั่งทรง
เจ้าน่านตอบพจนาว่าไม่ขัด จะรีบจัดให้สมอารมณ์ประสงค์
ทั้งโคต่างข้างคนรณรงค์ ให้ได้ส่งเสร็จพลันดังบัญชา
พลางพินิจพิศดูเครื่องปูลาด มีเจียมสาดสะอ้านปูชูยศถา
จะกล่าวนักชักชมภิรมยา เป็นโบราณคติพื้นยังยืนยาว
มีเครื่องแก้วแพรวพรรณหิรัญรัตน์ ล้วนเครื่องมัสการสรรพประดับขาว
มีเศวตฉัตรกั้นห้าชั้นพราว ผนังราวรายอารุธยุทธนา
เพดานดาดวิลาสลายระบายเมฆ ดูวิเวกวนเล่ห์พื้นเวหา
สุวรรณวามอร่ามดาวพรั่งพราวตา ทัศนานิ่งพิศพินิจพลาง
พอเสร็จสั่งสนทนาก็ลากลับ มาพักทัพทอดในฤทัยหมาง
กะตำบลสถลแถวในแนวทาง ในป่ากว้างกว่าจะไปหลายทิวา ๚ะ
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้ามาลาพาราน่าน จัดคชสารสมมาดปรารถนา
ทั้งพังพลายรายหมวดนับตรวจตรา ได้พร้อมมาร้อยเชือกเสือกสะกอ
มาส่งให้ใช้การในงานทัพ สัปคับแหย่งยานทั้งควาญหมอ
ยืนกำยำประจำที่คนขี่คอ ไม่รั้งรอเรียกขานทำบาญชี
จดชื่อช้างชื่อคนตำบลบ้าน เสร็จแล้วทานทบทวนถูกถ้วนถี่
จ่ายตามหมวดตรวจรับลำดับดี ประจำที่คอยอยู่ดูกรูเกรียว ๚ะ
๏ มีช้างหนึ่งผึ่งผายวิไลลักษณ์ สูงได้สักสี่ศอกปลายชื่อพลายเขียว
พึ่งรุ่นหนุ่มชุ่มมันเหมาะมั่นเจียว กำลังเปลี่ยวเปล่งมองลำพองพัง
เป็นช้างเจ้าราชวงศ์ทรงสำหรับ จะขี่ขับว่องไวดังใจหวัง
ไม่ตื่นเต้นปืนปังให้ตึงตัง ทราบวาจังแจ้งจิตคิดคะนึง
ท่านแม่ทัพสดับคำที่ร่ำว่า ช้างที่ส่งมาทั้งนี้ไม่ดีถึง
อยากซื้อไว้ใช้ศึกนึกคะนึง แล้วท่านจึงไถ่ถามตามราคา
ข้างฝ่ายท่านเจ้าของช้างไม่ร้างรัก คิดจะภักดิ์ผูกพันโดยหรรษา
ไม่รักทรัพย์รับไมตรีมีวาจา ยกคชาให้เป็นของที่ต้องใจ
ท่านแม่ทัพไม่รับไว้จะใคร่ซื้อ เป็นหลายรื้อเรรวนมาหวนให้
ต้องรับช้างหมางกระมลด้วยจนใจ คิดเงินให้สามพันอันรูเปีย
ต่างรับตอบชอบใจในจริต ดูสนิทในขนบประสบเสีย
ได้เคยคุ้นสุนทรามาคลอเคลีย กะลิ้มกะเหลี่ยผูกอาลัยทางไมตรี
แล้วตั้งชื่อช้างใหม่เรียกพลายน่าน เปลี่ยนขนานนามเมืองประเทืองศรี
หวังรำลึกนึกถวิลความยินดี เป็นไมตรีตรึงใจอาลัยลาน ๚ะ
๏ ครั้นสำเร็จเสร็จสมอารมณ์ประสงค์ แม่ทัพส่งก๊าดเชิญเจริญสาร
พร้อมเจ้านายฝ่ายเสนาผู้ว่าการ กับเจ้าน่านมาที่ทัพอันดับกัน
เวลาค่ำย่ำทุ่มประชุมนั่ง มาสะพรั่งพร้อมขนัดที่จัดสรร
ก็จัดโต๊ะแต่งเลี้ยงเข้าเคียงกัน ต่างรำพันกิจการงานนานา
จนดึกดาวพราวพร่างน้ำค้างกลุ้ม เลิกประชุมหวนคิดขนิษฐา
ไม่วายว่างห่างถวิลจินตนา จับอุรารุ่มร้อนลงนอนซึม
จึ่งห้ามจิตอย่าคิดเลยเฉยเสียนะ ห้ามอุระอย่าให้เศร้าทำเหงาหงึม
ห้ามวาจาอย่าให้เผลอพูดเพ้อพึม ห้ามอย่าขรึมครวญใคร่ใจจะตรอม
ทุกคืนค่ำร่ำรักเมื่อพักทัพ แม้นจะนับคะแนนกองสักสองอ้อม
ยิ่งห้ามนักก็ยิ่งหน่วงในทรวงตรอม แทบจะงอมงมอาลัยความไมตรี ๚ะ
๏ จนถึงวันครรไลลาโยธาเคลื่อน อาทิตย์เดือนยี่แรมไม่แจ่มศรี
สิบสองค่ำกระทำกิจการพิธี พระสัพพีพรชัยได้เวลา
หัวหน้านายฝ่ายเมืองน่านในการช้าง มีนามอ้างออกเสียงเจ้าเวียงสา
เข้ากองทัพลำดับดลพลโยธา กลางชลาลานยลพลนิกร
พร้อมด้วยเจ้าเผ่าพระยามาคอยส่ง ราชวงศ์อุปราชดาสมร
มาส่งสั่งตั้งใจอาลัยวอน พอทินกรประกอบยามได้สามโมง
ก็ลีลาคลาทัพสลับสล้าง ออกเดินช้างข้ามชลาดูอ่าโถง
หมู่พหลพลลุยกระจุยโจง วิ่งตะโพงลำพังแรงดูแข่งเคียง
ขึ้นจากท่าธาราออกเดินนอกทุ่ง เขม้นมุ่งทัพก้าวทางลาวเฉียง
เลียบโขดเขินเดินดอนสิงขรเคียง จะเรียบเรียงระยะย่านบ้านตำบล
ก็ป่วยกล่าวยาวยืดชักจืดหู ทั้งสุดรู้สุดฤทธิ์คิดฉงน
จึ่งหยิบเค้าเล่าข้อแต่พอยล แถวสถลเถื่อนทางที่กลางดง
บ้างรกชัฏลัดดาเป็นป่าสูง ต้นยางยูงยอดชูดูระหง
บ้างแลโล่งโปร่งตาเป็นป่าพง บ้างเป็นดงดื่นด้วยหญ้าเรียกป่าแดง
บางแห่งห้วยกรวยโกรกซะโงกง้ำ มีธารน้ำไหลดูไม่รู้แห้ง
บ้างเป็นเกาะเฉาะขวางขึ้นกลางแปลง มีหญ้าแซงแทรกรายชายวารี
บางแห่งลื่นพื้นนาหญ้าหยอกหยอย ขึ้นตายฝอยเฝือแดดแผดออกจี๋
แตกระแหงแห่งขัดทางนัทที เป็นรอยรีรานน่าระอาใจ
บางแห่งอาบคราบไคลน้ำไหลแซะ เป็นทางแฉะชุ่มชื่นลื่นไถล
ค่อยสันเสาะเลาะเดินไม่เพลินใจ บ้างครรไลเลียบจรตามดอนดอย
บางทางแหวกแฝกเฝือเหลือวิตก เดินในรกหญ้าระเหลือละห้อย
ถูกหญ้าบาดผาดผิวเป็นริ้วรอย ย่างทยอยยับยั้งระวังกาย
บ้างสะอ้านลานลาดอาวาสวิเวก ช่างมาเสกสร้างอาศัยน่าใจหาย
มืบ้านเถื่อนเรือนรั้งประทังกาย เที่ยวยักย้ายแยกอยู่เป็นหมู่มอง
ในทุ่งท่าป่าดงพงพฤกษา ก็มีอารามสถานแลบ้านช่อง
อาศัยธารละหานหินกระสินธุ์นอง อยู่แถวท้องทุ่งไพรทำไร่นา
แต่เช้าจรผ่อนค่ำรีบร่ำรุด คะนึงนุชนาฏเดินตามเนินผา
ลงเดินเหนื่อยเมื่อยขึ้นช้างพลางลีลา ครั้นเวลาค่ำพักสำนักพล
วันหนึ่งค้างกลางเถื่อนริมเขื่อนเขา ยังเก็บข้าวของรับกันสับสน
ไม่ทันหมดบถมัวทั่วอำพน บัดเดี๋ยวฝนฝอยร่ำลงพร่ำพรู
จนมืดค่ำคลำเคล้นไม่เห็นของ อากาศก้องแลบลั่นสนั่นหู
บ้างเข้าเต๊นท์เร้นบังคอยนั่งดู เสียงดังซู่ซ่าซาบอาบสุธา
ทั้งผ้าเสื้อเกลื้อกล้ำด้วยน้ำชุ่ม บ้างก็ชุ่มกายอาศัยไพรพฤกษา
น้ำฝนสาดหวาดเสียวเปลี่ยวอุรา เสียงชลาไหลนองในท้องธาร
กระทบหินกระสินธุ์ลั่นเสียงครั่นครึก อึกทึกกระเทือนก้องห้องละหาน
ตำแหน่งนี้ชี้นามเรียกตามธาร ชื่อสถานเถื่อนลำห้วยน้ำพูน
ครั้นรุ่งเดินเนินไคลตามไหล่เขา แลเสลาลอยแจ้งส่องแสงสูรย์
ดูโป่นปุ่มตะคุ่มเขาลำเนานูน ไม่เพิ่มพูนพฤกษาไพรในลำเนา
เห็นแต่หญ้าคาแห่งขึ้นแฝงฝอย ดูแดงกร๋อยกรอบแดดต้องแผดเผา
ช่างเกรียนโกร๋นโล้นแลเป็นแง่เงา บางแห่งเว้าแลว่างหว่างคีริน
ที่พื้นเผินเนินดอยเป็นพลอยสี เขียวขจีแจ่มจรัสแทบทัสหิน
ทุบเข้าแตกแหลกยุ่ยเป็นขุยดิน แม้นเป็นหินแล้วจะหอบมาตอบแทน
ให้อนงค์ปลงจิตพิสมัย เจียระไนเม็ดน้อยน้อยทำพลอยแหวน
ไว้รำลึกนึกเมื่อไปที่ในแดน ด้วยความแกนเก็บกรวดมาอวดนาง
เฝ้าแคะขุดหยุดดูไม่รู้จบ มิได้พบพลอยคิดจิตขนาง
จึ่งจดนามตามเค้าเป็นเลาทาง เรียกเขากวางเขาแก้วแนวพนม
ลูกหนึ่งใหญ่ยอดแย้เหลือบแลโล่ง เรียกดอยโป่งอุ่นเรียงขึ้นเคียงสม
เหมือนคลื่นคลั่งประดังลูกเมื่อถูกลม ไปสิ้นพรมแดนน่านชานบุรินทร์
ย่างเข้าเขตประเทศสถานเมืองล้านช้าง วิเวกว้างวาบไหวฤทัยถวิล
เห็นธารใสไหลล้นหยุดยลยิน ต่างแยกถิ่นทางล่องไปสองแคว
ด้วยพื้นพูนมูนสันคั่นสิงขร เขตนครทั้งสองสอดยอดกระแส
เหมือนเสาศิลาหลักปักไว้แล เป็นที่แน่กำหนดขั้นคันคีรี
พลางกำหนดจดเขาเนาพนัส เข้าดงชัฏชุ่มชื้นพื้นวิถี
ถึงทำเนียบเทียบทัพลำดับดี ตำแหน่งที่ทุ่งถิ่นนาดินดำ
ครั้นรุ่งแสงสุรีย์ลีลาลับ ไปพักทัพที่รื่นเป็นพื้นต่ำ
เรียกนาแวนแดนนาชาวป่าทำ อาศัยน้ำยอดที่พรากจากคีรี
พอหยุดพลเห็นคนลาวพวกชาวป่า ขนธัญญามากลางทางวิถี
จึ่งซักไซ้ไล่ถามตามคดี คนพวกนี้จะไปหนตำบลใด
หัวหน้านบคำรบแจ้งแถลงเล่า ข้าพเจ้าเพี้ยกุมพลคุมคนไพร่
ด้วยเจ้าราชนัดดาภาคิไนย ท่านสั่งให้ขนลำเลียงเสบียงมา
ให้ส่งกลางทางทัพสนับสนุน พอเจือจุนตามมาดปรารถนา
ท่านแม่ทัพสดับแจ้งแห่งกิจจา รับธัญญาจ่ายพักสำนักพล
อนาถนอนตอนดึกนึกระทด เย็นสยดสยองค้างอยู่กลางหน
จนรุ่งรางสร่างศรีสุริยน จึ่งเดินพลมาบุรีศรีน้ำฮุง
พอจวนเที่ยงเสียงดังระฆังร่ำ อ้ายจั่วจ้ำกลองเพลประเคนตุ๋ง
ทั้งเณรพระคละกันฉันออกนุง ดูเต็มยุ่งมิได้แยกแปลกกว่าไทย
ขุนนางลาวชาวป่าทำหน้าตื่น ออกมายืนเยี่ยมดูอยู่ไสว
ทั้งเพี้ยท้าวเจ้าราชภาคิไนย กับบ่าวไพร่ตามพรูเป็นหมู่มา
เข้าเชื้อเชิญกองทัพไปยับยั้ง ยังที่ตั้งทำเนียบใหญ่ให้สุขา
เนาสำนักพักพลโยธา ที่กลางนานายแดดแผดประดัง
เที่ยวยลย่านบ้านใหญ่มิใช่น้อย สักสามร้อยเรือนเครื่องผูกเขาปลูกฝัง
พระยาเทพจอมพลคนระวัง เป็นผู้รั้งรักษาเมืองกระเดื่องดง
คามาวางกลางตำบลชนบท หว่างบรรพตพุ่มไม้ไพรระหง
อาศัยน้ำลำธารในดานดง ทำไร่กงเก็บเล็มดูเต็มเลว
เห็นไทยทัพกลับกลัวผีทำพลีบัตร ใบไม้มัดผูกหลักปักเฉลว
ตามหน้าเรือนแลเรียงสูงเพียงเอว ว่าผีเหวละหานห้วยมาด้วยไทย
ครั้นรู้ความตามที่ลาวเขากล่าวแจ้ง ให้คิดแหนงนึกอดสูไม่อยู่ได้
ตัวเป็นผีแล้วมิสามาว่าไทย พาผีไปให้เขากลัวตัวรังควาน ๚ะ
๏ ฝ่ายเพี้ยท้าวลาวหัวหน้ามามากหลาย เบิกข้าวจ่ายแจกพลาโยธาหาร
จนเย็นย่ำค่ำยลอนธการ พักสำราญรุ่งจรค่อยคลอนโคลง
ถึงท่าเดื่อแลเด่นเห็นทำเนียบ ดูรายเรียบเรียงตั้งริมฝั่งโขง
เข้าหยุดพลดลเวลาบ่ายห้าโมง พินิจโล่งลานชลาหลั่งวารี
ยลหาดทรายรายรื่นเป็นพื้นหิน ไม่มีดินดานระคายล้วนทรายสี
ขาวสะอาดดาษรายชายนที ริมฝั่งมีระบัดหญ้าขึ้นน่ายล
ชลาลั่นสนั่นก้องห้องกระแส ดังออกแซ่เสียงระงมเหมือนลมฝน
ด้วยน้ำเซาะเกาะเกียนไหลเวียนวน บางแห่งล้นหลั่งอาบเป็นคราบไคล
ครั้นเย็นย่ำค่ำค้างอยู่กลางหาด เหนื่อยอนาถนอนระงับต่างหลับใหล
พอรุ่งรางสร่างสุริโยทัย ก็ครรไลเลียบมาริมท่าธาร
ข้ามแก่งเกาะเสาะทางข้างตลิ่ง ล้วนแต่สิงขรรายชายละหาน
มาถึงท่านทีที่เมืองนาน มีลำธารโกรกกรวยเรียกห้วยเครือ
เห็นพวกลาวชาวพารามาคอยรับ ดูคั่งคับแข็งขันขยันเหลือ
เชิญให้พักผ่อนสำราญได้จานเจือ ประกอบเกื้อกิจสวัสดิ์ทำบัตรพลี
ที่เมืองนานนั้นมีศาลเทพารักษ์ ว่าดุนักหนาร้ายเป็นนายผี
เขานับถือลือกันขันเต็มที ชาวมาลีหลาบจำไม่กล้ำกราย
ชื่อเทวานั้นเรียกว่าเจ้าตาดน้ำ รักษาถ้ำธารถิ่นกระสินธุ์สาย
ตาดน้ำนี้ชี้บอกออกธิบาย ว่ากระสายน้ำหลั่งพลั่งลงมา
จากยอดเขาเขินชะแง้แลสูงสุด วัดเป็นฟุตมิใช่น้อยได้ร้อยห้า
สิบกำหนดจดจำเป็นตำรา ทุกทิวาวันไหลดูใสนอง
อีกหนึ่งว่าประชาชนตำบลนี้ เป็นพวกผีปอบมาตั้งสิ้นทั้งผอง
แม้นพิโรธโกรธคิดใจจิตจอง เข้าในท้องทึ้งตับทำลับลวง
ถ้าคนในหลวงพระบางเป็นอย่างนี้ ว่ากาลีไล่ออกนอกเมืองหลวง
ให้เป็นข้าเจ้าตาดขาดกระทรวง มาตั้งล้วงตับอยู่หมู่เมืองนาม
มีเรือนบ้านประมาณตาสักห้าสิบ ดูเงียบกริบกร่อยดังฝั่งละหาน
ผู้รักษาคามายศกำหนดการ เรียกแก่บ้านบอกว่าเป็นเช่นอำเภอ
พักสองวันครรไลเข้าในป่า แก่บ้านมานำทางต่างเสนอ
ได้ถามชื่อเขาห้วยจึ่งอวยเออ ฟังออกเพ้อพูดพลางทางดำเนิน
ลัดครรไลในลำเนาภูเขาขอน เร่งพลจรจนกระทั่งถึงฝั่งเถิน
มีทำเนียบเลียบรายอยู่ชายเนิน ก็หยุดเดินทัพประดาท่าเชียงแมน
พร้อมเจ้านายฝ่ายมาลาเสนามาตย์ ประชาราษฎร์แซ่ดูแห่แหน
สล้างสลับคับคั่งประดังแดน ที่เชียงแมนหน้าเมืองเนื่องคณา
อุปราชราชวงศ์ดำรงรับ เชิญแม่ทัพสถิตพลางทางหรรษา
ให้หยุดยั้งฝั่งชลพลโยธา ดูประดาประดังเรียงพร้อมเพรียงรับ
ท่านพระยาสุโขทัยดูใสสด ซึ่งรับยศข้าหลวงใหญ่ได้กำกับ
มาด้วยเจ้าลาวเรียงเคียงคำนับ ท่านแม่ทัพทักถามตามไมตรี
กับฝรั่งตั้งแต่งตำแหน่งยศ เป็นผู้จดจัดแปลนทำแผนที่
เดิมชื่อเขาขานว่าแมกคาที ได้เป็นที่พระวิภาคภูวดล
เขาล่วงหน้ามาตะบึงได้ถึงก่อน เข้ารับต้อนท่านแม่ทัพอยู่สับสน
เปิดหมวกรับคำนับพักตร์เหมือนชักยนต์ แล้วต่างคนจับกรจรพยุง
ขึ้นทำเนียบเทียบตั้งริมฝั่งโขง แลดูโล่งศิลาลานชานกุหนุง
เห็นเรืองามตามริมฝั่งคนนั่งมุง บ้างพายฟุ้งน้ำฝอยรีบถอยมา
เรือลำทรงองค์ท้าวเจ้าเมืองหลวง ดูทีท่วงทำขันน่าหรรษา
หัวท้ายสอดยอดสถูปรูปนาวา คล้ายชะล่าลำงอนเหมือนช้อนมุก
มาดทั้งแท่งแต่งตกกระหนกกระหนาบ สีชาดฉาบชักสีทองให้ส่องสุก
กราบนั้นหนาฝ่ามือเกินแม้นเฉินชุก โดนหินกุกกึกดังประทังทาน
ฝีพายแต่งเสื้อแดงดูเป็นหมู่มาท ระดาดาษดื่นแลกระแสสาร
เสียงขานยาวกราวมาที่ท่าธาร ถึงขนานจอดท่าสาคโร
ครั้นพรั่งพร้อมน้อมคำนับจะรับข้าม ขึ้นสนามทำเนียบใหญ่ให้สุโข
ท่านขอพักผ่อนพลาท่าโชล รุ่งอโนทัยเช้าจะเข้าเมือง
ฟังบัญชาท่านแม่ทัพเขากลับหลัง ก็หยุดตั้งทัพท่าธาราเนื่อง
อยู่ที่ริมฝั่งโขงตรงหน้าเมือง เห็นลาวเนื่องนาฏมาลงวารี
ค่อยเดินด้อมท่อมท่องท้องกระสินธุ์ แล้วถลกซิ่นขึ้นกระสันพันเกศี
ลงแช่ชลชำระร่างล้างธุลี เปลือยอินทรีย์สรงกายในสายชล
ไม่เกรงสัตวมัจฉาจะมาตอด กลับนั่งหยอดเหยื่อคิดจิตฉงน
ไม่มีเหนียมเสงี่ยมนั่งในวังวน ถูสกนธ์เฉยช้าไม่ราคิน
นั่งยองยองย่องย้ายเที่ยวส่ายหา ก้อนศิลาหลังชลฝนขมิ้น
ดูเรียงรายชายชลาในวาริน ทุกนางผินพักตร์นวลทวนธารา
ครั้นสำเร็จเสร็จก็ย้ายขยายขยด ค่อยเลื่อนลดซิ่นกระสอบครอบเกศา
ขยับไหวไววับให้ลับตา แต่มังสามิได้บังดูตั้งเต็ม
ผู้ชายแร่แก้กองลงท่องน้ำ เอากรกำลงชลาปล่อยปลาเข็ม
แม้นปักเป้าเจ้ากรรมมันทำเค็ม มาแทะเล็มแล้วละทำกรรมทวี
เมื่อขึ้นฝั่งแล้วยังมีจริต มายืนบิดขาบีบหนีบออกจี๋
นุ่งกระสันพันผ้าแต่งกายื เขาไม่มีลื้นกันช่างขันจริง
ตั้งดรุณรุ่นใหญ่เป็นไปหมด ดูน่าอดสูอายทั้งชายหญิง
สุริยงลงลับไม้ใจประวิง กลับมานิ่งนอนสุธาเอกากาย
พอรุ่งแจ้งแสงอุทัยไขกระจัด ห้าโมงขัดเข้าศรีสุรีย์ฉาย
พอพวกลาวท้าวแสนแน่นนิกาย เขาเลียบรายเรียงนาวาเข้ามารับ
เรือพิณพาทย์ฆาฏประโคมเสียงโครมครึก ดังก้องกึกในน้ำนำเป็นลำดับ
ดูเกลื่อนกลาดดาษไปมิได้นับ ท่านแม่ทัพขี่เรือคำล้ำวิไล
พวกนายกองนายทัพลำดับดาษ ขี่เรือมาดนั่งเป็นหมู่ดูไสว
ทหารรบรีบข้ามตามกันไป ถึงโพนไทรเทียบนาวาขึ้นท่าพลัน
ท่านแม่ทัพขับขี่พาชีชาติ ระดาดาษด้วยพหลพลขันธ์
ออกเดินทัพสลับแลดูแจจัน บัดเดี๋ยวบรรลุค่ายชายคีรี
ดูใหญ่กว้างสร้างไว้ให้หยุดพัก ค่ายสำนักนี้อยู่ข้างภูษี
ทหารเทียบเรียบอาวุธดุษฎี ประจำที่แถวค่ายรายระวัง ๚ะ
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้ามาเลศประเทศราช อุปราชราชวงศ์จำนงหวัง
ขุนนางลาวชาวพารามาประดัง ดูสะพรั่งพร้อมสรรพคอยรับรอง
แม่ทัพถึงจึ่งทหารประสานศัพท์ บอกคำนับอาวุธเสียงสำเนียงสนอง
ลาวขุนนางต่างคำรพสบทำนอง เจ้าหลวงร้องเชิญชักทักแต่ไกล
เข้าเคียงถามความที่มาเป็นผาสุก ฤๅได้ทุกข์เดินทางต่างปราศรัย
เผยวาทีมีสุนทรอวยพรชัย แล้วครรไลลาชื่นคืนเข้าเวียง
พวกกองทัพขนของขึ้นกองกลาด ระดาดาษดื่นวางกลางเฉวียง
ทหารยามอยู่โรงแถวเป็นแนวเรียง ไม่ก้าวเกี่ยงกะไว้ช่างใหญ่โต
ทำลดหลั่นชั้นช่องเป็นห้องหับ ท่านแม่ทัพทำเนียบกลางกว้างอักโข
ดูแยบคายคล้ายฝรั่งบังกะโล แลดูโอ่โถงถ้าไม่น่าชัง
ก็พักผ่อนรอนราภาณุมาศ ล่วงลีลาศลับเนตรเทวษหวัง
นึกคะนึงรำพึงมาในป่ารัง แต่จากวังเวียงน่านผ่านลำเนา
ถึงกรุงศรีสัตนาค์จารึกร่ำ แรมสองค่ำเดือนสามนามวันเสาร์
ยี่สิบเอ็ดวันถึงค่ายสบายเบา พอบรรเทาทอดอารมณ์ที่ตรมตรอง ๚ะ
๏ ครั้นรุ่งเช้าเจ้าพาราก็มาเยือน ต่างเอ่ยเอื้อนมธุรสพจน์สนอง
ปรึกษากิจคิดการงานที่ปอง โดยปรองดองปรีดาสถาพร
เวลานั้นพร้อมด้วยท่านพระยาศรี มาสู่ที่บังกะโลสโมสร
ท่านแม่ทัพจึ่งแถลงแจ้งสุนทร เรื่องจะรอญรานสู้หมู่ทมิฬ
เดิมพระบาทบพิตรอิศเรศ ได้โปรดเกศราชกิจคิดถวิล
ให้เป็นสองกองบรรจบรบไพริน ล้างให้สิ้นสูญเผ่าพวกเหล่าพาล
เผอิญพระยาพิไชยบรรลัยลับ จำจะรับรบศึกที่ฮึกหาญ
ฉลองคุณอดุลย์ศักดิ์จักรพาล มิได้คร้านครั่นใจกับไพรี
แต่เห็นการพาลจะพาให้ว้าวุ่น แม้นเจ้าคุณช่วยรักษาสักหน้าที่
ส่งเสบียงเลี้ยงโยธาไปราวี อย่าให้มีห่วงใยในเสบียง
พระยาศรีดีใจได้สดับ ว่าจะรับส่งให้มิได้เลี่ยง
จะจัดเจ้าท้าวผู้ใหญ่ที่ในเวียง กำกับเรียงรายฉางวางประจำ
ท่านแม่ทัพกลับตอบว่าขอบจิต เจ้าคุณคิดช่วยชุบอุปถัมภ์
มีอาหารการฮ่อจะขอทำ รบกระหน่ำตั้งหน้าประดาตี
ต่างปราศรัยไถ่ถามตามวิมุต พอสิ้นสุดสุริย์ฉายลงบ่ายศรี
พูดถึงตรานำทัพสำหรับมี นัดพรุ่งนี้วางสนามตามกระทรวง
ต่างก็ลาคลาไคลกลับไปที่ รุ่งรังสีส่องใสไศลหลวง
ได้เวลามาประดังสิ้นทั้งปวง พากันล่วงลุสถานทวารเวียง
เขาเชิญขึ้นโรงคัลอันสะอาด มีอำนาจลาวรายชายเฉลียง
ส่วนเจ้านายนั่งเป็นชั้นจรัลเรียง ไม่แข่งเคียงยศหย่อนผ่อนผ่อนไป
มหาดเล็กเด็กชาพวกข้าเฝ้า ก็ทูลเจ้าหลวงแจ้งแถลงไข
ออกมายังโรงคัลด้วยทันใด ก็ถามไถ่กิจการทุกท่านนาย
จึ่งวางตราราชสีห์ที่นำทัพ ขุนนางรับอ่านความไปตามหมาย
ถึงเจ้าเมืองเนืองมาพาราราย แลเจ้าฝ่ายประเทศราชเป็นมาตรา
หนึ่งขัดสนผู้คนในกองทัพ จะเรียกรับเร็วเหมือนมาดปรารถนา
สองแม่ทัพบังคับต้องตามท้องตรา อย่าหน่วงข้าราชการให้นานวัน
สามแม่ทัพเกณฑ์จ่ายจำหน่ายบอก ส่งยังออกพันทนายเหมือนหมายมั่น
ได้กราบทูลมูลข้อพอสำคัญ ก็ลงวันเดือนปีที่มีมา
เจ้านครหลวงพระบางกระจ่างแจ้ง ฮ่อแรงรอญศึกฮึกนักหนา
เล่านุสนธิ์ต้นเข็ญที่เป็นมา ทราบกิจจาแจ้งจริงหายกริ่งใจ
แล้วก็ลามาเยี่ยมอุปราช กับเจ้าราชวงศาอัชฌาสัย
ต่างคำนับรับตอบด้วยขอบใจ ถูกฤทัยทอดสนิทไม่คิดแคลง
ก็เลยลามาค่ายค่อยคลายร้อน เข้าพักผ่อนร่มศรีสุรีย์แสง
จะชมคุ้มขวงวังสัจจังแจง ก็จะแว้งเวียนช้าเวลารบ
คเนรุ่งแจ้งแสงศรีสุรีย์ฉาย ปลัดซ้ายนำบาญชีมีฉบบ
คือคนพระยาพิไชยที่ได้รบ ส่งมาครบร้อยยี่สิบพอดิบดี
ตรวจดูรูปซูบเศร้าเห็นเหงาหงอง นั่งพุงป่องก้นปอดรอดจากผี
จะเกณฑ์ไปใช้ก็คงปลงชีวี แม่ทัพมีอนุญาตให้คลาดคลา
ทำจดหมายรายชื่อให้ถือกลับ แม้นใครจับจ่ายมาดปรารถนา
เกณฑ์เอาเงินกะเอางานการนานา แล้วกลับมาร้องเรื่องราวกล่าวประจาน
พวกไพร่พร้อมน้อมคำนับสดับกล่าว เข้ากราบเท้าแทบจะบินไปถิ่นฐาน
ดูหน้าสดหมดดำค่อยสำราญ ชุลีลานลาไปตามใจตน ๚ะ
๏ ท่านแม่ทัพคับคิดในจิตร้อน แม้นนิ่งนอนเนิ่นช้าเกรงฟ้าฝน
จะตกต้องท่องธารสงสารพล จึ่งรีบขวนขวายกลุ้มประชุมเชิญ
พร้อมเจ้านายฝ่ายมาลาแลข้าหลวง จัดกระทรวงเสบียงวางในกลางเถิน
เป็นระยะกะการทางดานเดิน เสร็จดำเนินความใส่ในสารา
บอกจำนวนพนักงานจัดการฉาง ที่ไว้วางเสบียงในไพรพฤกษา
สิบสองข้อที่บังคับประทับตรา ส่งศาลาเวรจำเป็นสำคัญ
แล้วจัดเจ้าท้าวพระยามาลาสลับ เข้ากองทัพนำทางกลางไพรสัณฑ์
เจ้าราชวงศ์คุมพหลพลฉกรรจ์ ดูเหมาะมั่นหมู่ลาวชาวนคร
กับเจ้าราชภาคิไนยไปสมทบ เป็นกองรบรับสู้สู่สมร
พร้อมกำลังตั้งขจัดดัสกร จึ่งคิดผ่อนผันสั่งการทั้งปวง
กับพระยาสุโขทัยไปอีกหนึ่ง เป็นผู้ซึ่งทราบประเทศเขตเมืองหลวง
เคยจัดเจนเกณฑ์กะในกระทรวง รู้จักท่วงทีมาลากิจจาแจง
กับกายตงที่ลงมาอยู่อาศัย แตกไทยไล่พลัดพรากจากเมืองแถง
มาแจ้งเหตุประเทศทางที่คลางแคลง อยากรู้แห่งจึ่งเอาไปได้ถามการ ๚ะ
๏ จัดสำเร็จเสร็จไปค่อยใสสุข สั่งให้กุ๊กทำกับข้าวทั้งคาวหวาน
จ้คโต๊ะตั้งเป็นจังหวะดูตระการ แล้วเชิญท่านที่บรรดามาประชุม
กับเจ้าหลวงบุตรหลานขนานหน้า พร้อมกันมามากมายหญิงชายกลุ้ม
เรียกสาธุแทนคำเจ้ากล่าวกันชุม ทั้งแก่หนุ่มไม่กำหนดพจนา
เวลาย่ำค่ำขานประสานฆ้อง มาแซ่ซ้องสิ้นด้วยกันดูหรรษา
เข้านั่งโต๊ะเต็มที่มีอัตรา แยกคณาหญิงอยู่เป็นหมู่มอง
