|
๏ ดำเนินความตามนิราศคลาศสมร |
จดหมายเหตุประเทศถิ่นถวิลวอน |
โดยสุนทรที่ใจอาลัยนาง |
ข้าพเจ้าผู้แถลงแจ้งหน้าที่ |
ออเดอรีเพิ่มนิพนธ์กระมลหมาง |
เป็นสองความยามไปจดไว้พลาง |
เมื่อแรมร้างนิราศพรากจากเนื้อเย็น |
ให้เสียวเศร้าเจ่าจิตคิดวิตก |
อยู่เต็มอกอัดใจใครจะเห็น |
จะนิ่งอดสะกดใจมิให้เป็น |
ก็สุดเร้นรักซ่อนไปดอนแดน ๚ะ |
๏ ขอกล่าวความตามนุสนธิ์แต่ต้นเหตุ |
ฮ่อเข้าเขตขันศึกทำฮึกแหน |
ตีสบแอตเชียงฆ้อต่อดินแดน |
ที่จดแคว้นแขวงประเทศเขตอานัม |
อยู่ทิศทางหว่างบุรพาอุตรามุข |
มันบุกรุกรานร้าวก้าวถลำ |
เที่ยวล้างไล่ผู้ไทยขาวลาวทรงดำ |
โจรกรรมแย่งกินในถิ่นลาว |
จึ่งโปรดให้เจ้าหมื่นไวยวรนารถ |
ไปพิฆาตข้าศึกที่ฮึกหาว |
ปราบศัตรูหมู่ทมิฬในถิ่นลาว |
ตามเรื่องราวรายฮ่อที่ต่อตี |
อันตัวเราเล่าพระคุณการุณย์เลี้ยง |
โดยธรรมเที่ยงชูหน้าเป็นราศี |
ควรเอากายหมายกตเวที |
โดยภักดีอุดมจิตตามติดไป ๚ะ |
๏ ดำเนินความตามจำนวนกระบวนทัพ |
โดยตำรับยุโรปงามตามสมัย |
เยเนอร์ราลแม่ทัพรับยศไทย |
พระนายไวยวรฤทธิ์สนิทองค์ |
ได้ออกมาว่าการทหารหน้า |
ท่านปรีชาเชิงอาวุธสุดประสงค์ |
ทั้งกล้าหาญการกลรณรงค์ |
จึงได้ทรงโปรดให้ปราบภัยพาล |
มีที่สองรองมาพระพาหล |
เป็นสองคนกับจ่ายวดตรวจทหาร |
ทั้งบุ๋นบู๊รู้กลเชิงรณราญ |
พระราชทานเมเยอร์ยศกำหนดมา |
ตั้งนายทัพนายกองเป็นสองภาพ |
เรียกสตาฟกอมปนีมีหัวหน้า |
กองสตาฟแอดยุแตนแกว่นกิจจา |
รับบัญชาชี้การในงานพล |
ตำแหน่งนี้ที่หลวงหัตถ์สาร |
ผู้จัดการกะรับไม่สับสน |
เออเดอรีที่รับสารการสกล |
นามนิพนธ์เพิ่มรับกำกับไป |
การรักษาหิรัญท่านแม่ทัพ |
นายวันรับตามจำนงไม่หลงใหล |
เป็นเปมาศเดอร์ดังชาวคลังใน |
ด้วยเข้าใจจัดจำหน่ายจ่ายหิรัญ |
กวศเตอร์มาศเตอร์นั้นนายสอน |
รู้ผันผ่อนกะกิจไม่ผิดผัน |
การเสบียงเลี้ยงทัพนับอนันต์ |
เบิกหิรัญซื้อใส่ไปให้พอ |
พนักงานเรียงรายจดหมายเหตุ |
เป็นนักเทศน์ที่ปราชญ์ฉลาดปร๋อ |
รู้ลิขิตอังกฤษไทยเข้าใจพอ |
จึงสมส่อแจ่มกวีที่เฉียบแลน |
หมอเทียนฮี้นี้รักษาขายุรป |
รู้เจนจบยลแยบในแบบแผน |
ใคร่ไข้ปวยช่วยชูไม่ดูแคลน |
เคาเวอร์แมนต์หมายบอกว่าดอกเตอร์ |
จัดเขด็จเด็กนักเรียนพึ่งเพียรหัด |
ยี่สิบทัศสาธกยกเผยอ |
ใครแคล่วคล่องว่องไวให้นัมเบอร์ |
ยกเผยอความดีที่ในการ |
อีกอังกฤษวิจิตรแปลนการแผนที่ |
กับอิตาลีสองผู้ครูทหาร |
สตาฟตั้งเติมแต่งตำแหน่งงาน |
จึงจัดการกอมปนีที่ว่ากอง ๚ะ |
๏ หลวงโยธาณัติการนั้นชาญช่าง |
รู้แบบอย่างกิจการงานทั้งผอง |
ไปโอเนียนามช่างตั้งเป็นกอง |
สำหรับจองจัดไว้ทำค่ายคู |
กองดินดำกำกับนายทัดเล็บ |
เตอร์แนนเก็บแก็บชะบวนล้วนดินหู |
กระสุนแตกปัสตันทุกอันดู |
มิให้ผู้ถือไฟเข้าใกล้กราย |
กองรบนั้นกัปตันหนึ่งพึงจดนับ |
มีเลขสับสองคู่เป็นหมู่หมาย |
ซายันต์หมวดตรวจรองสิบสองนาย |
คุมนิกายกองณรงค์เข้าสงคราม |
พลฉกรรจ์สรรกองละสองร้อย |
แตรเดี่ยวคอยเป่าปองกองละสาม |
อยู่ขวาซ้ายรายท่าสง่างาม |
ป่าวบอกความล่อไล่ล้างไพริน |
ซายันต์ธงถือธงดำรงเรียบ |
ตามระเบียบแบบคำสั่งดังถวิล |
เปซายันต์นั้นจดหมายรายระบิล |
เป็นเสร็จสิ้นส่วนบังคับในกัปตัน |
กัปตันมีสี่นามตามลิขิต |
หลวงวิชิตชาญศึกนึกกระสัน |
เป็นครูจัดหัดทหารมานานครัน |
ท่าประจัญโจมจับรับไพรี |
หลวงอาจหาญณรงค์องอาจศึก |
ดูเหี้ยมฮึกห้าวรบไม่หลบหนี |
ล้วนเจนจัดหัดปรือฝีมือดี |
ทั้งท่วงทีเชิงชั้นสำคัญคม |
หลวงจำนงค์ยุทธกิจลิขิตไข |
ว่าตั้งใจทำสงครามเห็นงามสม |
ทั้งราบเรียบระเบียบแบบแยบนิยม |
โดยอุดมจิตจบที่ทบทวน |
หลวงดัษกรปลาศน์นั้นอาจหาญ |
ชำนาญการกิจหัดสันทัดถ้วน |
ทีโรมรันผันแก้รู้แปรปรวน |
ในกระบวนยุทธหัตถ์ใช้ศัสตรา |
คนปืนใหญ่ได้บรรจบสมทบทัพ |
ร้อยหนึ่งสรรพหลพลวังหน้า |
ล้วนชำนาญการอาวุธยุทธนา |
เลือกเอามาแต่ที่มั่นฉกรรจ์พล |
ทั้งนายไพร่ได้ห้าสิบห้าทัศ |
เคยยิงยัดปืนใหญ่ไม่ฉงน |
ขุนสิงหนาทก้องศึกฮึกผจญ |
กำกับพลพื้นใช้ปืนใหญ่ชาญ |
จัดปืนผาอาวุธสุดประเสริฐ |
ยิงระเบิดพังค่ายทลายผลาญ |
ล้วนลูกแตกแหลกไล่ประลัยมาร |
ดังพระกาลล้างทำลายวายชีวี |
ลูกอย่างหนึ่งข้างในใส่ยาพิษ |
ประเสริฐฤทธิ์ราวกับได้ใช้ภูตผี |
ยิงเป็นหมอกออกกลุ้มรุมราวี |
แม้นไพรีสูบรสแล้วปลดปลง |
ใหญ่สามกำลำกล้องยาวสิบเก้านิ้ว |
เป็นตาริ้วริมที่นั่งตั้งระหง |
สำหรับไว้ในวังหน้ารักษาองค์ |
ชื่อนั้นคงยั่งยืนปืนมอตา |
อีกคู่หนึ่งปืนล้อหล่อด้วยเหล็ก |
เป็นอย่างเล็กเลือกคัดคิดจัดหา |
ยิงลูกแตกแหลกสังหารผลาญพาลา |
เป็นสง่างามสำหรับกองทัพชัย |
ขนานนามอามสตรองจดจองอ้าง |
ชื่อผู้สร้างสรรค์แจ้งแถลงไข |
อีกคู่หนึ่งชื่อวิเสริฐเลิศไกร |
ไม่โตใหญ่กว้างยาวก็ราวกัน |
แต่เป็นปืนทองเหลืองเรืองอร่าม |
สีสุกวามวาวแจ้งส่องแสงฉัน |
ลูกแตกล้วนควรพินิจไม่ผิดพัน |
ทุกสิ่งอันเอกอิทธิฤทธิ์แรง |
ปืนทหารชาญชัยสะไนเด้อร์ |
รีวอลเว่อร์ตัวนายสะพายแล่ง |
บรรจุก้นนลกิจประดิษฐ์แปลง |
ทั้งเร็วแรงฤทธาดูน่ากลัว |
แม้นข้าศึกฮึกรอเข้าต่อฤทธิ์ |
เห็นชีวิตวายเปล่าหมดเงาหัว |
เหมือนแมงเม่าเคล้าเพลิงทำเริงรัว |
ไม่รู้ตัวตอมไฟบรรลัยลาญ ๚ะ |
๏ เดือนสิบเอ็ดปีระกาจะคลาทัพ |
พระโหรจับชั้นโชกโฉลกหาร |
ได้ฤกษ์ดีตรีจันทร์สรรพการ |
แสนศฤงคารสมบัติสวัสดี |
แรมสิบเอ็ดค่ำอังคารชาญโฉลก |
เป็นชั้นโชคจัตุรงค์ลงดิถี |
ไปรบทัพจับศัตรูหมู่ไพรี |
จะภักดียอมระย่อไม่ต่อกร |
เป็นสองวันสรรเวลาโหราแจ้ง |
จึงจัดแบ่งปันเวลาคลาสมร |
แรมสามค่ำวันจันทร์ตะวันรอน |
พร้อมนิกรเข้าประนมบังคมลา |
พอเย็นย่ำค่ำศรีสุริเยศ |
พระจอมเกศนิกรฤทธิ์ทั่วทิศา |
เสด็จที่นั่งจักรีศรีโสภา |
พร้อมเสนามาตย์หมู่ประยูรวงศ์ |
ถวายบังคมกรอ่อนศิโรตม์ |
ด้วยมาโนชญ์นอบนบสบประสงค์ |
สดุดีสดับกิจประสิทธิ์ทรง |
ขอพระองค์อิศเรศปกเกศกัน |
ข้างฝ่ายพระมนตรีผู้มียศ |
มีสร้อยพจนกิจประสิทธิ์สรร |
เป็นผู้นำทูลฉลองปองรำพัน |
อภิวันทนากรอ่อนประนม |
ขึ้นยืนหน้านายกองประคองสาร |
คลี่ออกอ่านเสียงดังฟังขรม |
ว่าแม่ทัพกับนิกายถวายบังคม |
ไประดมเผด็จปราบพวกหยาบคาย |
อังคารแรมสิบเอ็ดค่ำเดือนสิบเอ็ด |
ระกาเสร็จจุลศักราชหมาย |
พันสองร้อยสี่สิบเจ็ดเสร็จภิปราย |
หยุดถวายคำนับนั่งฟังกิจจา ๚ะ |
๏ พอทรงจบจึงรับสั่งชาวคลังราช |
ให้ยกภาชนะทองรองสลา |
กับกระบี่ฝักสุวรรณจัดสรรมา |
ตลับพระศรกสมยาอีกหนึ่งองค์ |
ประคำทองผ่องฉวีสิสุกสด |
ทั้งเสื้อยศอย่างวิจิตรพิศวง |
พนักงานนำประนตบทบงสุ์ |
ถวายองค์อิศเรศเกศนิกร |
ทรงประทานท่านแม่ทัพรับเคารพ |
ประนมนบบาทธิเบศมเหศร |
เป็นโชคชัยไปกำจัดดัสกร |
ให้ถาวรอิศโรมโหฬาร |
เมเยอร์รองสองนายอยู่ซ้ายขวา |
ล้วนปรีชาเชิงชายนายทหาร |
ได้เสื้อยศอย่างรองของประทาน |
เกษมสานต์ลืมคิดที่จิตจง |
ประทานเสร็จทรงประสิทธิ์สฤษดิลาภ |
อรินทร์ราบชาติเชื้ออย่าเหลือหลง |
สรรพภัยในนุทิศให้ปลิดปลง |
สิ่งใดจงใจมาดอย่าคลาดเลย ๚ะ |
๏ อนึ่งที่นับถือคือคุณพระ |
อย่าลืมละหมั่นรำลึกนึกเฉลย |
เป็นที่พึ่งหนึ่งนะอย่าละเลย |
เป็นของเคยเคารพอย่าราคี |
เสร็จประสาทสรรพพรถาวรสวัสดิ์ |
ชุลีหัตถ์รับวางหว่างเกศี |
เสด็จคืนขึ้นบนพระมณฑีร์ |
ต่างก็ลีลากลับมาฉับพลัน ๚ะ |
๏ คนึงนวลนิ่งนอนสะท้อนจิต |
จะจากมิตรสมรร้างไปห่างขวัญ |
สุดจะฝืนกลืนรักที่พักพัน |
แข็งใจอั้นอกอึ้งตะลึงลาน |
คิดคิดผอยม่อยหลับระงับจิต |
จนอาทิตย์อุทัยแจ้งส่องแสงฉาน |
จัดเสื้อผ้าหาของที่ต้องการ |
โดยวิจารณ์จัดจบครบจำนวน |
แต่อาหารการกินมีสิ้นสรรพ |
ท่านแม่ทัพซื้อยุรปมีครบถ้วน |
หมูแฮมแห้งแป้งสาลีอย่างดีล้วน |
ลูกไม้กวนกุ้งปลาสารพัน |
ใส่กระป๋องปิดผนึกจารึกชื่อ |
แม้นจะรื้อเรื่องกินไม่สินสรรพ์ |
ลูกไม้ดองของแช่แลอนันต์ |
จะรำพันพูดนักจะชักนาน |
๏ แปดค่ำเช้าเสาร์แรมเดือนสิบเอ็ด |
ก็จัดเสร็จส่งพหลพลทหาร |
ให้ล่วงหน้าคล้าคล่ำในลำธาร |
ออกขนานหน้าผายมีนายพล |
ปลัดทัพรับยศเมเยอร์ใหญ่ |
คุมนายไพร่ล่วงหน้าพระพาหล |
อาทิตย์บถกลดบังตั้งมณฑล |
ได้ฤกษ์บนรีบบอกให้ออกเรือ |
เรือไฟพ่วงช่วงยาวไม่ก้าวเกี่ยง |
จรัลเรียงแล่นรายสบายเหลือ |
ธงช้างปัดสะบัดปลายอยู่ท้ายเรือ |
ดูจนเฝือเนตรลับสลับบัง |
แล้วกลับหลังยังสถานรำคาญจิต |
สุขุมคิดคับอกเหมือนตกถัง |
ตัวจะไปใจจะเวียนเพียรระวัง |
จนกระทั่งวันนิราศจะคลาดคลา ๚ะ |
๏ เวลานั้นท่านเจ้าพระยามหินทร์ |
ว่าโยธินสมทบการทหารหน้า |
มีน้ำจิตประกิตเกื้อเมื่อวันลา |
เลี้ยงโยธาทัพใหญ่ทั้งไพร่นาย |
สะพรั่งพรูหมู่นิกรสลอนสลับ |
คอยแม่ทัพอยู่ที่ท่านาวาผาย |
มาพร้อมเพรียงเรียงกันจรัลจราย |
ด่างภิปรายเปรมปรีดิ์ฤดีดาล |
เลี้ยงน้ำชากาแฟเสียงแซ่ซ้อง |
ด่างเรียกร้องไพรเพราะพูดเคาะขาน |
ทั้งบ๋อยบ่าวเหย่าย่างที่กลางชาน |
ดูพลุกพล่านพลาดพลำถลำเลย |
เสียงสรวลเสเฮฮาสง่าทัพ |
บางคนปรับทุกข์ทำว่ากรรมเอ๋ย |
จะเดินดงพงไพรยังไม่เคย |
บ้างพูดเย้ยหยอกเยาะหัวเราะเพลิน |
บางครอบครัวมัวกระสันมาฟั่นเฝือ |
ยังเอื้อเฟื้อเฝ้านั่งริมฝั่งเผิน |
ผูกอาลัยใจตั้งจนพลั้งเพลิน |
ทำแลเมินเนตรชม้ายระคายคน |
มาส่งเสียเคลียคลอรีรอรัก |
ละล่ำละลักใหลหลงงงฉงน |
ดูดก้นพลูดูเพลินไม่เขินคน |
ใช้ต่างก้นบุหรี่เอาจี้ไฟ |
นั่งคอยท่านแม่ทัพอยู่คับคั่ง |
ดูสะพรั่งพร้อมที่ท่าชลาไหล |
ออกเขียดยัดอัดแอเซ็งแซ่ไป |
เหลืออาลัยเล็งแลแดฤดี |
๏ ข้างฝ่ายท่านหลวงสิทธิ์สนิทเสน่ห์ |
เธอทอดเททางรักเป็นศักดิ์ศรี |
จัดเรือไฟครรไลล่องท้องนที |
จรลีเร็วรับแม่ทัพมา |
จากสถานทุ่งสีลมสมสนุก |
เกษมสุขเป็นนิรันดร์จิตหรรษา |
เดี่ยวนี้เพี้ยนเปลี่ยนผันจำนรรจา |
เรียกศาลาแดงเด่นเห็นแต่ไกล ๚ะ |
๏ ฝ่ายข้างท่านแม่ทัพจัดสรรพเสร็จ |
ได้ฤกษ์เพชรผ่องผุดวิสุทธิ์ใส |
ลาพระสงฆ์ทรงธรรมอันอำไพ |
เทพไทยที่รักษาโลกากร |
ลาเผ่าพงศ์วงคาคณาเนื่อง |
ไม่ขุ่นเคืองมโนสโมสร |
ลงเรือแจวจรมาในสาคร |
สงฆ์สวดพรเพิ่มรำพันชยันโต |
ออกจากช่องถึงคลองผดุงราษฎร์ |
เรือไฟปราดปร๋อไปใส่ไฟโฉ่ |
เข้ารอรับแม่ทัพไปในชะโล |
ออกแล่นโร่แลริ้วริ้วละลิ่วมา ๚ะ |
๏ ขณะนั้นท่านเจ้าพระยามหินทร์ |
ตั้งใจจินตนาคอยละห้อยหา |
เขม้นดูอยู่ที่ลานชานคงคา |
เห็นแล่นมาไวไวดีใจจริง |
พอถึงท่าราทอดเข้าจอดพัก |
คนคักคักแลหลายทั้งชายหญิง |
ดูแม่ทัพคับคั่งนั่งประวิง |
ตามตลิ่งแลล้นมายลยวน |
ดูเรือไฟใหม่มั่นเป็นมันยับ |
ชื่อประดับเพชรผุดสุดสงวน |
เครื่องประดับสำหรับลำน่ารำจวน |
อะไหล่ล้วนด้วยหิรัญเป็นหลั่นเรียง |
พอเรือเทียบสะพานลอยที่คอยท่า |
สำรวลร่าเรียกขานประสานเสียง |
ต่างดำเนินเดินคลอเข้ารอเรียง |
ประคองเคียงขึ้นบนตึกเสียงคึกคึก |
พร้อมด้วยเจ้าเผ่าพระยาเวลานั้น |
ล้วนพงศ์พันธุ์ผู้ดีที่มีศักดิ์ |
มาส่งเสียละเหี่ยละห้อยเศร้าสร้อยพักตร์ |
ด้วยจิตรักจำร้างไปห่างกัน |
อธิบดีที่มาส่งองค์ประสิทธิ์ |
พระขนิษฐ์นฤเบศพิเศษสรร |
กรมหมื่นเทววงศ์ทรงนิพันธ์ |
สร้อยสารันต์สฤษดิ์วโรปการ |
ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าพระยามหินทร์ |
เป็นเจ้าถิ่นที่พักอัครฐาน |
อีกพลเรือนที่เป็นเพื่อนราชการ |
โดยประมาณที่ได้มาห้าสิบปลาย ๚ะ |
๏ พอฤกษ์งามสามนาฬิกากึ่ง |
แม่ทัพจึงน้อมประนมบังคมถวาย |
พระเจ้าน้องยาเธอเปรอภิปราย |
ทุกท่านนายต่างคำนับเข้าจับมือ |
แต่ท่านเจ้าคุณมหินทร์ถวิลหวัง |
มาส่งยังเรือแม่ทัพโดยนับถือ |
วักน้ำประศีรษะเรือเพื่อระบือ |
ให้เชิดชื่อไชโยมโหฬาร |
ขอพระรัตนตรัยอันไพจิตร |
ได้ปลดปลิดข้าศึกที่ฮึกหาญ |
นิราศทุกข์สุขสวัสดิ์ขจัดพาล |
จงบันดาลดลชื่นทุกคืนวัน |
พอจบพรจรจากเรือเหลือละห้อย |
ดูพักตร์สร้อยเศร้าในใจกระสัน |
หลวงนายสิทธิ์มิตรที่รักมาพักพันธ์ |
ขี่กำปั่นไปส่งในคงคา ๚ะ |
๏ เสร็จสั่งเลื่อนเคลื่อนคลายขยายทัพ |
เป็นลำดับดูสะพรั่งพลหลังหน้า |
เรือไฟมีที่หมายท้ายเภตรา |
น้มเบอร่ารับช่วงพ่วงนิกร |
พวกพหลพลทหารลนลานวิ่ง |
จากตลิ่งลงนาวาหน้าสลอน |
จับแจวถ่อรอราในสาคร |
เรือไฟผ่อนเชือกพันผูกทันที |
เขาเปิดจักรวักกระสายกระจายฟุ้ง |
เรือสะดุ้งดังจะดิ้นออกปลิ้นหนี |
เปิดหลอดลั่นมั่นหมายนายนาวี |
ให้โยธีทัพตั้งระวังตัว |
เรือพหลพลไพร่ทั้งใหญ่น้อย |
ให้คนคอยถือพร้าราอยู่หัว |
เพื่อเสียท้ายหมายฟันไม่พันพัว |
ระวังตัวตั้งใจทั้งไพร่นาย |
ดูเป็นพืดยืดยาดออกดาษน้ำ |
เรือไฟซํ้าบอกลำคัญจะผันผาย |
ต่างผูกพ่วงช่วงเคียงดูเรียงราย |
ไม่ก้าวก่ายเกี่ยวลำดับนับประมวล |
เรือเล็กใหญ่ได้ห้าสิบห้าชัด |
คนนั่งยัดเยียดลำแลกำสรวล |
ดูสลอนน่าสลดกำสรดนวล |
สุดจะครวญใคร่แทนแน่นฤทัย |
เพราะตัวเราเล่าก็ไหวฤทัยหวน |
อุระป่วนปั่นคิดพิสมัย |
เมื่อจากเจ้าจะรับขวัญลาครรไล |
ก็ตันใจหน้าเจื่อนเชือนลงเรือ |
ป่านนี้นุชบุตรมิพร่ำโศกกำสรด |
จะรันทดท้อฤทัยอาลัยเหลือ |
จะตวงทุกข์ชุกชุ่มอยู่คลุมเครือ |
อลักเอลื่อจิตเจ่าอยู่เฝ้าเรือน |
จะเปล่าเปลี่ยวเสียวจิตขนิษฐ์น้อย |
กำสรดสร้อยเศร้าใจใครจะเหมือน |
เพื่อนหญิงเล่าเขาจะยั่วว่าผัวเชือน |
เป็นหม้ายเลื่อนระทดกายน่าอายจริง |
เขาหย่าร้างค้างขายตายจากอก |
จึงต้องตกพุ่มหม้ายทั้งชายหญิง |
นี่หม้ายทัพยับยากลำบากจริง |
เห็นสิ้นสิ่งสุขแท้ต้องแดดาล |
แต่หม้ายน้องหมองพี่ก็มีเพื่อน |
ยังอยู่เรือนร่วมบุตรสุดสมาน |
พี่หม้ายพรากจากเคหายุพาพาล |
ฤดีดาลแดดิ้นเห็นสิ้นเชิง |
ต้องแบกรักหนักอึ้งคะนึงหา |
เทวษว้าว้างหาวกว่าว่าวเหลิง |
มัวโศกเซื่องเงื่องงันไม่บันเทิง |
จะเสียเชิงที่บัญชาเพราะอาวรณ์ |
คิดมานะละโศกวิโยคยาก |
เรือไฟลากแล่นไปฤทัยถอน |
เห็นบ้านเรือนเกลื่อนท่าริมสาคร |
แลสลอนลานตาขอลาโลม |
ประเดี๋ยววับลับเนตรเทวษว้า |
เรือไฟพาวิ่งไวใส่ไฟโหม |
กระฉ่อนกระฉอกระลอกลั่นเสียงครั่นโครม |
เหมือนจะโจมจับศึกพิลึกดัง |
ระยะย่านบ้านตำบลทุกหนแห่ง |
เหลือจะแจ้งแจกได้โดยใจหวัง |
คัดแต่ข้อพอเป็นเค้าเล่าให้ฟัง |
ในเมื่อครั้งนี้ไปปราบภัยพาล |
รำพึงพลางทางวิโยคยิ่งโศกเสริม |
ถึงวัดเฉลิมแลโสตโบสถ์วิหาร |
ก็รอเรียบเทียบนาวาริมท่าธาร |
ให้รำคาญขุ่นวิญญาณ์เป็นอารมณ์ ๚ะ |
๏ ฝ่ายเจ้าอธิการญาณวิเศษ |
รู้ไตรเพทผ่องฤทธิ์ประสิทธิ์สม |
นิมนต์สงฆ์ลงศาลาท่านิคม |
ใบตาลกลมป้องหน้ากล่าวบาลี |
สวดการุณย์คุณพระพุทธสุดประเสริฐ |
บำราศเลิศโรคภัยในวิถี |
สรรพภัยพาธาอย่ายายี |
จบบาลีแล้วคุณพระประน้ำมนต์ |
พลทหารชาญชัยในกองทัพ |
เคารพรับพรพระศุภผล |
เป็นที่พึ่งหนึ่งคำนับเมื่ออับจน |
เปียกน้ำมนต์นึกนิยมด้วยสมใจ ๚ะ |
๏ ฝ่ายผู้รั้งกรรมการผ่านประเทศ |
นนท์บุเรศเรือแพแลไสว |
พอเรือจอดหลอดลั่นสนั่นไป |
ก็ครรไลลีลาข้ามมารับ |
ด้วยเขตแคว้นแดนนี้หน้าที่ท่าน |
จึงจัดด้านระดมคนดูสนสับ |
ทั้งบกเรือเหนือใต้ให้กำชับ |
เป็นเวรรับแวดระวังมานั่งกอง |
เสร็จวางเวรเกณฑ์กะกันระดับ |
หาแม่ทัพทอดอารมณ์ประสมสอง |
ต่างคำนับรับเชิญเดินประคอง |
โดยจิตจองจงรักกันหนักนาน |
จนเวลาฟ้าสลัวมัวเวหน |
พระยานนท์ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
ขอเชิญท่านแม่ทัพไปรับประทาน |
กับนายทหารพร้อมพรักขึ้นพักจวน |
สู่สถานบ้านนั่งยังเก้าอี้ |
ต่างพาทีทอดเทดูเสสรวล |
จัดของเลี้ยงเรียงรายหลายกระบวน |
แล้วเชิญซวนรับประทานของหวานคาว |
มีลำลำรำมะนาเล่นหน้าโต๊ะ |
เสียงโจ๋งโจ๊ะจ๊ะทั่งกำลังสาว |
ขยับฉิ่งจิ่งจับเสียงกรับกราว |
มีนางกล่าวกลอนเพราะเสนาะนวล |
สักวานายทัพกับทหาร |
ละสถานทิ้งนุชสุดสงวน |
จะเดินทัพลับไปให้รัญจวน |
น้องจะครวญครุ่นให้เสียใจจริง |
ได้เห็นกันวันเดียวเจียวหนอพี่ |
ตั้งแต่นี้นับวิตกโอ้อกหญิง |
ขอเชิญชายเนตรช้อนอย่าค้อนติง |
พอเห็นจริงใจประจักษ์ว่ารักเอย ๚ะ |
๏ ฟังถ้อยคำลำร้องทำนองแนะ |
เหมือนมาแคะคุ้ยอุระขึ้นเฉลย |
จะตอบต่อข้อคำร่ำภิเปรย |
เกรงจะเลยลาวเลี้ยวเป็นเกี้ยวกวน |
ครั้นเสร็จเลี้ยงลุกมานั่งยังที่ลาด |
ฟังพิณพาทย์พาใจอาลัยหวน |
เสภาร้องพร้องเพราะเสนาะนวล |
น่ารัญจวนจับใจอาลัยลาน ๚ะ |
๏ จนดึกดาวพราวพร่างกลางเวหา |
ครรไลลายังสำนักที่พักทหาร |
ต่างคำนับรับรสพจมาน |
ค่อยเบิกบานชื่นหน้ากลับมาเรือ |
พอถึงทัพกลับสะท้อนถอนเทวษ |
แรมทุเรศร้างใจอาลัยเหลือ |
ยังมิหนำซํ้าหนาวลมว่าวเจือ |
ต้องนอนเรือแรมรากลางวารี |
เห็นพหลพลทหารขนานหน้า |
นอนนาวายัดเยียดแทรกเสียดสี |
ไม่อบอุ่นครุ่นร้อนอาวรณ์ทวี |
จนรังสีส่องแจ้งอัมพร |
ยกโยธาจากวัดเฉลิม |
ยิ่งพูนเพิ่มพิสมัยฤทัยถอน |
จักรก็หมุนใจก็มุ่งฟุ้งขจร |
เสียงสาครครื้นครั่นสนั่นไป ๚ะ |
๏ ข้างฝ่ายท่านยานนท์กระมลมุ่ง |
พอย่ำรุ่งเร่งเร้าพวกบ่าวไพร่ |
ออกล่วงหน้านิมนต์สงฆ์ลงอวยชัย |
ทุกวัดในนนท์แนวแถวธารา |
เรือกระบวนพวนเหนี่ยวเลี้ยวเผด็จ |
เข้าลัดเกล็ดเรือนกลาดดื่นดาษท่า |
มีร้านโรงโอ่งอ่างทางคลา |
เป็นสินค้าขายกินที่ถิ่นมอญ |
เม้ยรามัญพันมวยสวยสะอาด |
ลักษณ์วิบาศแลพินิจพิศสมร |
ดังโกเมศนิเวศน์ลางสาคร |
ชูฉะอ้อนออกชื่อพอลือโลม |
ชักอารมณ์ชมนางในทางลัด |
พอถึงวัดประไมยใส่ไฟโหม |
เสียงจักรลั่นฟั่นคลื่นดังครื้นโครม |
เหมือนหนึ่งโรมกลงาร่ำทุกลำราย |
เหมือนคนคุ่มกลุ่มขวางกลางสมุทร |
บ้างดำผุดโผพ้นชลสาย |
เกาะไม้หลักแลแปลกแยกกระทาย |
เขาดำทรายใส่นาวากลางสาคร |
เรียกชื่อบ้านบางพูดนึกพูดน้อง |
พูดพลางร้องไห้พลางกลางบรรจถรณ์ |
พูดอาลัยในพี่ยาพูดอาวรณ์ |
พูดไม่จรจากใจพูดไม่จาง |
ยังยืนแจ้วแว่วใจเรือไฟประเวศ |
ล่วงเข้าเขตเมืองปทุมเขาสุมสาง |
แสงอัคคีจี่อิฐติดเรืองราง |
แลกระจ่างแจ้งรายชายวาริน |
เห็นเรือจักรพักทอดจอดอยู่นิ่ง |
ริมตลิ่งหลากในฤทัยถวิล |
เสียงคนเรียกสำเหนียกใจพอได้ยิน |
ลุกขึ้นผินพักตร์เขม้นพอเห็นมือ |
ดูไกวกวักควักไขวชะใครหนอ |
มานั่งป๋อในกำปั่นเรียกกันอื้อ |
จะไถ่ถามความอะไรไฉนฤๅ |
จึ่งมารื้อเรียกกันสนั่นอึง |
ก็หยุดเรือจักรราเสียงซ่าซ้อง |
ลงสัดจองแจวไปพอใกล้ถึง |
เห็นหลวงหัตถสารมองร้องเรียกอึง |
กระโดดตึงเต้นหรับรับมาพลัน |
พอใกล้ถึงเรือกลท่านยลพักตร์ |
ได้รู้จักจึ่งถามตามกระสัน |
ไฉนรอเรือไม่ไปก่อนพลัน |
มานิ่งตันติดช้าอยู่ว่าไร ๚ะ |
๏ ฝ่ายหลวงหัตถสารศุภกิจ |
เชิงสนิทนบแจ้งแถลงไข |
เรียนข้อความตามคดีที่เรือไฟ |
ว่าเครื่องไกลติดเห็นผิดที |
จะแก้ไขก็ไม่แล่นสุดแสนยาก |
ต้องทอดกรากกรำยับอยู่กับที่ |
เรืออื่นอื่นทั่วทั้งหลายสบายดี |
แต่ลำนี้ติดมั่นตันอารมณ์ |
จนอาหารการเสบียงจะเลี้ยงท้อง |
สิ้นทำนองนึกว่ายับขอรับผม |
กินบอนเผาเคล้าปลาร้าเป็นอารมณ์ |
นิ่งระทมคอยให้ท้าวทุกเช้าเย็บ |
ท่านทราบศัพท์รับเอาไปในเรือจักร |
ออกเล่นวักน้ำฟุ้งเหมือนกุ้งเต้น |
เปิดหลอดร้องก้องกู่ดูดังเป็น |
เหมือนจะเผ่นโผนท่องท้องสินธู |
พอบ่ายเบี่ยงเสียงลมระทมพัด |
ที่หน้าวัดตีนท่าเสียงซ่าซู่ |
ไม้ไผ่พับยับย่อยฝนพลอยพรู |
พฤกษาสู่ลมปัดสะบัดโยน |
ทั้งเรือพ่วงเรือพาก็คว้าคว้าง |
ดูเหมือนช้างเช่นหมอต่อเข้าโขลน |
แล่นรี่ร่าท่าดีทีจะโดน |
ปะรำโค่นผ้าลาดขาดทลาย |
บ้างลงน้ำคํ้าจุนรุนเข้าฝั่ง |
ลมประดังฝนประดาฟ้าฟาดสาย |
วะวับวาบปลาบปราดปาดประกาย |
จอดเรือรายริมฝั่งเข้านั่งงอ |
พอฝนหายตะกายแก้แร่เข้าพ่วง |
เรือไฟจ้วงจักใช้ก็ไปปร๋อ |
จรัลเรียงเคียงแข่งไม่แรงรอ |
แล่นชะลอแลสล้างถึงบางไทร |
ชาวด่านจ้องฆ้องกระแตแร่ตีป๋อง |
นั่งจองหงองเหงาเหงื่อเข้าเจือไส |
คอยเรียกเรือขายสินค้าที่มาไป |
เป็นด่านใหญ่อยู่เขตประเทศกรุง |
ไปไม่ดีมีของที่ต้องห้าม |
แล้วลวนลามเรียกค้นถึงก้นถุง |
มีพริกเกลือมะเขือไข่ให้คุณลุง |
แล้วไม่ยุ่งยอมให้ไปสำราญ |
ก็เลี้ยวแล่นเข้ากระแสแควสีกุก |
ไผ่สีสุกเฝือแฝงบังแสงฉาน |
จนเย็นย่ำค่ำยลอนธการ |
แซ่ประสานเสียงจักรไม่พักพา |
ได้สองทุ่มคลุ้มลมระทมพัด |
เข้าจอดวัดสุวรรณภาชน์ระดาษท่า |
เสพอาหารสำราญรื่นชื่นอุรา |
แล้วก็ลาแล่นชมลมระริน |
อนาถหนาวพราวพร่างน้ำค้างหล่น |
เย็นสกนธ์ชุ่มนองละอองกระสินธุ์ |
พฤกษาบังฝั่งฝ้ายิ่งราคิน |
มัวมลทินแถวทางไม่สร่างทรวง |
อาทิตย์ดับลับโลกไม่โศกนัก |
สี่ยามชักรถเร้าข้ามเขาหลวง |
มาส่องแสงแดดเด่นให้เห็นดวง |
วิเชียรช่วงโชติชัดกระจัดตา |
ลับพระจันทร์วันข้างแรมไม่แจ่มแสง |
ข้างขึ้นแจ้งจ้าส่องห้องเวหา |
ลับเวลาเช้าเย็นเป็นเวลา |
ลับนิทราสร้างฟื้นก็ชื่นใจ |
แต่ลับนุชสุดลับไม่นับเห็น |
ลับประเด็นดวงจิตพิสมัย |
ลับครรไลไกลลับไม่นับไกล |
ลับอาลัยลับนุชสุดรำพัน |
คิดวิโยคโศกเศร้าให้เหงาง่วง |
เรือไฟพ่วงพาแล่นแสนกระสัน |
ยามยิ่งดึกเรือยิ่งเดินดูเพลินครัน |
เสียงไก่ขันขานหลับจับอารมณ์ |
ครั้นรุ่งแจ้งแสงอุทัยขึ้นใสสอด |
เห็นเรือทอดเทียบท่าพระอาศรม |
วัดกำแพงแขวงกรุงคุ้งนิคม |
คนยังซมเซานอนอ่อนระทวย |
จึงเป่าแตรแปร๋แปร้นแล่นเข้าหู |
ทหารรู้สึกนั่งยังระหวย |
บ้างง่วงงึมพึมเพ้อพูดเอออวย |
ดูระทวยอ่อนระทดเหมือนหมดแรง |
แล้วเลื่อนแล่นนาวาจากท่าวัด |
สตรีมจัดเปิดจักรคึกคักแข็ง |
น้ำลงเหลือเรือคว้างมากลางแปลง |
ไม่วิ่งแข่งเคียงตามกันหลามมา |
ริมฝั่งรายทรายสวะเรอะระเหลือ |
บนฝั่งเฝือแลทำเลที่เคหา |
กระบือโคคอกรายชายชลา |
ล้วนบ้านนาแนวชลไม่ยลยิน |
แลลิบลิ่วทิวทุ่งเป็นวุ้งเวิ้ง |
นกกระเจิงเจิ่นท่าชลาสินธุ์ |
ข้าวเป็นรวงพวงผลพ้นวาริน |
กระจาบบินโบยฉาบคาบไปรัง |
กระดี่โดดโลดโผนกระโจนงับ |
ต้นข้าวยับย้อยจมได้สมหวัง |
ชะโดต้องร่องแฉลบเข้าแอบบัง |
กระดี่พลั้งฮุบโพล่งวิ่งโผงไป |
ตามตลิ่งคนวิ่งมาหยอยหยอย |
ทั้งใหญ่น้อยนั่งดูอยู่ไสว |
บางคนกลัวตัวหมกรกรำไร |
บ้างลองใจขู่สำทับว่าจับตัว |
แล่นเตลิดเปิดออกไปนอกทุ่ง |
ลงแอบมุ่งมองเว้นแลเห็นหัว |
ที่เป็นสาวหนาวนมผ้าห่มพัว |
นั่งแฝงตัวตาลอดมาสอดมอง |
ที่มีคู่สู่สมภิรมย์รัก |
นั่งเคียงพักตร์ผ่องพริ้มทำยิ้มย่อง |
เห็นแม่ทัพกับนิกายท่านนายกอง |
อนันต์นองนั่งเคียงเรียงจรัล |
ที่ไม่รู้ดูกระซิบกันอิบอับ |
ท่านแม่ทัพนั้นคนไหนบอกให้ฉัน |
ที่รู้จักชักชิดสะกิดกัน |
ริมคนนั้นเคียงคนนี้ชี้ให้ดู |
ที่สาวสรรค์หันเข้าบังนั่งสะกิด |
ไหนพี่ทิดถามเอียงเข้าเคียงหู |
ต่างอุบอิบกระซิบเสียงเราเหลียวดู |
เหมือนเพลิงจู่จ่อเชื้อเหลือระวัง |
เรือไฟเดินเพลินวิ่งตลิ่งวับ |
ประเดี๋ยวลับแลเขม้นไม่เห็นหลัง |
พระสุริยาราแสงลงแบ่งบัง |
พอกระทั่งถึงทอดเข้าจอดจวน |
นครนี้มีนามตามสังเกต |
เรียกวิเศษไชยชาญสารสงวน |
คีอเขียนบอกออกนามตามกระบวน |
ในสำนวนตราเห็นเป็นสำคัญ ๚ะ |
๏ แต่คำคนชนชาวนั้นกล่าวอ้าง |
ว่าเมืองอ่างทองทัดระหัดหัน |
เป็นสองชื่อลือเพรียกเขาเรียกกัน |
เสียงจำนรรจาจำเป็นคำจอง ๚ะ |
๏ ฝ่ายผู้รั้งที่รักษาก็มารับ |
ดูคั่งคับเรียกคนให้ขนของ |
มาทักทายรายเราะเหมาะทำนอง |
โดยหมายปองประกอบกิจไม่บิดเบือน |
จัดสุกรกุ้งไก่ให้อักโข |
เลี้ยงพวกโยธาใหญ่ใครจะเหมือน |
สารพัดจัดจองไม่ต้องเตือน |
มิได้เชือนแชทำโดยจำนง |
ทั้งฟืนใส่ไฟกำปั่นอนันต์นับ |
ได้พร้อมสรรพเสร็จสมอารมณ์ประสงค์ |
เร่งคนขนล้นเหลือใส่เรือลง |
ท่านจัดส่งเสร็จดังที่หวังใจ |
พอสิ้นแสงสุริยามืดอากาศ |
ก็ลีลาศเลื่อนลาอัชฌาสัย |
ออกนาวีรี่ร้อนไม่นอนใจ |
เขาเร่งไฟจัดจริงเรือวิ่งโชน |
นึกคะนึงถึงชนตำบลนี้ |
ไยจึ่งชี้ชื่อฉาวยิ่งกราวโขน |
ว่าลมลิ้นปลิ้นปล้อนพูดล่อนโลน |
ชิวหาโยนยาวตวัดปัดถึงกรรณ |
เหมือนโคขะละสุระบุชื่อ |
อีกกระบือโคหักเขามักสรร |
ฟังถ้อยคำร่ำว่าสารพัน |
เหมือนแกล้งกลั่นกล่าวเจาะจำเพาะเมือง |
ไม่ไว้บ้างช่างตีชาว่าไปหมด |
มธุรพจน์แผดดุเจ็บหูเหือง |
ช่างค่อนแคะแกะว่าทั้งห้าเมือง |
ไม่ทราบเรื่องราวตั้งแต่ครั้งไร |
มาติดคำร่ำว่าน่าฉงน |
คนเหมือนคนค่อนว่าน่าสงสัย |
หยิบชั่วฉาวกล่าวลือกันอื้อไป |
เฉพาะในห้าเมืองเคืองรำคาญ |
รำพันพึมงึมงมระทมนิ่ง |
ถึงวัดสิงห์เสียงไก่พิไรขาน |
ห้าทุ่มเศษนาเวศว่ายในสายธาร |
แล่นขนานน้ำดังไม่รั้งรอ |
นิ่งระงับหลับไหลไปจนแจ้ง |
สุริย์แสงสอดส่องห้องเวหา |
พ้นอ่างทองจองจดพจนา |
บางพุทราแขวงเมืองพรหมนิยมยิน |
นามผู้รั้งนคเรศพิเศษศรี |
ตำแหน่งที่พระพรหมประศาสน์ศิลป์ |
มีสถานบ้านรายชายวาริน |
ถึงแขวงอินท์อันธการรำคาญใจ |
พวกกำนันอำเภอเสมอหน้า |
แจ้งกิจจาจัดรับกองทัพใหญ่ |
เกณฑ์ผู้คนล้นหลามนั่งตามไฟ |
สว่างในแนวธารสราญแล |
มีกำนันมาคอยนำร่องน้ำด้วย |
กลัวจะชวยชายลาดหาดกระแส |
จะติดตื้นพื้นธารอยู่ดาลแด |
มาคอยแก้กันปักที่หลักตอ |
สี่ทุ่มครึ่งถึงเมืองอินท์ถิ่นสำนัก |
หลวงบริรักษ์ปลัดเมืองดูเปรื่องปร๋อ |
เรียกคนผู้กล่นกลัดมาอัดออ |
นั่งกองก่อกองเพลิงเถกิงการ |
ครั้นรุ่งเช้าชาวเมืองเนื่องคำนับ |
ท่านแม่ทัพถามระบิลในถิ่นฐาน |
ท่านเจ้าเมืองเรืองรมย์สมสำราญ |
กรมการราษฎรร้อนหรือเย็น |
หลวงบริรักษ์ร่ำแจ้งแถลงเล่า |
ผู้ร้ายเร้ารุมราษฎร์พิฆาตเข็น |
ดังกองกูณฑ์พูนร้อนไม่ผ่อนเย็น |
ต้องหนีเร้นรวมอยู่เป็นหมู่กัน |
แล้วบอกว่าผู้รักษาสถานถิ่น |
คือพระอินทประศาลน์ศรนอนกระสัน |
ป่วยเป็นไข้มิได้รับกองทัพทัน |
ให้นึกครั่นคร้ามผิดในกิจตน |
ท่านแม่ทัพสดับรสพจนารถ |
อนุญาตยอมช่วยอำนวยผล |
ให้สิ้นโศกโรคร้างห่างสกนธ์ |
เจริญชนม์ชื่นหน้าแล้วลาจร |
แล่นนาวาคลาไคลดูไววิ่ง |
แลตะลึงเรือนเรียงเคียงสลอน |
ขายฟักแฟงแตงกวาริมสาคร |
ถั่วงาซ้อนตวงใส่ในกระบุง |
หลังเคหาป่าชะอุ้มเป็นพุ่มพฤกษ์ |
ดูพิลึกลอยเด่นเห็นกุหนุง |
ว่าว่านยาสารพันอันจรุง |
จึ่งเรียกปรุงนามปรับเขาสรรพยา |
ใบแขวงนี้มีกำนันมานำร่อง |
เห็นบ้านช่องชายฝั่งให้กังขา |
จึงไถ่ถามนามตำบลชลชลา |
จดสาราเรียงเล่าเป็นเค้ามูล |
หาดอาสาเหมือนเรามาในคราวนี้ |
ละไมตรีตรอมสวาทให้ขาดสูญ |
อาสาศึกซ่อนรักหักอาดูร |
ละประยูรเยื่อใยมิตรไมตรี |
ออกชื่อรักชักพะวงให้สงสาร |
พอหอมถึงบ้านอ้อนรายชายวิถี |
คิดอ้อยอบกลบกลั่นควันอัคคี |
มาลีรื่นอารมณ์ชมสำราญ |
เห็นเรือนตั้งบังป่าน่าขนลุก |
เรียกตาหลุกหลากใจเขาไขขาน |
บางไก่เถื่อนเรือนขวางอยู่กลางลาน |
พอถึงบ้านศาลายาวให้เร้ารุม |
ตะวันเที่ยงเปรี้ยงแดดแผดไถง |
ทั้งร้อนไอสติมอบประสบสุม |
เข้าพักร้อนผ่อนประทังนั่งประชุม |
พอหายกลุ้มกลัดบอกให้ออกเรือ |
แล่นระลอกกระฉอกฉานลมต้านหน้า |
ทั้งธาราแรงไหลหนักใจเหลือ |
ใบจักรจ้ำน้ำเปื้อนกระเทือนเรือ |
วิบากเบื่อทวนน้ำขึ้นร่ำไป |
ค่อยเลียบลัดตัดคุ้งมุ่งสถาน |
เขาบอกบ้านบ่อนตำบลชนอาศัย |
ระยะนี้ชี้จำสวนลำไย |
เห็นหมู่ไม้โนทยานบันดาลดอน |
เรือก็ไปใจก็งงพะวงหลัง |
มาถึงวังวนกระแสแม่ลูกอ่อน |
เขาเล่าเรื่องเคืองเข็ญเป็นธิกรณ์ |
ว่าแต่ก่อนมีกุมภามันกล้าครัน |
หญิงแม่ลูกอ่อนล่องนาวามาถึงนี้ |
กุมภารี่ร่าใส่ใจมหันต์ |
เข้าพิฆาตฟาดล้างเอากลางคัน |
เป็นเหยื่อมันม้วยมอดวอดชีวา |
ได้ฟังเล่าเค้าข้อจระเข้ |
มันเกเรร้ายนักยิ่งยักษา |
ประเดี๋ยวนี้มีหรือไม่ไฉนนา |
อยากดูหน้ามันให้ชัดอ้ายสัตว์พาล |
เรือวิ่งไวไกลคุ้งยิ่งมุ่งหมาย |
ดูเรือนรายทางประเทศเขตสถาน |
ถึงชัยนาทลาดแลกระแสลาน |
บ่ายประมาณสามโมงหยุดโยงเรือ |
เข้าจอดฝั่งยังจวนเจ้าเมืองพัก |
เห็นพร้อมพรักไพร่นายมาหลายเหลือ |
คอยคำนับรับรองมีของเจือ |
ทั้งข้าวเกลือสารพัดเขาจัดแจง |
ท่านแม่ทัพทักถามตามระบอบ |
โดยประกอบราชกิจไม่คิดแหนง |
สนทนาพาทีคดีแสดง |
ให้ทราบแจ้งจริงกระจ่างหนทางมา |
แล้วถามถึงท่านเจ้าเมืองเรืองสถาน |
อยู่สำราญรมย์สุขหรือทุกขา |
กรมการขานรสพจนา |
มีท้องตราโปรดให้ลงไปกรุง |
จึ่งถามว่าได้ยินข่าวเขากล่าวหลาย |
ว่าผู้ร้ายรุกร้นปล้นกันยุ่ง |
ต้อนวัวควายหลายคอกกันออกนุง |
ถึงรบพุ่งฆ่าฟันทุกวันคืน |
เขาตอบว่าถ้าสมทบบรรจบจับ |
มันรู้ศัพท์เสไพร่หนีไปอื่น |
แม้นไปน้อยลอยน้ำออกมายืน |
ประจุบันยิงปังไม่รั้งรอ |
ต้องแตกถอยย่อยยับกลับมาหมด |
มันทรหดเหี้ยวฮึกคึกหนักหนา |
ราวกับเสือเหลือสู้หมู่บีฑา |
ชาวประชาชนงกสะทกสะเทือน |
สดับฟังนั่งคิดในจิตร้อน |
อ้ายโจรจรฉกาจใจใครจะเหมือน |
เที่ยวราญรอนร้อนรำคาญทุกบ้านเรือน |
ฟังสะเทือนถอนในฤทัยทวี ๚ะ |
๏ ครั้นทราบเสร็จแล้วลานาวาเคลื่อน |
ครรไลเลื่อนแล่นไปในวิถี |
เห็นเรือรายขายค้าในวารี |
ที่คู่มีเมียงชิดสะกิดเกา |
พระสุริยงลงลับพยับเมฆ |
ให้วิเวกวาบทรวงนั่งง่วงเหงา |
วิหกเหินเกริ่นร้องก้องลำเนา |
เรียกคู่เคล้าเคลียคลอเสียงจอแจ |
พินิจนกอกร้อนอาวรณ์เทวษ |
แรมทุเรศเริศร้างมาห่างแห |
อกเอ๋ยอกนึกอายนกมาสอบแล |
ให้ท้อแท้ถอนฤทัยอาลัยลาน |
เรือก็เรื่อยเฉื่อยฉิวละลิ่วไล่ |
ถึงท่าไม้มองดูหมู่สถาน |
ลุบ้านกล้วยขวยจิตคิดรำคาญ |
เสียงฆ้องขานอุโฆษที่งตะบึงไป |
คอยเรียกเรือเหนือค้าสารพัด |
ใครหลีกลัดไล่จับไปปรับไหม |
เขาผูกถือซื้อช่วงเงินหลวงไป |
ตั้งโรงใหญ่ยาวเคียงอยู่เรียงราย |
พอเลี้ยวแหลมแง้มที่ภาษีตั้ง |
เห็นกุดังเด่นแควกระแสสาย |
ดูสูงกร้างทางท่าน่าสบาย |
เครื่องจักรรายเรียงวางไร้กลางโรง |
ทำสะพานซานแซ่กระแสลาด |
แลประหลาดลานตาดูอ่าโถง |
ใช้เครื่องจักรชักชุงพยุงโยง |
เข้าในโรงเลื่อยรอเสียงกรอกรู |
แลริ้วริ้วรี่เรื่อยชะเฉื่อยแล่น |
พอล่วงแด่นอัสดงลงรุบรู่ |
ขมุกขมัวมัวกลุ้มคลุ้มสินธู |
พินิจดูฝั่งเฝื่อระเรื่อดำ |
ไม่กระจัดชัดแน่แลเสียเปล่า |
เป็นเงาเงางุ้มแง่แลฉงำ |
เหมือนรูปกินรินร่อนยืนฟ้อนรำ |
อสูรกำวาสุกรีทีดังเป็น |
รูปสิงห์สัตว์หยัดยืนทะมึนมาด |
แลประหลาดหลากครันเหมือนฝันเห็น |
น้ำค้างย้อยพรอยพราวนั่งหนาวเย็น |
เนตรเขม้นมุ่งชมไม่สมปอง |
แต่ผู้นำจำประเทคเขตสถาน |
ตำบลบ้านบอกซัดไม่ขัดช้อง |
เห็นเนินลาดหาดนูนขึ้นมูนมอง |
เรียกหาดกองสินตั้งฝั่งประจิม |
แต่ในลำน้ำขานย่านเปาหลอด |
สุดจะสอดเสาะถามความหยุมหยิม |
หรือเป่าหลอดเลียบกระสายมารายริม |
ท่องเที่ยวลิ้มโลมชู้ที่คู่เคย |
ครั้นสมรักสมัครมั่นจึ่งผันผาย |
มาสู่สายสวาทเรียงเคียงเขนย |
ได้กองสินที่หินหาดเพราะมาดเชย |
จึ่งได้เลยร่ำลือเรียกชื่อมา |
หรือกระไรไม่แน่เป็นแต่นึก |
อย่าเพิกทึกถ้อยคำที่ร่ำว่า |
ถึงประจำรังแถลงแจ้งกิจจา |
ว่ากุมภาพาลมีที่วนวัง |
สามยามย่ำร่ำพ่วงจนง่วงเหงา |
ถึงหาดเสาหยุดจักรเข้าพักฝั่ง |
พบกองทัพพระพาหลดลประดัง |
ทอดสะพรั่งพร้อมหน้าอยู่ราราย |
เข้าจอดเรียงเคียงข้างทางสะท้อน |
อนาถนอนนึกไปแล้วใจหาย |
ประเดี๋ยวหลับประเดี๋ยวตื่นไม่ชื่นกาย |
จนรุ่งสายสุริยายิ่งอาวรณ์ |
ต่างตื่นตารารายร้องทายทัก |
อุตส่าห์หักเรื่องนิราศคลาดสมร |
สนทนาพาทีมีสุนทร |
พอได้ผ่อนพักตร์ตรมอารมณ์เรา |
ที่เรือจอดทอดท่านั้นหน้าวัด |
มีขนัดสงฆ์อยู่เชิงภูเขา |
จึ่งไถ่ถามอารามรายชายลำเนา |
บอกว่าเขาวัดท่าธรรมามูล |
มีพระพุทธสุทธิ์เลิศประเสริฐฤทธิ์ |
อันสถิตที่โบสถ์เป็นโสตศูนย์ |
ใครเคารพนบพระอันจรูญ |
แล้วได้พูนสวัสดิ์จิตเป็นนิจรันดร์ |
ครั้นแจ้งใจไคลคลาขึ้นอาวาส |
ตั้งจิตมาดหมายความตามกระสัน |
เคารพสงฆ์ทรงศิลาศรัทธาธรรม์ |
พระพรหมจรรยารมณ์อุดมดี |
ดูอร่ามงามสง่าหน้าบรรพต |
อุโบสถสุกใสประไพศรี |
บันไดสอก่อจรัสคันคีรี |
เป็นนาคีเคียงทอดตลอดลาน |
ขึ้นบนชั้นบันไดด้วยใจหวัง |
จนกระทั่งถึงศาลาหน้าวิหาร |
ระหวยหอบบอบกายอยู่ดายดาล |
พอลมพานพัดชื่นระรื่นรมย์ |
จึ่งจุดธูปเทียนสมาบูชาพระ |
คารวะนอบนบประสบสม |
พินิจนั่งภาวนาตั้งอารมณ์ |
โดยนิยมยินรสพจนา |
ลำเร็จกิจพิศพุทธรูปพระ |
ลักษณะทอดเทดังเลขา |
สุวรรณวามห้ามสมุทรสุทธิ์ศักดา |
ที่กลางฝ่าพระหัตถ์ซ้ายมีลายลอย |
เป็นรูปจักรทักษิณแสนพิเศษ |
จะสังเกตก็กลกับก้นหอย |
บางคนคิดจิตประสงค์ที่ตรงรอย |
เอาผี้งย้อยยัดหยอดเข้าถอดลาย |
เขาเลื่องชื่อลือพระธรรมจักร |
ตามลายลักษณ์ลอยวิไลเหมือนใจหมาย |
ทั้งศักดิ์สิทธิ์ฤทธีมีมากมาย |
บ้างยกบายศรีมาตั้งนั่งประวิง |
เขาลือข่าวกล่าวฤทธิ์ประสิทธิ์เหลือ |
พวกชาวเหนือนับถือหลายทั้งชายหญิง |
ใครขัดสนบนไว้แล้วได้จริง |
เหมือนเทพสิงสถิตพระปฏิมา |
อันตัวเราเล่าก็พรากมาจากนุช |
ไม่เสื่อมสุดสวาทสิ้นถวิลหา |
ขอเชิญเทพเทวฤทธิ์คิดเมตตา |
จงรักษาเสน่ห์นางอย่าจางจร |
แล้วเลยลาคลาคลาดค่อยยาตรย่าง |
ขึ้นบนโขดเขินเนินสิงขร |
ค่อยเลียบเลาะเกาะลัดดาอุตส่าห์จร |
ขึ้นบนก้อนโขดเขาลำเนาเนิน |
ถึงยอดผาตาชมพนมมาศ |
เห็นอาวาสเวิ้งว้างอยู่กลางเถิน |
พังทลายรายราบบหน้าเนิน |
ค่อยเลียบเดินดูดาษอนาถใจ |
รูปพระองค์ทรงพุทธสุทธิ์สวัสดิ์ |
ที่โปรดสัตวเศร้าหมองให้ผ่องใส |
มาหักกลิ้งทิ้งร้างอยู่กลางไพร |
เห็นสุดใจที่จะจัดเหลือศรัทธา |
จะนาฏเนินเผินไศลก็ใหญ่ยืด |
ดูเป็นพืชพุ่มทุมาลย์ชานภูผา |
นึกเกรงสัตว์บำหยัดยั้งถอยหลังมา |
ลงนาวาคิดวนกระมลมอง |
ตัวจะไปใจจะมาให้ว้าหวาด |
นึกอนาถนั่งคิดจิตสยอง |
พร้อมนายไพร่ในนาวาคณานอง |
เป่าแตรร้องสั่งให้รีบไคลคลา |
สะพรึบสะพรั่งนั่งแลกระแสสินธุ์ |
เสียงวารินแรงพานดังฉานฉ่า |
ในจิตเสียวเหลียวหลังคอยตั้งตา |
แล่นนาวาหวั่นไหวตั้งใจมอง |
เห็บปลาโผนโจนน้ำแล้วดำดั้น |
กระซิบกันว่ากุมภีล์ทีสยอง |
หัวสักศอกหลอกเล่าให้เฝ้ามอง |
โดยคะนองนิกเล่นเช่นเดาเดา |
ถึงบ้านชีตักคะนนตำบลบ้าน |
แล้วถึงย่านใหญ่นามมะขามเฒ่า |
ถัดถัดรายหมายมุ่งคุ้งตะเภา |
แนวลำเนาเนื่องมาเรียกท่าซุง |
ก็สิ้นแคว้นแดนพิสัยเมืองชัยนาท |
นิ่งอนาถนึกคิดจิตสะดุ้ง |
เรือยิงไปใจยิ่งดาลละลานลุง |
เหมือนชลพลุ่งพล่านล้นที่กลกวน |
ขอคุณพระธรรมจักรหลักชัยนาท |
จงบำราศร้างทุกข์สุขสงวน |
อย่าให้มีสรรพภัยสิ่งไรกวน |
จงมีส่วนเกษมสันต์ทุกวันคืน |
ล่วงตำบลพ้นไปใจวิตก |
เห็นเรือนรกโรยราไม่ฝ่าฝืน |
มีแต่ชื่อกระพือพงอยู่ยงยืน |
จึ่งไม่ชื่นชมกล่าวให้ยาวนาน |
แล่นไปพ้นตำบลบ้านย่านระยะ |
เข้าเขตมโนรมย์ชมสถาน |
ริมฝั่งรายชายเฟือยออกเลื้อยลาน |
ยอดตระการก่อรายชายวารี |
ถิ่นตำบลชลอยู่ดูวิโยค |
บ้านวัดโคกเคียงตั้งฝั่งวิถี |
ดูหงอยเหงาเงียบสงัดริมนที |
ประเดี๋ยวลี้ลับตำบลพ้นคามา |
พอบ่ายแสงแดงสอดยอดไศล |
ถึงเนินไผ่พุ่มตั้งริมฝั่งฝา |
ลัวนกอไม้ไผ่แถวแนวชลา |
ถัดถึงท่าแขกคามนามภิปราย |
ว่าเดิมทีมีแขกมาสร้างบ้าน |
แล้วทิ้งร้านโรงร้างไปห่างหาย |
กลับเป็นป่าหญ้าเฝือเหลือระคาย |
บรรยายแยะแยกแขกตะนี |
ศีรษะดาลบ้านรายริมชายฝั่ง |
ดูรุงรังริมแควกระแสสี |
มีเกาะขวางกลางวนชลธี |
ก็แล่นลี้หลีกล่วงในทรวงตรอม |
ประเดี๋ยวสุขประเดี๋ยวโศกด้วยโรครัก |
จนเรือจักรแล่นมาถึงท่าขอม |
มิได้วายรายตรมระงมงอม |
ยิ่งเหนี่ยวน้อมเหมือนหนึ่งน้าวให้ร้าวรึง |
โรคอะไรในร่างพอร้างได้ |
อันโรคใจเจ็บตันให้อั้นอึ้ง |
ยิ่งถอนถ่ายก็ไม่ถูกเหมือนผูกตรึง |
เห็นเต็มตึงติดตันไม่บรรเทา |
ทอดระทมตรมอุราลีลาลาศ |
ถึงบ้านหาดมะตูมคิดในจิตเหงา |
มะตูมผลหล่นหอมถนอมเนา |
ไม่เทียบเต้าตูมอุบลพี่คนเดียว |
ถึงละเมาะเกาะเทโพโอ้มัจฉา |
ไม่เห็นพาพวกพ้องขึ้นท่องเที่ยว |
หลบลงชลวนกันชมอยู่กลมเกลียว |
เรามาเดียวมิได้เชยก็เลยจร |
ถึงอาศรมชมระย้าพฤกษาไสว |
เรียกวัดใหญ่ภิญโญสโมสร |
แล่นครรไลไปจนสิ้นทินกร |
ยิ่งอาวรณ์หวั่นใจกระไรเลย |
ถึงจวนจอดทอดเทียบเรียบระยะ |
เรียกเมืองมโนรมย์นิคมเฉลย |
คิดคำเขาเล่านิยายภิปรายเปรย |
ว่าชายหนึ่งเคยขี้เมาเหล้ากัญชา |
มันโหยกเหยกเกกเก่งข่มเหงราษฎร์ |
ทำบังอาจเบียดเบียนเสี้ยนเคหา |
ชนระบือชื่อฉาวราวกับกา |
ชาวคามาหมายจะตีเอาชีวัง |
ถึงคราวดีได้ช้างศรีเศวตรผู้ |
นำมาสู่เสร็จสมอารมณ์หวัง |
ถวายพระองค์ทรงศักดิ์นครัง |
จึ่งโปรดตั้งให้เป็นพระมโนรมย์ |
ครองแดนดินสุดสิ้นเสียงช้างร้อง |
ประทานของภาชนะเครื่องตะถม |
ประดับยศงดงามตามนิคม |
เป็นบรมสุขครันแต่นั้นมา |
พลางรำพึงถึงจะไปในคราวนี้ |
ปราบไพรีโจรสิ้นทั้งสังขา |
แม้นเหมือนหมายได้นายมันมัดมา |
เช่นคชาเฉลิมองค์พระทรงธรรม์ |
คงโปรดเปลื้องเลื่องยศปรากฏหล้า |
ในใต้ฟ้าเฟื่องลือหฤหรรษ์ |
ได้สมสุขชุกชื่นทุกคืนวัน |
นึกรำพันพาไปพอใจเพลิน ๚ะ |
๏ ฝ่ายผู้รั้งกรมการขนานหน้า |
พร้อมกันมานบนั่งริมฝั่งเผิน |
ตั้งกองก่อเพลิงพลางสว่างเนิน |
แลดูเพลินโพลงไปในนที |
ท่านไถ่ถามตามนุสนธิ์แต่หนหลัง |
พอได้ฟังคำปากเป็นศักดิ์ศรี |
ได้ทราบเหตุเขตแคว้นแดนบุรี |
ตามคดีสดับฟังนั่งคะนึง |
พออาทิตย์อุทัยเรือไฟออก |
แล่นระลอกลั่นสล้างเสียงผางผึง |
ถึงสถานสะพานหินถิ่นสำคะนึง |
นั่งตะลึงแลอาลัยมิได้ชม |
จนถึงบ้านหาดทะนงเฝ้าจงจิต |
ทะนงคิดหาคู่ที่สู่สม |
เป็นเพื่อนไร้แรมเรื้อชิดเชื้อชม |
ที่ระทมก็จะเบาบรรเทาลง |
รู้ลึกยั้งตั้งสติดำริตรึก |
ไฉนนึกทะนงจิตพิศวง |
มาสงครามห้ามสวาทนาฏอนงค์ |
เราควรคงคำมหาพระอาจารย์ |
ครั้นคิดกลับเกลื่อนรักพอหักเหตุ |
ดูนาเวศวิ่งเพลินเกินสถาน |
แลริ้วริ้วทิวรุกขาริมท่าธาร |
ถึงหมู่บ้านบอกระยะศีรษะยาง |
สิ้นประเทศเขตข้างเมืองช้างร้อง |
ได้จดจองบ่อนเบาะเฝ้าเสาะสาง |
ล่วงเข้าแขวงพยุหะจังหวะวาง |
ตำบลร้างรกที่ไม่มีชน |
นั่งถวิลจินตนาถึงท่าอ้อย |
ลูกค้าคอยซื้อรับกันสับสน |
ท่าชาวดงลงกระทั่งถึงฝั่งชล |
เลยตำบลบ้านไปตั้งใจจร |
จวบถึงจวนพยุหะดูเทวษ |
หน้าบุเรศโลเลแทบเทถอน |
ดูรุงรังช่างกระไรไม่อาวรณ์ |
เสือแทบซ่อนซุ่มได้ที่ในจวน |
ไม่รอจักรพักไฟไปเตลิด |
เผอิญเกิดวายุพัดกลุ้มกลัดหวน |
เรือโยงยุดฉุดมั่นเข้าพันพวน |
กำปั่นป่วนลมปัดพัดตะแคง |
แล่นตะบึงถึงบางผีโดยรี่รุด |
พยุหยุดยั้งคิดในจิตแหนง |
กลัวผีหลอกออกขวางเอากลางแปลง |
เร่งไฟแรงจักรจ้ำถึงน้ำทรง |
ดูเวิ้งรุ้งคุ้งใหญ่น้ำไหลอ่อน |
จึ่งเรียกผ่อนผันนามตามประสงค์ |
เห็นอ่อนอับจับจำเป็นคำคง |
เรียกน้ำทรงแต่ไม่นิ่งจริงเหมือนนาม |
แล้วล่วงเข้าย่านมัทรีมีคำหมาย |
คุ้งกระสายยาวเยิ่นคิดเขินขาม |
ประมาณมากยากแท้ไม่แน่ความ |
จึ่งเลื่อนลามเล่าเหตุเทศน์มัทรี |
พอเทศน์จบครบกำหนดก็หมดคุ้ง |
จึ่งได้มุ่งหมายนามตามวิถี |
แต่จะขึ้นหรือล่องท้องนที |
ก็ไม่มีปลายต้นเห็นจนใจ |
จึ่งคิดตอบสอบนาฬิกาตั้ง |
เดินกระทั่งท้ายคุ้งมุ่งสมัย |
เรือไฟโยงโมงหมดกำหนดใจ |
เข้าย่านใหญ่วังปราบทราบกิจจา |
ว่าเดิมทีมีกุมภามันร่าร้าย |
เที่ยวแหวกว่ายวารินกินมัจฉา |
เห็นเรือขึ้นล่องลงในคงคา |
มันแกล้วกล้ากลอกใกล้เข้าไล่คน |
กินเสียมากยากยับนับไม่ถ้วน |
ต่างคนป่วนปั่นคิดจิตฉงน |
คิดพิฆาตมาดล้างให้วางชนม์ |
มันคงทนแทงฟันไม่บรรลัย |
มีบุรุษสุทธิ์ประสิทธิ์วิทเยศ |
เรื่องพระเวทวรฤทธิ์ประสิทธิ์สัย |
แต่งแพหยวกผูกยันต์ป้องกันภัย |
เคารพไทยธรนิศร์ตั้งกิจกรรม |
แพลอยดลวนวังดังถวิล |
วักวารินเรียกให้ออกมานอกถ้ำ |
พลางอ่านมนต์บ่นงึมเสียงพึมพำ |
บริกรรมชื่อประชุมหมู่กุมภา |
จระเข้ร้อนนอนน้ำเหมือนสำลัก |
พ่นไพลพลักโผล่ลำพองคะนองกล้า |
หมอก็หาญชาญกลด้วยมนตรา |
เรียกกุมภาพาลเคียงเข้าเรียงรอ |
เร่งสาดน้ำพร่ำคาถาตาปริบปริบ |
แล้วเยื้องหยิบด้ายยันต์เข้าพันศอ |
ผูกกระหวัดรัดหัวมันกลัวงอ |
เอามีดหมอจดสมองมันร้องคราง |
กระโดดดิ้นสิ้นกำลังไพลพลั่งพล่าน |
ลงกบดานสูญไปมิได้สาง |
ชนจึ่งลือชื่อแถลงแสดงทาง |
เรียกบ้านบางปราบชี้คดีมา |
แล่นเรือพลางทางจำในคำกล่าว |
ถึงยางขาวทอดทัพเข้ากับท่า |
ต้นยางเคียงเรียงรายชายคงคา |
ทัศนานวลยางสล้างแล |
หยุดทัพค้างสร่างไสครรไลแล่น |
ยลเขตแคว้นแควชลาท่ากระแส |
มีกรวดรายชายลาดหาดสะแก |
สลับแลต้นสล้างริมทางธาร |
ถึงหาดตะนิวแนะชี้คดีเล่า |
ว่ามีเต่าขึ้นไข่ในละหาน |
ทำรอยเรียบเทียบถูให้ดูลาน |
แกล้งทำมารยาหวังระวังภัย |
คิดถึงสัตว์จัดแสร้งแต่งวิมุต |
มิให้มนุษย์รู้จักจะลักไข่ |
เราพรากน้องหมองมาด้วยอาลัย |
ยังมิได้ซ่อนรักเลยสักวัน |
รำพึงพาอาลัยเรือไฟแล่น |
ล่วงเข้าแดนเมืองนครสวรรค์ |
ริมฝั่งรื่นพื้นรุกขาสารพัน |
เร่งกำปั่นเร็วไปใส่ไฟฮือ |
บ้านบางฉ่าตั้งเรียงเคียงระยะ |
บ้านโกรกพระยางตลาดเขาขานชื่อ |
บางชะพลูบ้านหว้าท่าสะตือ |
บ้านเกาะชื่อช่างเหมาะเห็นเกาะมี |
ดูโดดเด่นเผ่นพินิจสถิตเสถียร |
บ้านตะเคียนเลื่อนรายชายวิถี |
บ้านยางโทนต่อแถวแนวนที |
ก็รีบรี่เลยบางทางจรัล |
ตะวันบ่ายชายแสงแฝงพฤกษา |
ก็ถึงหน้าเมืองนครสวรรค์ |
เข้าจอดเทียบเรียบเรียงเคียงเคียงกัน |
ดูเป็นหลั่นหลามหน้าท่าบุรินทร์ |
มีทำเนียบเทียบรับแม่ทัพตั้ง |
อยู่บนฝั่งบูรพาน่าถวิล |
ดูเรียบรื่นพื้นพูนเขามูลดิน |
สถานถิ่นเรือนรายริมชายชล |
พวกนักการงานเร่งระเบ็งเสียง |
เขากวาดเกลี้ยงเกลื่อนถางทางสถล |
แล้วกรมการเดินตามมาสามคน |
ถึงเรือกลก้มคำรบนอบนบเรียบ |
เชิญขึ้นนั่งยังทำเนียบที่เรียบรับ |
ให้พักทัพทอดยังฝั่งเฉนียน |
ท่านรับเชิญเจริญคำเขาร่ำเรียน |
ขึ้นบนเตียนที่ตั้งแล้วสั่งพลัน |
ให้นายงานการเสบียงเลี้ยงทหาร |
ตรวจข้าวสารสืบสาวดูยาวสั้น |
ทางนทีที่จะไปอีกหลายวัน |
คิดกะกันให้ตรงลงบัญชี |
พนักงานคำนับรับคำสั่ง |
มาคิดตั้งตั๋วฎีกาตามหน้าที่ |
เบิกสำเร็จเสร็จส่งลงนาวี |
หยุดราตรีตรอมใจอยู่ในเรือ |
พวกกรมการเกณฑ์พลมากล่นกลุ้ม |
นั่งกองสุมเพลิงพลางสว่างเหลือ |
เสียงตีฆ้องมองยามคอยห้ามเรือ |
มิให้เจือแจวเคียงมาเมียงมอง |
จนอาทิตย์อุทัยแสงขึ้นแจ้งจ้า |
ครรไลลาแล่นไปดังใจหมอง |
ถึงเกาะเห็ดเล็ดล่วงในทรวงตรอง |
เกาะมากองกีดขวางทางอยู่ไย |
ที่ริมธารชานกระสินธุ์เป็นถิ่นค้า |
เรียกวัดท่าชับมองดูผ่องใส |
หนทางดอนจรลงท่าชลาลัย |
ถัดขึ้นไปริมทางเรียกบางปรอง |
ออกชื่อบางหมางกระมลให้จนจิต |
ไฉนคิดค่าคำร่ำสนอง |
เหมือนมิ่งมิตรสนิทในฤทัยปอง |
เคยปรองดองเด็ดอาลัยมาไกลกัน |
วิโยคยากพรากนวลมาครวญคร่ำ |
ถึงปากน้ำโพทอดจอดกำปั่น |
ด้วยน้ำตื้นพื้นบางทางจรัล |
ต้องผ่อนผันถ่ายขนปรนโยธิน |
เรือที่ไปใหญ่ยาวในคราวนั้น |
ชื่อกำปั่นเวสตาน่าถวิล |
เครื่องจักรจัดพัดพาไม่ราคิน |
ดังจะบินแบกไปโดยใจปอง |
มาติดตื้นฟื้นชลเห็นจนจิต |
จึ่งต้องคิดผ่อนปรนให้ขนของ |
เที่ยวเช่าเรือเหนือมาได้ดังใจปอง |
โดยลำยองใหญ่ดีทั้งสี่ลำ |
ยังเหลือล้นปรนจ่ายเรือนายทัพ |
บรรทุกปรับเพียบประแทบจะคว่ำ |
ยังแต่เกลือเหลือมากชนจากลำ |
มอบให้กำนัลไว้ในตำบล |
นาวาแหวดแอดเดอรีขี่สำหรับ |
ก็ถ่ายรับฝรั่งครูดูสับสน |
ต่างโยกย้ายถ่ายถอนจัดผ่อนปรน |
ไปนั่งจนใจราอยู่หน้าเรือ |
ในลำท่านแม่ทัพขี่มีระยะ |
ทางศีรษะโล่งลมระทมเหลือ |
หนาวฤดูพรูพร่างน้ำค้างเจือ |
คะนึงเนื้อนุชนาฏไม่คลาดคลาย |
หมองอารมณ์ตรมอุรานักหนานัก |
สุดจะหักอาดูรให้สูญหาย |
เห็นเรือแพแม่ค้าอยู่ราราย |
เขาซื้อขายขึ้นล่องท้องนที |
ที่อยู่แพแลกระสันวรรณวิลาส |
เอี่ยมสะอาดเอกนางสำอางศรี |
ดูจิ้มลิ้มยิ้มย่องต้องฤดี |
ช่างเซ้าซี้แนบสนิทดูชิดชม |
เห็นคู่เขาเคล้าคลอนั่งรอพักตร์ |
ระเริงรักเรียงคู่ที่สู่สม |
สรวลระริกซิกซี้คะรี้คะรม |
แต่เราตรมเตรียมช้ำระกำกาย |
แกล้งทำเชือนเลือนแลแพสินค้า |
เห็นมีปลาเต้าแตงตกแต่งขาย |
ทั้งใต้ชันน้ำมันยางตุ่มวางราย |
น้ำตาลทรายยาสูบธูปไทยจีน |
บ้างนุ่งขาวสาวค้าเนื้อปลาสด |
ช่างขี้ปดปิดซื่อไม่ถือศีล |
ประชันประชดสบถสะบัดพูดปัดปีน |
ถึงเป็นจีนใจก็ทราบเรื่องบาปบุญ |
ค้าเม็ดบัวหัวผักกาดกวาดขึ้นไว้ |
ของข้างใต้ติดเจือมาเกื้อหนุน |
เกลือพริกไทยใบชาปลาสีกุน |
ชุลมุนมุ้งม่านดูลานตา |
ผ้าลายตั้งทั้งกุลีมีแพรหลิน |
ทุกสิ่งสิ้นสารพัดเขาจัดหา |
ของข้างเหนือเหลือหลามตามกันมา |
เป็นทางท่าสมทบแควกระแสลง |
ที่บนฝั่งตั้งศาลขานม้าล่อ |
เจ๊กไม่ฮ้อซวยเสียหาเฮียก๋ง |
ปล่อยผมเปียเคี้ยปนเถาคุกเข่าลง |
ให้โต้หลงจีนตึ๋งไปตึ้งซัว |
แม้นขายหมูอู้จี่มีมั่งคั่ง |
หางิ้วหนังมาคูเล่นเช่นเจ๊สัว |
ตั้งโต๊ะเลี้ยงเหล้าหมูอู้ซิมกัว |
ยกเป็นตั้วยี่ใหญ่ใช้นิ้วมือ |
ชมตำบลจนค่ำต้องจำค้าง |
ใกล้สว่างนอนหนาวลมว่าวหวือ |
ไม่มีฝาผ้าบังตั้งกระพีอ |
เสียงฮือฮือหวนให้ใจคะนึง |
แรมนิราศคลาดนุชก็สุดยาก |
ลมยังกรากโกรกพัดเอาอัดอึ้ง |
น้ำค้างหยาดสาดซํ้านอนรำพึง |
นิ่งคะนึงหนาวอุระจนอรุณ ๚ะ |
๏ จะกล่าวฝ่ายนายบ้านปานเศรษฐี |
แกมาที่ท่านแม่ทัพสนับสนุน |
อะไรขัดจัดเกื้อช่วยเจือจุน |
เหมือนดังคุ้นเคยรู้จักมาทักทาย |
จึ่งไถ่ถามตามไมตรีที่มาทัก |
ได้ประจักษ์แจ้งเค้าเล่าขยาย |
เดิมเป็นคนจนยากลำบากกาย |
คิดผันผายผ่อนมาตั้งหากิน |
อยู่ปากน้ำโพนี้สิบปีกว่า |
ตั้งกองค้าขายรับได้ทรัพย์สิน |
ปีกลายนี้มีศรัทธาไม่ราคิน |
ด้วยจิตจินตนาการมานานครัน |
สร้างอาศรมโดยนิยมบนยอดเขา |
แลเสลาลอยเมฆได้เสกสรร |
ชี้ให้ดูอยู่บนดอนสิงขรคัน |
นั่งชมบรรณศาลาอยู่หน้าเรือ |
แต่ยังร้างค้างราด้วยหน้าฝน |
จะแบกขนของก็ยากลำบากเหลือ |
จึ่งรวมรอห่อหุ้มไว้คลุมเครือ |
จนเต็มเฝือแฝงตาลัดดาปน |
พอดกแล้งแห้งน้ำจะร่ำรุด |
ให้สิ้นสุดแล้วลุการกุศล |
ไว้เป็นทรัพย์สำหรับกายเมื่อวายชนม์ |
เป็นถนนนฤพานกันดารดง |
ท่านแม่ทัพสดับสารตาปานบอก |
ศรัทธาออกสิบสองบาทอังคาสสงฆ์ |
แกโมทนาสาธุโดยจุจง |
ให้พรส่งเสริมศรัทธาสถาพูน ๚ะ |
๏ ครั้นเสร็จสรรพเคลื่อนทัพออกจากท่า |
แล่นนาวาหวังสวาสดิ์ไม่ขาดสูญ |
เรือยิ่งไปใจยิ่งเฝือเหลืออาดูร |
ยิ่งเพิ่มพูนรักร่ำระกำโกย |
เห็นต้นเลาเสลาดอกออกกำดัด |
พระพายพัดพาลกระพือพาฮือโหย |
ละอองขาวราวสำลีประชีโปรย |
ประดาษโดยแดนชลหล่นละลาย |
ถึงแหลมโหลโร่รุ้งเป็นทุ่งกว้าง |
เห็นนกยางขยอกยืนกลืนอาหาร |
เสียงซอแซแซ่ซื่นรื่นสำราญ |
ตะลึงลานแลรายชายสาคร |
วิเวกว้าชลาเหลิงกระเจิงไหล |
ถึงบ้านใหม่เรือนหมู่ดูสลอน |
พรึกสะพรั่งบังศรีรวีวร |
ไม่รุ่มร้อนเหมือนเราเร้าฤดี |
นาวาวิ่งยิ่งพูนอาดูรเด็ด |
ถึงบอระเพ็ดพิศบ้านสถานที่ |
เห็นสาวสาวชาวบ้านปลาดูราคี |
ผิวฉวีหมองคล้ำไม่น้ำนวล |
ด้วยถูกแดดแผดสกนธ์จึ่งหม่นหมอง |
เพราะลงหนองจับปลาดูน่าสรวล |
เกลือกแต่ตมงมแต่ปลักไม่รักนวล |
สุดชวนชมแก้วตาให้พาเพลิน |
ที่ริมบ้านธารดูมีคูร่อง |
ไปออกช่องชานหนองเป็นคลองเขิน |
ถึงดอนคาท่าสถานกันดารเดิน |
นึกดำเนินความที่เขาเล่าแสดง |
ว่าใครใครอยากจะใคร่กินเต่า |
ไปอยู่เขากะลาวาจาแจ้ง |
อยากกินปลาสารพันจำนรรจ์แจง |
อยู่ตำแหน่งบอระเพ็ดเป็นเสร็จกัน |
อีกคำว่าถ้าจะชมสมสนุก |
ให้เป็นสุขสะสมภิรมย์ขวัญ |
ไปสถานบ้านดอนคากลางอารัญ |
ชมนางครรไลลาตักวารี |
ว่าทางไกลไปเปลี่ยวคอยเที่ยวตัก |
ประสบพักตร์อนงค์ชมประสมศรี |
กำเริบฤทธิ์อิศโรเรื่องโลกีย์ |
ฟังคดีดูอุบาทว์ประหลาดความ |
นึกกังขาถ้าจะเป็นก็เห็นผิด |
ใครหนอคิดหลากผู้สู่สนาม |
เป็นโคถึกออกทุ่งมุ่งตะกลาม |
เที่ยววิ่งตามติดสุรางค์นางกระทิง |
คิดไปพลางทางแลเห็นแควแยก |
อกจะแตกเตือนสะดุ้งนึกสุงสิง |
เหมือนรักแยกแตกบำราศอนาถจริง |
เฝ้าคิดกริ่งตรึกถามนามภิปราย |
กำนันนำร่ำชี้คดีเล่า |
เขารู้เค้าเขตขัณฑ์ที่มั่นหมาย |
ซ้ายนาวาน้ำเวิ้งปากเชิงกราย |
หนทางผายผันเนื่องเมืองกำแพง |
เราไปขวาชลาลานเขาขานไข |
เมืองพิชัยชี้จดไม่หมดแขวง |
เนื่องชโลโยนกยกมาแจง |
สุดจะแจ้งจดระบิลให้สิ้นกลอน |
พลางชมเชิงชลาลัยหญ้าใบเขียว |
สามหาวเดียวดอกเด่นเห็นสลอน |
หญ้าพองลมนมแนบแกมนมงอน |
แฝงกอบอนใบระบัดสลัดลม |
แมลงหวี่หวีหวู่บินฉู่ฉ่า |
ปลาสร้อยส้าเสือแฉลบแอบประสม |
ว่ายระริกกระดิกดูเป็นหมู่กลม |
ปลาเสืออมชลปรีดฉีดแมงวัน |
พลัดตกผลอยฝอยฟุ้งดูยุ่งแย่ง |
ปลาเค้าแว้งวูดวาดไล่ผาดผัน |
ชะโดต้องล่องลอบประกอบกัน |
ระลอกลั่นไล่คว้าฮุบซ่าซิว |
ชมมัจฉาพาเพลินถึงเนินไผ่ |
เรียกบ้านไร่แลเป็นหลั่นกำปั่นฉิว |
เห็นแต่ไม้ไผ่แนวเป็นแถวทิว |
ดูริ้วริ้วเรือรุดไม่หยุดรา |
ถึงทับกฤษคิดกริ่งนิ่งอนาถ |
เสียงวูดวาดแหวกว่ายกระสายซ่า |
สยองสยดระทดทุ่มว่ากุมภา |
แล่นนาวาหวั่นใจกลัวภัยพาล |
แลดูชนบนฝั่งที่ตั้งอยู่ |
ไม่เป็นหมู่โรเรเคหฐาน |
ช่างเต็มแกนแสนเข็ญเห็นกันดาร |
เหลือทนทานทับกระท่อมดูกรอมกรอย |
พอบ่ายสามนาฬิกาก็ราจักร |
เข้าหยุดพักพลที่ไร่ไผ่หยอกหยอย |
เห็นคนเฒ่าเหย่าย่องช่างตองตอย |
แกแอบต้อยตาตั้งมานั่งมอง |
จึ่งปราศรัยไถ่ถามตามสงสัย |
บ้านอะไรไร่ป่าตาเจ้าของ |
แกช่างตอบชอบอารมณ์ให้สมปอง |
ตะโกนร้องบอกดังว่าวังนา |
ท่านชอบใจให้หิรัญอันหนึ่งบาท |
กลับพาญาติเหลนหลานคลานมาหา |
ท่านก็ให้เฟื้องสลึงถึงราคา |
ตามศรัทธาทั่วถ้วนพอควรการ |
๏ ครั้นสุรีย์ศรีแสงฉายชายพฤกษา |
แล้วก็ลาแล่นน้ำลำละหาน |
จนเย็นย่ำค่ำยลอนธการ |
ล่วงทิวารลับตะวันจันทร์กระจาย |
ล่องสว่างทางครรไลพอได้ทุ่ม |
เข้าจอดซุ่มทัพค้างบางสวาย |
กำดัดดึกเดือนดับระงับกาย |
พอสางสายสุริยันก็ครรไล |
เรือระรี่เรื่อยมาบางปลากด |
เลี้ยวคุ้งคดโคกม่อมีกอไผ่ |
ระยะย่านบ้านบางนั้นห่างไกล |
แต่บอกไว้วางเค้าสำเนาทาง |
ถึงเกยชัยใจเต้นเห็นศาลเจ้า |
เดิมเขาเล่าว่ากุมภาหน้ามันด่าง |
อยู่ตำบลวนนี้เป็นที่ทาง |
เที่ยวไล่ล้างคนกินสิ้นอนันต์ |
เห็นเรือล่องหนุนล่มให้จมน้ำ |
แล้วคาบซ้ำในกระสินธุ์สิ้นอาสัญ |
ไม่อาจล่องเรือแพมาแจจัน |
เพราะกลัวมันจะมากินสิ้นชีวี |
ครั้นนานมาเขาจึ่งฆ่ามันลงได้ |
ตัดหัวไว้วางประจานบนศาลผี |
ยังตั้งอยู่ดูสลัวหัวกุมภีล์ |
จึ่งได้มีชื่อขนานศาลเกยชัย |
นั่งรำพันจนตะวันลงเฝือแฝง |
ถึงวัดชมแสงหยุดจักรพักอาศัย |
รุ่งอรุณเร่งบอกออกเรือไฟ |
แล่นเข้าในแขวงพิจิตรคิดจำนวน |
เขตซึ่งต่อล่อแหลมอยู่แง้มซ้าย |
มีเรือนรายริมฝั่งกำมังด้วน |
มะขามเรียงเคียงวังกร่างจะร้างซวน |
สุดจะครวญครุ่นชี้คดีแดน |
เนินมะกอกบอกย่านอีกบ้านไร่ |
เป็นป่าไม้มุ่นหมกหญ้ารกแสน |
ถึงบ้านช้างร้างชนด้วยกลแกน |
ก็ล่วงแล่นลับไปอาลัยเลย |
โอ้นิราศคลาดรักอลักเอลื่อ |
มาแล่นเรือซมรกโอ้อกเอ๋ย |
เห็นเรือนไหม้ไฟล้มลมรำเพย |
เถ้าระเหยหอบฮือกระพือจร |
อันเรือนเราเล่าก็ไร้มิได้เฝ้า |
จะถูกเถ้าทัพระคายสายสมร |
ทั้งร้อนเถ้าเร้ารักหนักอาวรณ์ |
ไหนจะผ่อนพ้นโรคที่โศกซม ๚ะ |
๏ สงสารสุดนุชจะหมองละอองอบ |
นั่งเซาซบซูบศรีไม่หวีผม |
ทุกข์ถึงเราเศร้าถึงกายไม่วายตรม |
นิ่งระทมสู้ทนแต่กลกรรม |
พี่อยู่ด้วยฉวยว่ามีกลียุค |
สักหมื่นทุกข์แสนทับมาสรรพสัม |
มิได้ทิ้งนิ่งให้น้องต้องตรากตรำ |
นี่จนจำใจลาสุดาดวง |
ถึงตัวไกลใจยังกล่อมถนอมพักตร์ |
ภิรมย์รักร้อนใจเป็นใหญ่หลวง |
เรือยิ่งไกลใจยิ่งกลุ้มถึงพุ่มพวง |
รักจะตวงเห็นจะโตกว่าโลกา |
มาถึงย่านบ้านบางงิ้วละลิ่วเลื่อน |
น้ำสะเทื้อนเรือสะท้านเสียงฉานฉ่า |
บ้านมูลนาคสองฟากรายชายคงคา |
พักนาวาแวะค้างสว่างจร |
แล่นเรื่อยเรื่อยแลไรไรบางไข่เน่า |
ชะวากเว้าเวิ้งกระแสแลสลอน |
เรียกคลองไกรไหลมาแต่ป่าดอน |
ออกนครพิจิตรเก่าเล่ารำพัน |
คลองบางไผ่ไหลล้นชนบางโป่ง |
เป็นคุ้งโค้งคดคู้ดูขยัน |
สุดวิสัยไม่รู้บางทางจรัล |
เรือก็บรรลุถิ่นบ้านสินเทา |
สงสัยนามตามในน้ำใจคิด |
หรือประดิษฐ์ดัดแปลงแถลงเล่า |
ชื่อสินธพกลบกล้ำกลืนสำเนา |
หรือสินเธาว์ธาตุเกลือในเนื้อบาง |
นึกพินิจคิดเห็นเป็นประหลาด |
ถึงบ้านหาดแตงโมดูโตกว้าง |
น้ำลดลาดหาดมูนขึ้นพูนกลาง |
แลดูพร่างพราวตาริมวารี |
ยลกรวดทรายรายระหว่างทางทุเรศ |
ลุประเทศคามาตาขุนสี |
เดิมผู้เฒ่าเจ้าสำนักนั้นศักดิ์มี |
ได้รับที่ประทวนหมายนายกำนัน |
ถึงบ้านหนึ่งนามพูดจังกูดเจ๊ก |
ผู้ใหญ่เด็กเรียกดังฟังดูขัน |
ช่างให้ชื่อถือจำเป็นสำคัญ |
จะถามคั้นเค้าเดิมว่าเคลิ้มคลาย |
ที่น้ำนูนพูนขวาซ่ากระสินธุ์ |
สะพานหินเห็นขวางกลางกระสาย |
เรือเดินแนบแอบจรัลตะวันชาย |
ทางฝั่งซ้ายสุดสิ้นที่หินดาน |
บ้านงิ้วรายชายชลมีต้นงิ้ว |
สูงละลิ่วแลดอกออกประสาน |
นกเอี้ยงออซอแซแซ่สำราญ |
ร้องประสานเสียงเพราะเสนาะนวล |
บ้านห้วยเกดเหตุผลมีต้นเกด |
ทางประเวศไปเมืองคำปลายน้ำด้วน |
ในพื้นธารดาลตื้นไม่ชื่นชวน |
เรือกระบวนบ่ายบากยักยากจร |
พระสุริยาราแรงสร่างแสงเศร้า |
ถึงบ้านเขาลูกช้างอ้างสิงขร |
แลเป็นกลุ่มพุ่มรุกขาเวลารอน |
ดังกุญชรเชิญชัดกระจัดตา |
เข้าทอดเทียบเลียบหน้าท่าสำนัก |
พระจันทร์ชักรถล่องห้องเวหา |
ยลแสงจันทร์ดั้นเมฆวิเวกตา |
คะนึงหน้านวลฉวีจับศรีจันทร์ |
สักเมื่อไรจะได้ยลวิมลพักตร์ |
ให้ร้อนรักรัญจวนใจจนไก่ขัน |
พอรุ่งรางสว่างสายขึ้นพรายพลัน |
ชาวบ้านนั้นมาคำนับแม่ทัพชัย |
มียอดผักฝักถั่วหัวผักกาด |
ยกกระจาดลงมานั่งปราศรัย |
พร้อมลูกเต้าเผ่าพันธุ์ที่ครรไล |
ท่านแจกให้เงินทั่วทุกตัวคน |
เสร็จรางวัลปันให้ด้วยใจเจตน์ |
ก็ประเวศนาวาพาพหล |
บ้านถัดถัดขนัดรายริมสายชล |
บางตำบลนี้เล่าเรียกเขาพระ |
แล้วเลยต่อล่อหลามมีนามบ่ง |
ศีรษะดงเด่นเคียงเรียงระดะ |
ดอกเลารายชายเชยขอเลยละ |
ถึงจังหวะวังฟ้าผ่าสัจจาเจียว |
เห็บทุ่งนาปลาชุมผุดปุ๋มป๋อม |
วิหคจ๋อมเล็บจับไล่ฉับเฉี่ยว |
นกกาน้ำดำระลอกเป็นกลอกเกลียว |
นกนางเหยี่ยวเยื้องท่าถาบถาลง |
นกนายงั่วตัวดีทีจะจับ |
ทำขยับยักตลบสบประสงค์ |
นกออกแอบแนบออริมกอพง |
กระสาส่งเสียงซ่าชลาลาน |
นกยางกรอกซอกเซื่องค่อยเยื้องย่อง |
กระทุงล่องลอยแพแลขนาน |
จะกรุมโกร๋นโล้นศีรษะแลละลาน |
ส่องประสานสอดสีสุริยัน |
ต้อยตีวิดติดแตร้องแต้แหวด |
นางแอ่นแอดอัดลมดูคมขัน |
เดินกระดกยกหางอยู่กลางคัน |
นกกดขันตอเหมือนอูดปูดปูดไป |
นกกิ้งโครงโคลงเคล้าเฝ้ามหิงส์ |
นกเอี้ยงอิงแอบเอี้ยงส่งเสียงใส |
ชมวิหคนกบางพลางครรไล |
พอเรือใกล้บินกลุ้มขึ้นพุ่มพง ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพทัศนาชลาลาด |
เห็นเรือดาษดื่นจอดทอดระหง |
เฉลวปักเป็นสำคัญไว้มั่นคง |
คือบอกตรงว่าจะขายเป็นรายวาง |
จึ่งสั่งให้เรือไปเลียบเข้าเทียบท่า |
ถามซื้อหาเห็นชัดไม่ขัดขวาง |
เจ้าของบอกออกให้ไม่ระคาง |
ตามแบบอย่างเล็กใหญ่ในราคา |
ลำหนึ่งใหญ่ใหม่ปลั่งห้าชั่งสิบ |
ลำย่อมหยิบยกมาดปรารถนา |
ลดให้หกสิบบาทขาดราคา |
ต่อถอยมาเป็นไม่ลงอยู่คงตัว |
ชวนกันก้มชมมองห้องเรือเรียบ |
กงตะเกียบขวาซ้ายทั้งท้ายหัว |
กระดานพื้นลื่นละอองไม่หมองมัว |
พินิจทั่วประทุนท้ายสบายบาน |
นับเงินให้ในจำนวนไม่ชวนช้า |
สิบชั่งห้าตำลึงลงที่คงขาน |
ไม่เกี่ยงงอนผ่อนเวลาให้ช้าการ |
เจ้าของกรานกราบคำนับมารับเงิน |
แล้วให้คนขนของกองทัพใส่ |
บรรทุกได้อักโขโตยาวเยิ่น |
เครื่องถ่อแจวจัดให้ไม่ก้ำเกิน |
พอเสร็จเกริ่นแตรบอกให้ออกเรือ |
ทหารถ่ออ้อแอ้พอแก้ขัด |
ไม่สันทัดทีก้าวเหมือนชาวเหนือ |
ด้วยขัดคนเอาทหารเข้าจานเจือ |
การถ่อเรือเวียนวนนี้จนจริง |
ทีผูกพ่วงล่วงครรไลแล่นไปหน้า |
ที่ถ่อช้าเฉื่อยหลามตามตลิ่ง |
ถึงบ้านกำมังคิดจิตประวิง |
เป็นกรรมสิ่งใดหนอมาก่อกรรม |
บ้านบางเทียนเพี้ยนแผกเห็นแปลกจิต |
คะนึงคิดเทียนทองของงามขำ |
เคยจุดส่องผ่องพักตร์พี่ลักจำ |
ดูเป็นน้ำนวลศรีฉวีวรรณ |
บ้านสวนแตงเห็นผลแตงแฝงระบัด |
งามกำดัดร่มใบใจกระสัน |
ถึงนวลแตงแฝงละอองดูผ่องพรรณ |
ไม่เหมือนขวัญนวลเนื้อที่เจือใจ |
รำพันนวลชวนช้าเวลาเฉลย |
ถึงบ้านเกยชัยแจ้งแถลงไข |
เป็นสองนามถามเหตุสังเกตใจ |
ชื่อเกยไชยชื่อกำมังนี้ยังแคลง |
เขาบอกว่าที่ล่วงมาแล้วแต่หลัง |
เรียกกำมังด้วนหนอต่อชุมแสง |
แล้วปากน้ำเกยไชยพิไรแจง |
ที่จดแขวงนครสวรรค์ต่อกันมา |
พึงกำหนดจดไว้อย่าให้คลาด |
แล่นลีลาศแลหลามบ้านสามขา |
ฟังชื่อบ้านขานกล่าวกันยาวมา |
ใส่สาราเรียงร่ำที่รำพัน |
ฟังไม่เพราะเสนาะรสนั่งจดถ้อย |
อีเต่าน้อยนามตั้งดูช่างขัน |
แล้วหนองหนูชูชื่อลือจำนรรจ์ |
เป็นสำคัญคำกล่าวช่างยาวโยน |
รำพันรื้อชื่อบ้านขึ้นขานไข |
อีเต่าใหญ่กลับยาวยิ่งกราวโขน |
แล้วยังขานบ้านหนึ่งบึงตะโกน |
ช่างแผดโผนพูดกันทุกวันมา |
ไม่กระเดื่องเคืองคำร่ำขรม |
บ้านวังกรมกรมอะไรใจกังขา |
บ้านน้ำกรัดอัดอั้นตันอุรา |
บ้านวังปลาดุกตั้งริมฝั่งชล |
ถึงท่าหลวงล่วงเวลาจอดนาเวศ |
สองทุ่มเศษสำนักพักพหล |
มีทำเนียบเทียบทางเป็นอย่างยล |
ทั้งผู้คนคอยรับประคับประคอง |
แต่มาตั้งฝั่งขวาบุรพาทิศ |
จวนสถิตฝั่งซ้ายย้ายเป็นสอง |
กรมการกะเวรตั้งเกณฑ์กอง |
ให้ตีฆ้องขานยามคอยห้ามเรือ |
อนาถนิ่งกริ่งตรึกรำลึกคิด |
พระพิจิตรจงใจอาลัยเหลือ |
ครั้งขุนแผนพักทหารก็จานเจือ |
ประกอบเกื้อการุญหนุนสงคราม |
ยกบุตรีศรีมาลายุพาพักตร์ |
ให้บุตรรักร่วมณรงค์ทรงสนาม |
กำลังหนุ่มชุ่มชายชื่อพลายงาม |
ทั้งสองทรามสวาทสมอารมณ์ปอง |
เราแรมร้างค้างมาดูว้าเหว่ |
ต้องร่อนเร่ร่อนในฤทัยหมอง |
ถ้าแม้นมีมาลามาประคอง |
เหมือนดังจองจิตจริงได้อิงอัง |
จะถนอมกล่อมโฉมประโลมประเล้า |
นั่งคลำเคล้าวรนุชให้จุดหลัง |
จะเหน็บแนมแกมกวนให้ซวนซัง |
แล้วจะนั่งปลอบน้องครองไมตรี |
เมื่อรุ่งวันครรไลจะไปทัพ |
จึงจะปรับปรุงนางสำอางศรี |
ให้จำจิตพิศวาสมาดไมตรี |
รอนไพรีแล้วจะมาอย่าอาวรณ์ |
คะนึงขนิษฐ์จนอาทิตย์ขึ้นไขแสง |
ดูแจ่มแจ้งดวงจรัสประภัสสร |
เห็นเรือแพแม่ค้าในสาคร |
นั่งชะอ้อนแอบคู่ดูละมุน ๚ะ |
๏ ฝ่ายกรมการนอนกองมานองแน่น |
ล้วนปึกแผ่นภาคพื้นเป็นหมื่นขุน |
ยกถาดรองของเกื้อมาเจือจุน |
กล้วยขนุนเนื้อปลาสารพัน |
มาเสนอบำเรอเรียงเคียงคำนับ |
ท่านแม่ทัพตอบปองเป็นของขวัญ |
เสื้อสักหลาดราชปะแตนแทนกำนัล |
แล้วก็ครรไลลานาวาเดิน |
เห็บฝั่งรายชายชลต้นขนุน |
บางสีตุนชื่อบ้านเขาขานเขิน |
บ้านปากทางห่างหมู่ดูไม่เพลิน |
เรือไฟเดินจักรดังกึงกังไป |
ยลหาดทรายรายรอยกุมภาพ่าน |
มันลนลานหลบลงท่าชลาไหล |
นิ่งกบดานเรือเดินสะเทิ้นใจ |
เห็นแต่ไพลพลุ่งชลนั่งขนพอง |
เชิงชลาหญ้าไหวไปหวั่นหวั่น |
เอาเรือหันเข้าตลิ่งค่อยวิ่งหย่อง |
เห็นกุมภาราแรงตากแสงทอง |
ไปแอบจ้องจับมาแต่ป่ารก |
ตัวหนิดหนิดจิตกล้าอ้าปากหวอ |
มันขู่ฟ้อฟัดตัวหัวปะหงก |
เอาไม้ใส่ไล่งับดังกับยก |
ไม่พลัดตกตาเขม้นดุเป็นมัน |
ออกเดินทางพลางแลกระแสซึ้ง |
เห็นบ้านหนึ่งมีหาดลาดจอมขวัญ |
ทั้งสองฝั่งตั้งเรียงเรือนเคียงกัน |
มีพืชพรรณผลพื้นดูรื่นเรียง |
เลยกระทั้งวังมะเดื่อเรือแน่นอัด |
ล้วนขนัดเจ๊กแน่นประแปร้นเสียง |
เข้าซึ้อเรือเหนือปรนขนเสบียง |
ผ่อนลำเลียงแล่นถลันตามกันมา |
ลำนี้ใหญ่ใหม่มั่นเป็นมันปลาบ |
น้ำมันอาบอ่องเอี่ยมเลี่ยมเลขา |
วิไลลายระบายระบัดทัศนา |
เป็นราคาหกชั่งใหม่ทั้งตัว |
จรัลเรียงเคียงกันวังคันไถ |
ถัดขึ้นไปวังถํ้าย่ำสลัว |
เสียงโจษจนอนอึงพวกตึ้งซัว |
มาตั้งพัวพักโยงอยู่โรงความ |
บ้านท่าล่อกอแกล้วนแต่เจ๊ก |
ลงจั้งเอ๊กอึกทึกไม่นึกขาม |
ตั้งโรงโปโฮเต็ลเที่ยวเล่นลาม |
ชาวนิคามเขตเหนือจะเจือจุน |
สงสารสาวชาวเหนือเหลือลำบาก |
เจ๊กมันถากแถกเสียปี้ป่น |
ตั้งล่อลวงล้วงกินเอาสิ้นตน |
ที่ไม่ซนก็ค่อยไสสไบบาง |
รำพึงไปในนาวีไม่มีสุข |
เห็นเจ๊กพลุกพล่านอาศัยบ้านไผ่ขวาง |
เหมือนยาดำคำว่าอย่าระคาง |
คงมีวางไว้ระคนเข้าปนยา |
ครรไลเลยแลลาดบ้านหาดสูง |
อยู่เป็นฝูงแฝงในไพรพฤกษา |
หาดมูลควายรายเรียงเคียงกันมา |
แล่นนาวาลับตะวันจันทร์กระจาย |
ถึงบ้านดงเศรษฐีชี้กระจัด |
ล้วนปาชัฏชมไพรน่าใจหาย |
ดูโรงเรือนเหมือนจะพังประทังกาย |
ไม่สมหมายเหมือนเศรษฐีมีเงินทอง |
ครรไลล่วงลับไปไกลสถาน |
พอถึงย่านยาวเดือนก็เลือนล่อง |
เข้าพักทัพยับยั้งให้นั่งกอง |
พอเรืองรองสุริยันก็ครรไล |
ถึงสถานชานชลาหน้าวัดหงส์ |
เห็นพระสงฆ์สวดคาถาศาลาใหญ่ |
พระปริตรสิทธิกรรมอันอำไพ |
พลางอวยไชยันโตอาโปปราย |
ท่านรารุดหยุดจักรพักคำรบ |
พอสวดจบจัดจองของถวาย |
ชาบุ้นพ้อยี่ห้อหอมเข้าน้อมกาย |
จัดจำหน่ายนบพระที่ประโปรย |
ออกจากวัดตัดข้ามสนามเคล้ |
ให้ว้าเหว่วาบในฤทัยโหย |
เป็นที่กลางหว่างเขตทุเรศโรย |
กำนันโดยสารชี้คดีแดน |
สิ้นเขตแคว้นแดนบุรีเมืองพิจิตร |
เข้าแขวงพิษณุโลกยิ่งโศกแสน |
ยลรุกขาสารพันประกันแกน |
ในแขวงแคว้นเขตรายตามชายชล |
ไม้อำภาร่ารื่นดูชื่นชุ่ม |
บ้างเป็นพุ่มพวงปริพึ่งผลิผล |
เห็นส้มโอโตย้อยห้อยอยู่บน |
ที่บางต้นดังฉัตรระบัดใบ |
งามตระการก้านกอเป็นช่อชิด |
นั่งพินิจแนวแควกระแสไส |
เรือแล่นล่วงพ่วงมารีบคลาไคล |
เห็นบ้านใหม่บอกแจ้งกำแพงดิน |
ตั้งเป็นหย่อมกระท่อมทับยับชำรุด |
โคกสลุดเหลือจะคิดจิตถวิล |
หาดตะกูดูรายชายวาริน |
แล้วถึงถิ่นบ้านสะพรั่งเรียกวังยาง |
ระยะย่านบ้านหมู่นี้ก็มีเนื่อง |
จะร่ำเรื่องรื้อจัดก็ขัดขวาง |
เรือไฟพ่วงล่วงหลามไปตามทาง |
พอถึงบางน้ำหลากเรียกปากพิง |
เป็นทางลัดตัดจรัลสวรรคโลก |
หน้าน้ำโกรกกรากทบลบตลิ่ง |
เขาล่องแพมาออกแควปากน้ำพิง |
ดังม้าวิ่งไวฉิวละลิ่วลม |
ถึงคุ้งเปลี่ยวเลี้ยวลำริมน้ำคู้ |
พินิจดูในนามเห็นงามสม |
ช่างหลายลดคดทางบางนิคม |
จะนิยมยกเหตุสังเกตเกิน |
จึงนิ่งอั้นครรไลฤทัยสะท้อน |
ถึงบ้านดอนดาลจิตให้คิดเขิน |
ช่างแห้งโหยโรยร้างอยู่กลางเนิน |
ไม่น่าเพลินพลางคิดจิตรำคาญ |
ถึงท่าแคแลรายริมชายฝั่ง |
พอเรือคั่งแข่งเรียงเคียงขนาน |
กำลังแดดแผดจ้าเวลากาล |
หยุดสนานสำนักร้อนผ่อนสบาย |
ที่เชิงหาดลาดละหานมีธารท่า |
บ้านขอนม้าบอกกำหนดลงจดหมาย |
มีพฤกษาเรือกสวนชวนสบาย |
พากันผายผันขึ้นนั่งบนฝั่งพรู |
เห็นกระท่อมหย่อมเหย้าดูเหงาเงียบ |
ได้ยินเกรียบกรับเสียงเข้าเอียงหู |
มีหญิงแม่ลูกนั่งบังประตู |
เห็นคนกรูเกรียวกลัวจับตัวตน |
ท่านแม่ทัพสดับกิจคิดสงสัย |
ร้องเรียกให้ออกแจ้งแห่งนุสนธิ์ |
อยากทราบความตามในน้ำใจจน |
อย่านิ่งทนทุกข์กายให้ดายแด |
ฝ่ายหญิงยากบากเบือนค่อยเลื่อนออก |
มาข้างนอกนบนั่งฟังกระแส |
เห็นกองทัพสับสนทำลนแล |
ดูท้อแท้ทีสะทกตกตะลึง |
แล้วแจ้งว่าประชาชนตำบลนี้ |
เขาหลีกลี้ละบ้านไปนานถึง |
ว่ากองทัพมาจับคนพูดอนอึง |
ต่างตะบึงทิ้งบ่อนไปนอนดง |
แต่ผัวฉันนั้นไปค้าหามาไม่ |
พลางร้องไห้หอบบุตรสุดประสงค์ |
ผัวไปค้าว้าเหว่อยู่เอ้องค์ |
ทิ้งให้คงทอดระทดอยู่อดกิน |
มาอยู่นี่ที่ของนายท่านให้เฝ้า |
เก็บผลเต้าแตงได้เอาไปสิน |
ครั้นอดอยากหากเอาแลกจ่ายแจกกิน |
คิดเป็นสินทรัพย์ตั้งสลักหลังกรม |
เมื่อแรกเริ่มเดิมจะมาเป็นข้าเขา |
คิดกันเข้าลูกผัวทั้งตัวผม |
อยากขายค้าหากำไรใจนิยม |
ทำสารกรมกู้ท่านมาห้าตำลึง |
ครั้นค้าไปกำไรทุนก็สูญหมด |
ซํ้าผัวปลดปลิดเปลื้องเฟื้องสลึง |
ซื้อยาฝิ่นกินรำไม่รำพึง |
ได้ปีกึ่งหมดตัวมัวระเริง |
ทิ้งต้นดอกพอกพืชเข้ามืดหน้า |
เป็นเงินตราหกสิบแลลิบเหลิง |
จะถ่ายถอนผ่อนปรนก็ป่นเปิง |
ลงสิ้นเชิงชักทอดตลอดเลย |
ท่านก็จ่ายรายงานเป็นการเหมา |
ให้มาเฝ้าสวนศรีอยู่นี่เฉย |
ทิ้งข้าวปลาปละปลดไม่ชดเชย |
ช่างเฉยเมยไม่นำพาเมตตาตัว ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพกับนายฝ่ายทหาร |
ฟังคำขานหญิงยากที่จากผัว |
นั่งเลี้ยงบุตรสุดตรอมจนมอมมัว |
เหมือนหนึ่งหัวอกเราเป็นไม่เว้นคืน |
พินิจหญิงสิ่งที่ปรุงเครื่องนุ่งห่ม |
ช่างสมมมหมักกายระคายขืน |
ด้วยความจนทนประทังเอายั่งยืน |
จำเพาะผืนพันพอกจนดอกดำ |
ต่างคนคิดจิตจงให้สงสาร |
ช่วยให้ทานทำนุปอุปถัมภ์ |
ด้วยเห็นชัดว่าขัดสนทนกรากกรำ |
แล้วได้ลำบากอดระทดใจ |
มีเงินตราผ้าเสื้อเกลือข้าวสาร |
ของเปรี้ยวหวานจัดสรรแบ่งปันให้ |
ลูกน้อยน้อยพลอยยินดีมีน้ำใจ |
หยุดร้องไห้สงบพักตร์ประจักษ์จริง |
หยิบของส่งตรงเข้ามาหาทั้งหมด |
ดูหน้าสดสมหมายทั้งชายหญิง |
ด้วยเต็มแกนแสนรำพึงได้พึ่งพิง |
มาสบสิ่งประสงค์สมอารมณ์รวย |
นางแม่รับผ้าใหม่ได้ลงน้ำ |
ที่มัวคล้ำเคลื่อนคลายนุ่งลายสวย |
มาหุงข้าวเผาปลาเวลารวย |
พรั่งพร้อมด้วยลูกเต้าก็เข้ากิน |
จึงสั่งเสียเมียเขาว่าเจ้าผัว |
แม้นมายั่วหยอกขยับยักทรัพย์สิน |
อุตส่าห์ซ่อนผ่อนผันกันไว้กิน |
ถ้าหมดสิ้นแล้วลูกน้อยจะพลอยโซ ๚ะ |
๏ ครั้นเบี่ยงบ่ายคลายคลาจากท่าพัก |
ฟังเสียงจักรจัดหันดูควันโฉ |
ถึงน้ำตนพี้นทรายสายชโล |
ค่อยแล่นโย้โยกคลำร่องน้ำไป |
ดูชายหาดดาษแควกระแสสาย |
ถึงบางทรายน้ำองสุดซึ้งไส |
สงบเงียบเลียบแล่นดูแว่นไว |
ภาณุไมเลี้ยวลับก็อับทาง |
จนดวงเดือนเลื่อนล่องขึ้นส่องไข |
ถึงบ้านใหม่หมองจิตคิดขนาง |
พฤกษาพรั่งบังจันทร์จรัลราง |
เรือสล้างแล่นมาถึงท่าโรง |
ไม่หยุดยั้งนั่งชะแง้แลระริก |
ถึงวัดพริกบ้านสะพรั่งริมฝั่งโถง |
วังส้มส้าท่ารายชายโชลง |
ไม่หยุดโยงแล่นระเริงกระเจิงมา |
เห็นเรือนรายชายฝั่งตั้งขนัด |
บ้านสกัดน้ำมันมีเป็นที่ท่า |
จึงหยุดจักรพักจอดทอดนาวา |
จนสุริยาเยี่ยมสอดยอดยุคันธร์ |
ก็เปิดจักรวักกระแสแลสล้าง |
ถึงบ้านยางยลดูเป็นหมู่มั่น |
บ้านท่าทองมองตั้งฝังอนันต์ |
คิดสุวรรณวาบใจอาลัยเลือน |
เลยระเริงเชิงชาลเห็นบ้านไร่ |
ถัดขึ้นไปบ้านกลอกดูออกเกลื่อน |
ถึงบ้านคอนเด่นตั้งเห็นหลังเรือน |
อยู่กลางเถื่อนถูกแดดแผดกระไร |
บ้านพันปีมีจิตให้คิดถึง |
นั่งคะนึงนามขนานที่ขานไข |
ขอรับรื้อชื่อเชิดประเจิดใจ |
มาฝากให้ถนอมขวัญอยู่พันปี |
รำพันพรจรใจให้กระสัน |
ถึงวัดจันจอดค้างทางวิถี |
ครั้นเรืองรองส่องแสงพอแจ้งดี |
จรลีแล่นไปโดยใจจร |
ถึงท่ามะปรางทางเพ่งแลเล็งบ้าน |
เป็นหย่อมย่านปลูกตั้งสล้างสลอน |
ไม่เห็นผลต้นมะปรางอย่างว่าวอน |
อนาทรทางประเทศเขตนิคม |
คิดหันเหียนเวียนวนนั่งจนจิต |
ถึงบ้านพิษณุโลกโศกสะสม |
แต่เก่าก่อนเป็นนครสำราญรมย์ |
โดยนิยมอย่างเกษมปรีดิ์เปรมใจ |
พอพบทัพพระอนุชสุดสวัสดิ์ |
คุมขนัดพลขัณฑ์เสียงหวั่นไหว |
แม่ทัพรองสองนายรายกันไป |
มียศในตำแหน่งชี้คดีนาม |
คุณพระราชวรินท์ตำรวจหน้า |
ท่านอาสาสู้ศึกไม่นึกขาม |
เป็นทัพหนึ่งพึงรู้กระทู้ความ |
ยังอีกนามหนึ่งตั้งประดังดี |
พระอมรวิสัยสรเดช |
แสนวิเศษในกระบวนรู้ถ้วนถี่ |
ท่านเจนจัดศัสตราเรื่องราวี |
อธิบดีปืนใหญ่ยิ่งไชยัน |
เป็นสองทัพรับรอนข้างตอนใต้ |
รบฮ่อให้หมดเหตุในเขตขัณฑ์ |
คอยรับสั่งฟังองค์พระทรงธรรม์ |
จะจัดสรรสิ่งประสงค์อยู่คงเคียง |
แม่ทัพทางข้างเหนือพอเรือเทียบ |
ขึ้นทำเนียบน้อมคำนับสดับเสียง |
ทรงสุนทรถ้อยเสนาะเพราะสำเนียง |
ที่รองเรียงทักถามตามไมตรี |
แล้วลาเลื่อนเคลื่อนมาจอดท่าวัด |
พุทธรัตนชินราชสะอาดศรี |
ขึ้นคำรพนบคุณพระมุนี |
ทำพิธีทอดตั้งสรวงสังเวย |
ถวายภูมิเทวัญอันสถิต |
เชิญประดิษฐ์ดุษฎีที่เสวย |
พอขาดคำร่ำบนฝนก็เชย |
เมฆไม่เผยเผือดอับพยับโพยม |
บัดเดี๋ยวหายฉายช่วงดวงอาทิตย์ |
งามวิจิตรทรงกลดดูชดโฉม |
ไม่ดานแดดแผดส่องมาล่องโลม |
เหมือนหนึ่งโคมแก้วช่วงดูดวงกลม |
ท่านแม่ทัพกับทหารให้ดาลจิต |
นิ่งพินิจนึกสยองนั่งพองผม |
หน่วงมนัสทัศนาตั้งอารมณ์ |
ต่างนิยมยลเหตุสังเกตกัน |
เห็นประสิทธิ์ฤทธิ์เดชวิเศษโสด |
เข้าในโบสถ์พร้อมพหลพลขัณฑ์ |
ต่างถวายกรคำนับอับภิวันท์ |
องค์พระสรรเพชร์ผ่องทองประไพ |
พิศพระพักตร์ลักษณะทั้งพระโอษฐ์ |
เหมือนจะโปรดพจนาเยื้อนปราศรัย |
นั่งพินิจพิศดูชื่นชูใจ |
แล้วครรไลลาคิดจิตพะวัง |
เห็นกุฎน้อยน่าพินิจพิศวง |
ดูมั่นคงมุงหลังคาฝาผนัง |
มีพระยืนพื้นผ่องทองประทัง |
เป็นเงาปลั่งปลาบตาไม่ราคี |
ถามผู้เฝ้าเล่าแจ้งที่แคลงจิต |
ว่าสัมฤทธิ์รูปหล่อลออศรี |
เหลือจากพระชินราชสะอาดดี |
เอาทองนี้หล่อระคนเข้าปนเจือ |
เพราะสัมฤทธิ์เศษเหลือจากเนื้อนั้น |
มาสร้างสรรสมญาว่าพระเหลือ |
ไหว้พระแล้วแคล้วคลาลงมาเรือ |
คะนึงเนื้อนวลสวาทไม่คลาดคลาย |
ออกจากท่ามาหัวรอท้อระทด |
ไม่ปลิดปลดเปลื้องรักสมัครหมาย |
อยากให้รอที่หัวรอพอสบาย |
พอรักคลายจึงค่อยเคลื่อนเลื่อนจากรอ |
คิดเสียเปล่าเขายิ่งไปเรือไฟฟุ้ง |
ดูเวิ้งวุ้งแลวิงเรือวิ่งปร๋อ |
บ้านสะแกแลสลับเขาสับตอ |
เป็นกกกอสะแกดงพงสะแก |
บ้านเต่าไหหรือเต่าให้ฟังไม่ชัด |
เกรงจะลัดพูดล้อว่าตอแหล |
ทั้งเต่าไหเต่าให้จดไว้แล |
ใครรู้แน่แนะบ้างอย่าพรางความ |
บางพะยอมยลนิคามนามขนาน |
ฟังแล้วซ่านเสียวในหทัยหวาม |
พะยอมบ้านขานพ้องกับน้องนาม |
ใครหนอลามลวนรื้อชื่อนิคม |
บ้านวัดตาลต้นตาลมีที่หน้าวัด |
เขาช่างจัดชื่อเสาะให้เหมาะสม |
คิดรสหวานน้ำตาลหายคลายนิยม |
รสคารมมิได้คืนช่างชื่นทรวง |
เห็นหินรายชายฝั่งเรียกวังหิน |
พลางแล่นลิ้นลากลางหนทางหลวง |
ถึงท่าลาดหาดแรยิ่งแดดวง |
เห็นแต่ห้วงหินห้องท้องนที |
ค่อยแล่นลัดตัดย้ายตามชายหาด |
ดูอนาถแนวถิ่นกระสินธุ์ศรี |
ถึงปากโทกมีทางลัดท้องนัที |
ไปธานีนครไทยได้ดังจง |
เรือแล่นพลางทางเขม้นแลเห็นบ้าน |
เขาขนานนามว่ากองทองประสงค์ |
หรือจะมีสุวรรณวางอยู่กลางดง |
จึ่งได้บ่งบอกว่าทองกองสำคัญ |
อันที่ตั้งทั้งสิ้นถิ่นประเทศ |
คงหมายเหตุเห็นชัดจึ่งจัดสรร |
แต่การเก่าเล่าลึกดึกดำบรรพ์ |
จะรำพันพูดเล่นจะเป็นเดา |
มาถึงบ้านขานคารมดูคมขำ |
พยาดำดูมุทะลุเล่า |
นึกตกใจไหวหวั่นตัวสั่นเทา |
คิดสำเนานรชาติฉกาจไพร |
สันดานดื้อถือตนเป็นคนห้าว |
เห็นคนขาวแล้วก็ฆ่าไม่ปราศรัย |
ครั้นรู้สึกนึกว่าเขตประเทศไทย |
เห็นจะไม่มีเหมือนเรื่องเมืองนานา |
เป็นนามหมายไม้ป่าพนาสณฑ์ |
เหมือนบ้านต้นมะตูมตั้งอย่ากังขา |
จะรื้อร่ำจำจัดวัจนา |
ก็จะพาความพัวด้วยมัวแจง |
จึ่งรีบรัดคัดข้อพอสังเกต |
ถิ่นประเทศท่าน้ำร่ำแถลง |
พอเป็นเค้าสำเนาทางที่กลางแปลง |
ให้ทราบแขวงเขตย่านบ้านตำบล |
ที่ไม่แจ้งก็ไม่จดจำงดเงื่อน |
เกรงจะเชือนชักวงงงฉงน |
บ้านเดียวนามสามสองข้องระคน |
พะวักพะวนเว้นชี้รีบลีลา |