ดูการเล่นเป็นที่เจริญรับ มีลาวขับแคนเสียงสำเนียงสนอง
ประชันวงคงคู่ดูทำนอง ที่ประลองโลมเลี้ยวเข้าเกี้ยวกัน
พวกทหารนักสวดประกวดเสียง ขึ้นร้านเรียงร้องลำนำกระสัน
พูดภาษาลาวญวนเสสรวลกัน แต่ตัดอันอวกเรื่องเยื้องกระบวน
เมื่อพระรถพาเมรีเที่ยวลีลาศ ออกประพาสไพรพนมเที่ยวชมสวน
เขาแคลงจิตคิดความจะลามลวน แปลงสำนวนเป็นอิเหนาเมื่อเข้าดง
เขาเกรงร้ายหมายความไปตามเล่ห์ ว่าเมืองเมรีตั้งดังประสงค์
จะเท็จจริงกริ่งตรึกนึกจำนง ไม่ตกลงเหลือจะเล่าในเค้าเดิม
ชาวพารามาประชุมทั้งหนุ่มสาว ดูนางลาวโลมจิตให้คิดเหิม
มาเบียดปนยลเต้าที่เค้าเดิม สั่นระเริ้มระริกร่ำชอกช้ำนวล
จนดึกดาวพราวพร่างกลางเวหา ได้เวลาเลิกไปอาลัยหวน
คิดถึงน้องหมองใจให้รัญจวน จะซ่อนนวลหรือจะนิ่งให้กลิ้งทรวง ๚ะ
๏ ครั้นรุ่งการงานทัพก็สรรพเสร็จ พักสิบเจ็ดวันพรากจากเมืองหลวง
ในเดือนสี่ปีระกาขอลาดวง อังคารล่วงขึ้นห้าค่ำจำเวลา
สามโมงเช้าชายโชคโฉลกล้ำ พิรุณร่ำโรยพร่างกลางเวหา
ก็ยกทัพลำดับดาษออกยาตรา เป็นสองท่าเดินทางต่างกระบวน
ที่ของหนักชักลงเรือเกลือข้าวสาร ให้ทหารกำกับลำประจำถ้วน
เราต้องเดินบกไปใจรัญจวน ขี่ม้าป่วนปั่นข้ามแม่น้ำคาม
ออกทุ่งนาแนวเถินขึ้นเนินเขา จะร่ำเล่าแคะไค้ไม่วิตถาร
ถ้วนชะโงกโกรกเขาลำเนาธาร เหลือประมาณแม้นจะเล่าก็เศร้าใจ
ขึ้นยอดแย้แลดูหย่อมกระท่อมแตะ พวกข่าแจะตั้งเป็นจุกทุกไศล
ปลูกสาลีแลรื่นเป็นพื้นไป บางแห่งไร่เก่าร้างดูว่างตา
ที่ถางใหม่ไฟเผาเป็นเถ้าฟุ ยังติดคุแดงโขดโหดพฤกษา
ทิ้งที่เก่าเผาที่ใหม่ไม่นำพา ด้วยลือว่าที่ดินนั้นสิ้นรส
แม้นปลูกซํ้าร่ำไปได้ผลน้อย ชั้นกล้วยอ้อยต้นลำเซียวไม่เขียวสด
ถ้าที่ใหม่ไม้ฟูต้นชูชด จึ่งเที่ยวจดจุดเผาทุกเขาคัน
จะบอกย่านขานตำบลชนบท มธุรสฟังแปลกช่างแผกผัน
ทั้งลาวลื้อชื่อเปลี่ยนผิดเพี้ยนกัน ไม่เหมาะมั่นจดจำก็รำคาญ
วันหนึ่งม่ายชายเขาเข้าสำนัก หยุดผ่อนพักพลรายชายสนาน
เรียกน้ำอูสู้กระแสแลละลาน ช่างไหลซ่านเสียงสนั่นอยู่ครั่นครืน
แต่ล้วนผาราร่ำในน้ำดาษ เป็นเก่งกาจเกาะเฝือเห็นเหลือฝืน
บางแห่งซึ้งน้ำใสออกไปยืน ถลำลื่นแลอาบล้วนคราบไคล
บ้างลงน้ำหนาวงันตัวสั่นงก แล่นขึ้นบกยืนบ่นทนไม่ไหว
ขนลุกซ่าร่าวิ่งเข้าผิงไฟ เหมือนเป็นไข้สั่นพลางครางฮือฮือ
ตรงฟากข้ามนิคามคนชาวชนแซ่ เรียกแท่นแบ๊บอกบ้านขนานชื่อ
เป็นคนแผกแปลกนามความระบือ เขาเรียกลื้อหลากชนิดผิดกว่าลาว
เสื้อกางเกงสวมกายาล้วนขาแคบ มีผ้าแถบขลิบชายลายเขียวขาว
ผู้หญิงนุ่งซิ่นสีต่างดูพร่างพราว เป็นริ้วยาวยลขวางสล้างลาย
หยุดพักผ่อนนอนรุ่งมุ่งเขม้น พอเก็บเต๊นท์ตะวันแดงส่องแสงฉาย
ออกเดินทัพลำดับดาษริมหาดทราย แล้วทางย้ายแยกขึ้นเขาลำเนาเนิน
มีบ้านหนึ่งพึ่งมาตั้งยังใหม่ใหม่ หวังจะไถ่ถามทางในกลางเถิน
เป็นคนชาติผู้ไทยเพศสังเกตเกิน บอกดำเนินนามชัดกระจัดจริง
ว่าตัวชื่อท้าวพลคนเมืองแอด อ้ายฮ่อแผดหนีพ่ายทั้งชายหญิง
มันรบรุกทุกตำบลเที่ยวปล้นชิง จึ่งต้องทิ้งถิ่นไม่อาลัยแล
ได้ทราบเหตุเพศผลเป็นต้นข้อ มิได้รอรัดความข้ามกระแส
สิบเอ็ดวันดั้นพนานต์มาดาลแด เฝ้าแต่แลดูไศลยิ่งใหญ่ยล
ขึ้นฟากฝั่งตั้งทัพระดับดื่น ไม่มีชื่นชุกในใจฉงน
ตำแหน่งบ้านขานชี้คดียล ชื่อตำบลบอกเรื่องว่าเมืองงอย
อยู่หว่างเขาเว้าวุ้งเป็นคุ้งอ้อม ไศลล้อมแลไปใจละห้อย
ตั้งอยู่ลำน้ำอูดูเด่นลอย มีแง่ย้อยตั้งปราการเป็นด่านน้ำ
ท่านเห็นที่มีดอยขึ้นลอยกว้าง ศรัทธาสร้างพระเจดีย์ที่ปถัมภ์
ไว้รำลึกนึกเมื่อยากมากรากกรำ ออกเงินประจำจ้างคนพลเมือง
มอบพระยาสุโขทัยให้กำกับ แลคอยรับการนิกายอีกหลายเรื่อง
ส่งลำเลียงเสบียงไปให้เนืองเนือง แม้นขาดเปลืองหมดแล้วซื้อหารือกัน
อยู่เป็นสองกองกับพระพาหล คุมพวกพลทหารอยู่เป็นหมู่มั่น
เหมือนกองหนุนรุนโรมโจมประจัญ ให้ตั้งมั่นมุ่งยลอยู่ต้นทาง
เรียกเพี้ยท้าวลาวล้อมมาพร้อมหน้า ถามมรรคาเข้าจังหวัดก็ขัดขวาง
เหมือนเข้าป่าเวลามืดฝืดหนทาง ไม่กระจ่างใจจริงลงนิ่งจน
เดชะเดชเกศสยามหาสถาน มาบันดาลดลเห็นเป็นกุศล
ให้คิดถึงคำกล่าวตาท้าวพล จึ่งให้คนรีบไปตามมาถามทาง
ท้าวพลถึงจึ่งแจ้งแถลงเล่า ในป่าเขาสารพัดจะขัดขวาง
แกรับนำตำบลชี้หนทาง ทราบกระจ่างแจ้งธิบายค่ายทั้งปวง
อ้ายนายโจรจีนฮ่อชื่อกอยี่ เป็นตัวดีชาวบ้านเรียกกวานหลวง
อยู่บ้านใดไล่ปล้นคนทั้งปวง ทุกกระทรวงแตกสันเที่ยวดั้นดอน
บ้างหนีบุกซุกอาศัยในเขาเขื่อน ทิ้งบ้านเรือนแรมนิ่งอยู่สิงขร
มันเที่ยวค้นปล้นเล่นเสียเป็นบอน ใครบ่ห่อนจะมาหาญออกต้านยิง
บางครอบครัวมั่วหมู่อยู่ในป่า มันพบฆ่าขายผัวเอาตัวหญิง
ลูกน้อยนิดติดไปไม่ประวิง ให้เอาทิ้งรกร้างอยู่กลางดง
ต้องยอมทู้อยู่เป็นข้าประสายาก มันใช้กรากกรำสมอารมณ์ประสงค์
แม้นโกรธาฆ่าตายวายชีวง ทำทะนงจิตบาปหยาบสันดาน
แม่ทัพฟังคงแค้นแสนพิโรธ อ้ายฮ่อโหดหินชาติมาอาจหาญ
ประชุมทัพคับคั่งให้ตั้งการ เลือกทหารห้าวณรงค์คงประจญ
จึ่งสั่งให้หลวงดัษกรปลาศน์ กับเจ้าราชภาคีกรีพหล
เดือนสี่แรมสองค่ำให้นำพล ไปโรมรณพวกที่ชั่วจับตัวการ
หลวงดัษกรปลาศน์องอาจรบ พอฟังจบรีบรัดจัดทหาร
ได้ร้อยห้าสิบนายล้วนชายชาญ ระวิวารรุ่งเวลาก็คลาไคล ๚ะ
๏ แต่กองเจ้าราชวงศ์ยังคงอยู่ พร้อมด้วยหมู่พหลพลไพร่
จึ่งหาตัวหัวพันมาทันใด ซึ่งเป็นใหญ่อยู่รักษาพารางอย
ให้เรียกฃ่าเคียนของส่งกองทัพ ได้พร้อมสรรพส่งมานั่งหน้าจ่อย
ทั้งชายหญิงนิ่งหย่องดูตองตอย ช่างเต็มกร่อยกรอบมนุษย์เห็นสุดจน
ผู้ชายแจะอุจาดคาดผ้าเตี่ยว พอเหน็บเหนี่ยวหมากต้องได้สองผล
ตามเพศพันธุ์นั้นทั่วทุกตัวคน ดูพิกลกว่าเพื่อนไม่เหมือนลาว
ผู้หญิงยุ่งนุ่งซิ่นล้วนวิ่นหวะ เนื้อหนังคระครุสีไม่มีขาว
อยู่กับดินกินกับดอนนอนดูดาว ถ้าแม้นหนาวหนักก็รุมกันสุมไฟ
อันการกินสิ้นแกนแสนสาหัส มีเกลือกัดลิ้มเล็มพอเค็มไส้
แล้วอยู่เย็นเป็นสุขสนุกใจ เรียกมาใช้แบกขนช่างทนทาน
จึ่งจำแนกแจกจ่ายท่านนายทัพ ให้สำรับเป้ของกองทหาร
จะใช้ช้างโคต่างไปในพนานต์ ระยะย่านนี้ยากลำบากครัน
ล้วนโกรกกรอกซอกผาลดาดก สุดจะยกหยิบอวดประกวดขัน
ถ้าโคต่างช้างเดินเนินอรัญ ไปไม่ทันติดทางต้องถางจร
จึ่งใช้ข่าต่างโคไม่โอ้เอ้ ให้มันเป้ของเดินขึ้นเขินขอน
จ่ายสำเร็จเสร็จคลาพลากร ด้วยการร้อนรีบกะเป็นกระทรวง
เจ้าราชวงศ์คงคุมโยธาเคลื่อน ยกเข้าเลื่อนเป็นทัพหน้ามาลาหลวง
เดือนสี่แรมเจ็ดค่ำจำกระทรวง วันศุกร์ล่วงเวลาเช้ายกเข้าไพร
แรมสิบเอ็ดค่ำอังคารชาญโฉลก อุษาโยกยามศุกร์ทุกข์กษัย
สามโมงเศษก็ประเวศกองทัพชัย ฝนตกใหญ่หยุดพลดลประดัง
อยู่กลางนารารอก็พอค่ำ ต้องนอนกรำฝนฝ่าทั้งหน้าหลัง
อนาถนึกดึกกำดัดสงัดดัง เสียงละมั่งร้องรายอยู่ชายดง
พยัคฆ์ยาตรนาฏเนินร้องเกริ่นรับ สุรศัพท์แสร้งทำให้ล้ำหลง
ละมั่งหนายพวกพามาในดง พยัคฆ์ตรงเข้าตะโกรมเสียงโครมคราม
ฟานลำพองร้องร่าน่าขนลุก ทวีทุกข์เทวษไหวหทัยหวาม
ชะนีครวญหวนจิตคิดถึงยาม เมื่อแนบงามสงวนอยู่เป็นคู่เคียง
เสนาะน้ำคำเหลือแล้วเนื้อนิ่ม เมื่อจะยิ้มแย้มเพราะเสนาะเสียง
กระซิบเสียดเบียดกายชะม้ายเมียง น้องแอบเอียงอายค้อนอ่อนละมุน
ถ้าพี่ยั่วเย้าแย้มพูดแนมเหน็บ แล้วถูกเล็บหยิกลายไม่หายหุน
ชะนีร้องถ้องขรมชมอรุณ ไม่เหมือนอุ่นใจจัดวัจนา
ครั้นรุ่งรางสร่างใสฤทัยระทด ขึ้นบรรพตพิศลำไม้ฉำฉา
สูงละลิ่วแลลิบหลายสิบวา พรรณพฤกษาสะพรั่งเคียงขึ้นเรียงราย
ไม้อย่างหนึ่งแลพิกลผลล้วนหนาม มีอยู่ตามริมสถลลงหล่นหลาย
เหมือนผลเงาะเก็บแงะแกะตะกาย เมล็ดคล้ายลูกเดือยพบลองขบดู
มีรสมันครั้นกินแล้วเก็บห่อ เรียกหมากก่อเรียงกกดกอักขู
ไม้หนึ่งยลผลพรรณช่อชันชู พากันกรูเข้าตะโกรมฟันโครมครืน
ชวนกันชิงวิ่งแย่งมดแดงกลุ้ม นั่งเป็นกลุ่มกินกับเกลือเหลือจะฝืน
เรียกหมากแฟนแปร้นเปรี้ยวเคี้ยวแล้วคืน มีออกดื่นดกระดะดูตระการ
อย่างหนึ่งผลยลสีลิ้นจี่จัด รสกำดัดกระเดียดเปรี้ยวเกี่ยวกับหวาน
แม้นผลว่าถ้าจะเปรียบเอาเทียบทาน แต่เขาขานคำปากเรียกหมากคัง
อย่างหนึ่งเฟื้อยเลื้อยกระสันพันพฤกษา ผลระย้าสุกแสงแดงสะพรั่ง
เก็บลองลิ้มชิมเสียวเปรี้ยวสัจจัง ไม่น่าหวังแวะเชยก็เลยจร
เรียกหมากหลอดแลผลกลละมุด แล้วลงหยุดยั้งรายขายสิงขร
เห็นหมากเดื่อดงใหญ่ให้อาวรณ์ เท่าสะท้อนห่องามมีครามครัน
แต่เขาเรียกหมากวาชาวมาเลศ เพราะเปลี่ยนเพศชื่อแปลกฟังแผกผัน
หมากเดื่ออื่นดื่นไปในอรัญ ไม่เท่าทันผลหมากวากิจจานาม
อย่างหนึ่งเฝือเหลือปองค่อยมองมุ่ง เรียกไข่กุ้งเก็บลูกกลัวถูกหนาม
เป็นกอกกรกไร้ดูไม่งาม สุกอร่ามรายระดะเหลืองลออ
เก็บชิมรสจดจำไว้ร่ำเล่น พอรู้เช่นผลชาดไม่ฝาดศอ
ที่ไม่รู้สุดจะร่ำต้นลำกอ จะเป็นก้อเกินเหตุสังเกตกล
ไม้หนึ่งฟุ้งจรุงรื่นชื่นนาสา พิศบุปผาคล้ายจำปีมีพวงผล
เรียกไม้งวมรวมประทิ่นกลิ่นสุคนธ์ แม้นใครดลดงชมรมย์สำราญ
ยลรุกขามาถึงฉางสบช้างหยุด อุตลุดจ่ายเสบียงเลี้ยงทหาร
แล้วเร่งลาวท้าวพระยาอย่าช้าการ ด้วยถึงย่านหยุดข่าที่มาเวร
พวกข่าเคียนเปลี่ยนผลัดกันยัดยุ่ง ตาแสงฟุ้งเลือกเฟ้นเหมือนเต้นเขน
เรียกนายหมวดตรวจบาญชีที่กะเกณฑ์ ให้รับเวรเร่งเรียกออกเพรียกไพร
พักเวลาช้าเชือนเที่ยวเลื่อนลาศ เห็นบ้านราษฎรเรียงเคียงไศล
ยี่สิบห้าหลังทั่วทั้งครัวไฟ ตั้งทำไร่ริมเขาลำเนาเนิน
พอคนข่ามาเวรเกณฑ์ได้ถ้วน จึ่งยกด่วนด้นไปในไพรเถิน
ถึงผาตั้งยั้งพิศพินิจเพลิน แลเจริญรายรุกขาพนาเนา
เห็นไร่กว้างทางสงสัยอยู่ในจิต ใครหนอคิดขึ้นมาสร้างไว้กลางเขา
ฤๅฮ่อโจนโค่นทำในลำเนา ปลูกไร่ข้าวเลี้ยงกำลังเที่ยวตั้งตี
ก็เดินตรึกนึกไปไม่ประจักษ์ เห็นป้ายปักกลาดเกลื่อนเป็นเรือนผี
อักษรบอกออกความตามคดี เป็นตัวยี่ยลไม่เข้าใจความ
ถามห้าวขุนคนที่นำเข้าร่ำแจ้ง ว่าแม้วแฝงเฝ้าตำบลอยู่ล้นหลาม
ทำไร่ฝิ่นถิ่นอาศัยมิได้ลาม เที่ยวตะกลามกลุ้มซนเหมือนคนจร
ชอบอยู่เนินเผินไศลในพนัส แม้นฝนจัดเจ่านิ่งอยู่สิงขร
ไม่จากเขาเนาถิ่นลงดินดอน กลัวชีพมรณ์ม้วยยั้งระวังกาย
ว่าลงดินยินเสียงเขียดขิ้งคก แล้วตื่นตกใจสั่นมิ่งขวัญหาย
มักปวดหัวตัวสั่นเป็นอันตราย ว่าผีร้ายรุมกินสิ้นชีวี
การบริโภคโยกอย่างต่างอาหาร คิดเห็นการดีพร้อมไม่ซ้อมสี
ครือข้าวโพดแต่เขาว่าข้าวสาลี มาใส่ที่โม่หมุนเป็นจุณไป
แล้วฝัดร่อนล่อนธุลีทีละเมียด หยาบละเอียดสิ้นละอองดูผ่องใส
ไว้ต้มนึ่งนึกประกอบตามชอบใจ เก็บขึ้นใส่ยุ้งไว้ครันอนันตัง
ผลไม้หวานเปรี้ยวนั้นเที่ยวหา ที่ในป่าตามแต่สมอารมณ์หวัง
ไม่สร้างสมเรือกสวนน่าชวนชัง แต่เลี้ยงขังโคแพะแกะไก่มี
สำหรับไว้เซ่นไหว้วอนผีฟ้า ให้รักษาสรรพทุกข์เป็นสุกขี
หรือเจ็บไข้ภัยพาธามายายี ล้างชีวีสัตว์นั้นมาบูชาชู
แม้วผู้ชายหมายเช่นก็เป็นเจ๊ก ผู้ใหญ่เด็กดูสล้างไว้หางหนู
ไม่ถักไหมใช้ปล่อยเป็นฝอยฟู โพกหัวหูรุงรังช่างพิกล
เสื้อกางเกงขากว้างอย่างกวางตุ้ง ผ้าคาดพุงพันวกสักหกหน
เหมือนงิ้วบู๊ดูดีทีผจญ แต่ตัวตนเต็มด้วยไคลในอินทรีย์
ผู้หญิงแปลงแต่งผมดูสมสาว ทิ้งไว้ยาวยลกระสันอย่างปันหยี
บ้างพันเศียรเวียนหน้าผากดูหลากดี เอาผ้าสีโพกผมดูสมทรง
สอดตุ้มหูดูลออเหมือนขอมุ้ง เป็นติ้งตุ้งติดงามตามประสงค์
แม้นทำการงานนักพะวักพะวง เอาเกี่ยวส่งสับไขว้ไว้ท้ายทอย
สวมกำไลใส่ปลอกคอลออเอก อดิเรกด้วยหิรัญพันกับหอย
สวมเสื้อสันกระสันทรวงดูดวงลอย เหมือนจะย้อยยลยุคันสั่นระรัว
นุ่งผ้าจีบกลีบรายลายตลอด อย่างสกอตเกี่ยวทบประจบหัว
มีเชือกรัดมัดมั่นพันกับตัว นึกน่ากลัวเกลือกจะกลายเป็นลายโลน
ยังอายหน้าผ้านิดมาปิดท้อง ใช้ปกป้องเป็นผ้าห้อยหน้าโขน
เมื่อนั่งปัดสลัดปิดให้มิดโลน แม้นกระโจนคงกระจายระบายบาน
ทำห้องหับหลับนอนซ่อนอาศัย พอนอนได้คนเดียวซุกไม่สุขสานต์
ถึงมีคู่ก็ไม่อยู่ให้สำราญ ถือว่าการนั้นผิดกิจธรรมเนียม
เมียที่ห้องต้องทำอยู่จำเพาะ แต่พอเหมาะหมกนอนเหมือนซ่อนเสียม
มีฝากั้นกันความจะตามเลียม นิ่งเสงี่ยมเหงาอุราเอกากาย
เมื่อมีจิตจะคิดเรียงเข้าเคียงหมอน เอาไม้ยอนแยงตนกระมลหมาย
เดือนให้ตื่นชื่นชู้รู้ระคาย จึ่งค่อยผายผันสู่คู่นิยม
แม้นหลับใหลไม่รู้ตัวผัวเข้าหา ว่าผีฟ้าเคียดตูไม่สู่สม
มักมีภัยไข้ขุกทุกข์ระทม ถึงล่มจมจนทำลายวายชีวา
ธรรมเนียมชายที่เป็นคนจนสิ้นสู่ จะหาคู่เห็นขันน่าหรรษา
ต้องเรียนดื้อถือด้านอ่านตำรา ตรงเข้าหาแม่ยายนั่งไหว้วอน
ขอบุตรสาวกล่าวตามเนื้อความรัก ด้วยสมัครในมโนสโมสร
ข้างบิดรมารดาพะงางอน ก็ขุดค่อนแคะว่าสารพัน
แต่ไม่จ้วงล่วงประมาทถึงญาติมิตร นั่งประดิษฐ์ด่าแต่ตัวชั่วมหันต์
ต้องถือรักหักเหือดไม่เดือดดัน ฟังรำพันพจนาที่ด่าทอ
สิ้นเวลาทิวาหนึ่งไม่ขึ้งโกรธ สมประโยชน์ยกบุตรสาวเหมือนกล่าวขอ
ให้กับชายหมายเช่นเห็นใจคอ ว่าซื่อต่อความรักประจักษ์จริง
แม้นฟังว่าด่าทอตัดพ้อนัก ตัวลืมรักพิโรธไปมิได้หญิง
เขาเลื่องชื่อลือทั่วว่าชั่วจริง จนแล้วหยิ่งมิได้ยำคำผู้ใด
ธรรมเนียมการงานบ่าวสาวขอกล่าวกล้ำ เหมือนจีนจำแจ้งตรงอย่าสงสัย
พูดกันเพลินเดินชมพนมไพร ดังจะไปสู่สถานพิมานอินทร์
เวลาเช้าแลชมพนมพนัส เมฆหมอกกลัดกลุ้มดังว่าชลาสินธุ์
แลดูขาวพราวพร่างอย่างเมฆิน ไม่เห็นดินดานแลแต่โพยม
จนแสงสายย้ายย่างลงหว่างเขา เห็นไร่เปล่าปละไปไฟยังโหม
มีเรือนร้างบ้างชำรุดหักทรุดโทรม รีบทัพโจมถึงนครซ่อนบุรี
สี่โมงเช้าเสาร์เสร็จขึ้นเจ็ดค่ำ เดือนห้าจำปีจอต่อดิถี
พระอาทิตย์ประทับมิลเมื่อสิ้นปี ออกวาจีจอศกตกระกา
นับวันคล้อยงอยบุเรศประเทศสถาน เข้าไพรสาณฑ์ไศลเผินขึ้นเนินผา
ถึงเมืองซ่อนชัยบุรีรวมทิวา สิบเวลากับวันหนึ่งถึงสำนัก
สิริทัพนับวันจรอมรรัตน์ โดยขนัดบกน้ำจำประจักษ์
แปดสิบสี่วันกำหนดไม่จดพัก รวมสำนักนับเสร็จถึงเจ็ดเดือน
ตั้งค่ายคูดูดีเป็นสี่เหลี่ยม ระเนียดเรี่ยมรายคูดูเหมือนเหมือน
มีหอรบโรงยามไม่ลามเลือน อยู่ริมเขื่อนเคียงรอบเป็นขอบคัน
ที่แม่ทัพทำวางไว้กลางเด่น ดังจะเผ่นพิฆาตศึกนึกกระสัน
ชักธงช้างวางเช่นเป็นสำคัญ ใครประจัญคงประจญให้ป่นไป
เมืองซ่อนนี้มีทุ่งนาป่าละเมาะ เป็นซึ้งเซาะแซงเผินเนินไศล
ล้วนห้วยธารละหานหินในถิ่นไพร กินน้ำในห้วยแอดไม่แปดปน
ที่เมืองอยู่ดูสถานมีบ้านตั้ง สิบสองหลังเหลือวิบัติช่างขัดสน
เรียกซ่อนลาวกล่าวนามตามยุบล รักษาสกนธ์เกษตรนี้ที่พระยา
ในนามตั้งฟังแต่งตำแหน่งที่ พระยาศรีสุมังราชพงศา
ผู้รั้งเมืองกระเดื่องยศพจนา คุมลาวข่าแม้วคงในกงดิน
ต่าบลมีที่รักษาล้วนป่าเขา ผู้ไทยเย้าเที่ยวอยู่ไม่รู้สิ้น
ครั้นมีเวรเกณฑ์เอางานการแผ่นดิน เที่ยวเสาะถิ่นที่อาศัยจึ่งได้คน
แล้วตรวจเขตประเทศทิศที่ติดต่อ ทางที่ฮ่อเดินลัดเที่ยวตัดปล้น
ไปเมืองแอดแปดวันจรัลพล แม้นรีบร้นเร็วได้ในหกวัน
ทางหนึ่งไปในหัวพันตะวันออก เฉียงใต้บอกเบื้องบูรพาพนาสัณฑ์
กำหนดระยะกะเสร็จสิบเอ็ดวัน ทางหนึ่งนั้นตัดไปทิศใต้ตรง
เช้าเขตแคว้นแดนเมืองพวนก็ล้วนเขา สล้างเสลาล้วนรุกขาป่าระหง
สิบเอ็ดวันบรรลุโดยจุจง ถึงเขตกงดินเชียงคำจงจำใจ
ที่เรียกว่าหัวพันห้าทั้งหกนี้ จะจำชี้ชัดแจ้งแถลงไข
คือซ่อนโสยซำเหนือเจือกันไป อีกซำใต้เชียงฆ้อต่อหัวเมือง
รวมทั้งหกยกขึ้นชี้ที่ประเทศ เป็นเมืองเขตแดนลาวที่กล่าวเรื่อง
มีชนชาติผู้ไทยข่าคณาเนือง แต่ชายเยื้องยักนุ่งผ้ากางเกง
ผู้หญิงยลปรนปรุงยังนุ่งซิ่น บอกระบิลบ่อนเบาะดูเหมาะเหม็ง
เป็นเพศลาวพุงขาวอ้างแต่ปางเพลง เสื้อกางเกงไม่สวมจริงเหมือนหญิงญวน
เที่ยวอาศัยในอรัญทุกคันเขต ในประเทศสถานลาวเหมือนชาวสวน
ที่เมืองน้อยบ้านนามาประมวล เขาแบ่งส่วนขึ้นหัวพันเป็นหลั่นไป
แต่พื้นภูมิพาราน่าวิตก จนชั้นนกก็ไม่เนาเขาไศล
มีแต่สัตว์วิบัติเข็ญที่เป็นภัย พยัคฆ์ใหญ่ชุมยิ่งเสียจริงจัง
ท่านตรวจการด่านทางวางระยะ เสร็จแล้วกะทัพตามเนื้อความหวัง
ให้แยกทางวางท่าดาประดัง ยกโอบหลังล้อมหน้าไล่ราวี
สั่งให้เจ้าราชวงศ์คงคุมทัพ บรรจบกับกองทหารชาญชัยศรี
หลวงจำนงค์คุมทหารไปต้านตี รวมได้สี่ร้อยถ้วนจำนวนพล
ให้ยกเยื้องบุพทิศติดข้างใต้ อย่าทันให้ฮ่อแจ้งแห่งนุสนธิ์
รักษาการณ์ด่านตั้งระวังคน ทุกสถลทางเนื่องไปเมืองพูน ๚ะ
๏ อีกกองหนื่งสามร้อยถ้วนจำนวนหมาย สั่งให้นายพลอยสับเป็นทัพหนุน
ไปเมืองสบแอดอีกทางวางประมูล เข้าเพิ่มพูนกองสกัดหลวงดัษกร
เป็นสามทัพจับฮ่ออย่าหลอเหลือ ให้สิ้นเชื้อชาติเหล่าทึ้งเถาถอน
กองหลวงนั้นจะตั้งฟังราญรอน อยู่เมืองซ่อนส่งทัพที่รับรบ
ด้านไหนฮ่อต่อตั้งประดังรับ จะยกทัพใหญ่หนุนเข้าจุนจบ
แต่งคนสืบข่าวสารการรุกรบ ได้สมทบทัพทันอย่าพรั่นใจ ๚ะ
๏ ฝ่ายนายกองนายทัพรับบรรหาร โดยราชการจะแจ้งแถลงไข
ต่างก็ลาเป็นลำดับยกทัพไป ตามที่ในคำสั่งดังสุนทร
พอล่วงวันนั้นผู้ถือหนังสือสาร ส่งทหารยามให้นำคำอักษร
ก็รีบขึ้นเรียนความตามธิกรณ์ ท่านรีบร้อนเร็วอ่านสารที่มา ๚ะ
๏ ว่าข้าพเจ้าหลวงดัษกรปลาศน์ กับเจ้าราชภาคิไนยได้อาสา
เดินกองทัพขับขันอรัญวา ถึงบ้านนาลานตั้งหยุดยั้งพล
วันอาทิตย์อุทัยแผดขึ้นแปดค่ำ เดือนห้าจำปีจอต่อนุสนธิ์
ด้วยใกล้ค่ายอ้ายฮ่อทรชน เข้าซุ่มพลพักร้อนให้ผ่อนเย็น
เขาบอกว่าจะไปเห็นใกล้นัก ต้องหยุดพักพลไว้อย่าให้เห็น
แม้นฮ่อรู้ไหนจะอยู่ให้จับเป็น จึ่งเข้าเร้นพงร้างอยู่กลางแปลง
ผลัดกันนอนผ่อนกันนั่งระวังอยู่ เห็นคนจู่มาจะเข้าบังเงาแฝง
หลบไม่ทันมันเห็นตัวกลัวระแวง จึ่งไล่แย่งหมายจะฟันให้บรรลัย
มันรู้ตัวกลัวร้องทิ้งของหนี เข้าไพรศรีวิ่งเสือกเถลือกไถล
จับไม่ทันพลันกลับมาฉับไว บอกเหตุให้รู้กิจรีบคิดการ
หากฮ่อรู้กรูกรีจะหนีลับ ต้องเร่งจับจัดพลพหลทหาร
เดินกระบวนด่วนไปมิได้นาน เป็นสามด้านประดังรายถึงค่ายโจร
ห้วยแอดขั้นถลันข้ามไปตามหมาย จะเข้าค่ายฉุดชักให้หักโค่น
ยิงปืนสาดปราดปรายถึงค่ายโจร ฮ่อตะโกนเรียกทหารรบต้านทาง
ลากหามแล่นลูกกลมเท่าส้มเกลี้ยง พอยิงเปรี้ยงยกแรกก็แตกผาง
พากันทิ้งวิ่งวนหาหนทาง เข้ารกร้างเร้นตัวเห็นหัวดำ
ลุดเตอร์แนนต์นายดวงทะลวงไล่ เข้าด้านใต้พังประตูลู่ถลำ
นายเอื้อนลุดเตอร์แนนต์รบเข้าทบทำ ข้างทิศต่ำตะวันตกยกประดัง
หลวงดัษกรกับเจ้าราชพิฆาตหนุน ยิงเป็นจุณวิ่งกระจายในค่ายขัง
พลทหารราญโรมกระโจมพัง มิได้ยั้งรบรุมตะลุมบอน
อ้ายฮ่อหอบครอบครัวมัวแต่หนี ออกวิ่งจี่หนีขึ้นเทินเนินสิงขร
บ้างล้มกลิ้งนิ่งขวางอยู่กลางดอน ทหารฟอนฟันดับนับประเด็น
ทั้งบ่าวนายตายกับที่ยี่สิบสาม ที่เลือดซามสาดไปซ่อนบ่ห่อนเห็น
ทหารด้นค้นไล่ไปจนเย็น พบฮ่อเป็นป่วยนั่งกำบังกาย
จะจับตัวมาถามเนื้อความฮ่อ ให้ได้ข้อจริงจังเหมือนดังหมาย