บ้านท่าไชยไผ่ขออยู่ต่อติด |
เข้าสถิตทอดทับอยู่กับท่า |
ที่มีเหตุเจตจงลงสารา |
แจ้งกิจจาจดใส่ในเดรี |
ด้วยฟืนใส่ไฟสิ้นที่ถิ่นนั้น |
เรียกกำนันนายบ้านสถานที่ |
ขอฟืนส่งลงเรือไฟในราตรี |
เขาก็ดีดูวิ่งทั้งหญิงชาย |
ช่วยบั่นรอนทอนส่งลงให้เสร็จ |
ได้สำเร็จพร้อมสมอารมณ์หมาย |
ไม่รังเกียจเคียดขุ่นให้วุ่นวาย |
ทั้งไพร่นายนับปนระคนกัน |
ยี่สิบเอ็ดคนลงบรรจงจด |
แจกทั้งหมดมิได้แยกให้แผกผัน |
คนละสลึงเฟื้องเครื่องรางวัล |
แล้วก็ครรไลลานาวาจร |
ครั้นดึกเดือนเลื่อนล่องส่องสว่าง |
ขึ้นกระจ่างแจ่มจำรัสประภัสสร |
ถึงท่าช้างทอดทัพเข้าหลับนอน |
ได้พักผ่อนทางระทมที่ตรมใจ |
พอแจ่มแจ้งแสงสุวรรณก็ลั่นเลื่อน |
เสียงสะเทื้อนท้องมหาชลาไหล |
ค่อยเลียบเลาะเกาะหาดระวาดระไว |
แล่นครรไลแลชมไม่สมทรวง |
มาถึงย่านบ้านหม้อแกงให้แคลงจิต |
นึกพินิจถึงน้องแต่งแกงผักขวง |
พี่ช่วยเด็ดผักเคลดคลอพูดล่อลวง |
เย้าหยอกดวงสุดาย้อนนั่งค้อนคม |
บ้านคลองแคแลซึ้งเป็นบึงบ่อน |
น้ำกระฉ่อนกระฉอกดังฟังขรม |
มีคลองขวางกว้างเป็นเล่ห์ทะเลลม |
ไปนิคมถิ่นสถานบ้านกำมัง |
ว่าปลาชุมกลุ้มกล่นขนมาขาย |
มีมากหลายเหลือจะนับเหมือนจับขัง |
เป็นบ้านปลาหาเสบียงเลี้ยงชีวัง |
มีเรือนตั้งตามชลาริมวาริน |
เรือก็เลยแล่นหนักด้วยจักรพัด |
ก็ล่วงลัดลุบ้านสะพานหิน |
เห็นเรือเจ้าคุณทหารมาริมวาริน |
พักโยธินทอดเทียบเข้าเรียบราย |
ท่านแม่ทัพจึ่งคำนับน้อมประณต |
มธุรสเรียนกิจที่คิดหมาย |
ว่าเสบียงเลี้ยงพหลพลนิกาย |
แม้นพอจ่ายทัพทอดตลอดปี |
สิ้นกังวลขวนขวายหมายจะรบ |
ตีตลบไล่แหลกให้แตกหนี |
ถึงฟ้าฝนทนสู้ดูสักที |
ไม่รอรีรั้งช้าทำท่าทาง |
ท่านตอบว่าข้าวเสบียงเลี้ยงกองทัพ |
อนันต์นับหมื่นถังได้ตั้งฉาง |
ไว้ระยะกะทอดตลอดทาง |
ถึงจะค้างปีก็คงส่งให้รวย |
แล้วให้เสื้อเครือสุวรรณกระสันสวม |
เนื้อนิ่มน่วมห่มหนาววะวาวสวย |
พี้นดำมันสุวรรณวงแลงงงวย |
ประดับด้วยไหมทองผ่องประไพ |
ปักเป็นขอบรอบระใบดอกไม้เทศ |
ฝรั่งเศสสร้างทำดูขำไข |
เอามาห่มชมชายสบายใจ |
ดูแปลกนัยน์ตาจริงช่างพริ้งเพรา |
ครั้นชี้แจงเสร็จสรรพท่านกลับล่อง |
แต่เราต้องต่อขึ้นไปฤทัยเหงา |
แทบจะโดดโลดล่องท่องลำเนา |
ตามมาเฝ้าแฝงบุญเจ้าคุณไป |
ล่วงประเทศเขตพิษณุโลก |
กำสรดโศกทรวงช้ำทำไฉน |
คิดเวียนวนจนจริงนิ่งครรไล |
เรือก็ไปถึงนิคมพรหมพิราม |
บ้านกรับพวงดวงใจไม่มาด้วย |
จะได้ช่วยชวนทักกันทักถาม |
วังเต่าเล่าเฝ้าคิดพินิจนาม |
สงสัยความเต่าหรือเตาเล่ายังแคลง |
ถึงย่านขาดลาดสล้างดูกว้างล้ำ |
อ้อยเป็นลำต้นตั้งริมฝั่งแฝง |
ดงสมอรอรีเขาชี้แจง |
หาดใหญ่แซงแทรกรายเห็นชายโคน |
ตลิ่งชันชันแสนคอแหงนหงาย |
แลสุดสายตาตกแม้นหกโหน |
คงม้วยมอดวอดชีวิตเหมือนปลิดโยน |
ลงทอดโกลนเกลือกดิ้นอยู่ดินทราย |
ก็หยุดจักรพักทอดจอดระงับ |
พอม่อยหลับรุ่งศรีสุรีย์ฉาย |
จรดลยลย่านริมชาญชาย |
นาวาผายผันแซงกันแข่งเคียง |
ลุตำบลบ้านหมากต้องเขาร้องเรียก |
เพราะสำเหนียกต้นสะท้อนยอกย้อนเสียง |
เป็นคำเหนือเจือจำผิดสำเนียง |
จึ่งได้เรียงแจ้งจริงที่กริ่งใจ |
เห็นเรือนตั้งป่าอยู่รารก |
หมู่ไม้ดกดื่นทางบ้านหางไหล |
เขตนิคมพรหมพิรามไม่งามใจ |
มุงไม้ไผ่ผุพังเหมือนรังกา |
ถึงบุรีศรีภิรมย์ยิ่งตรมตรึก |
ไม่วายนึกคะนึงพวงดวงยิหวา |
พอเห็นสาวชาวเหนือล่องเรือมา |
ดูหน้าตาทีตื่นไม่ชื่นชม |
ยินเขากล่าวชาวเหนือนี้เนื้อจืด |
มักไม่ยืดยาวนานจะพาลขม |
หรืออ่อนเกลือเนื้อเน่าเจ้าคารม |
ถึงหนองตมเต็มวิตกในอกตรอง |
ตมจะขุ่นมุ่นมัวทั่วทั้งทุ่ง |
เห็นไม่พลุ่งพลั่งเท่าทรวงเราหมอง |
บ้านย่านยาวคราวนิราศยิ่งมาดมอง |
จะจดจองใจยาวกว่าดาวแดน |
บ้านวังด่านไม่เห็นด่านขานฆ้องเรียก |
จะสำเหนียกเหตุอะไรสงสัยแสน |
ไม่ทราบแจ้งแห่งทางในกลางแดน |
ก็เลยแล่นดาประดังเข้าวังกลาง |
ไม่เห็นวังตั้งสถิตผิดสังเกต |
พิเคราะห์เหตุเห็นไม่สมอารมณ์หมาง |
ฤๅองค์ท้าวเจ้านครแต่ก่อนปาง |
มาสรรสร้างวังสถานพิมานพราย |
บ้านท่าง่ามขามเหตุสังเกตชื่อ |
ช่างเลื่องลือเล่ากันขันใจหาย |
ไม่เห็นมีแง่ง่ามตามเชิงชาย |
นึกก็หน่ายนามขนานย่านนิคม |
มาถึงบ้านหาดใหญ่ฤทัยหวน |
แลเห็นจวนผู้รั้งที่สร้างสม |
ประมาณมีสี่ห้าหลังตั้งนิคม |
ไม่น่าชมเชิดกลอนสุนทรครวญ |
มาถึงวัดบ้านส้องให้ข้องจิต |
ใครหนอคิดตั้งส้องต้องสืบสวน |
เป็นพวกเพียรเสี้ยนหนามให้ลามลวน |
มาก่อกวนราษฎรร้อนระคาย |
ถึงบ้านแดนเรือเดินดังเหินเหาะ |
ด้วยสิ้นเกาะโล่งแลกระแสสาย |
เห็นเรือนตั้งสองฝั่งเคียงอยู่เรียงราย |
มีหาดทรายร่มรื่นบนพื้นดอน |
เหมือนเรือกสวนชวนชมพนมพนัส |
กำลังผลัดผลิผลหล่นเกสร |
บ้างทรงดอกออกช่ออรชร |
หมู่ภมรมุ่นเคล้าเสาวคนธ์ |
คิดถึงดวงมาลีศรีสมร |
ซ่อนเกสรมิให้ต้องละอองฝน |
ถึงภมรหมายกลิ่นเที่ยวบินวน |
มิได้ดลดังนิยมต้องตรมเตรียม |
มาถึงวัดพระยาแมนเห็นแสนสาว |
พึ่งรุ่นราวแลชะม้ายทำอายเหนียม |
หมายจะวอนค่อนแคะพูดและเลียม |
ให้หายเตรียมตรมที่เรามาเศร้ากาย |
สิ้นบุรีศรีภิรมย์นิคมเขต |
เข้าประเทศปัดบูนพิมูลหมาย |
มีบ้านเรือนแลเคียงอยู่เรียงราย |
เร่งเรือผายผันมาในสาคร |
พอถึงท่าเมืองพิไชยเรือไฟหยุด |
อุตลุดแลทัพสลับสลอน |
เข้าจอดรายชายลาดหาดสาคร |
หมู่นิกรพร้อมกันฟังบัญชา |
รวมรายวันจรัลมาในนาเวศ |
ยี่สิบเศษวันหนึ่งก็ถึงท่า |
เดือนสิบสองแรมสองวันจันทรา |
เช้าเวลาสามโมงครึ่งก็ถึงเมือง ๚ะ |
๏ ฝ่ายพระยาอุตราการโกศล |
มีกมลมุ่งพาคุณาเนื่อง |
ได้พิทักษ์รักษาพาราเรือง |
ไม่ขุ่นเคืองชาวประชาให้ราคี |
มาพร้อมพรักพนักงานก้มกรานกราบ |
โดยสุภาพเชิญพักเป็นศักดิ์ศรี |
ยังทำเนียบเทียบตั้งฝั่งบุรี |
โดยยินดีคอยรับบังคับการ |
ท่านแม่ทัพกับนายกองค่อยผ่องพักตร์ |
ขึ้นสำนักแน่นขนิดสถิตสถาน |
พักพหลพลไพร่ให้สำราญ |
คิดกะการกำหนดยกทัพบกไป ๚ะ |
๏ ในวันเมื่อเรือมาทอดจอดกองทัพ |
เมฆพยับพยุห์ลั่นเสียงหวั่นไหว |
พิรุณร่ำพรำฟองออกนองไพร |
ชลาไหลล้นลาดท่วมหาดทราย |
เมื่อวสันต์นั้นฝนไม่หล่นแล้ง |
ต้นข้าวแห้งเหี่ยวเพลียทิ้งเสียหาย |
นิ่งสลัดตัดอาลัยไม่เสียดาย |
ปล่อยให้ตายแตกระแหงด้วยแห้งชล |
ครั้นฝนตกยกใหญ่ข้าวใบเขียว |
ชาวเมืองเฉลียวหลากจิตคิดฉงน |
ว่าทัพใหญ่ไชยยันต์อันมงคล |
มาให้ผลพูนสวัสดิ์กำจัดพาล |
จึ่งชวนกันจรัลมาหาแม่ทัพ |
น้อมคำนับนั่งพิไรพูดไขขาน |
ว่าแสนสุขชุกฝนดลบันดาล |
เดชพระผ่านจอมจักรนครา |
ทั้งบุญท่านแม่ทัพดับยุคเข็ญ |
ได้ชุ่มเย็นด้วยอำนาจวาสนา |
ร้อนถึงอาสน์อมรินทร์ปิ่นนภา |
อยู่ฟากฟ้าดาลดลให้ฝนเชย |
อัศจรรย์ลั่นกระฉ่อนอุดรทิศ |
เห็นประสิทธิ์สุดชี้คดีเฉลย |
ต่างสำราญบานใจกระไรเลย |
ก็ได้เคยคุ้นกันแต่นั้นมา ๚ะ |
๏ ขอหยุดทัพกลับกล่าวชนชาวเหนือ |
เป็นชาติเชื้อจีนหลากพากย์ภาษา |
ชื่อจีนพังตั้งอาศัยในพารา |
มีนามว่าสุโขทัยอันไพบูลย์ |
นำพระแก้วนิลวรรณอันส่องศรี |
นั่งล้อมสี่องค์สลับประดับศูนย์ |
พระปฤษฎางค์อังอิงพิงพิบูลย์ |
สี่เหลี่ยมพูนผ่องพิศไม่ผิดกัน |
เหลี่ยมหนึ่งฐานประมาณมีสักสี่นิ้ว |
ทั้งขอบคิ้วสูงสมดูคมสัน |
พระพักตร์ผ่องส่องศรีฉวีวรรณ |
สารพันดังพิมพ์ดูอิ่มองค์ |
ให้แม่ทัพรับรองเป็นของฝาก |
เพราะจะบากบิดให้พ้นคนประสงค์ |
หวังถวายพระโอรสยศยง |
ตัวกับพงศ์พันธุ์จะเข้าเฝ้าธุลี |
ให้ช่วยนำคำทูลประมูลถวาย |
จะเฉิดฉายชูหน้าเป็นราศี |
ท่านแม่ทัพรับไว้ด้วยไมตรี |
ถามคดีเดิมได้ที่ไหนกัน |
จีนพังเล่าเค้าแจ้งแถลงข้อ |
ปีวอกฉอศกจำเป็นคำมั่น |
เดือนเจ็ดขึ้นแรมหายหมายสำคัญ |
ไม่เหมาะมั่นลืมหลงคงแต่จุล |
ศักราชพันสองร้อยสี่สิบหก |
ประจำศกสิบเจ็ดเป็นเสร็จสุน |
ทรที่กล่าวคราวเคราะห์จำเพาะบุญ |
ว่าดรุณชาวไร่อยู่ในดง |
ทางแต่เมืองสุโขทัยไปวันหนึ่ง |
ถิ่นสำนึงบ้านนาชื่อกาหลง |
เที่ยวเลี้ยงควายชายอารามตามป่าพง |
ชื่อนั้นบ่งบอกชัดว่าวัดเชิง |
เป็นวัดร้างว่างกุฎีมีแต่ชื่อ |
ว่าพระฦๅสร้างไว้วิไลเหลิง |
เจดีย์เด่นยอดด้วนจวนจะเปิง |
ล้วนแต่เชิงซุ้มเถาเชือกเขาพัน |
เหล็กแกนสอดยอดเจดีย์ยังชี้เด่น |
เด็กนั้นเห็นอยากได้ใจกระสัน |
ปีนขึ้นยอดถอดออกได้ดังใจพลัน |
ที่ยอดนั้นแลทะลุเห็นตรุมี |
จึงล้วงลอดสอดลงไปได้พระพุทธ |
บริสุทธิ์สดใสประไพศรี |
จีนพังไปได้ดูรู้คดี |
ขอจากที่เด็กได้ดังใจปอง ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพสดับฟังจีนพังเล่า |
เป็นข้อเค้าชนชอบตอบสนอง |
จะทำหนังสือทูลถวายเหมือนหมายปอง |
ตามทำนองแนะนำคำธิบาย |
จีนพังฟังยังไม่ชอบอัชฌาสัย |
เห็นหนักใจที่จะเข้าเฝ้าถวาย |
จึ่งเรียนรอขอให้รับไว้กับกาย |
นิมนต์ผายผันไปกับกองทัพพลัน |
เมื่อกองทัพกลับมาข้าพเจ้า |
จะตามเฝ้าทูลถวายเหมือนหมายมั่น |
ท่านแม่ทัพรับคำที่รำพัน |
จดรายวันเสร็จสรรพได้รับมา ๚ะ |
๏ เมื่อหยุดทัพรับข้างโคต่างต้อน |
เป็นการร้อนรีบรับทัพอาสา |
เมืองไหนขาดบาดหมายเอานายมา |
เสียเวลาล่วงวารประมาณเดือน |
ตั้งฝึกหัดจัดท่าทีว่ารบ |
แล่นตลบลัดไล่ไม่ไหลเลื่อน |
ถ้ายืนยิงชิงรบกระทบกระเทือน |
เสียงสะเทื้อนสะทึกก้องริมห้องธาร ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพยับยั้งเห็นยังว่าง |
ด้วยม้าช้างช้าไปจึ่งไขขาน |
จะครรไลไหว้พระแท่นในแดนดาล |
ชมสถานทุ่งทางกลางพนา |
จึ่งสั่งให้ผูกช้างสล้างสลับ |
ได้พร้อมสรรพหมอควาญขนานหน้า |
เราก็ได้ไปด้วยคิดจิตศรัทธา |
ขึ้นคชาตามชมพนมจร |
ยกยาตรย้ายท้ายเมืองทางเหมืองมุ่ง |
เป็นชายทุ่งแถวไพรฤทัยถอน |
คิดคะนึงถึงยุพาให้อาวรณ์ |
ล้าแม้นจรมาจะชวนให้ยวนยล |
สารพันสรรพพืชผลพฤกษา |
ยอดระย้าคลี่แย้มดอกแกมผล |
เถากล้วยไม้ใบดอกออกระคน |
ขึ้นกับต้นตาลเต็งดอกเบ่งบาน |
เล็บมือนางลางไม้เหนี่ยวก้าวเกี่ยวเลื้อย |
ลำต้นเฟื้อยแลแฝงดอกแดงฉาน |
พวงพะยอมหอมระเหยแลเลยลาน |
พอคชสารถึงกระสินธุ์ท่าดินแดง |
หยุดเสพพักตร์โภชนาเวลาเช้า |
ในทรวงเศร้าสุดที่จะชี้แถลง |
สู้ขมขืนกลืนกล้ำกินน้ำแซง |
แม้นจะแจ้งใจจริงสุดสิ่งเทียม |
แล้วข้ามลำน้ำไปขึ้นไร่อ้อย |
คิดละห้อยมิได้หายนึกอายเหนียม |
ยิ่งโศกเชื่องเงื่องงมให้ตรมเตรียม |
จะเทียบเทียมทุกข์ทับอัประมาณ |
ถึงบึงใหญ่ไสช้างไปกลางเหมือง |
ชื่อฟ้าเลืองแลหลงพงละหาน |
เช้าบ้านดงพงยางขึ้นทางดาน |
มีหมู่บ้านปายางอยู่กลางดง |
ทุ่งสามขาน่าสงสัยฤทัยแหนง |
ครั้นจะแย้งยักถามตามประสงค์ |
ช้างย้ายโยกโงกงูบกูบไม่ตรง |
นั่งโงกงงโงงเงงโคลงเคลงคลอน |
หนองกระเบื้องเนื่องน้ำในลำหนอง |
นกยางหงองหงิมเหงาจับเจ่าขอน |
ย่องหาเหยื่อเกลื้อกระเพาะเที่ยวเสาะซอน |
ไม่แรงร้อนเหมือนเราหาสุดานาง |
นกกาน้ำดำมัจฉาไล่คว้าจับ |
เหมือนเรียมรับขวัญขนิษฐ์ไม่คิดหมาง |
บกอีลุ้มลุ่มหลงลงอยู่กลาง |
เที่ยวไล่คว้างเหมือนพี่คว้าสุดาดวง |
พลางดั้นดัดลัดดงเข้าพงพฤกษ์ |
ไม่วายนึกนกไร้ในไพรหลวง |
กะลิงเกาะแก้วบินกินจันพวง |
กะลางล้วงเลียบเลาะเสาะแมลง |
กะลุมภูคู่ลำพังฟังเสนาะ |
เรียกเพื่อนเสาะผลไทรบังใบแฝง |
เขาขันคูคูหาคู่อยู่กลางแปลง |
กระทาแฝงเฝ้าปักหากระทาดง |
ฟังเสียงนกเสียดในฤทัยเสียว |
จะแลเหลียวล้วนแต่ไม้ไพรระหง |
ต้นเต็งรังมะสังซุ้มเป็นพุ่มพง |
มะปรางปรงปริงปรูประดู่แดง |
ต้นสนสักหักเกี่ยวเหนี่ยวตาเสือ |
มะแว้งเจือจริงจ้อจันพันธุ์ชมแสง |
ลัดดาเฟื้อยเลื้อยลดมีมดแดง |
เข้าเกาะแฝงใบฝังทำรังรอง |
ลัดในดงลงในทางออกกลางทุ่ง |
แต่ใจมุ่งหมายมิตรไม่คิดสอง |
ชมนกไม้ไพรป่านัยน์ตามอง |
จิตนั้นปองคะนึงนุชสุดรำพัน |
พระสุริยนสนธยาให้ว้าหวาด |
น้ำค้างหยาดเย็นใจกลางไพรสัณฑ์ |
หริ่งหริ่งเรียงเสียงเรไรในอรัญ |
จักจั่นร้องร่ำส่ำสำเนียง |
ยิ่งมืดค่ำคล้ำคลุ้มเดินดุ่มเดาะ |
พลางพูดเคาะแคะกันสนั่นเสียง |
ข้างแม่ทัพขับปร๋อไม่รอเรียง |
เงียบสำเนียงลับป่าพนาเนิน |
จึ่งกู่ก้องร้องหาในป่าชัฏ |
ก็สงัดเงียบทางที่กลางเถิน |
เห็นกองไฟใสสว่างอยู่กลางเนิน |
จึ่งรีบเดินด้นไปว่าไฟคอย |
ครั้นเข้าใกล้ไฟดับก็กลับมืด |
เป็นพุ่มพืชพาเฝือเหลือละห้อย |
คิดคำเขาเล่าว่าตามป่าดอย |
โขมดคอยคนไปเอาไฟลวง |
ล่อให้หลงเข้าดงชัฏสลัดทิ้ง |
ให้นอนกลิ้งเอกาอยู่ป่าหลวง |
บางทีเห็นเป็นเคหากานดาดวง |
ถูกผีหลวงหลงหลับอยู่กับไพร |
คิดแล้วขืนฝืนเฝือเหลือวิมุต |
ผีจะฉุดชักพาไปท่าไหน |
ผีเอ๋ยผีผีเอ๋ยพาข้าครรไล |
ผีจงได้พาเดินอย่าเกินทาง |
พอลมพัดปัดเป่าไฟเถ้าลุก |
เห็นทั่วทุกทางคิดจิตขนาง |
ที่กองใหญ่ไฟโพลงแลโล่งทาง |
เลิกสว่างวาววับแล้วดับไป |
จึ่งกระจัดขัดใจมิใช่ผี |
อันวาทีกล่าวเกลื่อนเห็นเลื่อนไหล |
แม้นงวยงงหลงแลเอาแน่ใจ |
ผีกองไฟพาเพ้อละเมอมี |
พอออกทุ่งไผ่กิ่วก็ลิ่วลับ |
มืดพยับย่างไปในวิถี |
ถึงวัดสว่างทางสะท้อนถอนทวี |
ไม่ส่องสีแสงเหมือนนามให้วามวาว |
บ้านไทยเตยเป็นลาวชาวบ้านไร่ |
เขาก็ไฟสงฟางอยู่กลางหาว |
บ้านไผ่เขียวผู้คนไทยปนลาว |
เร่งช้างก้าวโดยลำลองถึงคลองเตย |
บ้านไผ่ล้อมค้อมคู้หมู่ไม้ไผ่ |
บ้านนาใหม่เป็นหมู่ตั้งอยู่เฉย |
ถึงทุ่งยั้งหยุดช้างเข้าข้างเกย |
ค่อยเสบยเบาอุราที่อาวรณ์ |
เห็นผู้คนยลยืนดื่นระดับ |
ท่านแม่ทัพทอดเอกเขนกหมอน |
อยู่บนศาลาใหญ่ที่ในดอน |
พร้อมนิกรแน่นอนันต์ในศัลลา |
พวกหมื่นขุนคั่งคับกับผู้รั้ง |
เมืองทุ่งยั้งอย่างอารีดีนักหนา |
แต่ไปเที่ยวเจียวยังกอบชอบอัชฌา |
ถ้าแม้นมาราชการจะปานไร |
พอหยุดนั่งยกเนื่องเครื่องสำรับ |
เป็นลำดับฝาชีแดงตกแต่งให้ |
เลี้ยงเอมโอษฐ์โภชนาประสาไพร |
ดูมิได้มีรังเกียจให้เคียดเคือง |
ครั้นสำเร็จเสร็จพักสำนักนิ่ง |
ให้คิดกริ่งใจเหลือถึงเนื้อเหลือง |
แม้นมาด้วยช่วยฤทัยให้ประเทือง |
พอเป็นเครื่องคำรบอาสน์ศาสดา |
นี่มาเดียวมิได้มีศรีสวัสดิ์ |
เหมือนหนึ่งตัดเครื่องประทิ่นกลิ่นบุปผา |
มีแต่ธูปเทียนทองของน้องมา |
จุดบูชาพอเป็นเชื้อที่เจือจาง |
ลงนิ่งเหงาเศร้าทรวงจนง่วงหลับ |
พอสุรศัพท์สกุณาในป่าก้อง |
ก็พลิกฟื้นตื่นแจ้งสร่างแสงทอง |
ออกจากห้องศาลาจรลี |
เห็นอารามงามรื่นพื้นสถาน |
ชื่อพิหารมหาธาตุสะอาดศรี |
กำแพงแก้วแถวห้อมล้อมเจดีย์ |
เข้าชุลีแลให้อาลัยลาน |
ดูเอี่ยมเอกวิเวกว่างกลางอาศรม |
รื่นอารมณ์ด้วยพฤกษาพนาสาณฑ์ |
แล้วก็ออกนอกอาวาสเห็นลาดลาน |
ล้วนแดงดาลดูขุมเป็นหลุมคลี |
ว่าลานเงาะเดาะลูกชัยได้ชนะ |
ต่อองค์พระอิศโรท้าวโกสีย์ |
ทั้งหกเขยขายหน้าไม่พาที |
พระบิดาชนนีก็ปรีดิ์เปรม |
ทั้งเจ้าเงาะรจนาหน้าสุกก่ำ |
ได้ขึ้นน้ำนั่งพลับพลาหน้าเป็นเหม |
ที่ชังหายพรายพริ้มดูอิ่มเอม |
สุขเขษมสมบูรณ์พูนทวี |
แล้วครรไลเลยลาศค่อยยาตรย่าง |
ตามแถวทางทิวไม้ชายวิถี |
พื้นศาลาแลงลาดสะอาดดี |
พอถึงที่วัดพระยืนค่อยชื่นลม |
เข้ามณฑปพบพระพุทธบาท |
แลวิลาสลานจิตทองปิดถม |
เป็นคู่ตั้งหวังจะวัดขัดอารมณ์ |
ลงนั่งชมชวนชิดเข้าพิศพรรณ |
แม้นน้องมาจะยืมผ้าสไบวัด |
คงจะปัดปิดกุมปทุมถัน |
ได้ชมงอนค้อนพี่ยาตาเป็นมัน |
ประชดประชันป้องปัดด้วยขัดใจ |
ดำริพลางทางหาลัดดาวัด |
โดยขนัดศอกหนึ่งตรงอย่าสงสัย |
กว้างสิบนิ้วคิ้วขอบกรอบละใบ |
แลประไพงามจังหวะลายกระจัง |
ที่ฐานปัทม์กลีบบัวกลั้วทองทึบ |
ดูสะพรึบสะพรั่งลายระบายฝัง |
แล้วออกมาหน้าลานขานระฆัง |
เสนาะดังแข็งขับกับกระดึง |
เจดีย์งามสามองค์ทรงค้อมค่อม |
ตะล่อมป้อมเป็นปุ่มคล้ายพุ่มผึ้ง |
แล้งลงเนินเดินไปใจคะนึง |
คิดรำพึงแม้นได้พาสุดาจร |
จะชวนชมรุกขาในป่าเปลี่ยว |
นี่มาเดียวมิได้ยลวิมลสมร |
แม้นมาคู่ดูไม้ที่ในดอน |
จะได้วอนถามพฤกษาบรรดามี |
ต้องเดินพึมหงึมเหงาเข้ามณฑป |
ประนมนบแท่นพระชินศรี |
จุดธูปหอมพร้อมประทิ่นกลิ่นมาลี |
สดุดีนบหน้าตั้งอารมณ์ |
สวดการุญคุณพระธรรมที่พำนัก |
คือไตรลักษณ์ที่รำลึกนึกปฐม |
เมื่อองค์สัมพุทธพระโคดม |
ทรงบรรทมแท่นศิลาเอกากาย |
ได้โปรดสัตว์ตัดบ่วงห่วงสงสาร |
เหมือนเพลิงผลาญกิเลสล้างให้ห่างหาย |
ได้ผ่องพักตร์มรรคผลพ้นอุบาย |
แล้วก็ผายผันหนีเข้านิพพาน |
แม้นพระองค์คงคืนฟื้นมาได้ |
คงโปรดให้เรียมกำจัดประหัตประหาร |
ดับโทโสโมหาโลภาพาล |
ราคาราญรอนสำเร็จเด็ดกระเด็น |
แม้นโปรดให้ไปจะย้อนมาวอนน้อง |
เข้าสู่ห้องนฤพานดับการเข็ญ |
สละล้างทางวิบากที่ยากเย็น |
ไม่เวียนเป็นวนตายสบายดี |
คิดคิดขำรำลึกนึกหัวเราะ |
ถ้าแม้นเหมาะเหมือนหมายไม่อายผี |
ได้หลีกพ้นคนพาลาที่บาบี |
เข้าบุรีนฤพานสำราญใจ |
พลางดูแท่นแผ่นผาศิลาลับ |
เข้าลูบจับจิตพะวงคิดสงสัย |
เห็นพื้นแผ่นแล่นตะกั่วบุทั่วไป |
แลข้างในปูนสอก่อขึ้นมา |
สูงหนึ่งศอกเสริมวางกลางมณฑป |
วัดตลบเหลี่ยมแท่นที่แผ่นผา |
ได้หกศอกหกนิ้วยาวดังกล่าวมา |
กว้างได้ห้าศอกชัดสกัดกัน |
ที่กลางแท่นทำเป็นช่องมองแล้วล้วง |
เป็นรุ่งร่วงรอยกลมช่างคมสัน |
สำหรับใส่เงินทองของสำคัญ |
เป็นเครื่องกัณฑ์เก็บใส่ไว้บูชา |
ชื่อพระแท่นแผ่นผาศิลาอาสน์ |
ไยมาดาดดีบุกไว้ไฉนหนา |
นั่งพินิจพิศวงนึกสงกา |
สุดปัญญาที่จะแยกออกแจกแจง |
ทัศนาอุโบสถงามหมดเหมาะ |
ช่างจงเจาะจัดไว้มิได้แหนง |
พื้นศิลาลาดเลี่ยนเขาเปลี่ยนแปลง |
ค่อยตกแต่งสะอาดตาไม่ราคิน |
โบสถ์ด้านขวางกว้างยี่สิบสี่ศอก |
ยาววัดออกสิบวาน่าถวิล |
เสาทาชาดพิลาสล้วนก็ควรยิน |
ทรงกระบินทองระบายเป็นลายลอย |
ผนังเขียนรูปภาพสอดสาบสี |
เรื่องบาลีละกิเลสเหตุละห้อย |
รูปพระสงฆ์ปลงอสุภด้ายบุบดอย |
ตราสังร้อยรัดทิ้งดูนิ่งนอน |
แลดูบานทวารวุ้งเป็นรุ้งร่วง |
สลักดวงดอกผการุกขาขอน |
มีรูปเทพนมรายขจายจร |
นาคกินนรนรสิงห์งามจริงเจียว |
สิงโตตั้งตากลมอมลูกหิน |
ไม่มีลิ้นแลแปลกยังแยกเขี้ยว |
คอหอยตันฟันมีอยู่ซี่เดียว |
ทำองค์เอี้ยวโอษฐ์อ้านัยน์ตาพอง |
กำแพงแก้วก่อกั้นเป็นคันคอก |
ที่มุมศอกมีพุทราสาขาสอง |
ยอดเอนสู่บูรพทิศดังจิตปอง |
เอาอิฐกองก่อกันไว้มั่นคง |
ซึ่งเรียกว่าพุทราที่แขวนบาตร |
พึ่งผุดผาดผ่องพ้นต้นระหง |
พื้นอาวาสกวาดกว้างในกลางดง |
มีคนคงคอยรักษาพระอาราม |
อนึ่งเขาเล่าบอกว่านอกวัด |
ด้านสกัดกำแพงกั้นสำคัญห้าม |
ใครฝ่าฝืนขืนด่วนทำลวนลาม |
แล้วเกิดความผีจะคว้าพาเอาไป |
นึกอยากดูรู้แน่ไปแลลอบ |
เห็นคันขอบโขดเขินเนินไศล |
เขาตัดถางพลางรุมเข้าสุมไฟ |
ตลอดในแนวหน้าพนาเนิน |
แล้วลัดลงตรงทางอุดรทิศ |
เห็นสระอิฐเอี่ยมสำอางอยู่กลางเถิน |
เขาก่อกันคันขอบรอบจำเริญ |
ค่อยเลียบเดินดูดาษสะอาดดี |
จัตุรัสทัศนาแปดวาเศษ |
โดยสังเกตคิดกะเหลี่ยมสระศรี |
น้ำใสเย็นเห็นมัจฉาในวารี |
ปลากระดี่ว่ายกระดิกระริกเชย |
มีศาลาราเรียงอยู่เคียงสระ |
ยังเรอะระร้างเริดไม่เปิดเผย |
สังกะสีมุงปละทิ้งละเลย |
ไม่น่าเชยชมชื่นเป็นพื้นดิน |
กลับขึ้นนั่งยังหน้าพระอาวาส |
กุฎีดาษอันดับสงฆ์อยู่ทรงศีล |
ศาลาใหญ่ยกพื้นลมรื่นริน |
หอมประทิ่นบุปผชาติลีลาศลม |
มีหมากตูมต้นตาลที่ลานวัด |
ขนุนจัดผลจ้อยคล้ายหอยขม |
จำปาออกดอกเด่นน่าเฟ้นดม |
ขอให้ลมพัดหล่นดลบันดาล |
จะเก็บดมชมจำปาในป่ากว้าง |
พอแก้ร้างร้อนใจกลางไพรสาณฑ์ |
แทนจำปาผ้าที่หุ้มปทุมมาลย์ |
ให้หายดาลทรวงนึกเหมือนตรึกตรอง ๚ะ |
๏ ฝ่ายชาวชนตำบลไพรที่ในเขต |
ได้ทราบเหตุก็มารายนั่งขายของ |
มีกล้วยอ้อยน้อยหน่าเอามากอง |
พุทราดองน้ำอ้อยแดงทำแตงเม |
ทั้งข้าวหมากข้าวหลามตามมาขาย |
ผลกล้ายกล้วยส้มมีถมเถ |
คำเปลวธูปเทียนบุปผามาออกเด |
ร่ำร้องเร่เรียกชื้อออกอื้ออึง |
ได้ซื้อของลองลิ้มชิมแปลกแปลก |
แล้วได้แจกทานประเทืองเฟื้องสลึง |
ต้องอุทิศจิตจำคิดคำนึง |
สรรพซึ่งทุกข์อย่าพาลให้ดาลแด |
ครั้นหายเหนื่อยเฉื่อยชื่นกลับคืนหลัง |
ถึงทุ่งยั้งหยุดร้อนลงนอนแผ่ |
พอแดดอ่อนจรช้างทางนาแค |
ไปลับแลชมประเทศเขตนคร |
ออกเดินทางกลางทุ่งดูวุ้งเวิ้ง |
ไม่รื่นเริงเร้าในฤทัยถอน |
ล้วนลำลาบมาบละเมาะเลียบเลาะจร |
หลุมลุ่มดอนเดินไปตามใจจง |
คลองแม่พร่องต้องข้ามเมื่อยามร้อน |
น้ำไหลอ่อนอั้นจิตพิศวง |
คิดถึงคลองน้ำใจในอนงค์ |
ดูเต็มคงมิได้ข้องให้พร่องเลย |
บ้านต้นขามขามใครที่ในทุ่ง |
ขามแต่มุ่งเมินหมางห่างเขนย |
ด้วยไกลงามขามอารมณ์ที่ชมเชย |
เมื่อไรเลยจะหายขามที่ความแคลง |
มาถึงวัดชายชุมพลเห็นคนกลุ้ม |
บ้างแอบซุ่มมองดูเป็นหมู่แฝง |
บ้างนั่งดูอยู่ริมทางที่กลางแปลง |
บ้างวิ่งแซงแทรกดูหมู่โยธี |
ก็ขับช้างพลางคิดจิตอนาถ |
รีบลีลาศลับไปในวิถี |
ถึงบ้านยางกะใดในบุรี |
เป็นถิ่นที่สถานเนื่องเมืองลับแล |
มีกำนันพันทนายมารายรับ |
ดูคับคั่งคนลาวทั้งสาวแก่ |
พักที่บ้านจีนทองอินถิ่นลับแล |
เขาไม่แชเชือนชอบคิดขอบใจ |
แต่งทำเนียบเรียบรายดอกไม้สด |
ระใบบดลมพัดสะบัดไหว |
ใบหมากพร้าวน้าวเหนี่ยวเกี่ยวกันไป |
พวงใบไทรผูกเสาดูเพราตา |
ที่สำหรับรับพหลพลไพร่ |
เขาจัดไว้วางทีดีนักหนา |
ให้พักพวกพลไกรที่ไคลคลา |
ปลูกไว้หน้าทำเนียบแนวเป็นแถวยาว |
มีปะรำโรงเลี้ยงเคียงทำเนียบ |
ผ้าดาดเรียบบังรวีนั้นสีขาว |
ปูเสื่อสาดสะอาดเอี่ยมเยี่ยมกว่าลาว |
ประชาชาวช่วยชูไม่ดูแคลน |
ถึงเวลาหาของปูนปองเลี้ยง |
ไม่เบนเบี่ยงหลบลี้ช่างดีแสน |
ล้วนปลาหมูชูใจมิใช่แกน |
ไม่เคียดแค้นคืนค่ำก็คํ้าชู |
พอนอนม่อยแอบเมียงเลี่ยงมาปลุก |
เชิญให้ลุกกินขนมข้าวต้มหมู |
หมากบุหรี่น้ำชาหาเลี้ยงดู |
พอเชยชูชื่นอารมณ์ที่ตรมใจ |
ครั้นรุ่งเช้าเที่ยวชมนิคมเขต |
ภูมิประเทศสถานท่าที่อาศัย |
ล้วนบ้านลาวเหล่าละเมาะเป็นเกาะไป |
มีนาไร่เรือกสวนน่าชวนชม |
ทุกตำบลบังรื่นพื้นพฤกษา |
ดังวนาโนทยานตระการสม |
หมากมังคุดละมุดม่วงพวงมะยม |
มีกล้วยส้มจุนเกลี้ยงเรียงจรัล |
อีกส้มโอส้มซ่าส้มมาแป้น |
ส้มแร้นแค้นชิมเปรี้ยวเสียวกระสัน |
กลับคายคืนยืนพิศสะกิดกัน |
ขนลุกชันชาสิ้นทั้งอินทรีย์ |
จึ่งถามลาวสาวสะเทิ้นเอิ้นส้มสัง |
ช่างขี้ถังทิ้งสลัดนึกบัดสี |
ลาวว่าส้มใส่คำอำคดี |
ต่างพาทีดูทั่วมะงั่วเรา |
เงาะลิ้นจี่ลางสาดหนาดหมากพร้าว |
ต้นหมากนาวนมวัวแลถั่วเถา |
มะไฟมะเฟืองเหลืองหล่นต้นสะเดา |
สล้างเสลาสูงล้นต้นทุเรียน |
ทั้งกล้วยกล้ายหวายหว้าสารพัด |
สุดจะจัดจำนรรจ์พูดหันเหียน |
บุปผชาติดาษดินกลิ่นอาเกียรณ์ |
เที่ยวเดินเวียนในจังหวัดทัศนา |
บางแห่งราบแลรื่นเป็นพื้นทุ่ง |
ล้วนคันคุ้งโอบตำบลต้นพฤกษา |
ทำสี่เหลี่ยมแลหลั่นเป็นคันนา |
มีธาราไหลรินทั่วดินแดน |
บนดอนเด่นเห็นอารามงามสมร |
ชื่อวัดหม่อนสร้างไว้วิไลแสน |
ดูพิจิตรพิศประเทืองดังเมืองแมน |
มีเขตแคว้นเสมาพระอาราม |
ช่างเสริมสรรหน้าบันโบสถ์โสตสะอาด |
แลพิลาสลอยกว้างกลางสนาม |
กุฎีรายชายพฤกษารอบอาราม |
ค่อยไต่ตามทางเลาะทุกเกาะเกียน |
ขนัดเนื่องเมืองลับแลแม้จะเที่ยว |
ในวันเดียวเดินไม่สิ้นถิ่นเสถียร |
พอแดดร้อนอ่อนอกก็วกเวียน |
ทุ่งหนึ่งเตียนตารื่นแต่พื้นนา |
เห็นไม้ปักสี่เสาเสลาสล้าง |
อยู่ที่กลางทุ่งเล่ห์ลอยเวหา |
สำหรับพาดกรวดลาวชาวชนา |
เมื่อเวลาตรุษสงกรานต์เล่นการปี |
แล้วกลับหลังยังที่พักสำนักนิ่ง |
คิดถึงมิ่งสมรน้องให้หมองศรี |
ชมลับแลแลงามตามบุรี |
ลับยาหยีเหลือจะตรมอารมณ์จร |
ลับแลเมืองประเทืองยลผลพฤกษ์ |
มาลับลึกแลเผินเนินสิงขร |
เมืองลับแลแลถวิลแผ่นดินดอน |
ลับบรรถรที่สถานเดือดดาลใจ |
ลับแลแลอนันต์สักพันหมื่น |
ไม่แลชื่นเหมือนมิตรพิสมัย |
ลับแลแลบ้านสถานไพร |
ลับอาลัยเมื่อจะมาลีลาแล |
ลับแลแลเมื่อลาน่าอนาถ |
ลับเยื้องยาตรแลย่างมาห่างแห |
ลับแลเลื่อนลงนาวาตายังแล |
ลับแลแลแลลับทับทวี |
คิดถึงเมืองลับแลที่แลลับ |
จนเดือนดับอาทิตย์ผ่องขึ้นส่องศรี |
ท่านจึ่งลาจีนทองอินด้วยยินดี |
ไปวารีริมฝั่งท่าบางโพ |
มาพักหนึ่งถึงเมืองอุตรดิตถ์ |
ฤท่าอิฐที่เรือค้าน่าสุโข |
แนวชลาท่าอิฐติดบางโพ |
เป็นท่าโคต่างมาสินค้าลง |
เมืองแพร่น่านล้านช้างยางพม่า |
กะเหรี่ยงข่าลาวในไพรระหง |
ทั้งเงี้ยวฮ่อใช้ล่อต่างมาทางดง |
เป็นท่าส่งของขายชายชลา |
มีลูกเล่วกระวานครั่งทั้งยาฝิ่น |
ตามแต่ยินดีมาดปรารถนา |
ทั้งหนังเขาป่านปอแลนองา |
ไหมมาลาแลศรีไม่มีมัน |
พวกเจ๊กไทยทอดท่าแพนาเวศ |
มีผ้าเทศของไทยไว้ผ่อนผัน |
เอาเงินซื้อหรือจะแลกยักแยกปัน |
เขาจัดหันหาตอบให้ชอบชน |
แล้วปลงช้างค้างคืนขึ้นสำนัก |
เข้าหยุดพักพิงพะวัดถนน |
ผู้รักษาเมืองลับแลมาแจจน |
เป็นทำวนแวดระวังมานั่งกอง |
ด้วยบ้านตั้งอยู่ริมฝั่งอุตรดิตถ์ |
มากอบกิจการระไวมิให้หมอง |
ทุกสิ่งสรรพรับเลี้ยงเคียงประคอง |
อเนกนองเจือจานทั้งหวานคาว |
ครั้นเย็นย่ำค่ำนอนหยุดผ่อนพัก |
ดูคึกคักโยธีเสียงมี่ฉาว |
พระพายพัดหยาดน้ำค้างลงพร่างพราว |
อนาถหนาวนิ่งสะท้อนนอนศาลา |
ไม่มีบานทวารบังประดังพัด |
ดึกกำดัดดาวพร่างกลางเวหา |
ดูดวงเด่นเห็นสลับระยับตา |
ชมดารารายประจำที่อัมพร |
ลมสงัดพัดระงับหลับสนิท |
พระอาทิตย์อุทัยเผินเนินสิงขร |
ท่านแม่ทัพกลับมาทางสาคร |
เราดั้นดอนเดินป่ามาลำเค็ญ |
หยุดนอนดงพงพื้นอีกคืนหนื่ง |
ต่อรุ่งจึ่งเดินแดนดูแสนเข็ญ |
ช้างย้ายโยกโงกงูบกูบกระเด็น |
ก็ตื่นเต้นวนวิ่งเป็นสิงคลี |
หมอสับฟันมันเท่าไรก็ไม่หยุด |
ช่างรีบรุดเร็วจริงออกวิ่งจี๋ |
ร้องแปร๋แปร้นแล่นไปในพงพี |
หูหางชี้หมอกระชากอ้าปากกลวง |
ครั้นสิ้นฤทธิ์ร้องโอกเขาโขกสับ |
จนย่อยยับยืนเซาดูเหงาง่วง |
เลือดออกอาบฉาบชาดยืนฟาดงวง |
น้ำตาร่วงไหลรินสิ้นลำพอง |
เห็นช้างเหงาเศร้าซึมเดินงึมเงื่อง |
เฝ้าคิดเรื่องนิราศนางมาหมางหมอง |
คเชนทร์เหงาหรือจะเท่าเราตรมตรอม |
คะนึงน้องมาจนที่เมืองพิชัย ๚ะ |
๏ ฝ่ายกองเวรเกณฑ์หัวเมืองเนื่องสมทบ |
มาบรรจบจัดรับกองทัพใหญ่ |
ทั้งม้าช้างโคต่างเนื่องเมืองที่ไกล |
พร้อมนายไพร่แซ่ส่ำโดยจำนง |
ตรวจบาญชีถี่ถ้วนจำนวนหมาย |
เรียกชื่อจ่ายจดนามตามประสงค์ |
กำแพงเพชรร้อยคนรณรงค์ |
ช้างก็ส่งยี่สิบพอดิบดี |
ทั้งหมอควาญสัปคับมีสรรพเสร็จ |
โดยเขบ็จนายบังคับกำกับที่ |
พระอินทร์แสนแสงตำแหน่งมี |
คุมโยธีเทียบทัพรับบัญชา |
เมืองสวรรคโลกนายไพร่ก็ได้ร้อย |
ไม่มากน้อยยี่สิบช้างอย่างที่หา |
พระพลสงครามหมายเป็นนายมา |
นำคณานอบนบอภิวันท์ |
เมืองเถินนี้มีจำนวนถ้วนสิบช้าง |
ไม่คั่งค้างรีบรัดเร่งจัดสรร |
ช้างเมืองแพร่ห้าสิบถ้วนจำนวนปัน |
โคต่างนั้นห้าร้อยไม่ถอยทด |
นายกำกับโคต่างช้างนี้ไซร้ |
พระยาไชยประเสริฐความนามปรากฏ |
เป็นหัวหน้านำพหลพลคช |
มาประณตน้อมคำนับกำกับไป |
จึ่งจัดจ่ายรายกองตามจองจด |
กะกำหนดที่จะยกทัพบกใหญ่ |
ขุนสิงหนาทกองหน้าให้คลาไคล |
คุมปืนใหญ่ล่วงหน้าไม่ช้าการ ๚ะ |
๏ เวลานั้นท่านแม่ทัพต้นรับสั่ง |
ประกาศตั้งนายทัพบังคับทหาร |
เพื่อเสียทีชี้ขาดราชการ |
มิให้คร้านครั่นท้อต่อณรงค์ |
ท่านชี้แจงแจ้งความตามกระแส |
ให้เห็นแท้ทางจริงสิ่งประสงค์ |
เมื่อพลั้งพลาดชีวาตม์วายทำลายลง |
การณรงค์เรียงรับบังคับไป |
เป็นที่หนึ่งที่สองรองเสนอ |
คอยบำเรอราชกิจวินิจฉัย |
คิดไว้เพื่อเกิดเข็ญจะเป็นไป |
จึ่งจะไม่เสียการที่ราญรณ |
จึ่งเขียนนามตามบาญชีที่ทรงโปรด |
แล้วก็โวดวางลำดับไม่สับสน |
ชื่อใครมากฉลากหมายเป็นนายพล |
ตั้งกมลมุ่งทำสำมัคคี |
ได้ที่หนึ่งที่สองจัดจองเสร็จ |
รวมได้เจ็ดนายจำนงลงดิถี |
เดือนอ้ายแรมค่ำอังคารทิวารมี |
ดังวาจีจดจำเป็นสำคัญ |
ให้นายทัพกำกับกองจงครองจิต |
อย่าทำผิดผวนแผกให้แปลกผัน |
รักษากิจอิศเรศจอมเขตคัน |
ให้การนั้นล่วงลุเหมือนจุจง |
แล้วประกาศธงชัยวิไลเลิศ |
แสนประเสริฐสุดฤทธิ์พิศวง |
เป็นธงรบสำหรับรับณรงค์ |
ก็ล้อมวงจิตหวังจะฟังความ ๚ะ |
๏ ดำเนินสารอ่านเสนอบำเรอราช |
โดยพระบาทธิบดินทร์ปิ่นสยาม |
ทรงโปรดปรานประทานธงสู่สงคราม |
ซึ่งมีนามในอังกฤษเรียกริชแมน |
เป็นสง่าหน้าศึกให้ฮึกเหิม |
แลเฉลิมลักษณ์เลิศประเสริฐแสน |
ปลุกใจรื่นชื่นชมระดมแดน |
ดังจะแล่นโลดไล่ล้างไพรี |
เป็นที่หมายนิกายกองคะนองนับ |
สำหรับทัพทุกประเทศพิเศษศรี |
ให้กลั่นกล้าร่าโรมกระโจมตี |
ไม่บิ่นบี้ย่นยู่กับหมู่พาล |
ตั้งจิตจงเหมือนหนึ่งองค์อิศเรศ |
มาปกเกศกั้นเกล้าเหล่าทหาร |
อำนาจธงดังองค์อวตาร |
มาล้างมารหมู่อมิตรที่คิดคด |
รับอาสาฝ่าละอองฉลองบาท |
ให้สมชาติชายกล้าเห็นปรากฏ |
คิดพระคุณจุณเจิมเฉลิมยศ |
จงกำหนดนับถือคือพระองค์ |
ธรรมเนียมชายนายทหารเหมือนสารกล้า |
เข้าประงางวงชูดูระหง |
สงวนงวงหน่วงอารมณ์ไม่งมงง |
จนชีพปลงมิได้ปละสละงวง |
อันยอดธงได้เชิญองค์พระศกสถิต |
มาประดิษฐ์ประดับสนองเป็นของหลวง |
จงหมายหนึ่งพึงยลกระมลดวง |
เป็นแน่หน่วงดังพระองค์มาทรงทัพ |
ตั้งเคารพนบนาถบาทบพิตร |
อันสถิตธงทำมาสำหรับ |
เชิญประพาศพิฆาตพาลให้ลานลับ |
จนย่อยยับเยินแหลกตื่นแตกไป |
แม้นข้าศึกฮึกรอเข้าต่อฤทธิ์ |
จงตั้งจิตจับมันอย่าหวั่นไหว |
รักษาองค์ธงสำคัญให้มั่นใจ |
อย่าทำให้ศัตรูมันดูแคลน |
อันการทัพจับศึกนึกประสงค์ |
ก็หมายธงทัพกันเป็นมั่นแม่น |
อันทัพใดในพิภพจนจบแดน |
ถ้ามาดแม้นทิ้งธงแล้วคงลือ |
จะเสื่อมเชื้อเสียเช่นเป็นทหาร |
จนอวสานล่วงลุระบุชื่อ |
ให้ปรากฏพจน์นิพนธ์คนระบือ |
พิไรรื้อร่ำเรื่องกระเดื่องดิน |
แม้นสวัสดิ์วัฒนาถาวเรศ |
ทุกประเทศน้อยใหญ่มิได้หมิ่น |
กระเดื่องชื่อลือชาไม่ราคิน |
ชั่วฟ้าดินเด่นช่วงดังดวงจันทร์ |
จบสำเร็จเสร็จประกาศราชฤทธิ์ |
พระโมลิศเลิศมกุฎสุดสวรรย์ |
ถวายคำนับนบน้อมลงพร้อมกัน |
กระมลมั่นมุ่งหมายไม่วายวาง ๚ะ |
๏ เวลานั้นพระยาศรีสิงหเทพ |
ได้มาเสพสมสนิทไม่คิดหมาง |
รวมราชการกองจ่ายรับรายทาง |
ท่านจัดข้างพนักงานการเสบียง |
ตั้งยุ้งฉางทางทอดเป็นระยะ |
ได้เกณฑ์กะไพร่สมทบไม่หลบเลี่ยง |
ด้วยผู้รั้งกรมการด้านข้างเวียง |
หมดทั้งเลี้ยงสิทธิ์ขาดมหาดไทย |
ได้แจ้งความตามที่มีโอวาท |
ว่าอนุญาตยกยศให้สดใส |
โปรดประทานตรามงกุฎผุดประไพ |
เพิ่มยศให้เจ้าสถานน่านนคร |
แล้วจะเกณฑ์พหลพลรบ |
เข้าสมทบที่ในการราญสมร |
ท่านแม่ทัพสดับแจ้งแห่งสุนทร |
จึ่งยกย้อนทัพใหญ่ไปด้วยกัน |
กับพระวิภาคภูวดลคนแผนที่ |
มาพาทีทุกข์ร้อนได้ผ่อนผัน |
จะรีบล่วงหน้าไปในอรัญ |
กลางไพรวันเกรงพาลาจะราวี |
จึ่งสั่งให้ลุดเตอร์แนนต์นายปุ้ยรับ |
คุมพลสรรพกล้าศึกไม่นึกหนี |
สามสิบสองคนรักษาการราวี |
เข้าพงพีล่วงลับลำดับไป ๚ะ |
๏ ครั้นถึงวันฤกษ์ดีจะกรีทัพ |
จัดเสร็จสรรพบัตรพลีคัมภีร์ไสย |
บวงสรวงเทพทุกสถานพิมานชัย |
ประตูไพรมีพระประน้ำมนต์ |
ทหารรบเรียบพื้นปืนปลายดาบ |
เป็นมันปลาบปลั่งมองสยองขน |
เหน็บเซ็กใส่ไหล่ผึ่งน่าพึงยล |
ทุกทุกคนยืนเคียงอยู่เรียงราย |
ออฟิเซอร์สวมสะพายสายกระบี่ |
ขึ้นควบขี่ม้าตรวจทุกหมวดหมาย |
เป็นกองหน้าร่าเรียงเคียงนิกาย |
หัวหน้านายหลวงจำนงให้คงคุม |
ที่สองกองพระพลคนเกณฑ์หัด |
เอามาจัดจ่ายพอมรสุม |
ถืออาวุธเหวี่ยงวัดไม่รัดกุม |
หลังคุ่มคุ่มไหล่ค้อมดูซอมซอ |
ที่สามพลคนเมืองแพร่แลพิลึก |
ขาสักหมึกดูมนเหมือนก้นหม้อ |
เจาะหูกว้างต่างยัดดูอัดออ |
พูดออกจ้อเสียงแจ้วว่าแกล้วดี |
กองพิเศษที่กำกับกองทัพหน้า |
นั้นคุณจ่ายวดแจ้งตำแหน่งที่ |
ขับม้าตรวจหมวดหมายรายโยธี |
ประจำที่นิ่งอยู่คอยดูธง ๚ะ |
๏ พลช้างยืนช้างวางระยะ |
ที่หนึ่งพระไชยเฉิดระเหิดระหง |
ออกนำหน้าร่าหรับรับณรงค์ |
ศุภมงคลคุ้มคุมนิกร |
ที่สองข้างปืนมอต้าง่าศักศอก |
ตัวละบอกบรรทุกใส่ประไพสร |
ยินเคียงคู่ดูงามตามกุญชร |
งางามงอบแหงนเงยเสยพระพาย |
ที่สามช้างธงชัยวิไลลักษณ์ |
เป็นเอกอัครอุดมแสงดูแดงฉาย |
งามสีทองรองเรืองเลื่อมเหลืองพราย |
พอพระพายพัดพานดูลานตา |
มีทหารแตรเรียงเดินเคียงข้าง |
แลสล้างสลับรายทั้งซ้ายขวา |
สวมเสื้อยันต์คาดกั้นหยั่นพันกายา |
แม้นพบข้าศึกเป่าเร้าระดม |
ที่สี่ช้างเบาะใส่ให้คนขี่ |
เขด็จสี่คนสำรวยดูสวยสม |
ปืนสำหรับจับประจำช่างขำคม |
ดูน่าชมช้างคู่ยืนอยู่เคียง |
มีเขด็จเดินลำดับกำกับแถว |
ถือปืนแซ่วนิ่งเซากระเส่าเสียง |
พอสาวสาวชาวพิชัยมาใกล้เคียง |
ให้หมากเมี่ยงกินบ้างค่อยสร่างเซา |
ช้างแม่ทัพที่ห้าดูอ่าโถง |
ช่างปรุโปร่งเขียนวาดฉลาดเฉลา |
ทำอย่างใหม่ใช้ผ้าทาสีเทา |
ที่แหย่งเอาปรอนปรายให้รายเรือง |
ทำแผงแผ่นแทนกระดานสานตอกย้อม |
ลายหย่อมหย่อมดำระคนเข้าปนเหลือง |
ไม้แกงแนงแนบสนับทับประเทือง |
ไม่กระเดื่องกระดกตั้งหลังคเชนทร์ |
ผูกผ่านหน้าผ่านท้ายไม่ย้ายโยก |
จะขึ้นโคกโขดเขาเป็นกราวเขน |
รัดประคนหนังขนาบทาบคเชนทร์ |
ไม่เอียงเอนผูกพันดูมั่นคง |
งามหัตถีทีท่าดูร่าหรับ |
สัปคับแลเลิศระเหิดระหง |
งามกูบกั้งบังแสงสุริยง |
ดูสมทรงคชสารละลานตา |
ช้างที่หกพระพาหลวิมลเหมาะ |
ดูหยดเหยาะอย่างวิจิตรคิดเลขา |
ทหารแซงสองข้างทางมรรคา |
ถัดถัดมาช้างนายนายยืนรายเรียง |
ช้างที่สุดใส่ของในกองทัพ |
เป็นลำดับดาษด้าวไม่ก้าวเกี่ยง |
โคต่างต่อนล่วงไปมิใกล้เคียง |
ก็เรียบเรียงรอฤกษ์เบิกทวาร ๚ะ |
๏ ฝ่ายสาวสาวชาวประชาคณาแน่น |
ดูแห่แหนให้พะวงนึกสงสาร |
บ้างสมัครรักรื่นชื่นลำราญ |
ฤดีดาลแดอาลัยไขสุชล |
มาสั่งเสียเคลียคลอดูท้อแท้ |
ไม่เซ็งแช่กระซิบสั่งนั่งฉงน |
บ้างก้มหน้าตาแดงแสร้งทำกล |
น้ำตาหล่นไหลซาบลงอาบปราง |
เรียมยืนยลอ้นอั้นคิดขวัญข้าว |
ให้สร้อยเศร้าเสียวในหทัยหมาง |
เขาจากชู้เจียวยังช้ำทำระคาง |
พี่จากนางนึกน่าระอาอาย |
ปานนี้น้องจะนองชลสกนธ์ซูบ |
สิริรูปโรครักไม่หักหาย |
ปรางเคยปรุงฟุ้งประทิ่นกลิ่นอบอาย |
จะฉลายแลอาบคราบสุชล |
ขอฝากคำอำลาสุดาด้วย |
เทพช่วยชี้แถลงแจ้งนุสนธิ์ |
ว่าเรียมลายาหยีนิฤมล |
เข้าไพรทนเทวษนองกองระกำ |
สามโมงเข้าทัพชัยก็ไคลเคลื่อน |
วันศุกร์เดือนอ้ายแรมสิบเอ็ดค่ำ |
ทั้งเสียงแตรแซ่ประสานขนานนำ |
เป็นที่สำคัญบอกให้ออกเดิน |
พลเท้าก้าวกรายขยายย่าง |
พลช้างชูเชิดระเหิดเหิน |
พลม้าร่าหรับลำดับเดิน |
ไม่ก้าวเกินเกะกะไปปะปน |
เป็นหมวดหมู่ดูดื่นครึกครื้นครัน |
บรรลือลั่นแหล่งหล้าก้องกาหล |
เป็นฝุ่นฟุ้งมุ่งมัวทั่วสากล |
ดำเนินพลม้าโผนโขลนทวาร |
พระสงฆ์สวดพระปริตรประสิทธิ์รด |
ม้าพยศคนขยับขับขนาน |
น้ำมนต์ปราดม้าปร๋อห้อทะยาน |
คชสารน้ำสาดไม่ปราดเปรียว |
พอล่วงบานทวารวับก็ขับช้าง |
วิเวกว้างวาบไหวฤทัยเสียว |
เห็นพหลกล่นเกลื่อนเหมือนมาเดียว |
เพื่อนเขาเกรียวเรียมกรุกทุกข์ระทม |
อยู่บนช้างพังตุ้มเดินดุ่มเดาะ |
ย่างเหยาะเหยาะกระดึงดังฟังขรม |
บางช้างผูกลูกเกราะเคาะระงม |
ระบายลมใบไม้หล่นปนกระดึง |
ใบไม้กราวเกราะกริกกระดิกกระดิ้ง |
เสียงกริ่งกริ่งโกร่งกร่างครางหึ่งหึ่ง |
จักจั่นลองไนเรไรรึง |
เข้าเกาะกรึงกรวดกระแสงแข่งสำเนียง |
อยู่บนต้นเต็งรังฟังเสนาะ |
ช่างไพเราะหริ่งเรื่อยฉ่ำเฉื่อยเสียง |
ล้วนหมู่ไม้รายรื่นบนพื้นเพียง |
จรัลเรียงรารอจรลี |
เป็นวันแรกจะรีบเดินให้เกินนัก |
ไม่หยุดพักพาลจะเพลียซูบเสียศรี |
พอบ่ายโมงหนึ่งสำนักพักโยธี |
ทอดพักที่ทุ่งท่านาคะนึง |
ปล่อยโคต่างช้างม้าออกคล้าคล่ำ |
ลงเล่นน้ำหนองกว้างเสียงผางผึง |
บ้างลำพองร้องเร้าเฝ้าคะนึง |
บ้างยืนบึ้งบ่มมันหูชันเชิง |
ลูกช้างน้อยน่าเอ็นดูอยู่กับแม่ |
เห็นคนแปร๋แปร้นไล่ครรไลเหลิง |
เที่ยวไล่หลงวงกลับวิ่งหรับเริง |
ไปยืนเบิ่งเบียดมารดางวงคว้านม |
หมู่สินธพตลบไล่กันในทุ่ง |
ต่างหมายมุ่งตัวเมียมองร้องขรม |
บ้างขบโขกกระโชกกัดพลัดตกตม |
บ้างวิ่งดมโดนหางดีดผางไป |
เหล่าโคต่างวางวุ่นหลุนหลุนวิ่ง |
โดนกันกลิ้งกลางนาหน้าไถล |
บ้างขึ้นก้นสนจมูกไม่ถูกใคร |
ระเริงไล่ลับเขาเข้าขวิดดิน |
หมู่พหลหุงหากระยาหาร |
ธุมาการตรลบไปในไพรสิน |
เสียงโจษจันอนันต์ขนัดปัถพิน |
สุดจะยินดีชื่นให้รื่นรวย |
บ้างตัดร้างถางรกรีบยกเต๊นท์ |
บ้างแอบเร้นรกร้อนนอนระหวย |
เห็นเต๊นท์ตั้งเต็มพื้นดูรื่นรวย |
ทุกโกรกกรวยเกรียวกราวออกฉาวไป |
เต็นท์แม่ทัพทวยหาญก็ขานฆ้อง |
สะเทื้อนท้องทุ่งลั่นอยู่หวั่นไหว |
ครั้นเย็นย่ำค่ำพลบจุดคบไฟ |
สว่างไพรแลพราวราวอรัญ |
ทหารยามยืนประจำกำอาวุธ |
คอยยงยุทธต่อแย้งดูแข็งขัน |
ใครเข้าออกบอกให้เห็นเป็นสำคัญ |
ถ้าผลุนผลันแล้วไม่คืนถูกปืนยิง |
พอฆ้องลั่นสนั่นก้องได้สองทุ่ม |
เสียงแตรรุ่มเป่ารับไม่หลับนิ่ง |
คือตรวจกองร้องถามตามประวิง |
ใครละทิ้งหน้าที่หลับปรับประจาน |
แล้วเป่าเกริ่นทหารแตรมาแออัด |
เป็นจังหวัดวงล้อมซ้อมประสาน |
เป่าเป็นเพลงเครงครืนรื่นสำราญ |
ที่สุดสารสรรเสริญพระบารมี |
พอฆ้องย่ำยามเร้าเป่าให้หลับ |
สุรศัพท์สอดช้าต้าตาตี๋ |
สดับฟังวังเวงเพลงดนตรี |
แทบจะหรี่เรื่อยอารมณ์ด้วยลมแตร |
แต่ผูกพันกระสันเศร้าให้เร่าร้อน |
นิ่งสะท้อนระทดทรวงถึงดวงแข |
แม้นมาเพื่อนพี่จะเตือนให้ชมแตร |
นี่มาแต่ผู้เดียวชมแต่ลมลอย |
รักก็รึงกรึงรัดสัตว์ก็ไต่ |
มันดุร้ายร่านริ้นบินหยอยหยอย |
มาสูบเลือดไหลแลแผลเป็นรอย |
ตัวจ้อยจ้อยจุบแปลบทั้งแสบคัน |
เขาเล่าว่าที่นาคะนึงนี้ |
พระมัทรีแสนวิโยคหยุดโศกศัลย์ |
แสวงบุตรสุดร่ำจะรำพัน |
เฝ้าจาบัลย์บอบระบมตรมกระมล |
ให้โศกแสนแน่นในฤทัยระทด |
เที่ยวบ่ายบทบุกแสวงทุกแห่งหน |
พลางครวญคร่ำร่ำรักพะวักพะวน |
ทุ่งตำบลนี้จึงอ้างนางคะนึง |
ครั้นจำเนียรเปลี่ยนแปลงก็แผลงว่า |
นางเป็นนานั่งพินิจไม่คิดถึง |
แท้ก็ข้อต่อเรื่องเครื่องรำพึง |
แต่ไม่ถึงเทียมเท่าที่เราเตรียม |
คะนึงนางมัทรีที่หาบุตร |
มาถึงกุฏิแจ้งจบสงบเสงี่ยม |
คะนึงทัพลับไปใครจะเทียม |
จะต้องเตรียมตรอมอุราก้มหน้าไป |
คะนึงบุตรสุดสวาทจะขาดจิต |
คะนึงมิตรหมองหน้าเลือดตาไหล |
คะนึงนอนดอนเดียวนึกเสียวใจ |
คะนึงในทุ่งทางที่กลางเนิน |
คะนึงอนาถราชกิจฉวยผิดพลั้ง |
คะนึงทั้งโทษทุกข์จะชุกเฉิน |
คะนึงภัยไพรพงดั้นดงเดิน |
คะนึงเหินห่างเหย้าเฝ้าคะนึง |
พะว้าพะวังหวังถวิลไม่สิ้นเสร็จ |
พอสิบเอ็ดทุ่มกระทั่งฆ้องดังหึ่ง |
เป่าแตรปลุกลุกลนเสียงอนอึง |
ที่คะนึงนั้นค่อยเบาบรรเทาระทด |
ล้วนพรั่งพร้อมรอมรัดมัดข้าวของ |
เป็นกองกองเก็บขนไปจนหมด |
เป่าแตรออกบอกยุบลพลคช |
เป็นกำหนดบอกโยธาให้คลาไคล |
ออกเดินดงพงพุ่มชอุ่มพฤกษ์ |
ล้วนซากซึกสักสนต้นไสว |
เต็งรังเรียงร่มรื่นเป็นพื้นไป |
มากกว่าไม้หมู่อื่นออกดื่นดง |
เห็นหนองตับน้ำตื้นมีพื้นกก |
ช่างดื่นดกดอกใบอาลัยหลง |
น้ำเย็นใสในจิตคิดจำนง |
น่าจะลงอาบเล่นให้เย็นทรวง |
ดูกว้างใหญ่ได้สักสองเส้นเศษ |
ไอยเรศรีลงประจงจ้วง |
สูบน้ำซัดโศกกายด้วยรายงวง |
ช้างพลายล้วงโลมพังกำลังกิน |
ที่เรียบรื่นพื้นรายล้วนทรายอ่อน |
บทจรจวบแควกระแสสินธุ์ |
เรียกน้ำอ่างหว่างไศลใสระริน |
เป็นห้วยหินเห็นเวิ้งกระเจิงใจ |
มีทำเนึยบสองหลังเขาตั้งรับ |
แต่ไม่ยับยั้งข้ามธารน้ำไหล |
ขึ้นโขดเขินเผินพักสำนักไพร |
มีป่าไม้บังศรีสุริย์จร |
เห็นบ้านลาวแลสลับนับหลายหลัง |
มาปลูกตั้งเรือนรายชายสิงขร |
นายบ้านมาหาแม่ทัพรับสุนทร |
มีสุกรเป็ดไก่ให้กำนัล |
ท่านแม่ทัพรับโดยที่มีระบอบ |
รางวัลตอบตามจารีตไม่ผิดผัน |
เงินเฟื้องจ่ายรายเหล่าที่เผ่าพันธุ์ |
หัวหน้านั้นให้เสื้อผ้าแล้วลาไป ๚ะ |
๏ พอสายัณห์ตะวันจวนจะพลบค่ำ |
ชายหนึ่งนำหนังสือมาน่าสงสัย |
มาส่งให้ท่านแม่ทัพด้วยฉับไว |
แล้วจึ่งแจ้งไขข้อความตามคดี |
ว่ามาแต่หลวงพระบางทางทุรัศ |
แจ้งกระจัดความว่าพระยาศรี |
ศุกราชให้รีบมาไม่ช้าที |
ท่านจึงคลี่ออกอ่านสารสุนทร |
ว่าถึงท่านแม่ทัพต้นรับสั่ง |
ถ้าผิดพลั้งพลาดพล้ำคำอักษร |
ขออภัยในสาราร่ำว่าวอน |
โดยความร้อนรีบเขียนคำเรียนมา |
ว่าพระยาพิไชยเป็นไข้หนัก |
ให้หอบนักเห็นไม่ฟื้นคืนสังขาร์ |
แต่เดือนอ้ายขึ้นห้าค่ำเป็นร่ำมา |
แจ้งในอาการจริงทุกสิ่งอัน |
ท่านแม่ทัพสดับสารรำคาญคิด |
ศึกยังติดต่อสู้เป็นคู่ขัน |
ฉวยเพลี่ยงพล้ำทำยากลำบากครัน |
พระจอมธรรมโปรดให้มาปรึกษาการ |
ครั้นรุ่งแสงสุริย์ใสก็ไคลเคลื่อน |
เสียงสะเทื้อนแถวป่าพนาสาณฑ์ |
เดินเยียดยัดอัดแอแลละลาน |
มาในดาลแดนชัฏระบัดบัง |
เร่งเดินทัพโดยเร็วข้ามเหวห้วย |
พรั่งพร้อมด้วยโยธาพลหน้าหลัง |
แลดูหลามตามกันมาดาประดัง |
เพียงจะพังหินผาทุกท่าธาร |
ถึงน้ำพี้พักโยธาให้ราเรียบ |
มีทำเนียบสำนักกลางทางไพรสาณฑ์ |
สองหลังเรียงเคียงคู่อยู่ในลาน |
กรมการคอยรับกองทัพราย |
มีเรือนอยู่หมู่ประมาณสี่สิบหลัง |
เขาติดตั้งเตาอัคคีตีมีดขาย |
แร่เหล็กดีมีดื่นในพื้นทราย |
หัวหน้านายแนะชี้คดีแสดง |
บ่อหนึ่งเหล็กดีเลิศประเสริฐนัก |
เขาเก็บรักษาส่งโรงพระแสง |
จึงบอกนามตามที่ลือชื่อแสดง |
บ่อพระแสงสุดฤทธิ์ประสิทธิ์ทรง |
ครั้นแจ้งความนามไพรต่างไสยาสน์ |
ดูดาดาษที่ในไพรระหง |
คืนวันนี้หนาวน้ำค้างที่กลางดง |
เหมือนผีทรงนอนสั่นดูขันจริง |
มิได้หลับจับจิตด้วยฤทธิ์หนาว |
อุระร้าวรุมเพลิงระเริงผิง |
ค่อยอุ่นไอไฟดังนั่งประวิง |
คนยามจริงนำผู้ถือหนังสือมา |
เข้าคำนับแม่ทัพแจ้งนึกแคลงจิต |
จะเป็นกิจการอะไรไฉนหนา |
จึงรีบร้อนจรจนพ้นเวลา |
รับสาราอ่านดูก็รู้การ |
ว่าพระยาสุโขทัยเรียนให้ทราบ |
ฟังสุภาพพจนาที่ว่าขาน |
พระยาพิไชยได้รักษาพยาบาล |
จนถึงการดับชีวันล่วงครรไล |
วันพฤหัสบดีจัดจองแรมสองค่ำ |
เดือนอ้ายจำจดแจ้งแถลงไข |
พันสองร้อยสี่สิบเจ็ดศกเสร็จไป |
นักษัตรในปีระกาไม่คลาคลาย |
ท่านแม่ทัพสดับสารรำคาญคิด |
นั่งพินิจนึกถึงการประมาณหมาย |
จึ่งร่างรสพจนารถไม่คลาดคลาย |
ทูลถวายมาเป็นคำที่สำคัญ |
พอรุ่งแจ้งแสงศรีก็ลีลาศ |
เร่งยกยาตราพหลพลขัณฑ์ |
ตามป่ากว้างทางพงดงอรัญ |
ก็ดัดดั้นด้นเดินตามเนิบแนว |
เห็นบ้านลาวชาวเหนือมาเจือตั้ง |
มีเด็กนั่งดูหน้าตาแจ๋วแหวว |
พุงก็โรโซงอมผอมแกร็นแกรว |
มานั่งแซ่วซุ่มมองริมท้องทาง |
ข้ามลำเนาเขาเขินเนินไศล |
ออกทุ่งใหญ่ยาตรเยื้องเข้าเมืองฝาง |
เห็นคนลาวกราวกรูดูเดินทาง |
รีบเร็วช้างฉิวไปมิได้แล |
เข้าหยุดยั้งตั้งทัพระดับดาษ |
ที่ชายหาดละหานธารกระแส |
ดูซึ้งใสไหลเลื่อนไม่เชือนแช |
อยู่ในแควแขวงลำน้ำพิไชย ๚ะ |
๏ ฝ่ายเจ้าเมืองกรมการขนานแน่น |
รักษาแว่นเวียงมาลาอัชฌาสัย |
มาคั่งคับรับคำสั่งระวังระไว |
ทั้งนายไพร่พรั่งพร้อมน้อมประนม |
จึ่งสั่งให้เบิกอาหารทะนานนับ |
ต่างตวงรับตรวจถังฟังขรม |
ได้พร้อมเพรียงเรียงตัวทั่วหมวดกรม |
ทอดอารมณ์แรมช้าสองราตรี |
เที่ยวเดินดูหมู่ประชาในคาเมศ |
แสนสมเพชผอมอดไม่สดศรี |
ว่าข้าวแพงแล้งฝนพ้นทวี |
สัดละสี่สลึงล้นคณนา |
ลูกทารกงกงันโดยมันอยาก |
เก็บเอาหมากฮุงมาปอกออกนักหนา |
ยังดิบดิบหยิบกินสิ้นตำรา |
เวทนาเด็กอดสลดใจ |
เห็นลาวแก่แม่เฒ่าเฝ้ากระท่อม |
ดูเต็มหง่อมงกเงิ่นเดินไม่ไหว |
จงไถ่ถามความจนแต่ต้นไป |
แกเล่าให้แจ้งจำน่ารำคาญ |
ว่าความจนข้นแค้นแสนวิบัติ |
พากันลัดป่าเลาะเสาะอาหาร |
ทิ้งบุตรไว้ในระหว่างหนทางธาร |
เสือมาพานพบเข้าก็เอากิน |
ทั้งหิวหาอาหารสงสารสุด |
ทั้งเสียบุตรวิบัติไปฤทัยถวิล |
เป็นสองทุกข์ชุกมาน่าราคิน |
สุดจะยินยลจำร่ำตะบอย |
เราก็ร้างห่างเหเสน่ห์นุช |
มิได้สุดสิ้นเศร้าที่เหงาหงอย |
จะนับวันนับเดือนก็เลื่อนลอย |
นับปีคอยคาดไปในพนา |
แล้วกลับหลังยังที่พักสำนักทัพ |
เย็นพยัพสุริย์แสงแฝงพฤกษา |
ก็นิ่งนอนถอนฤทัยอยู่ไปมา |
พอนภาผ่องศรีสีรวีวรรณ |
ก็เดินทัพลำดับหมู่ดูสล้าง |
จากเมืองฝางพร้อมพหลพลขัณฑ์ |
ล้วนโขดเขินเนินไศลในอรัญ |
คชยันย่างย้ายค่อยบ่ายเบน |
แลศิลาผาเผินเนินพนัก |
วิลาสลักษณ์ลายแดงดังแสงเสน |
สลับสีจี่จับกับโกเมน |
พอสุริเยนเยื้องรถลงบดบัง |
ลงเลียบลำถ้ำธารละหานหิน |
แล้วออกถิ่นทุ่งนาไม่น่าหวัง |
อยู่หว่างเขาเว้าวุ้งดูรุงรัง |
แล้วข้ามฝั่งฟากพ้นชลธี |
ถึงชายลาดหาดกรวดประกวดแสง |
อาทิตย์แจ้งแจ่มจัดจรัสศรี |
ช่างอบไอออกรุมสุมอินทรีย์ |
ทับทวีร้อนรักให้หนักใจ |
เห็นบ้านลาวสาวแส้เหลือบแลเหลียว |
ให้นึกเสียวทรวงกระสันอยู่หวั่นไหว |
เรียกผาเลือดบ้านลาวเป็นชาวไพร |
อยู่หมู่ใหญ่ยลลิบลิบหกสิบปลาย |
แต่เช้าจรผ่อนค่ำรีบร่ำรุด |
คะนึงนุชนึกไปแล้วใจหาย |
เดินลำธารดาลแดนแสนระคาย |
ล้วนกรวดรายราคินกับศิลลา |
เลียบละเมาะเกาะกั้นเป็นหลั่นลด |
เชิงบรรพตปัถพินดินเป็นผา |
มีลาวอยู่หมู่อาศัยในพนา |
นึกก็น่ากลัวเสือเหลือระแวง |
ร้อนอารมณ์ตรมไปในวิถี |
ถึงวัดสีบุญเรืองกุฏิเนื่องแฝง |
พฤกษ์สะพรั่งบังวัดเป็นชัฏแซง |
บ้านตำแหน่งนี้ไม่น้อยสักร้อยเรือน |
อยู่ริมฝั่งนทีที่ท่าข้าม |
เป็นหลั่นหลามแลตั้งทุกหลังเหมือน |
เห็นสาวสาวลาวชมอารมณ์เชือน |
เหมือนแกล้งเตีอนตาให้อาลัยแล |
นั่งลอยนวลทวนวารีสีขมิ้น |
ไม่มีซิ่นพันพุงนุ่งกระแส |
จนชักเชือนเบือนบากไม่อยากแล |
ต้องทำแชชมพระสินธุ์ดูหินดาน |
ขึ้นถึงฝั่งตั้งทัพอยู่กับท่า |
เรียกท่าปลาเข้าประเทศเขตเมืองน่าน |
เป็นทุ่งกว้างทางดงพงพนานต์ |
มีนายบ้านอยู่รักษาท่านิคม |
ตำแหน่งยศพจนาพระยาเถื่อน |
ได้มาเยื้อนเยี่ยมชิดสนิทสนม |
โดยระบอบชอบการสำราญรมย์ |
เขาช่างกลมเกลียวดีทีทำนอง |
ครั้นรุ่งเดินเถินทางกลางไศล |
ล้วนป่าไม้เยือกเย็นเห็นสยอง |
เมฆหมอกมัวทั่วสกนธ์เดินขนพอง |
เสียงนกร้องร่ำรัญจวนเหมือนครวญคราง |
ลงจากเนินเดินห้วยเป็นกรวยโกรก |
ช้างก็โยกยาตรเหย่ารีบก้าวย่าง |
น้ำระรินหินราเป็นท่าทาง |
ตั้งอยู่กลางแลเกลี้ยงค่อยเลี่ยงเลย |
ตามริมธารบ้านเถื่อนมีเรือนตั้ง |
ดูรุงรังรักษากายสบายเฉย |
ตัดซุงสักขายกินเป็นถิ่นเคย |
นามภิเปรยบอกสถานบ้านจริม |
ข้ามละหานธารศิลาเข้าป่ากว้าง |
มีน้ำค้างพร่างพร้อยย้อยหยิมหยิม |
ติดทองกวาววาววับเหมือนทับทิม |
ดังชาติจิ้มจุดเจือดูเรื่อเรือง |
เห็นน้ำค้างขังใบพฤกษ์นึกถึงแหวน |
ยิ่งสุดแสนโศกเหลือถึงเนื้อเหลือง |
ทับทิมน้ำก่ำแก่แลประเทือง |
เหมือนแหวนเนื่องแบบอนามิกากาญจน์ |
ไปถึงเขินเนินโคกโตรกห้วยไผ่ |
เสียงเรไรสนั่นร้องท้องไพรสาณฑ์ |
วิหคเหินเกริ่นไปในพนานต์ |
ฟังสะท้านแถวพนมระงมไพร |
ประสานศัพท์สดับฟังนั่งสะทึก |
อนาถนึกนกเจ้ากรรมทำไฉน |
มาร้องเรียงเสียงเหมือนเรียกออกเพรียกไพร |
ทั้งเรไรหริ่งรอเข้าคลอคลุม |
เห็นพวกพ้องพลกล่นเกลื่อนในเถื่อนทึบ |
แลสะพรึบสะพรั่งหยุดนั่งขุดหลุม |
ตามป่าไม้ชายเชิงเชิงสุมทุม |
บ้างนั่งกุมเกาะทึ้งดึงเถามัน |
ต้นเป็นหนามถามสอบเขาตอบปาก |
ว่ามันกระชากศีรษะเราสักเท่าขัน |
ต้มใส่จานฝานกินสิ้นด้วยกัน |
รสคล้ายมันมือเสือเนื้อเป็นยาง |
แล้วเลียบลัดตัดไปในป่ากว้าง |
ดูอ้างว้างว้าจิตคิดขนาง |
ล้วนโขดเขินเนินแนวในแถวทาง |
แลสล้างลำไม้ไผ่นางนวล |
งามละอองผ่องลออเห็นกอโปร่ง |
ขึ้นโชลงแลสะพร่าวราวกับสวน |
อยู่ริมทางกลางอรัญประชันนวล |
น่ารัญจวนใจยืดเป็นพืชพัว |
ภูเขาเคียงเรียงขึ้นเป็นหลั่นลด |
ไม่รู้หมดมืดไปด้วยไม้หลัว |
แลเบื้องบนอำพนผ่องไม่หมองมัว |
เบื้องล่างพัวพรรณพฤกษาพนาเนิน |
ดูดาษดื่นพื้นผการะย้ายอด |
ประสานสอดสีงามอยู่ตามเถิน |
เห็นเหวลึกนึกอนาถลีลาศเดิน |
มิได้เมินมองไพรตั้งใจแล |
พลางครรไลใจตรมระทมทุกข์ |
ไม่มีสุขเสียวทรวงถึงดวงแข |
แม้นพธูคู่มาจะพาแล |
ชะโงกแง่เขาง้ำทุกตำบล |
พี่มาเดียวเที่ยวชมพนมพนัส |
เห็นป่าชัฏพุ่มไม้ในไพรสณฑ์ |
จะหยุดร้อนผ่อนเย็นก็เห็นจน |
ต้องดั้นด้นเดินไปตามไม้กรุย |
เขาเรียงรายหมายปักหลักละเส้น |
เดินเขม้นมองไพรเห็นไผ่ขุย |
ไก่เถื่อนทบหลบเข้าป่าหญ้ารุกรุย |
เห็นรอยคุ้ยลูกขุยค้างข้างทางจร |
ระวังไพรพิไรร้องจึ่งมองมุ่ง |
จนออกทุ่งทางคิดจิตสยอน |
กลัวเสือพบขบบรรลัยเสียในดอน |
เร่งกุญชรฉิวเดินเนินอรัญ |
ถึงทำเนียบเทียบโยธาที่ท่าแฝก |
เป็นละแวกคามาพระยาขันธ์ |
คือเจ้าเมืองท่าแฝกไม่แผกพันธุ์ |
ดูเหมาะมั่นหมู่มุ่งล้วนพุงดำ |
มาคอยรับคับคั่งฟังกระแส |
ตะลึงแลรูปร่างอยู่ข้างขำ |
นุ่งถลกถกผ้าเห็นขาดำ |
สักลายน้ำหมึกมัวทั่วถึงเอว |
พักรอท่าพระยาศรีอยู่ที่นั้น |
เป็นสี่วันเวียนวกเหมือนตกเหว |
เที่ยวโลมสาวลาวพลคนเลวเลว |
แลดูเอวอ้วนป่องเหมีองท้องมาน |
มีบ้านเรือนเขื่อนคูดูขึงขัง |
พฤกษ์สะพรั่งร่มใบดูไพศาล |
ต้นหมากพลูพรูพร่างอยู่กลางลาน |
ดูสนานสนุกเนื่องพื้นเมืองไพร |
พอกองรั้งหลังรุดมาหยุดช้าง |
จึงกระจ่างแจ้งตรงไม่สงสัย |
พระยาศรียังอยู่ที่เมืองพิไชย |
ครั้นแจ้งใจแล้วจึ่งคลาพลากร |
ขึ้นคันเขาเสลาแลแง่ฉง้ำ |
แล้วลงน้ำลุยห้วยระทวยถอน |
กระสินธุ์กระเซ็นเย็นใสหลั่งไหลจร |
มีชะง่อนแง่ผารอวาริน |
บางแห่งลึกช้างล้วงเอางวงดูด |
เสียงสูดสูดแซกไซ้ตามไคลหิน |
บ้างไหลนองละอองอาบคราบคีริน |
ครรไลลิ้นลาดมาห้วยสาลี |
เป็นเนินรอบขอบเขาดูเว้าวุ้ง |
แลกระพุ้งเพิงผาศิลาสี |
ไศลสลอนก้อนสลับลำดับดี |
ล้วนคีรีเรียงรื่นพื้นอรัญ |
ไม้สักสนต้นสูงนกยูงร้อง |
เสียงเพรียกพร้องไก่ป่าแจ้วจ้าขัน |
ชะนีนางครางคร่ำร้องรำพัน |
เสียงสนั่นยอดยางทั้งค่างลิง |
พวกควาญช้างง้างปืนยืนขยับ |
แอบไม้ลับแลยุ่งทำสุงสิง |
เห็นลิงโผนโยนร่างไล่นางลิง |
พอหยุดยิงตึงหกตกกระเด็น |
ยิงประชันลั่นประดังไปทั้งป่า |
รบค่างข้าศึกสัตว์วิบัติเข็ญ |
กระสุนซัดพลัดพลาดสาดกระเซ็น |
มาตกเต็นท์ท่านแม่ทัพให้จับตัว |
มาถามไล่ได้ความแล้วห้ามขาด |
ใครองอาจยิงสัตว์จะตัดหัว |
ให้หลวงหัถสารสั่งระวังตัว |
บอกให้ทั่วทุกกองปองระวัง |
หยุดแรมร้อนนอนอรัญให้หวั่นหวาด |
แสนอนาถนึกในหทัยหวัง |
เสียงเสือสิงห์วิงวงในดงรัง |
ไล่ละมั่งหมุนโดดโลดลำพอง |
ร้องเปิบปีบถีบสุธาชะล่าแล่น |
บนพื้นแผ่นบรรพตสยดสยอง |
มันร้ายกาจอาจใจไล่ลำพอง |
ลิงค่างร้องแล่นโลดกระโดดโจน |
มันด้อมเดาะเลาะลัดสกัดกั้น |
ได้ทีผันพักตร์โฮกกระโชกโผน |
เสียงค่างแจดแผดร้องก้องตะโกน |
บ้างวิ่งโดนกระโดดดงเข้าพงไพร |
นิ่งอนาถนิราศมาในป่าชัฏ |
นึกเกรงสัตว์เสือสิงห์วิ่งไสว |
จะขบกัดตัดชีวันให้บรรลัย |
อนาถภัยพยัคฆ์นิ่งนึกกริ่งตรอง |
พอรุ่งแสงสุริยาลีลาลาศ |
ไถงผาดแผดเผายิ่งเศร้าหมอง |
ถึงศาลาป่าสักที่พักปอง |
แต่ขาดหนองน้ำละหานเป็นดานดอน |
ไม่หยุดพลด้นไปตามไพรป่า |
ลานศิลาแลเผินเนินสิงขร |
จนถึงห้วยบ่าวนายอยู่ชายดอน |
ก็พักผ่อนโยธาริมวาริน |
ครั้นรุ่งออกนอกทุ่งเดินมุ่งหมาย |
เห็นเรือนรายระยะเนื่องเรียกเมืองหิน |
นามพระยาที่รักษาเขตบุรินทร์ |
เป็นเจ้าถิ่นที่นั้นพรหมปัญญา |
แต่งทำเนียบเรียบร้อยเขาคอยรับ |
ดูคั่งคับโรงเรือนเขื่อนเคหา |
มีฟืนตองกองกลาดดาษดา |
ทั้งน้ำท่าตักเทียบไว้เรียบเรียง |
มาคอยฟังนั่งล้อมอยู่พร้อมพรั่ง |
ระแวดระวังนิ่งกรับสดับเสียง |
ท่านแจกปันรางวัลของผู้ครองเวียง |
ที่รองเรียงได้ทั่วทุกตัวคน |
ภูมิสถานบ้านตำบลมีล้นหลาม |
ตั้งเขตคามคั่งคับดูสับสน |
ประมาณร้อยห้าสิบหลังทั้งตำบล |
อุดมผลไม้ออกเป็นดอกดวง |
แล้วเดินพลดลเมืองศรีสะเกษ |
ผู้รั้งเขตเมืองนี้เล่าเรียกเจ้าหลวง |
เข้าพักพลยลนิคามตามกระทรวง |
มิได้ล่วงเลยสถานทุกบ้านเมือง |
ในบุรีศรีสะเกษประเทศสถาน |
มีละหานห้วยลำลาบละมาบเหมือง |
เป็นทุ่งนาน่าสนุกทุกประเทือง |
ขนัดเนื่องแนวเถินเนินลำเนา |
ดูอันนาน่ากระสันเป็นหลั่นลด |
เขาขุดทดธารามาแต่เขา |
ทำท่อทางวางลำดับรองรับเอา |
ใส่ต้นข้าวขึ้นฟูน่าชูชวน |
ละแวกบ้านลานตั้งสะพรั่งพฤกษ์ |
แลดูคึกขึ้นสะพร่าวราวกับสวน |
พรรณผลต้นงามตามกระบวน |
คะนึงนวลนุชนาฏลีลาศแล |
แม้นมาคู่ดูได้แจ้งแสดงผล |
จะชมต้นกะลิงปลิงที่กิ่งแปล้ |
ชวนชิงเก็บสระเล็บล้อทำกอแก |
แล้วพาแชชี้ผลที่ต้นทรง |
เห็นล้มซ่าสุกหล่นผลออกเหลือง |
ลูกมะเฟืองแฝงใบอาลัยหลง |
หมากมะพร้าวขึ้นสะพร่าวราวกับดง |
สุดจะจงจำไม้ที่ในเนิน |
ครั้นค่ำค้างกลางคืนไม่ชื่นจิต |
รุ่งอาทิตย์เดินทางไปกลางเถิน |
เข้าป่าชัฏตัดข้ามไปตามเนิน |
ล้วนโขดเขินขึ้นชันอรัญเรียง |
ถึงแนวป่าศาลาหลวงแหงตก |
นิยายยกหยิบลือเป็นชื่อเสียง |
ว่าหลวงแหงตกช้างลงกลางเพียง |
จึงเรียกเรียงนามนั้นตามกันไป |
แล้วเดินช้างทางชะแง้เหลือบแลเหลียว |
เห็นเขาเขียวสูงตั้งบังไถง |
จำเพาะขวางทางจรัลที่ครรไล |
ต้องจำใจจรตามข้ามคีรี |
ก็ไสช้างย่างเดินขึ้นเนินเขา |
แลเสลาลอยคว้างหว่างวิถี |
สูงถงันชันเยี่ยมเทียมเมฆี |
ก้าวสักทีทอดเหนื่อยเมื่อยกายา |
ช้างใช้งวงหน่วงไม้เหนียวค่อยเกี่ยวก้าว |
อาทิตย์ผ่าวแผดส่องต้องมังสา |
ฉาบกุญชรร้อนรุ่มกลุ้มอุรา |
หยุดยืนอ้าโอษฐ์โอกโสกน้ำลาย |
อาละวาดฟาดทรวงทิ้งงวงป๋อง |
ยืนจองหงองโงกหอบบอบใจหาย |
หมอเอาน้ำในกระบอกออกประปราย |
ให้เย็นกายแล้วค่อยขับขยับเดิน |
เลียบไหล่เขาเว้าวุ้งเป็นคุ้งคด |
มิใคร่หมดเขาขวางหนทางเถิน |
ตั้งหมอกเมฆวิเวกว้างในกลางเนิน |
เห็นสุดเกินกะพืชช่างยืดโยง |
ดูลอยเมฆเอกกว่าเหล่าเขาทั้งหลาย |
ช่างเหมาะหมายนามว่าดอยตาโล่ง |
ค่อยเดินช้างย่างยันดูงันโงง |
หมอโชลงชะลอใจให้ไคลคลา |
ลงจากเขาเข้าห้วยพวยออกทุ่ง |
ก็หมายมุ่งยาตรเยื้องเข้าเมืองสา |
ผู้รั้งเมืองมีกำหนดพจนา |
ชื่อพระยาอินทวงษาสงคราม |
เขารับแรงแข็งขอบชอบขนบ |
โดยคำรพเรียบดีไม่ผลีผลาม |
มาภักดีมีอุตส่าห์พยายาม |
ไม่มีความหมองใจระไวระวัง |
ประมาณมีที่เคหาประชาราษฎร์ |
จะคิดคาดก็ไม่น้อยเจ็ดร้อยหลัง |
ตามตำบลต้นพฤกษาดาประดัง |
เขาปลูกฝังขึ้นฟูในบุรี |
พอพบหมู่คชมาระดาดาษ |
ดำเนินนาฏข้างหน้าพระยาศรี |
ก็หยุดข้างทางถามตามไมตรี |
แล้วก็ลีเลยลาล่วงหน้าไป ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพกับพลาโยธาหาญ |
พักสำราญรุ่งศรีรวีไข |
จึ่งเดินทัพขับช้างตามทางไป |
ล่วงครรไลเที่ยงเวลาท่านการุญ |
เข้าหยุดช้างกลางนาเอาผ้าลาด |
พักขนาดพลรบสบสมุน |
กำลังแดดแผดร้อนอ่อนละมุน |
ลงทอดทุ่นทนสู้สุริยน |
พอเสนาประชาชาวลาวเมืองน่าน |
นำคชสารสามมาแจ้งแห่งนุสนธิ์ |
กับพานเมี่ยงพานชลาบุปผาปน |
เข้าน้อมตนต่อแม่ทัพคำนับเรียน |
ว่าเจ้าน่านผ่านบุรีมีมนัส |
โดยสวัสดิ์หวังเจริญเชิญเสถียร |
เข้าในเวียงเสียงซ้องคำร้องเรียน |
แต่ฟังเพี้ยนแผกหูดูยังงง |
ท่านแม่ทัพสดับรสพจนารถ |
จึ่งตอบราชเจริญตามความประสงค์ |
ขอบฤทัยในคำที่จำนง |
จงทูลองค์เจ้าสถานน่านนคร |
ขอหยุดพลพอพักสำนักเหนื่อย |
ด้วยยังเมื่อยมึนเดินเขินสิงขร |
ต่อรุ่งจึ่งจะยาตราพลากร |
เข้านครคำนับดังตั้งกระมล ๚ะ |
๏ ครั้นเย็นย่ำค่ำค้างอยู่กลางทุ่ง |
น้ำค้างฟุ้งฝอยพร่ำเหมือนน้ำฝน |
อนาถนอนดอนดาลสงสารตน |
ตากสกนธ์กลางด้าวให้หนาวกาย |
ผ้าที่คลุมหุ้มร่างน้ำค้างชุ่ม |
อากาศกลุ้มกลบควันตะวันสาย |
สุริย์แสงแจ้งกระจ่างน้ำค้างพราย |
จัดพลรายเรียงเดินเนินพนานต์ |
ช้างที่เจ้าพาราให้มารับ |
ท่านแม่ทัพเทียบเรียงเคียงขนาน |
นิมนต์พระนิลวรรณ์อันตระการ |
ใส่คชยานนำทัพลำดับมา |
อีกสองสารขนานแข่งเดินแซงข้าง |
พวกขุนนางลาวรายทั้งซ้ายขวา |
นำหน้าช้างย่างยาตรให้คลาดคลา |
เข้าพารารีบไปไม่ประวิง |
เห็นบ้านเรือนเกลื่อนกลาดระดาษด้าว |
เสียงเกรียวกราวเกริ่นกรายทั้งชายหญิง |
บ้างยืนแอบแนบกายทำอายอิง |
บางนางนิ่งเนตรชายชม้ายเมียง |
ทั้งสองข้างทางทำร้านน้ำตั้ง |
ที่เหนื่อยนั่งนิ่งเซาพูดเบาเสียง |
ได้เสพสินธุ์กินชื่นดูรื่นเรียง |
ก็เข้าเคียงขอหมากลาวสาวสาวอม |
ข้างฝ่ายสาวลาวสะเทิ้นทำเขินขวย |
แต่งตัวสวยมิได้เศร้าล้วนเกล้าผม |
หยิบหมากยื่นฝืนอายระคายคม |
ดูนิยมยิ้มละไมอยู่ในที |
ต่างสำรวลสรวลสาค่อยผาสุก |
พอแก้ทุกข์เดินทางหว่างวิถี |
ถึงทำเนียบเทียบพลาไม่ราคี |
หยุดทัพที่หน้านครผ่อนสำราญ |
พร้อมด้วยเจ้าเผ่าพระยามาคั่งคับ |
ต่างคำนับสนองรสพจน์ประสาน |
เหมือนอย่างคุ้นเคยรักกันหนักนาน |
พิณพาทย์ขานอุโฆษฆ้องกลองละเวง |
แล้วเชื้อเชิญเจริญรักให้พักทัพ |
โดยลำดับรายเราะช่างเหมาะเหม็ง |
ที่หนึ่งสองสามเรียงไม่เพลี่ยงเพลง |
ดูครื้นเครงอวยชัยแล้วไคลคลา ๚ะ |
๏ นับวันเดินเถินวิถียี่สิบเอ็ด |
โดยเขบ็ดขบวนบกยกจากท่า |
ถึงเมืองน่านผ่านนครจรทัพมา |
ปีระกาเดือนยี่ดิถีแรม |
สองค่ำคงลงวันพฤหัสบดิ์ |
แจ้งกระจัดจริงหมดไม่จดแถม |
สามโมงเช้าเข้านครหยุดร้อนแรม |
มีเศษแซมสี่สิบห้าวินาที ๚ะ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้านครถาวรสวัสดิ์ |
จงได้จัดเมี่ยงหมากเป็นศักดิ์ศรี |
กับผ้านวมนิ่มนุ่มคลุมอินทรีย์ |
ให้มนตรีนำน้อมจอมโยธา |
เป็นของเยื้อนเตือนต้อนสุนทรทัก |
ว่าบ่ายสักสี่โมงจะมาหา |
แม่ทัพสดับรสพจนา |
ถวายผ้านวมตอบว่าขอบใจ |
ครั้นภาณุมาศผาดศรีสี่โมงเศษ |
เจ้ามาเลศก็มาเหมือนปราศรัย |
พร้อมพระวงศ์พงศาเสนาใน |
ก็ครรไลกรีกรูเป็นหมู่มา |
มีข้าหลวงทะลวงฟันเป็นหลั่นลด |
ประดับยศดูกำยำเดินนำหน้า |
ถือดาบหอกออกขนานลานชลา |
แน่นคณานิกรงามทรามประเทือง |
เจ้าเมืองน่านแต่งองค์ทรงยศศักดิ์ |
สวมสะพักเยียรบับระยับเหลือง |
นุ่งผ้าปูมภูมิผ่องดูรองเรือง |
ค่อยยาตรเยื้องย่างทยอยเดินลอยชาย |
แต่เจ้าอุปราชาอยู่ล้าหลัง |
ดูขึงขังคมสันรีบผันผาย |
เดินแคล่วคล่องก้องแก้งตกแต่งกาย |
เอาผ้าด้ายแดงเทศโพกเกศกรรณ |
ท่านแม่ทัพรับอยู่ประตูค่าย |
ทั้งสองฝ่ายปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
เชิญครรไลไคลคลอจรจรัล |
ขึ้นบนชั้นเชิงพื้นดูรื่นรมย์ |
แล้วไถ่ถามนามวงศ์ด้วยจงรัก |
ทราบประจักษ์แจ้งจิตสนิทสนม |
ไม่ไหวหวั่นพรั่นเสียวตูเกลียวกลม |
โดยนิยมยินรสพจนา |
ท่านจัดสรรสิ่งของในกองทัพ |
เป็นคำนับในเล่ห์เสน่หา |
ถวายท้าวเจ้าสถานน่านพารา |
กับบุตราอุปราชราชวงศ์ |
ดูยินดีปรีดาสถาผล |
มีกระมลมุ่งมิตรพิศวง |
อาทิตย์ดับลับลัดอัสดง |
ก็กลับคงคืนไปยังในวัง |
ครั้นรุ่งวารท่านแม่ทัพกับพหล |
ก็ไปยลเยี่ยมเจ้านายที่หมายหวัง |
ล้วนมีชื่อลือเลื่องกระเดื่องดัง |
เสร็จแล้วตั้งรอฤกษ์จะเบิกตรา ๚ะ |
๏ เที่ยวแวดชมนิคมเขตประเทศสถาน |
ป้อมปราการก่อตั้งเป็นฝั่งฝา |
มีเชิงเทินเนินใส่ใบเสมา |
ทวาราเรือนยอดตลอดแล |
เป็นดอนดอยลอยพื้นดูรื่นเรียบ |
แต่ไม่เทียบท่าห่างทางกระแส |
สักสี่เส้นเห็นไกลอาลัยแล |
ใช้เรือแต่ชะล่าล้วนควรระคาง |
ชาวประชาผาสุกทุกคาเมศ |
อยู่ตามเพศพวกพรรคไม่มักหมาง |
จีนพ่อค้าที่อาศัยก็ไว้วาง |
ให้อยู่ทางแถวขนัดเขาจัดการ |
เห็นวัดหนึ่งจึ่งพินิจพิศวง |
ดูมั่นคงขอบโขดโบสถ์วิหาร |
กำแพงแก้วแถวกั้นเป็นชั้นชาน |
แลละลานเอกสำอางกลางนคร |
บันไดนาคหลากล้ำทำสะดุ้ง |
เป็นคันคุ้งคดคู้เชิดชูหงอน |
เกล็ดระบายลายขนดดูชดชอน |
ดังนาคนอนแนบทางข้างบันได |
เข้าในโบสถ์บงพระพุทธวิสุทธิ์ศรี |
อัญชลีลานจิตพิสมัย |
ยลรูปเขียนเพี้ยนภาพให้ปลาบใจ |
ยักษ์อะไรนุ่งซิ่นจินตนา |
จึ่งแจ้งจิตคิดเห็นเป็นกำหนด |
ภาพทั้งหมดหมายงามตามภาษา |
ภาพจีนจามพราหมณ์ฝรั่งแขกลังกา |
ลายเลขาคงเป็นเช่นตระกูล |
ออกเดินดาลชานชาลาที่หน้าโบสถ์ |
เห็นสูงโสตทรงเจดีย์จับสีศูนย์ |
ดูสมควรส่วนสัดพิพัฒน์พูน |
เรืองจรูญแลขาวราวสำลี |
ที่เชิงชานฐานทำช่างขำคิด |
ประดับประดิษฐ์คชลักษณ์เป็นศักดิ์ศรี |
ยลแต่เศียรตัวแสกแบกเจดีย์ |
ดั่งจะรี่ร่อนไปในโพยม |
จึ่งให้นามตามคชาที่คล้าคล่ำ |
วัดช้างคํ้าคู่พาราสง่าโฉม |
พระทรงศิลป์แสนสุขไม่ทุกข์โทรม |
ไม่ครื้นโครมเคร่งครัดระมัดองค์ |
ทุกวัดวาน่าเคารพนอบนบไหว้ |
รักษาไตรวรวัตรขนัดสงฆ์ |
ภิกขาจารใบตาลตั้งบังอนงค์ |
ยืนดำรงให้ยถาแล้วคลาคลาย |
ประชาราษฎร์ดาษดื่นดูรื่นเรียบ |
ได้ระเบียบแบบบทใบกฎหมาย |
ไม่ฝ่าฝืนขืนคำทำหยาบคาย |
สุขสบายสมบูรณ์พูนทวี ๚ะ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าเข้าในเวียงเสียงออกแซ่ |
เที่ยวดูแม่ค้าลาวนางสาวศรี |
เรียกว่ากาดตลาดใหญ่ในบุรี |
เสียงอึงมี่หมู่ลาวชาวพารา |
พวกเจ้าชู้ดูเชิงเที่ยวเบิ่งสาว |
เห็นขำขาวเคียงคลอเข้ารอหน้า |
เดินแทรกแซงแสร้งเสพูดเฮฮา |
เว้าภาษาลาวล้อในข้อคำ |
ทั้งหญิงชายซื้อขายกันอนันต์เนก |
ไม่แกล้งเสกสรรใส่พิไรร่ำ |
ลาวผู้ชายรายราสักขาดำ |
ล้วนแต่น้ำหมึกมัวจนทั่วพุง |
ช่างเจาะหูรูโตดูโร่ร่า |
เอามวนยายัดใส่เหมือนไถ้ถุง |
นุ่งตาโถงโจงกระสันพันออกนุง |
ห่มเพลาะกรุ้งกริ่งกรอเดินรอรี |
หญิงผมยาวเกล้ามวยสวยสะอาด |
ลักษณ์วิลาสแลประไพวิไลศรี |
ลานทองคำทำตุ้มหูดูก็ดี |
นุ่งซิ่นสีแดงประดับสลับแล |
เป็นริ้วรายลายขวางที่นางนุ่ง |
เฝ้ามองมุ่งพินิจบางไม่ห่างแห |
ห่มผ้าจ้องคล้องคอเดินคลอแคล |
เว้นเสียแต่เต้าไม่ปิดให้มิดเลย |
หรือจะอวดประกวดถันยุคันคู่ |
เปิดให้ชูช่อดอกไว้ออกเฉย |
บ้างยานย้อยคล้อยเคลื่อนไม่เชือนเชย |
บางคนเผยผายกางเหมือนช้างงา |
บ้างเป็นปุ่มตุ่มติดอยู่หนิดหนึ่ง |
ไม่งอกผี่งผายล้นพ้นภูษา |
ศีรษะใหญ่ยาวเท่าฟองเต่านา |
จะร่ำว่าไปก็กลแต่มลทิน |
สินค้าขายรายตลาดดูดาษดื่น |
พรรณพื้นผักไห่แลไคลหิน |
ทั้งกล้วยส้มชมผลจะยลยิน |
เหมือนไม้ถิ่นทางไปที่ได้ดู |
เนื้อสัตว์ป่าบรรดามีที่หาได้ |
อีกเป็ดไก่ปูปลาบ้างค้าหมู |
หอยโข่งต้มหอยขมปนระคนปู |
อึ่งอ่างหนูเขียดนาแลปลาซิว |
ปลาแห้งสดกดกาแลปลาดุก |
ทั้งปลาอุกอ้ายเบี้ยวบัวตัวจิ๋วจิ๋ว |
ดูผอมหมดอดแกนตัวแกร็นกริว |
ช่างเต็มกิ่วเกินปลาน่าระคาย |
แต่เนื้อโคกระบือเป็นถือขาด |
ใครพิฆาตฆ่าริบเอาฉิบหาย |
ว่าเป็นสัตว์พิพัฒน์ผลคนหญิงชาย |
ไม่ทำลายล้างผลาญให้ลาญชนม์ |
พระสุริยงทรงส่องห้องเวหา |
กระจ่างหล้าลอยคว้างมากลางหน |
ต่างล่วงลับกลับบ้านสถานตน |
ก็กลับดลแดนสำนักพักโยธี ๚ะ |
๏ ฝ่ายองคท้าวเจ้านิกรนครน่าน |
ครั้นถึงวารวรสิทธิ์ถ้วนดิถี |
อาทิตย์แรมห้าค่ำทำพิธี |
ในเดือนยี่เช้าเวลาได้ห้าโมง |
จัดให้เจ้าราชวงศ์องค์หัวหน้า |
คุมคณาลาวแห่แลโอ่โถง |
มียวดยานคานหามงามโชลง |
ดูยืดโยงเครื่องยศพระกลดบัง |
กลองชนะกลองนำเป็นลำดับ |
สุรศัพท์เซ็งแซ่เสียงแตรสังข์ |
มาทำเนียบเรียบพลดลประดัง |
ดูสะพรั่งพร้อมแซ่คอยแห่ตรา ๚ะ |
๏ ข้างฝ่ายท่านพระยาศรีที่ข้าหลวง |
ซึ่งคุมดวงตราสุวรรณก็หรรษา |
แต่งตนพร้อมดูละม่อมละไมตา |
จัดดวงตรากับสารใส่พานทอง |
เชิญขึ้นตั้งยังเสลี่ยงคนเคียงข้าง |
พระกลดกางกั้นไถงมิให้หมอง |
พวกดนตรีตีประโคมร่ำโรมกลอง |
เสียงกึกก้องโกลาที่หน้าลาน |
ท่านแม่ทัพรับงานจัดการแห่ |
แบ่งตอนแต่คนลาวชาวเมืองน่าน |
เป็นหมวดหมู่ดูงามไปตามการ |
หัวหน้าหนานแสนเคียงอยู่เรียงราย |
ที่หนึ่งมีคนนำหน้าคอยตราตรวจ |
เป็นตำรวจเร่งรัดถือมัดหวาย |
ใครกีดขวางทางไล่มิใกล้กลาย |
ไปยืนรายเรียงรั้งตั้งกระบวน |
ที่สองสรรมั่นคงดูองอาจ |
พลขนาดดาบประดิษฐ์ไม่ผิดผวน |
เป็นหมู่หมวดตรวจกันคั่นกระบวน |
มิให้ลวนลามเดินเกินกันไป |
ที่สามซ้องกลองประโคมเสียงโครมครั่น |
เสนาะสมั่นอึงมี่ปี่ไฉน |
กลองชนะจังหวะรับฟังจับใจ |
เข้าแถวไว้วางระยะเป็นกระทรวง |
ที่สี่มีตำรวจตรวจสองแถว |
เข้ายืนแซ่วสมทบสองเป็นกองหลวง |
ถือดาบปืนยืนงามตามกระทรวง |
มิให้ล่วงล้ำจำนวนกระบวนลาว ๚ะ |
๏ กระบวนไทยในกองทัพรับสมทบ |
ทหารรบเริงศึกดูฮึกห้าว |
เข้าแถวเรียงเรียบปืนดูยืนยาว |
ไทยกับลาวแลไกลมิใช่แคลน |
ออฟิเซอร์นั้นสะพายสายทองแถบ |
สนับแนบนำพลพหลแหน |
ถือธงชัยเช่นอังกฤษเรียกริชแมน |
อเนกแน่นแซ่ประสานทหารแตร |
เป่าเป็นเพลงเครงครื้นพื้นพิภพ |
พลรบระยะวางไม่ห่างแห |
แบกอาวุธหยุดยั้งคอยฟังแตร |
แล้วถึงแคร่เครื่องประทานใส่สารตรา |
งามเครื่องราชอิสริยยศดูหมดเหมาะ |
ดังจะเหาะเหินเร่ขึ้นเวหา |
งามกลดปักหักทองขวางกางศาลา |
งามสง่าศุภสารบนพานทอง |
งามแม่ทัพกับข้าหลวงดูช่วงโชติ |
ดังจะโลดลอยลมสมทั้งลอง |
แต่งเต็มยศหมดละไมในทำนอง |
งามทั้งสองสมสกนธ์พลเรือน |
งามตัวนายชายชาญทหารกล้า |
งามทีท่าว่องไวใครจะเหมือน |
แม้นข้าศึกฮึกรอมาต่อเตือน |
คงไม่เคลื่อนคลาดที่ด้วยฝีมือ |
งามธงช้างสล้างสลัดลมพัดฉิว |
เหมือนทองปลิวเปลวฟ้าลงมาถือ |
ต้องแข็งข้อรอไว้ให้กระพือ |
ดังฮือฮือหวนหันจรัลราย |
พอฤกษ์ดีคลี่เคลื่อนให้เลื่อนลาด |
แลระดาษดื่นดูเป็นหมู่หมาย |
ทหารยืนสองข้างหนทางราย |
ตั้งแต่ค่ายถึงคุ้มซุ้มทวาร |
ที่ริมคันมรรคาระดาด้วย |
ต้นอ้อยกล้วยปักเรียงเคียงขนาน |
มีธงฉัตรบัตรยอดตลอดลาน |
แลประสานสีตองละอองนวล |
ที่ใบแก่แลสลับวะวับวาบ |
ดังสีขาบเข้มคมสมสงวน |
เพสลาดผาดสีฉวีนวล |
ที่ใบม้วนมองกระสันเป็นมันดี |
นึกสีตองน้องปรุงนุ่งตองอ่อน |
สะพักผ่อนพันสมผ้าห่มสี |
แพรสีนวลหวนประทิ่นกลิ่นมาลี |
สลับสีประสานสอดเหมือนยอดตอง |
พินิจพลางย่างเยื้องชำเลืองเหลียว |
กระสันเสียวเศร้าในฤทัยหมอง |
ยลผู้สาวลาวล้วนนวลละออง |
เขม้นมองพิศนวลน่ายวนยล |
ทั้งสาวแส้แม่ร้างสล้างสลับ |
อเนกนับหนานแสนแน่นถนน |
เข้าเบียดหมู่ดูแห่ออกแจจน |
ตั้งกระมลนุ่งแลชะแง้เงย |
ดำเนินพลดลประดาทวาเรศ |
ชาวนิเวศแหวกบานทวารเผย |
กระบวนรั้งตั้งประดาอยู่หน้าเกย |
มิได้เลยลามหยุดดุษฎี |
ท่านแม่ทัพรับรองประคองสาร |
เคียงขนานพร้อมหน้าพระยาศรี |
เชิญหีบตราคลาคลอจรลี |
ขึ้นสู่ที่โอ่โถงในโรงคัล |
พร้อมเจ้านายฝ่ายมาลาคณาแน่น |
มาแห่แหนห้อมหุ้มประชุมขวัญ |
แน่นขนัดอัดแออยู่แจจัน |
เสียงสนั่นนฤนาทฆาตประโคม ๚ะ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้ามาเลศประเทศสถาน |
นครน่านนั่งหน้าสง่าโฉม |
เสนานาถดาษดื่นดูครื้นโครม |
เป็นที่โสมนัสามาลาแล |
พอสาราตราประทับลงกับที่ |
เผยวาทีทักถามตามกระแส |
ดูชิดชอบตอบต่อกันจอแจ |
ประสานแซ่สนทนาสถาพร |
ข้างฝ่ายท่านพระยาศรีปรีชาชาติ |
ผู้เชิญราชกิจนำคำอักษร |
เรียกอาลักษณ์ขุนนางลาวชาวนคร |
ส่งอักษรศุภสารให้อ่านความ ๚ะ |
๏ ศุภลักษณ์อักษรถาวรถวิล |
จอมนรินทร์รมเยศเกศสยาม |
มาถึงองค์พงศ์มาลาวราราม |
ออกพระนามองค์ท้าวเจ้าอนันต์ |
มีสร้อยเสริมเติมวรฤทธิ์เดช |
สกุลเชษฐ์เตไชยใหญ่มหันต์ |
ครองโยนกนัคราถาวรวรรณ |
ไม่มีอันตรายราญสถานทาง |
ทั้งซื่อตรงจงจิตในกิจราช |
ต่อใต้บาทบทรัชไม่ขัดขวาง |
ราชการงานสิ่งใดไม่ระคาง |
เป็นไว้วางพระทัยทำโดยจำนง |
เมื่อครั้งก่อนมีทัพก็รับเลี้ยง |
ส่งเสบียงเสร็จสมอารมณ์ประสงค์ |
ทั้งกำลังพลรบสมทบณรงค์ |
ช่วยเสริมส่งราชการงานแผ่นดิน |
เป็นความชอบครั้งใหญ่ในปฐม |
ทรงนิยมอย่างในพระทัยถวิล |
คิดจะตอบความชอบใหญ่ในแผ่นดิน |
ได้ทรงยินดีดังตั้งพระทัย |
จะรอท่าช้าไว้เมื่อไปเฝ้า |
ก็แก่เฒ่าทุพพลคิดวินิจฉัย |
จะช้าเกินเนิ่นนักหนักพระทัย |
จึ่งโปรดให้นำตรามาประทาน |
ประสิทธิ์ประสาทเครื่องราชอิสริยยศ |
ให้ปรากฏแจ้งกิจทุกทิศสถาน |
ชั้นที่หนึ่งซึ่งจัดในรัชกาล |
นามขนานชื่อมหาสุราภรณ์ |
เป็นความชอบขอบพระทัยในครั้งแรก |
จัดจำแนกแนะนำคำอักษร |
เมื่อสำเร็จเสร็จการที่ราญรอน |
จึ่งจะย้อนยกความชอบตอบต่อไป ๚ะ |
๏ พอจบลงองค์น่านผ่านนิเวศ |
ได้ทราบเหตุสารแจ้งแถลงไข |
พระพักตร์ผันมั่นมุ่งมากรุงไกร |
บังคมไทยธเรศรักจักรพาล |
พระยาศรีคลี่อักษรบวรราช |
อ่านประกาศแจ้งใจที่ในสาร |
ออกพระนามความพินิจพิสดาร |
ว่าประทานให้สำหรับประดับยศ |
ความในกลอนอักษรนี้ไม่ถี่ถ้วน |
พูดด้วนด้วนเห็นดำดำพอจำจบ |
แม้นอยากดูรู้จริงทุกสิ่งพจน์ |
จงดูบทบัญญัติบอกออกธิบาย |
พออ่านจบเจ้าประเทศเกศโยนก |
ก็ยอยกหัตถ์ประนมก้มถวาย |
บังคมคุณจุลจักรหลักนิกาย |
พระพักตร์ผายผันมุ่งกรุงนคร |
ถ้วนสามลาพระยาศรีที่ข้าหลวง |
จึ่งหยิบดวงตราวิจิตรอดิศร |
ติดเสื้อทรงองค์มาลาสถาพร |
ที่ทรวงค่อนข้างซ้ายวิไลโลม |
แล้วสวมสายสะพายพันกระสันสอด |
เรียกกันตลอดคู่ตราวราโฉม |
สีน้ำเงินเงาส่องห้องโพยม |
ลานประโลมเลื่อมสลับดูจับตา |
พิศดูชูช่วงดวงมงกุฎ |
ช่างผ่องผุดเพชรระบายลายเลขา |
ลงยาสีลิ้นจี่ช่วงในดวงตรา |
กลางมหามงกุฎก่ำน้ำสุวรรณ ๚ะ |
๏ ครั้นแต่งเสร็จพระยาศรีคลี่อักษร |
สถาพรเพิ่มความตามกระสัน |
ว่าสารตราฉบับนี้ที่สำคัญ |
ให้พร้อมกันปลงใจลงในการ |
คือเกณฑ์ช้างโคต่างเข้ากองทัพ |
ให้ได้รับเร็วพลันดังบรรหาร |
ฉลองคุณบุญเบื้องบทมาลย์ |
ให้เสร็จการได้ดังรับสั่งทรง |
เจ้าน่านตอบพจนาว่าไม่ขัด |
จะรีบจัดให้สมอารมณ์ประสงค์ |
ทั้งโคต่างข้างคนรณรงค์ |
ให้ได้ส่งเสร็จพลันดังบัญชา |
พลางพินิจพิศดูเครื่องปูลาด |
มีเจียมสาดสะอ้านปูชูยศถา |
จะกล่าวนักชักชมภิรมยา |
เป็นโบราณคติพื้นยังยืนยาว |
มีเครื่องแก้วแพรวพรรณหิรัญรัตน์ |
ล้วนเครื่องมัสการสรรพประดับขาว |
มีเศวตฉัตรกั้นห้าชั้นพราว |
ผนังราวรายอารุธยุทธนา |
เพดานดาดวิลาสลายระบายเมฆ |
ดูวิเวกวนเล่ห์พื้นเวหา |
สุวรรณวามอร่ามดาวพรั่งพราวตา |
ทัศนานิ่งพิศพินิจพลาง |
พอเสร็จสั่งสนทนาก็ลากลับ |
มาพักทัพทอดในฤทัยหมาง |
กะตำบลสถลแถวในแนวทาง |
ในป่ากว้างกว่าจะไปหลายทิวา ๚ะ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้ามาลาพาราน่าน |
จัดคชสารสมมาดปรารถนา |
ทั้งพังพลายรายหมวดนับตรวจตรา |
ได้พร้อมมาร้อยเชือกเสือกสะกอ |
มาส่งให้ใช้การในงานทัพ |
สัปคับแหย่งยานทั้งควาญหมอ |
ยืนกำยำประจำที่คนขี่คอ |
ไม่รั้งรอเรียกขานทำบาญชี |
จดชื่อช้างชื่อคนตำบลบ้าน |
เสร็จแล้วทานทบทวนถูกถ้วนถี่ |
จ่ายตามหมวดตรวจรับลำดับดี |
ประจำที่คอยอยู่ดูกรูเกรียว ๚ะ |
๏ มีช้างหนึ่งผึ่งผายวิไลลักษณ์ |
สูงได้สักสี่ศอกปลายชื่อพลายเขียว |
พึ่งรุ่นหนุ่มชุ่มมันเหมาะมั่นเจียว |
กำลังเปลี่ยวเปล่งมองลำพองพัง |
เป็นช้างเจ้าราชวงศ์ทรงสำหรับ |
จะขี่ขับว่องไวดังใจหวัง |
ไม่ตื่นเต้นปืนปังให้ตึงตัง |
ทราบวาจังแจ้งจิตคิดคะนึง |
ท่านแม่ทัพสดับคำที่ร่ำว่า |
ช้างที่ส่งมาทั้งนี้ไม่ดีถึง |
อยากซื้อไว้ใช้ศึกนึกคะนึง |
แล้วท่านจึงไถ่ถามตามราคา |
ข้างฝ่ายท่านเจ้าของช้างไม่ร้างรัก |