มันกลับยิงตนมันให้อันตราย ดูแยบคายควรจะยอใจคอมัน
ทหารเราเล่าก็ถือฝีมือจัด ตรงเข้าตัดเอาหัวอ้ายตัวกลั่น
มิให้เสียทีที่ได้ตามไปทัน เป็นรางวัลมือมาเข้าหานาย
แต่ครอบครัวตัวเมียฮ่อกับบุตร มันหนีผลุดผลุนพังออกหลังค่าย
จับไว้หมดจดจำนวนถ้วนหญิงชาย นับจำหน่ายรวมสามสิบสองคน
เครื่องอาวุธยุทธนาสารพัด มันช่างจัดพร้อมสรรพสำหรับปล้น
ปืนแฮนรีมีใช้มิใช่จน ของนายพลฮ่อใช้ในสงคราม
กระบือโคโภชาแลม้ามิ่ง มีทุกสิ่งสมบัติปล้นคนซำสาม
ทั้งธงดำธำรงสู้สงคราม จารึกนามหนังสือย่อยี่ห้อตัว
พอรวมรอมพร้อมจึ่งถามความเมียฮ่อ ที่ปาดคอนี้คนไหนได้เป็นผัว
สาวจุ่งแจ้งแสดงนามด้วยความกลัว ว่าผัวตัวชื่อยี่เป็นที่รอง
กวานหลวงใหญ่ไม่อยู่หารู้ไม่ แล้วร้องไห้รักผัวจนมัวหมอง
ฟังไม่ชัดขัดในน้ำใจปอง ให้ป่าวร้องชาวชนาอย่าได้เกรง
อ้ายกวานยี่ที่แกว่นสุดแสนชั่ว ได้ตัดหัวเสียบสมที่ข่มเหง
เห็นฮ่อมาอย่าพรั่นคิดยั่นเกรง จงรีบเร่งรุมฆ่าให้สาใจ
ให้ช่วยกันสรรเสาะสืบเบาะแส แม้นรู้แน่นอนว่ามันอาศัย
เที่ยวซ่องสุมซุ่มพลตำบลใด มาบอกให้รู้จะจับสับประจาน
ฟังชาวชนคนที่ทู้อยู่กับฮ่อ ถ้าเกรงข้อผิดให้มาไขขาน
โทษที่ได้ไปประจบคบคนพาล แต่ก่อนกาลก็เป็นจะเว้นกัน
แม้นปิดไว้ไม่ฟังดังกล่าวแจ้ง ใครมาแย้งยันสู้เป็นคู่ขัน
ว่าคบฮ่อก่อเข็ญเป็นสำคัญ จะห้ำหั่นเหมือนฮ่อยี่คนนี้เจียว
ชาวผู้ไทยได้ฟังลงนั่งกราบ เชิญช่วยปราบปรามทมิฬให้สิ้นเสี้ยว
ข้าพเจ้าเฝ้าแต่ทุกข์ขนลุกเกรียว มิได้เที่ยวทำตั้วเหี่ยคิดเคลียคลอ
ดูงันงกสะทกสะท้านสงสารนัก เห็นไม่รักไมตรีอั้งยี่ห้อ
มาแจ้งเหตุเภทพาลที่ราญรอ ช่วยสืบส่อเสาะค้นพวกคนพาล
ตั้งทัพยลกลรบสงบไว้ ยังบ้านใดดาพลพหลทหาร
บำรุงรักษาเขตสืบเหตุการณ์ ออกตั้งด่านดักรายหลายตำบล
ได้ข้าวฮ่อเลี้ยงทหารประมาณมาก ไม่อดอยากเหลือกินจนสิ้นฝน
ค่ายหนึ่งอยู่บ้านนาปาตาท้าวพล แกรีบร้นบอกให้ไปขนเอา
มันรู้ข่าวว่าค่ายบ้านใดแตก ก็ยกแยกหนีหน้าขึ้นป่าเขา
ทิ้งแต่ค่ายเปล่าว่างกลางลำเนา เก็บได้ข้าวเปลือกสารประมาณมี
ห้าสิบแปดเกวียนหมายปลายยี่สิบ ถังพอดิบดีประมวลได้ถ้วนถี่
ควรมิควรขออาชญาได้ปรานี ตามคดีโดยดลประจญทัพ ๚ะ
๏ ฝ่ายข้างกองหลวงจำนงส่งหนังสือ ให้คนถือมาแถลงแจ้งสดับ
ว่าพาพลดลเมืองจาดที่ลาดลับ ก็หยุดทัพตั้งสถิตด้วยอิดโรย
ในแว่นแคว้นแดนเมืองจาดนี้ชาติม้อย อยู่ตามดอยเดินเนื่องถึงเมืองโสย
เข้าทู้ฮ่อก่อเข็ญเป็นขโมย เที่ยวตีโบยบุกราษฎร์บังอาจทำ
เมื่อทัพหน้ามาถึงนั่นวันพฤหัสบดิ์ เดือนหกจัดจดดิถีขึ้นสี่ค่ำ
พวกม้อยรอตออาวุธยุทธกรรม รบกระหน่ำรับหน้าประดาพล
อ้ายพวกม้อยน้อยมากยากจะรู้ ด้วยเป็นหมู่ป่าไม้กลางไพรสณฑ์
มันยิงปืนครื้นครึกฮึกผจญ จะเข้าปล้นกองทัพให้ยับเยิน
นายเพ็ชร์สับลุดเตอร์แนนต์แกว่นอาวุธ เข้ายิงยุทธ์รบรุกกันฉุกเฉิน
ทหารห้อมล้อมระดมพนมเนิน ม้อยตะเพิ่นแตกพ่ายทิ้งค่ายคู
จึ่งสำนักพักทหารอยู่บ้านม้อย ตะวันคล้อยเคลื่อนย่ำค่ำรุบรู่
จะตามไล่ไปเล่าล้วนเขาคู จึ่งหยุดอยู่ท่ากองหลังด้วยยังไกล
พอกองเจ้าราชวงศ์ตรงมาถึง นายเพชรจึ่งเล่าแจ้งแถลงไข
ว่าม้อยรอต่อรับกองทัพไทย แล้วแตกไปแต่เวลาล่วงสายัณห์
เจ้าราชวงศ์ได้ฟังจึงสั่งว่า ให้กรีธาทัพไปในไพรสัณฑ์
จะมืดค่ำจำเป็นอย่าเว้นมัน แม้นตามทันฆ่าเล่นให้เป็นบอน
ก็เดินพลด้นพาโยธาทัพ ถึงผาคับแคบทางหว่างสิงขร
จุดคบเพลิงโพลงมาในป่าดอน อ้ายม้อยซ่อนซุ่มหาญเข้าราญรอ
ระดมปืนครื้นครั่นมันก็แตก ออกหนีแยกยกไปต้านอยู่บ้านหอ
กองทัพไล่ไปมันกลับเข้ารับรอ ต่างก็ต่อสู้กันยืนยันยิง
เป็นสามครั้งตั้งรบไม่หลบแหลก อ้ายม้อยแตกตื่นอลวนวิ่ง
ออกหนีหน้าเข้าป่าไปก็ไล่ยิง แต่ตายทิ้งอยู่กับที่นั้นสี่คน
ก็ยกทัพกลับหลังประทังถอย มาค่ายม้อยมั่นทัพอยู่สับสน
ด้วยมืดค่ำจำพักสำนักพล ทั้งสถลทางทั่วมัวมลทิน
ครั้นรุ่งรางสร่างศรีสุริย์ใส ฝนตกใหญ่ท่วมธารละหานหิน
หนาวสะท้านซ่านซ่าทั่วกายิน พวกโยธินไข้จับทับระทม
ข้าวเสบียงในระหว่างทางก็ขัด ต้องหยุดจัดแจงระยะทอดสะสม
แม้นพร้อมพรั่งตั้งทัพรับระดม ตีให้ล่มแหลกยับโดยฉับไว
อันพวกม้อยที่มันทู้อยู่กับฮ่อ ทำการก่อศึกสู้เป็นหมู่ใหญ่
เพราะคบฮ่อยอตัวไม่กลัวใคร มันตั้งใจจะคิดปราบให้ราบเตียน
ม้อยนี้หมายฝ่ายอานำเขาร่ำเรียก ลาวสำเหนียกนึกจำนรรจ์จึงหันเหียน
เห็นใช้ผ้าย้อมฝาดทั้งคาดเคียน จึงเรียกเพี้ยนแผกไปผู้ไทยแดง
คนพวกนี้มีอนันต์หัวพันห้า เคยอยู่มาก่อนเก่าเล่าแถลง
ครั้นคบฮ่อต่อเติบกำเริบแรง บ้างก็แปลงปลอมตัวไว้หัวเปีย
หัวเหมือนฮ่อฮ้อไม่เป็นเล่นข้าวเหนียว จนพุงเขียวขึ้นป่องเป็นท้องเหี้ย
เมื่อตั้งทัพกลับรอมาคลอเคลีย ได้พูดเกลี้ยกล่อมให้กลับใจคืน
ก็มิฟังยังดื้อนับถือฮ่อ เที่ยวปล้นต่อตีตัดทำขัดขืน
จะทิ้งไว้ให้ตั้งอยู่ยั่งยืน ก็จะฟื้นฝอยยุ่งเกิดรุงรัง
จึ่งได้จับจำจองไว้นองแน่น อยู่เมืองแวนมากมายในค่ายขัง
รวมแปดสิบริบสิ้นในถิ่นรัง มิให้ตั้งอยู่ได้ในเมืองแวน
พอจบบอกแม่ทัพใหญ่สั่งให้หา เจ้าเวียงสากับลาวพวกห้าวแสน
ให้ไปรับม้อยหมู่อย่าดูแคลน ถ้ามันแล่นหนีแล้วล้างให้วางวาย
เจ้าเวียงสาลาไปไม่วิตก กับไพร่หกสิบด้วยกันก็ผันผาย
คุมครัวม้อยมาเมืองซ่อนต้อนระบาย ใช้จับจ่ายลากถูที่ดูแคลน ๚ะ
๏ แล้วกองทัพทางบ้านใดมาให้ข่าว ว่าฮ่อก้าวสกัดศึกทำฮึกแหน
รวมกำลังตั้งรายอยู่ชายแดน อเนกแน่นซ่องสุมประชุมพล
จะตีคีนเอาค่ายให้หายแค้น คิดทดแทนที่ได้ตีมันปี้ป่น
อีกสามวันมันจะพามาประจญ ตีตำบลชายป่าบ้านนายม
ข้าพเจ้าจัดทัพไปรับพักตร์ ตั้งด่านดักตีจับคอยทับถม
เป็นหลายวันมันไม่มาทางนายม จึงระดมทัพเดินเนินพนานต์
ถึงห้วยแหลกเห็นน้ำในลำห้วย หยุดระหวยหิวหากระยาหาร
มิทันจะเสร็จสรรพรับประทาน อ้ายฮ่อหาญยกโหมเข้าโจมตี
ยิงประดังลูกประดาดังห่าฝน ต้องถอยร่นแอบรายชายพฤกษี
เร่งแตรเป่าเร้าทหารเข้าต้านตี ต่างก็กรีกรูลั่นประชันรบ
เสียงครึกครื้นปืนลั่นสนั่นก้อง สะเทื้อนห้องหิมวันต์ควันตลบ
อ้ายฮ่อแตกแยกขึ้นเขาไม่เข้ารบ ทำทวนทบทีจะลัดสกัดกัน
เห็นได้ท่ารารุกเข้าบุกไล่ ขึ้นบนไหล่เขายิงวิ่งถลัน
อ้ายฮ่อหวนจวนตัวกลัวจะทัน แข็งใจลั่นปืนล่อพอให้เกรง
เหมือนไก่ดีดกรีดกรายขยายห่าง มองหาทางที่จะเผ่นทำเต้นเหย็ง
ทหารซํ้าร่ำปืนเสียงครื้นเครง เข้ารบเร่งราวีตีตะลุม
อ้ายฮ่อหวนป่วนป่นก็ย่นแยก ออกวิ่งแตกปลีกตัวไม่มั่วสุม
ต่างซ้อนซบหลบเข้าในไพรสุมทุม ทหารทุ่มเทไล่ไปจนลิบ
พวกฮ่อตายรายลำดับนับแต่ศพ พอได้ครบแปดถ้วนล้วนผีดิบ
ที่เลือดสาดดาษไศลตัวไปลิบ สุดจะหยิบยกจำคำประมวล
หหารรบรอนราญในการนี้ รวมได้ยี่สิบห้านายทั้งไพร่ถ้วน
หัวหน้าศึกฮึกสู้รู้กระบวน บอกจำนวนนามใส่ในบาญชี
ลุดเตอร์แนนต์นายดวงขอควงสร้อย กับนายพลอยสับรองเป็นสองศรี
กับพระเจริญกรมการที่ต้านตี จนฮ่อหนีย่นแยกแตกทลาย
ครั้นเลิกรบสงบทัพระงับราษฎร์ ที่ระบาดบุกเข้าป่าพากันผาย
ให้มาอยู่สู่สถานสำราญกาย จบจดหมายเดือนปีมีณวัน ๚ะ
๏ ฝ่ายคณาประชาชนที่จนยาก อุตส่าห์บากบุกป่าพนาสัณฑ์
มาหาท่านแม่ทัพใหญ่ได้รำพัน ด้วยการกันดารกินเป็นสิ้นแกน
ขุดหัวเบาเอามาล้างใช้ต่างข้าว กับเกลือเคล้าคลุกกลืนสุดขืนแค่น
เพราะฮ่อกวนป่วนหนีทิ้งที่แดน เที่ยวหลีกแล่นหลบตัวด้วยกลัวภัย
ท่านแม่ทัพสดับฟังสั่งให้เลี้ยง ข้าวเสบียงมีปันจัดสรรให้
พอเจือจุนหนุนจนทุกคนไป ด้วยยากไร้แรมหอบพาครอบครัว
ทํ้งผ้าเสื้อเหลือขัดวิบัติทุกข์ ดูเต็มรุกรุยรังทั้งเมียผัว
รวมแก่เฒ่าได้เก้าสิบห้าครัว นับเรียงตัวใหญ่น้อยห้าร้อยปลาย
กับหนึ่งคนยลเหตุสมเพชนัก แม่ทัพทักถามนุสนธิ์คนทั้งหลาย
เดิมอยู่ไหนจึงได้พลัดกระจัดกระจาย อยากรู้รายฮ่อตีกี่ตำบล ๚ะ
๏ หัวหน้านำร่ำแจ้งแถลงเล่า ข้าพเจ้าเพี้ยหัวพันต้องดั้นด้น
หนีฮ่อพาลลานหลบเที่ยวซบซน เดิมตำบลบ้านอาศัยในเมืองพูน
คนหนึ่งร่ำพร่ำไห้อาลัยโหย จากเมืองโสยแสนสวาทไม่ขาดสูญ
ทิ้งเรือนบ้านสถานมาก็อาดูร แล้วยังสูญเสียชีวันบุตรภรรยา
อ้ายฮ่อปล้นป่นไปในคราวนี้ ไม่เห็นที่พึ่งทุกข์ให้สุขา
ขอพึ่งบุญเจ้าคุณคิดเหมือนบิดา ช่วยโปรดฆ่าฮ่อให้บรรลัยลาญ
หญิงเมืองแอดออกวาจาว่าขอรับ อ้ายฮ่อจับผัวมัดประหัตประหาร
ส่วนเมียนั้นมันเอาไว้ใช้งานการ ทิวาวารถูกเวรเป็นเดนแดน ๚ะ
๏ ท่านแม่ทัพสดับถ้อยให้สร้อยเศร้า สงสารเหล่าราษฎรเดือดแสน
น้อยหรือฮ่อต่อหาญเข้าดานแดน ช่างเต็มแกนกากจนปล้นอะไร
แล้วท่านแจกเงินรางวัลปันเฉลี่ย สี่รูเปียถ้วนทั่วทุกครัวให้
เป็นกำลังพอประทังฤทัยไป จึงสั่งให้ควบคุมประชุมกัน
อยู่ในเขตซ่อนบุรีที่อาศัย ตั้งทำไร่นาอยู่เป็นหมู่มั่น
ทั้งจอบเสียมมีดพร้าสารพัน ท่านจัดสรรส่งให้ทำไร่นา
กับโคที่มีไปในกองทัพ ให้พร้อมสรรพสมมาดปรารถนา
แล้วมีหนังสือส่งบอกลงมา ยังเสนาหอสนามตามกระทรวง
ให้นำทูลมูลเหตุประเทศท้าว พระร่มขาวเจ้ามาลาพาราหลวง
เป็นรายงานการทำนุกทุกกระทรวง ที่ลุล่วงแล้วไปดังใจจง
กับคนครัวที่อาศัยในเมืองซ่อน ได้ดับร้อนดังอารมณ์สมประสงค์
ให้ตั้งทำนาไร่โดยใจจง แต่ยังคงขาดกำลังที่ตั้งทำ
แม้นโปรดสัตว์จัดซื้อกระบือให้ เหมือนดังได้ช่วยชุบอุปถัมภ์
คนไร้ถิ่นสิ้นแกนแสนระกำ เป็นการคํ้าจุนเจือเมื่อกันดาร ๚ะ
๏ สงบทัพรับรอข้อประสงค์ พอหลวงจำนงค์ให้คนถือหนังสือสาร
ว่าทิ้งค่ายเมืองจาดล่ออ้ายฮ่อพาล คิดทำการกลลวงดูท่วงที
วางลูกแตกแยกรายในค่ายนั้น เป็นชั้นชั้นช่องแฝงทุกแห่งที่
เชือกผูกแก๊ปแนบชิดสนิทดี ดูท่วงทีแยบคายเป็นสายยนต์
เฉพาะทางวางทีที่ตรงหมาย กระเทือนสายเชือกถูกก็ลูกหล่น
เหมือนดักสัตว์จัดทำหลายตำบล แล้วให้คนลัดลอดคอยสอดดู ๚ะ
๏ ฝ่ายอ้ายฮ่อรอซุ่มในพุ่มพฤกษ์ ไม่ออกฮึกหาญเร้นเหมือนเช่นหนู
เห็นวิฬาร์มาถึงที่วิ่งหนีพรู ไม่คิดสู้น่ากลัวตัวบรรลัย
ครั้นทิ้งค่ายไปเจ็ดวันมันจึงแจ้ง มาตำแหน่งค่ายเก่าเข้าอาศัย
สักห้าสิบฮ่อม้าม้อยพลอยเข้าไป ถูกสายใยที่ประตูไม่รู้กล
ผลักประตูลู่ลากกระชากแก๊ป ดังฟ้าแลบหล่นผางลงกลางหน
แตกเอาตายวายชีวาลงห้าคน บ้างลูกป่นเจ็บป่วยแทบม้วยมรณ์
ก็ทิ้งค่ายย้ายแยกตื่นแตกหนี เข้าไพรศรีอาศัยในสิงขร
ฒลูกแตกแปลกตาที่ทาปรอน ใส่หาบคอนหิ้วไปใจคะนึง
คนที่รอดสอดดูอยากรู้แจ้ง ค่อยแอบแฝงดั้นด้นไปจนถึง
ค่ายเมืองพูนพบฮ่ออยู่อออึง แล้วมันจึ่งจับลูกปืนมาชื่นชม
สุกเหมือนคำคลำป้อยไม่ปล่อยปละ โดยจะกละกล่อมจิตสนิทสนม
แย่งกันดูกรูตรึกนึกนิยม อิ่มอารมณ์รำพึงตะลึงลาน
เห็นขั้วห่วงควงหิ้วเอานิ้วฉุด มันไม่หลุดลุกพวยไปฉวยขวาน
มาต่อยตอกออกดังกังสดาล พอถึงกาลก็ลูกหัวขั้วชนวน
แตกดังตึงปึงลั่นสนั่นก้อง ตายอีกสองศพซํ้าลงคลำป้วน
ที่ถูกน้อยถอยเทต่างเรรวน ออกเที่ยวป้วนปั่นแยกตื่นแตกไป
ไม่รอราฝ่าฝืนลูกปืนดัก ทิ้งค่ายพักเที่ยวตะเพิ่นเดินไศล
ไปรวมพรรคพวกพ้องสิบสองจุไทย ตำแหน่งในท่าขวารักษากาย
บ้างอาศัยอยู่ในเถื่อนเที่ยวเกลื่อนกลาด ไม่สิ้นชาติช่างเกิดละเมิดหมาย
จะขืนอยู่จู่ปล้นสู้ทนตาย เที่ยวเรี่ยรายระรานบ้านตำบล
กับพวกม้อยหมู่ผู้ไทยในเมืองโสย นับได้โดยจริงแจ้งแสดงผล
รวมสามสิบบ่าวนายกับไพร่พล ยังตีปล้นบ้านรายตามชายเมือง
ทิ้งไว้นานการจะเติบกำเริบร้าว เที่ยวแฉ่ฉาวชักฮ่อมาต่อเรื่อง
จะเกิดเข็ญเป็นนิรันดร์อนันต์เนือง ให้เป็นเครื่องร้อนร้าวพวกชาวดง
ได้แต่งกองทหารให้ไปราญรบ ตีตลบล้างไล่มิให้หลง
ลุดเตอร์แนนต์นายแขกหาญราญณรงค์ เป็นตัวยงยกพหลดลประดา
ร้อยเจ็ดสิบพลไพร่ทั้งนายเสร็จ ในเดือนเจ็ดดั้นเดินเนินพฤกษา
จากเมืองแวนแรมวันอรัญวา สามเวลาเร่งรุดไม่หยุดโรย
อาทิตย์แรมสี่ค่ำได้จำจด วันกำหนดยกเนื่องเข้าเมืองโสย
เห็นค่ายฮ่อรอตั้งประดังโดย เร่งตีโบยบุกบั่นกระชั้นยิง
พวกฮ่อหาญต้านต่อออกรอรับ ถูกปืนยับยิงล้มลงจมกลิ้ง
บ้างวิ่งแหวกแตกตื่นกลัวปืนยิง ทหารวิ่งล้อมไล่จับไว้ทัน
ได้สี่คนจนจริงนิ่งให้มัด ก็ผูกรัดรวมรบสงบมั่น
เป่าแตรร้องเรียกทหารชาญฉกรรจ์ มาพร้อมกันถ้วนหน้ารวมอาวุธ
ด้วยพระเดชกฤษฎาอานุภาพ คุ้มพลราบรอญรับสัประยุทธ์
ตะลุมไล่ไพรีแตกหนีรุด ดังเพลิงจุดโจรสิ้นในดินแดน
พลทหารปานเสือเห็นเนื้อฮ่อ เข้าหักคอพิฆาตศึกล้วนฮึกแหน
แม้นขืนอยู่สู้ยิงเข้าชิงแดน เหมือนเป้าแขวนยืนขวางหนทางปืน
มิได้รอดลอดลับกลับไปค่าย คงวอดวายชีวาไม่ฝ่าฝืน
ไหนจะเหลือเหมือนเอาเนื้อมาสู้ปืน ไม่ยั่งยืนยิงทลายล้มตายยับ
คราวนี้ตายหลายศพครบสิบห้า ที่หลบล่าแตกไปไม่ได้ศัพท์
จะตายเป็นเร้นหนีไปลี้ลับ สุดจะนับคาดคะเนสิ้นเวลา
ต้องตั้งค่ายคอยฟังกำลังศึก เกลือกจะฮึกโมโหคิดโทษา
กลับรอนราญพาลปล้นสนธยา รายรักษาอยู่จนแจ้งแสงตะวัน
ก็ยกตามข้ามธารละหานหิน ลุยวารินร่ำไปทางไพรสัณฑ์
ถึงเมืองพูนแลเผินเนินอรัญ กลบควันเพลิงพลุ่งรุ่งจรูญ
ได้ความว่าฮ่อไปเอาไฟเผา ทิ้งเรือนเหย้ายกพ่ายไปหายสูญ
หมดทั้งพวกพาลพงศ์วงศ์ตระกูล ทิ้งเมืองพูนหนีพ้นตำบลไป
ต้องตั้งมั่นตันมืดสืบพืชพวก เหมือนหูหนวกเนตรบอดไม่สอดใส
จนถึงเดือนแปดจึ่งแจ้งที่แคลงใจ กายตงในอานำถือหนังสือมา
เป็นความญวนล้วนตัวยิเขาติอิน แจ้งระบิลบอกนามตามภาษา
แปลเป็นความสยามแจ้งแห่งกิจจา ขออาญาทัพไทยได้ผดุง
พวกข้าเจ้าเหล่านี้บุรีน้อย อ้ายฮ่อม้อยมันไปทำใหญ่ยุ่ง
เที่ยวตีปล้นคนญวนกวนกันนุง คือเมืองพุงพ้องจะรออยู่รอริม
ข้าเจ้ามาทิศาหมายข้างฝ่ายออก เมืองนอกนอกนับเนื่องอีกเมืองสิม
ทั้งเมืองเคียดเมืองคังตั้งริมริม ฮ่อเที่ยวชิมชิงค้นปล้นประดัง
ขอเชิญกองทัพไทยไประงับ เข้าตีจับโจรระดมให้สมหวัง
การเสบียงเลี้ยงพหลพลกำลัง จะจัดตั้งแต่งรับกองทัพไทย
ได้ทราบกิจแล้วจึงคิดคดีตอบ โดยระบอบแบบสาราที่ปราศรัย
ใจความว่าพวกอานำมีน้ำใจ จะให้ไปปราบปรามโดยความตรง
เป็นฤดูฝนชุกจะบุกป่า ไปปราบข้าศึกตามความประสงค์
เห็นขัดขวางทางไปที่ในดง ขอดำรงทัพตั้งอยู่รั้งรอ
พอตกแล้งแห้งแล้วจะแคล้วคลาด จะเดินลาดตระเวนทัพเที่ยวจับฮ่อ
ทุกบ่อนเบาะเสาะเสี้ยนให้เตียนตอ กำหนดพอวันออกจะบอกการ
ครั้นแต่งเสร็จส่งหนังสือผู้ถือกลับ ก็ตั้งทัพหยุดสู้อยู่ไพรสาณฑ์
จับพวกที่ทู้ฮ่อคิดรอราญ ซึ่งทำการกำเริบจิตไม่คิดกลัว
หลวงจำนงค์ส่งเนื่องมาเมืองซ่อน เที่ยวกวาดต้อนทุกตำบลพวกคนชั่ว
จะทิ้งไว้ให้อยู่เป็นหมู่ครัว เกรงจะพัวพันไปเป็นไส้โจร
จึงจับขังสั่งสอนให้อ่อนจิต จนไม่คิดองอาจทำผาดโผน
เห็นน้ำจิตคิดจะไม่ไปเป็นโจร ค่อยปลอบโยนอยู่ทุกวันรำพันแจง ๚ะ
๏ได้ทราบเสร็จเผด็จศึกนึกกระสัน ตั้งทัพมั่นมองศึกที่ศึกแข็ง
พอฝนชุกชุ่มป่าท้องฟ้าแดง เย็นแสยงเสียวสยองในห้องไพร
ฟังครึกครื้นพื้นอรัญแทบลั่นเลื่อน ฟ้าสะเทื้อนท้องพนมแทบล่มไหล
เสียงขรึมครึมครวญรัญจวนใจ พายุใหญ่โยกยุคุนพิรุณนอง
เสียงซู่ซ่าชลาไหลลงในห้วย ทุกโกรกกรวยยกรับฟังนั่งสยอง
ให้หนาวเหน็บเจ็บสกนธ์ชักขนพอง บ้างนอนร้องครางละเมอเพ้ออาเจียน
ทอดระทมล้มวินาศน่าหวาดไหว พอสร่างไข้เร้ารวดให้ปวดเศียร
พิษไข้ป่าซ่าสิงดูวิงเวียน แม้นไข้เปลี่ยนแปลกชนิดเป็นบิดไป
ทั้งกองทัพจับไข้ให้อนาถ ด้วยอำนาจไข้จับเหมือนหลับไหล
ที่ถือผีถี่มนต์ปนกันไป บ้างถีอในธาตุกสิณไม่สิ้นดี
ว่าน้ำใหม่ไหลมัวใครกลั้วกล้ำ แล้วก็ทำธาตุวิบัติปัถวี
ให้เสียดจุกทุกข์ระทมตรมทวี ว่ายาดีได้มาท่านการุญ
น้ำจะกินดินข้างใต้เอาใช้แช่ เป็นยาแก้ธาตุพิรุธช่วยอุดหนุน
เขาแนะนำรำพันอนันต์คุณ ดูออกวุ่นวายดื้อถือตำรา
บางคนได้คัมภีร์มาเป็นยาเกล็ด จดปะเก็ดบุกสำหรับรับรักษา
ใส่เครื่องเทศพริกไทยใบมัดกา รากไผ่ป่าสับป่นเข้าปนกัน
ก็กินไปไม่หายหลายขนาน บ้างถึงกาลกิริยาก็อาสัญ
ยากองทัพกลับว่าสารพัน ตำราดันดื้อเล่าเอาเป็นครู
ว่ายาควินินกินแก้ไข้แล้วไม่ฟื้น ด้วยความตื่นกลับตายอายอดสู
ท่านแม่ทัพบังคับสั่งคอยนั่งดู แกล้งข่มขู่ขืนใจเอาให้กิน
บางคนกลัวกลั้วกลืนก็ฟื้นไข้ บางคนไม่กลืนอมถ่มเสียสิ้น
ท่านต้องนั่งตั้งใจเอาให้กิน เป็นอาจิณจนหายขึ้นหลายคน
ได้กินยาพากันฟื้นค่อยชื่นชุ่ม นั่งชุมนุมแนะนิเทศจำเหตุผล
สรรพคุณยาควินินกินทุกคน รักษาตนรอดตายสบายบาน
คนที่ดื้อถือบ้าว่ายาพิษ สิ้นชีวิตวายยับดับสังขาร
ที่ยังอยู่รู้แก้แปรสันดาน ด้วยเต็มฌานสู้ขืนกล้ำกลืนกิน
ไข้ก็ฟื้นชื่นหน้าทั้งตาทัพ ต่างก็นับถือมั่นไม่ผันผิน
เห็นประสิทธิ์ฤทธายาควินิน เก็บไว้กินสู้ไข้มิได้เกรง
ตั้งรับฝนทนอยู่สู้กับไข้ ยาที่ใช้หมดมอดทอดเขนง
ไข้มันร่ำทำร้ายเอาหลายเพลง ลงนอนเท้งทอดกายเห็นตายจริง ๚ะ
๏ ท่านแม่ทัพทอดระทมอารมณ์ร้อน ดังต้องศรเสียบขึงคะนึงนิ่ง
คิดขัดใจพระพิไชยชุมพลจริง ยาทุกสิ่งสั่งส่งให้จงเร็ว
แต่เตือนไปในสาราห้าฉบับ ไม่ตอบรับว่ากระไรทำไหลเหลว
ฤๅปล่อยช้างโคต่างทิ้งทำสิ่งเลว อมเอาเปลวเพลิงไว้ที่ในทรวง
จึ่งร่างบอกนามตามรับสั่ง ซึ่งโปรดตั้งยศรับแม่ทัพหลวง
พร้อมนายทัพกำกับการงานทั้งปวง บอกกระทรวงส่งขาดมหาดไทย
ให้ออกพันทนายเวรผู้เจนจัด นำรหัสเหตุแจ้งแถลงไข
กราบเรียนต่อท่านมหาศาลาใน ดังที่ได้เร่งร้นให้ขนยา
ไม่ตอบต่อข้อคำแกล้งทำแฉะ ได้แค่นแคะเตือนตักเป็นนักหนา
ควรมิควรขอพระคุณกรุณา ได้โปรดยาควินินส่งเหมือนจงใจ
พอเสร็จสรรพพับใส่ซองไม้สาน จัดกรมการเกณฑ์ส่งอย่าหลงใหล
ถ้าแม้นช้าเวลาจรไม่ร้อนใจ จะจับใส่คาเฆี่ยนให้เจียนตาย
ผู้ถือหนังสือลารีบคลาคลาด ก็เร่งมาดมุ่งไปเหมือนใจหมาย
กองทัพค้างระหว่างไข้ไม่สบาย ทั้งไพร่นายนอนระทมตรมฤดี ๚ะ
๏ เวลานั้นทราบว่าองบาฮ่อ มันยกยอตั้งตัวเป็นตั้วยี่
อยู่ท่าขวาแขวงจุไทยน้ำใจดี ไม่ต่อตีการยุทธตั้งขุดทอง
ถ้าจะเกี้ยวเกี่ยวไว้เป็นใยเยื่อ อย่าให้เจือฮ่อร้ายเป็นฝ่ายสอง
เขียนความตามคิดในจิตปอง โดยทำนองปลอบขู่กระทู้ความ
แล้วให้พระสวาอาสาถือ นำหนังสือไปเป็นเหมือนเช่นล่าม
ได้แต้มต่อข้อกระทู้ดูให้งาม เขารับตามบัญชาแล้วลาเดิน ๚ะ
๏ พอแม่ทัพได้รับสารด้านเมืองแอด ว่าฮ่อแผดอำนาจลุกเกิดฉุกเฉิน
ธงดำนำทัพนับประเมิน สองร้อยเกินเกณฑ์กันเนื่องอยู่เมืองฮุง
จะมาตีค่ายใหญ่ในเมืองแอด คิดจะแวดล้อมรบสมทบยุ่ง
ชาวบ้านกลัวฮ่อพาลละลานลุง ยกครัวมุ่งมาอาศัยอยู่ค่ายรบ
พอวันศุกร์เดือนเจ็ดแรมเก้าค่ำ ฮ่อธงดำเดินพลผจญจบ
บ้านเรือนรายชายอรัญแม้นมันพบ ไม่อพยพยิงทลายล้มตายยับ
หลวงดัษกรร้อนใจดังไฟจุด ก็เร่งรุดพลขันธ์ประจันจับ
คนก็ไข้ไปมิทันมันสำทับ พวกด่านรับรบหน้าประดาพล
ออกยิงฮ่อรอหน้ามันร่ารบ ไม่แหลกหลบตะลุมตีกันปี้ป่น
มันโรมรุกบุกไล่เร่งไพร่พล พวกด่านร่นรายถอยด้วยน้อยตัว