คิดจะภักดิ์ผูกพันโดยหรรษา |
ไม่รักทรัพย์รับไมตรีมีวาจา |
ยกคชาให้เป็นของที่ต้องใจ |
ท่านแม่ทัพไม่รับไว้จะใคร่ซื้อ |
เป็นหลายรื้อเรรวนมาหวนให้ |
ต้องรับช้างหมางกระมลด้วยจนใจ |
คิดเงินให้สามพันอันรูเปีย |
ต่างรับตอบชอบใจในจริต |
ดูสนิทในขนบประสบเสีย |
ได้เคยคุ้นสุนทรามาคลอเคลีย |
กะลิ้มกะเหลี่ยผูกอาลัยทางไมตรี |
แล้วตั้งชื่อช้างใหม่เรียกพลายน่าน |
เปลี่ยนขนานนามเมืองประเทืองศรี |
หวังรำลึกนึกถวิลความยินดี |
เป็นไมตรีตรึงใจอาลัยลาน ๚ะ |
๏ ครั้นสำเร็จเสร็จสมอารมณ์ประสงค์ |
แม่ทัพส่งก๊าดเชิญเจริญสาร |
พร้อมเจ้านายฝ่ายเสนาผู้ว่าการ |
กับเจ้าน่านมาที่ทัพอันดับกัน |
เวลาค่ำย่ำทุ่มประชุมนั่ง |
มาสะพรั่งพร้อมขนัดที่จัดสรร |
ก็จัดโต๊ะแต่งเลี้ยงเข้าเคียงกัน |
ต่างรำพันกิจการงานนานา |
จนดึกดาวพราวพร่างน้ำค้างกลุ้ม |
เลิกประชุมหวนคิดขนิษฐา |
ไม่วายว่างห่างถวิลจินตนา |
จับอุรารุ่มร้อนลงนอนซึม |
จึ่งห้ามจิตอย่าคิดเลยเฉยเสียนะ |
ห้ามอุระอย่าให้เศร้าทำเหงาหงึม |
ห้ามวาจาอย่าให้เผลอพูดเพ้อพึม |
ห้ามอย่าขรึมครวญใคร่ใจจะตรอม |
ทุกคืนค่ำร่ำรักเมื่อพักทัพ |
แม้นจะนับคะแนนกองสักสองอ้อม |
ยิ่งห้ามนักก็ยิ่งหน่วงในทรวงตรอม |
แทบจะงอมงมอาลัยความไมตรี ๚ะ |
๏ จนถึงวันครรไลลาโยธาเคลื่อน |
อาทิตย์เดือนยี่แรมไม่แจ่มศรี |
สิบสองค่ำกระทำกิจการพิธี |
พระสัพพีพรชัยได้เวลา |
หัวหน้านายฝ่ายเมืองน่านในการช้าง |
มีนามอ้างออกเสียงเจ้าเวียงสา |
เข้ากองทัพลำดับดลพลโยธา |
กลางชลาลานยลพลนิกร |
พร้อมด้วยเจ้าเผ่าพระยามาคอยส่ง |
ราชวงศ์อุปราชดาสมร |
มาส่งสั่งตั้งใจอาลัยวอน |
พอทินกรประกอบยามได้สามโมง |
ก็ลีลาคลาทัพสลับสล้าง |
ออกเดินช้างข้ามชลาดูอ่าโถง |
หมู่พหลพลลุยกระจุยโจง |
วิ่งตะโพงลำพังแรงดูแข่งเคียง |
ขึ้นจากท่าธาราออกเดินนอกทุ่ง |
เขม้นมุ่งทัพก้าวทางลาวเฉียง |
เลียบโขดเขินเดินดอนสิงขรเคียง |
จะเรียบเรียงระยะย่านบ้านตำบล |
ก็ป่วยกล่าวยาวยืดชักจืดหู |
ทั้งสุดรู้สุดฤทธิ์คิดฉงน |
จึ่งหยิบเค้าเล่าข้อแต่พอยล |
แถวสถลเถื่อนทางที่กลางดง |
บ้างรกชัฏลัดดาเป็นป่าสูง |
ต้นยางยูงยอดชูดูระหง |
บ้างแลโล่งโปร่งตาเป็นป่าพง |
บ้างเป็นดงดื่นด้วยหญ้าเรียกป่าแดง |
บางแห่งห้วยกรวยโกรกซะโงกง้ำ |
มีธารน้ำไหลดูไม่รู้แห้ง |
บ้างเป็นเกาะเฉาะขวางขึ้นกลางแปลง |
มีหญ้าแซงแทรกรายชายวารี |
บางแห่งลื่นพื้นนาหญ้าหยอกหยอย |
ขึ้นตายฝอยเฝือแดดแผดออกจี๋ |
แตกระแหงแห่งขัดทางนัทที |
เป็นรอยรีรานน่าระอาใจ |
บางแห่งอาบคราบไคลน้ำไหลแซะ |
เป็นทางแฉะชุ่มชื่นลื่นไถล |
ค่อยสันเสาะเลาะเดินไม่เพลินใจ |
บ้างครรไลเลียบจรตามดอนดอย |
บางทางแหวกแฝกเฝือเหลือวิตก |
เดินในรกหญ้าระเหลือละห้อย |
ถูกหญ้าบาดผาดผิวเป็นริ้วรอย |
ย่างทยอยยับยั้งระวังกาย |
บ้างสะอ้านลานลาดอาวาสวิเวก |
ช่างมาเสกสร้างอาศัยน่าใจหาย |
มืบ้านเถื่อนเรือนรั้งประทังกาย |
เที่ยวยักย้ายแยกอยู่เป็นหมู่มอง |
ในทุ่งท่าป่าดงพงพฤกษา |
ก็มีอารามสถานแลบ้านช่อง |
อาศัยธารละหานหินกระสินธุ์นอง |
อยู่แถวท้องทุ่งไพรทำไร่นา |
แต่เช้าจรผ่อนค่ำรีบร่ำรุด |
คะนึงนุชนาฏเดินตามเนินผา |
ลงเดินเหนื่อยเมื่อยขึ้นช้างพลางลีลา |
ครั้นเวลาค่ำพักสำนักพล |
วันหนึ่งค้างกลางเถื่อนริมเขื่อนเขา |
ยังเก็บข้าวของรับกันสับสน |
ไม่ทันหมดบถมัวทั่วอำพน |
บัดเดี๋ยวฝนฝอยร่ำลงพร่ำพรู |
จนมืดค่ำคลำเคล้นไม่เห็นของ |
อากาศก้องแลบลั่นสนั่นหู |
บ้างเข้าเต๊นท์เร้นบังคอยนั่งดู |
เสียงดังซู่ซ่าซาบอาบสุธา |
ทั้งผ้าเสื้อเกลื้อกล้ำด้วยน้ำชุ่ม |
บ้างก็ชุ่มกายอาศัยไพรพฤกษา |
น้ำฝนสาดหวาดเสียวเปลี่ยวอุรา |
เสียงชลาไหลนองในท้องธาร |
กระทบหินกระสินธุ์ลั่นเสียงครั่นครึก |
อึกทึกกระเทือนก้องห้องละหาน |
ตำแหน่งนี้ชี้นามเรียกตามธาร |
ชื่อสถานเถื่อนลำห้วยน้ำพูน |
ครั้นรุ่งเดินเนินไคลตามไหล่เขา |
แลเสลาลอยแจ้งส่องแสงสูรย์ |
ดูโป่นปุ่มตะคุ่มเขาลำเนานูน |
ไม่เพิ่มพูนพฤกษาไพรในลำเนา |
เห็นแต่หญ้าคาแห่งขึ้นแฝงฝอย |
ดูแดงกร๋อยกรอบแดดต้องแผดเผา |
ช่างเกรียนโกร๋นโล้นแลเป็นแง่เงา |
บางแห่งเว้าแลว่างหว่างคีริน |
ที่พื้นเผินเนินดอยเป็นพลอยสี |
เขียวขจีแจ่มจรัสแทบทัสหิน |
ทุบเข้าแตกแหลกยุ่ยเป็นขุยดิน |
แม้นเป็นหินแล้วจะหอบมาตอบแทน |
ให้อนงค์ปลงจิตพิสมัย |
เจียระไนเม็ดน้อยน้อยทำพลอยแหวน |
ไว้รำลึกนึกเมื่อไปที่ในแดน |
ด้วยความแกนเก็บกรวดมาอวดนาง |
เฝ้าแคะขุดหยุดดูไม่รู้จบ |
มิได้พบพลอยคิดจิตขนาง |
จึ่งจดนามตามเค้าเป็นเลาทาง |
เรียกเขากวางเขาแก้วแนวพนม |
ลูกหนึ่งใหญ่ยอดแย้เหลือบแลโล่ง |
เรียกดอยโป่งอุ่นเรียงขึ้นเคียงสม |
เหมือนคลื่นคลั่งประดังลูกเมื่อถูกลม |
ไปสิ้นพรมแดนน่านชานบุรินทร์ |
ย่างเข้าเขตประเทศสถานเมืองล้านช้าง |
วิเวกว้างวาบไหวฤทัยถวิล |
เห็นธารใสไหลล้นหยุดยลยิน |
ต่างแยกถิ่นทางล่องไปสองแคว |
ด้วยพื้นพูนมูนสันคั่นสิงขร |
เขตนครทั้งสองสอดยอดกระแส |
เหมือนเสาศิลาหลักปักไว้แล |
เป็นที่แน่กำหนดขั้นคันคีรี |
พลางกำหนดจดเขาเนาพนัส |
เข้าดงชัฏชุ่มชื้นพื้นวิถี |
ถึงทำเนียบเทียบทัพลำดับดี |
ตำแหน่งที่ทุ่งถิ่นนาดินดำ |
ครั้นรุ่งแสงสุรีย์ลีลาลับ |
ไปพักทัพที่รื่นเป็นพื้นต่ำ |
เรียกนาแวนแดนนาชาวป่าทำ |
อาศัยน้ำยอดที่พรากจากคีรี |
พอหยุดพลเห็นคนลาวพวกชาวป่า |
ขนธัญญามากลางทางวิถี |
จึ่งซักไซ้ไล่ถามตามคดี |
คนพวกนี้จะไปหนตำบลใด |
หัวหน้านบคำรบแจ้งแถลงเล่า |
ข้าพเจ้าเพี้ยกุมพลคุมคนไพร่ |
ด้วยเจ้าราชนัดดาภาคิไนย |
ท่านสั่งให้ขนลำเลียงเสบียงมา |
ให้ส่งกลางทางทัพสนับสนุน |
พอเจือจุนตามมาดปรารถนา |
ท่านแม่ทัพสดับแจ้งแห่งกิจจา |
รับธัญญาจ่ายพักสำนักพล |
อนาถนอนตอนดึกนึกระทด |
เย็นสยดสยองค้างอยู่กลางหน |
จนรุ่งรางสร่างศรีสุริยน |
จึ่งเดินพลมาบุรีศรีน้ำฮุง |
พอจวนเที่ยงเสียงดังระฆังร่ำ |
อ้ายจั่วจ้ำกลองเพลประเคนตุ๋ง |
ทั้งเณรพระคละกันฉันออกนุง |
ดูเต็มยุ่งมิได้แยกแปลกกว่าไทย |
ขุนนางลาวชาวป่าทำหน้าตื่น |
ออกมายืนเยี่ยมดูอยู่ไสว |
ทั้งเพี้ยท้าวเจ้าราชภาคิไนย |
กับบ่าวไพร่ตามพรูเป็นหมู่มา |
เข้าเชื้อเชิญกองทัพไปยับยั้ง |
ยังที่ตั้งทำเนียบใหญ่ให้สุขา |
เนาสำนักพักพลโยธา |
ที่กลางนานายแดดแผดประดัง |
เที่ยวยลย่านบ้านใหญ่มิใช่น้อย |
สักสามร้อยเรือนเครื่องผูกเขาปลูกฝัง |
พระยาเทพจอมพลคนระวัง |
เป็นผู้รั้งรักษาเมืองกระเดื่องดง |
คามาวางกลางตำบลชนบท |
หว่างบรรพตพุ่มไม้ไพรระหง |
อาศัยน้ำลำธารในดานดง |
ทำไร่กงเก็บเล็มดูเต็มเลว |
เห็นไทยทัพกลับกลัวผีทำพลีบัตร |
ใบไม้มัดผูกหลักปักเฉลว |
ตามหน้าเรือนแลเรียงสูงเพียงเอว |
ว่าผีเหวละหานห้วยมาด้วยไทย |
ครั้นรู้ความตามที่ลาวเขากล่าวแจ้ง |
ให้คิดแหนงนึกอดสูไม่อยู่ได้ |
ตัวเป็นผีแล้วมิสามาว่าไทย |
พาผีไปให้เขากลัวตัวรังควาน ๚ะ |
๏ ฝ่ายเพี้ยท้าวลาวหัวหน้ามามากหลาย |
เบิกข้าวจ่ายแจกพลาโยธาหาร |
จนเย็นย่ำค่ำยลอนธการ |
พักสำราญรุ่งจรค่อยคลอนโคลง |
ถึงท่าเดื่อแลเด่นเห็นทำเนียบ |
ดูรายเรียบเรียงตั้งริมฝั่งโขง |
เข้าหยุดพลดลเวลาบ่ายห้าโมง |
พินิจโล่งลานชลาหลั่งวารี |
ยลหาดทรายรายรื่นเป็นพื้นหิน |
ไม่มีดินดานระคายล้วนทรายสี |
ขาวสะอาดดาษรายชายนที |
ริมฝั่งมีระบัดหญ้าขึ้นน่ายล |
ชลาลั่นสนั่นก้องห้องกระแส |
ดังออกแซ่เสียงระงมเหมือนลมฝน |
ด้วยน้ำเซาะเกาะเกียนไหลเวียนวน |
บางแห่งล้นหลั่งอาบเป็นคราบไคล |
ครั้นเย็นย่ำค่ำค้างอยู่กลางหาด |
เหนื่อยอนาถนอนระงับต่างหลับใหล |
พอรุ่งรางสร่างสุริโยทัย |
ก็ครรไลเลียบมาริมท่าธาร |
ข้ามแก่งเกาะเสาะทางข้างตลิ่ง |
ล้วนแต่สิงขรรายชายละหาน |
มาถึงท่านทีที่เมืองนาน |
มีลำธารโกรกกรวยเรียกห้วยเครือ |
เห็นพวกลาวชาวพารามาคอยรับ |
ดูคั่งคับแข็งขันขยันเหลือ |
เชิญให้พักผ่อนสำราญได้จานเจือ |
ประกอบเกื้อกิจสวัสดิ์ทำบัตรพลี |
ที่เมืองนานนั้นมีศาลเทพารักษ์ |
ว่าดุนักหนาร้ายเป็นนายผี |
เขานับถือลือกันขันเต็มที |
ชาวมาลีหลาบจำไม่กล้ำกราย |
ชื่อเทวานั้นเรียกว่าเจ้าตาดน้ำ |
รักษาถ้ำธารถิ่นกระสินธุ์สาย |
ตาดน้ำนี้ชี้บอกออกธิบาย |
ว่ากระสายน้ำหลั่งพลั่งลงมา |
จากยอดเขาเขินชะแง้แลสูงสุด |
วัดเป็นฟุตมิใช่น้อยได้ร้อยห้า |
สิบกำหนดจดจำเป็นตำรา |
ทุกทิวาวันไหลดูใสนอง |
อีกหนึ่งว่าประชาชนตำบลนี้ |
เป็นพวกผีปอบมาตั้งสิ้นทั้งผอง |
แม้นพิโรธโกรธคิดใจจิตจอง |
เข้าในท้องทึ้งตับทำลับลวง |
ถ้าคนในหลวงพระบางเป็นอย่างนี้ |
ว่ากาลีไล่ออกนอกเมืองหลวง |
ให้เป็นข้าเจ้าตาดขาดกระทรวง |
มาตั้งล้วงตับอยู่หมู่เมืองนาม |
มีเรือนบ้านประมาณตาสักห้าสิบ |
ดูเงียบกริบกร่อยดังฝั่งละหาน |
ผู้รักษาคามายศกำหนดการ |
เรียกแก่บ้านบอกว่าเป็นเช่นอำเภอ |
พักสองวันครรไลเข้าในป่า |
แก่บ้านมานำทางต่างเสนอ |
ได้ถามชื่อเขาห้วยจึ่งอวยเออ |
ฟังออกเพ้อพูดพลางทางดำเนิน |
ลัดครรไลในลำเนาภูเขาขอน |
เร่งพลจรจนกระทั่งถึงฝั่งเถิน |
มีทำเนียบเลียบรายอยู่ชายเนิน |
ก็หยุดเดินทัพประดาท่าเชียงแมน |
พร้อมเจ้านายฝ่ายมาลาเสนามาตย์ |
ประชาราษฎร์แซ่ดูแห่แหน |
สล้างสลับคับคั่งประดังแดน |
ที่เชียงแมนหน้าเมืองเนื่องคณา |
อุปราชราชวงศ์ดำรงรับ |
เชิญแม่ทัพสถิตพลางทางหรรษา |
ให้หยุดยั้งฝั่งชลพลโยธา |
ดูประดาประดังเรียงพร้อมเพรียงรับ |
ท่านพระยาสุโขทัยดูใสสด |
ซึ่งรับยศข้าหลวงใหญ่ได้กำกับ |
มาด้วยเจ้าลาวเรียงเคียงคำนับ |
ท่านแม่ทัพทักถามตามไมตรี |
กับฝรั่งตั้งแต่งตำแหน่งยศ |
เป็นผู้จดจัดแปลนทำแผนที่ |
เดิมชื่อเขาขานว่าแมกคาที |
ได้เป็นที่พระวิภาคภูวดล |
เขาล่วงหน้ามาตะบึงได้ถึงก่อน |
เข้ารับต้อนท่านแม่ทัพอยู่สับสน |
เปิดหมวกรับคำนับพักตร์เหมือนชักยนต์ |
แล้วต่างคนจับกรจรพยุง |
ขึ้นทำเนียบเทียบตั้งริมฝั่งโขง |
แลดูโล่งศิลาลานชานกุหนุง |
เห็นเรืองามตามริมฝั่งคนนั่งมุง |
บ้างพายฟุ้งน้ำฝอยรีบถอยมา |
เรือลำทรงองค์ท้าวเจ้าเมืองหลวง |
ดูทีท่วงทำขันน่าหรรษา |
หัวท้ายสอดยอดสถูปรูปนาวา |
คล้ายชะล่าลำงอนเหมือนช้อนมุก |
มาดทั้งแท่งแต่งตกกระหนกกระหนาบ |
สีชาดฉาบชักสีทองให้ส่องสุก |
กราบนั้นหนาฝ่ามือเกินแม้นเฉินชุก |
โดนหินกุกกึกดังประทังทาน |
ฝีพายแต่งเสื้อแดงดูเป็นหมู่มาท |
ระดาดาษดื่นแลกระแสสาร |
เสียงขานยาวกราวมาที่ท่าธาร |
ถึงขนานจอดท่าสาคโร |
ครั้นพรั่งพร้อมน้อมคำนับจะรับข้าม |
ขึ้นสนามทำเนียบใหญ่ให้สุโข |
ท่านขอพักผ่อนพลาท่าโชล |
รุ่งอโนทัยเช้าจะเข้าเมือง |
ฟังบัญชาท่านแม่ทัพเขากลับหลัง |
ก็หยุดตั้งทัพท่าธาราเนื่อง |
อยู่ที่ริมฝั่งโขงตรงหน้าเมือง |
เห็นลาวเนื่องนาฏมาลงวารี |
ค่อยเดินด้อมท่อมท่องท้องกระสินธุ์ |
แล้วถลกซิ่นขึ้นกระสันพันเกศี |
ลงแช่ชลชำระร่างล้างธุลี |
เปลือยอินทรีย์สรงกายในสายชล |
ไม่เกรงสัตวมัจฉาจะมาตอด |
กลับนั่งหยอดเหยื่อคิดจิตฉงน |
ไม่มีเหนียมเสงี่ยมนั่งในวังวน |
ถูสกนธ์เฉยช้าไม่ราคิน |
นั่งยองยองย่องย้ายเที่ยวส่ายหา |
ก้อนศิลาหลังชลฝนขมิ้น |
ดูเรียงรายชายชลาในวาริน |
ทุกนางผินพักตร์นวลทวนธารา |
ครั้นสำเร็จเสร็จก็ย้ายขยายขยด |
ค่อยเลื่อนลดซิ่นกระสอบครอบเกศา |
ขยับไหวไววับให้ลับตา |
แต่มังสามิได้บังดูตั้งเต็ม |
ผู้ชายแร่แก้กองลงท่องน้ำ |
เอากรกำลงชลาปล่อยปลาเข็ม |
แม้นปักเป้าเจ้ากรรมมันทำเค็ม |
มาแทะเล็มแล้วละทำกรรมทวี |
เมื่อขึ้นฝั่งแล้วยังมีจริต |
มายืนบิดขาบีบหนีบออกจี๋ |
นุ่งกระสันพันผ้าแต่งกายื |
เขาไม่มีลื้นกันช่างขันจริง |
ตั้งดรุณรุ่นใหญ่เป็นไปหมด |
ดูน่าอดสูอายทั้งชายหญิง |
สุริยงลงลับไม้ใจประวิง |
กลับมานิ่งนอนสุธาเอกากาย |
พอรุ่งแจ้งแสงอุทัยไขกระจัด |
ห้าโมงขัดเข้าศรีสุรีย์ฉาย |
พอพวกลาวท้าวแสนแน่นนิกาย |
เขาเลียบรายเรียงนาวาเข้ามารับ |
เรือพิณพาทย์ฆาฏประโคมเสียงโครมครึก |
ดังก้องกึกในน้ำนำเป็นลำดับ |
ดูเกลื่อนกลาดดาษไปมิได้นับ |
ท่านแม่ทัพขี่เรือคำล้ำวิไล |
พวกนายกองนายทัพลำดับดาษ |
ขี่เรือมาดนั่งเป็นหมู่ดูไสว |
ทหารรบรีบข้ามตามกันไป |
ถึงโพนไทรเทียบนาวาขึ้นท่าพลัน |
ท่านแม่ทัพขับขี่พาชีชาติ |
ระดาดาษด้วยพหลพลขันธ์ |
ออกเดินทัพสลับแลดูแจจัน |
บัดเดี๋ยวบรรลุค่ายชายคีรี |
ดูใหญ่กว้างสร้างไว้ให้หยุดพัก |
ค่ายสำนักนี้อยู่ข้างภูษี |
ทหารเทียบเรียบอาวุธดุษฎี |
ประจำที่แถวค่ายรายระวัง ๚ะ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้ามาเลศประเทศราช |
อุปราชราชวงศ์จำนงหวัง |
ขุนนางลาวชาวพารามาประดัง |
ดูสะพรั่งพร้อมสรรพคอยรับรอง |
แม่ทัพถึงจึ่งทหารประสานศัพท์ |
บอกคำนับอาวุธเสียงสำเนียงสนอง |
ลาวขุนนางต่างคำรพสบทำนอง |
เจ้าหลวงร้องเชิญชักทักแต่ไกล |
เข้าเคียงถามความที่มาเป็นผาสุก |
ฤๅได้ทุกข์เดินทางต่างปราศรัย |
เผยวาทีมีสุนทรอวยพรชัย |
แล้วครรไลลาชื่นคืนเข้าเวียง |
พวกกองทัพขนของขึ้นกองกลาด |
ระดาดาษดื่นวางกลางเฉวียง |
ทหารยามอยู่โรงแถวเป็นแนวเรียง |
ไม่ก้าวเกี่ยงกะไว้ช่างใหญ่โต |
ทำลดหลั่นชั้นช่องเป็นห้องหับ |
ท่านแม่ทัพทำเนียบกลางกว้างอักโข |
ดูแยบคายคล้ายฝรั่งบังกะโล |
แลดูโอ่โถงถ้าไม่น่าชัง |
ก็พักผ่อนรอนราภาณุมาศ |
ล่วงลีลาศลับเนตรเทวษหวัง |
นึกคะนึงรำพึงมาในป่ารัง |
แต่จากวังเวียงน่านผ่านลำเนา |
ถึงกรุงศรีสัตนาค์จารึกร่ำ |
แรมสองค่ำเดือนสามนามวันเสาร์ |
ยี่สิบเอ็ดวันถึงค่ายสบายเบา |
พอบรรเทาทอดอารมณ์ที่ตรมตรอง ๚ะ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าเจ้าพาราก็มาเยือน |
ต่างเอ่ยเอื้อนมธุรสพจน์สนอง |
ปรึกษากิจคิดการงานที่ปอง |
โดยปรองดองปรีดาสถาพร |
เวลานั้นพร้อมด้วยท่านพระยาศรี |
มาสู่ที่บังกะโลสโมสร |
ท่านแม่ทัพจึ่งแถลงแจ้งสุนทร |
เรื่องจะรอญรานสู้หมู่ทมิฬ |
เดิมพระบาทบพิตรอิศเรศ |
ได้โปรดเกศราชกิจคิดถวิล |
ให้เป็นสองกองบรรจบรบไพริน |
ล้างให้สิ้นสูญเผ่าพวกเหล่าพาล |
เผอิญพระยาพิไชยบรรลัยลับ |
จำจะรับรบศึกที่ฮึกหาญ |
ฉลองคุณอดุลย์ศักดิ์จักรพาล |
มิได้คร้านครั่นใจกับไพรี |
แต่เห็นการพาลจะพาให้ว้าวุ่น |
แม้นเจ้าคุณช่วยรักษาสักหน้าที่ |
ส่งเสบียงเลี้ยงโยธาไปราวี |
อย่าให้มีห่วงใยในเสบียง |
พระยาศรีดีใจได้สดับ |
ว่าจะรับส่งให้มิได้เลี่ยง |
จะจัดเจ้าท้าวผู้ใหญ่ที่ในเวียง |
กำกับเรียงรายฉางวางประจำ |
ท่านแม่ทัพกลับตอบว่าขอบจิต |
เจ้าคุณคิดช่วยชุบอุปถัมภ์ |
มีอาหารการฮ่อจะขอทำ |
รบกระหน่ำตั้งหน้าประดาตี |
ต่างปราศรัยไถ่ถามตามวิมุต |
พอสิ้นสุดสุริย์ฉายลงบ่ายศรี |
พูดถึงตรานำทัพสำหรับมี |
นัดพรุ่งนี้วางสนามตามกระทรวง |
ต่างก็ลาคลาไคลกลับไปที่ |
รุ่งรังสีส่องใสไศลหลวง |
ได้เวลามาประดังสิ้นทั้งปวง |
พากันล่วงลุสถานทวารเวียง |
เขาเชิญขึ้นโรงคัลอันสะอาด |
มีอำนาจลาวรายชายเฉลียง |
ส่วนเจ้านายนั่งเป็นชั้นจรัลเรียง |
ไม่แข่งเคียงยศหย่อนผ่อนผ่อนไป |
มหาดเล็กเด็กชาพวกข้าเฝ้า |
ก็ทูลเจ้าหลวงแจ้งแถลงไข |
ออกมายังโรงคัลด้วยทันใด |
ก็ถามไถ่กิจการทุกท่านนาย |
จึ่งวางตราราชสีห์ที่นำทัพ |
ขุนนางรับอ่านความไปตามหมาย |
ถึงเจ้าเมืองเนืองมาพาราราย |
แลเจ้าฝ่ายประเทศราชเป็นมาตรา |
หนึ่งขัดสนผู้คนในกองทัพ |
จะเรียกรับเร็วเหมือนมาดปรารถนา |
สองแม่ทัพบังคับต้องตามท้องตรา |
อย่าหน่วงข้าราชการให้นานวัน |
สามแม่ทัพเกณฑ์จ่ายจำหน่ายบอก |
ส่งยังออกพันทนายเหมือนหมายมั่น |
ได้กราบทูลมูลข้อพอสำคัญ |
ก็ลงวันเดือนปีที่มีมา |
เจ้านครหลวงพระบางกระจ่างแจ้ง |
ฮ่อแรงรอญศึกฮึกนักหนา |
เล่านุสนธิ์ต้นเข็ญที่เป็นมา |
ทราบกิจจาแจ้งจริงหายกริ่งใจ |
แล้วก็ลามาเยี่ยมอุปราช |
กับเจ้าราชวงศาอัชฌาสัย |
ต่างคำนับรับตอบด้วยขอบใจ |
ถูกฤทัยทอดสนิทไม่คิดแคลง |
ก็เลยลามาค่ายค่อยคลายร้อน |
เข้าพักผ่อนร่มศรีสุรีย์แสง |
จะชมคุ้มขวงวังสัจจังแจง |
ก็จะแว้งเวียนช้าเวลารบ |
คเนรุ่งแจ้งแสงศรีสุรีย์ฉาย |
ปลัดซ้ายนำบาญชีมีฉบบ |
คือคนพระยาพิไชยที่ได้รบ |
ส่งมาครบร้อยยี่สิบพอดิบดี |
ตรวจดูรูปซูบเศร้าเห็นเหงาหงอง |
นั่งพุงป่องก้นปอดรอดจากผี |
จะเกณฑ์ไปใช้ก็คงปลงชีวี |
แม่ทัพมีอนุญาตให้คลาดคลา |
ทำจดหมายรายชื่อให้ถือกลับ |
แม้นใครจับจ่ายมาดปรารถนา |
เกณฑ์เอาเงินกะเอางานการนานา |
แล้วกลับมาร้องเรื่องราวกล่าวประจาน |
พวกไพร่พร้อมน้อมคำนับสดับกล่าว |
เข้ากราบเท้าแทบจะบินไปถิ่นฐาน |
ดูหน้าสดหมดดำค่อยสำราญ |
ชุลีลานลาไปตามใจตน ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพคับคิดในจิตร้อน |
แม้นนิ่งนอนเนิ่นช้าเกรงฟ้าฝน |
จะตกต้องท่องธารสงสารพล |
จึ่งรีบขวนขวายกลุ้มประชุมเชิญ |
พร้อมเจ้านายฝ่ายมาลาแลข้าหลวง |
จัดกระทรวงเสบียงวางในกลางเถิน |
เป็นระยะกะการทางดานเดิน |
เสร็จดำเนินความใส่ในสารา |
บอกจำนวนพนักงานจัดการฉาง |
ที่ไว้วางเสบียงในไพรพฤกษา |
สิบสองข้อที่บังคับประทับตรา |
ส่งศาลาเวรจำเป็นสำคัญ |
แล้วจัดเจ้าท้าวพระยามาลาสลับ |
เข้ากองทัพนำทางกลางไพรสัณฑ์ |
เจ้าราชวงศ์คุมพหลพลฉกรรจ์ |
ดูเหมาะมั่นหมู่ลาวชาวนคร |
กับเจ้าราชภาคิไนยไปสมทบ |
เป็นกองรบรับสู้สู่สมร |
พร้อมกำลังตั้งขจัดดัสกร |
จึ่งคิดผ่อนผันสั่งการทั้งปวง |
กับพระยาสุโขทัยไปอีกหนึ่ง |
เป็นผู้ซึ่งทราบประเทศเขตเมืองหลวง |
เคยจัดเจนเกณฑ์กะในกระทรวง |
รู้จักท่วงทีมาลากิจจาแจง |
กับกายตงที่ลงมาอยู่อาศัย |
แตกไทยไล่พลัดพรากจากเมืองแถง |
มาแจ้งเหตุประเทศทางที่คลางแคลง |
อยากรู้แห่งจึ่งเอาไปได้ถามการ ๚ะ |
๏ จัดสำเร็จเสร็จไปค่อยใสสุข |
สั่งให้กุ๊กทำกับข้าวทั้งคาวหวาน |
จ้คโต๊ะตั้งเป็นจังหวะดูตระการ |
แล้วเชิญท่านที่บรรดามาประชุม |
กับเจ้าหลวงบุตรหลานขนานหน้า |
พร้อมกันมามากมายหญิงชายกลุ้ม |
เรียกสาธุแทนคำเจ้ากล่าวกันชุม |
ทั้งแก่หนุ่มไม่กำหนดพจนา |
เวลาย่ำค่ำขานประสานฆ้อง |
มาแซ่ซ้องสิ้นด้วยกันดูหรรษา |
เข้านั่งโต๊ะเต็มที่มีอัตรา |
แยกคณาหญิงอยู่เป็นหมู่มอง |
ดูการเล่นเป็นที่เจริญรับ |
มีลาวขับแคนเสียงสำเนียงสนอง |
ประชันวงคงคู่ดูทำนอง |
ที่ประลองโลมเลี้ยวเข้าเกี้ยวกัน |
พวกทหารนักสวดประกวดเสียง |
ขึ้นร้านเรียงร้องลำนำกระสัน |
พูดภาษาลาวญวนเสสรวลกัน |
แต่ตัดอันอวกเรื่องเยื้องกระบวน |
เมื่อพระรถพาเมรีเที่ยวลีลาศ |
ออกประพาสไพรพนมเที่ยวชมสวน |
เขาแคลงจิตคิดความจะลามลวน |
แปลงสำนวนเป็นอิเหนาเมื่อเข้าดง |
เขาเกรงร้ายหมายความไปตามเล่ห์ |
ว่าเมืองเมรีตั้งดังประสงค์ |
จะเท็จจริงกริ่งตรึกนึกจำนง |
ไม่ตกลงเหลือจะเล่าในเค้าเดิม |
ชาวพารามาประชุมทั้งหนุ่มสาว |
ดูนางลาวโลมจิตให้คิดเหิม |
มาเบียดปนยลเต้าที่เค้าเดิม |
สั่นระเริ้มระริกร่ำชอกช้ำนวล |
จนดึกดาวพราวพร่างกลางเวหา |
ได้เวลาเลิกไปอาลัยหวน |
คิดถึงน้องหมองใจให้รัญจวน |
จะซ่อนนวลหรือจะนิ่งให้กลิ้งทรวง ๚ะ |
๏ ครั้นรุ่งการงานทัพก็สรรพเสร็จ |
พักสิบเจ็ดวันพรากจากเมืองหลวง |
ในเดือนสี่ปีระกาขอลาดวง |
อังคารล่วงขึ้นห้าค่ำจำเวลา |
สามโมงเช้าชายโชคโฉลกล้ำ |
พิรุณร่ำโรยพร่างกลางเวหา |
ก็ยกทัพลำดับดาษออกยาตรา |
เป็นสองท่าเดินทางต่างกระบวน |
ที่ของหนักชักลงเรือเกลือข้าวสาร |
ให้ทหารกำกับลำประจำถ้วน |
เราต้องเดินบกไปใจรัญจวน |
ขี่ม้าป่วนปั่นข้ามแม่น้ำคาม |
ออกทุ่งนาแนวเถินขึ้นเนินเขา |
จะร่ำเล่าแคะไค้ไม่วิตถาร |
ถ้วนชะโงกโกรกเขาลำเนาธาร |
เหลือประมาณแม้นจะเล่าก็เศร้าใจ |
ขึ้นยอดแย้แลดูหย่อมกระท่อมแตะ |
พวกข่าแจะตั้งเป็นจุกทุกไศล |
ปลูกสาลีแลรื่นเป็นพื้นไป |
บางแห่งไร่เก่าร้างดูว่างตา |
ที่ถางใหม่ไฟเผาเป็นเถ้าฟุ |
ยังติดคุแดงโขดโหดพฤกษา |
ทิ้งที่เก่าเผาที่ใหม่ไม่นำพา |
ด้วยลือว่าที่ดินนั้นสิ้นรส |
แม้นปลูกซํ้าร่ำไปได้ผลน้อย |
ชั้นกล้วยอ้อยต้นลำเซียวไม่เขียวสด |
ถ้าที่ใหม่ไม้ฟูต้นชูชด |
จึ่งเที่ยวจดจุดเผาทุกเขาคัน |
จะบอกย่านขานตำบลชนบท |
มธุรสฟังแปลกช่างแผกผัน |
ทั้งลาวลื้อชื่อเปลี่ยนผิดเพี้ยนกัน |
ไม่เหมาะมั่นจดจำก็รำคาญ |
วันหนึ่งม่ายชายเขาเข้าสำนัก |
หยุดผ่อนพักพลรายชายสนาน |
เรียกน้ำอูสู้กระแสแลละลาน |
ช่างไหลซ่านเสียงสนั่นอยู่ครั่นครืน |
แต่ล้วนผาราร่ำในน้ำดาษ |
เป็นเก่งกาจเกาะเฝือเห็นเหลือฝืน |
บางแห่งซึ้งน้ำใสออกไปยืน |
ถลำลื่นแลอาบล้วนคราบไคล |
บ้างลงน้ำหนาวงันตัวสั่นงก |
แล่นขึ้นบกยืนบ่นทนไม่ไหว |
ขนลุกซ่าร่าวิ่งเข้าผิงไฟ |
เหมือนเป็นไข้สั่นพลางครางฮือฮือ |
ตรงฟากข้ามนิคามคนชาวชนแซ่ |
เรียกแท่นแบ๊บอกบ้านขนานชื่อ |
เป็นคนแผกแปลกนามความระบือ |
เขาเรียกลื้อหลากชนิดผิดกว่าลาว |
เสื้อกางเกงสวมกายาล้วนขาแคบ |
มีผ้าแถบขลิบชายลายเขียวขาว |
ผู้หญิงนุ่งซิ่นสีต่างดูพร่างพราว |
เป็นริ้วยาวยลขวางสล้างลาย |
หยุดพักผ่อนนอนรุ่งมุ่งเขม้น |
พอเก็บเต๊นท์ตะวันแดงส่องแสงฉาย |
ออกเดินทัพลำดับดาษริมหาดทราย |
แล้วทางย้ายแยกขึ้นเขาลำเนาเนิน |
มีบ้านหนึ่งพึ่งมาตั้งยังใหม่ใหม่ |
หวังจะไถ่ถามทางในกลางเถิน |
เป็นคนชาติผู้ไทยเพศสังเกตเกิน |
บอกดำเนินนามชัดกระจัดจริง |
ว่าตัวชื่อท้าวพลคนเมืองแอด |
อ้ายฮ่อแผดหนีพ่ายทั้งชายหญิง |
มันรบรุกทุกตำบลเที่ยวปล้นชิง |
จึ่งต้องทิ้งถิ่นไม่อาลัยแล |
ได้ทราบเหตุเพศผลเป็นต้นข้อ |
มิได้รอรัดความข้ามกระแส |
สิบเอ็ดวันดั้นพนานต์มาดาลแด |
เฝ้าแต่แลดูไศลยิ่งใหญ่ยล |
ขึ้นฟากฝั่งตั้งทัพระดับดื่น |
ไม่มีชื่นชุกในใจฉงน |
ตำแหน่งบ้านขานชี้คดียล |
ชื่อตำบลบอกเรื่องว่าเมืองงอย |
อยู่หว่างเขาเว้าวุ้งเป็นคุ้งอ้อม |
ไศลล้อมแลไปใจละห้อย |
ตั้งอยู่ลำน้ำอูดูเด่นลอย |
มีแง่ย้อยตั้งปราการเป็นด่านน้ำ |
ท่านเห็นที่มีดอยขึ้นลอยกว้าง |
ศรัทธาสร้างพระเจดีย์ที่ปถัมภ์ |
ไว้รำลึกนึกเมื่อยากมากรากกรำ |
ออกเงินประจำจ้างคนพลเมือง |
มอบพระยาสุโขทัยให้กำกับ |
แลคอยรับการนิกายอีกหลายเรื่อง |
ส่งลำเลียงเสบียงไปให้เนืองเนือง |
แม้นขาดเปลืองหมดแล้วซื้อหารือกัน |
อยู่เป็นสองกองกับพระพาหล |
คุมพวกพลทหารอยู่เป็นหมู่มั่น |
เหมือนกองหนุนรุนโรมโจมประจัญ |
ให้ตั้งมั่นมุ่งยลอยู่ต้นทาง |
เรียกเพี้ยท้าวลาวล้อมมาพร้อมหน้า |
ถามมรรคาเข้าจังหวัดก็ขัดขวาง |
เหมือนเข้าป่าเวลามืดฝืดหนทาง |
ไม่กระจ่างใจจริงลงนิ่งจน |
เดชะเดชเกศสยามหาสถาน |
มาบันดาลดลเห็นเป็นกุศล |
ให้คิดถึงคำกล่าวตาท้าวพล |
จึ่งให้คนรีบไปตามมาถามทาง |
ท้าวพลถึงจึ่งแจ้งแถลงเล่า |
ในป่าเขาสารพัดจะขัดขวาง |
แกรับนำตำบลชี้หนทาง |
ทราบกระจ่างแจ้งธิบายค่ายทั้งปวง |
อ้ายนายโจรจีนฮ่อชื่อกอยี่ |
เป็นตัวดีชาวบ้านเรียกกวานหลวง |
อยู่บ้านใดไล่ปล้นคนทั้งปวง |
ทุกกระทรวงแตกสันเที่ยวดั้นดอน |
บ้างหนีบุกซุกอาศัยในเขาเขื่อน |
ทิ้งบ้านเรือนแรมนิ่งอยู่สิงขร |
มันเที่ยวค้นปล้นเล่นเสียเป็นบอน |
ใครบ่ห่อนจะมาหาญออกต้านยิง |
บางครอบครัวมั่วหมู่อยู่ในป่า |
มันพบฆ่าขายผัวเอาตัวหญิง |
ลูกน้อยนิดติดไปไม่ประวิง |
ให้เอาทิ้งรกร้างอยู่กลางดง |
ต้องยอมทู้อยู่เป็นข้าประสายาก |
มันใช้กรากกรำสมอารมณ์ประสงค์ |
แม้นโกรธาฆ่าตายวายชีวง |
ทำทะนงจิตบาปหยาบสันดาน |
แม่ทัพฟังคงแค้นแสนพิโรธ |
อ้ายฮ่อโหดหินชาติมาอาจหาญ |
ประชุมทัพคับคั่งให้ตั้งการ |
เลือกทหารห้าวณรงค์คงประจญ |
จึ่งสั่งให้หลวงดัษกรปลาศน์ |
กับเจ้าราชภาคีกรีพหล |
เดือนสี่แรมสองค่ำให้นำพล |
ไปโรมรณพวกที่ชั่วจับตัวการ |
หลวงดัษกรปลาศน์องอาจรบ |
พอฟังจบรีบรัดจัดทหาร |
ได้ร้อยห้าสิบนายล้วนชายชาญ |
ระวิวารรุ่งเวลาก็คลาไคล ๚ะ |
๏ แต่กองเจ้าราชวงศ์ยังคงอยู่ |
พร้อมด้วยหมู่พหลพลไพร่ |
จึ่งหาตัวหัวพันมาทันใด |
ซึ่งเป็นใหญ่อยู่รักษาพารางอย |
ให้เรียกฃ่าเคียนของส่งกองทัพ |
ได้พร้อมสรรพส่งมานั่งหน้าจ่อย |
ทั้งชายหญิงนิ่งหย่องดูตองตอย |
ช่างเต็มกร่อยกรอบมนุษย์เห็นสุดจน |
ผู้ชายแจะอุจาดคาดผ้าเตี่ยว |
พอเหน็บเหนี่ยวหมากต้องได้สองผล |
ตามเพศพันธุ์นั้นทั่วทุกตัวคน |
ดูพิกลกว่าเพื่อนไม่เหมือนลาว |
ผู้หญิงยุ่งนุ่งซิ่นล้วนวิ่นหวะ |
เนื้อหนังคระครุสีไม่มีขาว |
อยู่กับดินกินกับดอนนอนดูดาว |
ถ้าแม้นหนาวหนักก็รุมกันสุมไฟ |
อันการกินสิ้นแกนแสนสาหัส |
มีเกลือกัดลิ้มเล็มพอเค็มไส้ |
แล้วอยู่เย็นเป็นสุขสนุกใจ |
เรียกมาใช้แบกขนช่างทนทาน |
จึ่งจำแนกแจกจ่ายท่านนายทัพ |
ให้สำรับเป้ของกองทหาร |
จะใช้ช้างโคต่างไปในพนานต์ |
ระยะย่านนี้ยากลำบากครัน |
ล้วนโกรกกรอกซอกผาลดาดก |
สุดจะยกหยิบอวดประกวดขัน |
ถ้าโคต่างช้างเดินเนินอรัญ |
ไปไม่ทันติดทางต้องถางจร |
จึ่งใช้ข่าต่างโคไม่โอ้เอ้ |
ให้มันเป้ของเดินขึ้นเขินขอน |
จ่ายสำเร็จเสร็จคลาพลากร |
ด้วยการร้อนรีบกะเป็นกระทรวง |
เจ้าราชวงศ์คงคุมโยธาเคลื่อน |
ยกเข้าเลื่อนเป็นทัพหน้ามาลาหลวง |
เดือนสี่แรมเจ็ดค่ำจำกระทรวง |
วันศุกร์ล่วงเวลาเช้ายกเข้าไพร |
แรมสิบเอ็ดค่ำอังคารชาญโฉลก |
อุษาโยกยามศุกร์ทุกข์กษัย |
สามโมงเศษก็ประเวศกองทัพชัย |
ฝนตกใหญ่หยุดพลดลประดัง |
อยู่กลางนารารอก็พอค่ำ |
ต้องนอนกรำฝนฝ่าทั้งหน้าหลัง |
อนาถนึกดึกกำดัดสงัดดัง |
เสียงละมั่งร้องรายอยู่ชายดง |
พยัคฆ์ยาตรนาฏเนินร้องเกริ่นรับ |
สุรศัพท์แสร้งทำให้ล้ำหลง |
ละมั่งหนายพวกพามาในดง |
พยัคฆ์ตรงเข้าตะโกรมเสียงโครมคราม |
ฟานลำพองร้องร่าน่าขนลุก |
ทวีทุกข์เทวษไหวหทัยหวาม |
ชะนีครวญหวนจิตคิดถึงยาม |
เมื่อแนบงามสงวนอยู่เป็นคู่เคียง |
เสนาะน้ำคำเหลือแล้วเนื้อนิ่ม |
เมื่อจะยิ้มแย้มเพราะเสนาะเสียง |
กระซิบเสียดเบียดกายชะม้ายเมียง |
น้องแอบเอียงอายค้อนอ่อนละมุน |
ถ้าพี่ยั่วเย้าแย้มพูดแนมเหน็บ |
แล้วถูกเล็บหยิกลายไม่หายหุน |
ชะนีร้องถ้องขรมชมอรุณ |
ไม่เหมือนอุ่นใจจัดวัจนา |
ครั้นรุ่งรางสร่างใสฤทัยระทด |
ขึ้นบรรพตพิศลำไม้ฉำฉา |
สูงละลิ่วแลลิบหลายสิบวา |
พรรณพฤกษาสะพรั่งเคียงขึ้นเรียงราย |
ไม้อย่างหนึ่งแลพิกลผลล้วนหนาม |
มีอยู่ตามริมสถลลงหล่นหลาย |
เหมือนผลเงาะเก็บแงะแกะตะกาย |
เมล็ดคล้ายลูกเดือยพบลองขบดู |
มีรสมันครั้นกินแล้วเก็บห่อ |
เรียกหมากก่อเรียงกกดกอักขู |
ไม้หนึ่งยลผลพรรณช่อชันชู |
พากันกรูเข้าตะโกรมฟันโครมครืน |
ชวนกันชิงวิ่งแย่งมดแดงกลุ้ม |
นั่งเป็นกลุ่มกินกับเกลือเหลือจะฝืน |
เรียกหมากแฟนแปร้นเปรี้ยวเคี้ยวแล้วคืน |
มีออกดื่นดกระดะดูตระการ |
อย่างหนึ่งผลยลสีลิ้นจี่จัด |
รสกำดัดกระเดียดเปรี้ยวเกี่ยวกับหวาน |
แม้นผลว่าถ้าจะเปรียบเอาเทียบทาน |
แต่เขาขานคำปากเรียกหมากคัง |
อย่างหนึ่งเฟื้อยเลื้อยกระสันพันพฤกษา |
ผลระย้าสุกแสงแดงสะพรั่ง |
เก็บลองลิ้มชิมเสียวเปรี้ยวสัจจัง |
ไม่น่าหวังแวะเชยก็เลยจร |
เรียกหมากหลอดแลผลกลละมุด |
แล้วลงหยุดยั้งรายขายสิงขร |
เห็นหมากเดื่อดงใหญ่ให้อาวรณ์ |
เท่าสะท้อนห่องามมีครามครัน |
แต่เขาเรียกหมากวาชาวมาเลศ |
เพราะเปลี่ยนเพศชื่อแปลกฟังแผกผัน |
หมากเดื่ออื่นดื่นไปในอรัญ |
ไม่เท่าทันผลหมากวากิจจานาม |
อย่างหนึ่งเฝือเหลือปองค่อยมองมุ่ง |
เรียกไข่กุ้งเก็บลูกกลัวถูกหนาม |
เป็นกอกกรกไร้ดูไม่งาม |
สุกอร่ามรายระดะเหลืองลออ |
เก็บชิมรสจดจำไว้ร่ำเล่น |
พอรู้เช่นผลชาดไม่ฝาดศอ |
ที่ไม่รู้สุดจะร่ำต้นลำกอ |
จะเป็นก้อเกินเหตุสังเกตกล |
ไม้หนึ่งฟุ้งจรุงรื่นชื่นนาสา |
พิศบุปผาคล้ายจำปีมีพวงผล |
เรียกไม้งวมรวมประทิ่นกลิ่นสุคนธ์ |
แม้นใครดลดงชมรมย์สำราญ |
ยลรุกขามาถึงฉางสบช้างหยุด |
อุตลุดจ่ายเสบียงเลี้ยงทหาร |
แล้วเร่งลาวท้าวพระยาอย่าช้าการ |
ด้วยถึงย่านหยุดข่าที่มาเวร |
พวกข่าเคียนเปลี่ยนผลัดกันยัดยุ่ง |
ตาแสงฟุ้งเลือกเฟ้นเหมือนเต้นเขน |
เรียกนายหมวดตรวจบาญชีที่กะเกณฑ์ |
ให้รับเวรเร่งเรียกออกเพรียกไพร |
พักเวลาช้าเชือนเที่ยวเลื่อนลาศ |
เห็นบ้านราษฎรเรียงเคียงไศล |
ยี่สิบห้าหลังทั่วทั้งครัวไฟ |
ตั้งทำไร่ริมเขาลำเนาเนิน |
พอคนข่ามาเวรเกณฑ์ได้ถ้วน |
จึ่งยกด่วนด้นไปในไพรเถิน |
ถึงผาตั้งยั้งพิศพินิจเพลิน |
แลเจริญรายรุกขาพนาเนา |
เห็นไร่กว้างทางสงสัยอยู่ในจิต |
ใครหนอคิดขึ้นมาสร้างไว้กลางเขา |
ฤๅฮ่อโจนโค่นทำในลำเนา |
ปลูกไร่ข้าวเลี้ยงกำลังเที่ยวตั้งตี |
ก็เดินตรึกนึกไปไม่ประจักษ์ |
เห็นป้ายปักกลาดเกลื่อนเป็นเรือนผี |
อักษรบอกออกความตามคดี |
เป็นตัวยี่ยลไม่เข้าใจความ |
ถามห้าวขุนคนที่นำเข้าร่ำแจ้ง |
ว่าแม้วแฝงเฝ้าตำบลอยู่ล้นหลาม |
ทำไร่ฝิ่นถิ่นอาศัยมิได้ลาม |
เที่ยวตะกลามกลุ้มซนเหมือนคนจร |
ชอบอยู่เนินเผินไศลในพนัส |
แม้นฝนจัดเจ่านิ่งอยู่สิงขร |
ไม่จากเขาเนาถิ่นลงดินดอน |
กลัวชีพมรณ์ม้วยยั้งระวังกาย |
ว่าลงดินยินเสียงเขียดขิ้งคก |
แล้วตื่นตกใจสั่นมิ่งขวัญหาย |
มักปวดหัวตัวสั่นเป็นอันตราย |
ว่าผีร้ายรุมกินสิ้นชีวี |
การบริโภคโยกอย่างต่างอาหาร |
คิดเห็นการดีพร้อมไม่ซ้อมสี |
ครือข้าวโพดแต่เขาว่าข้าวสาลี |
มาใส่ที่โม่หมุนเป็นจุณไป |
แล้วฝัดร่อนล่อนธุลีทีละเมียด |
หยาบละเอียดสิ้นละอองดูผ่องใส |
ไว้ต้มนึ่งนึกประกอบตามชอบใจ |
เก็บขึ้นใส่ยุ้งไว้ครันอนันตัง |
ผลไม้หวานเปรี้ยวนั้นเที่ยวหา |
ที่ในป่าตามแต่สมอารมณ์หวัง |
ไม่สร้างสมเรือกสวนน่าชวนชัง |
แต่เลี้ยงขังโคแพะแกะไก่มี |
สำหรับไว้เซ่นไหว้วอนผีฟ้า |
ให้รักษาสรรพทุกข์เป็นสุกขี |
หรือเจ็บไข้ภัยพาธามายายี |
ล้างชีวีสัตว์นั้นมาบูชาชู |
แม้วผู้ชายหมายเช่นก็เป็นเจ๊ก |
ผู้ใหญ่เด็กดูสล้างไว้หางหนู |
ไม่ถักไหมใช้ปล่อยเป็นฝอยฟู |
โพกหัวหูรุงรังช่างพิกล |
เสื้อกางเกงขากว้างอย่างกวางตุ้ง |
ผ้าคาดพุงพันวกสักหกหน |
เหมือนงิ้วบู๊ดูดีทีผจญ |
แต่ตัวตนเต็มด้วยไคลในอินทรีย์ |
ผู้หญิงแปลงแต่งผมดูสมสาว |
ทิ้งไว้ยาวยลกระสันอย่างปันหยี |
บ้างพันเศียรเวียนหน้าผากดูหลากดี |
เอาผ้าสีโพกผมดูสมทรง |
สอดตุ้มหูดูลออเหมือนขอมุ้ง |
เป็นติ้งตุ้งติดงามตามประสงค์ |
แม้นทำการงานนักพะวักพะวง |
เอาเกี่ยวส่งสับไขว้ไว้ท้ายทอย |
สวมกำไลใส่ปลอกคอลออเอก |
อดิเรกด้วยหิรัญพันกับหอย |
สวมเสื้อสันกระสันทรวงดูดวงลอย |
เหมือนจะย้อยยลยุคันสั่นระรัว |
นุ่งผ้าจีบกลีบรายลายตลอด |
อย่างสกอตเกี่ยวทบประจบหัว |
มีเชือกรัดมัดมั่นพันกับตัว |
นึกน่ากลัวเกลือกจะกลายเป็นลายโลน |
ยังอายหน้าผ้านิดมาปิดท้อง |
ใช้ปกป้องเป็นผ้าห้อยหน้าโขน |
เมื่อนั่งปัดสลัดปิดให้มิดโลน |
แม้นกระโจนคงกระจายระบายบาน |
ทำห้องหับหลับนอนซ่อนอาศัย |
พอนอนได้คนเดียวซุกไม่สุขสานต์ |
ถึงมีคู่ก็ไม่อยู่ให้สำราญ |
ถือว่าการนั้นผิดกิจธรรมเนียม |
เมียที่ห้องต้องทำอยู่จำเพาะ |
แต่พอเหมาะหมกนอนเหมือนซ่อนเสียม |
มีฝากั้นกันความจะตามเลียม |
นิ่งเสงี่ยมเหงาอุราเอกากาย |
เมื่อมีจิตจะคิดเรียงเข้าเคียงหมอน |
เอาไม้ยอนแยงตนกระมลหมาย |
เดือนให้ตื่นชื่นชู้รู้ระคาย |
จึ่งค่อยผายผันสู่คู่นิยม |
แม้นหลับใหลไม่รู้ตัวผัวเข้าหา |
ว่าผีฟ้าเคียดตูไม่สู่สม |
มักมีภัยไข้ขุกทุกข์ระทม |
ถึงล่มจมจนทำลายวายชีวา |
ธรรมเนียมชายที่เป็นคนจนสิ้นสู่ |
จะหาคู่เห็นขันน่าหรรษา |
ต้องเรียนดื้อถือด้านอ่านตำรา |
ตรงเข้าหาแม่ยายนั่งไหว้วอน |
ขอบุตรสาวกล่าวตามเนื้อความรัก |
ด้วยสมัครในมโนสโมสร |
ข้างบิดรมารดาพะงางอน |
ก็ขุดค่อนแคะว่าสารพัน |
แต่ไม่จ้วงล่วงประมาทถึงญาติมิตร |
นั่งประดิษฐ์ด่าแต่ตัวชั่วมหันต์ |
ต้องถือรักหักเหือดไม่เดือดดัน |
ฟังรำพันพจนาที่ด่าทอ |
สิ้นเวลาทิวาหนึ่งไม่ขึ้งโกรธ |
สมประโยชน์ยกบุตรสาวเหมือนกล่าวขอ |
ให้กับชายหมายเช่นเห็นใจคอ |
ว่าซื่อต่อความรักประจักษ์จริง |
แม้นฟังว่าด่าทอตัดพ้อนัก |
ตัวลืมรักพิโรธไปมิได้หญิง |
เขาเลื่องชื่อลือทั่วว่าชั่วจริง |
จนแล้วหยิ่งมิได้ยำคำผู้ใด |
ธรรมเนียมการงานบ่าวสาวขอกล่าวกล้ำ |
เหมือนจีนจำแจ้งตรงอย่าสงสัย |
พูดกันเพลินเดินชมพนมไพร |
ดังจะไปสู่สถานพิมานอินทร์ |
เวลาเช้าแลชมพนมพนัส |
เมฆหมอกกลัดกลุ้มดังว่าชลาสินธุ์ |
แลดูขาวพราวพร่างอย่างเมฆิน |
ไม่เห็นดินดานแลแต่โพยม |
จนแสงสายย้ายย่างลงหว่างเขา |
เห็นไร่เปล่าปละไปไฟยังโหม |
มีเรือนร้างบ้างชำรุดหักทรุดโทรม |
รีบทัพโจมถึงนครซ่อนบุรี |
สี่โมงเช้าเสาร์เสร็จขึ้นเจ็ดค่ำ |
เดือนห้าจำปีจอต่อดิถี |
พระอาทิตย์ประทับมิลเมื่อสิ้นปี |
ออกวาจีจอศกตกระกา |
นับวันคล้อยงอยบุเรศประเทศสถาน |
เข้าไพรสาณฑ์ไศลเผินขึ้นเนินผา |
ถึงเมืองซ่อนชัยบุรีรวมทิวา |
สิบเวลากับวันหนึ่งถึงสำนัก |
สิริทัพนับวันจรอมรรัตน์ |
โดยขนัดบกน้ำจำประจักษ์ |
แปดสิบสี่วันกำหนดไม่จดพัก |
รวมสำนักนับเสร็จถึงเจ็ดเดือน |
ตั้งค่ายคูดูดีเป็นสี่เหลี่ยม |
ระเนียดเรี่ยมรายคูดูเหมือนเหมือน |
มีหอรบโรงยามไม่ลามเลือน |
อยู่ริมเขื่อนเคียงรอบเป็นขอบคัน |
ที่แม่ทัพทำวางไว้กลางเด่น |
ดังจะเผ่นพิฆาตศึกนึกกระสัน |
ชักธงช้างวางเช่นเป็นสำคัญ |
ใครประจัญคงประจญให้ป่นไป |
เมืองซ่อนนี้มีทุ่งนาป่าละเมาะ |
เป็นซึ้งเซาะแซงเผินเนินไศล |
ล้วนห้วยธารละหานหินในถิ่นไพร |
กินน้ำในห้วยแอดไม่แปดปน |
ที่เมืองอยู่ดูสถานมีบ้านตั้ง |
สิบสองหลังเหลือวิบัติช่างขัดสน |
เรียกซ่อนลาวกล่าวนามตามยุบล |
รักษาสกนธ์เกษตรนี้ที่พระยา |
ในนามตั้งฟังแต่งตำแหน่งที่ |
พระยาศรีสุมังราชพงศา |
ผู้รั้งเมืองกระเดื่องยศพจนา |
คุมลาวข่าแม้วคงในกงดิน |
ต่าบลมีที่รักษาล้วนป่าเขา |
ผู้ไทยเย้าเที่ยวอยู่ไม่รู้สิ้น |
ครั้นมีเวรเกณฑ์เอางานการแผ่นดิน |
เที่ยวเสาะถิ่นที่อาศัยจึ่งได้คน |
แล้วตรวจเขตประเทศทิศที่ติดต่อ |
ทางที่ฮ่อเดินลัดเที่ยวตัดปล้น |
ไปเมืองแอดแปดวันจรัลพล |
แม้นรีบร้นเร็วได้ในหกวัน |
ทางหนึ่งไปในหัวพันตะวันออก |
เฉียงใต้บอกเบื้องบูรพาพนาสัณฑ์ |
กำหนดระยะกะเสร็จสิบเอ็ดวัน |
ทางหนึ่งนั้นตัดไปทิศใต้ตรง |
เช้าเขตแคว้นแดนเมืองพวนก็ล้วนเขา |
สล้างเสลาล้วนรุกขาป่าระหง |
สิบเอ็ดวันบรรลุโดยจุจง |
ถึงเขตกงดินเชียงคำจงจำใจ |
ที่เรียกว่าหัวพันห้าทั้งหกนี้ |
จะจำชี้ชัดแจ้งแถลงไข |
คือซ่อนโสยซำเหนือเจือกันไป |
อีกซำใต้เชียงฆ้อต่อหัวเมือง |
รวมทั้งหกยกขึ้นชี้ที่ประเทศ |
เป็นเมืองเขตแดนลาวที่กล่าวเรื่อง |
มีชนชาติผู้ไทยข่าคณาเนือง |
แต่ชายเยื้องยักนุ่งผ้ากางเกง |
ผู้หญิงยลปรนปรุงยังนุ่งซิ่น |
บอกระบิลบ่อนเบาะดูเหมาะเหม็ง |
เป็นเพศลาวพุงขาวอ้างแต่ปางเพลง |
เสื้อกางเกงไม่สวมจริงเหมือนหญิงญวน |
เที่ยวอาศัยในอรัญทุกคันเขต |
ในประเทศสถานลาวเหมือนชาวสวน |
ที่เมืองน้อยบ้านนามาประมวล |
เขาแบ่งส่วนขึ้นหัวพันเป็นหลั่นไป |
แต่พื้นภูมิพาราน่าวิตก |
จนชั้นนกก็ไม่เนาเขาไศล |
มีแต่สัตว์วิบัติเข็ญที่เป็นภัย |
พยัคฆ์ใหญ่ชุมยิ่งเสียจริงจัง |