อ้ายฮ่อโถมโหมฮึกสะอึกไล่ หญ้ารำไรรกเร้นพอเห็นหัว
เสียงปืนลั่นควันฝ้านัยน์ตามัว จนใกล้ตัวต่างยืนปืนประชัน
พอนายเอื้อนลุดเตอร์แนนต์แล่นตลบ เข้าช่วยรบรับสู้เป็นคู่ขัน
ยิงกันแหลกแตกตายวายชีวัน เสียงสนั่นแนวอรัญริมบรรพต
อ้ายฮ่อฮึกศึกโหมกระโจมจ้วง ในห้วยก๊วงก้องคลุ้มกลุ้มไปหมด
ฝ่ายมันมากฟากเราน้อยต้องถอยทด มันขยดยิงรุกมาทุกที
ปืนมาต้องตนตายตัวนายด่าน คือกรมการเมืองพิชัยได้รับที่
พระเจริญจัตุรงค์ยงยุทธดี จึ่งได้มีชื่อชำนาญราญณรงค์
เล็บเอื้อนเห็นพวกฮ่อมาต่อหาญ กำเริบร่านรกมาในไพรระหง
ก็แยกทบหลบทางเข้ากลางดง จะตัดตรงมาบ้านใดเร่งไพร่พล
ทหารมีมาหกนายรีบผายผัน ฮ่อถลันไล่ทัพยิงสับสน
เสียทหารไปกับที่นั้นสี่คน ตัวนายพลถูกขาเข้าป่าบัง
แอบเร้นรกหมกมุ่นหนอ้ายฮ่อ มันวิ่งสอหมั่นไส้พอให้หลัง
ริวอลเว่อมีไปก็ใส่ปัง ยิงหมดทั้งสี่นัดไม่พลัดแพลง
ถูกฮ่อนายตายดิ้นลงสิ้นสาม ฮ่อบ่าวตามตัวพบที่หลบแฝง
ด้วยขาเพลียเสียร่างอยู่กลางแปลง อ้ายฮ่อแรงอีกร่านมาบ้านใด
แต่ไม่เข้าตีค่ายแอบรายเร้น สักสองเส้นซุ่มหน้ามาหาใกล้
แอบยิงเย้าเร้ารายอยู่ชายไพร เห็นไวไววิ่งกลอกไม่ออกรบ
ยิงประปรายรายมาระดาดาษ กระสุนสาดเสียงลั่นควันตลบ
ต้องยิงรับรั้งไว้ให้กระทบ ด้วยคนรบไข้อรัญนอนสั่นฮือ
อายฮ่อรายค่ายล้อมอยู่พร้อมหน้า พอพระสวาที่ได้ให้หนังสือ
ไปท่าขวาหาเจ๊สัวที่ตัวฦๅ ซึ่งมีชื่อชี้บ่งว่าองค์บา
มาถึงค่ายบ้านใดเห็นฮ่อล้อม ค่อยเดินด้อมแอบซุ่มพุ่มพฤกษา
มีไพร่ตามสามสิบคนดั้นด้นมา เข้าถึงหน้าค่ายใหญ่ก็รายรบ
ยิงประดังตั้งต่อฮ่อจึ่งห่าง ค่อยวายว่างฮ่อศึกฮึกสงบ
พระสวานั้นให้อยู่ช่วยสู้รบ แต่งคนหลบลอบถือหนังสือจร
เมื่อฮ่อแตกห่างตัวส่งครัวฮ่อ ทั้งเหล่ากอเก็บเนื่องมาเมืองซ่อน
ท่านแม่ทัพสดับแจ้งแห่งสุนทร ก็รีบร้อนจัดทัพไปรับการ
เลือกคนที่ไข้น้อยสองร้อยรับ ตัวนายทัพนั้นจัดหลวงหัตถสาร
กับปืนใหญ่ใช้ลูกแตกให้แหลกลาญ ยกไปต้านตีฮ่ออย่ารอรา ๚ะ
๏ แล้วทำหนังสือให้คนไปส่ง เจ้าราชวงศ์จัดเมืองแวนให้แน่นหนา
แล้วยกกลับมาบ้านใดไล่ประดา เข้าตีฝ่าฟันทลายให้วายปราณ
ทั้งสองทัพไปสองวันไม่ทันถึง ฮ่อทะลึ่งล้อมค่ายด้วยใจหาญ
ทั้งหอรบตบมือร้องก้องกังวาน ห่างประมาณสองเส้นแลเห็นกัน
มันแอบรบหลบอยู่ไม่สู้หน้า ยิงปืนมาปราดเปรี้ยงเสียงสนั่น
ต้องเตรียมคนไข้ไว้รับมัน ถึงเจ็ดวันเรียนเร้าไม่เข้ามา ๚ะ
๏ ฝ่ายผู้ถือหนังสือไปในพนัส โดยรีบรัดเร่งตะบึงถึงท่าขวา
ก็แจ้งความตามประสงค์แก่องค์บา ส่งสาราเรื่องรสพจมาน
หนังสือห่อยี่ห้อแจ้งแห่งจารึก เปิดผนึกอ่านเสนาะไพเราะสาร
มีนามบ่งถึงองค์บารักษาการ ซึ่งอยู่ด่านท่าขวาด้วยอาลัย
มีข่าวลือชื่อกระฉ่อนขจรจบ ว่าสมคบซุ่มคนปล้นอาศัย
เลี้ยงฮ่อพาลหาญลำพองคะนองใจ เป็นซ่องใหญ่ซุ่มอยู่ดูระคาย
ปล่อยให้ปล้นพลเมืองออกเฟื่องฟุ้ง ตื่นสะดุ้งเต็มประดาพวกค้าขาย
หลบเข้าเถื่อนบ้านเรือนทิ้งทั้งหญิงชาย ล้วนข่าวร้ายคำรื้อชื่อองค์บา
เราแม่ทัพสดับฟังยังสงสัย จึ่งแคะไค้สืบข่าวที่กล่าวหา
ถามกายตงที่แต่งตำแหน่งมา เป็นพระสวาหวังคำร่ำแสดง
เขาแจ้งเหตุเภทฮ่อที่ก่อตั้ง เป็นผู้รั้งเคยรู้อยู่เมืองแถง
ได้ชี้แจงแจ้งกระจ่างไม่คลางแคลง ทุกตำแหน่งฮ่อสำนักประจักษ์ความ
ว่าองค์บาอาศัยในจังหวัด อมรรัตน์รมเยศเขตสยาม
มิได้ก่อข้อกวนให้ลวนลาม รักษาความสุจริตเป็นนิตย์เนาว์
แต่ฮ่อโจรโลนลุกทำอุกอาจ ถืออำนาจองค์บาหมายเป็นนายเถา
ไปมั่วสุมซุ่มอาศัยในลำเนา แล้วก็เข้าตีค้นปล้นสะดม ๚ะ
๏ บัดนี้เรารับอาสาฝ่าพระบาท นรินทร์ราชวรฤทธิ์ประสิทธิ์สม
ปราบฮ่อศึกฮึกอาศัยในนิคม ให้ล่มจมสิ้นโจรทั้งโดนแดน
ครั้นทราบว่าองค์บาได้อาศัยสุข ไม่บุกรุกราราญสงสารแสน
จะรบร้าฆ่าตีให้บี้แบน ก็นึกแน่นในจิตคิดเมตตา
แม้นรักชื่อถือสัตย์สันทัดเที่ยง อย่าได้เลี้ยงฮ่อโลนพวกโจรป่า
ให้เลื่องชื่อลือเช่นเป็นตำรา ดังหมึกทาทั่วสกนธ์มัวมลทิน
คำนับเราเข้าหาสามิภักดิ์ ต่อองค์อัครอิศโรกรุงโกสินทร์
พึ่งพระเดชเขตจังหวัดปัถพิน อาศัยถิ่นสถานสุขทุกนิรันดร์
แม้นขัดขืนฝืนฝ่าทำช้าอยู่ เราจะจู่โจมทัพเขาขับขัน
ไปล้างไล่ไสส่งพวกพงศ์พันธุ์ ในขอบคันมิให้คงดำรงครอง ๚ะ
๏ องค์บาแจ้งแปลงหนังสือให้สื่อสาร จึ่งแต่งกวานเล่าแย้ฮ่อเป็นคอสอง
มาสมัครภักดีไมตรีตรอง มิได้ข้องขัดการมาบ้านใด
แรมสี่ค่ำพฤหัสบดิ์อัฐมาส กำลังฆาตคอยศึกนึกสงสัย
เห็นเล่าแย้เดินเหย่าไม่เข้าใจ คิดว่าไส้ศึกสวนทำทวนทบ
ทหารยามลุกยืนยกปืนจ้อง เล่าแย้ร้องไอ๊ย่าถลาหลบ
ชักหนังสือถือชูไม่สู้รบ จะขอนบนอบคำนับแม่ทัพเธอ
ได้ทราบคำนำมาโดยสามารถ ถึงเจ้าราชภาคิไนยให้เสนอ
จึ่งเอ่ยอ่านสารศรีที่บำเรอ ฟังออกเพ้อพูดทางพวกกวางไซ
พระสวามาดูจึ่งรู้แน่ เขาอ่านแปลออกตรงไม่สงสัย
ว่าองค์บาสามิภักดิ์ประจักษ์ใจ ทั้งบ่าวไพร่พร้อมกันรับบัญชา
ที่แม่ทัพรับกิจนริศราศ ให้โอวาทสอนสั่งไม่กังขา
ตั้งจิตจำคำการุญสุนทรา โดยบัญชาชี้แจงให้แจ้งจริง
ไม่ฝ่าฝืนขืนข้อทรยศ พร้อมกันหมดสมัครหมายทั้งชายหญิง
ขอเป็นข้าอาณาจักรได้พักพิง อันเบ่าบิงจะบังคับรับธุระ
มิให้เป็นเช่นเขาลือออกชื่อฉาว ว่าก้าวร้าวกำเริบจิตอิสระ
พวกที่ห้อมล้อมค่ายบ้านใดนะ ข้าเจ้าจะห้ามไว้มิให้ตี
ด้วยเดิมไซร้ไม่ทราบจึ่งหยาบหยาม เพราะฟังความนายฮ่อชื่อกอยี่
ว่าทัพลาวก้าวรุกมาคลุกคลี เข้าต้อนตีครอบครัวไปเสียใจครัน
มิรู้ว่าทัพใหญ่ในสยาม มาปราบปรามโจรจรสิงขรขัณฑ์
ขออภัยได้โปรดงดโทษทัณฑ์ กอยี่นั้นจะกลับทวนไปชวนชัก
ขอแต่บุตรภรรยาส่งมาให้ เห็นว่าไม่ขัดขวางทางสมัคร
คงนอบน้อมยอมเป็นข้าสามิภักดิ์ ให้รับรักษาสัตย์วัจนา
ข้าพเจ้าเล่าก็ขอพออาศัย ให้อยู่ไหนแล้วแต่สั่งไม่กังขา
ได้ทำกินเลี้ยงกันบุตรภรรยา จะชีวาวายดับล่วงลับไป
ถ้าแม้นมีราชการเป็นงานทัพ จะรบรับต่อสู้ศัตรูไหน
ขออาสากว่าชีวันจะบรรลัย คงอยู่ในข้อบังคับไม่กลับกลาย
ก็สิ้นความตามตำราสามิภักดิ์ รับสมัครมั่นสมอารมณ์หมาย
ตั้งศาลบวงสรวงสถานพิมานพราย สุรารายรินบูชาเทวาวัน
กระโปรงไก่ใส่วางไว้ข้างหน้า อ่านคำสาบานแช่งช่างแสร้งสรร
ให้ศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์รงค์องค์เทวัญ พลางรำพันพิศวงด้วยจงใจ
พอจบคำร่ำแจ้งแสดงสัตย์ จับไก่ตัดคอเชือดให้เลือดไหล
รองระคนปนสุราแล้วว่าไป ถ้าแม้นไม่คงคำให้จำเป็น
ต้องอาวุธพิรุธร้ายทำลายร่าง เหมือนดาบล้างคอไก่ที่ได้เห็น
ดังคมกรดจดฟาดขาดกระเด็น เหมือนหนึ่งเช่นไก่ดับล่วงลับเลย
แล้วกินเหล้าเข้าเลือดที่เชือดใส่ ทั้งนายไพร่พร้อมหน้าไม่ช้าเฉย
จึ่งเขียนตอบขอบใจเหมือนได้เคย อย่าย่านเลยให้องค์บารักษาใจ
ได้รับความตามองค์บาสามิภักดิ์ โดยสมัครมั่นคงไม่สงสัย
จะแปลความตามหนังสือให้ถือไป ถึงค่ายใหญ่ยกคำขึ้นร่ำเรียน
กวานเล่าแย้แลยิ้มด้วยอิ่มอก ยืนปะหงกพยักหงับคำนับเศียร
รับสาราลาตรงไม่วงเวียน เข้าเยี่ยมเยียนกวานกอยี่พูดชี้แจง
พอรุ่งขึ้นสุริยาห้าโมงเศษ ก็รู้เหตุรายฮ่อที่รอแฝง
มาร้องขอรอคำร่ำแสดง ไม่ต่อแย้งยอมทู้ชูสารา
กองทหารราญรอให้ฮ่อออก มันเดินกลอกหัวเกลือกเสือกมาหา
ส่งหนังสือมือคำนับนั่งหลับตา ด้วยติดยาฝิ่นยับจนสับเงา
คลี่ออกอ่านกวานกอยี่มีพวกพรรค ขอสมัครมั่นหมายต่อนายเถา
จะยอมทู้อยู่อาศัยในลำเนา ขอรับเอาบุตรภรรยากลับมาคืน
มีใจความตามองค์บาที่ว่าร่ำ ไม่กลืนกล้ำกลับสัตย์ให้ขัดขืน
ฟังรำพันมั่นคงเห็นยงยืน จึ่งให้คืนไปสถานบอกกวานมา
ถอดเสื้อรบนบร่างวางอาวุธ ให้เห็นสุจริตคำเหมือนร่ำว่า
จะรับตามความมั่นที่สัญญา ฮ่อทูตากลับไปโดยใจจง
พอเวลาตะวันชายลงบ่ายศรี กวานกอยี่มาตามความประสงค์
วางอาวุธสุจริตโดยจิตจง ลูกบ่าวคงตามมีมาสี่คน
จึ่งทำสัตย์สัญญาประสาฮ่อ จนสิ้นข้อเสร็จความตามนุสนธิ์
แล้วชี้แจงแจ้งระบิลให้ยินยล จงจัดคนกอยี่มาจะพาไป
หาแม่ทัพคำนับแจ้งแสดงข้อ จะได้ขอบุตรภรรยามาคืนให้
กอยี่รับคำนับตอบด้วยขอบใจ มอบให้ฮ่อสองคนมาหาแม่ทัพ ๚ะ
๏ เวลาเมื่อต่อสู้อยู่กับฮ่อ ในปีจอเดือนเจ็ดไม่เสร็จสรรพ
รบศึกฮ่อรอไข้กันใหญ่ยับ ยังมีทัพแจะทบมารบราญ
กลับเป็นเจืองเคืองข้อทรยศ คือกบฏอ้ายหัวหน้าพระยาว่าน
คุมข่าแจะเจืองปล้นเป็นคนพาล พลประหารร้อยเศษสังเกตดู
มาตั้งค่ายรายร่ำริมน้ำล้อม เรียกห้วยห้อมฮึกหาญจะขานสู้
เข้าเขตแคว้นแดนเมืองซ่อนสิงขรดู ดังจะจู่โจมจับเอาทัพชัย
มันเที่ยวบุกรุกรานชาวบ้านหนี ไล่ต้อนตีชิงเสบียงมาเลี้ยงไพร่
เที่ยวเลียบลาดกวาดต้อนทุกบ่อนไป ชนชาวไพรพรั่นตัวกลัวชีวิต
พวกเจ้าเมืองกรมการบ้านเมืองซ่อน วิ่งสลอนน่าสลดระทดจิต
จะเข้าป่าล่าไปมิได้คิด ด้วยเกรงฤทธิ์ข่ารบจะหลบตัว ๚ะ
๏ แม่ทัพฟังดังไฟมาไหม้สุม ด้วยไข้รุมทหารรอนลงนอนทั่ว
จึ่งประชุมควาญช้างพวกต่างวัว ช่วยจับตัวแจะเจืองที่เคืองใจ
รวมได้คนพลอาสาห้าสิบเศษ ต่างก้มเกศนอบนบสบสมัย
จะขอฆ่าฝ่าฟันให้บรรลัย มิทันให้พริบตาเวลาเดียว
เลือกนายทัพจับไข้ไม่เป็นส่ำ ได้เจ้ากล่ำปากกล้าแต่ตาเหมียว
จะให้คุมโยธาคิดบิดเป็นเกลียว ดูหน้าเซียวถอดสีไม่มีเสบย
ต้องขู่เข็ญเป็นเวลาเข้าตาทัพ จึ่งจำรับรีบไปมิได้เฉย
แกกลัวงกตกประหม่าก็ลาเลย ด้วยไม่เคยคิดสู้กับผู้ใด
ถึงค่ายข่าตาตื่นอกตื่นเต้น แกเข้าเต๊นท์ยิงยัดให้ตัดษัย
จะถูกผิดกิจการสถานใด ไม่เข้าใจยิงกลุ้มสุ่มตะรัง
เป็นสามวันหวั่นไหวมิได้ลด ยิงจนหมดลูกดินสิ้นหลายถัง
ข่าก็สู้อยู่ในค่ายมิพ่ายพัง แกยิ่งสั่งลูกดินส่งให้จงทัน ๚ะ
๏ แม่ทัพแจ้งแคลงใจเห็นไม่จบ มัวแต่รบนอนเร้นในเต๊นท์มั่น
พอเล็บแจไข้จางสร่างขึ้นพลัน ก็จัดสรรปืนใหญ่ให้ไปยิง
พอถึงค่ายรายคนเข้าค้นดัก คอยรบกักกันไว้มิให้วิ่ง
ปืนใหญ่วางกลางเนินบนเผินพิง พอได้ดิ่งกระตุกปับดังฉับฮุม
แตกทลายกระจายจบศพไม่นับ บ้างหนีลับหลบไพล่ลงในหลุม
ทหารห้อมล้อมรายเข้าค่ายคุม ไล่ตะลุมบอนล้างให้วางวาย
อ้ายหัวโจกแจะข่าลูกขาทบ ไม่สู้รบจับริบเอาฉิบหาย
ทิ้งอาวุธยุทธหัตถ์กระจัดกระจาย ออกเรี่ยรายกลางชาลาเก็บมากอง
ได้คนครัวมั่วหมู่อยู่ในรก สามสิบหกชายหญิงทั้งสิ่งของ
แล้วเผาค่ายไฟกระพือฮือละออง พวกครัวร้องไห้ร่ำก็นำมา
ถึงแม่ทัพคำนับแจ้งแสดงสดับ จึ่งบังคับให้เอาตัวอ้ายหัวหน้า
ไปตัดศอเสียบไว้ในทุ่งนา ให้โจรข่าแจะจำอย่าทำเจือง
จนเสร็จศึกไข้สั่นยังรันรบ ไม่รู้จบจับฝ้าจนหน้าเหลือง
พอได้ยามาทันอนันต์เนือง ก็ส่งเนื่องจำหน่ายพลทุกคนไป
ต่างก็ฟื้นชื่นหน้าดังยาทิพย์ ก็ออกกริบเที่ยวเกริ่นพอเดินได้
ทุกเช้าเย็นไม่เว้นยารักษาไป ก็สิ้นไข้สดขึ้นทุกคืนวัน
เสียงสรวลเฮฮาเป็นผาสุก ด้วยสิ้นทุกข์ไข้หายเที่ยวผายผัน
ไปโลมสาวลาวผู้ไทยในคามันต์ เป็นประกันรักแกนในแดนดอน
ครั้นเย็นย่ำค่ำเข้าสู่ในหมู่บ้าน ขึ้นเรือนชานชื่นอารมณ์ชมสมร
ไม่หลบหลีกปลีกไปให้อาวรณ์ มารับต้อนเต็มพักตร์พูดชักชวน
ธรรมเนียมสาวชาวเมืองซ่อนไม่ค่อนแคะ เมื่อโลมและลูบต้องของสงวน
เข้าเคล้าคลอรอนางไม่ห่างนวล หมดกระบวนมีกระบิดอยู่นิดเดียว
รื่นอารมณ์ชมนางกลางเคหา นึกอายหน้าขนางในฤทัยเสียว
สาวกลับชอบขอบอารมณ์ดูกลมเกลียว แม้นไม่เกี้ยวแล้วเขาเก้อไม่เอออวย
ทั้งบิดามารดรก็ค่อนขุด โกรธว่าบุตรสาวนั้นมันไม่สวย
ถ้าชายรักชักมื่นดูรื่นรวย แล้วไม่ขวยเขินหน้าเหมือนวาที
แม้นขอสู่คู่เคียงไว้เรียงข้าง ก็มักอ้างออกนามเอาตามผี
จะกินสัตว์สิ่งไรในวิธี ล้างชีวีไหว้เซ่นเป็นสำคัญ
กับเงินตราค่าสินสู่ที่ชูพักตร์ อย่างเต็มรักเรียกถึงสักหนึ่งขัน
ฤาสองเบี้ยสามเบี้ยได้เสียกัน แล้วแต่ผันผ่อนตามความเอ็นดู
อนึ่งในอัตราว่าเงินขัน แล้วพูดผันเบี้ยแผกให้แปลกหู
คือสิบเบี้ยเป็นขันหมั่นคิดดู เบี้ยหนึ่งอยู่สิบสลึงคะนึงนับ
นี่ความโลมโครมครืนเล่นชื่นหน้า ทีนี้ว่าเลิกขวงเล่นล้วงตับ
ลูฝาช่องห้องหัวนอนไม่ซ่อนลับ เข้าล้วงจับคว้าจบไม่หลบมือ
พูดกระซิบเสียงกระเส่าเว้ากันวุ่น พอเป็นทุนที่ได้กุมประทุมถือ
เขย่งยืนขืนใจดังไฟฮือ เห็นเต็มรื้อต้องร้างไม่บางเบา
แม้นกลางวันครรไลไปชมน้อง นั่งหน้าห้องสางหัวหาตัวเหา
ผลัดกันคุ้ยชวนกันแคะนั่งแกะเกา ไม่อาจเข้าใกล้กลัวตัวจะตอม
ผิวเนื้อเหลืออาลัยเป็นไคลคราบ ช่างเหม็นสาบเศร้าศรีไม่มีหอม
ชั้นพื้นเรือนเปื้อนตมสมมมมอม สุดจะน้อมหน่วงกำหนัดสวัสดี
คะนึงคิดขนิษฐ์น้องครองสวาท มายลนาฏนางไพรวิไลศรี
หมายจะหักรักร้อนผ่อนฤดี กลับทวีรักเร้าเศร้ากระมล
ทั้งเสียงสัตว์จัตุบทสยดสยอง มันเดินร้องเร้าแรงแสยงขน
ดังปีบเปิบกำเริบรายชายอรญ ต้องนิ่งทนเนาถิ่นจนสิ้นกลัว
สารพันสรรพภัยมิได้ย่อ ภักดีต่อกตัญญูเจ้าอยู่หัว
อันเกิดกายตายสำหรับอยู่กับตัว ย่อมมีทั่วทุกสัตว์ไม่อัศจรรย์
เกิดเป็นชายหมายชื่อให้ลือเช่น จะตายเป็นตามแต่กิจประสิทธิ์สรรพ์
เกิดแก่กายตายดับนับอนันต์ ชื่อก็บรรลัยลับไปกับกาย
รับอาสาฝ่าพระบาทพิฆาตศึก เขาจารึกรายงานอ่านถวาย
แม้สูญโฉมชมชื่อให้ลือชาย ชีพไม่วายหวังสมอารมณ์เรียม
พึ่งพระเดชเกศนิกรขจรจบ ถึงจะพบเพื่อนชายไม่อายเหนียม
ใครจะเคาะเกาะแกะพูดและเลียม ถึงไม่เทียมก็พอทันเป็นมั่นคง
นี่คิดคาดมาดหมายทำลายรัก พอได้พักผ่อนใจที่ใหลหลง
เป็นนิสัยใจคนย่อมวนวง มักจะงงงมโง่ด้วยโลกีย์
เหมือนม้ารถพยศผยองลำพองเผ่น แหนบก็เต้นเตือนสำทับขับออกจี๋
รู้สึกเสียวเหนี่ยวพอให้รอรี กลับเข้าที่หายกระเทือนพอเตือนตน
ประเดี๋ยวหยุดประเดี๋ยวขับกระสับกระส่าย ด้วยม้าร้ายร้อนรุมทุกขุมขน
ลำพองโผนโจนจับแทบอับจน กำเริบร้นแรงจัดอัศดร
เอาไตรลักษณ์หักจิตคิดสังขาร สมุฏฐานธรรมถือให้รื้อถอน
ก็ได้หน้าลืมหลังตั้งนิวรณ์ ประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวดับพอหลับไป ๚ะ
๏ ฝ่ายกองเจ้าราชวงศ์ที่คงตั้ง อยู่ระวังเมืองแวนแดนไศล
แจ้งความว่าข่าเจืองที่เคืองใจ มันกลัวภัยพากันทู้ไม่สู้รบ
หลายตำบลคบข่าพาโขยง อยู่เพียงโค้งห้วยคี้เที่ยวหนีหลบ
แกวหมากเฟืองผาลอยคอยสมทบ ที่มันคบคิดกันเที่ยวฟันแทง
อยู่ในดินเมืองซำเหนือเจือซำใต้ เที่ยวล้างไล่ฆ่าลาวชาวเขตแขวง
มันรู้ตัวกลัวตายโทษร้ายแรง จึ่งมาแจ้งจริงทั่วที่ตัวทำ
หัวหน้านายรายนามตามพวกข่า ชื่อพระยาน้อยคำฟันช่างขันขำ
ท้าวยี่น้อยท้าวยี่ใหญ่เพี้ยไซคำ เพี้ยเท่าจำจดแจ้งแขวงเตียวกา
ยังอีกชื่อลือชาช่างสามารถ พระยาราชสุวรรณขันอาสา
พระยาแก้วพระยาพระคณนา อีกพระยาลิ้นท้องล้วนกองพาล
มาเข้าหาสารภาพกราบประณต ไม่ทรยศยำเยงเกรงทหาร
ขออาศัยในถิ่นแผ่นดินดาล ไม่ทำการกบฏเจืองให้เคืองใจ
จะรับน้ำทำสัตย์พิพัฒน์ผล ทั่วทุกคนเคารพสบสมัย
อันข่าเจืองที่เที่ยวจรอยู่ดอนไพร ก็หมดในแขวงหัวพันเป็นมั่นคง
กับอ้ายฮ่อก่อหาญทำการรบ อพยพยกไปไพรระหง
อยู่เมืองลาดพ้องจะลอต่อเขตคง ก็กลับวงเขาถิ่นด้วยสิ้นทาง
มาขอทู้อยู่ในแว่นแคว้นจังหวัด มีนามชัดชื่อบ่งว่าองค์ถาง
พร้อมพวกพรรคสมัครหมายจนวายวาง รับน้ำอย่างจีนจำเหมือนทำมา
แล้วลาลับกลับไปหาที่อาศัย ค่ายบ้านใดด้วยกอยี่ที่สู่หา
แล้วจึ่งจะพร้อมกันจรัลมา ยังพาราซ่อนบุรีที่แม่ทัพ ๚ะ
๏ได้ทราบความตามระบิลจนสิ้นเสร็จ เป็นสำเร็จเรียกกองรบให้ทบกลับ
มาเมืองซ่อนมั่วสุมประชุมทัพ ตั้งเตรียมรับฮ่อราเวลาคอย ๚ะ
๏ เดือนสิบเอ็ดเผด็จศึกจารึกรส มาพร้อมหมดเหมือนนัดไม่ขัดถ้อย
ทั้งข่าเจืองฮ่อโจรทุกโดนดอย เป็นหลายร้อยมารับบังคับการ
ค่อยปลอบโยนโอนอ่อนให้ผ่อนพัก เนาสำนักค่ายใหญ่ปราศรัยสาร
ท่านชี้แจงแจ้งจิตพิสดาร จนเห็นการจะไม่ก่อทำต่อเติม ๚ะ
๏ในเดือนนี้มีการสำราญรื่น ดูครึกครื้นแซ่ซ้องฉลองเฉลิม
ประสาไพรใจครุ่นคิดจุณเจิม ให้พูนเพิ่มบารเมศเดชอดุล
ได้พิทักษ์รักษาอาณาเขต โดยพิเศษสิ่งสุดที่อุดหนุน
ประชาชาวลาวข่าได้การุญ ทรงพระคุณคุ้มภัยมิให้พาล
ในการนี้มีแต่ใบไม้ประดับ ไม่วาบวับส่องสีมณีฉาน
ไขโคหล่อจ่อเพลิงเถกิงการ งามกันดารแดนป่าลัดดาเครือ
ผูกเป็นเฟื่องเรืองระยะอุบะระบัด รอบจังหวัดวางรายดูหลายเหลือ
ราวกับป่ามหาวันผูกพันเครือ ขึ้นเลื้อยเฝือแฝงสีอัคคีราย
พินิจไปใจกระสันแม้นวันนี้ อยู่กรุงศรีแสนจะชมภิรมย์หมาย
ทั้งหนุ่มสาวกราวเดินดูเกริ่นกราย เที่ยวแวดชายชมพระเดชเกศนิกร
สารพันสรรพ์แก้วพราวแพรวแสง กระจ่างแจ้งแจ่มจำรัสประภัสสร
ดูครึกครื้นชื่นหน้านรากร สุดจะซ้อนเสาะจำขึ้นรำพัน
มาอยู่ดงพงพีมิได้เห็น ดูแจะเล่นลำร้องดูข้องขัน
เข้านั่งล้อมพร้อมพรูเป็นหมู่กัน ร้องรำพันส่งเสียงแล้วเรียงโรย
ลูกคู่รับกรับฟังดังกระหึ่ม เสียงพำพึมพูดครวญไม่หวนโหย
ดังซุบซิบกริบกรับสดับโดย นานนานโอยโอดดังลำพังครู
นั่งฟังไปไม่รู้เหตุสังเกตถ้อย เห็นเต็มกร่อยฟังเหลือจะเบื่อหู
ชักเอาความถามทวนสำนวนครู พูดไม่รู้เรื่องกันต้องครรไล
มาฟังลาวกล่าวลำก็จำจืด เห็นเต็มฝืดเฝือจิตผิดนิสัย
ทั้งสามวันตันตื้นไม่ชื่นใจ ฟังอะไรก็รำคาญให้ดาลทรวง
ประชุมชาวลาวผู้ไทยมิใช่น้อย ทั้งฮ่อม้อยมากมายในค่ายหลวง
ให้กินเลี้ยงเรียงหมวดตรวจกระทรวง หมดทั้งปวงเป็นสำเร็จเสร็จยุบล
แล้วปล่อยให้ไปที่อยู่สู่อาศัย ตามชอบใจเขตแขวงทุกแห่งหน
แต่พวกฮ่อเกรงจะหาญเที่ยวราญรณ เพราะการปล้นปลอกปลิ้นเขายินดี
จึ่งชักนำจำนรรจาให้มาเฝ้า พระเป็นเจ้าจอมประเทศพิเศษศรี
ก็เห็นพร้อมยอมทั่วล้วนตัวดี ทุกคนมีชื่อดังทั้งฝีมือ
เป็นเล่าแย้แซ่กวางไซใกล้กวางตุ้ง ผมเปียยุ่งเป็นซือแย้แปลหนังสือ
ที่หนึ่งสองรองหัวหน้าได้หารือ รับเป็นสื่อสาราลงมาแทน
ฮ่อกอยี่ดีใจอยากได้ยศ พร้อมกันหมดหมายเข้ามาเฝ้าแหน
สู้ปลดปละละถิ่นที่ดินแดน มาอยู่แน่นค่ายนั้นอนันต์เนือง ๚ะ
๏ จึ่งไต่ถามความฮ่อข้อประสงค์ ซึ่งให้ธงแดงดำแลทำเหลือง
บ้างก็ลายหมายลือเอาชื่อเมือง หรือเป็นเครื่องคิดไฉนจงให้การ
ให้กอยี่ชี้ต้นไปจนจบ อันธงรบสำหรับใช้ในทหาร
จึ่งเล่าเดิมเริ่มคิดจิตวิจารณ์ มีชื่อขานแซ่เสงลิวเทงไคว ๚ะ
๏ เมื่อจะคิดจิตพาลสันดานดิบ ได้ยี่สิบปีอายุลุสมัย
ตำบลบ้านสถานทางอยู่กวางไซ พบนายใหญ่คนหนึ่งลือชื่อองลิว
ได้รักษาเมืองเล่ากายเป็นนายเถา ไม่รุมเร้าครอบครัวคอยตั้วสิว
เกลี้ยกล่อมพลคนแกล้วเข้าแถวทิว ตั้งตาริ้วหัดรบสมทบทัพ
กับข้าเจ้าเข้ากันคนพันเศษ ธงสังเกตศึกใส่ใช้กำกับ
เป็นผ้าดำทำตัวยี่สีระยับ ไว้สำหรับนำทหารไปราญรอน
แต่สมัยในเวลานั้นผาสุก บรรเทาทุกข์ภิญโญสโมสร
ประชาชนดนดื่นพื้นนคร ไม่มีร้อนสำราญร่าชั้นทารก ๚ะ
๏ ครั้นถึงคราวจะกำเนิดเกิดวิบัติ เมื่อนักษัตรฉลูปีมีฉอศก
พันสองร้อยศักราชที่ยาตร์ยก ยี่สิบหกเศษทัศกระจัดจริง
มีจีนหนึ่งใจหาญจะทานทด เป็นกบฏซัวเถาเจ้าปักกิ่ง