ท่านตรวจการด่านทางวางระยะ |
เสร็จแล้วกะทัพตามเนื้อความหวัง |
ให้แยกทางวางท่าดาประดัง |
ยกโอบหลังล้อมหน้าไล่ราวี |
สั่งให้เจ้าราชวงศ์คงคุมทัพ |
บรรจบกับกองทหารชาญชัยศรี |
หลวงจำนงค์คุมทหารไปต้านตี |
รวมได้สี่ร้อยถ้วนจำนวนพล |
ให้ยกเยื้องบุพทิศติดข้างใต้ |
อย่าทันให้ฮ่อแจ้งแห่งนุสนธิ์ |
รักษาการณ์ด่านตั้งระวังคน |
ทุกสถลทางเนื่องไปเมืองพูน ๚ะ |
๏ อีกกองหนื่งสามร้อยถ้วนจำนวนหมาย |
สั่งให้นายพลอยสับเป็นทัพหนุน |
ไปเมืองสบแอดอีกทางวางประมูล |
เข้าเพิ่มพูนกองสกัดหลวงดัษกร |
เป็นสามทัพจับฮ่ออย่าหลอเหลือ |
ให้สิ้นเชื้อชาติเหล่าทึ้งเถาถอน |
กองหลวงนั้นจะตั้งฟังราญรอน |
อยู่เมืองซ่อนส่งทัพที่รับรบ |
ด้านไหนฮ่อต่อตั้งประดังรับ |
จะยกทัพใหญ่หนุนเข้าจุนจบ |
แต่งคนสืบข่าวสารการรุกรบ |
ได้สมทบทัพทันอย่าพรั่นใจ ๚ะ |
๏ ฝ่ายนายกองนายทัพรับบรรหาร |
โดยราชการจะแจ้งแถลงไข |
ต่างก็ลาเป็นลำดับยกทัพไป |
ตามที่ในคำสั่งดังสุนทร |
พอล่วงวันนั้นผู้ถือหนังสือสาร |
ส่งทหารยามให้นำคำอักษร |
ก็รีบขึ้นเรียนความตามธิกรณ์ |
ท่านรีบร้อนเร็วอ่านสารที่มา ๚ะ |
๏ ว่าข้าพเจ้าหลวงดัษกรปลาศน์ |
กับเจ้าราชภาคิไนยได้อาสา |
เดินกองทัพขับขันอรัญวา |
ถึงบ้านนาลานตั้งหยุดยั้งพล |
วันอาทิตย์อุทัยแผดขึ้นแปดค่ำ |
เดือนห้าจำปีจอต่อนุสนธิ์ |
ด้วยใกล้ค่ายอ้ายฮ่อทรชน |
เข้าซุ่มพลพักร้อนให้ผ่อนเย็น |
เขาบอกว่าจะไปเห็นใกล้นัก |
ต้องหยุดพักพลไว้อย่าให้เห็น |
แม้นฮ่อรู้ไหนจะอยู่ให้จับเป็น |
จึ่งเข้าเร้นพงร้างอยู่กลางแปลง |
ผลัดกันนอนผ่อนกันนั่งระวังอยู่ |
เห็นคนจู่มาจะเข้าบังเงาแฝง |
หลบไม่ทันมันเห็นตัวกลัวระแวง |
จึ่งไล่แย่งหมายจะฟันให้บรรลัย |
มันรู้ตัวกลัวร้องทิ้งของหนี |
เข้าไพรศรีวิ่งเสือกเถลือกไถล |
จับไม่ทันพลันกลับมาฉับไว |
บอกเหตุให้รู้กิจรีบคิดการ |
หากฮ่อรู้กรูกรีจะหนีลับ |
ต้องเร่งจับจัดพลพหลทหาร |
เดินกระบวนด่วนไปมิได้นาน |
เป็นสามด้านประดังรายถึงค่ายโจร |
ห้วยแอดขั้นถลันข้ามไปตามหมาย |
จะเข้าค่ายฉุดชักให้หักโค่น |
ยิงปืนสาดปราดปรายถึงค่ายโจร |
ฮ่อตะโกนเรียกทหารรบต้านทาง |
ลากหามแล่นลูกกลมเท่าส้มเกลี้ยง |
พอยิงเปรี้ยงยกแรกก็แตกผาง |
พากันทิ้งวิ่งวนหาหนทาง |
เข้ารกร้างเร้นตัวเห็นหัวดำ |
ลุดเตอร์แนนต์นายดวงทะลวงไล่ |
เข้าด้านใต้พังประตูลู่ถลำ |
นายเอื้อนลุดเตอร์แนนต์รบเข้าทบทำ |
ข้างทิศต่ำตะวันตกยกประดัง |
หลวงดัษกรกับเจ้าราชพิฆาตหนุน |
ยิงเป็นจุณวิ่งกระจายในค่ายขัง |
พลทหารราญโรมกระโจมพัง |
มิได้ยั้งรบรุมตะลุมบอน |
อ้ายฮ่อหอบครอบครัวมัวแต่หนี |
ออกวิ่งจี่หนีขึ้นเทินเนินสิงขร |
บ้างล้มกลิ้งนิ่งขวางอยู่กลางดอน |
ทหารฟอนฟันดับนับประเด็น |
ทั้งบ่าวนายตายกับที่ยี่สิบสาม |
ที่เลือดซามสาดไปซ่อนบ่ห่อนเห็น |
ทหารด้นค้นไล่ไปจนเย็น |
พบฮ่อเป็นป่วยนั่งกำบังกาย |
จะจับตัวมาถามเนื้อความฮ่อ |
ให้ได้ข้อจริงจังเหมือนดังหมาย |
มันกลับยิงตนมันให้อันตราย |
ดูแยบคายควรจะยอใจคอมัน |
ทหารเราเล่าก็ถือฝีมือจัด |
ตรงเข้าตัดเอาหัวอ้ายตัวกลั่น |
มิให้เสียทีที่ได้ตามไปทัน |
เป็นรางวัลมือมาเข้าหานาย |
แต่ครอบครัวตัวเมียฮ่อกับบุตร |
มันหนีผลุดผลุนพังออกหลังค่าย |
จับไว้หมดจดจำนวนถ้วนหญิงชาย |
นับจำหน่ายรวมสามสิบสองคน |
เครื่องอาวุธยุทธนาสารพัด |
มันช่างจัดพร้อมสรรพสำหรับปล้น |
ปืนแฮนรีมีใช้มิใช่จน |
ของนายพลฮ่อใช้ในสงคราม |
กระบือโคโภชาแลม้ามิ่ง |
มีทุกสิ่งสมบัติปล้นคนซำสาม |
ทั้งธงดำธำรงสู้สงคราม |
จารึกนามหนังสือย่อยี่ห้อตัว |
พอรวมรอมพร้อมจึ่งถามความเมียฮ่อ |
ที่ปาดคอนี้คนไหนได้เป็นผัว |
สาวจุ่งแจ้งแสดงนามด้วยความกลัว |
ว่าผัวตัวชื่อยี่เป็นที่รอง |
กวานหลวงใหญ่ไม่อยู่หารู้ไม่ |
แล้วร้องไห้รักผัวจนมัวหมอง |
ฟังไม่ชัดขัดในน้ำใจปอง |
ให้ป่าวร้องชาวชนาอย่าได้เกรง |
อ้ายกวานยี่ที่แกว่นสุดแสนชั่ว |
ได้ตัดหัวเสียบสมที่ข่มเหง |
เห็นฮ่อมาอย่าพรั่นคิดยั่นเกรง |
จงรีบเร่งรุมฆ่าให้สาใจ |
ให้ช่วยกันสรรเสาะสืบเบาะแส |
แม้นรู้แน่นอนว่ามันอาศัย |
เที่ยวซ่องสุมซุ่มพลตำบลใด |
มาบอกให้รู้จะจับสับประจาน |
ฟังชาวชนคนที่ทู้อยู่กับฮ่อ |
ถ้าเกรงข้อผิดให้มาไขขาน |
โทษที่ได้ไปประจบคบคนพาล |
แต่ก่อนกาลก็เป็นจะเว้นกัน |
แม้นปิดไว้ไม่ฟังดังกล่าวแจ้ง |
ใครมาแย้งยันสู้เป็นคู่ขัน |
ว่าคบฮ่อก่อเข็ญเป็นสำคัญ |
จะห้ำหั่นเหมือนฮ่อยี่คนนี้เจียว |
ชาวผู้ไทยได้ฟังลงนั่งกราบ |
เชิญช่วยปราบปรามทมิฬให้สิ้นเสี้ยว |
ข้าพเจ้าเฝ้าแต่ทุกข์ขนลุกเกรียว |
มิได้เที่ยวทำตั้วเหี่ยคิดเคลียคลอ |
ดูงันงกสะทกสะท้านสงสารนัก |
เห็นไม่รักไมตรีอั้งยี่ห้อ |
มาแจ้งเหตุเภทพาลที่ราญรอ |
ช่วยสืบส่อเสาะค้นพวกคนพาล |
ตั้งทัพยลกลรบสงบไว้ |
ยังบ้านใดดาพลพหลทหาร |
บำรุงรักษาเขตสืบเหตุการณ์ |
ออกตั้งด่านดักรายหลายตำบล |
ได้ข้าวฮ่อเลี้ยงทหารประมาณมาก |
ไม่อดอยากเหลือกินจนสิ้นฝน |
ค่ายหนึ่งอยู่บ้านนาปาตาท้าวพล |
แกรีบร้นบอกให้ไปขนเอา |
มันรู้ข่าวว่าค่ายบ้านใดแตก |
ก็ยกแยกหนีหน้าขึ้นป่าเขา |
ทิ้งแต่ค่ายเปล่าว่างกลางลำเนา |
เก็บได้ข้าวเปลือกสารประมาณมี |
ห้าสิบแปดเกวียนหมายปลายยี่สิบ |
ถังพอดิบดีประมวลได้ถ้วนถี่ |
ควรมิควรขออาชญาได้ปรานี |
ตามคดีโดยดลประจญทัพ ๚ะ |
๏ ฝ่ายข้างกองหลวงจำนงส่งหนังสือ |
ให้คนถือมาแถลงแจ้งสดับ |
ว่าพาพลดลเมืองจาดที่ลาดลับ |
ก็หยุดทัพตั้งสถิตด้วยอิดโรย |
ในแว่นแคว้นแดนเมืองจาดนี้ชาติม้อย |
อยู่ตามดอยเดินเนื่องถึงเมืองโสย |
เข้าทู้ฮ่อก่อเข็ญเป็นขโมย |
เที่ยวตีโบยบุกราษฎร์บังอาจทำ |
เมื่อทัพหน้ามาถึงนั่นวันพฤหัสบดิ์ |
เดือนหกจัดจดดิถีขึ้นสี่ค่ำ |
พวกม้อยรอตออาวุธยุทธกรรม |
รบกระหน่ำรับหน้าประดาพล |
อ้ายพวกม้อยน้อยมากยากจะรู้ |
ด้วยเป็นหมู่ป่าไม้กลางไพรสณฑ์ |
มันยิงปืนครื้นครึกฮึกผจญ |
จะเข้าปล้นกองทัพให้ยับเยิน |
นายเพ็ชร์สับลุดเตอร์แนนต์แกว่นอาวุธ |
เข้ายิงยุทธ์รบรุกกันฉุกเฉิน |
ทหารห้อมล้อมระดมพนมเนิน |
ม้อยตะเพิ่นแตกพ่ายทิ้งค่ายคู |
จึ่งสำนักพักทหารอยู่บ้านม้อย |
ตะวันคล้อยเคลื่อนย่ำค่ำรุบรู่ |
จะตามไล่ไปเล่าล้วนเขาคู |
จึ่งหยุดอยู่ท่ากองหลังด้วยยังไกล |
พอกองเจ้าราชวงศ์ตรงมาถึง |
นายเพชรจึ่งเล่าแจ้งแถลงไข |
ว่าม้อยรอต่อรับกองทัพไทย |
แล้วแตกไปแต่เวลาล่วงสายัณห์ |
เจ้าราชวงศ์ได้ฟังจึงสั่งว่า |
ให้กรีธาทัพไปในไพรสัณฑ์ |
จะมืดค่ำจำเป็นอย่าเว้นมัน |
แม้นตามทันฆ่าเล่นให้เป็นบอน |
ก็เดินพลด้นพาโยธาทัพ |
ถึงผาคับแคบทางหว่างสิงขร |
จุดคบเพลิงโพลงมาในป่าดอน |
อ้ายม้อยซ่อนซุ่มหาญเข้าราญรอ |
ระดมปืนครื้นครั่นมันก็แตก |
ออกหนีแยกยกไปต้านอยู่บ้านหอ |
กองทัพไล่ไปมันกลับเข้ารับรอ |
ต่างก็ต่อสู้กันยืนยันยิง |
เป็นสามครั้งตั้งรบไม่หลบแหลก |
อ้ายม้อยแตกตื่นอลวนวิ่ง |
ออกหนีหน้าเข้าป่าไปก็ไล่ยิง |
แต่ตายทิ้งอยู่กับที่นั้นสี่คน |
ก็ยกทัพกลับหลังประทังถอย |
มาค่ายม้อยมั่นทัพอยู่สับสน |
ด้วยมืดค่ำจำพักสำนักพล |
ทั้งสถลทางทั่วมัวมลทิน |
ครั้นรุ่งรางสร่างศรีสุริย์ใส |
ฝนตกใหญ่ท่วมธารละหานหิน |
หนาวสะท้านซ่านซ่าทั่วกายิน |
พวกโยธินไข้จับทับระทม |
ข้าวเสบียงในระหว่างทางก็ขัด |
ต้องหยุดจัดแจงระยะทอดสะสม |
แม้นพร้อมพรั่งตั้งทัพรับระดม |
ตีให้ล่มแหลกยับโดยฉับไว |
อันพวกม้อยที่มันทู้อยู่กับฮ่อ |
ทำการก่อศึกสู้เป็นหมู่ใหญ่ |
เพราะคบฮ่อยอตัวไม่กลัวใคร |
มันตั้งใจจะคิดปราบให้ราบเตียน |
ม้อยนี้หมายฝ่ายอานำเขาร่ำเรียก |
ลาวสำเหนียกนึกจำนรรจ์จึงหันเหียน |
เห็นใช้ผ้าย้อมฝาดทั้งคาดเคียน |
จึงเรียกเพี้ยนแผกไปผู้ไทยแดง |
คนพวกนี้มีอนันต์หัวพันห้า |
เคยอยู่มาก่อนเก่าเล่าแถลง |
ครั้นคบฮ่อต่อเติบกำเริบแรง |
บ้างก็แปลงปลอมตัวไว้หัวเปีย |
หัวเหมือนฮ่อฮ้อไม่เป็นเล่นข้าวเหนียว |
จนพุงเขียวขึ้นป่องเป็นท้องเหี้ย |
เมื่อตั้งทัพกลับรอมาคลอเคลีย |
ได้พูดเกลี้ยกล่อมให้กลับใจคืน |
ก็มิฟังยังดื้อนับถือฮ่อ |
เที่ยวปล้นต่อตีตัดทำขัดขืน |
จะทิ้งไว้ให้ตั้งอยู่ยั่งยืน |
ก็จะฟื้นฝอยยุ่งเกิดรุงรัง |
จึ่งได้จับจำจองไว้นองแน่น |
อยู่เมืองแวนมากมายในค่ายขัง |
รวมแปดสิบริบสิ้นในถิ่นรัง |
มิให้ตั้งอยู่ได้ในเมืองแวน |
พอจบบอกแม่ทัพใหญ่สั่งให้หา |
เจ้าเวียงสากับลาวพวกห้าวแสน |
ให้ไปรับม้อยหมู่อย่าดูแคลน |
ถ้ามันแล่นหนีแล้วล้างให้วางวาย |
เจ้าเวียงสาลาไปไม่วิตก |
กับไพร่หกสิบด้วยกันก็ผันผาย |
คุมครัวม้อยมาเมืองซ่อนต้อนระบาย |
ใช้จับจ่ายลากถูที่ดูแคลน ๚ะ |
๏ แล้วกองทัพทางบ้านใดมาให้ข่าว |
ว่าฮ่อก้าวสกัดศึกทำฮึกแหน |
รวมกำลังตั้งรายอยู่ชายแดน |
อเนกแน่นซ่องสุมประชุมพล |
จะตีคีนเอาค่ายให้หายแค้น |
คิดทดแทนที่ได้ตีมันปี้ป่น |
อีกสามวันมันจะพามาประจญ |
ตีตำบลชายป่าบ้านนายม |
ข้าพเจ้าจัดทัพไปรับพักตร์ |
ตั้งด่านดักตีจับคอยทับถม |
เป็นหลายวันมันไม่มาทางนายม |
จึงระดมทัพเดินเนินพนานต์ |
ถึงห้วยแหลกเห็นน้ำในลำห้วย |
หยุดระหวยหิวหากระยาหาร |
มิทันจะเสร็จสรรพรับประทาน |
อ้ายฮ่อหาญยกโหมเข้าโจมตี |
ยิงประดังลูกประดาดังห่าฝน |
ต้องถอยร่นแอบรายชายพฤกษี |
เร่งแตรเป่าเร้าทหารเข้าต้านตี |
ต่างก็กรีกรูลั่นประชันรบ |
เสียงครึกครื้นปืนลั่นสนั่นก้อง |
สะเทื้อนห้องหิมวันต์ควันตลบ |
อ้ายฮ่อแตกแยกขึ้นเขาไม่เข้ารบ |
ทำทวนทบทีจะลัดสกัดกัน |
เห็นได้ท่ารารุกเข้าบุกไล่ |
ขึ้นบนไหล่เขายิงวิ่งถลัน |
อ้ายฮ่อหวนจวนตัวกลัวจะทัน |
แข็งใจลั่นปืนล่อพอให้เกรง |
เหมือนไก่ดีดกรีดกรายขยายห่าง |
มองหาทางที่จะเผ่นทำเต้นเหย็ง |
ทหารซํ้าร่ำปืนเสียงครื้นเครง |
เข้ารบเร่งราวีตีตะลุม |
อ้ายฮ่อหวนป่วนป่นก็ย่นแยก |
ออกวิ่งแตกปลีกตัวไม่มั่วสุม |
ต่างซ้อนซบหลบเข้าในไพรสุมทุม |
ทหารทุ่มเทไล่ไปจนลิบ |
พวกฮ่อตายรายลำดับนับแต่ศพ |
พอได้ครบแปดถ้วนล้วนผีดิบ |
ที่เลือดสาดดาษไศลตัวไปลิบ |
สุดจะหยิบยกจำคำประมวล |
หหารรบรอนราญในการนี้ |
รวมได้ยี่สิบห้านายทั้งไพร่ถ้วน |
หัวหน้าศึกฮึกสู้รู้กระบวน |
บอกจำนวนนามใส่ในบาญชี |
ลุดเตอร์แนนต์นายดวงขอควงสร้อย |
กับนายพลอยสับรองเป็นสองศรี |
กับพระเจริญกรมการที่ต้านตี |
จนฮ่อหนีย่นแยกแตกทลาย |
ครั้นเลิกรบสงบทัพระงับราษฎร์ |
ที่ระบาดบุกเข้าป่าพากันผาย |
ให้มาอยู่สู่สถานสำราญกาย |
จบจดหมายเดือนปีมีณวัน ๚ะ |
๏ ฝ่ายคณาประชาชนที่จนยาก |
อุตส่าห์บากบุกป่าพนาสัณฑ์ |
มาหาท่านแม่ทัพใหญ่ได้รำพัน |
ด้วยการกันดารกินเป็นสิ้นแกน |
ขุดหัวเบาเอามาล้างใช้ต่างข้าว |
กับเกลือเคล้าคลุกกลืนสุดขืนแค่น |
เพราะฮ่อกวนป่วนหนีทิ้งที่แดน |
เที่ยวหลีกแล่นหลบตัวด้วยกลัวภัย |
ท่านแม่ทัพสดับฟังสั่งให้เลี้ยง |
ข้าวเสบียงมีปันจัดสรรให้ |
พอเจือจุนหนุนจนทุกคนไป |
ด้วยยากไร้แรมหอบพาครอบครัว |
ทํ้งผ้าเสื้อเหลือขัดวิบัติทุกข์ |
ดูเต็มรุกรุยรังทั้งเมียผัว |
รวมแก่เฒ่าได้เก้าสิบห้าครัว |
นับเรียงตัวใหญ่น้อยห้าร้อยปลาย |
กับหนึ่งคนยลเหตุสมเพชนัก |
แม่ทัพทักถามนุสนธิ์คนทั้งหลาย |
เดิมอยู่ไหนจึงได้พลัดกระจัดกระจาย |
อยากรู้รายฮ่อตีกี่ตำบล ๚ะ |
๏ หัวหน้านำร่ำแจ้งแถลงเล่า |
ข้าพเจ้าเพี้ยหัวพันต้องดั้นด้น |
หนีฮ่อพาลลานหลบเที่ยวซบซน |
เดิมตำบลบ้านอาศัยในเมืองพูน |
คนหนึ่งร่ำพร่ำไห้อาลัยโหย |
จากเมืองโสยแสนสวาทไม่ขาดสูญ |
ทิ้งเรือนบ้านสถานมาก็อาดูร |
แล้วยังสูญเสียชีวันบุตรภรรยา |
อ้ายฮ่อปล้นป่นไปในคราวนี้ |
ไม่เห็นที่พึ่งทุกข์ให้สุขา |
ขอพึ่งบุญเจ้าคุณคิดเหมือนบิดา |
ช่วยโปรดฆ่าฮ่อให้บรรลัยลาญ |
หญิงเมืองแอดออกวาจาว่าขอรับ |
อ้ายฮ่อจับผัวมัดประหัตประหาร |
ส่วนเมียนั้นมันเอาไว้ใช้งานการ |
ทิวาวารถูกเวรเป็นเดนแดน ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพสดับถ้อยให้สร้อยเศร้า |
สงสารเหล่าราษฎรเดือดแสน |
น้อยหรือฮ่อต่อหาญเข้าดานแดน |
ช่างเต็มแกนกากจนปล้นอะไร |
แล้วท่านแจกเงินรางวัลปันเฉลี่ย |
สี่รูเปียถ้วนทั่วทุกครัวให้ |
เป็นกำลังพอประทังฤทัยไป |
จึงสั่งให้ควบคุมประชุมกัน |
อยู่ในเขตซ่อนบุรีที่อาศัย |
ตั้งทำไร่นาอยู่เป็นหมู่มั่น |
ทั้งจอบเสียมมีดพร้าสารพัน |
ท่านจัดสรรส่งให้ทำไร่นา |
กับโคที่มีไปในกองทัพ |
ให้พร้อมสรรพสมมาดปรารถนา |
แล้วมีหนังสือส่งบอกลงมา |
ยังเสนาหอสนามตามกระทรวง |
ให้นำทูลมูลเหตุประเทศท้าว |
พระร่มขาวเจ้ามาลาพาราหลวง |
เป็นรายงานการทำนุกทุกกระทรวง |
ที่ลุล่วงแล้วไปดังใจจง |
กับคนครัวที่อาศัยในเมืองซ่อน |
ได้ดับร้อนดังอารมณ์สมประสงค์ |
ให้ตั้งทำนาไร่โดยใจจง |
แต่ยังคงขาดกำลังที่ตั้งทำ |
แม้นโปรดสัตว์จัดซื้อกระบือให้ |
เหมือนดังได้ช่วยชุบอุปถัมภ์ |
คนไร้ถิ่นสิ้นแกนแสนระกำ |
เป็นการคํ้าจุนเจือเมื่อกันดาร ๚ะ |
๏ สงบทัพรับรอข้อประสงค์ |
พอหลวงจำนงค์ให้คนถือหนังสือสาร |
ว่าทิ้งค่ายเมืองจาดล่ออ้ายฮ่อพาล |
คิดทำการกลลวงดูท่วงที |
วางลูกแตกแยกรายในค่ายนั้น |
เป็นชั้นชั้นช่องแฝงทุกแห่งที่ |
เชือกผูกแก๊ปแนบชิดสนิทดี |
ดูท่วงทีแยบคายเป็นสายยนต์ |
เฉพาะทางวางทีที่ตรงหมาย |
กระเทือนสายเชือกถูกก็ลูกหล่น |
เหมือนดักสัตว์จัดทำหลายตำบล |
แล้วให้คนลัดลอดคอยสอดดู ๚ะ |
๏ ฝ่ายอ้ายฮ่อรอซุ่มในพุ่มพฤกษ์ |
ไม่ออกฮึกหาญเร้นเหมือนเช่นหนู |
เห็นวิฬาร์มาถึงที่วิ่งหนีพรู |
ไม่คิดสู้น่ากลัวตัวบรรลัย |
ครั้นทิ้งค่ายไปเจ็ดวันมันจึงแจ้ง |
มาตำแหน่งค่ายเก่าเข้าอาศัย |
สักห้าสิบฮ่อม้าม้อยพลอยเข้าไป |
ถูกสายใยที่ประตูไม่รู้กล |
ผลักประตูลู่ลากกระชากแก๊ป |
ดังฟ้าแลบหล่นผางลงกลางหน |
แตกเอาตายวายชีวาลงห้าคน |
บ้างลูกป่นเจ็บป่วยแทบม้วยมรณ์ |
ก็ทิ้งค่ายย้ายแยกตื่นแตกหนี |
เข้าไพรศรีอาศัยในสิงขร |
ฒลูกแตกแปลกตาที่ทาปรอน |
ใส่หาบคอนหิ้วไปใจคะนึง |
คนที่รอดสอดดูอยากรู้แจ้ง |
ค่อยแอบแฝงดั้นด้นไปจนถึง |
ค่ายเมืองพูนพบฮ่ออยู่อออึง |
แล้วมันจึ่งจับลูกปืนมาชื่นชม |
สุกเหมือนคำคลำป้อยไม่ปล่อยปละ |
โดยจะกละกล่อมจิตสนิทสนม |
แย่งกันดูกรูตรึกนึกนิยม |
อิ่มอารมณ์รำพึงตะลึงลาน |
เห็นขั้วห่วงควงหิ้วเอานิ้วฉุด |
มันไม่หลุดลุกพวยไปฉวยขวาน |
มาต่อยตอกออกดังกังสดาล |
พอถึงกาลก็ลูกหัวขั้วชนวน |
แตกดังตึงปึงลั่นสนั่นก้อง |
ตายอีกสองศพซํ้าลงคลำป้วน |
ที่ถูกน้อยถอยเทต่างเรรวน |
ออกเที่ยวป้วนปั่นแยกตื่นแตกไป |
ไม่รอราฝ่าฝืนลูกปืนดัก |
ทิ้งค่ายพักเที่ยวตะเพิ่นเดินไศล |
ไปรวมพรรคพวกพ้องสิบสองจุไทย |
ตำแหน่งในท่าขวารักษากาย |
บ้างอาศัยอยู่ในเถื่อนเที่ยวเกลื่อนกลาด |
ไม่สิ้นชาติช่างเกิดละเมิดหมาย |
จะขืนอยู่จู่ปล้นสู้ทนตาย |
เที่ยวเรี่ยรายระรานบ้านตำบล |
กับพวกม้อยหมู่ผู้ไทยในเมืองโสย |
นับได้โดยจริงแจ้งแสดงผล |
รวมสามสิบบ่าวนายกับไพร่พล |
ยังตีปล้นบ้านรายตามชายเมือง |
ทิ้งไว้นานการจะเติบกำเริบร้าว |
เที่ยวแฉ่ฉาวชักฮ่อมาต่อเรื่อง |
จะเกิดเข็ญเป็นนิรันดร์อนันต์เนือง |
ให้เป็นเครื่องร้อนร้าวพวกชาวดง |
ได้แต่งกองทหารให้ไปราญรบ |
ตีตลบล้างไล่มิให้หลง |
ลุดเตอร์แนนต์นายแขกหาญราญณรงค์ |
เป็นตัวยงยกพหลดลประดา |
ร้อยเจ็ดสิบพลไพร่ทั้งนายเสร็จ |
ในเดือนเจ็ดดั้นเดินเนินพฤกษา |
จากเมืองแวนแรมวันอรัญวา |
สามเวลาเร่งรุดไม่หยุดโรย |
อาทิตย์แรมสี่ค่ำได้จำจด |
วันกำหนดยกเนื่องเข้าเมืองโสย |
เห็นค่ายฮ่อรอตั้งประดังโดย |
เร่งตีโบยบุกบั่นกระชั้นยิง |
พวกฮ่อหาญต้านต่อออกรอรับ |
ถูกปืนยับยิงล้มลงจมกลิ้ง |
บ้างวิ่งแหวกแตกตื่นกลัวปืนยิง |
ทหารวิ่งล้อมไล่จับไว้ทัน |
ได้สี่คนจนจริงนิ่งให้มัด |
ก็ผูกรัดรวมรบสงบมั่น |
เป่าแตรร้องเรียกทหารชาญฉกรรจ์ |
มาพร้อมกันถ้วนหน้ารวมอาวุธ |
ด้วยพระเดชกฤษฎาอานุภาพ |
คุ้มพลราบรอญรับสัประยุทธ์ |
ตะลุมไล่ไพรีแตกหนีรุด |
ดังเพลิงจุดโจรสิ้นในดินแดน |
พลทหารปานเสือเห็นเนื้อฮ่อ |
เข้าหักคอพิฆาตศึกล้วนฮึกแหน |
แม้นขืนอยู่สู้ยิงเข้าชิงแดน |
เหมือนเป้าแขวนยืนขวางหนทางปืน |
มิได้รอดลอดลับกลับไปค่าย |
คงวอดวายชีวาไม่ฝ่าฝืน |
ไหนจะเหลือเหมือนเอาเนื้อมาสู้ปืน |
ไม่ยั่งยืนยิงทลายล้มตายยับ |
คราวนี้ตายหลายศพครบสิบห้า |
ที่หลบล่าแตกไปไม่ได้ศัพท์ |
จะตายเป็นเร้นหนีไปลี้ลับ |
สุดจะนับคาดคะเนสิ้นเวลา |
ต้องตั้งค่ายคอยฟังกำลังศึก |
เกลือกจะฮึกโมโหคิดโทษา |
กลับรอนราญพาลปล้นสนธยา |
รายรักษาอยู่จนแจ้งแสงตะวัน |
ก็ยกตามข้ามธารละหานหิน |
ลุยวารินร่ำไปทางไพรสัณฑ์ |
ถึงเมืองพูนแลเผินเนินอรัญ |
กลบควันเพลิงพลุ่งรุ่งจรูญ |
ได้ความว่าฮ่อไปเอาไฟเผา |
ทิ้งเรือนเหย้ายกพ่ายไปหายสูญ |
หมดทั้งพวกพาลพงศ์วงศ์ตระกูล |
ทิ้งเมืองพูนหนีพ้นตำบลไป |
ต้องตั้งมั่นตันมืดสืบพืชพวก |
เหมือนหูหนวกเนตรบอดไม่สอดใส |
จนถึงเดือนแปดจึ่งแจ้งที่แคลงใจ |
กายตงในอานำถือหนังสือมา |
เป็นความญวนล้วนตัวยิเขาติอิน |
แจ้งระบิลบอกนามตามภาษา |
แปลเป็นความสยามแจ้งแห่งกิจจา |
ขออาญาทัพไทยได้ผดุง |
พวกข้าเจ้าเหล่านี้บุรีน้อย |
อ้ายฮ่อม้อยมันไปทำใหญ่ยุ่ง |
เที่ยวตีปล้นคนญวนกวนกันนุง |
คือเมืองพุงพ้องจะรออยู่รอริม |
ข้าเจ้ามาทิศาหมายข้างฝ่ายออก |
เมืองนอกนอกนับเนื่องอีกเมืองสิม |
ทั้งเมืองเคียดเมืองคังตั้งริมริม |
ฮ่อเที่ยวชิมชิงค้นปล้นประดัง |
ขอเชิญกองทัพไทยไประงับ |
เข้าตีจับโจรระดมให้สมหวัง |
การเสบียงเลี้ยงพหลพลกำลัง |
จะจัดตั้งแต่งรับกองทัพไทย |
ได้ทราบกิจแล้วจึงคิดคดีตอบ |
โดยระบอบแบบสาราที่ปราศรัย |
ใจความว่าพวกอานำมีน้ำใจ |
จะให้ไปปราบปรามโดยความตรง |
เป็นฤดูฝนชุกจะบุกป่า |
ไปปราบข้าศึกตามความประสงค์ |
เห็นขัดขวางทางไปที่ในดง |
ขอดำรงทัพตั้งอยู่รั้งรอ |
พอตกแล้งแห้งแล้วจะแคล้วคลาด |
จะเดินลาดตระเวนทัพเที่ยวจับฮ่อ |
ทุกบ่อนเบาะเสาะเสี้ยนให้เตียนตอ |
กำหนดพอวันออกจะบอกการ |
ครั้นแต่งเสร็จส่งหนังสือผู้ถือกลับ |
ก็ตั้งทัพหยุดสู้อยู่ไพรสาณฑ์ |
จับพวกที่ทู้ฮ่อคิดรอราญ |
ซึ่งทำการกำเริบจิตไม่คิดกลัว |
หลวงจำนงค์ส่งเนื่องมาเมืองซ่อน |
เที่ยวกวาดต้อนทุกตำบลพวกคนชั่ว |
จะทิ้งไว้ให้อยู่เป็นหมู่ครัว |
เกรงจะพัวพันไปเป็นไส้โจร |
จึงจับขังสั่งสอนให้อ่อนจิต |
จนไม่คิดองอาจทำผาดโผน |
เห็นน้ำจิตคิดจะไม่ไปเป็นโจร |
ค่อยปลอบโยนอยู่ทุกวันรำพันแจง ๚ะ |
๏ได้ทราบเสร็จเผด็จศึกนึกกระสัน |
ตั้งทัพมั่นมองศึกที่ศึกแข็ง |
พอฝนชุกชุ่มป่าท้องฟ้าแดง |
เย็นแสยงเสียวสยองในห้องไพร |
ฟังครึกครื้นพื้นอรัญแทบลั่นเลื่อน |
ฟ้าสะเทื้อนท้องพนมแทบล่มไหล |
เสียงขรึมครึมครวญรัญจวนใจ |
พายุใหญ่โยกยุคุนพิรุณนอง |
เสียงซู่ซ่าชลาไหลลงในห้วย |
ทุกโกรกกรวยยกรับฟังนั่งสยอง |
ให้หนาวเหน็บเจ็บสกนธ์ชักขนพอง |
บ้างนอนร้องครางละเมอเพ้ออาเจียน |
ทอดระทมล้มวินาศน่าหวาดไหว |
พอสร่างไข้เร้ารวดให้ปวดเศียร |
พิษไข้ป่าซ่าสิงดูวิงเวียน |
แม้นไข้เปลี่ยนแปลกชนิดเป็นบิดไป |
ทั้งกองทัพจับไข้ให้อนาถ |
ด้วยอำนาจไข้จับเหมือนหลับไหล |
ที่ถือผีถี่มนต์ปนกันไป |
บ้างถีอในธาตุกสิณไม่สิ้นดี |
ว่าน้ำใหม่ไหลมัวใครกลั้วกล้ำ |
แล้วก็ทำธาตุวิบัติปัถวี |
ให้เสียดจุกทุกข์ระทมตรมทวี |
ว่ายาดีได้มาท่านการุญ |
น้ำจะกินดินข้างใต้เอาใช้แช่ |
เป็นยาแก้ธาตุพิรุธช่วยอุดหนุน |
เขาแนะนำรำพันอนันต์คุณ |
ดูออกวุ่นวายดื้อถือตำรา |
บางคนได้คัมภีร์มาเป็นยาเกล็ด |
จดปะเก็ดบุกสำหรับรับรักษา |
ใส่เครื่องเทศพริกไทยใบมัดกา |
รากไผ่ป่าสับป่นเข้าปนกัน |
ก็กินไปไม่หายหลายขนาน |
บ้างถึงกาลกิริยาก็อาสัญ |
ยากองทัพกลับว่าสารพัน |
ตำราดันดื้อเล่าเอาเป็นครู |
ว่ายาควินินกินแก้ไข้แล้วไม่ฟื้น |
ด้วยความตื่นกลับตายอายอดสู |
ท่านแม่ทัพบังคับสั่งคอยนั่งดู |
แกล้งข่มขู่ขืนใจเอาให้กิน |
บางคนกลัวกลั้วกลืนก็ฟื้นไข้ |
บางคนไม่กลืนอมถ่มเสียสิ้น |
ท่านต้องนั่งตั้งใจเอาให้กิน |
เป็นอาจิณจนหายขึ้นหลายคน |
ได้กินยาพากันฟื้นค่อยชื่นชุ่ม |
นั่งชุมนุมแนะนิเทศจำเหตุผล |
สรรพคุณยาควินินกินทุกคน |
รักษาตนรอดตายสบายบาน |
คนที่ดื้อถือบ้าว่ายาพิษ |
สิ้นชีวิตวายยับดับสังขาร |
ที่ยังอยู่รู้แก้แปรสันดาน |
ด้วยเต็มฌานสู้ขืนกล้ำกลืนกิน |
ไข้ก็ฟื้นชื่นหน้าทั้งตาทัพ |
ต่างก็นับถือมั่นไม่ผันผิน |
เห็นประสิทธิ์ฤทธายาควินิน |
เก็บไว้กินสู้ไข้มิได้เกรง |
ตั้งรับฝนทนอยู่สู้กับไข้ |
ยาที่ใช้หมดมอดทอดเขนง |
ไข้มันร่ำทำร้ายเอาหลายเพลง |
ลงนอนเท้งทอดกายเห็นตายจริง ๚ะ |
๏ ท่านแม่ทัพทอดระทมอารมณ์ร้อน |
ดังต้องศรเสียบขึงคะนึงนิ่ง |
คิดขัดใจพระพิไชยชุมพลจริง |
ยาทุกสิ่งสั่งส่งให้จงเร็ว |
แต่เตือนไปในสาราห้าฉบับ |
ไม่ตอบรับว่ากระไรทำไหลเหลว |
ฤๅปล่อยช้างโคต่างทิ้งทำสิ่งเลว |
อมเอาเปลวเพลิงไว้ที่ในทรวง |
จึ่งร่างบอกนามตามรับสั่ง |
ซึ่งโปรดตั้งยศรับแม่ทัพหลวง |
พร้อมนายทัพกำกับการงานทั้งปวง |
บอกกระทรวงส่งขาดมหาดไทย |
ให้ออกพันทนายเวรผู้เจนจัด |
นำรหัสเหตุแจ้งแถลงไข |
กราบเรียนต่อท่านมหาศาลาใน |
ดังที่ได้เร่งร้นให้ขนยา |
ไม่ตอบต่อข้อคำแกล้งทำแฉะ |
ได้แค่นแคะเตือนตักเป็นนักหนา |
ควรมิควรขอพระคุณกรุณา |
ได้โปรดยาควินินส่งเหมือนจงใจ |
พอเสร็จสรรพพับใส่ซองไม้สาน |
จัดกรมการเกณฑ์ส่งอย่าหลงใหล |
ถ้าแม้นช้าเวลาจรไม่ร้อนใจ |
จะจับใส่คาเฆี่ยนให้เจียนตาย |
ผู้ถือหนังสือลารีบคลาคลาด |
ก็เร่งมาดมุ่งไปเหมือนใจหมาย |
กองทัพค้างระหว่างไข้ไม่สบาย |
ทั้งไพร่นายนอนระทมตรมฤดี ๚ะ |
๏ เวลานั้นทราบว่าองบาฮ่อ |
มันยกยอตั้งตัวเป็นตั้วยี่ |
อยู่ท่าขวาแขวงจุไทยน้ำใจดี |
ไม่ต่อตีการยุทธตั้งขุดทอง |
ถ้าจะเกี้ยวเกี่ยวไว้เป็นใยเยื่อ |
อย่าให้เจือฮ่อร้ายเป็นฝ่ายสอง |
เขียนความตามคิดในจิตปอง |
โดยทำนองปลอบขู่กระทู้ความ |
แล้วให้พระสวาอาสาถือ |
นำหนังสือไปเป็นเหมือนเช่นล่าม |
ได้แต้มต่อข้อกระทู้ดูให้งาม |
เขารับตามบัญชาแล้วลาเดิน ๚ะ |
๏ พอแม่ทัพได้รับสารด้านเมืองแอด |
ว่าฮ่อแผดอำนาจลุกเกิดฉุกเฉิน |
ธงดำนำทัพนับประเมิน |
สองร้อยเกินเกณฑ์กันเนื่องอยู่เมืองฮุง |
จะมาตีค่ายใหญ่ในเมืองแอด |
คิดจะแวดล้อมรบสมทบยุ่ง |
ชาวบ้านกลัวฮ่อพาลละลานลุง |
ยกครัวมุ่งมาอาศัยอยู่ค่ายรบ |
พอวันศุกร์เดือนเจ็ดแรมเก้าค่ำ |
ฮ่อธงดำเดินพลผจญจบ |
บ้านเรือนรายชายอรัญแม้นมันพบ |
ไม่อพยพยิงทลายล้มตายยับ |
หลวงดัษกรร้อนใจดังไฟจุด |
ก็เร่งรุดพลขันธ์ประจันจับ |
คนก็ไข้ไปมิทันมันสำทับ |
พวกด่านรับรบหน้าประดาพล |
ออกยิงฮ่อรอหน้ามันร่ารบ |
ไม่แหลกหลบตะลุมตีกันปี้ป่น |
มันโรมรุกบุกไล่เร่งไพร่พล |
พวกด่านร่นรายถอยด้วยน้อยตัว |
อ้ายฮ่อโถมโหมฮึกสะอึกไล่ |
หญ้ารำไรรกเร้นพอเห็นหัว |
เสียงปืนลั่นควันฝ้านัยน์ตามัว |
จนใกล้ตัวต่างยืนปืนประชัน |
พอนายเอื้อนลุดเตอร์แนนต์แล่นตลบ |
เข้าช่วยรบรับสู้เป็นคู่ขัน |
ยิงกันแหลกแตกตายวายชีวัน |
เสียงสนั่นแนวอรัญริมบรรพต |
อ้ายฮ่อฮึกศึกโหมกระโจมจ้วง |
ในห้วยก๊วงก้องคลุ้มกลุ้มไปหมด |
ฝ่ายมันมากฟากเราน้อยต้องถอยทด |
มันขยดยิงรุกมาทุกที |
ปืนมาต้องตนตายตัวนายด่าน |
คือกรมการเมืองพิชัยได้รับที่ |
พระเจริญจัตุรงค์ยงยุทธดี |
จึ่งได้มีชื่อชำนาญราญณรงค์ |
เล็บเอื้อนเห็นพวกฮ่อมาต่อหาญ |
กำเริบร่านรกมาในไพรระหง |
ก็แยกทบหลบทางเข้ากลางดง |
จะตัดตรงมาบ้านใดเร่งไพร่พล |
ทหารมีมาหกนายรีบผายผัน |
ฮ่อถลันไล่ทัพยิงสับสน |
เสียทหารไปกับที่นั้นสี่คน |
ตัวนายพลถูกขาเข้าป่าบัง |
แอบเร้นรกหมกมุ่นหนอ้ายฮ่อ |
มันวิ่งสอหมั่นไส้พอให้หลัง |
ริวอลเว่อมีไปก็ใส่ปัง |
ยิงหมดทั้งสี่นัดไม่พลัดแพลง |
ถูกฮ่อนายตายดิ้นลงสิ้นสาม |
ฮ่อบ่าวตามตัวพบที่หลบแฝง |
ด้วยขาเพลียเสียร่างอยู่กลางแปลง |
อ้ายฮ่อแรงอีกร่านมาบ้านใด |
แต่ไม่เข้าตีค่ายแอบรายเร้น |
สักสองเส้นซุ่มหน้ามาหาใกล้ |
แอบยิงเย้าเร้ารายอยู่ชายไพร |
เห็นไวไววิ่งกลอกไม่ออกรบ |
ยิงประปรายรายมาระดาดาษ |
กระสุนสาดเสียงลั่นควันตลบ |
ต้องยิงรับรั้งไว้ให้กระทบ |
ด้วยคนรบไข้อรัญนอนสั่นฮือ |
อายฮ่อรายค่ายล้อมอยู่พร้อมหน้า |
พอพระสวาที่ได้ให้หนังสือ |
ไปท่าขวาหาเจ๊สัวที่ตัวฦๅ |
ซึ่งมีชื่อชี้บ่งว่าองค์บา |
มาถึงค่ายบ้านใดเห็นฮ่อล้อม |
ค่อยเดินด้อมแอบซุ่มพุ่มพฤกษา |
มีไพร่ตามสามสิบคนดั้นด้นมา |
เข้าถึงหน้าค่ายใหญ่ก็รายรบ |
ยิงประดังตั้งต่อฮ่อจึ่งห่าง |
ค่อยวายว่างฮ่อศึกฮึกสงบ |
พระสวานั้นให้อยู่ช่วยสู้รบ |
แต่งคนหลบลอบถือหนังสือจร |
เมื่อฮ่อแตกห่างตัวส่งครัวฮ่อ |
ทั้งเหล่ากอเก็บเนื่องมาเมืองซ่อน |
ท่านแม่ทัพสดับแจ้งแห่งสุนทร |
ก็รีบร้อนจัดทัพไปรับการ |
เลือกคนที่ไข้น้อยสองร้อยรับ |
ตัวนายทัพนั้นจัดหลวงหัตถสาร |
กับปืนใหญ่ใช้ลูกแตกให้แหลกลาญ |
ยกไปต้านตีฮ่ออย่ารอรา ๚ะ |
๏ แล้วทำหนังสือให้คนไปส่ง |
เจ้าราชวงศ์จัดเมืองแวนให้แน่นหนา |
แล้วยกกลับมาบ้านใดไล่ประดา |
เข้าตีฝ่าฟันทลายให้วายปราณ |
ทั้งสองทัพไปสองวันไม่ทันถึง |
ฮ่อทะลึ่งล้อมค่ายด้วยใจหาญ |
ทั้งหอรบตบมือร้องก้องกังวาน |
ห่างประมาณสองเส้นแลเห็นกัน |
มันแอบรบหลบอยู่ไม่สู้หน้า |
ยิงปืนมาปราดเปรี้ยงเสียงสนั่น |
ต้องเตรียมคนไข้ไว้รับมัน |
ถึงเจ็ดวันเรียนเร้าไม่เข้ามา ๚ะ |
๏ ฝ่ายผู้ถือหนังสือไปในพนัส |
โดยรีบรัดเร่งตะบึงถึงท่าขวา |
ก็แจ้งความตามประสงค์แก่องค์บา |
ส่งสาราเรื่องรสพจมาน |
หนังสือห่อยี่ห้อแจ้งแห่งจารึก |
เปิดผนึกอ่านเสนาะไพเราะสาร |
มีนามบ่งถึงองค์บารักษาการ |
ซึ่งอยู่ด่านท่าขวาด้วยอาลัย |
มีข่าวลือชื่อกระฉ่อนขจรจบ |
ว่าสมคบซุ่มคนปล้นอาศัย |
เลี้ยงฮ่อพาลหาญลำพองคะนองใจ |
เป็นซ่องใหญ่ซุ่มอยู่ดูระคาย |
ปล่อยให้ปล้นพลเมืองออกเฟื่องฟุ้ง |
ตื่นสะดุ้งเต็มประดาพวกค้าขาย |
หลบเข้าเถื่อนบ้านเรือนทิ้งทั้งหญิงชาย |
ล้วนข่าวร้ายคำรื้อชื่อองค์บา |
เราแม่ทัพสดับฟังยังสงสัย |
จึ่งแคะไค้สืบข่าวที่กล่าวหา |
ถามกายตงที่แต่งตำแหน่งมา |
เป็นพระสวาหวังคำร่ำแสดง |
เขาแจ้งเหตุเภทฮ่อที่ก่อตั้ง |
เป็นผู้รั้งเคยรู้อยู่เมืองแถง |
ได้ชี้แจงแจ้งกระจ่างไม่คลางแคลง |
ทุกตำแหน่งฮ่อสำนักประจักษ์ความ |
ว่าองค์บาอาศัยในจังหวัด |
อมรรัตน์รมเยศเขตสยาม |
มิได้ก่อข้อกวนให้ลวนลาม |
รักษาความสุจริตเป็นนิตย์เนาว์ |
แต่ฮ่อโจรโลนลุกทำอุกอาจ |
ถืออำนาจองค์บาหมายเป็นนายเถา |
ไปมั่วสุมซุ่มอาศัยในลำเนา |
แล้วก็เข้าตีค้นปล้นสะดม ๚ะ |
๏ บัดนี้เรารับอาสาฝ่าพระบาท |
นรินทร์ราชวรฤทธิ์ประสิทธิ์สม |
ปราบฮ่อศึกฮึกอาศัยในนิคม |
ให้ล่มจมสิ้นโจรทั้งโดนแดน |
ครั้นทราบว่าองค์บาได้อาศัยสุข |
ไม่บุกรุกราราญสงสารแสน |
จะรบร้าฆ่าตีให้บี้แบน |
ก็นึกแน่นในจิตคิดเมตตา |
แม้นรักชื่อถือสัตย์สันทัดเที่ยง |
อย่าได้เลี้ยงฮ่อโลนพวกโจรป่า |
ให้เลื่องชื่อลือเช่นเป็นตำรา |
ดังหมึกทาทั่วสกนธ์มัวมลทิน |
คำนับเราเข้าหาสามิภักดิ์ |
ต่อองค์อัครอิศโรกรุงโกสินทร์ |
พึ่งพระเดชเขตจังหวัดปัถพิน |
อาศัยถิ่นสถานสุขทุกนิรันดร์ |
แม้นขัดขืนฝืนฝ่าทำช้าอยู่ |
เราจะจู่โจมทัพเขาขับขัน |
ไปล้างไล่ไสส่งพวกพงศ์พันธุ์ |
ในขอบคันมิให้คงดำรงครอง ๚ะ |
๏ องค์บาแจ้งแปลงหนังสือให้สื่อสาร |
จึ่งแต่งกวานเล่าแย้ฮ่อเป็นคอสอง |
มาสมัครภักดีไมตรีตรอง |
มิได้ข้องขัดการมาบ้านใด |
แรมสี่ค่ำพฤหัสบดิ์อัฐมาส |
กำลังฆาตคอยศึกนึกสงสัย |
เห็นเล่าแย้เดินเหย่าไม่เข้าใจ |
คิดว่าไส้ศึกสวนทำทวนทบ |
ทหารยามลุกยืนยกปืนจ้อง |
เล่าแย้ร้องไอ๊ย่าถลาหลบ |
ชักหนังสือถือชูไม่สู้รบ |
จะขอนบนอบคำนับแม่ทัพเธอ |
ได้ทราบคำนำมาโดยสามารถ |
ถึงเจ้าราชภาคิไนยให้เสนอ |
จึ่งเอ่ยอ่านสารศรีที่บำเรอ |
ฟังออกเพ้อพูดทางพวกกวางไซ |
พระสวามาดูจึ่งรู้แน่ |
เขาอ่านแปลออกตรงไม่สงสัย |
ว่าองค์บาสามิภักดิ์ประจักษ์ใจ |
ทั้งบ่าวไพร่พร้อมกันรับบัญชา |
ที่แม่ทัพรับกิจนริศราศ |
ให้โอวาทสอนสั่งไม่กังขา |
ตั้งจิตจำคำการุญสุนทรา |
โดยบัญชาชี้แจงให้แจ้งจริง |
ไม่ฝ่าฝืนขืนข้อทรยศ |
พร้อมกันหมดสมัครหมายทั้งชายหญิง |
ขอเป็นข้าอาณาจักรได้พักพิง |
อันเบ่าบิงจะบังคับรับธุระ |
มิให้เป็นเช่นเขาลือออกชื่อฉาว |
ว่าก้าวร้าวกำเริบจิตอิสระ |
พวกที่ห้อมล้อมค่ายบ้านใดนะ |
ข้าเจ้าจะห้ามไว้มิให้ตี |
ด้วยเดิมไซร้ไม่ทราบจึ่งหยาบหยาม |
เพราะฟังความนายฮ่อชื่อกอยี่ |
ว่าทัพลาวก้าวรุกมาคลุกคลี |
เข้าต้อนตีครอบครัวไปเสียใจครัน |
มิรู้ว่าทัพใหญ่ในสยาม |
มาปราบปรามโจรจรสิงขรขัณฑ์ |
ขออภัยได้โปรดงดโทษทัณฑ์ |
กอยี่นั้นจะกลับทวนไปชวนชัก |
ขอแต่บุตรภรรยาส่งมาให้ |
เห็นว่าไม่ขัดขวางทางสมัคร |
คงนอบน้อมยอมเป็นข้าสามิภักดิ์ |
ให้รับรักษาสัตย์วัจนา |
ข้าพเจ้าเล่าก็ขอพออาศัย |
ให้อยู่ไหนแล้วแต่สั่งไม่กังขา |
ได้ทำกินเลี้ยงกันบุตรภรรยา |
จะชีวาวายดับล่วงลับไป |
ถ้าแม้นมีราชการเป็นงานทัพ |
จะรบรับต่อสู้ศัตรูไหน |
ขออาสากว่าชีวันจะบรรลัย |
คงอยู่ในข้อบังคับไม่กลับกลาย |
ก็สิ้นความตามตำราสามิภักดิ์ |
รับสมัครมั่นสมอารมณ์หมาย |
ตั้งศาลบวงสรวงสถานพิมานพราย |
สุรารายรินบูชาเทวาวัน |
กระโปรงไก่ใส่วางไว้ข้างหน้า |
อ่านคำสาบานแช่งช่างแสร้งสรร |
ให้ศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์รงค์องค์เทวัญ |
พลางรำพันพิศวงด้วยจงใจ |
พอจบคำร่ำแจ้งแสดงสัตย์ |
จับไก่ตัดคอเชือดให้เลือดไหล |
รองระคนปนสุราแล้วว่าไป |
ถ้าแม้นไม่คงคำให้จำเป็น |
ต้องอาวุธพิรุธร้ายทำลายร่าง |
เหมือนดาบล้างคอไก่ที่ได้เห็น |
ดังคมกรดจดฟาดขาดกระเด็น |
เหมือนหนึ่งเช่นไก่ดับล่วงลับเลย |
แล้วกินเหล้าเข้าเลือดที่เชือดใส่ |
ทั้งนายไพร่พร้อมหน้าไม่ช้าเฉย |
จึ่งเขียนตอบขอบใจเหมือนได้เคย |
อย่าย่านเลยให้องค์บารักษาใจ |
ได้รับความตามองค์บาสามิภักดิ์ |
โดยสมัครมั่นคงไม่สงสัย |
จะแปลความตามหนังสือให้ถือไป |
ถึงค่ายใหญ่ยกคำขึ้นร่ำเรียน |
กวานเล่าแย้แลยิ้มด้วยอิ่มอก |
ยืนปะหงกพยักหงับคำนับเศียร |
รับสาราลาตรงไม่วงเวียน |
เข้าเยี่ยมเยียนกวานกอยี่พูดชี้แจง |
พอรุ่งขึ้นสุริยาห้าโมงเศษ |
ก็รู้เหตุรายฮ่อที่รอแฝง |
มาร้องขอรอคำร่ำแสดง |
ไม่ต่อแย้งยอมทู้ชูสารา |
กองทหารราญรอให้ฮ่อออก |
มันเดินกลอกหัวเกลือกเสือกมาหา |
ส่งหนังสือมือคำนับนั่งหลับตา |
ด้วยติดยาฝิ่นยับจนสับเงา |
คลี่ออกอ่านกวานกอยี่มีพวกพรรค |
ขอสมัครมั่นหมายต่อนายเถา |
จะยอมทู้อยู่อาศัยในลำเนา |
ขอรับเอาบุตรภรรยากลับมาคืน |
มีใจความตามองค์บาที่ว่าร่ำ |
ไม่กลืนกล้ำกลับสัตย์ให้ขัดขืน |
ฟังรำพันมั่นคงเห็นยงยืน |
จึ่งให้คืนไปสถานบอกกวานมา |
ถอดเสื้อรบนบร่างวางอาวุธ |
ให้เห็นสุจริตคำเหมือนร่ำว่า |
จะรับตามความมั่นที่สัญญา |
ฮ่อทูตากลับไปโดยใจจง |
พอเวลาตะวันชายลงบ่ายศรี |
กวานกอยี่มาตามความประสงค์ |
วางอาวุธสุจริตโดยจิตจง |
ลูกบ่าวคงตามมีมาสี่คน |
จึ่งทำสัตย์สัญญาประสาฮ่อ |
จนสิ้นข้อเสร็จความตามนุสนธิ์ |
แล้วชี้แจงแจ้งระบิลให้ยินยล |
จงจัดคนกอยี่มาจะพาไป |
หาแม่ทัพคำนับแจ้งแสดงข้อ |
จะได้ขอบุตรภรรยามาคืนให้ |
กอยี่รับคำนับตอบด้วยขอบใจ |
มอบให้ฮ่อสองคนมาหาแม่ทัพ ๚ะ |
๏ เวลาเมื่อต่อสู้อยู่กับฮ่อ |
ในปีจอเดือนเจ็ดไม่เสร็จสรรพ |
รบศึกฮ่อรอไข้กันใหญ่ยับ |
ยังมีทัพแจะทบมารบราญ |
กลับเป็นเจืองเคืองข้อทรยศ |
คือกบฏอ้ายหัวหน้าพระยาว่าน |
คุมข่าแจะเจืองปล้นเป็นคนพาล |
พลประหารร้อยเศษสังเกตดู |
มาตั้งค่ายรายร่ำริมน้ำล้อม |
เรียกห้วยห้อมฮึกหาญจะขานสู้ |
เข้าเขตแคว้นแดนเมืองซ่อนสิงขรดู |
ดังจะจู่โจมจับเอาทัพชัย |
มันเที่ยวบุกรุกรานชาวบ้านหนี |
ไล่ต้อนตีชิงเสบียงมาเลี้ยงไพร่ |
เที่ยวเลียบลาดกวาดต้อนทุกบ่อนไป |
ชนชาวไพรพรั่นตัวกลัวชีวิต |
พวกเจ้าเมืองกรมการบ้านเมืองซ่อน |
วิ่งสลอนน่าสลดระทดจิต |
จะเข้าป่าล่าไปมิได้คิด |
ด้วยเกรงฤทธิ์ข่ารบจะหลบตัว ๚ะ |
๏ แม่ทัพฟังดังไฟมาไหม้สุม |
ด้วยไข้รุมทหารรอนลงนอนทั่ว |
จึ่งประชุมควาญช้างพวกต่างวัว |
ช่วยจับตัวแจะเจืองที่เคืองใจ |
รวมได้คนพลอาสาห้าสิบเศษ |
ต่างก้มเกศนอบนบสบสมัย |
จะขอฆ่าฝ่าฟันให้บรรลัย |
มิทันให้พริบตาเวลาเดียว |
เลือกนายทัพจับไข้ไม่เป็นส่ำ |
ได้เจ้ากล่ำปากกล้าแต่ตาเหมียว |
จะให้คุมโยธาคิดบิดเป็นเกลียว |
ดูหน้าเซียวถอดสีไม่มีเสบย |
ต้องขู่เข็ญเป็นเวลาเข้าตาทัพ |
จึ่งจำรับรีบไปมิได้เฉย |
แกกลัวงกตกประหม่าก็ลาเลย |
ด้วยไม่เคยคิดสู้กับผู้ใด |
ถึงค่ายข่าตาตื่นอกตื่นเต้น |
แกเข้าเต๊นท์ยิงยัดให้ตัดษัย |
จะถูกผิดกิจการสถานใด |
ไม่เข้าใจยิงกลุ้มสุ่มตะรัง |
เป็นสามวันหวั่นไหวมิได้ลด |
ยิงจนหมดลูกดินสิ้นหลายถัง |
ข่าก็สู้อยู่ในค่ายมิพ่ายพัง |
แกยิ่งสั่งลูกดินส่งให้จงทัน ๚ะ |
๏ แม่ทัพแจ้งแคลงใจเห็นไม่จบ |
มัวแต่รบนอนเร้นในเต๊นท์มั่น |
พอเล็บแจไข้จางสร่างขึ้นพลัน |
ก็จัดสรรปืนใหญ่ให้ไปยิง |
พอถึงค่ายรายคนเข้าค้นดัก |
คอยรบกักกันไว้มิให้วิ่ง |
ปืนใหญ่วางกลางเนินบนเผินพิง |
พอได้ดิ่งกระตุกปับดังฉับฮุม |
แตกทลายกระจายจบศพไม่นับ |
บ้างหนีลับหลบไพล่ลงในหลุม |
ทหารห้อมล้อมรายเข้าค่ายคุม |
ไล่ตะลุมบอนล้างให้วางวาย |
อ้ายหัวโจกแจะข่าลูกขาทบ |
ไม่สู้รบจับริบเอาฉิบหาย |
ทิ้งอาวุธยุทธหัตถ์กระจัดกระจาย |
ออกเรี่ยรายกลางชาลาเก็บมากอง |
ได้คนครัวมั่วหมู่อยู่ในรก |
สามสิบหกชายหญิงทั้งสิ่งของ |
แล้วเผาค่ายไฟกระพือฮือละออง |
พวกครัวร้องไห้ร่ำก็นำมา |
ถึงแม่ทัพคำนับแจ้งแสดงสดับ |
จึ่งบังคับให้เอาตัวอ้ายหัวหน้า |
ไปตัดศอเสียบไว้ในทุ่งนา |
ให้โจรข่าแจะจำอย่าทำเจือง |
จนเสร็จศึกไข้สั่นยังรันรบ |
ไม่รู้จบจับฝ้าจนหน้าเหลือง |
พอได้ยามาทันอนันต์เนือง |
ก็ส่งเนื่องจำหน่ายพลทุกคนไป |
ต่างก็ฟื้นชื่นหน้าดังยาทิพย์ |
ก็ออกกริบเที่ยวเกริ่นพอเดินได้ |
ทุกเช้าเย็นไม่เว้นยารักษาไป |
ก็สิ้นไข้สดขึ้นทุกคืนวัน |
เสียงสรวลเฮฮาเป็นผาสุก |
ด้วยสิ้นทุกข์ไข้หายเที่ยวผายผัน |
ไปโลมสาวลาวผู้ไทยในคามันต์ |
เป็นประกันรักแกนในแดนดอน |
ครั้นเย็นย่ำค่ำเข้าสู่ในหมู่บ้าน |
ขึ้นเรือนชานชื่นอารมณ์ชมสมร |
ไม่หลบหลีกปลีกไปให้อาวรณ์ |
มารับต้อนเต็มพักตร์พูดชักชวน |
ธรรมเนียมสาวชาวเมืองซ่อนไม่ค่อนแคะ |
เมื่อโลมและลูบต้องของสงวน |
เข้าเคล้าคลอรอนางไม่ห่างนวล |
หมดกระบวนมีกระบิดอยู่นิดเดียว |
รื่นอารมณ์ชมนางกลางเคหา |
นึกอายหน้าขนางในฤทัยเสียว |
สาวกลับชอบขอบอารมณ์ดูกลมเกลียว |
แม้นไม่เกี้ยวแล้วเขาเก้อไม่เอออวย |
ทั้งบิดามารดรก็ค่อนขุด |
โกรธว่าบุตรสาวนั้นมันไม่สวย |
ถ้าชายรักชักมื่นดูรื่นรวย |
แล้วไม่ขวยเขินหน้าเหมือนวาที |