มีพลหมื่นพื้นกำลังตั้งประวิง มาตั้งนิ่งสำนักสู้อยู่เต้งปัก
มีชื่อแซ่แปลความตามประสงค์ ง่ออาจงใจเติบกำเริบศักดิ์
ใช้ธงเหลืองเนื่องล้ำในสำนัก ที่ตั้งพักนั้นเป็นเขตประเทศญวน
เจ้าอานัมทำอักษรวอนสนอง ไปขอกองทัพใหญ่ในเสฉวน
แต่องค์ลิวเมืองเล่ากายอยู่ฝ่ายญวน ยกทัพล้วนเหล่าณรงค์พวกธงดำ
สมทบกับแม่ทัพญวนเข้าควรคู่ องค์แต้วฟูแม่ทัพหน้าของอานัม
รวมทหารราญรุดยุทธกรรม มีประจำหมื่นเศษสังเกตพล
เข้ารบทัพง่ออาจงด้วยองอาจ เป็นสามารถหมายตีให้ปี้ป่น
ต่างต่อต้านหาญโหมเข้าโรมรณ ตั้งประจญรับรองอยู่สองวัน
พอทัพใหญ่ในซัวเถาเข้าห้อมหุ้ม เป็นมรสุมสองทัพเข้าขับขัน
ชื่อแม่ทัพกำกับกองฟองตายัน พลฉกรรจ์หมื่นมั่นอนันต์เนือง
ระดมรบสมทบกองเป็นสองทัพ เข้าโจมจับง่ออาจงพวกธงเหลือง
แตกกระจายพ่ายออกไปนอกเมือง ไล่ตีเนื่องหนีมาเมืองฮายาง
ง่ออาจงนายพลรณยุทธ์ ถูกอาวุธวายชีวีเป็นผีสาง
พวกพลหนีลี้หลบสมทบทาง ญวนไล่ล้างแหลกยับถึงจับเป็น
ได้สักห้าพันถ้วนประมวลนับ ด้วยเสียทัพยอมทู้ให้ขู่เข็ญ
แต่นายรองน้องอาจงหลงประเด็น มืเชื้อเช่นชื่อนั้นพันลันซี
เกลี้ยกล่อมได้คนมาห้าพันเศษ เที่ยวทุเรศอรัญพาเข้าป่าหนี
หาที่พักสำนักไปในพงพี ถึงบุรีขันเทียนสื่อตั้งปรือปรน
เป็นเมืองแม้วลอยเมฆเอกราช อยู่ย่านขาดจีนญวนควรฉงน
ไม่เกี่ยวถิ่นดินคละให้ปะปน ตั้งพักพลพึ่งพาพระยาแม้ว ๚ะ
๏ ฝ่ายแม่ทัพฟองตายันครั้นปราบศึก ที่เหิมฮึกหักวินาศเหมือนกวาดแผ้ว
จัดบ้านเมืองใหญ่น้อยเรียบร้อยแล้ว ก็คลาดแคล้วทัพถึงยังตึ้งซัว
ยกองค์ลิวให้กำลังตั้งสำหรับ เป็นแม่ทัพนายเถาอย่างเจ้าสัว
เรียกว่าลิวตายันคนย่านกลัว ตั้งเป็นหัวหน้าเฝ้าเมืองเล่ากาย
แม่ทัพญวนก็ยกทัพกลับขึ้นเถิน ไปฟูเชินเมืองหลวงกระทรวงหมาย
ลิวตายันนั้นเป็นสุขสนุกสบาย ไม่ระคายราคีได้ปีเลย ๚ะ
๏ ข้างฝ่ายพันลันซีซึ่งหนีหลบ ไปตั้งซบซ่อนอาศัยมิได้เฉย
เฝ้าเตรียมกิจคิดต่อเป็นหน่อเตย ไม่เสบยเพราะวิบากจากลำเนา
พอสมจิตคิดไว้ไม่ฉงน ก็ยกพลห้าพันจากคันเขา
จรจรัลดั้นเดินเนินสำเนา ถึงเมืองเล่ากายตรงตีองค์ลิว
ลิวตายันสรรกำลังออกตั้งรับ แลสลับธงสลัดลมพัดฉิว
ทั้งธงเหลืองธงดำทำเป็นทิว ตั้งตาริ้วแรมปีฤดีดาล ๚ะ
๏ ฝ่ายแม่ทัพพันลันซีมีสติ นึกกริ่งกริเกรงญวนจะหวนหาญ
เข้าสมทบรมรุมประชุมการ เป็นสองด้านประดังเข้าเราเสียที
จงแต่งทัพเดินทบตลบหลัง แบ่งกำลังลอบไปเข้าไพรศรี
ให้ฟาเก้าเป็นนายการราญราวี ไปตั้งที่เขตขัณฑ์เมืองตั้นกวาน
ถ้าแม้นมีทัพล้อมมาห้อมหุ้ม เป็นกองซุ่มตีทัพจับประหาร
ระยะทางห่างห้าเวลากาล ดักอยู่ด่านทางเข้าเมืองเล่ากาย ๚ะ
๏ ครั้นเสร็จแล้วพันลันซีที่ตั้งล้อม ก็เข้าห้อมรบหักสมัครหมาย
ทหารลิวตายันลั่นปืนราย กระสุนปรายปราดลูกถูกลันซี
ตัวไม่ตายแต่ก็ต้องถอยกองทัพ ยกกันกลับไปห่างเหมือนอย่างหนี
ลิวตายันกระชั้นชิดติดตามตี พันลันซีแตกมาเมืองฮายาง
แล้วแต่งให้ใต้ตุม่านออกต้านทัพ ไปรวมกับฟาเก้าเข้าสองข้าง
ริมน้ำแดงแฝงตัดสกัดทาง ในระหว่างแว่นแคว้นแดนดินแกว
ลิวตายันนั้นตามด้วยความโกรธ แทบจะโดดเดินทัพไม่นับแถว
พอทัพญวนสวนทางมากลางแนว แม่ทัพแกวชื่อมียินซีฟอง
ยกบรรจบรบรับทัพขนาบ ไม่เข็ดหลาบไล่ห้อมล้อมเป็นสอง
พันลันซีมิออกสู้ดูทำนอง แต่คอยมองมุ่งหมายอยู่หลายเดือน ๚ะ
๏ ฝ่ายฟาเก้าเจ้ากลแบ่งพลถอย สักห้าร้อยรีบไปอยู่ในเถื่อน
คอยลอบลัดตัดกำลังกระทั่งกระเทือน เที่ยวตีเตือนต้อนท้ายทำถ่ายเท
พวกเล่ากายเกณฑ์ลำเลียงเสบียงส่ง ฝ่ายพวกธงเหลืองไล่เอาไพล่เผลอ
พวกธงดำก็ป่วนกันรวนเร ด้วยต้องเล่ห์กลสกัดตัดเสบียง
พวกธงดำกรำกรากอดอยากยับ เข้าที่อับจนเหงากระเส่าเสียง
ยินซีฟองฟาเก้าเข้าล้อมเรียง มิได้เลี้ยงรบรุกบุกทลาย
ลิวตายันกับพลประจญหน้า ค่อยหลีกล่าเลยไปเหมือนใจหมาย
ไปตั้งอยู่ที่เก่าเมืองเล่ากาย ฟาเก้ารายทัพรี่เข้าตีญวน
ญวนก็แตกแหลกพังไปทั้งสิ้น สมถวิลว่างศึกไม่ฮึกหวน
มิได้ตามตีตั้งยั้งกระบวน หยุดประมวลพลมั่นอยู่ตั้นกวาน
แล้วแยกทัพรับรองเป็นกองหน้า อยู่ตันฮาเท้าฮึกเป็นศึกหาญ
คอยสืบข่าวเล่ากายจะร้ายราญ ระยะย่านสามวันจากตันฮา
ลิวตายันสรรพลปรนทหาร อยู่ประมาณปีมาดปรารถนา
จัดสำเร็จเสร็จนำธงดำมา ติดตันฮาตั้นกวานตั้งการรบ
ข้างเมืองญวนก็ยกทัพกลับมาเล่า สมทบเข้าพวกเล่ากายรายบรรจบ
ตีธงเหลืองล้อมระดมกันสมทบ แตกบัดซบหนีไปเสื้องเมืองจอพอ
ระยะทางห่างตันฮาเวลาหนึ่ง ไปนิ่งอึ้งแอบซอกไม่ออกป๋อ
คิดจะจับสับไสเสียให้พอ เผอิญก่อการใหญ่ในเมืองญวน
มีหนังสือเรียกกองทัพให้กลับหลัง อย่ารอรั้งเร็วระดมกว่าลมหวน
ญวนก็กลับทัพใหญ่ไปเมืองญวน องค์ลิวรวนเรกลับกองทัพไป ๚ะ
๏ เพราะเหตุด้วยกุลาขาวทำฉาวฉ่า เข้าเมืองฮานอยหาญเป็นการใหญ่
คบพวกธงเหลืองโลนอ้ายโจรไพร ประมาณในร้อยคนเข้ารณราญ
พวกเมืองญวนป่วนยิ่งในสิ่งศึก องค์ตือดึกเดือดใจจึ่งไขขาน
เรียกลิวตายันให้ไปช่วยการ แม้นนิ่งนานแล้วจะหนักพะวักพะวน
เกรงกุลาจะมาส่งพวกธงเหลือง ให้รื้อเรื่องวุ่นวายเป็นสายสน
เร่งรีบรัดจัดทหารมาราญรณ ไปประจญจับกุลาเมืองฮานอย ๚ะ
๏ ลิวตายันครั้นแจ้งแห่งรหัส ก็รีบรัดทัพฮ่อไม่ท้อถอย
ตรงเข้าตีพวกกุลาเมืองฮานอย ก็แตกถอยยกทัพหนีกลับไป
จับได้เป็นเห็นหน้ากุลาขาว มีหนวดยาวผิดกับญวนชวนสงสัย
เป็นตองซู่กุลาภาษาใด ก็ซักไซ้สอบถามทั้งสามคน
กุลาว่าข้าเป็นพวกลิปับลิก เห็นเคราหยิกร่างใหญ่ใคร่ฉงน
แต่ผมแดงแคลงจิตคิดกังวล ถามถึงต้นชาติใช้ชื่อไรนาม
ที่เป็นจีนเคยเข้าใจปราศรัยจ้อ เรียกอั้งหมอหมายผมนิยมหยาม
แต่ยังรวมกรวมชาติไม่ขาดความ จึ่งแจ้งความจริงในน้ำใจจง
จีนเรียกว่าอั้งหมอก็ฝรั่ง ซึ่งแต่งตั้งเรียงเอาความตามประสงค์
แล้วฆ่าเสียมิให้คืนอยู่ยืนยง สิ้นชีวงวายวางอยู่กลางเมือง
ลิวตายันครั้นกุลาล่าไปลับ ยกพลกลับกรูกรีตีธงเหลือง
ได้ต่อสู้คู่แข่งจะแย่งเมือง ต่างก็เยื้องยักทีมีทำนอง
พวกธงดำร่ำรุดไม่หยุดรบ ตีกระทบจนกระทั่งกันทั้งสอง
ธงเหลืองแหลกแตกตามทั้งสามกอง พาพวกพ้องหนีมาเมืองฮายาง
ลิวตายันครั้นได้ชัยชนะ สิ้นธุระเรื่องวิบัติไม่ขัดขวาง
ก็จัดแจงแต่งทหารตรวจด่านทาง ในระหว่างแว่นแคว้นแดนตันฮา
เมืองพอจอตันกวานเป็นด่านตั้ง มีผู้รั้งรายดูอยู่รักษา
ทั้งสามเมืองมอบอำนาจให้อาชญา แล้วลิวตายันเข้าเมืองเล่ากาย ๚ะ
๏ ครั้นล่วงวารประมาณมีได้ปีเศษ ผู้ครองเกศปักกิ่งตรึกกริ่งหมาย
แค้นพวกพันลันซีไม่มีวาย คิดทำลายล้างวงศ์พวกพงศ์พาล
ให้แม่ทัพมอตายันสรรพลหมื่น ดูครึกครื้นเกรียวกราวล้วนห้าวหาญ
หลียอยซอยเป็นที่สองรับรองการ จะเข้าต้านต่อฆ่าในฮายาง
เมื่อจวนถึงจึ่งได้ให้คำสั่ง เรียกทัพทั้งสองกองประคองข้าง
คือทัพญวนทัพเล่ากายเมืองรายทาง ให้รีบย่างยาตรทัพมารับรบ ๚ะ
๏ ได้ทราบความตามสั่งที่บังคับ ก็ยกทัพพร้อมกันเข้าบรรจบ
เป็นสามทัพมากระทั่งตั้งสมทบ เข้ารุกรบรายพร้อมตั้งล้อมเมือง
ทันลันซีสิ้นกำลังไม่ตั้งรับ ก็หนีทัพทิ้งวงศ์พวกธงเหลือง
อพยพแยกออกไปนอกเมือง คิดจะเปลื้องปละหนีแต่รีรา
พวกธงเหลืองที่ยังหลงอยู่คงค่าย ไม่คิดพ่ายพากันกลับรับอาสา
นำทัพจีนเข้าประจญค้นพารา จึ่งแจ้งว่าพันลันซีหนีออกไป
ตั้งค่ายสู้อยู่ห่างฮายางซุ่ม ก็ยกทุ่มเททัพไปจับได้
ตัดศีรษะใส่หีบรีบส่งไป ยังเมืองใหญ่เขาขึงเรียกตึ้งซัว
พวกพลพันลันซีบ้างหนีบุก ไปเที่ยวซ่อนซุกเร้นไม่เห็นหัว
ที่ยอมทู้อยู่ก็บากเข้าฝากตัว ยกครอบครัวเข้ากองทัพไปกับจีน
กองทัพญวนหวนกลับไม่สับสำ พวกธงดำก็ยกเข้าเขากีสิน
ที่ถือว่าชาดีบุรีจีน ไม่ป่ายปีนเป็นลำดับกลับนคร ๚ะ
๏ พวกธงเหลืองที่ยังหลบซ่อนซบอยู่ ก็เที่ยวจู่แตกเจิ่นขึ้นเขินขอน
เป็นเจ๊กบกจีนบ่าอยู่ป่าดอน เขตนครญวนสยามตามอำเภอ
ไม่ก่อร่างสร้างเคหาเสพยาฝิ่น ปล้นเขากินโจรกรรมทำเสมอ
ญวนมาปราบหลาบแหลกก็แตกเกลอ เที่ยวกระเซอบุกกระเซิงระเริงลาน
ครั้นญวนกลับจับหมู่ที่จู่ปล้น ไม่สิ้นกลกากเล่ห์เดรัจฉาน
ทำหยาบยุ่งฟุ้งฉาวให้ร้าวราน นับประมาณหลายปีแต่มีมา
จนครั้งนี้มีทัพไทยมาไล่รบ อพยพแยกย้ายตายนักหนา
ตั้งเมืองพวนหัวพันเป็นหลั่นมา รอบอาณาเขตลุถึงจุไท
อันจีนโจนโยนยาวที่กล่าวนี้ พันลันซีต้นแซ่มาแฉให้
ยี่สิบสามปีเศษสังเกตใจ จนถึงในปัจจุบันนี้มั่นคง
เดิมก็ใช้ธงเหลืองเป็นเครื่องหมาย ครั้นแล้วกลายกลับจิตพิศวง
ยกยี่ห้ออย่างใหม่ยักใช้ธง ตามจำนงนึกหมายสีลายแดง
เที่ยวกระจัดพลัดพรายเป็นหลายหมู่ บ้างเข้าอยู่ด้วยธงดำทำเคลือบแฝง
บ้างถือธงเก่าชัดไม่ดัดแปลง ตามแต่แบ่งบากหมู่ออกกรูเกรียว ๚ะ
๏ ง่ออาจงนายเก่าเขาฮ่อแท้ นับรวมแซ่ชื่อเสงครั้งเม่งเฉียว
ง่อซำกุ้ยตัวฉกาจเปลื้องปราดเปรียว เป็นแซ่เดียวชื่อดังทั้งแผ่นดิน
จึ่งแจ้งตรงว่าอาจงเป็นฮ่อด้วย ไว้ผมมวยหมายแซ่เห็นแท้สิ้น
พลทหารขานโห่พวกโจริน ประเทศถิ่นสถานทางอยู่กวางซี ๚ะ
๏ ครั้นกองทัพฝ่ายจีนเมื่อสิ้นศึก ยกทัพฮึกหาญไปเข้าไพรศรี
ถึงเมืองจีนจึ่งเฝ้าเจ้าธานี ก็ยินดีด้วยได้ดังใจปอง
ปูนบำเหน็จนายทัพลำดับยศ ให้เชิดชดความชอบตอบสนอง
มกตายันนั้นเป็นใหญ่ในทำนอง แต่หลียองชอบเป็นเจ้าเมืองเจาฟู
เป็นเมืองขึ้นขอบเขตประเทศราช ในอำนาจลำฟูไทยไกลอักขู
มาถึงทางกวางไซใหญ่พอดู ยองซอยกรูพลพื้นสักหมื่นมา
เจ้าเมืองไกวลำฟูไทมิให้อยู่ เมืองเจาฟูตามมาดปรารถนา
หลียองซอยเคืองขัดอัธยา ก็กรีธาพลแพ่นไปแดนญวน
ตรงเข้าเมืองปักการเจาเนาสำนัก ไม่กลับพักตร์พาไพร่ไปเสฉวน
อยู่ได้สามเดือนเศษในเขตญวน พลประมวลหมื่นสรรพประดับยศ
องค์ตือดึกนึกสะดุ้งเห็นสุงศรี คิดว่าหลียองซอยเป็นเช่นกบฏ
จะต่อสู้กรุงปักกิ่งทำหยิ่งยศ จึ่งยกทศโยธาไปราวี
ส่งหนังสือถือสนองเรียกกองทัพ ให้ช่วยจับกบฏแท้พวกแซ่หลี
ลิวตายันครั้นแจ้งแห่งคดี ยกโยธีธงดำมาสัมทบ
แล้วบอกราชการไปในปักกิ่ง กรุงจีนกริ่งใจคิดผิดขบบ
จะจริงเท็จไม่ทันรู้กรูมารบ เข้าบรรจบพร้อมกับกองทัพญวน
นามนายพลคนที่มาเวลานั้น ฟองตายันแม่ทัพใหญ่ในเสฉวน
คุมโยธาดาดื่นหมื่นประมวล สามทัพถ้วนระดมตีหลียองซอย
ได้รบรุดยุทธนาเป็นสามารถ ต่างพิฆาตฆ่าฟันไม่พรั่นถอย
พวกสามทัพตายมีโยธีทอย หลียองซอยตายหมดลดทุกที
อ่อนกำลังตั้งรับทัพทั้งสาม ยิ่งล้อมลามตีทลายก็พ่ายหนี
จากปักการเจาไปไกลบุรี เข้าอยู่ที่จองามตามตำบล
ตั้งทัพตรวจหมวดโยธาเหลือมาน้อย สักแปดร้อยรวมดูหมู่พหล
ลิวตายันดั้นเดินดำเนินพล โดยรีบร้นเร็วยกหกเวลา
ถึงจองามหลามล้อมเข้าพร้อมที่ ข้างฝ่ายหลียองซอยสู้ไม่สู่หา
ต่างรบรับขับโต้ต้อนโยธา ประมาณห้าเดือนตั้งประดังเรียง
หลียองซอยน้อยพลจนอาหาร อดกันดารเหลือทนไพร่พลเลี่ยง
หนีเข้าหาองค์ลิวหิวเสบียง ก็รับเลี้ยงชีพซนพลโยธี
หลียองซอยเห็นจะสู้อยู่ไม่รอด ก็เล็ดลอดลอบล่าเข้าป่าหนี
ฟองตายันแม่ทัพใหญ่ใจก็ดี ตั้งพักรี้พลรออยู่จองาม
เกลี้ยกล่อมไพร่ให้สมัครหักเข้าหา โดยเมตตาเต็มสุภาพไม่หยาบหยาม
ตั้งอยู่นานประมาณเดือนไม่เลื่อนลาม ต่างก็ตามกันมาทู้อยู่เป็นกอง
หลียองซอยรู้เช่นเห็นแม่ทัพ คอยต้อนรับไพร่พลไม่หม่นหมอง
เข้าไปทู้อยู่ด้วยกันอนันต์นอง แล้วหลียองซอยก็หาฟองตายัน
จึ่งแจ้งความตามที่เห็นเป็นกบฏ ให้ทราบหมดเรื่องหมายที่ผายผัน
ไม่สมจิตคิดจะคืนก็ตื้นตัน จึ่งบุกบั่นบากไปเพราะได้อาย
ฟองตายันครั้นได้ยินก็สิ้นโกรธ ไม่ลงโทษกบฏฆาตเหมือนมาดหมาย
ให้คงยศอย่างที่รับไม่กลับกลาย แล้วก็ผายผันพากันคลาไคล
พลที่พ่ายกระจายหมู่ไม่สู่หา อยู่ในอานัมดินถิ่นอาศัย
สักพันเศษทุเรศร้างอยู่กลางไพร เข้าหมู่ใหญ่ยกซ่องเป็นกองโจร
ตั้งบรรจบทบทัพกับธงเหลือง จึ่งจับเรื่องปล้นราษฎร์เที่ยวผาดโผน
แยกใช้ธงดำลายตั้งค่ายโดน เที่ยวเป็นโจรฮ่อกระเจิงระเริงลาน ๚ะ
๏ ข้างฝ่ายทัพฟองตายันจรัลร่ำ ถึงไกวลำฟูไทยในสถาน
ก็พักพลดลประดาเวลากาล ผ่อนสำราญรมย์เข้าหยุดเนานิตย์
เจ้าเมืองไกวลำฟูไทยไปนอบนบ โดยประจบจวนตัวกลัวความผิด
ที่ฝ่าฝืนขืนตราตั้งบังไม่มิด ด้วยความอิจฉาไม่ชอบประกอบการ
บัดนี้หลียองซอยมาในตาทัพ คงจะกลับกล่าวหาขึ้นว่าขาน
โทษเราทำจะมาทับอัประมาณ จึ่งคิดอ่านเข้ากระทำสำมัคคี
ลียองซอยหลงกลจนสนิท เอายาพิษแทรกอาหารประสานศรี
ให้ลียองซอยกินสิ้นชีวี เสียในที่พักอยู่ลำฟูไทย
ฟองตายันก็ครรไลไปปักกิ่ง ความทุกสิ่งมิได้เห็นเป็นไฉน
ขัดคำสั่งตราตั้งนั้นเป็นฉันใด โทษคงไม่พ้นมันคนสันดาน
ครั้นกองทัพลับเลื่อนสามเดือนเศษ พอสิ้นเขตขาดพลพหลหาญ
พวกที่แตกหนีอยู่ป่ามาคิดการ เป็นพวกพาลปล้นกินในถิ่นดง
พาพรรคพวกพื้นฉกรรจ์สามพันเศษ เที่ยวทุเรศแรมในไพรระหง
ชื่อต้นก๊กลกมันไตเป็นใหญ่ยง ที่สองบ่งซำซีไทยเป็นนายรอง
หลีอาซางเป็นที่สามมีนามตั้ง ยกกำลังพลขันธ์สนั่นก้อง
ตีปักการเจาแตกย้ายแยกกอง พาพวกพ้องพักสบายอยู่ค่ายคึก
ข้างเมืองญวนสืบสารรู้การแน่ จึ่งแต่งแม่ทัพใหญ่ในตือดึก
ชื่อไตซันเป็นแม่ทัพกำกับฮึก มีที่ปรึกษาคู่ชื่อปูเจ็ง
กำลังพลคนฉกรรจ์สี่พันเศษ มาปราบเขตญวนทั่วล้วนตัวเส็ง
ถึงเมืองปักการเจาเข้าระเบ็ง สั่งให้เร่งรบกับทัพมันไต
ได้ต่อสู้คู่คี่ตีกันแหลก ทัพญวนแตกตายป่นไม่ทนได้
จับปูเจ็งไตชันได้ทันใด พวกญวนไพร่หนีพรูไม่อยู่รอ
แม่ทัพญวนครวญใคร่อาลัยร่าง กลัวจะล้างชีพลาญจึ่งขานขอ
ถ่ายโทษตัวกลัวชีวาน้ำตาคลอ นั่งงอนง้อเอาเงินทำเป็นกำนัล
ลกมันไตได้ท่าทำหน้าขึง แกล้งตั้งปึงพูดปัดระหัดหัน
อันการศึกฮึกโหมเข้าโรมรัน ก็หมายมั่นมุ่งฆ่าชีวาวาย
เสียทีทัพจับได้อาลัยชีพ มานั่งบีบน้ำตาน่าใจหาย
จะซื้อร่างสร้างชื่อให้ลือชาย ว่าต้องถ่ายโทษตนจึ่งพ้นตัว
จะแบกอายตะพายหน้าไปหาเจ้า ใครเห็นเข้าก็จะเคาะเย้ยเยาะหัว
องค์ตือดึกก็จะดาลประหารตัว อันความชั่วก็จะฉาวอยู่ยาวยืน
จงก้มหน้าลาท้าวเจ้าตือดึก ว่าเสียศึกสิ้นชีวาไม่ฝ่าฝืน
ขุนนางญวนเขาจะหยันทุกวันคืน ให้เสื่อมพื้นเสียพงศ์ในวงศ์ญวน
ไตชันฟังดังอัคคีมาจี้โสต ทำไม่โกรธตรอมใจเฝ้าไห้หวน
กลับยกเมืองกระเดื่องดินในถิ่นญวน อีกสองส่วนให้เป็นสิทธิ์ไม่คิดคด
ปักการเจาเมืองฮายางที่กลางย่าน เงินขันขานสี่ร้อยขันเข้ากันหมด
ขันละยี่สิบบาทไม่ขาดลด จึ่งคิดทดมาเป็นไทยในเงินตรา
รวมร้อยยี่สิบห้าชั่งดังถวิล เป็นสุดสิ้นสมมาดปรารถนา
ลกมันไตรับตอบชอบอัชฌา ปล่อยหัวหน้านายทัพให้กลับไป
เมื่อไตชันหันกลับมายับยั้ง เข้าอยู่ยังเมืองฮานอยละห้อยไห้
เกรงตือดึกจะกระเดื่องเคืองฤทัย ก็จำใจแจ้งจริงไม่นิ่งนาน
เขียนหนังสือถือส่งประจงแจ้ง ไม่เคลือบแคลงข้อเค้าสำเนาสาร
เจ้าญวนทราบวาบใจดังไฟกาล ว่ายกด่านแดนประเทศในเขตญวน
ให้ข้าศึกสร้างสมทำข่มเหง จึ่งรีบเร่งขอรับทัพเสฉวน
ให้ระงับจับศึกที่ฮึกกวน มาตั้งฮ้วนหาญใหญ่อยู่ในแดน
แล้วบอกลิวตายันให้สรรทัพ ไปโจมจับข้าศึกที่ฮึกแหน
ลิวตายันยกทหารข้ามดาลแดน เข้าตีแคว้นแขวงด่านปักกานเจา
ตั้งรบสู้อยู่สักปีกุลียุค องค์ลิวรุกรบรายเข้าค่ายเผา
ลกมันไตแตกสิ้นถิ่นลำเนา ทหารเล่ากายไล่ตามไปตี
หลีอาซางวางชีวีในที่รบ พวกพลอพยพแยกออกแตกหนี
ทิ้งตำบลด้นดงเข้าพงพี เที่ยวหลบลี้แล่นออกไปนอกเมือง
เมื่อกองทัพลิวตายันกระชั้นไล่ ลกมันไตตกประหม่าจนหน้าเหลือง
ด้วยทัพจีนจู่มาทันอนันต์เนือง ก็ยกเนื่องสกัดหน้าซูตายัน
ระดมพลรณรบบรรจบทัพ เข้าล้อมจับลกมันไตไล่ถลัน
ยิงปืนกราดปราดตัดสกัดกัน ถูกลกมันไตตายวายชีวง
จับตัวซำซีไทยได้สำเร็จ ก็สิ้นเสร็จศึกสมอารมณ์ประสงค์
ลิวตายันหยุดรบสมทบธง เข้าดำรงรวมตั้งดูคั่งคับ
พลข้าศึกที่เข้าทู้ไม่สู้รบ อพยพยกไปได้เสร็จสรรพ
ทั้งตัวซำซีไทยผู้นายทัพ รวมเอากลับไปด้วยหมู่ซูตายัน
ที่คงทู้อยู่เล่ากายก็หลายเหลือ ล้วนชาติเชื้อจีนแท้ไม่แปรผัน
คะเนนับอนันต์นองสักสองพัน ลิวตายันรวมรับเข้าทัพจร
ที่ระบาดสาดมาอยู่ป่ารก ประมาณหกร้อยอาศัยไพรสิงขร
ตั้งเป็นพวกโจรไพรอยู่ในดอน เที่ยวราญรอนรุกร้นปล้นสะดม
บ้างผลัดเพี้ยนเปลี่ยนยี่ห้อออกต่อเนื่อง ธงแดงเหลืองลายคละเข้าประสม
เป็นสามโจรเที่ยวค้นปล้นสะดม ในนิคมญวนสยามต่อตามมา
แต่ญวนปราบหลาบทลายเป็นหลายหน ก็ดั้นด้นหนีอาศัยไพรพฤกษา
พอกองทัพกลับไปมันไพล่มา ทำพาลาลำพองใจในพนม ๚ะ
๏ ฝ่ายข้างเรื่องเมืองเล่ากายหมายประสงค์ ซึ่งใช้ธงดำเดิมเริ่มปฐม
ได้เชลยทหารเลี้ยงเรียงระดม เข้าเป็นกรมเดียวตรงกับธงดำ
รวมระคนพลฉกรรจ์หกพันถ้วน เป็นกระบวนทัพหน้าของอาหนำ
บำรุงหัดจัดรับสำหรับทำ ยุทธกรรมกับไพรีที่บีฑา
ดูครื้นคึกฮึกหาญสำราญจิต โดยวิวิธหวังมาดปรารถนา
ชาวบุรีมีสุขทุกทิวา พวกพาลาหลาบหนีไม่มีอึง ๚ะ
๏ ครั้นล่วงปีตรีศกตกมะเส็ง เกิดการเร่งร้อนเร้าเข้ามาถึง
ด้วยตือดึกขับขุนนางต่างดันดึง ขุนนางหนึ่งหนีพรากไปจากญวน
ถึงซัวเถากล่าวหาว่าตือดึก คิดหาญฮึกห่างเหจากเสฉวน
เก็บส่วยสาภาษีที่เมืองญวน มาประมวลให้ฝรั่งหยั่งไมตรี
ที่ประณามความสัตย์เห็นตัดขาด ไม่หมายมาดพึ่งพาหันหน้าหนี
มิได้ส่งส่วยมากว่าสิบปี ไปร่ำชี้ชั่วฉาวกล่าวแสดง ๚ะ
๏ เจ้าเสฉวนป่วนจิตไม่คิดหน่วง ความทั้งปวงเห็นชัดกระจัดแจ้ง
เชื่อจริงใจในคดีไม่มีแคลง พิโรธแรงว่าอานัมไม่คำรบ
จึ่งจัดทัพขับขันสรรอาสา สองหมื่นห้าพันคนผจญจบ
ว่องทงเลงไกวลานว่าการรบ ที่สองทบชื่อบงชิวธงเลง
ฟังบังคับรับโอวาทลาคลาดแคล้ว คุมทแกล้วกลั่นทั่วล้วนตัวเสง
ถึงเมืองญวนเรียกชื่อยากปากนิงเตง เข้าตั้งเกงสืบสารการณรงค์
ได้ทราบเหตุว่าฝรั่งมาตั้งเนื่อง อยู่เมืองฮานอยจริงสิ่งประสงค์
สมเหมือนคำอานัมชี้คดีตรง คิดจำนงกำหนดการจะราญรณ
ทัพฝรั่งตั้งรอไม่ท้อถอย อยู่ฮานอยทราบความตามนุสนธิ์
ว่าจีนยกทัพมารั้งตั้งประจญ ก็รีบร้นแต่งทูตไปพูดจา
ว่าฝรั่งตั้งหาญในการนี้ เพราะคดีเดิมเข็ญเป็นนักหนา
จึ่งเล่าเรื่องเคืองขัดอัธยา มีพ่อค้าฝรั่งเศสทุเรศแรม
อยู่ฮานอยเป็นนายห้างมาสร้างตึก ตั้งคักคึกคิดก่อเห็นล่อแหลม
มีโจรจำธงดำล้วนกับญวนแกม เข้าปนแปมตีค้นปล้นสะดม
จับฝรั่งพ่อค้าฆ่าเสียสาม ที่เหลือข้ามคืนไปร้องฟ้องขรม
จึ่งมาเล่าเจ้าประเทศเขตนิคม ก็นิ่งอมเอื้อนอำไม่ชำระ
ผู้ปกครองของฝรั่งจึ่งตั้งทัพ ให้มาจับโจรที่คิดอิสระ
ข้างฝ่ายจีนมิได้จองมาพ้องพะ ทราบเถิดนะในกิจจาอย่าประวิง
ว่องทงเลงไกวลานฟังสารแสร้ง ไม่แยกแย้งต่อรบสงบนิ่ง
เตรียมพหลพลพักอยู่ปักนิง การทุกสิ่งบอกหนังสือให้ถือไป
ถึงกรุงจีนแจ้งจริงทุกสิ่งสม โดยคารมฝรั่งชี้คดีไข
เจ้าจีนตรึกนึกตรองทำนองใน จึ่งแต่งให้ซำกงเปาเข้าณรงค์
คุมทัพใหญ่ยกมาห้าหมื่นเศษ สั่งไปรเวตหวังในใจประสงค์
เหมือนไม่ต้องข้องขานการณรงค์ แต่ให้คงคํ้าจุนหนุนองค์ลิว
อะไรขัดจัดจองให้ต้องที่ แต่ในทีทำเชื้อเช่นเสือหิว
ซำกงเปาลาลำดับกองทัพทิว รีบยกลิ่วเลยเข้าเมืองเล่ากาย
ตั้งเกลื้อหนุนลิวตายันแล้วสันสั่ง ให้ไปตั้งเมืองเต้งไตเหมือนใจหมาย
หกโมงทางห่างฮานอยคอยระคาย ตั้งเรียงรายรอแฝงไม่แรงรุณ
ซำกงเปาเข้าปองคอยรองรับ เพื่อเสียทัพจะโถมเข้าโจมหนุน
สารพัดจัดเกลื้อคอยเจือจุน ตั้งทอดทุ่นอยู่กับที่สักสี่เดือน
ทัพฝรั่งตั้งประดาเข้ามาใกล้ เมืองเกาใยทางยาตรไม่คลาดเคลื่อน
ห่างฮานอยสองนาฬิกาเตือน องค์ลิวเลื่อนทัพประชิดเข้าติดพัน
รบฝรั่งพังรุกเป็นยุคเข็ญ ฝ่ายญวนเห็นสองทัพเข้าขับขัน
แยกพลญวนออกเป็นสองกองฉกรรจ์ พวกหนึ่งนั้นเข้าข้างนายฝ่ายกุลา
พวกหนึ่งเข้าลิวตายันปันแผนก ดูก็แปลกใจจริงกริ่งนักหนา
ญวนต่อญวนหวนต่อไม่รอรา เป็นญวนมาตีญวนดูป่วนจริง
พวกกุลาก็ประดาประดังทัพ องค์ลิวรับพลรบลงซบกลิ้ง
ทั้งสองฝ่ายตายดื่นด้วยปืนยิง ตั้งประวิงทัพสู้อยู่สักปี
ฝรั่งเสียนายทหารประมาณมาก ก็เบือนบากถอยไปตั้งอยู่ยังที่
เมืองฮานอยเนาทัพลำดับดี ไม่ต่อตีแต่ตรึกตราหาอุบาย
ทัพธงดำก็ประดนพลไพร่ อยู่เกาใยหยุดมั่นไม่ผันผาย
รักษาการด่านตั้งฟังระคาย องค์ลิวย้ายยกเร่งมาเต้งไต ๚ะ
๏ เวลาเมื่อลิวตายันประชันตั้ง รับฝรั่งรอนรบสบสมัย
องค์ตือดึกชีพดับลับประลัย เสียที่ในเมืองอยู่ชื่อฟูเชิน
ญวนก็ยกเจ้าญวนที่หวนฮึก เป็นตือดึกครองดินในถิ่นเถิน
องค์ลิวเจ้าเล่ากายก็หมายเมิน มิได้เกริ่นกรายรับบังคับญวน
คงทำการราญรบสมทบเข้า ซำกงเปาเป็นนายฝ่ายเสฉวน
สงบทัพยับยั้งตั้งกระบวน นับประมวลมีเวลาสิบห้าวัน ๚ะ
๏ ฝรั่งเศสคิดศึกช่างลึกลบ ปิดทำนบน้ำแดงขึ้นแข็งขัน
กับน้ำตาวถมพื้นให้ตื้นตัน ชลาลั่นไหลเข้าเมืองเกาใย
ท่วมไพร่พลล้นแลกระแสสินธุ์ ล้มตายสิ้นสู่ลำแม่น้ำไหล
เครื่องสาตราอาวุธยุทธิไกร ชลาลัยไหลส่งลงทะเล
ทั้งเหย้าเรือนเคหาประชาราษฎร์ พังวินาศน้ำพัดเอาปัดเป๋
ถูกอุทกภัยตายออกดายเด สมคะเนฝรั่งคิดกิจการ
พวกธงดำที่เหลือตายก็พ่ายกลับ มาตั้งรับรวมพลพหลทหาร
อยู่เต้งไตต่อสติดำริการ ได้ประมาณปีเศษสังเกตดู
ฝรั่งยกกองทัพมาสับสำ พวกธงดำก็ประดังออกตั้งสู้
เป็นสามารถมิได้ท้อต่อริปู รบกันอยู่สามเวลาก็ราราย
ลิวตายันถอยกำลังไม่ตั้งรับ ก็แตกทัพธงดำระส่ำระสาย
มารวมรอมพร้อมพหลพลนิกาย ตั้งค่ายรายรับระเบ็งอยู่เต้งฮึง
ระยะทางห่างไปไม่ไกลใกล้ จากเต้งไตโดยพลันไปวันหนึ่ง
ฝรั่งไม่ไล่กระพือทำอื้ออึง นิ่งคะนึงเนาหมู่อยู่เต้งไต
แล้วจัดการบ้านเมืองให้เฟื่องฟุ้ง คิดบำรุงพลขันธ์อยู่หวั่นไหว
ตั้งด่านทางกางกันสรรพภัย มิไว้ใจเกรงริปูจะจู่ตี
ครั้นจัดแล้วแคล้วคลาโยธาหาญ ไปต่อต้านข้าศึกไม่นึกหนี
เดินกระบวนทัพตรงเข้าพงพี ยกไปตีทัพธงเลงเมืองเต้งปัก
ว่องธงเลงไกวลานไม่หาญสู้ ฝรั่งจู่โจมด่านเข้าหาญหัก
ก็หนีแยกแตกกระจายทิ้งค่ายพัก กลับไปปักกิ่งแถลงแจ้งกิจจา
กรุงจีนทราบวาบจิตให้คิดโกรธ จึ่งปรับโทษลงทัณฑ์บนเกศา
ว่องธงเลงเกรงข้อมรณา ก็กินยาพิษทำลายวายชีวี
ชิวธงเลงปลัดทัพนั้นปรับเขต เนรเทศขับไล่เข้าไพรศรี
ไม่ลงราชอาชญาถึงฆ่าตี ละถิ่นที่สถานลาเข้าป่าไป
แล้วกรุงจีนจัดการเร่งงานทัพ ได้พร้อมสรรพพวกพหลพลไพร่
ฟองตายันเป็นแม่ทัพรับยกไป เร่งครรไลรี้พลผจญโจม ๚ะ
๏ ฝ่ายกองทัพฝรั่งกำลังเร่ง ไล่ธงเลงเลยด่านทำหาญโหม
ถึงเมืองเลียงซางศึกทำครึกโครม แต่ไม่โรมรอรั้งตั้งกระบวน
แต่เมืองนี้เป็นที่มั่นประจันประเทศ เข้าจดเขตแดนทำเลเมืองเสฉวน
อยู่ระหว่างกลางเนื่องต่อเมืองญวน ฝรั่งรวนรอพักสำนักพล ๚ะ
๏ ฟองตายันครั้นเมื่อเดินกองทัพ ได้ทราบสรรพข้อความตามนุสนธิ์
ว่ากุลาเลยล้ำล่วงตำบล ก็เร่งพลรบโรมเข้าโจมตี
ทัพฝรั่งตั้งต้านทานไม่หยุด ทัพจีนรุดเร่งรบไม่หลบหนี
ฝรั่งแตกแหลกทลายพ่ายโยธี จีนตามตีตายกองสักสองพัน
ฝรั่งร่นพ้นประเทศเขตปักกิ่ง มาปักนิงตั้งทัพอยู่คับขัน
เสียอาวุธยุทธกรรมที่สำคัญ ปัสตันปืนลูกแตกแปลกชนิด
สี่สิบสามกระบอกถ้วนจำนวนนับ แล้วยังจับนายฝรั่งได้ดังจิต
อีกสามคนฆ่าตายวายชีวิต แล้วยกติดตามไปไล่ประจญ
เข้าล้อมเมืองปักนิงยิงกระหนาบ ไม่เข็ดหลาบรบรับอยู่สับสน
ทั้งสองทัพขับคู่สู้ประจญ จีนต้อนพลล้อมฝรั่งอยู่รั้งราย ๚ะ
๏ ข้างกองทัพทางฝ่ายเล่ากายเล่า ซำกงเปาตั้งปึ่งดูผึ่งผาย
แต่ให้เต้งธงเลงซุ่มคุมนิกาย ทั้งไพร่นายนับยกมาหกพัน
พบฝรั่งตั้งอาศัยอยู่ในที่ เมืองสามคี้คุมทัพอยู่ขับขัน
ก็เข้าห้อมล้อมฝรั่งตั้งประจัน ลิวตายันแยกลัดสกัดทาง
เพื่อมิให้ฝรั่งเหิมมาเติมทัพ คอยตั้งรับรบตัดให้ขัดขวาง
อยู่จ้อหยกย่างกะระยะทาง โมงหนึ่งห่างกว่าสนามเมืองสามคี้
ทัพฝรั่งตั้งสู้อยู่ในค่าย ต่างเรียงรายรอรบไม่หลบหนี
ตั้งประชิดติดต่ออยู่รอรี ประมาณสี่ห้าเดือนไม่เลื่อนลด ๚ะ
๏ ทัพฝรั่งทางฮานอยซึ่งคอยอยู่ ครั้นได้รู้ว่าจีนล้อมไว้พร้อมหมด
จึ่งจัดทหารดาลเดือดไม่เงือดงด โดยกำหนดโยธาจากฮานอย
ถึงจ้อหยกยกโถมเข้าโจมจ้ำ ทัพธงดำเสียท่าก็ล่าถอย
มาเมืองเล่ากายตั้งกำลังคอย รีบถ่ายทอยทางคิดกิจการ ๚ะ
๏ ฝรั่งตีธงดำล่าไม่รารบ ตีตลบทัพที่ล้อมป้อมขนาน
เต้งธงเลงเหลือกำลังไม่ตั้งทาน พาทหารหนีเข้าเมืองเล่ากาย
ทัพฝรั่งตั้งรวมเข้าสวมที่ เมืองสามคี้สมคิดในจิตหมาย
ประชุมทัพรับพหลพลนิกาย ทั้งไพร่นายเนาสถานสำราญรมย์ ๚ะ
๏ อีกทัพหนึ่งซึ่งล้อมอยู่พร้อมพรัก เมืองเต้งปักปองรบประสบสม
ฟองตายันมั่นค่ายรายระดม ไม่ล่มจมตั้งประจำทุกค่ำคืน
ทัพฝรั่งที่ตั้งอยู่สามคี้ ไม่ยกรี้พลกล้าไปฝ่าฝืน
สงบทัพขับพลคอยยลยืน จังกาปืนกำกับป้อมอยู่พร้อมกัน ๚ะ
๏ ฝ่ายพวกจีนสามทัพที่กลับหนี มาอยู่ที่เมืองเล่ากายคอยหมายมั่น
เต้งธงเลงกับหัวหน้าลิวตายัน อีกหนึ่งนั้นนามบ่งซำกงเปา
ทั้งสามนายรายราโยธาพัก หยุดสำนักอยู่เล่ากายเป็นนายเถา
ประมาณสี่ปีคาดเป็นลาดเลา ในเมืองเล่ากายโศกด้วยโรคราญ
เป็นไข้พิษฤทธิ์ร้ายตายวินาศ ดังฟ้าฟาดอสุนีที่ประหาร
เสียสักสามส่วนหมายที่วายปราณ ที่เหลือกาลเก็บประมวลสักส่วนเดียว
ทัพฝรั่งก็ยังรอเป็นข้อเค้า ซำกงเปาป่วนคิดในจิตเสียว
ทหารร่วงโรยราทำหน้าเซียว ไม่กรูเกรียวตรอมใจด้วยไข้กิน
จึงเล้าโลมโน้มน้าวชาวกวางตุ้ง ตั้งบำรุงรวมได้ดังใจถวิล
ทั้งกวางไซได้บรรจบทบโยธิน มาร่วมถิ่นถือตรงเป็นธงดำ
ได้พวกพลมาประชุมไว้ชุ่มชื่น สักสองหมื่นเศษสลับกันสรรพสำ
ให้รักษาเมืองเล่ากายจ่ายประจำ ทุกคืนค่ำคอยเหตุสังเกตการณ์
ข้างฝ่ายกองฟองตายันนั้นตั้งนิ่ง ล้อมปักนิงแน่นไว้ไม่ไขขาน
ต่างตั้งมั่นขันกล้ารักษาการ ไม่ต่อต้านตั้งประชิดด้วยติดพัน
พอได้รับหนังสือเบิกบอกเลิกทัพ ให้ยกกลับไปประเทศเข้าเขตขันธ์
ผู้ปกครองสองพาราได้ว่ากัน ดินญวนนั้นยกให้นายฝ่ายกุลา
ฟองตายันแจ้งจริงสิ่งประสงค์ บอกซำกงเปาไปว่าให้หา
กองทัพกลับซัวเถาเข้าพารา กับลิวตายันเจ้าเมืองเล่ากาย
จึ่งเลิกทัพกลับหลังยังปักกิ่ง เป็นสิ้นสิ่งศึกสมอารมณ์หมาย
ประมาณปียี่สิบสามตามธิบาย ที่จีนกรายกรูมาในอานัม
เพราะเหตุที่มีศึกมาฮึกหาญ เข้าต่อต้านตีแดนแล่นถลำ
มาหักหาญราญณรงค์กับธงดำ แล้วเที่ยวล้ำล่วงเขตประเทศญวน
ยังเลยลามสยามหล้าอาณาจักร ล้วนพืชพรรคพวกเผ่าเหล่าเสฉวน
อันความเดิมเริ่มรบหลายทบทวน ขอประมวลหมายเค้าพอเข้าใจ
แต่รี้พลคนที่มาสามิภักดิ์ เข้าสมัครหมายจิตพิสมัย
อยู่กับลิวตายันก็ครรไล ที่เขาไม่สมัครจรก็ผ่อนตาม
อยู่ดินญวนสวนส่อต่อปักกิ่ง กับตองกิงแฝงเฝือออกเหลือหลาม
เที่ยวอาศัยในประเทศทุกเขตคาม ด้นดั้นตามใจตนทุกหนทาง ๚ะ
๏ ฝ่ายฝรั่งตั้งบำรุงผดุงหมาย พวกเล่ากายแจ้งกิจคิดขนาง
ต่างย้ายแยกแตกออกทุกซอกทาง ก็เที่ยวคว้างควบคุมเป็นกลุ่มไป
ตามเมืองน้อยบ้านนาที่ป่าเขา ชวนกันเข้าพักพาอยู่อาศัย
จนล่วงลัดตัดลุถึงจุไทย ตั้งเป็นใหญ่ตัวยงคือองค์บา
เมื่อแรกเริ่มเดิมทีที่อาศัย อยู่กวางไซแซ่ลินจีนอาสา
ชื่อก๊กเฮงเตงเถาเหล่าโยธา คุมคณาร้อยคงเป็นธงดำ
อีกพวกหนึ่งนามหมายงายเล่าแย้ เป็นจีนแท้รวมรับเป็นสรรพสำ
อยู่เมืองม่วยหมายดินถิ่นอานัม มิล่วงล้ำเลื่อนไปให้ไกลกัน
กองหนึ่งอยู่เมืองลามาร้อยเศษ ว่าคงเขตญวนซัดเขาจัดสรร
ชื่อลิวเจ๊กเซงจำเป็นสำคัญ ล้วนพวกพันธุ์แถวทางเมืองกวางไซ
เป็นทหารราญรุดอาวุธถือ สำหรับมือริมิงตันจัดสรรให้
ซำกงเปาเมื่อจะกลับกองทัพไป ก็ยกให้สำหรับตัวทั่วทุกคน
ออกแยกย้ายขยายอยู่เป็นหมู่ย่อย แห่งละน้อยเหลือนับดูสับสน
ประมาณยากมากมายหลายตำบล เห็นสุดจนที่จะแจงให้แจ้งใจ
ยังพวกพันลันซีที่ตีแตก ก็ย้ายแยกพวกพากันอาศัย
เที่ยวรุกร้นปล้นกินในถิ่นไพร ทำยุ่งใหญ่ยกสมทบเที่ยวรบราญ
หัวหน้าชื่อยิบไต้ได้มาตั้ง มีกำลังธงเหลืองเนื่องขนาน
สามพันคนด้นพามาเมืองลาน เที่ยวก่อการโจรกรรมทำคึกคัก
อีกพวกหนึ่งนามขนานชื่อมานยี่ กำลังสี่ร้อยเนื่องมาเมืองตึก
ฝั่งน้ำแท้ทิศบูรพาชลาลึก มาตั้งคึกตามเขตประเทศญวน
แต่ยิบไต้ใจทะนงทำองอาจ แบ่งพลลาดหาเสบียงเลี้ยงกันป้วน
ตีบ้านเล็กเมืองลับเที่ยวทับทวน ทำรบกวนก่อเข็ญไม่เอ็นดู
พวกผู้รั้งกรมการลนลานวุ่น กับท้าวขุนขันกำลังออกตั้งสู้
ก็ไม่ต้านทานทัดพวกศัตรู ต้องยอมทู้ถอนทัพเข้ารับเกณฑ์
ตกเป็นกองลำเลียงส่งพวกธงเหลือง ทั้งเจ็ดเมืองร้อนร้าวเป็นกราวเขน
คือเมืองม่วยเมืองลามาเข้าเวร เป็นดินเดนแด่นฮ่อเที่ยวต่อตี
กับเมืองมกเมืองลำแลเมืองวัด อ้ายฮ่อปัดใช้ขนเสียป่นปี้
ทั้งเมืองซางเมืองฮุงเมืองปรุงไพรี อยู่ในที่บังคับคอยรับการ
พวกที่ทู้อยู่มันทำเสียกรำกราก ต่างเบือนบากหนีไปเข้าไพรสาณฑ์
ทิ้งถิ่นที่ลี้หลบเที่ยวซบซาน หอบลูกหลานครอบครัวกันงัวเงีย
ถ้าฮ่อเห็นจับเป็นไปใช้เช่นสัตว์ แม้นฝึกหัดไม่ฮ้อปาดคอเสีย
ที่ยังสาวสรรค์ไว้ให้เป็นเมีย มาปัวเปียโลมเล้าทำเคล้าคลอ
พวกท้าวขุนขุ่นเคืองทุกเมืองหมาย ไปหาฝ่ายญวนฟ้องแล้วร้องขอ
ให้จับจีนโจรฉกาจไปปาดคอ มันเที่ยวต่อตีกินในถิ่นแดน
ข้างฝ่ายญวนก็มีทัพกับฝรั่ง พะว้าพะวังการทั้งปวงที่หวงแหน
จึ่งทิ้งให้โจรจีนมาหมิ่นแคลน อยู่เขตแคว้นแขวงนั้นทุกวันมา ๚ะ
๏ โจรยิบไต้ใจเติบกำเริบร้าย ใช้ธงลายแบ่งกำลังออกตั้งหน้า
ชื่อสามปิวเป็นแม่ทัพกำกับมา คุมโยธาพันเศษล่วงเขตคัน
ตีบ้านเล็กเมืองลับยับระย่อ ถึงเชียงฆ้อสบแอดเที่ยวแผดผัน
จนล่วงล้ำตำแหน่งแขวงหัวพัน เข้าประจัญโจรกรรมเที่ยวย่ำยี
พวกท้าวขุนที่เป็นข้าอาณาจักร ต่างแยกยักอพยพเที่ยวหลบหนี
ถึงประเทศเขตแคว้นแดนบุรี เที่ยวหลบลี้ซุ่มตัวด้วยกลัวภัย
บ้างนิ่งจนทนทู้อยู่กับฮ่อ จะคิดต่อตีกู้สู้ไม่ไหว
พวกธงเหลืองธงลายก็หมายใจ คิดการใหญ่ยกกำลังเที่ยวตั้งก๊ก ๚ะ
๏ ครั้นล่วงกาลนานมาเที่ยวคลาคลาด เมื่อศักราชปีจอเป็นฉอศก
สามปิวย้ายคลายคลาคณายก ไปตั้งก๊กเก็บเสบียงทุ่งเชียงคำ
เจ้าเมืองพวนสวนทัพเข้าจับฮ่อ ได้ออกต่อรบรับกันสรรพสำ
พวกสามปิวแม่นปืนยืนประจำ ยิงกระหน่ำขนานมาหน้าโยธี
ถูกเจ้าเมืองพวนบรรลัยในสมร พลนิกรแตกพ่ายกระจายหนี
พวกธงลายรายพลเที่ยวปล้นตี ตั้งค่ายที่ทุ่งเชียงคำนั้นร่ำมา
บ้างแยกก๊กยกไปตั้งต่างตำแหน่ง ใช้ธงแดงสำหรับโดนเป็นโจรป่า
ใครไม่หาญราญสู้หมู่บีฑา กำเริบร่าเริงรื่นทุกคืนวัน
ล่วงเวลามามีได้ปีเศษ อ้ายต้นเหตุหัวหน้าตัวกล้ากลั่น
คือสามปิวที่เป็นใหญ่ในอรัญ ยกพลพันไปปล้นพวกคนแม้ว
ตำบลหนใดไม่ทราบแน่ ได้รู้แต่สามปิวนายนั้นตายแซ่ว
ก็ถอยทัพกลับหนีไม่วี่แวว ครั้นมาแล้วหองให้ฮ่อไกวซิง
เป็นหัวหน้าคุมกำลังไว้ทั้งสิ้น แล้วพากันรบพุ่งทำสุงสิง
เสมอมามีแต่ค้นเที่ยวปล้นชิง ช่างยุ่งยิ่งยุคเข็ญที่เป็นมา ๚ะ
๏ แล้วมีพวกธงแดงกำแหงหาญ คุมพวกพาลพลขันธ์สักพันห้า
ไปเวียงจันท์เข้าประจญปล้นคามา ชาวชนานั้นพ่ายกระจายพัง
ราษฎรร้อนร้ายด้วยอ้ายฮ่อ มันเที่ยวต่อตีไล่มิไว้หวัง
ที่ไหนสุขรุกร้นปล้นประดัง แล้วก็ตั้งค่ายกองอยู่หนองคาย ๚ะ
๏ ในครั้งนั้นท่านพระยามหาอำมาตย์[๑๔] ไปพิฆาตข้าศึกที่ฮึกหาย
อ้ายฮ่อแหกแตกหนีชีวีวาย วิ่งกระจายเจิ่นพาเข้าป่าไป
รวบรวมพรรคพวกอยู่เป็นหมู่เลี้ยง ที่ทุ่งเชียงคำเก่าเข้าอาศัย
บ้างเลยไปบ้านลาดฮ้วงกระทรวงไพร เที่ยวล้อมไล่รบลาวชาวพนา ๚ะ
๏ ครั้นปีกุนจุลศักราชเสร็จ พันสองร้อยสามสิบเจ็ดได้แจ้งว่า
กองทัพใหญ่ในกรุงศรีอยุธยา ยกขึ้นมาหลายทางวางประจำ
พระยาพิไชย[๑๕]ทับหน้ามาสกัด คุมขนัดทัพหนึ่งดูขึงขำ
ยกมาลาดบวกเกณฑ์เวรประจำ จะตั้งทำยุทธฮ่อที่ก่อการ
แม่ทัพหลวง[๑๖]ล่วงมาตั้งประดังหมาย อยู่ปากลายลำของกองขนาน
กิตติศัพท์ลือดังกังสดาล ออกนามท่านสะท้านกลัวไปทั่วทิศ
ประสาทศักดิ์อรรคมหาเสนาหมาย ว่าการฝ่ายเหนือขาดราชกิจ
มีที่สองรองเรียงอยู่เคียงชิด โปรดประสิทธิ์ศักดิ์สำคัญในสัญญา
บัตรบอกแจ้งแห่งให้ในที่พระ สุริยะภักดี[๑๗]มียศถา
แม่ทัพหลวงให้รับคุมทัพมา เป็นกองหน้านำล่วงหลวงพระบาง ๚ะ
๏ ทัพข้างใต้ตอนหนึ่งมาขึงตั้ง คุมกำลังลัดเลาะค่อยเสาะสาง
สืบข่าวฮ่อรอราดูท่าทาง มาแรมร้างในบุรีราชสีมา
เป็นสามทัพสี่ทางเที่ยวล้างไล่ ทั้งนายไพร่ฮึกแหนมาแน่นหนา
พระยาพิไชยได้ทีก็กรีธา ยกพลาพลขันธ์ประจัญโจร
ธงแดงฮ่อรอรับอยู่คับขัน ออกยืนลั่นปืนยิงบ้างวิ่งโผน
พลสองฝ่ายตายรอบอยู่ขอบโดน อ้ายพวกโจรจีนหลบสงบพัก
ไม่ต่อสู้ทู้ขอทำน้ำพิพัฒน์ โดยความสัตย์เสร็จพร้อมยอมสมัคร
เลิกการยุทธรุดณรงค์คงสำนัก ก็ตั้งพักพลในไพรรำพึง
จีนพวกนี้มิรู้ว่ามาแต่ไหน ชื่อนายใหญ่นั้นประจักษ์ว่าปักอึ้ง
ใช้ธงแดงดาษแดแลตะลึง ลอดทะลึ่งลงมาตั้งแต่ครั้งไร ๚ะ
๏ ครั้นทัพพระสุริยะภักดีล่วง จากเมืองหลวงพระบางมาหาช้าไม่
ถึงลาดบวกลาดฮ้วงกระทรวงไพร พระยาพิไชยแม่ทัพมารับรอง
แล้วชี้แจงแจ้งคดีที่ตีฮ่อ จนมันขอทู้ทำคำสนอง
ถือน้ำพิพัฒน์สัตยาวาจาจอง จะขอปองเป็นข้าอย่าราคี
ท่านพระสุริยะภักดีสดับ ไม่ยอมรับวาจาจังพวกตั้งหนี
สัญชาติฮ่อทรลักษณ์มันภักดี แล้วไม่มีสัตย์ประสงค์ตรงกับใคร
มันจวนตัวก็ทู้อยู่ต่อหน้า พอลับตาตามค้นปล้นอีกใหม่
จะละเลยเฉยตั้งฟังมันไย เร่งพลไพร่พรูตรงตีธงแดง
พวกปักอึ้งตึงตังกำลังเผลอ มัวละเมอไมตรีไม่มีแหนง
ทัพกระโจมเข้าประจัญโรมรันแรง ก็พลัดแพลงผลุนหนีไม่รีรอ
ทั้งสองค่ายทลายแหลกออกแตกพวก ค่ายลาดบวกลาดฮ้วงทิ้งออกวิ่งปร๋อ
ที่เจ็บป่วยไปมิทันฟันเสียพอ แล้วไล่ต่อตามไปมิได้ละ
ถึงทุ่งเชียงคำตั้งกำลังรบ ไม่อพยพย้อนมาคิดอิสระ
เข้าต่อต้านหาญฮึกนึกชนะ มิทันกะพริบตาก็ล่าไป
เที่ยวพันพัวอยู่หัวพันอนันต์แน่น ในเขตแว่นเวียงลำเนาเขาไศล
ครั้นฮ่อแตกแล้วกลับกองทัพไป อ้ายฮ่อไกวซิงหวนกลับทวนมา
พวกลาวพวนจวนตัวกลัวฮ่อจับ ไปต้อนรับทำอารีดีนักหนา
ขออยู่ด้วยช่วยยากฝากกายา เข้าพึ่งพาพิงพักด้วยรักตัว
ฮ่อไกวซินสรรเอาพวนแต่ล้วนเด็ก ไว้หางเจ๊กจัดเล่นเช่นเจ้าสัว
ล้วนแซ่ลาวพวนสะพรั่งตึ้งนั่งซัว เป็นกองตั้วเหี่ยเนื่องอยู่เมืองพวน ๚ะ
๏ พระยาพิไชยได้แจ้งแห่งรหัส ว่าฮ่อจัดจีนลาวทำห้าวหวน
จึ่งแต่งทัพกลับรบมาทบทวน คุมกระบวนบ่ายหน้าเข้าราวี
ตัวนายทัพที่มารอต่อสมร พระนครไทยแต่งตำแหน่งที่
เข้าโรมรุกบุกบันกระชั้นตี สิ้นชีวีวางวายด้วยรายรบ
พวกไพร่พลพ่ายพากันล่าลับ อ้ายฮ่อกลับลุกกระพือฮือตลบ
ลาวพวนไพร่ในเชียงคำเข้าสำทบ เป็นกองรบรวมอยู่ในฮ่อไกวซิง ๚ะ
๏ ฝ่ายยิบไต้ซึ่งตั้งกำลังกล้า อยู่เมืองลาวเขตจุไทยใจสุงสิง
แต่กำลังรุกร้นเที่ยวปล้นชิง ทำใหญ่ยิ่งหยาบยุ่งระลุงลาน
แล้วแยกพวกธงรายกระจายเปลื้อง เป็นธงเหลืองลอบใช้ให้วิตถาร
ตัวนายชื่อลอลีเที่ยวตีลาญ มีพวกพาลใหญ่น้อยสามร้อยคน
เที่ยวคลุกคลีตีรายมาหลายแห่ง ถึงเมืองแถงยกโถมเข้าโจมปล้น
โลยยิดเจ้าเมืองไม่มีไพร่พล ต้องนิ่งทนยอมทู้ให้อยู่เมือง
ฮ่อลอลีมิไว้ใจสนิท จับโลยยิดล้างชีวาตม์ให้ขาดเปลื้อง
พลไพร่ในพาราคณาเนือง ต่างทิ้งเมืองออกหนีจากที่ไป
อพยพยกสิ้นตั้งถิ่นฐาน หาวังม่านมุ่งหน้าไปอาศัย
อยู่เมืองมูนเขตของสิบสองจุไทย หนทางไปสองเวลาต้องราแรง
นอนแรมทางค้างเนินเถินทุเรศ ถิ่นประเทศแถวเนื่องต่อเมืองแถง
เข้าหาวังม่านชี้คดีแสดง อยู่ตำแหน่งสำนักนั้นด้วยกันมา
ตัววังม่านยังมีอยู่ได้รู้จัก เขารับศักดิ์เสริมศรีมียศถา
เป็นผู้รั้งเมืองแถงตั้งแต่งมา ชื่อพระสวามิภักดิ์ประจักษ์ใจ
มีสร้อยเสริมเติมนามสยามเขต ได้ประเวศมากับกองทัพใหญ่
พระสวามาอยู่นั่นในทันใด จึ่งซักไซ้สอบถามเอาความจริง
ว่าเวลานั้นธงเหลืองอยู่เมืองแถง รู้จริงแจ้งจดไว้ได้ทุกสิ่ง
ฮ่อลอลีทำเล่ห์ประเว่ประวิง มาตั้งนิ่งอยู่นานประมาณปี ๚ะ
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้าพารามาลาประเทศ ครองนิเวศวรลักษณ์เป็นศักดิ์ศรี
ดำรงรักษาลาวชาวบุรี นครศรีสัตนาวราเรือง
จึ่งแต่งเจ้าราชวงศ์ทรงพหล ให้คุมพลโยธีตีธงเหลือง
ลอลีแหลกแตกสันอนันต์เนือง ก็ทิ้งเมืองแถงหนีหลบลี้ไป
ตั้งซ่องสุมคุมกันประชันก๊ก เป็นหมู่หมกเมืองลาที่อาศัย
ครั้นฮ่อแตกแหลกกลับกองทัพไป เมืองแถงไร้ร้างที่ไม่มีคน
ลอลีเลาะเสาะไปเที่ยวไต่ถาม ประมาณสามเดือนเศษทราบเหตุผล
ว่าเมืองแถงทิ้งร้างบางตำบล ก็พาพลมาสถานบ้านเชอเลอ
เป็นเขตแคว้นแดนดินถิ่นเมืองแถง เที่ยวตีแย่งชิงปล้นคนเสมอ
ฝ่ายญวนแจ้งแต่งขุนนางต่างอำเภอ สืบเสนอข้อเข็ญที่เป็นมา
ชื่อองค์ตูเข้ามาตั้งยังสถาน ที่วังม่านอยู่อาศัยได้ปรึกษา
รวมพวกพลคนสมัครที่พรรคพา ประมาณห้าร้อยตั้งกำลังแรง
จึ่งยกพวกพลไปด้วยใจหวัง เข้าประดังรบลอลีที่เมืองแถง
เป็นสองวันขันสู้อยู่กลางแปลง ต่างต่อแย้งยิงปืนเสียงครื้นครึก
พวกลอลีหนีพาโยธาแยก ออกตื่นแตกหลีกตัวด้วยกลัวศึก
วังม่านคุมพลไล่ไปคักคึก อึกทึกทัพเนื่องไปเมืองลำ
ลอลีหวนจวนทันประจัญรับ วังม่านทับโถมยิ่งวิ่งถลำ
ถูกลอลีตีอกหกคะมำ ลงล้มคว่ำอยู่กับที่ชีวีวาย
ฮ่อพหลพลไพร่เข้าไพรสาณฑ์ พวกวังม่านสมจิตที่คิดหมาย
เข้าเมืองแถงพักสถานสำราญกาย เป็นสองฝ่ายด้วยองค์ตูอยู่จัดแจง
จึ่งแต่งตั้งวังม่านสารประสงค์ เป็นกายตงรักษาพาราแถง
แต่องค์ตูอยู่ด้วยช่วยจัดแจง ในเขตแขวงนิคามนั้นสามปี ๚ะ
๏ ข้างฝ่ายฮ่อธงเหลืองอยู่เมืองตึก ตั้งคักคึกตัวกวานชื่อม่านยี่
กับยิบไต้ใจต่างทางไมตรี ก็แบ่งรี้พลแยกออกแตกกอง
ม่านยี่ยกพวกพาเข้าอาศัย หาท้าวไลแจ้งจิตที่คิดหมอง
ขอกำลังตั้งรบสมทบกอง ยกพวกพ้องพาเนื่องมาเมืองลา
ตรงเข้าตียิบไต้นายธงเหลือง ด้วยคิดเคืองแค้นขัดสหัสสา
รบกันเองเครงครื้นพื้นสุธา ต่างแตกบ่าบากเบือนเที่ยวเชือนแช
ฝ่ายท้าวไลเห็นกำลังฮ่อพลั้งพล่าน จึ่งแต่งสารขอกองทัพหนองแส