แม้นขอสู่คู่เคียงไว้เรียงข้าง |
ก็มักอ้างออกนามเอาตามผี |
จะกินสัตว์สิ่งไรในวิธี |
ล้างชีวีไหว้เซ่นเป็นสำคัญ |
กับเงินตราค่าสินสู่ที่ชูพักตร์ |
อย่างเต็มรักเรียกถึงสักหนึ่งขัน |
ฤาสองเบี้ยสามเบี้ยได้เสียกัน |
แล้วแต่ผันผ่อนตามความเอ็นดู |
อนึ่งในอัตราว่าเงินขัน |
แล้วพูดผันเบี้ยแผกให้แปลกหู |
คือสิบเบี้ยเป็นขันหมั่นคิดดู |
เบี้ยหนึ่งอยู่สิบสลึงคะนึงนับ |
นี่ความโลมโครมครืนเล่นชื่นหน้า |
ทีนี้ว่าเลิกขวงเล่นล้วงตับ |
ลูฝาช่องห้องหัวนอนไม่ซ่อนลับ |
เข้าล้วงจับคว้าจบไม่หลบมือ |
พูดกระซิบเสียงกระเส่าเว้ากันวุ่น |
พอเป็นทุนที่ได้กุมประทุมถือ |
เขย่งยืนขืนใจดังไฟฮือ |
เห็นเต็มรื้อต้องร้างไม่บางเบา |
แม้นกลางวันครรไลไปชมน้อง |
นั่งหน้าห้องสางหัวหาตัวเหา |
ผลัดกันคุ้ยชวนกันแคะนั่งแกะเกา |
ไม่อาจเข้าใกล้กลัวตัวจะตอม |
ผิวเนื้อเหลืออาลัยเป็นไคลคราบ |
ช่างเหม็นสาบเศร้าศรีไม่มีหอม |
ชั้นพื้นเรือนเปื้อนตมสมมมมอม |
สุดจะน้อมหน่วงกำหนัดสวัสดี |
คะนึงคิดขนิษฐ์น้องครองสวาท |
มายลนาฏนางไพรวิไลศรี |
หมายจะหักรักร้อนผ่อนฤดี |
กลับทวีรักเร้าเศร้ากระมล |
ทั้งเสียงสัตว์จัตุบทสยดสยอง |
มันเดินร้องเร้าแรงแสยงขน |
ดังปีบเปิบกำเริบรายชายอรญ |
ต้องนิ่งทนเนาถิ่นจนสิ้นกลัว |
สารพันสรรพภัยมิได้ย่อ |
ภักดีต่อกตัญญูเจ้าอยู่หัว |
อันเกิดกายตายสำหรับอยู่กับตัว |
ย่อมมีทั่วทุกสัตว์ไม่อัศจรรย์ |
เกิดเป็นชายหมายชื่อให้ลือเช่น |
จะตายเป็นตามแต่กิจประสิทธิ์สรรพ์ |
เกิดแก่กายตายดับนับอนันต์ |
ชื่อก็บรรลัยลับไปกับกาย |
รับอาสาฝ่าพระบาทพิฆาตศึก |
เขาจารึกรายงานอ่านถวาย |
แม้สูญโฉมชมชื่อให้ลือชาย |
ชีพไม่วายหวังสมอารมณ์เรียม |
พึ่งพระเดชเกศนิกรขจรจบ |
ถึงจะพบเพื่อนชายไม่อายเหนียม |
ใครจะเคาะเกาะแกะพูดและเลียม |
ถึงไม่เทียมก็พอทันเป็นมั่นคง |
นี่คิดคาดมาดหมายทำลายรัก |
พอได้พักผ่อนใจที่ใหลหลง |
เป็นนิสัยใจคนย่อมวนวง |
มักจะงงงมโง่ด้วยโลกีย์ |
เหมือนม้ารถพยศผยองลำพองเผ่น |
แหนบก็เต้นเตือนสำทับขับออกจี๋ |
รู้สึกเสียวเหนี่ยวพอให้รอรี |
กลับเข้าที่หายกระเทือนพอเตือนตน |
ประเดี๋ยวหยุดประเดี๋ยวขับกระสับกระส่าย |
ด้วยม้าร้ายร้อนรุมทุกขุมขน |
ลำพองโผนโจนจับแทบอับจน |
กำเริบร้นแรงจัดอัศดร |
เอาไตรลักษณ์หักจิตคิดสังขาร |
สมุฏฐานธรรมถือให้รื้อถอน |
ก็ได้หน้าลืมหลังตั้งนิวรณ์ |
ประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวดับพอหลับไป ๚ะ |
๏ ฝ่ายกองเจ้าราชวงศ์ที่คงตั้ง |
อยู่ระวังเมืองแวนแดนไศล |
แจ้งความว่าข่าเจืองที่เคืองใจ |
มันกลัวภัยพากันทู้ไม่สู้รบ |
หลายตำบลคบข่าพาโขยง |
อยู่เพียงโค้งห้วยคี้เที่ยวหนีหลบ |
แกวหมากเฟืองผาลอยคอยสมทบ |
ที่มันคบคิดกันเที่ยวฟันแทง |
อยู่ในดินเมืองซำเหนือเจือซำใต้ |
เที่ยวล้างไล่ฆ่าลาวชาวเขตแขวง |
มันรู้ตัวกลัวตายโทษร้ายแรง |
จึ่งมาแจ้งจริงทั่วที่ตัวทำ |
หัวหน้านายรายนามตามพวกข่า |
ชื่อพระยาน้อยคำฟันช่างขันขำ |
ท้าวยี่น้อยท้าวยี่ใหญ่เพี้ยไซคำ |
เพี้ยเท่าจำจดแจ้งแขวงเตียวกา |
ยังอีกชื่อลือชาช่างสามารถ |
พระยาราชสุวรรณขันอาสา |
พระยาแก้วพระยาพระคณนา |
อีกพระยาลิ้นท้องล้วนกองพาล |
มาเข้าหาสารภาพกราบประณต |
ไม่ทรยศยำเยงเกรงทหาร |
ขออาศัยในถิ่นแผ่นดินดาล |
ไม่ทำการกบฏเจืองให้เคืองใจ |
จะรับน้ำทำสัตย์พิพัฒน์ผล |
ทั่วทุกคนเคารพสบสมัย |
อันข่าเจืองที่เที่ยวจรอยู่ดอนไพร |
ก็หมดในแขวงหัวพันเป็นมั่นคง |
กับอ้ายฮ่อก่อหาญทำการรบ |
อพยพยกไปไพรระหง |
อยู่เมืองลาดพ้องจะลอต่อเขตคง |
ก็กลับวงเขาถิ่นด้วยสิ้นทาง |
มาขอทู้อยู่ในแว่นแคว้นจังหวัด |
มีนามชัดชื่อบ่งว่าองค์ถาง |
พร้อมพวกพรรคสมัครหมายจนวายวาง |
รับน้ำอย่างจีนจำเหมือนทำมา |
แล้วลาลับกลับไปหาที่อาศัย |
ค่ายบ้านใดด้วยกอยี่ที่สู่หา |
แล้วจึ่งจะพร้อมกันจรัลมา |
ยังพาราซ่อนบุรีที่แม่ทัพ ๚ะ |
๏ได้ทราบความตามระบิลจนสิ้นเสร็จ |
เป็นสำเร็จเรียกกองรบให้ทบกลับ |
มาเมืองซ่อนมั่วสุมประชุมทัพ |
ตั้งเตรียมรับฮ่อราเวลาคอย ๚ะ |
๏ เดือนสิบเอ็ดเผด็จศึกจารึกรส |
มาพร้อมหมดเหมือนนัดไม่ขัดถ้อย |
ทั้งข่าเจืองฮ่อโจรทุกโดนดอย |
เป็นหลายร้อยมารับบังคับการ |
ค่อยปลอบโยนโอนอ่อนให้ผ่อนพัก |
เนาสำนักค่ายใหญ่ปราศรัยสาร |
ท่านชี้แจงแจ้งจิตพิสดาร |
จนเห็นการจะไม่ก่อทำต่อเติม ๚ะ |
๏ในเดือนนี้มีการสำราญรื่น |
ดูครึกครื้นแซ่ซ้องฉลองเฉลิม |
ประสาไพรใจครุ่นคิดจุณเจิม |
ให้พูนเพิ่มบารเมศเดชอดุล |
ได้พิทักษ์รักษาอาณาเขต |
โดยพิเศษสิ่งสุดที่อุดหนุน |
ประชาชาวลาวข่าได้การุญ |
ทรงพระคุณคุ้มภัยมิให้พาล |
ในการนี้มีแต่ใบไม้ประดับ |
ไม่วาบวับส่องสีมณีฉาน |
ไขโคหล่อจ่อเพลิงเถกิงการ |
งามกันดารแดนป่าลัดดาเครือ |
ผูกเป็นเฟื่องเรืองระยะอุบะระบัด |
รอบจังหวัดวางรายดูหลายเหลือ |
ราวกับป่ามหาวันผูกพันเครือ |
ขึ้นเลื้อยเฝือแฝงสีอัคคีราย |
พินิจไปใจกระสันแม้นวันนี้ |
อยู่กรุงศรีแสนจะชมภิรมย์หมาย |
ทั้งหนุ่มสาวกราวเดินดูเกริ่นกราย |
เที่ยวแวดชายชมพระเดชเกศนิกร |
สารพันสรรพ์แก้วพราวแพรวแสง |
กระจ่างแจ้งแจ่มจำรัสประภัสสร |
ดูครึกครื้นชื่นหน้านรากร |
สุดจะซ้อนเสาะจำขึ้นรำพัน |
มาอยู่ดงพงพีมิได้เห็น |
ดูแจะเล่นลำร้องดูข้องขัน |
เข้านั่งล้อมพร้อมพรูเป็นหมู่กัน |
ร้องรำพันส่งเสียงแล้วเรียงโรย |
ลูกคู่รับกรับฟังดังกระหึ่ม |
เสียงพำพึมพูดครวญไม่หวนโหย |
ดังซุบซิบกริบกรับสดับโดย |
นานนานโอยโอดดังลำพังครู |
นั่งฟังไปไม่รู้เหตุสังเกตถ้อย |
เห็นเต็มกร่อยฟังเหลือจะเบื่อหู |
ชักเอาความถามทวนสำนวนครู |
พูดไม่รู้เรื่องกันต้องครรไล |
มาฟังลาวกล่าวลำก็จำจืด |
เห็นเต็มฝืดเฝือจิตผิดนิสัย |
ทั้งสามวันตันตื้นไม่ชื่นใจ |
ฟังอะไรก็รำคาญให้ดาลทรวง |
ประชุมชาวลาวผู้ไทยมิใช่น้อย |
ทั้งฮ่อม้อยมากมายในค่ายหลวง |
ให้กินเลี้ยงเรียงหมวดตรวจกระทรวง |
หมดทั้งปวงเป็นสำเร็จเสร็จยุบล |
แล้วปล่อยให้ไปที่อยู่สู่อาศัย |
ตามชอบใจเขตแขวงทุกแห่งหน |
แต่พวกฮ่อเกรงจะหาญเที่ยวราญรณ |
เพราะการปล้นปลอกปลิ้นเขายินดี |
จึ่งชักนำจำนรรจาให้มาเฝ้า |
พระเป็นเจ้าจอมประเทศพิเศษศรี |
ก็เห็นพร้อมยอมทั่วล้วนตัวดี |
ทุกคนมีชื่อดังทั้งฝีมือ |
เป็นเล่าแย้แซ่กวางไซใกล้กวางตุ้ง |
ผมเปียยุ่งเป็นซือแย้แปลหนังสือ |
ที่หนึ่งสองรองหัวหน้าได้หารือ |
รับเป็นสื่อสาราลงมาแทน |
ฮ่อกอยี่ดีใจอยากได้ยศ |
พร้อมกันหมดหมายเข้ามาเฝ้าแหน |
สู้ปลดปละละถิ่นที่ดินแดน |
มาอยู่แน่นค่ายนั้นอนันต์เนือง ๚ะ |
๏ จึ่งไต่ถามความฮ่อข้อประสงค์ |
ซึ่งให้ธงแดงดำแลทำเหลือง |
บ้างก็ลายหมายลือเอาชื่อเมือง |
หรือเป็นเครื่องคิดไฉนจงให้การ |
ให้กอยี่ชี้ต้นไปจนจบ |
อันธงรบสำหรับใช้ในทหาร |
จึ่งเล่าเดิมเริ่มคิดจิตวิจารณ์ |
มีชื่อขานแซ่เสงลิวเทงไคว ๚ะ |
๏ เมื่อจะคิดจิตพาลสันดานดิบ |
ได้ยี่สิบปีอายุลุสมัย |
ตำบลบ้านสถานทางอยู่กวางไซ |
พบนายใหญ่คนหนึ่งลือชื่อองลิว |
ได้รักษาเมืองเล่ากายเป็นนายเถา |
ไม่รุมเร้าครอบครัวคอยตั้วสิว |
เกลี้ยกล่อมพลคนแกล้วเข้าแถวทิว |
ตั้งตาริ้วหัดรบสมทบทัพ |
กับข้าเจ้าเข้ากันคนพันเศษ |
ธงสังเกตศึกใส่ใช้กำกับ |
เป็นผ้าดำทำตัวยี่สีระยับ |
ไว้สำหรับนำทหารไปราญรอน |
แต่สมัยในเวลานั้นผาสุก |
บรรเทาทุกข์ภิญโญสโมสร |
ประชาชนดนดื่นพื้นนคร |
ไม่มีร้อนสำราญร่าชั้นทารก ๚ะ |
๏ ครั้นถึงคราวจะกำเนิดเกิดวิบัติ |
เมื่อนักษัตรฉลูปีมีฉอศก |
พันสองร้อยศักราชที่ยาตร์ยก |
ยี่สิบหกเศษทัศกระจัดจริง |
มีจีนหนึ่งใจหาญจะทานทด |
เป็นกบฏซัวเถาเจ้าปักกิ่ง |
มีพลหมื่นพื้นกำลังตั้งประวิง |
มาตั้งนิ่งสำนักสู้อยู่เต้งปัก |
มีชื่อแซ่แปลความตามประสงค์ |
ง่ออาจงใจเติบกำเริบศักดิ์ |
ใช้ธงเหลืองเนื่องล้ำในสำนัก |
ที่ตั้งพักนั้นเป็นเขตประเทศญวน |
เจ้าอานัมทำอักษรวอนสนอง |
ไปขอกองทัพใหญ่ในเสฉวน |
แต่องค์ลิวเมืองเล่ากายอยู่ฝ่ายญวน |
ยกทัพล้วนเหล่าณรงค์พวกธงดำ |
สมทบกับแม่ทัพญวนเข้าควรคู่ |
องค์แต้วฟูแม่ทัพหน้าของอานัม |
รวมทหารราญรุดยุทธกรรม |
มีประจำหมื่นเศษสังเกตพล |
เข้ารบทัพง่ออาจงด้วยองอาจ |
เป็นสามารถหมายตีให้ปี้ป่น |
ต่างต่อต้านหาญโหมเข้าโรมรณ |
ตั้งประจญรับรองอยู่สองวัน |
พอทัพใหญ่ในซัวเถาเข้าห้อมหุ้ม |
เป็นมรสุมสองทัพเข้าขับขัน |
ชื่อแม่ทัพกำกับกองฟองตายัน |
พลฉกรรจ์หมื่นมั่นอนันต์เนือง |
ระดมรบสมทบกองเป็นสองทัพ |
เข้าโจมจับง่ออาจงพวกธงเหลือง |
แตกกระจายพ่ายออกไปนอกเมือง |
ไล่ตีเนื่องหนีมาเมืองฮายาง |
ง่ออาจงนายพลรณยุทธ์ |
ถูกอาวุธวายชีวีเป็นผีสาง |
พวกพลหนีลี้หลบสมทบทาง |
ญวนไล่ล้างแหลกยับถึงจับเป็น |
ได้สักห้าพันถ้วนประมวลนับ |
ด้วยเสียทัพยอมทู้ให้ขู่เข็ญ |
แต่นายรองน้องอาจงหลงประเด็น |
มืเชื้อเช่นชื่อนั้นพันลันซี |
เกลี้ยกล่อมได้คนมาห้าพันเศษ |
เที่ยวทุเรศอรัญพาเข้าป่าหนี |
หาที่พักสำนักไปในพงพี |
ถึงบุรีขันเทียนสื่อตั้งปรือปรน |
เป็นเมืองแม้วลอยเมฆเอกราช |
อยู่ย่านขาดจีนญวนควรฉงน |
ไม่เกี่ยวถิ่นดินคละให้ปะปน |
ตั้งพักพลพึ่งพาพระยาแม้ว ๚ะ |
๏ ฝ่ายแม่ทัพฟองตายันครั้นปราบศึก |
ที่เหิมฮึกหักวินาศเหมือนกวาดแผ้ว |
จัดบ้านเมืองใหญ่น้อยเรียบร้อยแล้ว |
ก็คลาดแคล้วทัพถึงยังตึ้งซัว |
ยกองค์ลิวให้กำลังตั้งสำหรับ |
เป็นแม่ทัพนายเถาอย่างเจ้าสัว |
เรียกว่าลิวตายันคนย่านกลัว |
ตั้งเป็นหัวหน้าเฝ้าเมืองเล่ากาย |
แม่ทัพญวนก็ยกทัพกลับขึ้นเถิน |
ไปฟูเชินเมืองหลวงกระทรวงหมาย |
ลิวตายันนั้นเป็นสุขสนุกสบาย |
ไม่ระคายราคีได้ปีเลย ๚ะ |
๏ ข้างฝ่ายพันลันซีซึ่งหนีหลบ |
ไปตั้งซบซ่อนอาศัยมิได้เฉย |
เฝ้าเตรียมกิจคิดต่อเป็นหน่อเตย |
ไม่เสบยเพราะวิบากจากลำเนา |
พอสมจิตคิดไว้ไม่ฉงน |
ก็ยกพลห้าพันจากคันเขา |
จรจรัลดั้นเดินเนินสำเนา |
ถึงเมืองเล่ากายตรงตีองค์ลิว |
ลิวตายันสรรกำลังออกตั้งรับ |
แลสลับธงสลัดลมพัดฉิว |
ทั้งธงเหลืองธงดำทำเป็นทิว |
ตั้งตาริ้วแรมปีฤดีดาล ๚ะ |
๏ ฝ่ายแม่ทัพพันลันซีมีสติ |
นึกกริ่งกริเกรงญวนจะหวนหาญ |
เข้าสมทบรมรุมประชุมการ |
เป็นสองด้านประดังเข้าเราเสียที |
จงแต่งทัพเดินทบตลบหลัง |
แบ่งกำลังลอบไปเข้าไพรศรี |
ให้ฟาเก้าเป็นนายการราญราวี |
ไปตั้งที่เขตขัณฑ์เมืองตั้นกวาน |
ถ้าแม้นมีทัพล้อมมาห้อมหุ้ม |
เป็นกองซุ่มตีทัพจับประหาร |
ระยะทางห่างห้าเวลากาล |
ดักอยู่ด่านทางเข้าเมืองเล่ากาย ๚ะ |
๏ ครั้นเสร็จแล้วพันลันซีที่ตั้งล้อม |
ก็เข้าห้อมรบหักสมัครหมาย |
ทหารลิวตายันลั่นปืนราย |
กระสุนปรายปราดลูกถูกลันซี |
ตัวไม่ตายแต่ก็ต้องถอยกองทัพ |
ยกกันกลับไปห่างเหมือนอย่างหนี |
ลิวตายันกระชั้นชิดติดตามตี |
พันลันซีแตกมาเมืองฮายาง |
แล้วแต่งให้ใต้ตุม่านออกต้านทัพ |
ไปรวมกับฟาเก้าเข้าสองข้าง |
ริมน้ำแดงแฝงตัดสกัดทาง |
ในระหว่างแว่นแคว้นแดนดินแกว |
ลิวตายันนั้นตามด้วยความโกรธ |
แทบจะโดดเดินทัพไม่นับแถว |
พอทัพญวนสวนทางมากลางแนว |
แม่ทัพแกวชื่อมียินซีฟอง |
ยกบรรจบรบรับทัพขนาบ |
ไม่เข็ดหลาบไล่ห้อมล้อมเป็นสอง |
พันลันซีมิออกสู้ดูทำนอง |
แต่คอยมองมุ่งหมายอยู่หลายเดือน ๚ะ |
๏ ฝ่ายฟาเก้าเจ้ากลแบ่งพลถอย |
สักห้าร้อยรีบไปอยู่ในเถื่อน |
คอยลอบลัดตัดกำลังกระทั่งกระเทือน |
เที่ยวตีเตือนต้อนท้ายทำถ่ายเท |
พวกเล่ากายเกณฑ์ลำเลียงเสบียงส่ง |
ฝ่ายพวกธงเหลืองไล่เอาไพล่เผลอ |
พวกธงดำก็ป่วนกันรวนเร |
ด้วยต้องเล่ห์กลสกัดตัดเสบียง |
พวกธงดำกรำกรากอดอยากยับ |
เข้าที่อับจนเหงากระเส่าเสียง |
ยินซีฟองฟาเก้าเข้าล้อมเรียง |
มิได้เลี้ยงรบรุกบุกทลาย |
ลิวตายันกับพลประจญหน้า |
ค่อยหลีกล่าเลยไปเหมือนใจหมาย |
ไปตั้งอยู่ที่เก่าเมืองเล่ากาย |
ฟาเก้ารายทัพรี่เข้าตีญวน |
ญวนก็แตกแหลกพังไปทั้งสิ้น |
สมถวิลว่างศึกไม่ฮึกหวน |
มิได้ตามตีตั้งยั้งกระบวน |
หยุดประมวลพลมั่นอยู่ตั้นกวาน |
แล้วแยกทัพรับรองเป็นกองหน้า |
อยู่ตันฮาเท้าฮึกเป็นศึกหาญ |
คอยสืบข่าวเล่ากายจะร้ายราญ |
ระยะย่านสามวันจากตันฮา |
ลิวตายันสรรพลปรนทหาร |
อยู่ประมาณปีมาดปรารถนา |
จัดสำเร็จเสร็จนำธงดำมา |
ติดตันฮาตั้นกวานตั้งการรบ |
ข้างเมืองญวนก็ยกทัพกลับมาเล่า |
สมทบเข้าพวกเล่ากายรายบรรจบ |
ตีธงเหลืองล้อมระดมกันสมทบ |
แตกบัดซบหนีไปเสื้องเมืองจอพอ |
ระยะทางห่างตันฮาเวลาหนึ่ง |
ไปนิ่งอึ้งแอบซอกไม่ออกป๋อ |
คิดจะจับสับไสเสียให้พอ |
เผอิญก่อการใหญ่ในเมืองญวน |
มีหนังสือเรียกกองทัพให้กลับหลัง |
อย่ารอรั้งเร็วระดมกว่าลมหวน |
ญวนก็กลับทัพใหญ่ไปเมืองญวน |
องค์ลิวรวนเรกลับกองทัพไป ๚ะ |
๏ เพราะเหตุด้วยกุลาขาวทำฉาวฉ่า |
เข้าเมืองฮานอยหาญเป็นการใหญ่ |
คบพวกธงเหลืองโลนอ้ายโจรไพร |
ประมาณในร้อยคนเข้ารณราญ |
พวกเมืองญวนป่วนยิ่งในสิ่งศึก |
องค์ตือดึกเดือดใจจึ่งไขขาน |
เรียกลิวตายันให้ไปช่วยการ |
แม้นนิ่งนานแล้วจะหนักพะวักพะวน |
เกรงกุลาจะมาส่งพวกธงเหลือง |
ให้รื้อเรื่องวุ่นวายเป็นสายสน |
เร่งรีบรัดจัดทหารมาราญรณ |
ไปประจญจับกุลาเมืองฮานอย ๚ะ |
๏ ลิวตายันครั้นแจ้งแห่งรหัส |
ก็รีบรัดทัพฮ่อไม่ท้อถอย |
ตรงเข้าตีพวกกุลาเมืองฮานอย |
ก็แตกถอยยกทัพหนีกลับไป |
จับได้เป็นเห็นหน้ากุลาขาว |
มีหนวดยาวผิดกับญวนชวนสงสัย |
เป็นตองซู่กุลาภาษาใด |
ก็ซักไซ้สอบถามทั้งสามคน |
กุลาว่าข้าเป็นพวกลิปับลิก |
เห็นเคราหยิกร่างใหญ่ใคร่ฉงน |
แต่ผมแดงแคลงจิตคิดกังวล |
ถามถึงต้นชาติใช้ชื่อไรนาม |
ที่เป็นจีนเคยเข้าใจปราศรัยจ้อ |
เรียกอั้งหมอหมายผมนิยมหยาม |
แต่ยังรวมกรวมชาติไม่ขาดความ |
จึ่งแจ้งความจริงในน้ำใจจง |
จีนเรียกว่าอั้งหมอก็ฝรั่ง |
ซึ่งแต่งตั้งเรียงเอาความตามประสงค์ |
แล้วฆ่าเสียมิให้คืนอยู่ยืนยง |
สิ้นชีวงวายวางอยู่กลางเมือง |
ลิวตายันครั้นกุลาล่าไปลับ |
ยกพลกลับกรูกรีตีธงเหลือง |
ได้ต่อสู้คู่แข่งจะแย่งเมือง |
ต่างก็เยื้องยักทีมีทำนอง |
พวกธงดำร่ำรุดไม่หยุดรบ |
ตีกระทบจนกระทั่งกันทั้งสอง |
ธงเหลืองแหลกแตกตามทั้งสามกอง |
พาพวกพ้องหนีมาเมืองฮายาง |
ลิวตายันครั้นได้ชัยชนะ |
สิ้นธุระเรื่องวิบัติไม่ขัดขวาง |
ก็จัดแจงแต่งทหารตรวจด่านทาง |
ในระหว่างแว่นแคว้นแดนตันฮา |
เมืองพอจอตันกวานเป็นด่านตั้ง |
มีผู้รั้งรายดูอยู่รักษา |
ทั้งสามเมืองมอบอำนาจให้อาชญา |
แล้วลิวตายันเข้าเมืองเล่ากาย ๚ะ |
๏ ครั้นล่วงวารประมาณมีได้ปีเศษ |
ผู้ครองเกศปักกิ่งตรึกกริ่งหมาย |
แค้นพวกพันลันซีไม่มีวาย |
คิดทำลายล้างวงศ์พวกพงศ์พาล |
ให้แม่ทัพมอตายันสรรพลหมื่น |
ดูครึกครื้นเกรียวกราวล้วนห้าวหาญ |
หลียอยซอยเป็นที่สองรับรองการ |
จะเข้าต้านต่อฆ่าในฮายาง |
เมื่อจวนถึงจึ่งได้ให้คำสั่ง |
เรียกทัพทั้งสองกองประคองข้าง |
คือทัพญวนทัพเล่ากายเมืองรายทาง |
ให้รีบย่างยาตรทัพมารับรบ ๚ะ |
๏ ได้ทราบความตามสั่งที่บังคับ |
ก็ยกทัพพร้อมกันเข้าบรรจบ |
เป็นสามทัพมากระทั่งตั้งสมทบ |
เข้ารุกรบรายพร้อมตั้งล้อมเมือง |
ทันลันซีสิ้นกำลังไม่ตั้งรับ |
ก็หนีทัพทิ้งวงศ์พวกธงเหลือง |
อพยพแยกออกไปนอกเมือง |
คิดจะเปลื้องปละหนีแต่รีรา |
พวกธงเหลืองที่ยังหลงอยู่คงค่าย |
ไม่คิดพ่ายพากันกลับรับอาสา |
นำทัพจีนเข้าประจญค้นพารา |
จึ่งแจ้งว่าพันลันซีหนีออกไป |
ตั้งค่ายสู้อยู่ห่างฮายางซุ่ม |
ก็ยกทุ่มเททัพไปจับได้ |
ตัดศีรษะใส่หีบรีบส่งไป |
ยังเมืองใหญ่เขาขึงเรียกตึ้งซัว |
พวกพลพันลันซีบ้างหนีบุก |
ไปเที่ยวซ่อนซุกเร้นไม่เห็นหัว |
ที่ยอมทู้อยู่ก็บากเข้าฝากตัว |
ยกครอบครัวเข้ากองทัพไปกับจีน |
กองทัพญวนหวนกลับไม่สับสำ |
พวกธงดำก็ยกเข้าเขากีสิน |
ที่ถือว่าชาดีบุรีจีน |
ไม่ป่ายปีนเป็นลำดับกลับนคร ๚ะ |
๏ พวกธงเหลืองที่ยังหลบซ่อนซบอยู่ |
ก็เที่ยวจู่แตกเจิ่นขึ้นเขินขอน |
เป็นเจ๊กบกจีนบ่าอยู่ป่าดอน |
เขตนครญวนสยามตามอำเภอ |
ไม่ก่อร่างสร้างเคหาเสพยาฝิ่น |
ปล้นเขากินโจรกรรมทำเสมอ |
ญวนมาปราบหลาบแหลกก็แตกเกลอ |
เที่ยวกระเซอบุกกระเซิงระเริงลาน |
ครั้นญวนกลับจับหมู่ที่จู่ปล้น |
ไม่สิ้นกลกากเล่ห์เดรัจฉาน |
ทำหยาบยุ่งฟุ้งฉาวให้ร้าวราน |
นับประมาณหลายปีแต่มีมา |
จนครั้งนี้มีทัพไทยมาไล่รบ |
อพยพแยกย้ายตายนักหนา |
ตั้งเมืองพวนหัวพันเป็นหลั่นมา |
รอบอาณาเขตลุถึงจุไท |
อันจีนโจนโยนยาวที่กล่าวนี้ |
พันลันซีต้นแซ่มาแฉให้ |
ยี่สิบสามปีเศษสังเกตใจ |
จนถึงในปัจจุบันนี้มั่นคง |
เดิมก็ใช้ธงเหลืองเป็นเครื่องหมาย |
ครั้นแล้วกลายกลับจิตพิศวง |
ยกยี่ห้ออย่างใหม่ยักใช้ธง |
ตามจำนงนึกหมายสีลายแดง |
เที่ยวกระจัดพลัดพรายเป็นหลายหมู่ |
บ้างเข้าอยู่ด้วยธงดำทำเคลือบแฝง |
บ้างถือธงเก่าชัดไม่ดัดแปลง |
ตามแต่แบ่งบากหมู่ออกกรูเกรียว ๚ะ |
๏ ง่ออาจงนายเก่าเขาฮ่อแท้ |
นับรวมแซ่ชื่อเสงครั้งเม่งเฉียว |
ง่อซำกุ้ยตัวฉกาจเปลื้องปราดเปรียว |
เป็นแซ่เดียวชื่อดังทั้งแผ่นดิน |
จึ่งแจ้งตรงว่าอาจงเป็นฮ่อด้วย |
ไว้ผมมวยหมายแซ่เห็นแท้สิ้น |
พลทหารขานโห่พวกโจริน |
ประเทศถิ่นสถานทางอยู่กวางซี ๚ะ |
๏ ครั้นกองทัพฝ่ายจีนเมื่อสิ้นศึก |
ยกทัพฮึกหาญไปเข้าไพรศรี |
ถึงเมืองจีนจึ่งเฝ้าเจ้าธานี |
ก็ยินดีด้วยได้ดังใจปอง |
ปูนบำเหน็จนายทัพลำดับยศ |
ให้เชิดชดความชอบตอบสนอง |
มกตายันนั้นเป็นใหญ่ในทำนอง |
แต่หลียองชอบเป็นเจ้าเมืองเจาฟู |
เป็นเมืองขึ้นขอบเขตประเทศราช |
ในอำนาจลำฟูไทยไกลอักขู |
มาถึงทางกวางไซใหญ่พอดู |
ยองซอยกรูพลพื้นสักหมื่นมา |
เจ้าเมืองไกวลำฟูไทมิให้อยู่ |
เมืองเจาฟูตามมาดปรารถนา |
หลียองซอยเคืองขัดอัธยา |
ก็กรีธาพลแพ่นไปแดนญวน |
ตรงเข้าเมืองปักการเจาเนาสำนัก |
ไม่กลับพักตร์พาไพร่ไปเสฉวน |
อยู่ได้สามเดือนเศษในเขตญวน |
พลประมวลหมื่นสรรพประดับยศ |
องค์ตือดึกนึกสะดุ้งเห็นสุงศรี |
คิดว่าหลียองซอยเป็นเช่นกบฏ |
จะต่อสู้กรุงปักกิ่งทำหยิ่งยศ |
จึ่งยกทศโยธาไปราวี |
ส่งหนังสือถือสนองเรียกกองทัพ |
ให้ช่วยจับกบฏแท้พวกแซ่หลี |
ลิวตายันครั้นแจ้งแห่งคดี |
ยกโยธีธงดำมาสัมทบ |
แล้วบอกราชการไปในปักกิ่ง |
กรุงจีนกริ่งใจคิดผิดขบบ |
จะจริงเท็จไม่ทันรู้กรูมารบ |
เข้าบรรจบพร้อมกับกองทัพญวน |
นามนายพลคนที่มาเวลานั้น |
ฟองตายันแม่ทัพใหญ่ในเสฉวน |
คุมโยธาดาดื่นหมื่นประมวล |
สามทัพถ้วนระดมตีหลียองซอย |
ได้รบรุดยุทธนาเป็นสามารถ |
ต่างพิฆาตฆ่าฟันไม่พรั่นถอย |
พวกสามทัพตายมีโยธีทอย |
หลียองซอยตายหมดลดทุกที |
อ่อนกำลังตั้งรับทัพทั้งสาม |
ยิ่งล้อมลามตีทลายก็พ่ายหนี |
จากปักการเจาไปไกลบุรี |
เข้าอยู่ที่จองามตามตำบล |
ตั้งทัพตรวจหมวดโยธาเหลือมาน้อย |
สักแปดร้อยรวมดูหมู่พหล |
ลิวตายันดั้นเดินดำเนินพล |
โดยรีบร้นเร็วยกหกเวลา |
ถึงจองามหลามล้อมเข้าพร้อมที่ |
ข้างฝ่ายหลียองซอยสู้ไม่สู่หา |
ต่างรบรับขับโต้ต้อนโยธา |
ประมาณห้าเดือนตั้งประดังเรียง |
หลียองซอยน้อยพลจนอาหาร |
อดกันดารเหลือทนไพร่พลเลี่ยง |
หนีเข้าหาองค์ลิวหิวเสบียง |
ก็รับเลี้ยงชีพซนพลโยธี |
หลียองซอยเห็นจะสู้อยู่ไม่รอด |
ก็เล็ดลอดลอบล่าเข้าป่าหนี |
ฟองตายันแม่ทัพใหญ่ใจก็ดี |
ตั้งพักรี้พลรออยู่จองาม |
เกลี้ยกล่อมไพร่ให้สมัครหักเข้าหา |
โดยเมตตาเต็มสุภาพไม่หยาบหยาม |
ตั้งอยู่นานประมาณเดือนไม่เลื่อนลาม |
ต่างก็ตามกันมาทู้อยู่เป็นกอง |
หลียองซอยรู้เช่นเห็นแม่ทัพ |
คอยต้อนรับไพร่พลไม่หม่นหมอง |
เข้าไปทู้อยู่ด้วยกันอนันต์นอง |
แล้วหลียองซอยก็หาฟองตายัน |
จึ่งแจ้งความตามที่เห็นเป็นกบฏ |
ให้ทราบหมดเรื่องหมายที่ผายผัน |
ไม่สมจิตคิดจะคืนก็ตื้นตัน |
จึ่งบุกบั่นบากไปเพราะได้อาย |
ฟองตายันครั้นได้ยินก็สิ้นโกรธ |
ไม่ลงโทษกบฏฆาตเหมือนมาดหมาย |
ให้คงยศอย่างที่รับไม่กลับกลาย |
แล้วก็ผายผันพากันคลาไคล |
พลที่พ่ายกระจายหมู่ไม่สู่หา |
อยู่ในอานัมดินถิ่นอาศัย |
สักพันเศษทุเรศร้างอยู่กลางไพร |
เข้าหมู่ใหญ่ยกซ่องเป็นกองโจร |
ตั้งบรรจบทบทัพกับธงเหลือง |
จึ่งจับเรื่องปล้นราษฎร์เที่ยวผาดโผน |
แยกใช้ธงดำลายตั้งค่ายโดน |
เที่ยวเป็นโจรฮ่อกระเจิงระเริงลาน ๚ะ |
๏ ข้างฝ่ายทัพฟองตายันจรัลร่ำ |
ถึงไกวลำฟูไทยในสถาน |
ก็พักพลดลประดาเวลากาล |
ผ่อนสำราญรมย์เข้าหยุดเนานิตย์ |
เจ้าเมืองไกวลำฟูไทยไปนอบนบ |
โดยประจบจวนตัวกลัวความผิด |
ที่ฝ่าฝืนขืนตราตั้งบังไม่มิด |
ด้วยความอิจฉาไม่ชอบประกอบการ |
บัดนี้หลียองซอยมาในตาทัพ |
คงจะกลับกล่าวหาขึ้นว่าขาน |
โทษเราทำจะมาทับอัประมาณ |
จึ่งคิดอ่านเข้ากระทำสำมัคคี |
ลียองซอยหลงกลจนสนิท |
เอายาพิษแทรกอาหารประสานศรี |
ให้ลียองซอยกินสิ้นชีวี |
เสียในที่พักอยู่ลำฟูไทย |
ฟองตายันก็ครรไลไปปักกิ่ง |
ความทุกสิ่งมิได้เห็นเป็นไฉน |
ขัดคำสั่งตราตั้งนั้นเป็นฉันใด |
โทษคงไม่พ้นมันคนสันดาน |
ครั้นกองทัพลับเลื่อนสามเดือนเศษ |
พอสิ้นเขตขาดพลพหลหาญ |
พวกที่แตกหนีอยู่ป่ามาคิดการ |
เป็นพวกพาลปล้นกินในถิ่นดง |
พาพรรคพวกพื้นฉกรรจ์สามพันเศษ |
เที่ยวทุเรศแรมในไพรระหง |
ชื่อต้นก๊กลกมันไตเป็นใหญ่ยง |
ที่สองบ่งซำซีไทยเป็นนายรอง |
หลีอาซางเป็นที่สามมีนามตั้ง |
ยกกำลังพลขันธ์สนั่นก้อง |
ตีปักการเจาแตกย้ายแยกกอง |
พาพวกพ้องพักสบายอยู่ค่ายคึก |
ข้างเมืองญวนสืบสารรู้การแน่ |
จึ่งแต่งแม่ทัพใหญ่ในตือดึก |
ชื่อไตซันเป็นแม่ทัพกำกับฮึก |
มีที่ปรึกษาคู่ชื่อปูเจ็ง |
กำลังพลคนฉกรรจ์สี่พันเศษ |
มาปราบเขตญวนทั่วล้วนตัวเส็ง |
ถึงเมืองปักการเจาเข้าระเบ็ง |
สั่งให้เร่งรบกับทัพมันไต |
ได้ต่อสู้คู่คี่ตีกันแหลก |
ทัพญวนแตกตายป่นไม่ทนได้ |
จับปูเจ็งไตชันได้ทันใด |
พวกญวนไพร่หนีพรูไม่อยู่รอ |
แม่ทัพญวนครวญใคร่อาลัยร่าง |
กลัวจะล้างชีพลาญจึ่งขานขอ |
ถ่ายโทษตัวกลัวชีวาน้ำตาคลอ |
นั่งงอนง้อเอาเงินทำเป็นกำนัล |
ลกมันไตได้ท่าทำหน้าขึง |
แกล้งตั้งปึงพูดปัดระหัดหัน |
อันการศึกฮึกโหมเข้าโรมรัน |
ก็หมายมั่นมุ่งฆ่าชีวาวาย |
เสียทีทัพจับได้อาลัยชีพ |
มานั่งบีบน้ำตาน่าใจหาย |
จะซื้อร่างสร้างชื่อให้ลือชาย |
ว่าต้องถ่ายโทษตนจึ่งพ้นตัว |
จะแบกอายตะพายหน้าไปหาเจ้า |
ใครเห็นเข้าก็จะเคาะเย้ยเยาะหัว |
องค์ตือดึกก็จะดาลประหารตัว |
อันความชั่วก็จะฉาวอยู่ยาวยืน |
จงก้มหน้าลาท้าวเจ้าตือดึก |
ว่าเสียศึกสิ้นชีวาไม่ฝ่าฝืน |
ขุนนางญวนเขาจะหยันทุกวันคืน |
ให้เสื่อมพื้นเสียพงศ์ในวงศ์ญวน |
ไตชันฟังดังอัคคีมาจี้โสต |
ทำไม่โกรธตรอมใจเฝ้าไห้หวน |
กลับยกเมืองกระเดื่องดินในถิ่นญวน |
อีกสองส่วนให้เป็นสิทธิ์ไม่คิดคด |
ปักการเจาเมืองฮายางที่กลางย่าน |
เงินขันขานสี่ร้อยขันเข้ากันหมด |
ขันละยี่สิบบาทไม่ขาดลด |
จึ่งคิดทดมาเป็นไทยในเงินตรา |
รวมร้อยยี่สิบห้าชั่งดังถวิล |
เป็นสุดสิ้นสมมาดปรารถนา |
ลกมันไตรับตอบชอบอัชฌา |
ปล่อยหัวหน้านายทัพให้กลับไป |
เมื่อไตชันหันกลับมายับยั้ง |
เข้าอยู่ยังเมืองฮานอยละห้อยไห้ |
เกรงตือดึกจะกระเดื่องเคืองฤทัย |
ก็จำใจแจ้งจริงไม่นิ่งนาน |
เขียนหนังสือถือส่งประจงแจ้ง |
ไม่เคลือบแคลงข้อเค้าสำเนาสาร |
เจ้าญวนทราบวาบใจดังไฟกาล |
ว่ายกด่านแดนประเทศในเขตญวน |
ให้ข้าศึกสร้างสมทำข่มเหง |
จึ่งรีบเร่งขอรับทัพเสฉวน |
ให้ระงับจับศึกที่ฮึกกวน |
มาตั้งฮ้วนหาญใหญ่อยู่ในแดน |
แล้วบอกลิวตายันให้สรรทัพ |
ไปโจมจับข้าศึกที่ฮึกแหน |
ลิวตายันยกทหารข้ามดาลแดน |
เข้าตีแคว้นแขวงด่านปักกานเจา |
ตั้งรบสู้อยู่สักปีกุลียุค |
องค์ลิวรุกรบรายเข้าค่ายเผา |
ลกมันไตแตกสิ้นถิ่นลำเนา |
ทหารเล่ากายไล่ตามไปตี |
หลีอาซางวางชีวีในที่รบ |
พวกพลอพยพแยกออกแตกหนี |
ทิ้งตำบลด้นดงเข้าพงพี |
เที่ยวหลบลี้แล่นออกไปนอกเมือง |
เมื่อกองทัพลิวตายันกระชั้นไล่ |
ลกมันไตตกประหม่าจนหน้าเหลือง |
ด้วยทัพจีนจู่มาทันอนันต์เนือง |
ก็ยกเนื่องสกัดหน้าซูตายัน |
ระดมพลรณรบบรรจบทัพ |
เข้าล้อมจับลกมันไตไล่ถลัน |
ยิงปืนกราดปราดตัดสกัดกัน |
ถูกลกมันไตตายวายชีวง |
จับตัวซำซีไทยได้สำเร็จ |
ก็สิ้นเสร็จศึกสมอารมณ์ประสงค์ |
ลิวตายันหยุดรบสมทบธง |
เข้าดำรงรวมตั้งดูคั่งคับ |
พลข้าศึกที่เข้าทู้ไม่สู้รบ |
อพยพยกไปได้เสร็จสรรพ |
ทั้งตัวซำซีไทยผู้นายทัพ |
รวมเอากลับไปด้วยหมู่ซูตายัน |
ที่คงทู้อยู่เล่ากายก็หลายเหลือ |
ล้วนชาติเชื้อจีนแท้ไม่แปรผัน |
คะเนนับอนันต์นองสักสองพัน |
ลิวตายันรวมรับเข้าทัพจร |
ที่ระบาดสาดมาอยู่ป่ารก |
ประมาณหกร้อยอาศัยไพรสิงขร |
ตั้งเป็นพวกโจรไพรอยู่ในดอน |
เที่ยวราญรอนรุกร้นปล้นสะดม |
บ้างผลัดเพี้ยนเปลี่ยนยี่ห้อออกต่อเนื่อง |
ธงแดงเหลืองลายคละเข้าประสม |
เป็นสามโจรเที่ยวค้นปล้นสะดม |
ในนิคมญวนสยามต่อตามมา |
แต่ญวนปราบหลาบทลายเป็นหลายหน |
ก็ดั้นด้นหนีอาศัยไพรพฤกษา |
พอกองทัพกลับไปมันไพล่มา |
ทำพาลาลำพองใจในพนม ๚ะ |
๏ ฝ่ายข้างเรื่องเมืองเล่ากายหมายประสงค์ |
ซึ่งใช้ธงดำเดิมเริ่มปฐม |
ได้เชลยทหารเลี้ยงเรียงระดม |
เข้าเป็นกรมเดียวตรงกับธงดำ |
รวมระคนพลฉกรรจ์หกพันถ้วน |
เป็นกระบวนทัพหน้าของอาหนำ |
บำรุงหัดจัดรับสำหรับทำ |
ยุทธกรรมกับไพรีที่บีฑา |
ดูครื้นคึกฮึกหาญสำราญจิต |
โดยวิวิธหวังมาดปรารถนา |
ชาวบุรีมีสุขทุกทิวา |
พวกพาลาหลาบหนีไม่มีอึง ๚ะ |
๏ ครั้นล่วงปีตรีศกตกมะเส็ง |
เกิดการเร่งร้อนเร้าเข้ามาถึง |
ด้วยตือดึกขับขุนนางต่างดันดึง |
ขุนนางหนึ่งหนีพรากไปจากญวน |
ถึงซัวเถากล่าวหาว่าตือดึก |
คิดหาญฮึกห่างเหจากเสฉวน |
เก็บส่วยสาภาษีที่เมืองญวน |
มาประมวลให้ฝรั่งหยั่งไมตรี |
ที่ประณามความสัตย์เห็นตัดขาด |
ไม่หมายมาดพึ่งพาหันหน้าหนี |
มิได้ส่งส่วยมากว่าสิบปี |
ไปร่ำชี้ชั่วฉาวกล่าวแสดง ๚ะ |
๏ เจ้าเสฉวนป่วนจิตไม่คิดหน่วง |
ความทั้งปวงเห็นชัดกระจัดแจ้ง |
เชื่อจริงใจในคดีไม่มีแคลง |
พิโรธแรงว่าอานัมไม่คำรบ |
จึ่งจัดทัพขับขันสรรอาสา |
สองหมื่นห้าพันคนผจญจบ |
ว่องทงเลงไกวลานว่าการรบ |
ที่สองทบชื่อบงชิวธงเลง |
ฟังบังคับรับโอวาทลาคลาดแคล้ว |
คุมทแกล้วกลั่นทั่วล้วนตัวเสง |
ถึงเมืองญวนเรียกชื่อยากปากนิงเตง |
เข้าตั้งเกงสืบสารการณรงค์ |
ได้ทราบเหตุว่าฝรั่งมาตั้งเนื่อง |
อยู่เมืองฮานอยจริงสิ่งประสงค์ |
สมเหมือนคำอานัมชี้คดีตรง |
คิดจำนงกำหนดการจะราญรณ |
ทัพฝรั่งตั้งรอไม่ท้อถอย |
อยู่ฮานอยทราบความตามนุสนธิ์ |
ว่าจีนยกทัพมารั้งตั้งประจญ |
ก็รีบร้นแต่งทูตไปพูดจา |
ว่าฝรั่งตั้งหาญในการนี้ |
เพราะคดีเดิมเข็ญเป็นนักหนา |
จึ่งเล่าเรื่องเคืองขัดอัธยา |
มีพ่อค้าฝรั่งเศสทุเรศแรม |
อยู่ฮานอยเป็นนายห้างมาสร้างตึก |
ตั้งคักคึกคิดก่อเห็นล่อแหลม |
มีโจรจำธงดำล้วนกับญวนแกม |
เข้าปนแปมตีค้นปล้นสะดม |
จับฝรั่งพ่อค้าฆ่าเสียสาม |
ที่เหลือข้ามคืนไปร้องฟ้องขรม |
จึ่งมาเล่าเจ้าประเทศเขตนิคม |
ก็นิ่งอมเอื้อนอำไม่ชำระ |
ผู้ปกครองของฝรั่งจึ่งตั้งทัพ |
ให้มาจับโจรที่คิดอิสระ |
ข้างฝ่ายจีนมิได้จองมาพ้องพะ |
ทราบเถิดนะในกิจจาอย่าประวิง |
ว่องทงเลงไกวลานฟังสารแสร้ง |
ไม่แยกแย้งต่อรบสงบนิ่ง |
เตรียมพหลพลพักอยู่ปักนิง |
การทุกสิ่งบอกหนังสือให้ถือไป |
ถึงกรุงจีนแจ้งจริงทุกสิ่งสม |
โดยคารมฝรั่งชี้คดีไข |
เจ้าจีนตรึกนึกตรองทำนองใน |
จึ่งแต่งให้ซำกงเปาเข้าณรงค์ |
คุมทัพใหญ่ยกมาห้าหมื่นเศษ |
สั่งไปรเวตหวังในใจประสงค์ |
เหมือนไม่ต้องข้องขานการณรงค์ |
แต่ให้คงคํ้าจุนหนุนองค์ลิว |
อะไรขัดจัดจองให้ต้องที่ |
แต่ในทีทำเชื้อเช่นเสือหิว |
ซำกงเปาลาลำดับกองทัพทิว |
รีบยกลิ่วเลยเข้าเมืองเล่ากาย |
ตั้งเกลื้อหนุนลิวตายันแล้วสันสั่ง |
ให้ไปตั้งเมืองเต้งไตเหมือนใจหมาย |
หกโมงทางห่างฮานอยคอยระคาย |
ตั้งเรียงรายรอแฝงไม่แรงรุณ |
ซำกงเปาเข้าปองคอยรองรับ |
เพื่อเสียทัพจะโถมเข้าโจมหนุน |
สารพัดจัดเกลื้อคอยเจือจุน |
ตั้งทอดทุ่นอยู่กับที่สักสี่เดือน |
ทัพฝรั่งตั้งประดาเข้ามาใกล้ |
เมืองเกาใยทางยาตรไม่คลาดเคลื่อน |
ห่างฮานอยสองนาฬิกาเตือน |
องค์ลิวเลื่อนทัพประชิดเข้าติดพัน |
รบฝรั่งพังรุกเป็นยุคเข็ญ |
ฝ่ายญวนเห็นสองทัพเข้าขับขัน |
แยกพลญวนออกเป็นสองกองฉกรรจ์ |
พวกหนึ่งนั้นเข้าข้างนายฝ่ายกุลา |
พวกหนึ่งเข้าลิวตายันปันแผนก |
ดูก็แปลกใจจริงกริ่งนักหนา |
ญวนต่อญวนหวนต่อไม่รอรา |
เป็นญวนมาตีญวนดูป่วนจริง |
พวกกุลาก็ประดาประดังทัพ |
องค์ลิวรับพลรบลงซบกลิ้ง |
ทั้งสองฝ่ายตายดื่นด้วยปืนยิง |
ตั้งประวิงทัพสู้อยู่สักปี |
ฝรั่งเสียนายทหารประมาณมาก |
ก็เบือนบากถอยไปตั้งอยู่ยังที่ |
เมืองฮานอยเนาทัพลำดับดี |
ไม่ต่อตีแต่ตรึกตราหาอุบาย |
ทัพธงดำก็ประดนพลไพร่ |
อยู่เกาใยหยุดมั่นไม่ผันผาย |
รักษาการด่านตั้งฟังระคาย |
องค์ลิวย้ายยกเร่งมาเต้งไต ๚ะ |
๏ เวลาเมื่อลิวตายันประชันตั้ง |
รับฝรั่งรอนรบสบสมัย |
องค์ตือดึกชีพดับลับประลัย |
เสียที่ในเมืองอยู่ชื่อฟูเชิน |
ญวนก็ยกเจ้าญวนที่หวนฮึก |
เป็นตือดึกครองดินในถิ่นเถิน |
องค์ลิวเจ้าเล่ากายก็หมายเมิน |
มิได้เกริ่นกรายรับบังคับญวน |
คงทำการราญรบสมทบเข้า |
ซำกงเปาเป็นนายฝ่ายเสฉวน |
สงบทัพยับยั้งตั้งกระบวน |
นับประมวลมีเวลาสิบห้าวัน ๚ะ |
๏ ฝรั่งเศสคิดศึกช่างลึกลบ |
ปิดทำนบน้ำแดงขึ้นแข็งขัน |
กับน้ำตาวถมพื้นให้ตื้นตัน |
ชลาลั่นไหลเข้าเมืองเกาใย |
ท่วมไพร่พลล้นแลกระแสสินธุ์ |
ล้มตายสิ้นสู่ลำแม่น้ำไหล |
เครื่องสาตราอาวุธยุทธิไกร |
ชลาลัยไหลส่งลงทะเล |
ทั้งเหย้าเรือนเคหาประชาราษฎร์ |
พังวินาศน้ำพัดเอาปัดเป๋ |
ถูกอุทกภัยตายออกดายเด |
สมคะเนฝรั่งคิดกิจการ |
พวกธงดำที่เหลือตายก็พ่ายกลับ |
มาตั้งรับรวมพลพหลทหาร |
อยู่เต้งไตต่อสติดำริการ |
ได้ประมาณปีเศษสังเกตดู |
ฝรั่งยกกองทัพมาสับสำ |
พวกธงดำก็ประดังออกตั้งสู้ |
เป็นสามารถมิได้ท้อต่อริปู |
รบกันอยู่สามเวลาก็ราราย |
ลิวตายันถอยกำลังไม่ตั้งรับ |
ก็แตกทัพธงดำระส่ำระสาย |
มารวมรอมพร้อมพหลพลนิกาย |
ตั้งค่ายรายรับระเบ็งอยู่เต้งฮึง |
ระยะทางห่างไปไม่ไกลใกล้ |
จากเต้งไตโดยพลันไปวันหนึ่ง |
ฝรั่งไม่ไล่กระพือทำอื้ออึง |
นิ่งคะนึงเนาหมู่อยู่เต้งไต |
แล้วจัดการบ้านเมืองให้เฟื่องฟุ้ง |
คิดบำรุงพลขันธ์อยู่หวั่นไหว |
ตั้งด่านทางกางกันสรรพภัย |
มิไว้ใจเกรงริปูจะจู่ตี |
ครั้นจัดแล้วแคล้วคลาโยธาหาญ |
ไปต่อต้านข้าศึกไม่นึกหนี |
เดินกระบวนทัพตรงเข้าพงพี |
ยกไปตีทัพธงเลงเมืองเต้งปัก |
ว่องธงเลงไกวลานไม่หาญสู้ |
ฝรั่งจู่โจมด่านเข้าหาญหัก |
ก็หนีแยกแตกกระจายทิ้งค่ายพัก |
กลับไปปักกิ่งแถลงแจ้งกิจจา |
กรุงจีนทราบวาบจิตให้คิดโกรธ |
จึ่งปรับโทษลงทัณฑ์บนเกศา |
ว่องธงเลงเกรงข้อมรณา |
ก็กินยาพิษทำลายวายชีวี |
ชิวธงเลงปลัดทัพนั้นปรับเขต |
เนรเทศขับไล่เข้าไพรศรี |
ไม่ลงราชอาชญาถึงฆ่าตี |
ละถิ่นที่สถานลาเข้าป่าไป |
แล้วกรุงจีนจัดการเร่งงานทัพ |
ได้พร้อมสรรพพวกพหลพลไพร่ |
ฟองตายันเป็นแม่ทัพรับยกไป |
เร่งครรไลรี้พลผจญโจม ๚ะ |
๏ ฝ่ายกองทัพฝรั่งกำลังเร่ง |
ไล่ธงเลงเลยด่านทำหาญโหม |
ถึงเมืองเลียงซางศึกทำครึกโครม |
แต่ไม่โรมรอรั้งตั้งกระบวน |
แต่เมืองนี้เป็นที่มั่นประจันประเทศ |
เข้าจดเขตแดนทำเลเมืองเสฉวน |
อยู่ระหว่างกลางเนื่องต่อเมืองญวน |
ฝรั่งรวนรอพักสำนักพล ๚ะ |
๏ ฟองตายันครั้นเมื่อเดินกองทัพ |
ได้ทราบสรรพข้อความตามนุสนธิ์ |
ว่ากุลาเลยล้ำล่วงตำบล |
ก็เร่งพลรบโรมเข้าโจมตี |
ทัพฝรั่งตั้งต้านทานไม่หยุด |
ทัพจีนรุดเร่งรบไม่หลบหนี |
ฝรั่งแตกแหลกทลายพ่ายโยธี |
จีนตามตีตายกองสักสองพัน |
ฝรั่งร่นพ้นประเทศเขตปักกิ่ง |
มาปักนิงตั้งทัพอยู่คับขัน |
เสียอาวุธยุทธกรรมที่สำคัญ |
ปัสตันปืนลูกแตกแปลกชนิด |
สี่สิบสามกระบอกถ้วนจำนวนนับ |
แล้วยังจับนายฝรั่งได้ดังจิต |
อีกสามคนฆ่าตายวายชีวิต |
แล้วยกติดตามไปไล่ประจญ |
เข้าล้อมเมืองปักนิงยิงกระหนาบ |
ไม่เข็ดหลาบรบรับอยู่สับสน |
ทั้งสองทัพขับคู่สู้ประจญ |
จีนต้อนพลล้อมฝรั่งอยู่รั้งราย ๚ะ |
๏ ข้างกองทัพทางฝ่ายเล่ากายเล่า |
ซำกงเปาตั้งปึ่งดูผึ่งผาย |
แต่ให้เต้งธงเลงซุ่มคุมนิกาย |
ทั้งไพร่นายนับยกมาหกพัน |
พบฝรั่งตั้งอาศัยอยู่ในที่ |
เมืองสามคี้คุมทัพอยู่ขับขัน |
ก็เข้าห้อมล้อมฝรั่งตั้งประจัน |
ลิวตายันแยกลัดสกัดทาง |
เพื่อมิให้ฝรั่งเหิมมาเติมทัพ |
คอยตั้งรับรบตัดให้ขัดขวาง |
อยู่จ้อหยกย่างกะระยะทาง |
โมงหนึ่งห่างกว่าสนามเมืองสามคี้ |
ทัพฝรั่งตั้งสู้อยู่ในค่าย |
ต่างเรียงรายรอรบไม่หลบหนี |
ตั้งประชิดติดต่ออยู่รอรี |
ประมาณสี่ห้าเดือนไม่เลื่อนลด ๚ะ |
๏ ทัพฝรั่งทางฮานอยซึ่งคอยอยู่ |
ครั้นได้รู้ว่าจีนล้อมไว้พร้อมหมด |
จึ่งจัดทหารดาลเดือดไม่เงือดงด |
โดยกำหนดโยธาจากฮานอย |
ถึงจ้อหยกยกโถมเข้าโจมจ้ำ |
ทัพธงดำเสียท่าก็ล่าถอย |
มาเมืองเล่ากายตั้งกำลังคอย |
รีบถ่ายทอยทางคิดกิจการ ๚ะ |
๏ ฝรั่งตีธงดำล่าไม่รารบ |
ตีตลบทัพที่ล้อมป้อมขนาน |
เต้งธงเลงเหลือกำลังไม่ตั้งทาน |
พาทหารหนีเข้าเมืองเล่ากาย |
ทัพฝรั่งตั้งรวมเข้าสวมที่ |
เมืองสามคี้สมคิดในจิตหมาย |
ประชุมทัพรับพหลพลนิกาย |
ทั้งไพร่นายเนาสถานสำราญรมย์ ๚ะ |
๏ อีกทัพหนึ่งซึ่งล้อมอยู่พร้อมพรัก |
เมืองเต้งปักปองรบประสบสม |
ฟองตายันมั่นค่ายรายระดม |
ไม่ล่มจมตั้งประจำทุกค่ำคืน |
ทัพฝรั่งที่ตั้งอยู่สามคี้ |
ไม่ยกรี้พลกล้าไปฝ่าฝืน |
สงบทัพขับพลคอยยลยืน |
จังกาปืนกำกับป้อมอยู่พร้อมกัน ๚ะ |
๏ ฝ่ายพวกจีนสามทัพที่กลับหนี |
มาอยู่ที่เมืองเล่ากายคอยหมายมั่น |
เต้งธงเลงกับหัวหน้าลิวตายัน |
อีกหนึ่งนั้นนามบ่งซำกงเปา |
ทั้งสามนายรายราโยธาพัก |
หยุดสำนักอยู่เล่ากายเป็นนายเถา |
ประมาณสี่ปีคาดเป็นลาดเลา |
ในเมืองเล่ากายโศกด้วยโรคราญ |
เป็นไข้พิษฤทธิ์ร้ายตายวินาศ |
ดังฟ้าฟาดอสุนีที่ประหาร |
เสียสักสามส่วนหมายที่วายปราณ |
ที่เหลือกาลเก็บประมวลสักส่วนเดียว |
ทัพฝรั่งก็ยังรอเป็นข้อเค้า |
ซำกงเปาป่วนคิดในจิตเสียว |
ทหารร่วงโรยราทำหน้าเซียว |
ไม่กรูเกรียวตรอมใจด้วยไข้กิน |
จึงเล้าโลมโน้มน้าวชาวกวางตุ้ง |
ตั้งบำรุงรวมได้ดังใจถวิล |
ทั้งกวางไซได้บรรจบทบโยธิน |
มาร่วมถิ่นถือตรงเป็นธงดำ |
ได้พวกพลมาประชุมไว้ชุ่มชื่น |
สักสองหมื่นเศษสลับกันสรรพสำ |
ให้รักษาเมืองเล่ากายจ่ายประจำ |
ทุกคืนค่ำคอยเหตุสังเกตการณ์ |
ข้างฝ่ายกองฟองตายันนั้นตั้งนิ่ง |
ล้อมปักนิงแน่นไว้ไม่ไขขาน |
ต่างตั้งมั่นขันกล้ารักษาการ |
ไม่ต่อต้านตั้งประชิดด้วยติดพัน |
พอได้รับหนังสือเบิกบอกเลิกทัพ |
ให้ยกกลับไปประเทศเข้าเขตขันธ์ |
ผู้ปกครองสองพาราได้ว่ากัน |
ดินญวนนั้นยกให้นายฝ่ายกุลา |
ฟองตายันแจ้งจริงสิ่งประสงค์ |
บอกซำกงเปาไปว่าให้หา |
กองทัพกลับซัวเถาเข้าพารา |
กับลิวตายันเจ้าเมืองเล่ากาย |
จึ่งเลิกทัพกลับหลังยังปักกิ่ง |