ให้ปราบโจรจีนฮ่อที่กอแก เที่ยวแตกแพร่พรูปล้นพลเมือง
หนองแสแจ้งแต่งพหลพลทหาร มาต่อต้านรณรงค์พวกธงเหลือง
สามร้อยคนพลที่พามาแต่เมือง เข้าหนุนเนื่องสมทบทัพกับไทยไล
นามแม่ทัพหนองแสประสงค์ ชื่อจงทงคุมทัพกำกับไพร่
ม่านยี่ฮ่อนำจงทงยกตรงไป ตียิบไต้ธงเหลืองที่เมืองลา
ส่วนกายตงนั้นก็ตั้งยังเมืองแถง ครั้นได้แจ้งจัดทัพรับอาสา
ยกพหลพลกำลังประดังมา ยังเมืองลาห้อมล้อมเข้าพร้อมกัน
พวกยิบไต้ใจกล้าไม่ว้าหวาด โดยสามารถหมายสู้เป็นคู่ขัน
ทั้งสองฝ่ายตายยับนับอนันต์ ต่างตั้งมั่นทัพพักอยู่สักปี
พลเมืองเคืองเข็ญเห็นวิบัติ จึ่งคิดจัดแจงการส่งสารศรี
ขอกองทัพญวนมาช่วยราวี ปราบไพรีระงับร้อนให้ผ่อนเย็น
เจ้าเมืองญวนครวญใคร่ในลิขิต ว่าฮ่อติดตีแดนสุดแสนเข็ญ
จึ่งจัดคนพลพันสรรประเด็น แต่ล้วนเป็นทหารเก่าเมืองเล่ากาย
ซึ่งแม่ทัพกำกับมาน่าถวิล กวานเล่งบินบอกแจ้งตำแหน่งหมาย
เป็นคนญวนควรร่ำคำภิปราย ทหารรายรณรงค์พวกธงดำ
ทัพญวนได้ไคลคลาเข้ามาถึง ตั้งค่ายขึงแข็งทัพไม่สรรพสำ
พวกยิบไต้ใจเต้นเห็นธงดำ ไม่อาจทำยุทธกิจด้วยคิดกลัว
กวานเล่งบินจินตนาเห็นข้าศึก ไม่คักคึกขนพองสยองหัว
จึ่งเกลี้ยกล่อมยอมสมัครเข้าพักพัว กวาดครอบครัวกลับไปพลันสองพันเลย
ครั้นญวนกลับทัพไปพอไกลที่ ฮ่อที่หนีซุ่มหน้าไม่ช้าเฉย
อีกสักสามร้อยคนไม่ล้นเลย ด้วยเขาเคยข้างพาลสันดานเดียว
หัวหน้านายหมายคงเป็นธงเหลือง ชื่อกอเจียงใจกล้าเหมือนม้าเฉียว
มีฝีมือลือลั่นสนั่นเจียว พาพวกเที่ยวท่องทั่วในหัวพัน
แต่ม่านยี่นี้ท้าวไลให้รักษา คุมโยธาพักพหลพลขันธ์
อยู่เมืองวัดจัดแจงคิดแบ่งปัน ตั้งขอบคันเขตคามตามแต่ใจ
พวกจงทงท้าวไลให้มาสร้าง อยู่เมืองบางแบ่งถิ่นที่ดินให้
ที่แตกสันดั้นดงเข้าพงไป พวกยิบไต้ตั้งเริ่มเป็นเดิมมา
แล้วแยกย้ายผายผันปันเป็นหมู่ เที่ยวตั้งอยู่หย่อมย่านชานพฤกษา
เป็นผู้ร้ายรายปล้นคนไปมา ในอาณาเขตสยามเที่ยวลามลวน ๚ะ
๏ ฝ่ายท้าวไลได้ฮ่อก็รับเลี้ยง สิ้นเสบียงเบือนพักตร์คิดหักหวน
ทั้งขัดทรัพย์จับจ่ายหลายกระบวน จึ่งคิดทวนทบมาหาจงทง
ยืมเงินไปใช้สอยเสียย่อยยับ ไม่คิดกลับคืนตามความประสงค์
กลับให้คนลอบมาฆ่าจงทง ชีวิตปลงปลดเปลื้องอยู่เมืองบาง
พวกไพร่พลยลเหตุสังเกตหมาย มาฆ่านายนึกตามเนื้อความหมาง
ก็ทราบว่าท้าวไลทำใจจาง จึ่งคิดล้างเล่ห์แก้ที่แชเชือน
ไปสถานม่านยี่ที่เมืองวัด แจ้งกระจัดความเล่าตามเค้าเงื่อน
ม่านยี่ทราบปราบจิตคิดสะเทือน ก็ชวนเพื่อนพวกพามาหัวพัน
เข้ารวมรอมพร้อมทัพกับธงเหลือง ฮ่ออาเจืองแจ้งกิจที่ผิดผัน
พร้อมกำลังพังทลายเมืองควายพลัน เข้าประจัญจับกลพวกคบพาล
พวกท้าวขุนวุ่นวายไม่หมายสู้ เข้ายอมทู้ยกดินให้ถิ่นฐาน
ฮ่ออาเจืองเคืองจริงไม่นิ่งนาน ยกล่วงด่านเลยแดนด้วยแค้นใจ
ตีวังม่านที่มาตั้งยังเมืองแถง ได้ต่อแย่งยิงกันอยู่หวั่นไหว
ข้างเมืองควายได้ข่าวว่าท้าวไล คิดขัดใจเจ้าเมืองด้วยเรื่องทู้
จึ่งลอบให้คนมาฆ่าเขาเสีย เพราะเข้าเกลี้ยกล่อมศึกไม่นึกสู้
พวกธงเหลืองหลามล้อมเข้าพร้อมพรู เป็นสองหมู่หมายมาดพิฆาตคึก
ให้โอ้ยซำกำกับเป็นทัพใหญ่ ตีเมืองไลเลยโถมเข้าโจมศึก
ฮ่ออาเจืองตีเมืองแถงว่าแหงฮึก เป็นสองศึกสู้ประดังกำลังแรง
อาเจืองฮ่อต่อติดประชิดรบ ตีตลบล้อมเนื่องเข้าเมืองแถง
พวกวังม่านต้านต่อคิดท้อแรง ทิ้งตำแหน่งหนีหน้าเข้าป่าไป
อาเจืองตั้งยั้งทัพไม่สรรพสำ พวกโอ้ยซำหนุนเนื่องตีเมืองไล
แตกวินาศสาดสรรพด้วยทันใด ตัวท้าวไลหนีเนื่องไปเมืองแต ๚ะ
๏ ฝ่ายวังม่านดาลเดือดไม่เหือดหาย จึ่งทำป้ายเขียนความตามกระแส
ให้คนถือป้ายส่งลงมาแปล ถวายแก่องค์ท้าวเจ้านคร
ซึ่งเป็นใหญ่ในคณามาลาวะ เมืองหลวงพระบางแจ้งแห่งอักษร
ขอให้แต่งกองทัพไปรับรอน อ้ายฮ่อจรโจรจะตั้งเข้านั่งเมือง
แล้ววังม่านพล่านผลุดหลุดทะลึ่ง ไปเต้งฮึงชี้แจงแสดงเรื่อง
ขอทัพญวนชวนพาให้มาเมือง ตีอาเจืองคิดจับให้อับจน
เมืองญวนรับสดับสารวังม่านสิ้น ให้เล่งบินเบิกทัพโดยสับสน
ยกธงดำนำทหารมาราญรณ รีบเร่งพลพาประดังมาตังตึง
นับประมาณพลไม่น้อยหกร้อยเศษ เร่งทุเรศแรมอรัญก็ทันถึง
เข้าเมืองไลตีแหลกฮ่อแตกอึง ไล่ตะบึงหนีระบาดไม่อาจรอ
รักชีวีหนีหน้ามาเมืองแถง เที่ยวแอบแฝงเฝือป่าทำหน้าจ๋อ
กองทัพญวนยกไล่มิได้รอ ไล่ตีต่อรบร่ำกระหน่ำไป
ฮ่ออาเจืองธงเหลืองแตกไม่แยกย้อน มาเมืองซ่อนซุ่มหน้าเที่ยวอาศัย
ธงดำฮึกศึกหาญทะยานใจ ก็ลุยไล่เลยตามความคะนอง
อาเจืองย้ายพ่ายพากันล่าหลบ ไปแอบซบอยู่ห้วยทรายเป็นนายซ่อง
แขวงเมืองพวนพรรคพาคณานอง ได้พวกพ้องสักสี่ร้อยอยู่ดอยดอน
แต่ธงดำทำศึกเหิมฮึกจิต ไล่ตามติดตีธงเหลืองถึงเมืองซ่อน
แล้วรีบกลับทัพไปไม่อาวรณ์ มิได้ผ่อนพักอาศัยอยู่ในแดน
มารวมทัพยับยั้งยังตำแหน่ง ที่เมืองแถงทอดพลพหลแหน
ยกวังม่านเป็นผู้รั้งระวังแดน มีนามแม้นหมายข้างขุนนางญวน
เรียกเจ้าอี้มีตำแหน่งแห่งผู้รั้ง เขาจัดตั้งตามจริตไม่ผิดผวน
พอถูกยุคทุกทบมารบกวน ฝรั่งทวนทัพมาเมืองฮานอย
ทัพธงดำกำลังจัดตั้งแต่ง อยู่เมืองแถงรู้ท่าก็ล่าถอย
ธงเหลืองที่หนีอาศัยอยู่ในดอย ก็ออกลอยนวลปล้นคนหัวพัน
แต่ย้ายแยกแตกกระจายไปหลายหน เที่ยวซอกซนซุ่มป่าพนาสัณฑ์
ในเมืองพวนสวนส่อต่อหัวพัน เที่ยวโรมรันรุกร้นปล้นกันมา
ทั้งสองข้างต่างทวนกันสวนสื่อ จนออกอื้อฉาวฉานนานนักหนา
ราษฎรร้อนรุกทุกทิวา ล่วงเลยมาจนป่านนี้ชี้กระจาย ๚ะ
๏ ฝ่ายอาเจืองเนื่องพาคณาเที่ยว เข้ากลมเกลียวสิงสู่เป็นหมู่หมาย
รวมกับไกวซิงสุขสนุกสบาย แต่ห้วยทรายสืบเนื่องมาเมืองพวน
เป็นสองซ่องท่องเที่ยวเลี้ยวตลบ ปล้นจนจบเจนใจคอยไต่สวน
ราษฎรร้อนสิ้นในดินพวน บ้างหนีป่วนปั่นไปอาศัยรก ๚ะ
๏ ครั้นล่วงมาช้านานประมาณแน่ ปีมะแมเมื่อเป็นเบญจศก
ได้สี่ปีล่วงไปทัพใหญ่ยก ดังจะผกโผนบินบนดินดาน
แม่ทัพใหญ่ในโยธาพระยาราช[๑๘] ถืออำนาจนำพหลพลทหาร
มีข่าวลือชื่อไปในพนานต์ ตั้งการรวมกองอยู่หนองคาย ๚ะ
๏ อีกกองหนึ่งก้าวสกัดยกลัดล่วง จากเมืองหลวงพระบางโดยหมาย
ชื่อแม่ทัพกำกับพลสกลกาย นามภิปรายโปรดมาพระยาพิไชย
ตัวชื่อมิ่งมาม้วยด้วยไข้พิษ ก็เสร็จกิจสูญสุขทุกข์กระษัย
มาเมืองพวนสวนทันกันดังใจ ล้อมค่ายไกวซิงตั้งอยู่รั้งรา
พวกธงลายเหลืออยู่น้อยสามร้อยเศษ ได้คนเขตพวนที่ทู้ออกสู้หน้า
สักสองร้อยคอยรับทัพที่มา ออกตั้งหน้าต่อตีจะหนีไป
เป็นสามารถคาดจะแหวกให้แตกห้อม ทัพใหญ่ล้อมรอบมั่นไม่หวั่นไหว
พระยาราชพิฆาตศึกนึกเอาชัย พลางขับไพร่พร้อมหน้าเข้าราวี
อ้ายฮ่อยิงปืนทยอยคอยโต้แย้ง มาถูกแข้งแม่ทัพใหญ่มิได้หนี
กลับเร่งเร้าให้รีบเข้ากระโจมตี จนแผลที่ถูกปืนปวดเข้ารวดรุม
มาหยุดพักก็สบายพอหายพิษ ศึกก็ติดตั้งรอมรสุม
สิบห้าวันลั่นปืนยืนประชุม ตั้งตะลุมบอนรบสมทบทัพ
แต่พวกฮ่อต่อสู้อยู่ในค่าย ครั้นจะพ่ายพาครัวก็กลัวจับ
จนเต็มอ่อนงอนง้อขอคำนับ ไม่คิดรับรายรอการต่อยุทธ
ท่านแม่ทัพรับว่าถ้าจะทู้ ไม่ต่อสู้แจ้งใจให้ใสสุด
ให้ส่งสรรพสาตราเครื่องอาวุธ สิ้นวิมุตแล้วมาพูดจากัน
ข้างพวกฮ่อก็กริ่งในสิ่งศึก ด้วยใจฮึกหาญจ้วงล่วงถลัน
เมื่อคราวก่อนอ่อนน้อมก็ยอมกัน แล้วกลับหันหาญไล่ดังไฟฮือ
จึ่งหยุดยั้งชั่งใจเห็นไม่แน่ เกรงจะแปรปรวนกลับไม่นับถือ
ก็รอรั้งตั้งราฟังหารือ มิให้รื้อเรื่องรบสงบพล
ประมาณสองเดือนเศษสังเกตนับ จนกองทัพถึงเวลาเข้าหน้าฝน
ขาดเสบียงเลี้ยงทหารที่ราญรณ ต้องยกร่นราทัพถอยกลับไป
พระยาราชนั้นมาอยู่เป็นหมู่หมาย เมืองหนองคายคั่งคับกองทัพใหญ่
ทัพหัวเมืองเนื่องพากันคลาไคล เข้าพักในหลวงพระบางอยู่ค้างแรม
แต่พระยาพิไชยนั้นไปก่อน ทางเมืองซ่อนสืบฮ่อที่ล่อแหลม
ทำแผนที่ชี้สถลเป็นกลแกม เที่ยวสอดแนมสำนักโดนพวกโจรจร
กับพระวิภาคภูวดลเที่ยวด้นดั้น ในอรัญราวประเทศเขตสิงขร
พวกไกวซิงนิ่งการไม่ราญรอน กองทัพจรแล้วจึ่งปล้นกันป่นมา
ความที่รบจบคำพอจำได้ ดูยืดใหญ่ยาวชักนานนักหนา
ฟังออกเฝือเหลือล้นคณนา น่าระอาอึดอกเห็นรกใจ ๚ะ
๏ ยังการที่ล่วงมาเวลาลับ แม้จะนับปีเป็นสามตามสมัย
ระกาเดือนสิบเอ็ดชะดกระจัดใจ ขุนนางในอานัมขานคือกวานธง
มาเกลี้ยกล่อมฮ่อให้ใจสมัคร เป็นพวกพรรคซุ่มอาศัยไพรระหง
ในดินเมืองเต้งแถงแจ้งจำนง ให้คิดคงคืนเขตประเทศญวน ๚ะ
๏ เป็นสิ้นเค้าเล่าข้อที่ฮ่อหลาม เข้าเขตสยามยกเร่จากเสฉวน
เที่ยวสาดสรรจรัลจรายหลายกระบวน ถึงเมืองพวนพวกฮ่อคิดกอแก
ฮ่อที่มาพายุ่งทำสุงสิง คีอไกวซิงเป็นหัวหน้าตาแชแหม
ทั้งสองข้างหมางอุทัยมิได้แล มันมาแส่ส่อหาญทำการรบ ๚ะ
๏ ขอกลับกล่าวสาวต้นนุสนธิ์สวน ที่ในส่วนตัวจริงทุกสิ่งจบ
มาอาศัยในอรัญหัวพันพบ จนได้นบนอบคำนับกองทัพไทย
เมื่อเดิมทีที่จรัลได้ผันผาย จากเล่ากายเกิดการเป็นปานไฝ
เล่นน้ำเต้าปูปลาประสาใจ ก็ประลัยเสียล้นจนพ้นตัว
ออกหนีมาแปดคนเที่ยวด้นดั้น พาหัวพันเที่ยวพาลเพราะการชั่ว
มีอาวุธยุทธกรรมประจำตัว เข้าพันพัวพักประเทศเขตจุไทย
ถึงเมืองลารารอนเข้าผ่อนพัก ในสำนักฮ่อที่ลือชื่อยิบไต้
ใช้ธงเหลืองสำหรับกองทัพชัย เที่ยวล้างไล่ตีปล้นตำบลราย
ได้เงินตรามาด้วยกันสองพันบาท จึ่งคลาคลาดแยกถิ่นซื้อฝิ่นขาย
ไปสำนักปักอึ้งถึงหนองคาย ได้จำหน่ายเนื้อฝิ่นจนสิ้นไป
แล้วเลยอยู่สู่หาคณาเนื่อง ด้วยธงเหลืองละเลิงจิตพิสมัย
ประมาณปีเศษสุขสนุกใจ ไม่มีภัยพาลามาระคาย ๚ะ
๏ พอกองทัพท่านพระยามหาอำมาตย์ ตีพินาศหนีแตกออกแหลกหลาย
ข้าพเจ้าเล่าก็กลัวตัวจะตาย พาพวกพ่ายหนีเนื่องมาเมืองลา
เงินจำหน่ายขายฝิ่นก็สิ้นสุด ทุนกลับหลุดลอยขาดวาสนา
ต้องกลับอยู่กับยิบไต้ในเมืองลา สามเดือนกว่าเกิดการดาลฤดี
ฮ่อยิบไต้ใจเคืองพวกเมืองตึก แล้วทำศึกต่อต้านด้วยม่านยี่
เจ้าเมืองไลไปแจ้งแห่งคดี ขอโยธีทัพใหญ่ในอานัม
มาราญรอต่อณรงค์ด้วยธงเหลือง อนันต์เนื่องกองทัพมาสรรพสำ
ทหารญวนล้วนแต่พลคนธงดำ ยิบไต้นำพลเข้าทู้ไม่สู้รบ
กวานเล่งบินยินดีแล้วลีลาศ จึ่งให้กวาดฮ่อไปไล่ตลบ
สองพันคนเศษรับเข้าทัพทบ ยกพยบพวกพาไปธานี
แต่ข้าเจ้าเล่าคิดกลัวด้วยตัวผิด เพราะโทษคิดคบพากันล่าหนี
แม้นกลับไปไหนจะปลอดรอดชีวี เพราะโทษมีอยู่กับตัวจึงกลัวภัย
หลีกหนีออกซอกซนไม่ปนแปด มาสบแอดออกหาที่อาศัย
พบอาเจืองฮ่อโจรทะโมนไพร ก็พร้อมใจบรรจบเข้าทบกัน
แล้วอาเจืองพาจรเที่ยวร่อนร่าย ไปห้วยทรายตามจิตคิดกระสัน
แล้วกวานทงลงมาพาไปพลัน เข้าสู่คันขอบเขตประเทศญวน
ข้าพเจ้ามิเต็มใจจะไปด้วย ก็ออกป่วยเป็นบิดด้วยจิตหวน
มีพวกห้าสิบคนปนประมวล จากเมืองพวนพักหมู่อยู่หัวพัน
ในเมืองแอดแวดระวังคิดตั้งค่าย เป็นสองฝ่ายแบ่งคนพลขันธ์
ตั้งที่บ้านนาปาท่าประจันต์ บ้านใดนั้นที่อยู่พวกหมู่พล
เพราะจีนฮ่อกอไต้ได้อยู่ก่อน จึ่งคิดผ่อนผันจัดเพื่อขัดสน
เป็นสองพวกพักทหารไว้ราญรณ อยู่ตำบลนั้นมาเป็นช้านาน
ถึงปีวอกจัตวาที่ตราศก ท้าวโต้ยกพวกพหลพลทหาร
มาตีค่ายรายกำลังเข้าตั้งการ แทบจะทานทัพไว้มิใคร่ทัน
ด้วยไพร่พลข้าพเจ้าเล่าก็น้อย คิดจะถอยทัพไปเข้าไพรสัณฑ์
พอพวกฮ่อเมืองฮุงทวนสวนมาทัน จึ่งได้มั่นมุ่งหน้าเข้าราวี
ท้าวโต้หาญราญแรงกำแหงหุน ถูกกระสุนปืนพับอยู่กับที่
พลก็แตกแหลกลาญไม่ต้านตี พากันหนีหลบลับไม่กลับมา ๚ะ
๏ เลิกศึกสองเดือนเศษทราบเหตุแจ้ง องค์บาแบ่งถิ่นพิทักษ์ให้รักษา
แขวงหัวพันคนไว้ให้สัญญา แม้มีข้าศึกรบมาทบกัน
ครั้นอยู่มาปีระกาเดือนสิบสอง องค์บาข้องขุ่นคิดจิตกระสัน
ให้องค์ทั่งทั้งข้าเจ้าเข้าด้วยกัน ไปประจัญจับผู้รั้งยังเมืองพูน
ทั้งเมืองแวนเมืองโสยเมืองซำไต้ พิฆาตให้แตกวินาศไปขาดสูญ
เวลานั้นสันกำลังตั้งประมูล ได้เพิ่มพูนพลลาวชาวผู้ไทย
พวกองเมืององค์บาห้าร้อยเศษ ทั้งพลเขตโขดเขาเนาไศล
คือข่าแจะที่เป็นเจืองมันเคืองใจ มาเข้าในพวกเดียวกันเกลียวกลม
พอทราบศัพท์ว่ากองทัพยกมาใหญ่ ตีบ้านใดฮ่อแตกลงแหลกล่ม
ข้าเจ้ากลับทัพมาทู้อยู่นิยม ในนิคมเขตจังหวัดปัถพิน
เมื่อเดือนแปดปีจออัฐศก พฤหัสบดิ์ตกแรมหวังดังถวิล
สิบสี่ค่ำจำตริปฏิทิน หมดระบิลบอกประมาณการในตัว
แต่เข้ามาอาศัยในจังหวัด อมรรัตน์รมเยศประเทศทั่ว
สิบสามปีมีมั่นไม่พันพัว ได้ตั้งตัวครองสถานอยู่บ้านใด
มีขุนนางข้างญวนมาชวนชัก ออกคุมพรรคพวกพลด้นไศล
ชื่อไตซันคิดแค้นแน่นในใจ คอยลอบไล่ล้างทำลายนายกุลา
เป็นสองพวกคุมพลเที่ยวด้นดัก ด้วยจิตรักเจ้านายหมายอาสา
เกลี้ยกล่อมใจให้ข้าเจ้าเข้าพักพา จะแต่งตราตั้งกำหนดให้ยศมี
มอบให้พักสมัครมั่นหัวพันหก เป็นต้นก๊กกะเขตประเทศที่
ส่วนองค์บารักษาแว่นแคว้นบุรี ในถิ่นที่ประเทศทางข้างจุไทย
ความในตราว่าให้ตั้งระวังอยู่ ถ้าต่อสู้ฝรั่งเศสเป็นเหตุใหญ่
จงจัดทัพขับขันโดยทันใด เร่งยกไปรอญราญการณรงค์
ข้าพเจ้าแจ้งแห่งเหตุประเทศนี้ มิใช่ที่ถิ่นญวนไม่ควรหลง
เป็นเขตหลวงพระบางคิดในจิตจง จึ่งไม่ปลงวิญญาสามิภักดิ์
ข้าพเจ้านับองค์บาปรึกษาพร้อม เข้าขอยอมเป็นข้าอาณาจักร
รับฟังบทกฎหมายไม่ย้ายยัก ยึดเป็นหลักมั่นแน่ไม่แปรปรวน
คิดสละละรั่วไม่มัวหมาย ทำหยาบคายคดคิดให้ผิดผวน
จะรวมพวกพ้องพามาประมวล มิให้กวนก่อเข็ญเหมือนเป็นมา
เป็นความสัตย์จังจริงทุกสิ่งสม ไม่นิยมยินร้ายให้ขายหน้า
ควรมิควรแล้วแต่โปรดโทษอาชญา ขอพระบารมีกั้นสรรพภัย ๚ะ
๏ เป็นหมดความนามที่ฮ่อมาต่อหาญ ได้ทราบสารสิ้นลงไม่สงสัย
แล้วจัดกิจคิดการงานที่ไป กองทัพใหญ่จะยกเดินเนินพนานต์
พวกท้าวขุนที่จะมารับตราตั้ง ให้กลับยังที่อาศัยเข้าไพรสาณฑ์
จัดครอบครัวมั่วหมู่สู่สำราญ กำหนดการที่จะพบประสบกัน
ในเดือนสี่ปีจอรอให้พร้อม มารวมรอมรีบรัดได้จัดสรร
ในนครหลวงพระบางทางจำนรรจ์ ทุกหัวพันสั่งกำหนดพจนา
แล้วจัดพระพาหนให้ไปสมทบ เข้าบรรจบกันกับกองทัพหน้า
ถึงบ้านใดให้เรียกองค์บามา ทำสัจจาแจ้งประจักษ์ตามภักดี
แล้วเลยลัดตัดเนื่องไปเมืองแถง ท่านชี้แจงจัดกระบวนให้ถ้วนถี่
กะเป็นหมวดตรวจจังหวัดปัถพี แบ่งหน้าที่เดินทบบรรจบทัพ
กองทัพใหญ่ให้พระอินทแสนแสง ไปเมืองแถงทำค่ายไว้สำหรับ
ขุนนางลาวท้าวแสนแน่นคำนับ ไปกำกับกะวางฉางเสบียง
ต่างล่วงลัดดัดดั้นอรัญเวศ โดยประเทศทางทุรัศฉวัดเฉวียง
กองทัพใหญ่แยกพหลพลลำเลียง พอพร้อมเพรียงโยธาก็คลาไคล
แรมแปดค่ำพฤหัสบดิ์เดือนสิบสอง ก็ยกกองทัพเดินเนินไศล
ไปเมืองแถงทางพ้องสิบสองจุไทย ปราบท้าวไล่พ่อลูกที่ปลูกพาล ๚ะ
๏ พวกชาวเมืองเนื่องพากันมาส่ง ด้วยจิตจงผูกใจปราศรัยสาร
ทั้งชายหญิงวิ่งวนมาลนลาน หมดทั้งบ้านบ่นพึมเสียงครึมครวญ
ด้วยได้หนุนจุนเจือเมื่อพักทัพ ครั้นจะกลับตรอมใจอาลัยหวน
มาส่งเสียเคลียคลอดูรอรวน ตามกระบวนทัพมาด้วยอาลัย
พอเบี่ยงบ่ายชายศรีชะนีโหน ถึงบ้านโงนหยุดโยธาเข้าอาศัย
กลางทุ่งนาว้าเวิงกระเจิงใจ อนาถในทรวงสะท้อนลงนอนเพียง
พวกสาวสาวชาวเมืองซ่อนที่จรส่ง ยังพะวงเวียนเว้ากระเส่าเสียง
ละห้อยละเหี่ยเคลียคลออยู่รอเรียง สำออยเอียงอิดออดทอดระทวย
ผูกอาลัยใจคอท้อระทด ไม่ปลิดปลดเปลื้องปละทำระหวย
ละล่ำละลักชักพะวงให้งงงวย แทบมาด้วยทัพไทยอาลัยเลือน
รื่นอารมณ์ลมวอนสุนทรไข สาวผู้ไทยทีสนิททำอิดเอื้อน
เจ้าคารี้สีคารมเฝ้าชมเชือน เหมือนแกล้งเตือนจิตตันถึงขวัญใจ
ฝีปากลาวกล่าวมวลไม่ชวนชื่น เหมือนหนึ่งกลืนข้าวกับเกลือพอเจือไส้
มาปันจิ้มลิ้มลองไม่ต้องใจ นั่งพิไรร่ำแคะพูดและเลียม
จนดึกดาวพราวพร่างขึ้นกลางหน ต้องนิ่งทนทุกข์ระทึกให้นึกเหนียม
จะชี้แจงแพลงพลิกกระดิกกระเดียม นิ่งเสงี่ยมนอนตรมแทบงมงง
จนรุ่งรางสร่างศรีสุริยาตร ก็ลีลาศลาไปอาลัยหลง
แล้วซํ้าขานสารสั่งสัจจังจง ตั้งใจส่งสุดเนตรเทวษวอน
ยังหยุดยืนยื่นชายสไบสะบัด โดยประหวัดหวังในหทัยถอน
แล้วล่วงลัดตัดตรงเข้าดงดอน ทรวงสะท้อนถอนในใจรัญจวน
แต่สาวสาวลาวผู้ไทยมิใช่มิตร ยังผูกจิตใจกระสันคิดหันหวน
ทำระทดสลดใจอาลัยครวญ คิดถึงนวลนุชนาฏเมื่อคลาดคลา
คิดอาลัยใจจำรีบร่ำรุด ไม่สมสุดโศกสร้อยละห้อยหา
ถึงทางแยกแผกผันตันอุรา ออกจากผาตั้งตัดค่อยลัดแลง
ขึ้นบนเนินเดินดาลให้รานร้าว เป็นเหน็บหนาวนั่งอาชาจนขาแข็ง
ลงหุบเขาข้ามลำห้วยน้ำแซง บอกตำแหน่งสำนักที่พักพล
จงจดจำคำข้อจะขอกล่าว ถึงห้วยตาวตั้งทัพอยู่สับสน
ไปห้วยแบนแสนเศร้าเปล่ากระมล มีตำบลบ้านแม้วในแถวทาง
ปลูกเรือนรายชายป่ากั้นฝาทึบ ถึงห้วยฮึบหวนจิตคิดขนาง
ล้วนซอกซุ้มคลุมเครือเหลือระคาง เห็นรอยกวางวิ่งโลดกระโดดดง
นึกเกรงสัตว์จัตุบทสยดสยอง โลดลำพองเผ่นในไพรระหง
มาพาลพบขบกัดตัดชีวง มิได้คงคืนกลับจะอับปาง
พลางรำจวนป่วนใจในไพรสาณฑ์ ถึงห้วยลานแลบังที่ตั้งฉาง
อยู่ริมห้วยกรวยกรอกที่ซอกทาง จังหวัดหว่างเวิ้งผาพฤกษาราย
จึ่งยั้งทัพสำนักเนาเบิกข้าวสาร จ่ายทหารทั่วหมวดที่ตรวจหมาย
แล้วจัดตั้งกำลังพลสกนธ์กาย หัวหน้านายนำขนัดหลวงดัสกร
คุมพหลพลรบพอครบร้อย ยกข้ามดอยตรงดิ่งขึ้นสิงขร
ไปเมืองแถงแจ้งการจะราญรอน ให้พวกจรโจรระวังคอยตั้งรบ
หลวงดัสกรก้มคำนับรับคำสั่ง พร้อมสะพรั่งนายไพร่ไม่หลีกหลบ
ดูเหิมฮึกคึกจิตคิดแต่รบ พอจวนพลบยกทัพล่วงลับไป
ครั้นรุ่งรังสีวิโรจน์ขึ้นโชติช่วง กองทัพล่วงยกตามข้ามไศล
ลงลุยธารท่องกระสินธุ์ในถิ่นไพร เย็นจับใจจนเนื้อชาเอาผ้าคลุม
เมื่อหนาวนักพักทางที่ข้างห้วย ประชุมช่วยก่อไฟหักไม้สุม
ผิงสกนธ์ลนเพลิงระเริงรุม ที่เปียกชุ่มชลแห้งค่อยแบ่งเบา
ขึ้นจากห้วยกรวยโกรกวิโยคย้าย ย่างตะกายหอบสกนธ์ขึ้นบนเขา
ยลกำยานชานผาพนาเนา ต้นสะเพร่าพรูผลัดระบัดใบ
จรดลต้นทางมากลางป่า เห็นกาน้าเหลืองผลหล่นไสว
กำลังบอบหอบหวนรัญจวนใจ ก็เก็บใส่โอษฐ์กล้ำกลืนน้ำลาย
ค่อยเลียบเดินเนินคีรีถึงที่พัก เรียกห้วยหมักหมายถิ่นกระสินธุ์สาย
เห็นพลับจีนปีนต้นทุรนทุราย เข้าตะกายเก็บผลเสียงอลอึง
ตำบลนี้ที่ทางดูกว้างใหญ่ เป็นชายไพรรื่นรวยเรียกห้วยผึ้ง
ชลาลัยไหลรินถิ่นสำคะนึง แลดูซึ้งเย็นเสียวนึกเปลี่ยวใจ
ทุกสำนักพักพลดลกระแส ถึงบ้านแส้ไพรสาณฑ์เขาขานไข
ประชาชาวลาวพลปนผู้ไทย ที่พักไว้วางเสบียงไม่เลี่ยงลัด
เบิกข้าวจ่ายรายตัวถ้วนทั่วหมด แล้วก็บทจรไปในขนัด
สุดจะยลผลระย้าในป่าชัฏ ไม่แจ้งจัดจนใจพิไรพิศ
ข้ามเขาเขินเนินอรัญเป็นหลั่นลูก มีจมูกไม่ใช้หายใจหวิด
อ้าโอษฐ์ช่วยด้วยอีกช่องยังข้องคิด ถึงห้วยอิดอ่อนใจลงไปลุย
ล้วนศิลารารายสายกระสินธุ์ มีไคลหินห้อยผูกเหมือนลูกรุ่ย
ที่ลำลาบคราบไคลครรไลลุย น้ำกระจุยลื่นล้มลงจมชล
อันห้วยอิดคิดคำจำให้ชัด เขาช่างจัดจองนามเห็นงามสม
แต่ดั้นเดินเนินไพรในพนม ไม่ระทมท้อเหมือนที่ห้วยนี้จริง
เช้าจนค่ำร่ำรุดไม่หยุดย่าง ยังต้องค้างคืนอ่อนลงนอนนิ่ง
บอบระบมตรมจิตคิดประวิง เห็นสุดสิ่งที่จะสรรพรรณนา
จะขี่ขับมโนมัยให้ไคลคลาด ก็มักพลาดพลำเพลียแทบเสียขา
ค่อยด้นดัดตัดเนื่องเข้าเมืองยา หยุดกลางนานั่งเหงาให้เศร้าทรวง
เป็นที่วางฉางเสบียงไว้เลี้ยงไพร่ เขาจัดไว้วางรับกองทัพหลวง
เป็นระยะกะการงานทั้งปวง แล้วลัดล่วงเลียบยลพลเมือง
ชาวประชาเป็นภาษาผู้ไทยแท้ นับถือแซ่สืบวงศ์ไม่ปลงเปลื้อง
ชายแต่งร่างอย่างญวนล้วนชาวเมือง แต่หญิงเยื้องมาข้างลาวพุงขาวคง
ตำบลบ้านดาลดอยดูลอยตั้ง สิบสามหลังแลพินิจพิศวง
ทำคอกตั้งขังไก่ใส่ลูกกรง กลัวเสือดงด้อมมาคว้าไปกิน
แล้วเดินทางกลางนาป่าละเมาะ ล้วนซึ่งเซาะซอกธารละหานหิน
ถึงห้วยแฮะแวะสำนักพักโยธิน ด้วยใกล้ถิ่นแถงตั้งหยุดฟังการ
พอหลวงดัสกรปลาตองอาจรบ ให้คนนบนอบถือหนังสือสาร
มาเรียนเค้าเล่าคิดในกิจการ พอท่านอ่านออกระบิลได้ยินยล
ว่าการรบจบเสร็จสำเร็จร่ำ ได้ตัวคำสามมาแจ้งแสดงผล
ไม่ฝ่าฝืนขืนข้อทรชน มีกระมลมุ่งคำนับไม่รับรบ
ท่านทราบสิ้นจึ่งสั่งให้ตั้งทัพ เป็นลำดับเดินตรวจทุกหมวดจบ
ด้วยมิไว้ใจมันเคยขันรบ ทำทวนทบหลอนหลอกมาออกนุง
แล้วเดินทัพขับทหารขนานหน้า พระสวานำทางมากลางทุ่ง
เป็นชายป่านารั้งดูรังรุง ช่างคดคุ้งข้ามลำห้วยน้ำนัว
มีป่าไผ่ไพรพงเป็นดงทึบ แลสะพรึบพราวตาฟ้าสลัว
ไปสักโมงหนึ่งยืดเป็นพืชพัว จึ่งเห็นทั่วทุ่งทางออกกลางนา
มีตำบลชนอยู่หมู่กระท่อม อยู่เป็นหย่อมโรเรตั้งเคหา
แห่งละห้าหกหลังเหมือนรังกา ล้วนทุ่งนาร้อนแดดแผดรัญจวน
พอสุริย์ฉายบ่ายศรีรวีแสง ถึงเมืองแถงถอนในฤทัยหวน
ระบมแดดแผดในใจรัญจวน เดินกระบวนบุกทางมากลางวัน
หลวงดัสกรจรทวนสวนสนาม พาคำสามกับพหลพลขันธ์
มาคำนับรับรายชายอรัญ พอจวบกันที่ริมข้างหนทางจร
จึงให้นำคำสามไปค่ายสำนัก ทั้งพวกพรรคพลไพร่ให้ไปก่อน
ไม่อยากรับคำนับไหว้ที่ในดอน หลวงดัสกรพากลับไปฉับไว
แล้วยกตามข้ามทางออกกลางทุ่ง เขม้นมุ่งตามมาหาช้าไม่
เข้าหยุดพักพวกพลสกลไกร ที่ค่ายใหญ่ชื่อขัวลายก็รายพล
มาถึงนั่นวันพุธสุทธิ์สวัสดิ์ ปีจออัฐศกแจ้งแห่งนุสนธิ์
เดือนอ้ายขึ้นหกค่ำถึงตำบล ตั้งกระมลมุ่งชี้คดีแสดง
เมื่อเดินทัพรับยุบลนุสนธิ์สื่อ ต้นหนังสือพระอินทแสนแสง
กับขุนนางข้างลาวกล่าวแสดง มีนามแจ้งว่าพระยาเมืองขวาซ้าย
ซึ่งล่วงหน้ามาตั้งยังเมืองแถง ได้ทราบแจ้งใจหมดจึ่งจดหมาย
ว่าคำสามคำล่าหัวหน้านาย กับน้องชายชื่อบังเบียนเสี้ยนศัตรู
เป็นบุตรเจ้าเมืองไลใจฉกาจ มันมาอาจหาญจิตจะคิดสู้
คุมกำลังตั้งรายทำค่ายคู เป็นหมู่หมู่มุ่งเมียงอยู่เชียงจัน
จากขัวลายหมายนาฬิกาหนึ่ง ตั้งค่ายขึงขุดเพลาะไว้เหมาะมั่น
ทหารฮ่อรอรบเข้าทบกัน แต่ล้วนกลั่นกล้าหาญการณรงค์
ทำแยบคายรายรองประคองประคับ มาคำนับนอบชิดพิศวง
ดูทีลวงล้วงไส้จะให้งง ต้องพะวงคอยระวังไม่หวังใจ
จึ่งน้าวโน้มโลมล้อมถนอมสนิท จนชอบชิดชวนมาพูดปราศรัย
ไม่สะเทิ้นเมินหมางให้จางใจ แต่ดูในจิตเห็นจะเป็นกล
คอยดูเชิงเริงรายอยู่ค่ายรบ ไม่กระทบให้กระทั่งฟังเหตุผล
มันก็มาหาสู่อยู่ทุกคน จะกล่อมจนทัพใหญ่ได้ถึงเมือง ๚ะ
๏ ครั้นกองทัพยับยั้งเข้าตั้งค่าย ทำยืนรายเรียบทหารขนานเนื่อง
ทำสง่าท่าทางย่างชำเลือง อย่างเจ้าเมืองเอกอำนาจราชฤทธิ์
ถืออาวุธปืนกระสันล้วนกลั่นกล้า ดูทีท่าโตเติบกำเริบจิต
สวมเสื้อกั๊กสักหลาดแลผาดพิศ ยี่ห้อติดเรียบริ้วเหมือนงิ้วโว
ดูอาจหาญทะยานทะเยอทำเย่อหยิ่ง เห็นกรุ้งกริ่งหนักนักชักโมโห
จึ่งให้จับปรับเล่ห์พวกเฉโก ที่ทำโตเต็มท่าการทารุณ
ทั้งคำสามคำฮุยแลคำล่า ขนานหน้านิกรเหล่าพวกท้าวขุน
ให้สมจิตที่มันคิดเนรคุณ ริบเป็นจุณจนเกลี้ยงถึงเชียงจัน
รื้อหอรบทบทัพลงยับสิ้น ชั้นมูลดินดูราบดังสาปสัน
พลทหารที่มาห้อมล้อมนายมัน ก็แตกกันหนีหน้าเข้าป่าไป
เก็บสาตราอาวุธได้สุดสิ้น สมถวิลหวังลงสิ้นสงสัย
มีจำนวนถ้วนทัดกระจัดใจ ปืนสะไนเดอร์สิบสามตามบาญชี
ปืนอินฟินแปดสิบบอกที่นอกนั้น ริมิงตันสิบสองจดหมดถ้วนถี่
วินเชสเตอร์สองรางเป็นอย่างดี ปืนแฮรีหนึ่งคู่เชิดชูพักตร์
ปืนสั้นสองจองจดไม่หมดท่า คาบศิลาอีกหนึ่งพึงประจักษ์
รวมได้ร้อยสิบเอ็ดบอกไม่ยอกยัก เอาเก็บรักษาไว้ดังใจจง
ปัสตันของมันมีมิใช่น้อย พันสามร้อยยี่สิบสี่บาญชีส่ง
มีดาบง้าวยาวสองคู่ชูณรงค์ กับทวนธงรบเสร็จสิบเจ็ดคัน ๚ะ
๏ ครั้นจัดเสร็จเผด็จศึกที่ฮึกหาญ จึ่งจัดการเมืองแถงให้แข็งขัน
เรียกเพี้ยท้าวผู้ไทยล้อมมาพร้อมกัน ให้รำพันบอกเรื่องพวกเมืองไล
ต่างนอบนบเคารพรับสดับสาร ชุลีลานเล่าแจ้งแถลงไข
รำพันว่าทัพเจ้าเหล่าผู้ไทย ได้อาศัยสุขสถานอยู่นานมา
จะนับแซ่แลตระกูลประยูรญาติ ก็หลายชาติช้าอยู่แต่ปูย่า
ประกอบกรรมทำไร่แลไถนา โดยบุรพาเภทภัยมิได้พาน
ครั้นอยู่มาปีไรไม่กระจัด ท้าวไลลัดล่วงเขตประเทศสถาน
มาบังคับจับจองตั้งกองพาล เป็นเจ้าบ้านเบียนชนออกป่นไป
เกณฑ์เอาเงินกะเอางานทำราญราษฎร์ ไม่สมมาดมันฆ่าไม่ปราศรัย
เก็บเอาข้าวส่งเนื่องไปเมืองไล แล้วจัดให้บังเบียนมารักษาบุรี
มันกะเกณฑ์เวรเอาข้าวไม่ขาด บ้างออกลาศหลบล่าเข้าป่าหนี
ที่ทนอยู่สู้เวรเกณฑ์ทวี ขึ้นทุกปีป่นไปมิได้ลด
ครั้งนี้เป็นบุญสนุนสนับ มีกองทัพใหญ่มาให้ปรากฏ
ปราบคนพาลสันดานช่อทรยศ ขอให้หมดสิ้นพ้นพวกคนพาล ๚ะ
๏ ฟังถ้อยคำร่ำบ่นทุกคนแจ้ง มันช่างแกล้งเคี่ยวเข็ญเห็นส่งสาร
เป็นหลายปีมีกรรมน่ารำคาญ เหมือนเกิดการปลุกปล้นคนทั้งปวง
พ่อมันปล้นแล้วมิหนำยังซํ้าลูก ช่างดูถูกท้าวขุนนางข้างเมืองหลวง
ให้หาตัวไปจะห้ามความทั้งปวง แกล้งหนักหน่วงนัดเนิ่นให้เกินไป
ถึงเดือนนี้ปีนั้นจะพลันเฝ้า แล้วก็เปล่าปลิ้นปล้อนหลอกหลอนให้
มาล่วงถิ่นหมิ่นการทะยานใจ แม้นนิ่งไว้วันนานจะราญแรง
ถึงคราวนี้ที่มันมาสามิภักดิ์ ก็ทำศักดิ์สูงจัดเหมือนขัดแข็ง
มีทหารขานหน้าดูร่าแรง เหมือนจะแข่งคู่ศึกคึกคะนอง
จึ่งต้องจับปรับทัณฑ์ที่มันหมิ่น มาล่วงถิ่นทำการหาญจองหอง
ให้สมสาที่มันมาเข้าครอบครอง ตั้งเป็นกองโกงไพร่อยู่ในแดน
แต่ท้าวไลไปอยู่แม่น้ำแท้ ก็นอกแควแขวงด่านจะหาญแหน
ไปจับมาปราบปรามก็ข้ามแดน มิใช่แคว้นเขตข้างทางจุไทย
แต่ท้าวขุนที่เป็นข้าอาณาจักร ตั้งใจรักษากิจพิสมัย
แม้นไปโลมโน้มน้าวด้วยท้าวไล จะปรับให้โทษถึงกาลลาญชีวี
ที่เมืองแถงจะแต่งให้พระสวา มิภักดิ์สยามาเขตพิเศษศรี
อยู่ดำรงคงรักษาประชาชี โดยคดีดังคิดกิจการ
แล้วเกณฑ์คนพลไพร่ในประเทศ อยู่ในเขตนั้นมาจัดหัดทหาร
สำหรับรักษาเมืองเรืองสำราญ ออกตรวจด่านแดนระวังการทั้งปวง
แต่งขุนนางลาวให้ดูอยู่รักษา กำกับว่าการเป็นเช่นข้าหลวง
ได้ปราบเข็ญเป็นสุขทุกกระทรวง จนลุล่วงตลอดเหตุเขตนิคม ๚ะ
๏ ดูพื้นดินถิ่นสถานบ้านเมืองแถง มีเขตแขวงใหญ่กว้างน่าสร้างสม
เป็นทุ่งรื่นพื้นสถานสำราญรมย์ เนินพนมนั้นห่างหว่างพนานต์
มีท่าทางวางคนพลรบ ที่กระทบท่าสำนักเป็นหลักฐาน
เห็นภูมิพื้นรื่นแท้ให้แลลาน แล้วเข้าบ้านเชียงแลเที่ยวแชชม
เห็นเนินแนวแถวที่เป็นสี่เหลี่ยม ดูสูงเยี่ยมอย่างคีรินมูลดินถม
ปลูกกอไผ่ไว้รอบขอบนิคม เป็นของนมนานร้างเขาสร้างมา
เหลี่ยมหนึ่งยาวราวการประมาณเห็น สักหกเส้นสมหวังไม่กังขา
สูงเชิงเทินประเมินตามสักสามวา มีชลาไหลหลั่นเป็นขั้นคู
ท่านแม่ทัพทัศนาเห็นหนาแน่น เป็นปึกแผ่นผูกพักอีกอักขู
อยู่ริมน้ำยมน่าชมชู จึ่งเกณฑ์หมู่พลถางดูกว้างครัน
แล้วมาตั้งค่ายใหญ่ในสำนัก เข้าพร้อมพรักพวกพหลพลขันธ์
ราษฎรเดิมอยู่หมู่เชียงจัน ก็พากันมาอยู่ในค่ายเชียงแล
ต่างยินดีปรีดิ์เปรมเกษมสุข ฟังสนุกสำเนียงขานประสานแซ่
ผู้ไทยลาวลื้อข่ามากอแก สำนวนแปรปรวนไม่แจ้งแห่งคดี
อันเรื่องรบก็สงบเงียบระงับ กิตติศัพท์ฟังแจ้งทุกแห่งที่
ถึงเมืองม่วยเมืองลาเขตธานี ว่ายังมีพวกเจ๊กชื่อเต๊กเซง
มาตั้งอยู่หมู่ใหญ่มิใช่น้อย สักหกร้อยราญรัวล้วนตัวเส็ง
ใช้ธงดำร่ำลือชื่อระเบ็ง เป็นตัวเก่งประกอบกิจชนิดพาล
มีแซ่เหล่าเผ่าที่พากันอาศัย พวกกวางไชยเคยศึกเหิมฮึกหาญ
เดิมท้าวไลได้ชักนำมาทำการ จ้างให้ราญราวีตีเมืองจัน
ข้างฝ่ายเจ้าเมืองจันก็ขันรับ ออกตีทัพท้าวไลมิได้พรั่น
เต๊กเซงแตกแหลกยับหนีกลับพลัน มาตั้งมั่นหมู่พลดลประดัง
เงินค่าจ้างค้างติดไม่คิดใช้ ท้าวไลให้ที่ถิ่นแผ่นดินตั้ง
เป็นหักหายขายทำแต่ลำพัง ฮ่อจึ่งตั้งต่อตามล่อลามมา
ครั้นทราบว่าทัพใหญ่ได้มาปราบ พวกที่หยาบหยามจิตริษยา
น่าสมัครพรรคพลดั้นด้นมา จากเมืองลาเข้าคำนับแม่ทัพชัย
เล่าแถลงแจ้งความตามแต่ต้น เหมือนอย่างยลยินคำที่ร่ำไข
ไม่เหิมฮึกรู้สึกตัวด้วยกลัวภัย เช่นท้าวไลลำพองพาลหาญผจญ
จะขออยู่เป็นข้าอาณาจักร เข้าพึ่งภักดิ์โดยสวัสดิ์พิพัฒน์ผล
ให้สัญญาสาบานประจานตน ทุกทุกคนเหมือนแต่เก่าที่เล่ามา ๚ะ
๏ พอกองทัพเมืองแอดมาพระพาหล คุมพวกพลพร้อมพรักเป็นนักหนา
กับเจ้าราชภาคิไนยก็ไคลคลา นำคณาฮ่อทู้มากรูกรี
ล้วนต้นเถาที่เข้าสวามิภักดิ์ ยอมสมัครหมายมุ่งมากรุงศรี
มารวมพร้อมที่แม่ทัพสดับคดี รออยู่ที่ค่ายตั้งคอยฟังตรา ๚ะ
๏ แล้วเที่ยวยลชนประชาที่อาศัย ล้วนผู้ไทยแถวทางต่างภาษา
เป็นลาวเหนือเหลือจดพจนา แต่งกายายลแปลกคล้ายแขกครัว
ช่างแต่งเศียรเคียนเกศาเอาผ้าโปะ เช่นกับโต๊ะตึกขาวทำหนาวหัว
นุ่งห่มเห็นเช่นอานัมทำพันพัว แต่หญิงกลั้วกล้ำกรายอยู่ฝ่ายลาว
เป็นหนึ่งดังหวังในฤทัยถวิล ยังนุ่งซิ่นกระสันแลทั้งแก่สาว
พอสังเกตเพศพื้นที่ยืนยาว เหมือนบอกข่าวเขตหมายฝ่ายมาลา
พลเมืองเนื่องแนวแถวสถาน ประกอบการมุ่งมาดศาสนา
ถือพุทธไสยไหว้ผีมีตำรา มีหมอยาหมอมนต์ก็กลกัน
ที่อยู่ไพรไศลยลมีคนแปลก ดูช่างแผกพิศแลเห็นแปรผัน
ชอบอาศัยในเขาเนาอรัญ แต่ไม่มั่นมุ่งประสงค์อยู่ยงยืน
อย่างนานประมาณมีสามปีเศษ แล้วประเวศวรรณาไปหาอื่น
มีหลายเช่นเป็นคนดงไม่คงคืน ลงอยู่พื้นแผ่นดาวเหมือนชาวเมือง
ได้เรียงพจน์จดนามมีความเล่า เรียกเย้าเขาอย่างนี้จะชี้เรื่อง
เรียกมาดลยลกายาคณะเนือง ให้แต่งเครื่องสำหรับประดับดู
เย้าผู้ชายหมายเชื้อเจือเจ๊กบก สกปรกไคลพอกจนซอกหู
กางเกงเสื้อเหลือสมมมจะชมชู พูดไม่รู้เสียงภาษาว่ายังไร
เช่นกินข้าวเล่าสำเหนียกก็เรียกท่าง ว่ายันหางเห็นชนิดผิดนิสัย
กินตะเกียบเปรียบอย่างต่างเจ๊กไพร ผมก็ไว้เปียปอยปล่อยกระพือ
ไม่สางซักถักไหมทิ้งไว้ยุ่ง แต่ความมุ่งหมายนั้นยังใช้หนังสือ
เหมือนอย่างจีนเจนจัดเฝ้าหัดปรือ ชะรอยรื้อรกรากมาจากจีน
เขาใช้ผ้าโพกศีรษะเช่นพระแขก แต่ไม่แปลกปลอมลือว่าถือศีล
เลี้ยงสุกรตอนขายไปจ่ายจีน เที่ยวป่ายปีนป่าสังเกตแปลกเพศพันธุ์
การตกแต่งร่างกายฝ่ายผู้หญิง เห็นสุดสิ่งชนคิดประดิษฐ์ขัน
จะมาเทียบเปรียบอื่นสักหมื่นพัน ไม่เหมือนกัลยาเย้าเขาช่างทำ
เข้าพินิศพิศยุพาไม่น่ารัก พอประจักษ์แจ้งสำคัญที่ขันขำ
ผมกระหมวดกวดกันมั่นประจำ เอาชันรำโรงมาใส่ใจนิยม
แล้วอังไฟให้ร้อนพออ่อนด้วย โดยอยากสวยใส่หัวจนทั่วผม
แล้วเกล้าเป็นจุกเกรี่ยงดูเกลี้ยงกลม เขาชื่นชมใช้เหมาเอาเป็นเดือย
ไม่สูงนักประมาณสักสี่นิ้วย่อม บนกระหม่อมมุ่นไว้แข็งใจเหือย
ทำโครงหมวกไม้เจาะพอเหมาะเดือย ดูน่าเหนื่อยหน่ายงามความรำคาญ
มีไม้โค้งโก่งรีเป็นสี่เหลี่ยม ผ้าดาษเรี่ยมสีแดงบังแสงฉาน
มีระใบให้ลมพัดสะบัดบาน ข้างหลังยานยาวถึงไหล่ได้พอดี
ในการผมนิยมจริงพวกหญิงเย้า ถ้าแม้นเศร้าสางใหม่ต้องไหว้ผี
เซ่นไก่เหล้าเข้ากิจทำพิธี เห็นเต็มดีประดักประเดิดเขาเชิดชู
เครื่องประดับสำหรับนางอย่างออกหน้า มีระย้าลูกปัดใส่ที่ใบหู
สวมเสื้ออย่างญวนพิศพินิจดู รังดุมคู่เกี่ยวทาบติดสาบแบน
เป็นบั้งบั้งช่างแผ่แลกระสัน ล้วนหิรัญเรียงเม็ดมีเจ็ดแว่น
เหมือนปลิงทาบราบรายเป็นลายแบน ติดเอาแน่นแลนุงช่างรุงรัง
สวมกางเกงขากว้างอย่างกระสอบ ผ้าแถบรอบรัดสมอารมณ์หวัง
คล้ายงิ้วนางอย่างยุ่งดูรุงรัง สุดจะสังเกตจำร่ำแสดง ๚ะ
๏ อีกพวกหนึ่งนี้ก็ขันกระสันสี เรียกโอนีอาก้าดูกล้าแข็ง
ชายแต่งเป็นเช่นเย้าที่เล่าแจง แต่หญิงแปลงเปลี่ยนตามความนิยม
บ้างเกล้ามวยสำรวยราบดอกไม้ปัก ลางนางยักแยกสบายกระจายผม
เอาพันเศียรเวียนรอบเป็นขอบกลม บ้างนิยมแยกยักมาถักเปีย
มีหมวกครอบรอบรีเป็นสี่เหลี่ยม ประดับเรี่ยมรายผูกด้วยลูกเบี้ย
ลูกเดือยถักปักลูกปัดดูหยัดเยีย เจ๊กว่าเงี้ยงามขรึมทำครึมเครือ
เครื่องนุ่งห่มชมชายรายระยับ ดูสลับรายกระพือที่มือเสื้อ
ผ้าต่างสีมีสาบมาทาบเจือ ดูน่าเบื่อแบบสำหรับประดับกาย
เอาไม้อ้อมาขวั้นเป็นขั้นขอด งามไม้หลอดแลสลับกันกับหวาย
มาย้อมสีประสานกวดเป็นลวดลาย เหมือนอย่างสายรัดอร่ามงามตระการ
เป็นแถบแถบแลบลายคล้ายงูหลาม คนละสามสี่สายลายประสาน
ตุ้มหูพวงควงหิรัญอันตระการ ดูย้อยยานมาถึงไหล่มิใช่แกน
กำไลใส่มือทั้งสองเป็นทองเหลือง ไม่รุ่งเรืองสุกก่ำเหมือนคำแหวน
เขาเห็นงามตามโอนีที่ในแดน มิใช้แค่นแคะเดาเล่าประจาน
การซื้อขายจ่ายเงินตราใช่ตาชั่ง ไม่ชิงชังรูปพรรณทรงสัณฐาน
เล่าสั้นสั้นขั้นข้อพอประมาณ เมื่อแต่งงานหญิงพามาหาชาย
การมงคลยลแยบก็แบบเจ๊ก เมื่อคลอดเด็กดังไฟเหมือนใจหมาย
แม้นเจ็บไข้ได้ทุกข์ไม่สุขกาย ก็ทนตายตามเวราอยู่ป่าดง
เมื่อชีพดับลับอาลัยไม่ไว้หวัง เอาไปฝังแฝงในไพรระหง
จะโศกสุขทุกข์ระทดเรื่องปลดปลง เป็นตกลงเหมือนดังคิดไม่ผิดที
คนพวกนี้มีความขลาดที่มาดหมาย เป็นอย่างร้ายแรงครันแทบขวัญหนี
คือไข้หัวกลัวร้ายวายชีวี พากันลี้ละตำบลไม่ยลยิน
หมดหมู่บ้านยกพากันล่าหลบ คนไข้ซบเสือกกายอยู่ดายดิ้น
เห็นหลายวันดั้นด้นมายลยิน ถ้าม้วยสิ้นชีวาไม่อาลัย
กลับมาอยู่สู่หาพาโขยง แต่เรือนโรงหลังที่ผีอาศัย
มิให้คงดำรงเก่าต้องเผาไฟ แม้นเอาไว้ว่าพิษจะติดตัว
ฟังฉงนจนจิตคิดระทด มิตายหมดหรือยังไรออกไข้หัว
เขาแจ้งความตามสงสัยมิให้มัว มิหมอปัวแปลงอยู่ในหมู่ตน
เป่าจมูกปลูกฝีดีชะงัด เป็นยานัตถุ์เหน็บวางข้างละหน
แล้วออกฝีดีนอนไม่ร้อนรน ทุกทุกคนปลูกทันไม่อันตราย
ถ้าฝีปลุกสุกสมอารมณ์มาด ก็ไม่คลาดเคลื่อนที่ออกหนีหาย
อยู่รักษาพยาบาลสำราญกาย ไม่กลัวตายติดเหมือนฝีที่ขึ้นเอง
อันตัวยามาแต่จีนเป็นสิ้นเสร็จ กับสะเก็ดฝีกะเทาะพอเหมาะเหม็ง
บดระคนปนปามกันตามเพลง ปลูกกันเองขึ้นออกทั่วไม่กลัวภัย
ครั้นทราบความตามยุบลพวกคนป่า เล่ากิจจาชี้แจงแถลงไข
แล้วต่างคนต่างพากันคลาไคล เข้าค่ายใหญ่เย็นน้ำค้างลงพร่างพราว ๚ะ
๏ พระสุริยนเย็นพยับลับสิงขร อนาถนอนนิ่งตรมระทมหนาว
ต้องอาศัยไฟดังกันพรั่งพราว ขอหยุดกล่าวกลอนนิราศลีลาศลิบ
จะนำเหตุเศษเสริมมาเติมพลอด หนาวปรอทฟาเรนไฮต์ได้สี่สิบ
ครั้นรุ่งเที่ยงอาทิตย์ส่องขึ้นห้องทิพย์ เพียงเจ็ดสิบดีกรีมีอัตรา
ลงนิ่งจนทนสั่นอยู่งันงก เหมือนโปฎกแดดิ้นถวิลหา
ไม่มีรังร้างร้ายอยู่ชายนา หยาดนภาเย็นหยดระทดกาย
พอมีตรามาประทานท่านแม่ทัพ อ่านสดับได้สมอารมณ์หมาย
ที่สิบแปดปีจอข้อภิปราย โปรดให้จ่ายเสื้อผ้ามาประทาน
ทั้งกองทัพรับทั่วจนตัวไพร่ ค่อยอุ่นใจปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
พร้อมทั้งยารักษาไข้กันภัยพาล ทรงประทานโดยพระทัยมิได้ลืม
ทุกสิ่งหวังดังประสงค์ทรงธุระ ควรมานะนึกคิดให้จิตปลื้ม
จะลำบากยากอย่างไรอย่าได้ลืม ตั้งจิตดื่มเดี๋ยวคิดกิจการ
สนองคุณบุญเบื้องบทเรศ โดยพิเศษสุดลงในสงสาร
บุตรนัดดาถ้าคงดำรงการ คงสำราญเรืองยศปรากฏไป
รำพันบ่นทนร้างอยู่กลางหาว คอยสืบสาวราชกิจวินิจฉัย
พอมีตราหากลับกองทัพไป อย่าทันให้ถูกฝนทนระมาน
ได้รับตราน่าชื่นอกตื่นเต้น ดังจะเผ่นขึ้นนภามหาสถาน
สรวลระริกซิกซี้ฤดีดาล ก็กะการกองเวรให้เกณฑ์เรือ
มาพร้อมเพรียงเรียงลำประจำท่า มีมาลาลื้อขาวแลลาวเหนือ
ล้วนเจนจัดสันทัดข้างหนทางเรือ ก็จ่ายเจือให้ประจำทุกลำไป
พวกฮ่อทู้ไปกับหมู่พวกคำสาม ออกล่องหลามล่วงหน้ามาไสว
ท่านแม่ทัพรอท่าไม่คลาไคล ต่างร้อนใจจำนิ่งประวิงความ
ในหัวอกเหมือนหนิ่งครกเข้าตำแป้ง แทบจะแล่งลั่นเลื่อนเมื่อเดือนสาม
จนขื้นค่ำจำจดกำหนดความ อังคารสามโมงเช้าจึ่งเข้าเรือ
ล่องน้ำยมอารมณ์รื่นค่อยชื่นชุ่ม นั่งสุขุมคิดหวังเห็นฝั่งเฝือ
ล้วนเชิงซุ้มพุ่มผกาลัดดาเครือ คะนึงเนื้อนวลใจพลางไคลคลา
ดูน้ำยมสมถวิลกระสินธุ์ใส ช่างหลั่งไหลเรื่อยรี่ดีนักหนา
ไม่มีแก่งเกาะขวางทางนาวา ล่องลอยมาในนทีได้สี่โมง
ออกน้ำนัวพัวพื้นดูดื่นหิน ไม่มีดินดอนศิลาช่างอ่าโถง
เกาะสลอนก้อนไศลเห็นใหญ่โยง ไม่มีโล่งแลตั้งสองฝั่งราย
ในพื้นธารดลทอนล้วนก้อนหิน ศีขรินทร์รอราท่ากระสาย
เรือกระทบหลบไม่ทันจรัลจราย หลีกทางซ้ายขวากระแทกแทบแตกแตน
บางแห่งตื้นฝืนฝ่ามาไม่ไหว เรือควรไลแล่นผิดไปติดแขวน
ต้องลากเข็นเล่นบนหินเหมือนดินแดน ด้วยทางแกมเกินยากลำบากจริง
นั่งในเรือเบื่ออารมณ์ไม่ชมช้า นอนหลับตาตั้งใจจะให้นิ่ง
เรือกระเทือนเตือนศีรษะที่พะพิง เหมือนผีสิงสั่นงกหกคะมำ
บางทีโผนโดนประดังเข้าจังหน้า คนถลาโลดล้มลงจมคว่ำ
เรือก็แตกแหลกทลายลงหลายลำ สุดจะรำพันชี้คดีแสดง
อุปมาเหมือนชลาเชลหิน ไม่มีดินทรายปนระคนแข็ง
ตั้งเป็นแง่แลสลับลำดับแซง เอาเรือแข่งเข็ญหินแล่นลิ้นลา
บ้างเป็นแก่งแรงร่ำน้ำไหลเชี่ยว ดูกลอกเกลียวคลื่นกลบกระทบผา
เสียงกึกก้องห้องไศลในชลา แวะนาวาขนของขึ้นกองเนิน
พวกคนเรือเหลือใจเขาไวว่อง เอาเรือล่องลงแก่งดูแข็งเขิน
ถือถ่อจ้องป้องหัวกลัวพะเนิน เสียงร้องเกริ่นเกรียวไปในนที
แล่นละลิวฉิวแชริมแง่หิน สายกระสินธุ์ปัดเบียดเข้าเสียดสี
ขูดเป็นขุยกุยกีกหลีกนาวี บ้างเสียทีกระแทกล่มลงจมชล
เป็นหาดแก่งแห่งละหานล้วนธารห้วย บ้างเป็นกรวยโกรกขวางทางสถล
จะชี้ย่านขนานนามตามตำบล ก็เห็นล้นเหลือจัดคัดประเด็น
จึงจดจัดคัดแต่ที่มีประหลาด เห็นมีหาดหนึ่งฟุ้งเรียกปุงเหม็น
มีควันกลุ้มคลุ้มเคล้าทุกเช้าเย็น กลิ่นเหมือนเช่นกำมะถันต้องควันเพลิง
พอเย็นย่ำค่ำทอดเข้าจอดพัก เนาสำนักชลาลำแม่น้ำเหลิง
มฤครายชายป่าเที่ยวร่าเริง วิ่งตามเซิงซุ้มร้องคะนองไพร
เสียงปีบเปิบกำเริบเร้าบนเขาโขด บ้างก็โลดลงแควกระแสใส
ดื่มกระสินธุ์ลิ้นลาเข้าป่าไป เที่ยวแล่นไล่ลองเชิงระเริงลาน
สดับฟังละมั่งร้องคะนองคู่ เป็นหมู่หมู่มุ่งชมประสมสาร
อุระร้อนนอนเรือเหลือรำคาญ เร่งทิวารวันให้รีบไคลคลอ
ให้เปล่าเปลี่ยวเสียวกระสันอกตันตื้น ไฉนคืนนี้ช้านักหนาหนอ
พระสุริยันฉันใดจึงได้รอ ไม่สอดส่อแสงส่องให้ผ่องพรรณ
หรือจะดับลับล่องไม่ส่องโลก ทิ้งให้โศกเศร้าใจอยู่ไพรสัณฑ์
แล้วหวนนึกรู้สึกมาเราบ้าครัน เดือนตะวันเห็นไม่หวังเหมือนดังคิด
จิตเราร้อนนอนรัญจวนเฝ้าครวญใคร่ เพราะอยากไปปะนุชจึ่งหงุดหงิด
นึกเวียนวนจนนภาผ่องอาทิตย์