เป็นสิ้นสิ่งศึกสมอารมณ์หมาย |
ประมาณปียี่สิบสามตามธิบาย |
ที่จีนกรายกรูมาในอานัม |
เพราะเหตุที่มีศึกมาฮึกหาญ |
เข้าต่อต้านตีแดนแล่นถลำ |
มาหักหาญราญณรงค์กับธงดำ |
แล้วเที่ยวล้ำล่วงเขตประเทศญวน |
ยังเลยลามสยามหล้าอาณาจักร |
ล้วนพืชพรรคพวกเผ่าเหล่าเสฉวน |
อันความเดิมเริ่มรบหลายทบทวน |
ขอประมวลหมายเค้าพอเข้าใจ |
แต่รี้พลคนที่มาสามิภักดิ์ |
เข้าสมัครหมายจิตพิสมัย |
อยู่กับลิวตายันก็ครรไล |
ที่เขาไม่สมัครจรก็ผ่อนตาม |
อยู่ดินญวนสวนส่อต่อปักกิ่ง |
กับตองกิงแฝงเฝือออกเหลือหลาม |
เที่ยวอาศัยในประเทศทุกเขตคาม |
ด้นดั้นตามใจตนทุกหนทาง ๚ะ |
๏ ฝ่ายฝรั่งตั้งบำรุงผดุงหมาย |
พวกเล่ากายแจ้งกิจคิดขนาง |
ต่างย้ายแยกแตกออกทุกซอกทาง |
ก็เที่ยวคว้างควบคุมเป็นกลุ่มไป |
ตามเมืองน้อยบ้านนาที่ป่าเขา |
ชวนกันเข้าพักพาอยู่อาศัย |
จนล่วงลัดตัดลุถึงจุไทย |
ตั้งเป็นใหญ่ตัวยงคือองค์บา |
เมื่อแรกเริ่มเดิมทีที่อาศัย |
อยู่กวางไซแซ่ลินจีนอาสา |
ชื่อก๊กเฮงเตงเถาเหล่าโยธา |
คุมคณาร้อยคงเป็นธงดำ |
อีกพวกหนึ่งนามหมายงายเล่าแย้ |
เป็นจีนแท้รวมรับเป็นสรรพสำ |
อยู่เมืองม่วยหมายดินถิ่นอานัม |
มิล่วงล้ำเลื่อนไปให้ไกลกัน |
กองหนึ่งอยู่เมืองลามาร้อยเศษ |
ว่าคงเขตญวนซัดเขาจัดสรร |
ชื่อลิวเจ๊กเซงจำเป็นสำคัญ |
ล้วนพวกพันธุ์แถวทางเมืองกวางไซ |
เป็นทหารราญรุดอาวุธถือ |
สำหรับมือริมิงตันจัดสรรให้ |
ซำกงเปาเมื่อจะกลับกองทัพไป |
ก็ยกให้สำหรับตัวทั่วทุกคน |
ออกแยกย้ายขยายอยู่เป็นหมู่ย่อย |
แห่งละน้อยเหลือนับดูสับสน |
ประมาณยากมากมายหลายตำบล |
เห็นสุดจนที่จะแจงให้แจ้งใจ |
ยังพวกพันลันซีที่ตีแตก |
ก็ย้ายแยกพวกพากันอาศัย |
เที่ยวรุกร้นปล้นกินในถิ่นไพร |
ทำยุ่งใหญ่ยกสมทบเที่ยวรบราญ |
หัวหน้าชื่อยิบไต้ได้มาตั้ง |
มีกำลังธงเหลืองเนื่องขนาน |
สามพันคนด้นพามาเมืองลาน |
เที่ยวก่อการโจรกรรมทำคึกคัก |
อีกพวกหนึ่งนามขนานชื่อมานยี่ |
กำลังสี่ร้อยเนื่องมาเมืองตึก |
ฝั่งน้ำแท้ทิศบูรพาชลาลึก |
มาตั้งคึกตามเขตประเทศญวน |
แต่ยิบไต้ใจทะนงทำองอาจ |
แบ่งพลลาดหาเสบียงเลี้ยงกันป้วน |
ตีบ้านเล็กเมืองลับเที่ยวทับทวน |
ทำรบกวนก่อเข็ญไม่เอ็นดู |
พวกผู้รั้งกรมการลนลานวุ่น |
กับท้าวขุนขันกำลังออกตั้งสู้ |
ก็ไม่ต้านทานทัดพวกศัตรู |
ต้องยอมทู้ถอนทัพเข้ารับเกณฑ์ |
ตกเป็นกองลำเลียงส่งพวกธงเหลือง |
ทั้งเจ็ดเมืองร้อนร้าวเป็นกราวเขน |
คือเมืองม่วยเมืองลามาเข้าเวร |
เป็นดินเดนแด่นฮ่อเที่ยวต่อตี |
กับเมืองมกเมืองลำแลเมืองวัด |
อ้ายฮ่อปัดใช้ขนเสียป่นปี้ |
ทั้งเมืองซางเมืองฮุงเมืองปรุงไพรี |
อยู่ในที่บังคับคอยรับการ |
พวกที่ทู้อยู่มันทำเสียกรำกราก |
ต่างเบือนบากหนีไปเข้าไพรสาณฑ์ |
ทิ้งถิ่นที่ลี้หลบเที่ยวซบซาน |
หอบลูกหลานครอบครัวกันงัวเงีย |
ถ้าฮ่อเห็นจับเป็นไปใช้เช่นสัตว์ |
แม้นฝึกหัดไม่ฮ้อปาดคอเสีย |
ที่ยังสาวสรรค์ไว้ให้เป็นเมีย |
มาปัวเปียโลมเล้าทำเคล้าคลอ |
พวกท้าวขุนขุ่นเคืองทุกเมืองหมาย |
ไปหาฝ่ายญวนฟ้องแล้วร้องขอ |
ให้จับจีนโจรฉกาจไปปาดคอ |
มันเที่ยวต่อตีกินในถิ่นแดน |
ข้างฝ่ายญวนก็มีทัพกับฝรั่ง |
พะว้าพะวังการทั้งปวงที่หวงแหน |
จึ่งทิ้งให้โจรจีนมาหมิ่นแคลน |
อยู่เขตแคว้นแขวงนั้นทุกวันมา ๚ะ |
๏ โจรยิบไต้ใจเติบกำเริบร้าย |
ใช้ธงลายแบ่งกำลังออกตั้งหน้า |
ชื่อสามปิวเป็นแม่ทัพกำกับมา |
คุมโยธาพันเศษล่วงเขตคัน |
ตีบ้านเล็กเมืองลับยับระย่อ |
ถึงเชียงฆ้อสบแอดเที่ยวแผดผัน |
จนล่วงล้ำตำแหน่งแขวงหัวพัน |
เข้าประจัญโจรกรรมเที่ยวย่ำยี |
พวกท้าวขุนที่เป็นข้าอาณาจักร |
ต่างแยกยักอพยพเที่ยวหลบหนี |
ถึงประเทศเขตแคว้นแดนบุรี |
เที่ยวหลบลี้ซุ่มตัวด้วยกลัวภัย |
บ้างนิ่งจนทนทู้อยู่กับฮ่อ |
จะคิดต่อตีกู้สู้ไม่ไหว |
พวกธงเหลืองธงลายก็หมายใจ |
คิดการใหญ่ยกกำลังเที่ยวตั้งก๊ก ๚ะ |
๏ ครั้นล่วงกาลนานมาเที่ยวคลาคลาด |
เมื่อศักราชปีจอเป็นฉอศก |
สามปิวย้ายคลายคลาคณายก |
ไปตั้งก๊กเก็บเสบียงทุ่งเชียงคำ |
เจ้าเมืองพวนสวนทัพเข้าจับฮ่อ |
ได้ออกต่อรบรับกันสรรพสำ |
พวกสามปิวแม่นปืนยืนประจำ |
ยิงกระหน่ำขนานมาหน้าโยธี |
ถูกเจ้าเมืองพวนบรรลัยในสมร |
พลนิกรแตกพ่ายกระจายหนี |
พวกธงลายรายพลเที่ยวปล้นตี |
ตั้งค่ายที่ทุ่งเชียงคำนั้นร่ำมา |
บ้างแยกก๊กยกไปตั้งต่างตำแหน่ง |
ใช้ธงแดงสำหรับโดนเป็นโจรป่า |
ใครไม่หาญราญสู้หมู่บีฑา |
กำเริบร่าเริงรื่นทุกคืนวัน |
ล่วงเวลามามีได้ปีเศษ |
อ้ายต้นเหตุหัวหน้าตัวกล้ากลั่น |
คือสามปิวที่เป็นใหญ่ในอรัญ |
ยกพลพันไปปล้นพวกคนแม้ว |
ตำบลหนใดไม่ทราบแน่ |
ได้รู้แต่สามปิวนายนั้นตายแซ่ว |
ก็ถอยทัพกลับหนีไม่วี่แวว |
ครั้นมาแล้วหองให้ฮ่อไกวซิง |
เป็นหัวหน้าคุมกำลังไว้ทั้งสิ้น |
แล้วพากันรบพุ่งทำสุงสิง |
เสมอมามีแต่ค้นเที่ยวปล้นชิง |
ช่างยุ่งยิ่งยุคเข็ญที่เป็นมา ๚ะ |
๏ แล้วมีพวกธงแดงกำแหงหาญ |
คุมพวกพาลพลขันธ์สักพันห้า |
ไปเวียงจันท์เข้าประจญปล้นคามา |
ชาวชนานั้นพ่ายกระจายพัง |
ราษฎรร้อนร้ายด้วยอ้ายฮ่อ |
มันเที่ยวต่อตีไล่มิไว้หวัง |
ที่ไหนสุขรุกร้นปล้นประดัง |
แล้วก็ตั้งค่ายกองอยู่หนองคาย ๚ะ |
๏ ในครั้งนั้นท่านพระยามหาอำมาตย์ |
ไปพิฆาตข้าศึกที่ฮึกหาย |
อ้ายฮ่อแหกแตกหนีชีวีวาย |
วิ่งกระจายเจิ่นพาเข้าป่าไป |
รวบรวมพรรคพวกอยู่เป็นหมู่เลี้ยง |
ที่ทุ่งเชียงคำเก่าเข้าอาศัย |
บ้างเลยไปบ้านลาดฮ้วงกระทรวงไพร |
เที่ยวล้อมไล่รบลาวชาวพนา ๚ะ |
๏ ครั้นปีกุนจุลศักราชเสร็จ |
พันสองร้อยสามสิบเจ็ดได้แจ้งว่า |
กองทัพใหญ่ในกรุงศรีอยุธยา |
ยกขึ้นมาหลายทางวางประจำ |
พระยาพิไชยทับหน้ามาสกัด |
คุมขนัดทัพหนึ่งดูขึงขำ |
ยกมาลาดบวกเกณฑ์เวรประจำ |
จะตั้งทำยุทธฮ่อที่ก่อการ |
แม่ทัพหลวงล่วงมาตั้งประดังหมาย |
อยู่ปากลายลำของกองขนาน |
กิตติศัพท์ลือดังกังสดาล |
ออกนามท่านสะท้านกลัวไปทั่วทิศ |
ประสาทศักดิ์อรรคมหาเสนาหมาย |
ว่าการฝ่ายเหนือขาดราชกิจ |
มีที่สองรองเรียงอยู่เคียงชิด |
โปรดประสิทธิ์ศักดิ์สำคัญในสัญญา |
บัตรบอกแจ้งแห่งให้ในที่พระ |
สุริยะภักดีมียศถา |
แม่ทัพหลวงให้รับคุมทัพมา |
เป็นกองหน้านำล่วงหลวงพระบาง ๚ะ |
๏ ทัพข้างใต้ตอนหนึ่งมาขึงตั้ง |
คุมกำลังลัดเลาะค่อยเสาะสาง |
สืบข่าวฮ่อรอราดูท่าทาง |
มาแรมร้างในบุรีราชสีมา |
เป็นสามทัพสี่ทางเที่ยวล้างไล่ |
ทั้งนายไพร่ฮึกแหนมาแน่นหนา |
พระยาพิไชยได้ทีก็กรีธา |
ยกพลาพลขันธ์ประจัญโจร |
ธงแดงฮ่อรอรับอยู่คับขัน |
ออกยืนลั่นปืนยิงบ้างวิ่งโผน |
พลสองฝ่ายตายรอบอยู่ขอบโดน |
อ้ายพวกโจรจีนหลบสงบพัก |
ไม่ต่อสู้ทู้ขอทำน้ำพิพัฒน์ |
โดยความสัตย์เสร็จพร้อมยอมสมัคร |
เลิกการยุทธรุดณรงค์คงสำนัก |
ก็ตั้งพักพลในไพรรำพึง |
จีนพวกนี้มิรู้ว่ามาแต่ไหน |
ชื่อนายใหญ่นั้นประจักษ์ว่าปักอึ้ง |
ใช้ธงแดงดาษแดแลตะลึง |
ลอดทะลึ่งลงมาตั้งแต่ครั้งไร ๚ะ |
๏ ครั้นทัพพระสุริยะภักดีล่วง |
จากเมืองหลวงพระบางมาหาช้าไม่ |
ถึงลาดบวกลาดฮ้วงกระทรวงไพร |
พระยาพิไชยแม่ทัพมารับรอง |
แล้วชี้แจงแจ้งคดีที่ตีฮ่อ |
จนมันขอทู้ทำคำสนอง |
ถือน้ำพิพัฒน์สัตยาวาจาจอง |
จะขอปองเป็นข้าอย่าราคี |
ท่านพระสุริยะภักดีสดับ |
ไม่ยอมรับวาจาจังพวกตั้งหนี |
สัญชาติฮ่อทรลักษณ์มันภักดี |
แล้วไม่มีสัตย์ประสงค์ตรงกับใคร |
มันจวนตัวก็ทู้อยู่ต่อหน้า |
พอลับตาตามค้นปล้นอีกใหม่ |
จะละเลยเฉยตั้งฟังมันไย |
เร่งพลไพร่พรูตรงตีธงแดง |
พวกปักอึ้งตึงตังกำลังเผลอ |
มัวละเมอไมตรีไม่มีแหนง |
ทัพกระโจมเข้าประจัญโรมรันแรง |
ก็พลัดแพลงผลุนหนีไม่รีรอ |
ทั้งสองค่ายทลายแหลกออกแตกพวก |
ค่ายลาดบวกลาดฮ้วงทิ้งออกวิ่งปร๋อ |
ที่เจ็บป่วยไปมิทันฟันเสียพอ |
แล้วไล่ต่อตามไปมิได้ละ |
ถึงทุ่งเชียงคำตั้งกำลังรบ |
ไม่อพยพย้อนมาคิดอิสระ |
เข้าต่อต้านหาญฮึกนึกชนะ |
มิทันกะพริบตาก็ล่าไป |
เที่ยวพันพัวอยู่หัวพันอนันต์แน่น |
ในเขตแว่นเวียงลำเนาเขาไศล |
ครั้นฮ่อแตกแล้วกลับกองทัพไป |
อ้ายฮ่อไกวซิงหวนกลับทวนมา |
พวกลาวพวนจวนตัวกลัวฮ่อจับ |
ไปต้อนรับทำอารีดีนักหนา |
ขออยู่ด้วยช่วยยากฝากกายา |
เข้าพึ่งพาพิงพักด้วยรักตัว |
ฮ่อไกวซินสรรเอาพวนแต่ล้วนเด็ก |
ไว้หางเจ๊กจัดเล่นเช่นเจ้าสัว |
ล้วนแซ่ลาวพวนสะพรั่งตึ้งนั่งซัว |
เป็นกองตั้วเหี่ยเนื่องอยู่เมืองพวน ๚ะ |
๏ พระยาพิไชยได้แจ้งแห่งรหัส |
ว่าฮ่อจัดจีนลาวทำห้าวหวน |
จึ่งแต่งทัพกลับรบมาทบทวน |
คุมกระบวนบ่ายหน้าเข้าราวี |
ตัวนายทัพที่มารอต่อสมร |
พระนครไทยแต่งตำแหน่งที่ |
เข้าโรมรุกบุกบันกระชั้นตี |
สิ้นชีวีวางวายด้วยรายรบ |
พวกไพร่พลพ่ายพากันล่าลับ |
อ้ายฮ่อกลับลุกกระพือฮือตลบ |
ลาวพวนไพร่ในเชียงคำเข้าสำทบ |
เป็นกองรบรวมอยู่ในฮ่อไกวซิง ๚ะ |
๏ ฝ่ายยิบไต้ซึ่งตั้งกำลังกล้า |
อยู่เมืองลาวเขตจุไทยใจสุงสิง |
แต่กำลังรุกร้นเที่ยวปล้นชิง |
ทำใหญ่ยิ่งหยาบยุ่งระลุงลาน |
แล้วแยกพวกธงรายกระจายเปลื้อง |
เป็นธงเหลืองลอบใช้ให้วิตถาร |
ตัวนายชื่อลอลีเที่ยวตีลาญ |
มีพวกพาลใหญ่น้อยสามร้อยคน |
เที่ยวคลุกคลีตีรายมาหลายแห่ง |
ถึงเมืองแถงยกโถมเข้าโจมปล้น |
โลยยิดเจ้าเมืองไม่มีไพร่พล |
ต้องนิ่งทนยอมทู้ให้อยู่เมือง |
ฮ่อลอลีมิไว้ใจสนิท |
จับโลยยิดล้างชีวาตม์ให้ขาดเปลื้อง |
พลไพร่ในพาราคณาเนือง |
ต่างทิ้งเมืองออกหนีจากที่ไป |
อพยพยกสิ้นตั้งถิ่นฐาน |
หาวังม่านมุ่งหน้าไปอาศัย |
อยู่เมืองมูนเขตของสิบสองจุไทย |
หนทางไปสองเวลาต้องราแรง |
นอนแรมทางค้างเนินเถินทุเรศ |
ถิ่นประเทศแถวเนื่องต่อเมืองแถง |
เข้าหาวังม่านชี้คดีแสดง |
อยู่ตำแหน่งสำนักนั้นด้วยกันมา |
ตัววังม่านยังมีอยู่ได้รู้จัก |
เขารับศักดิ์เสริมศรีมียศถา |
เป็นผู้รั้งเมืองแถงตั้งแต่งมา |
ชื่อพระสวามิภักดิ์ประจักษ์ใจ |
มีสร้อยเสริมเติมนามสยามเขต |
ได้ประเวศมากับกองทัพใหญ่ |
พระสวามาอยู่นั่นในทันใด |
จึ่งซักไซ้สอบถามเอาความจริง |
ว่าเวลานั้นธงเหลืองอยู่เมืองแถง |
รู้จริงแจ้งจดไว้ได้ทุกสิ่ง |
ฮ่อลอลีทำเล่ห์ประเว่ประวิง |
มาตั้งนิ่งอยู่นานประมาณปี ๚ะ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้าพารามาลาประเทศ |
ครองนิเวศวรลักษณ์เป็นศักดิ์ศรี |
ดำรงรักษาลาวชาวบุรี |
นครศรีสัตนาวราเรือง |
จึ่งแต่งเจ้าราชวงศ์ทรงพหล |
ให้คุมพลโยธีตีธงเหลือง |
ลอลีแหลกแตกสันอนันต์เนือง |
ก็ทิ้งเมืองแถงหนีหลบลี้ไป |
ตั้งซ่องสุมคุมกันประชันก๊ก |
เป็นหมู่หมกเมืองลาที่อาศัย |
ครั้นฮ่อแตกแหลกกลับกองทัพไป |
เมืองแถงไร้ร้างที่ไม่มีคน |
ลอลีเลาะเสาะไปเที่ยวไต่ถาม |
ประมาณสามเดือนเศษทราบเหตุผล |
ว่าเมืองแถงทิ้งร้างบางตำบล |
ก็พาพลมาสถานบ้านเชอเลอ |
เป็นเขตแคว้นแดนดินถิ่นเมืองแถง |
เที่ยวตีแย่งชิงปล้นคนเสมอ |
ฝ่ายญวนแจ้งแต่งขุนนางต่างอำเภอ |
สืบเสนอข้อเข็ญที่เป็นมา |
ชื่อองค์ตูเข้ามาตั้งยังสถาน |
ที่วังม่านอยู่อาศัยได้ปรึกษา |
รวมพวกพลคนสมัครที่พรรคพา |
ประมาณห้าร้อยตั้งกำลังแรง |
จึ่งยกพวกพลไปด้วยใจหวัง |
เข้าประดังรบลอลีที่เมืองแถง |
เป็นสองวันขันสู้อยู่กลางแปลง |
ต่างต่อแย้งยิงปืนเสียงครื้นครึก |
พวกลอลีหนีพาโยธาแยก |
ออกตื่นแตกหลีกตัวด้วยกลัวศึก |
วังม่านคุมพลไล่ไปคักคึก |
อึกทึกทัพเนื่องไปเมืองลำ |
ลอลีหวนจวนทันประจัญรับ |
วังม่านทับโถมยิ่งวิ่งถลำ |
ถูกลอลีตีอกหกคะมำ |
ลงล้มคว่ำอยู่กับที่ชีวีวาย |
ฮ่อพหลพลไพร่เข้าไพรสาณฑ์ |
พวกวังม่านสมจิตที่คิดหมาย |
เข้าเมืองแถงพักสถานสำราญกาย |
เป็นสองฝ่ายด้วยองค์ตูอยู่จัดแจง |
จึ่งแต่งตั้งวังม่านสารประสงค์ |
เป็นกายตงรักษาพาราแถง |
แต่องค์ตูอยู่ด้วยช่วยจัดแจง |
ในเขตแขวงนิคามนั้นสามปี ๚ะ |
๏ ข้างฝ่ายฮ่อธงเหลืองอยู่เมืองตึก |
ตั้งคักคึกตัวกวานชื่อม่านยี่ |
กับยิบไต้ใจต่างทางไมตรี |
ก็แบ่งรี้พลแยกออกแตกกอง |
ม่านยี่ยกพวกพาเข้าอาศัย |
หาท้าวไลแจ้งจิตที่คิดหมอง |
ขอกำลังตั้งรบสมทบกอง |
ยกพวกพ้องพาเนื่องมาเมืองลา |
ตรงเข้าตียิบไต้นายธงเหลือง |
ด้วยคิดเคืองแค้นขัดสหัสสา |
รบกันเองเครงครื้นพื้นสุธา |
ต่างแตกบ่าบากเบือนเที่ยวเชือนแช |
ฝ่ายท้าวไลเห็นกำลังฮ่อพลั้งพล่าน |
จึ่งแต่งสารขอกองทัพหนองแส |
ให้ปราบโจรจีนฮ่อที่กอแก |
เที่ยวแตกแพร่พรูปล้นพลเมือง |
หนองแสแจ้งแต่งพหลพลทหาร |
มาต่อต้านรณรงค์พวกธงเหลือง |
สามร้อยคนพลที่พามาแต่เมือง |
เข้าหนุนเนื่องสมทบทัพกับไทยไล |
นามแม่ทัพหนองแสประสงค์ |
ชื่อจงทงคุมทัพกำกับไพร่ |
ม่านยี่ฮ่อนำจงทงยกตรงไป |
ตียิบไต้ธงเหลืองที่เมืองลา |
ส่วนกายตงนั้นก็ตั้งยังเมืองแถง |
ครั้นได้แจ้งจัดทัพรับอาสา |
ยกพหลพลกำลังประดังมา |
ยังเมืองลาห้อมล้อมเข้าพร้อมกัน |
พวกยิบไต้ใจกล้าไม่ว้าหวาด |
โดยสามารถหมายสู้เป็นคู่ขัน |
ทั้งสองฝ่ายตายยับนับอนันต์ |
ต่างตั้งมั่นทัพพักอยู่สักปี |
พลเมืองเคืองเข็ญเห็นวิบัติ |
จึ่งคิดจัดแจงการส่งสารศรี |
ขอกองทัพญวนมาช่วยราวี |
ปราบไพรีระงับร้อนให้ผ่อนเย็น |
เจ้าเมืองญวนครวญใคร่ในลิขิต |
ว่าฮ่อติดตีแดนสุดแสนเข็ญ |
จึ่งจัดคนพลพันสรรประเด็น |
แต่ล้วนเป็นทหารเก่าเมืองเล่ากาย |
ซึ่งแม่ทัพกำกับมาน่าถวิล |
กวานเล่งบินบอกแจ้งตำแหน่งหมาย |
เป็นคนญวนควรร่ำคำภิปราย |
ทหารรายรณรงค์พวกธงดำ |
ทัพญวนได้ไคลคลาเข้ามาถึง |
ตั้งค่ายขึงแข็งทัพไม่สรรพสำ |
พวกยิบไต้ใจเต้นเห็นธงดำ |
ไม่อาจทำยุทธกิจด้วยคิดกลัว |
กวานเล่งบินจินตนาเห็นข้าศึก |
ไม่คักคึกขนพองสยองหัว |
จึ่งเกลี้ยกล่อมยอมสมัครเข้าพักพัว |
กวาดครอบครัวกลับไปพลันสองพันเลย |
ครั้นญวนกลับทัพไปพอไกลที่ |
ฮ่อที่หนีซุ่มหน้าไม่ช้าเฉย |
อีกสักสามร้อยคนไม่ล้นเลย |
ด้วยเขาเคยข้างพาลสันดานเดียว |
หัวหน้านายหมายคงเป็นธงเหลือง |
ชื่อกอเจียงใจกล้าเหมือนม้าเฉียว |
มีฝีมือลือลั่นสนั่นเจียว |
พาพวกเที่ยวท่องทั่วในหัวพัน |
แต่ม่านยี่นี้ท้าวไลให้รักษา |
คุมโยธาพักพหลพลขันธ์ |
อยู่เมืองวัดจัดแจงคิดแบ่งปัน |
ตั้งขอบคันเขตคามตามแต่ใจ |
พวกจงทงท้าวไลให้มาสร้าง |
อยู่เมืองบางแบ่งถิ่นที่ดินให้ |
ที่แตกสันดั้นดงเข้าพงไป |
พวกยิบไต้ตั้งเริ่มเป็นเดิมมา |
แล้วแยกย้ายผายผันปันเป็นหมู่ |
เที่ยวตั้งอยู่หย่อมย่านชานพฤกษา |
เป็นผู้ร้ายรายปล้นคนไปมา |
ในอาณาเขตสยามเที่ยวลามลวน ๚ะ |
๏ ฝ่ายท้าวไลได้ฮ่อก็รับเลี้ยง |
สิ้นเสบียงเบือนพักตร์คิดหักหวน |
ทั้งขัดทรัพย์จับจ่ายหลายกระบวน |
จึ่งคิดทวนทบมาหาจงทง |
ยืมเงินไปใช้สอยเสียย่อยยับ |
ไม่คิดกลับคืนตามความประสงค์ |
กลับให้คนลอบมาฆ่าจงทง |
ชีวิตปลงปลดเปลื้องอยู่เมืองบาง |
พวกไพร่พลยลเหตุสังเกตหมาย |
มาฆ่านายนึกตามเนื้อความหมาง |
ก็ทราบว่าท้าวไลทำใจจาง |
จึ่งคิดล้างเล่ห์แก้ที่แชเชือน |
ไปสถานม่านยี่ที่เมืองวัด |
แจ้งกระจัดความเล่าตามเค้าเงื่อน |
ม่านยี่ทราบปราบจิตคิดสะเทือน |
ก็ชวนเพื่อนพวกพามาหัวพัน |
เข้ารวมรอมพร้อมทัพกับธงเหลือง |
ฮ่ออาเจืองแจ้งกิจที่ผิดผัน |
พร้อมกำลังพังทลายเมืองควายพลัน |
เข้าประจัญจับกลพวกคบพาล |
พวกท้าวขุนวุ่นวายไม่หมายสู้ |
เข้ายอมทู้ยกดินให้ถิ่นฐาน |
ฮ่ออาเจืองเคืองจริงไม่นิ่งนาน |
ยกล่วงด่านเลยแดนด้วยแค้นใจ |
ตีวังม่านที่มาตั้งยังเมืองแถง |
ได้ต่อแย่งยิงกันอยู่หวั่นไหว |
ข้างเมืองควายได้ข่าวว่าท้าวไล |
คิดขัดใจเจ้าเมืองด้วยเรื่องทู้ |
จึ่งลอบให้คนมาฆ่าเขาเสีย |
เพราะเข้าเกลี้ยกล่อมศึกไม่นึกสู้ |
พวกธงเหลืองหลามล้อมเข้าพร้อมพรู |
เป็นสองหมู่หมายมาดพิฆาตคึก |
ให้โอ้ยซำกำกับเป็นทัพใหญ่ |
ตีเมืองไลเลยโถมเข้าโจมศึก |
ฮ่ออาเจืองตีเมืองแถงว่าแหงฮึก |
เป็นสองศึกสู้ประดังกำลังแรง |
อาเจืองฮ่อต่อติดประชิดรบ |
ตีตลบล้อมเนื่องเข้าเมืองแถง |
พวกวังม่านต้านต่อคิดท้อแรง |
ทิ้งตำแหน่งหนีหน้าเข้าป่าไป |
อาเจืองตั้งยั้งทัพไม่สรรพสำ |
พวกโอ้ยซำหนุนเนื่องตีเมืองไล |
แตกวินาศสาดสรรพด้วยทันใด |
ตัวท้าวไลหนีเนื่องไปเมืองแต ๚ะ |
๏ ฝ่ายวังม่านดาลเดือดไม่เหือดหาย |
จึ่งทำป้ายเขียนความตามกระแส |
ให้คนถือป้ายส่งลงมาแปล |
ถวายแก่องค์ท้าวเจ้านคร |
ซึ่งเป็นใหญ่ในคณามาลาวะ |
เมืองหลวงพระบางแจ้งแห่งอักษร |
ขอให้แต่งกองทัพไปรับรอน |
อ้ายฮ่อจรโจรจะตั้งเข้านั่งเมือง |
แล้ววังม่านพล่านผลุดหลุดทะลึ่ง |
ไปเต้งฮึงชี้แจงแสดงเรื่อง |
ขอทัพญวนชวนพาให้มาเมือง |
ตีอาเจืองคิดจับให้อับจน |
เมืองญวนรับสดับสารวังม่านสิ้น |
ให้เล่งบินเบิกทัพโดยสับสน |
ยกธงดำนำทหารมาราญรณ |
รีบเร่งพลพาประดังมาตังตึง |
นับประมาณพลไม่น้อยหกร้อยเศษ |
เร่งทุเรศแรมอรัญก็ทันถึง |
เข้าเมืองไลตีแหลกฮ่อแตกอึง |
ไล่ตะบึงหนีระบาดไม่อาจรอ |
รักชีวีหนีหน้ามาเมืองแถง |
เที่ยวแอบแฝงเฝือป่าทำหน้าจ๋อ |
กองทัพญวนยกไล่มิได้รอ |
ไล่ตีต่อรบร่ำกระหน่ำไป |
ฮ่ออาเจืองธงเหลืองแตกไม่แยกย้อน |
มาเมืองซ่อนซุ่มหน้าเที่ยวอาศัย |
ธงดำฮึกศึกหาญทะยานใจ |
ก็ลุยไล่เลยตามความคะนอง |
อาเจืองย้ายพ่ายพากันล่าหลบ |
ไปแอบซบอยู่ห้วยทรายเป็นนายซ่อง |
แขวงเมืองพวนพรรคพาคณานอง |
ได้พวกพ้องสักสี่ร้อยอยู่ดอยดอน |
แต่ธงดำทำศึกเหิมฮึกจิต |
ไล่ตามติดตีธงเหลืองถึงเมืองซ่อน |
แล้วรีบกลับทัพไปไม่อาวรณ์ |
มิได้ผ่อนพักอาศัยอยู่ในแดน |
มารวมทัพยับยั้งยังตำแหน่ง |
ที่เมืองแถงทอดพลพหลแหน |
ยกวังม่านเป็นผู้รั้งระวังแดน |
มีนามแม้นหมายข้างขุนนางญวน |
เรียกเจ้าอี้มีตำแหน่งแห่งผู้รั้ง |
เขาจัดตั้งตามจริตไม่ผิดผวน |
พอถูกยุคทุกทบมารบกวน |
ฝรั่งทวนทัพมาเมืองฮานอย |
ทัพธงดำกำลังจัดตั้งแต่ง |
อยู่เมืองแถงรู้ท่าก็ล่าถอย |
ธงเหลืองที่หนีอาศัยอยู่ในดอย |
ก็ออกลอยนวลปล้นคนหัวพัน |
แต่ย้ายแยกแตกกระจายไปหลายหน |
เที่ยวซอกซนซุ่มป่าพนาสัณฑ์ |
ในเมืองพวนสวนส่อต่อหัวพัน |
เที่ยวโรมรันรุกร้นปล้นกันมา |
ทั้งสองข้างต่างทวนกันสวนสื่อ |
จนออกอื้อฉาวฉานนานนักหนา |
ราษฎรร้อนรุกทุกทิวา |
ล่วงเลยมาจนป่านนี้ชี้กระจาย ๚ะ |
๏ ฝ่ายอาเจืองเนื่องพาคณาเที่ยว |
เข้ากลมเกลียวสิงสู่เป็นหมู่หมาย |
รวมกับไกวซิงสุขสนุกสบาย |
แต่ห้วยทรายสืบเนื่องมาเมืองพวน |
เป็นสองซ่องท่องเที่ยวเลี้ยวตลบ |
ปล้นจนจบเจนใจคอยไต่สวน |
ราษฎรร้อนสิ้นในดินพวน |
บ้างหนีป่วนปั่นไปอาศัยรก ๚ะ |
๏ ครั้นล่วงมาช้านานประมาณแน่ |
ปีมะแมเมื่อเป็นเบญจศก |
ได้สี่ปีล่วงไปทัพใหญ่ยก |
ดังจะผกโผนบินบนดินดาน |
แม่ทัพใหญ่ในโยธาพระยาราช |
ถืออำนาจนำพหลพลทหาร |
มีข่าวลือชื่อไปในพนานต์ |
ตั้งการรวมกองอยู่หนองคาย ๚ะ |
๏ อีกกองหนึ่งก้าวสกัดยกลัดล่วง |
จากเมืองหลวงพระบางโดยหมาย |
ชื่อแม่ทัพกำกับพลสกลกาย |
นามภิปรายโปรดมาพระยาพิไชย |
ตัวชื่อมิ่งมาม้วยด้วยไข้พิษ |
ก็เสร็จกิจสูญสุขทุกข์กระษัย |
มาเมืองพวนสวนทันกันดังใจ |
ล้อมค่ายไกวซิงตั้งอยู่รั้งรา |
พวกธงลายเหลืออยู่น้อยสามร้อยเศษ |
ได้คนเขตพวนที่ทู้ออกสู้หน้า |
สักสองร้อยคอยรับทัพที่มา |
ออกตั้งหน้าต่อตีจะหนีไป |
เป็นสามารถคาดจะแหวกให้แตกห้อม |
ทัพใหญ่ล้อมรอบมั่นไม่หวั่นไหว |
พระยาราชพิฆาตศึกนึกเอาชัย |
พลางขับไพร่พร้อมหน้าเข้าราวี |
อ้ายฮ่อยิงปืนทยอยคอยโต้แย้ง |
มาถูกแข้งแม่ทัพใหญ่มิได้หนี |
กลับเร่งเร้าให้รีบเข้ากระโจมตี |
จนแผลที่ถูกปืนปวดเข้ารวดรุม |
มาหยุดพักก็สบายพอหายพิษ |
ศึกก็ติดตั้งรอมรสุม |
สิบห้าวันลั่นปืนยืนประชุม |
ตั้งตะลุมบอนรบสมทบทัพ |
แต่พวกฮ่อต่อสู้อยู่ในค่าย |
ครั้นจะพ่ายพาครัวก็กลัวจับ |
จนเต็มอ่อนงอนง้อขอคำนับ |
ไม่คิดรับรายรอการต่อยุทธ |
ท่านแม่ทัพรับว่าถ้าจะทู้ |
ไม่ต่อสู้แจ้งใจให้ใสสุด |
ให้ส่งสรรพสาตราเครื่องอาวุธ |
สิ้นวิมุตแล้วมาพูดจากัน |
ข้างพวกฮ่อก็กริ่งในสิ่งศึก |
ด้วยใจฮึกหาญจ้วงล่วงถลัน |
เมื่อคราวก่อนอ่อนน้อมก็ยอมกัน |
แล้วกลับหันหาญไล่ดังไฟฮือ |
จึ่งหยุดยั้งชั่งใจเห็นไม่แน่ |
เกรงจะแปรปรวนกลับไม่นับถือ |
ก็รอรั้งตั้งราฟังหารือ |
มิให้รื้อเรื่องรบสงบพล |
ประมาณสองเดือนเศษสังเกตนับ |
จนกองทัพถึงเวลาเข้าหน้าฝน |
ขาดเสบียงเลี้ยงทหารที่ราญรณ |
ต้องยกร่นราทัพถอยกลับไป |
พระยาราชนั้นมาอยู่เป็นหมู่หมาย |
เมืองหนองคายคั่งคับกองทัพใหญ่ |
ทัพหัวเมืองเนื่องพากันคลาไคล |
เข้าพักในหลวงพระบางอยู่ค้างแรม |
แต่พระยาพิไชยนั้นไปก่อน |
ทางเมืองซ่อนสืบฮ่อที่ล่อแหลม |
ทำแผนที่ชี้สถลเป็นกลแกม |
เที่ยวสอดแนมสำนักโดนพวกโจรจร |
กับพระวิภาคภูวดลเที่ยวด้นดั้น |
ในอรัญราวประเทศเขตสิงขร |
พวกไกวซิงนิ่งการไม่ราญรอน |
กองทัพจรแล้วจึ่งปล้นกันป่นมา |
ความที่รบจบคำพอจำได้ |
ดูยืดใหญ่ยาวชักนานนักหนา |
ฟังออกเฝือเหลือล้นคณนา |
น่าระอาอึดอกเห็นรกใจ ๚ะ |
๏ ยังการที่ล่วงมาเวลาลับ |
แม้จะนับปีเป็นสามตามสมัย |
ระกาเดือนสิบเอ็ดชะดกระจัดใจ |
ขุนนางในอานัมขานคือกวานธง |
มาเกลี้ยกล่อมฮ่อให้ใจสมัคร |
เป็นพวกพรรคซุ่มอาศัยไพรระหง |
ในดินเมืองเต้งแถงแจ้งจำนง |
ให้คิดคงคืนเขตประเทศญวน ๚ะ |
๏ เป็นสิ้นเค้าเล่าข้อที่ฮ่อหลาม |
เข้าเขตสยามยกเร่จากเสฉวน |
เที่ยวสาดสรรจรัลจรายหลายกระบวน |
ถึงเมืองพวนพวกฮ่อคิดกอแก |
ฮ่อที่มาพายุ่งทำสุงสิง |
คีอไกวซิงเป็นหัวหน้าตาแชแหม |
ทั้งสองข้างหมางอุทัยมิได้แล |
มันมาแส่ส่อหาญทำการรบ ๚ะ |
๏ ขอกลับกล่าวสาวต้นนุสนธิ์สวน |
ที่ในส่วนตัวจริงทุกสิ่งจบ |
มาอาศัยในอรัญหัวพันพบ |
จนได้นบนอบคำนับกองทัพไทย |
เมื่อเดิมทีที่จรัลได้ผันผาย |
จากเล่ากายเกิดการเป็นปานไฝ |
เล่นน้ำเต้าปูปลาประสาใจ |
ก็ประลัยเสียล้นจนพ้นตัว |
ออกหนีมาแปดคนเที่ยวด้นดั้น |
พาหัวพันเที่ยวพาลเพราะการชั่ว |
มีอาวุธยุทธกรรมประจำตัว |
เข้าพันพัวพักประเทศเขตจุไทย |
ถึงเมืองลารารอนเข้าผ่อนพัก |
ในสำนักฮ่อที่ลือชื่อยิบไต้ |
ใช้ธงเหลืองสำหรับกองทัพชัย |
เที่ยวล้างไล่ตีปล้นตำบลราย |
ได้เงินตรามาด้วยกันสองพันบาท |
จึ่งคลาคลาดแยกถิ่นซื้อฝิ่นขาย |
ไปสำนักปักอึ้งถึงหนองคาย |
ได้จำหน่ายเนื้อฝิ่นจนสิ้นไป |
แล้วเลยอยู่สู่หาคณาเนื่อง |
ด้วยธงเหลืองละเลิงจิตพิสมัย |
ประมาณปีเศษสุขสนุกใจ |
ไม่มีภัยพาลามาระคาย ๚ะ |
๏ พอกองทัพท่านพระยามหาอำมาตย์ |
ตีพินาศหนีแตกออกแหลกหลาย |
ข้าพเจ้าเล่าก็กลัวตัวจะตาย |
พาพวกพ่ายหนีเนื่องมาเมืองลา |
เงินจำหน่ายขายฝิ่นก็สิ้นสุด |
ทุนกลับหลุดลอยขาดวาสนา |
ต้องกลับอยู่กับยิบไต้ในเมืองลา |
สามเดือนกว่าเกิดการดาลฤดี |
ฮ่อยิบไต้ใจเคืองพวกเมืองตึก |
แล้วทำศึกต่อต้านด้วยม่านยี่ |
เจ้าเมืองไลไปแจ้งแห่งคดี |
ขอโยธีทัพใหญ่ในอานัม |
มาราญรอต่อณรงค์ด้วยธงเหลือง |
อนันต์เนื่องกองทัพมาสรรพสำ |
ทหารญวนล้วนแต่พลคนธงดำ |
ยิบไต้นำพลเข้าทู้ไม่สู้รบ |
กวานเล่งบินยินดีแล้วลีลาศ |
จึ่งให้กวาดฮ่อไปไล่ตลบ |
สองพันคนเศษรับเข้าทัพทบ |
ยกพยบพวกพาไปธานี |
แต่ข้าเจ้าเล่าคิดกลัวด้วยตัวผิด |
เพราะโทษคิดคบพากันล่าหนี |
แม้นกลับไปไหนจะปลอดรอดชีวี |
เพราะโทษมีอยู่กับตัวจึงกลัวภัย |
หลีกหนีออกซอกซนไม่ปนแปด |
มาสบแอดออกหาที่อาศัย |
พบอาเจืองฮ่อโจรทะโมนไพร |
ก็พร้อมใจบรรจบเข้าทบกัน |
แล้วอาเจืองพาจรเที่ยวร่อนร่าย |
ไปห้วยทรายตามจิตคิดกระสัน |
แล้วกวานทงลงมาพาไปพลัน |
เข้าสู่คันขอบเขตประเทศญวน |
ข้าพเจ้ามิเต็มใจจะไปด้วย |
ก็ออกป่วยเป็นบิดด้วยจิตหวน |
มีพวกห้าสิบคนปนประมวล |
จากเมืองพวนพักหมู่อยู่หัวพัน |
ในเมืองแอดแวดระวังคิดตั้งค่าย |
เป็นสองฝ่ายแบ่งคนพลขันธ์ |
ตั้งที่บ้านนาปาท่าประจันต์ |
บ้านใดนั้นที่อยู่พวกหมู่พล |
เพราะจีนฮ่อกอไต้ได้อยู่ก่อน |
จึ่งคิดผ่อนผันจัดเพื่อขัดสน |
เป็นสองพวกพักทหารไว้ราญรณ |
อยู่ตำบลนั้นมาเป็นช้านาน |
ถึงปีวอกจัตวาที่ตราศก |
ท้าวโต้ยกพวกพหลพลทหาร |
มาตีค่ายรายกำลังเข้าตั้งการ |
แทบจะทานทัพไว้มิใคร่ทัน |
ด้วยไพร่พลข้าพเจ้าเล่าก็น้อย |
คิดจะถอยทัพไปเข้าไพรสัณฑ์ |
พอพวกฮ่อเมืองฮุงทวนสวนมาทัน |
จึ่งได้มั่นมุ่งหน้าเข้าราวี |
ท้าวโต้หาญราญแรงกำแหงหุน |
ถูกกระสุนปืนพับอยู่กับที่ |
พลก็แตกแหลกลาญไม่ต้านตี |
พากันหนีหลบลับไม่กลับมา ๚ะ |
๏ เลิกศึกสองเดือนเศษทราบเหตุแจ้ง |
องค์บาแบ่งถิ่นพิทักษ์ให้รักษา |
แขวงหัวพันคนไว้ให้สัญญา |
แม้มีข้าศึกรบมาทบกัน |
ครั้นอยู่มาปีระกาเดือนสิบสอง |
องค์บาข้องขุ่นคิดจิตกระสัน |
ให้องค์ทั่งทั้งข้าเจ้าเข้าด้วยกัน |
ไปประจัญจับผู้รั้งยังเมืองพูน |
ทั้งเมืองแวนเมืองโสยเมืองซำไต้ |
พิฆาตให้แตกวินาศไปขาดสูญ |
เวลานั้นสันกำลังตั้งประมูล |
ได้เพิ่มพูนพลลาวชาวผู้ไทย |
พวกองเมืององค์บาห้าร้อยเศษ |
ทั้งพลเขตโขดเขาเนาไศล |
คือข่าแจะที่เป็นเจืองมันเคืองใจ |
มาเข้าในพวกเดียวกันเกลียวกลม |
พอทราบศัพท์ว่ากองทัพยกมาใหญ่ |
ตีบ้านใดฮ่อแตกลงแหลกล่ม |
ข้าเจ้ากลับทัพมาทู้อยู่นิยม |
ในนิคมเขตจังหวัดปัถพิน |
เมื่อเดือนแปดปีจออัฐศก |
พฤหัสบดิ์ตกแรมหวังดังถวิล |
สิบสี่ค่ำจำตริปฏิทิน |
หมดระบิลบอกประมาณการในตัว |
แต่เข้ามาอาศัยในจังหวัด |
อมรรัตน์รมเยศประเทศทั่ว |
สิบสามปีมีมั่นไม่พันพัว |
ได้ตั้งตัวครองสถานอยู่บ้านใด |
มีขุนนางข้างญวนมาชวนชัก |
ออกคุมพรรคพวกพลด้นไศล |
ชื่อไตซันคิดแค้นแน่นในใจ |
คอยลอบไล่ล้างทำลายนายกุลา |
เป็นสองพวกคุมพลเที่ยวด้นดัก |
ด้วยจิตรักเจ้านายหมายอาสา |
เกลี้ยกล่อมใจให้ข้าเจ้าเข้าพักพา |
จะแต่งตราตั้งกำหนดให้ยศมี |
มอบให้พักสมัครมั่นหัวพันหก |
เป็นต้นก๊กกะเขตประเทศที่ |
ส่วนองค์บารักษาแว่นแคว้นบุรี |
ในถิ่นที่ประเทศทางข้างจุไทย |
ความในตราว่าให้ตั้งระวังอยู่ |
ถ้าต่อสู้ฝรั่งเศสเป็นเหตุใหญ่ |
จงจัดทัพขับขันโดยทันใด |
เร่งยกไปรอญราญการณรงค์ |
ข้าพเจ้าแจ้งแห่งเหตุประเทศนี้ |
มิใช่ที่ถิ่นญวนไม่ควรหลง |
เป็นเขตหลวงพระบางคิดในจิตจง |
จึ่งไม่ปลงวิญญาสามิภักดิ์ |
ข้าพเจ้านับองค์บาปรึกษาพร้อม |
เข้าขอยอมเป็นข้าอาณาจักร |
รับฟังบทกฎหมายไม่ย้ายยัก |
ยึดเป็นหลักมั่นแน่ไม่แปรปรวน |
คิดสละละรั่วไม่มัวหมาย |
ทำหยาบคายคดคิดให้ผิดผวน |
จะรวมพวกพ้องพามาประมวล |
มิให้กวนก่อเข็ญเหมือนเป็นมา |
เป็นความสัตย์จังจริงทุกสิ่งสม |
ไม่นิยมยินร้ายให้ขายหน้า |
ควรมิควรแล้วแต่โปรดโทษอาชญา |
ขอพระบารมีกั้นสรรพภัย ๚ะ |
๏ เป็นหมดความนามที่ฮ่อมาต่อหาญ |
ได้ทราบสารสิ้นลงไม่สงสัย |
แล้วจัดกิจคิดการงานที่ไป |
กองทัพใหญ่จะยกเดินเนินพนานต์ |
พวกท้าวขุนที่จะมารับตราตั้ง |
ให้กลับยังที่อาศัยเข้าไพรสาณฑ์ |
จัดครอบครัวมั่วหมู่สู่สำราญ |
กำหนดการที่จะพบประสบกัน |
ในเดือนสี่ปีจอรอให้พร้อม |
มารวมรอมรีบรัดได้จัดสรร |
ในนครหลวงพระบางทางจำนรรจ์ |
ทุกหัวพันสั่งกำหนดพจนา |
แล้วจัดพระพาหนให้ไปสมทบ |
เข้าบรรจบกันกับกองทัพหน้า |
ถึงบ้านใดให้เรียกองค์บามา |
ทำสัจจาแจ้งประจักษ์ตามภักดี |
แล้วเลยลัดตัดเนื่องไปเมืองแถง |
ท่านชี้แจงจัดกระบวนให้ถ้วนถี่ |
กะเป็นหมวดตรวจจังหวัดปัถพี |
แบ่งหน้าที่เดินทบบรรจบทัพ |
กองทัพใหญ่ให้พระอินทแสนแสง |
ไปเมืองแถงทำค่ายไว้สำหรับ |
ขุนนางลาวท้าวแสนแน่นคำนับ |
ไปกำกับกะวางฉางเสบียง |
ต่างล่วงลัดดัดดั้นอรัญเวศ |
โดยประเทศทางทุรัศฉวัดเฉวียง |
กองทัพใหญ่แยกพหลพลลำเลียง |
พอพร้อมเพรียงโยธาก็คลาไคล |
แรมแปดค่ำพฤหัสบดิ์เดือนสิบสอง |
ก็ยกกองทัพเดินเนินไศล |
ไปเมืองแถงทางพ้องสิบสองจุไทย |
ปราบท้าวไล่พ่อลูกที่ปลูกพาล ๚ะ |
๏ พวกชาวเมืองเนื่องพากันมาส่ง |
ด้วยจิตจงผูกใจปราศรัยสาร |
ทั้งชายหญิงวิ่งวนมาลนลาน |
หมดทั้งบ้านบ่นพึมเสียงครึมครวญ |
ด้วยได้หนุนจุนเจือเมื่อพักทัพ |
ครั้นจะกลับตรอมใจอาลัยหวน |
มาส่งเสียเคลียคลอดูรอรวน |
ตามกระบวนทัพมาด้วยอาลัย |
พอเบี่ยงบ่ายชายศรีชะนีโหน |
ถึงบ้านโงนหยุดโยธาเข้าอาศัย |
กลางทุ่งนาว้าเวิงกระเจิงใจ |
อนาถในทรวงสะท้อนลงนอนเพียง |
พวกสาวสาวชาวเมืองซ่อนที่จรส่ง |
ยังพะวงเวียนเว้ากระเส่าเสียง |
ละห้อยละเหี่ยเคลียคลออยู่รอเรียง |
สำออยเอียงอิดออดทอดระทวย |
ผูกอาลัยใจคอท้อระทด |
ไม่ปลิดปลดเปลื้องปละทำระหวย |
ละล่ำละลักชักพะวงให้งงงวย |
แทบมาด้วยทัพไทยอาลัยเลือน |
รื่นอารมณ์ลมวอนสุนทรไข |
สาวผู้ไทยทีสนิททำอิดเอื้อน |
เจ้าคารี้สีคารมเฝ้าชมเชือน |
เหมือนแกล้งเตือนจิตตันถึงขวัญใจ |
ฝีปากลาวกล่าวมวลไม่ชวนชื่น |
เหมือนหนึ่งกลืนข้าวกับเกลือพอเจือไส้ |
มาปันจิ้มลิ้มลองไม่ต้องใจ |
นั่งพิไรร่ำแคะพูดและเลียม |
จนดึกดาวพราวพร่างขึ้นกลางหน |
ต้องนิ่งทนทุกข์ระทึกให้นึกเหนียม |
จะชี้แจงแพลงพลิกกระดิกกระเดียม |
นิ่งเสงี่ยมนอนตรมแทบงมงง |
จนรุ่งรางสร่างศรีสุริยาตร |
ก็ลีลาศลาไปอาลัยหลง |
แล้วซํ้าขานสารสั่งสัจจังจง |
ตั้งใจส่งสุดเนตรเทวษวอน |
ยังหยุดยืนยื่นชายสไบสะบัด |
โดยประหวัดหวังในหทัยถอน |
แล้วล่วงลัดตัดตรงเข้าดงดอน |
ทรวงสะท้อนถอนในใจรัญจวน |
แต่สาวสาวลาวผู้ไทยมิใช่มิตร |
ยังผูกจิตใจกระสันคิดหันหวน |
ทำระทดสลดใจอาลัยครวญ |
คิดถึงนวลนุชนาฏเมื่อคลาดคลา |
คิดอาลัยใจจำรีบร่ำรุด |
ไม่สมสุดโศกสร้อยละห้อยหา |
ถึงทางแยกแผกผันตันอุรา |
ออกจากผาตั้งตัดค่อยลัดแลง |
ขึ้นบนเนินเดินดาลให้รานร้าว |
เป็นเหน็บหนาวนั่งอาชาจนขาแข็ง |
ลงหุบเขาข้ามลำห้วยน้ำแซง |
บอกตำแหน่งสำนักที่พักพล |
จงจดจำคำข้อจะขอกล่าว |
ถึงห้วยตาวตั้งทัพอยู่สับสน |
ไปห้วยแบนแสนเศร้าเปล่ากระมล |
มีตำบลบ้านแม้วในแถวทาง |
ปลูกเรือนรายชายป่ากั้นฝาทึบ |
ถึงห้วยฮึบหวนจิตคิดขนาง |
ล้วนซอกซุ้มคลุมเครือเหลือระคาง |
เห็นรอยกวางวิ่งโลดกระโดดดง |
นึกเกรงสัตว์จัตุบทสยดสยอง |
โลดลำพองเผ่นในไพรระหง |
มาพาลพบขบกัดตัดชีวง |
มิได้คงคืนกลับจะอับปาง |
พลางรำจวนป่วนใจในไพรสาณฑ์ |
ถึงห้วยลานแลบังที่ตั้งฉาง |
อยู่ริมห้วยกรวยกรอกที่ซอกทาง |
จังหวัดหว่างเวิ้งผาพฤกษาราย |
จึ่งยั้งทัพสำนักเนาเบิกข้าวสาร |
จ่ายทหารทั่วหมวดที่ตรวจหมาย |
แล้วจัดตั้งกำลังพลสกนธ์กาย |
หัวหน้านายนำขนัดหลวงดัสกร |
คุมพหลพลรบพอครบร้อย |
ยกข้ามดอยตรงดิ่งขึ้นสิงขร |
ไปเมืองแถงแจ้งการจะราญรอน |
ให้พวกจรโจรระวังคอยตั้งรบ |
หลวงดัสกรก้มคำนับรับคำสั่ง |
พร้อมสะพรั่งนายไพร่ไม่หลีกหลบ |
ดูเหิมฮึกคึกจิตคิดแต่รบ |
พอจวนพลบยกทัพล่วงลับไป |
ครั้นรุ่งรังสีวิโรจน์ขึ้นโชติช่วง |
กองทัพล่วงยกตามข้ามไศล |
ลงลุยธารท่องกระสินธุ์ในถิ่นไพร |
เย็นจับใจจนเนื้อชาเอาผ้าคลุม |
เมื่อหนาวนักพักทางที่ข้างห้วย |
ประชุมช่วยก่อไฟหักไม้สุม |
ผิงสกนธ์ลนเพลิงระเริงรุม |
ที่เปียกชุ่มชลแห้งค่อยแบ่งเบา |
ขึ้นจากห้วยกรวยโกรกวิโยคย้าย |
ย่างตะกายหอบสกนธ์ขึ้นบนเขา |
ยลกำยานชานผาพนาเนา |
ต้นสะเพร่าพรูผลัดระบัดใบ |
จรดลต้นทางมากลางป่า |
เห็นกาน้าเหลืองผลหล่นไสว |
กำลังบอบหอบหวนรัญจวนใจ |
ก็เก็บใส่โอษฐ์กล้ำกลืนน้ำลาย |
ค่อยเลียบเดินเนินคีรีถึงที่พัก |
เรียกห้วยหมักหมายถิ่นกระสินธุ์สาย |
เห็นพลับจีนปีนต้นทุรนทุราย |
เข้าตะกายเก็บผลเสียงอลอึง |
ตำบลนี้ที่ทางดูกว้างใหญ่ |
เป็นชายไพรรื่นรวยเรียกห้วยผึ้ง |
ชลาลัยไหลรินถิ่นสำคะนึง |
แลดูซึ้งเย็นเสียวนึกเปลี่ยวใจ |
ทุกสำนักพักพลดลกระแส |
ถึงบ้านแส้ไพรสาณฑ์เขาขานไข |
ประชาชาวลาวพลปนผู้ไทย |
ที่พักไว้วางเสบียงไม่เลี่ยงลัด |
เบิกข้าวจ่ายรายตัวถ้วนทั่วหมด |
แล้วก็บทจรไปในขนัด |
สุดจะยลผลระย้าในป่าชัฏ |
ไม่แจ้งจัดจนใจพิไรพิศ |
ข้ามเขาเขินเนินอรัญเป็นหลั่นลูก |
มีจมูกไม่ใช้หายใจหวิด |
อ้าโอษฐ์ช่วยด้วยอีกช่องยังข้องคิด |
ถึงห้วยอิดอ่อนใจลงไปลุย |
ล้วนศิลารารายสายกระสินธุ์ |
มีไคลหินห้อยผูกเหมือนลูกรุ่ย |
ที่ลำลาบคราบไคลครรไลลุย |
น้ำกระจุยลื่นล้มลงจมชล |
อันห้วยอิดคิดคำจำให้ชัด |
เขาช่างจัดจองนามเห็นงามสม |
แต่ดั้นเดินเนินไพรในพนม |
ไม่ระทมท้อเหมือนที่ห้วยนี้จริง |
เช้าจนค่ำร่ำรุดไม่หยุดย่าง |
ยังต้องค้างคืนอ่อนลงนอนนิ่ง |
บอบระบมตรมจิตคิดประวิง |
เห็นสุดสิ่งที่จะสรรพรรณนา |
จะขี่ขับมโนมัยให้ไคลคลาด |
ก็มักพลาดพลำเพลียแทบเสียขา |
ค่อยด้นดัดตัดเนื่องเข้าเมืองยา |
หยุดกลางนานั่งเหงาให้เศร้าทรวง |
เป็นที่วางฉางเสบียงไว้เลี้ยงไพร่ |
เขาจัดไว้วางรับกองทัพหลวง |
เป็นระยะกะการงานทั้งปวง |
แล้วลัดล่วงเลียบยลพลเมือง |
ชาวประชาเป็นภาษาผู้ไทยแท้ |
นับถือแซ่สืบวงศ์ไม่ปลงเปลื้อง |
ชายแต่งร่างอย่างญวนล้วนชาวเมือง |
แต่หญิงเยื้องมาข้างลาวพุงขาวคง |
ตำบลบ้านดาลดอยดูลอยตั้ง |
สิบสามหลังแลพินิจพิศวง |
ทำคอกตั้งขังไก่ใส่ลูกกรง |
กลัวเสือดงด้อมมาคว้าไปกิน |
แล้วเดินทางกลางนาป่าละเมาะ |
ล้วนซึ่งเซาะซอกธารละหานหิน |
ถึงห้วยแฮะแวะสำนักพักโยธิน |
ด้วยใกล้ถิ่นแถงตั้งหยุดฟังการ |
พอหลวงดัสกรปลาตองอาจรบ |
ให้คนนบนอบถือหนังสือสาร |
มาเรียนเค้าเล่าคิดในกิจการ |
พอท่านอ่านออกระบิลได้ยินยล |
ว่าการรบจบเสร็จสำเร็จร่ำ |
ได้ตัวคำสามมาแจ้งแสดงผล |
ไม่ฝ่าฝืนขืนข้อทรชน |
มีกระมลมุ่งคำนับไม่รับรบ |
ท่านทราบสิ้นจึ่งสั่งให้ตั้งทัพ |
เป็นลำดับเดินตรวจทุกหมวดจบ |
ด้วยมิไว้ใจมันเคยขันรบ |
ทำทวนทบหลอนหลอกมาออกนุง |
แล้วเดินทัพขับทหารขนานหน้า |
พระสวานำทางมากลางทุ่ง |
เป็นชายป่านารั้งดูรังรุง |
ช่างคดคุ้งข้ามลำห้วยน้ำนัว |
มีป่าไผ่ไพรพงเป็นดงทึบ |
แลสะพรึบพราวตาฟ้าสลัว |
ไปสักโมงหนึ่งยืดเป็นพืชพัว |
จึ่งเห็นทั่วทุ่งทางออกกลางนา |
มีตำบลชนอยู่หมู่กระท่อม |
อยู่เป็นหย่อมโรเรตั้งเคหา |
แห่งละห้าหกหลังเหมือนรังกา |
ล้วนทุ่งนาร้อนแดดแผดรัญจวน |
พอสุริย์ฉายบ่ายศรีรวีแสง |
ถึงเมืองแถงถอนในฤทัยหวน |
ระบมแดดแผดในใจรัญจวน |
เดินกระบวนบุกทางมากลางวัน |
หลวงดัสกรจรทวนสวนสนาม |
พาคำสามกับพหลพลขันธ์ |
มาคำนับรับรายชายอรัญ |
พอจวบกันที่ริมข้างหนทางจร |
จึงให้นำคำสามไปค่ายสำนัก |
ทั้งพวกพรรคพลไพร่ให้ไปก่อน |
ไม่อยากรับคำนับไหว้ที่ในดอน |
หลวงดัสกรพากลับไปฉับไว |
แล้วยกตามข้ามทางออกกลางทุ่ง |
เขม้นมุ่งตามมาหาช้าไม่ |
เข้าหยุดพักพวกพลสกลไกร |
ที่ค่ายใหญ่ชื่อขัวลายก็รายพล |
มาถึงนั่นวันพุธสุทธิ์สวัสดิ์ |
ปีจออัฐศกแจ้งแห่งนุสนธิ์ |
เดือนอ้ายขึ้นหกค่ำถึงตำบล |
ตั้งกระมลมุ่งชี้คดีแสดง |
เมื่อเดินทัพรับยุบลนุสนธิ์สื่อ |
ต้นหนังสือพระอินทแสนแสง |
กับขุนนางข้างลาวกล่าวแสดง |
มีนามแจ้งว่าพระยาเมืองขวาซ้าย |
ซึ่งล่วงหน้ามาตั้งยังเมืองแถง |
ได้ทราบแจ้งใจหมดจึ่งจดหมาย |
ว่าคำสามคำล่าหัวหน้านาย |
กับน้องชายชื่อบังเบียนเสี้ยนศัตรู |
เป็นบุตรเจ้าเมืองไลใจฉกาจ |
มันมาอาจหาญจิตจะคิดสู้ |
คุมกำลังตั้งรายทำค่ายคู |
เป็นหมู่หมู่มุ่งเมียงอยู่เชียงจัน |
จากขัวลายหมายนาฬิกาหนึ่ง |
ตั้งค่ายขึงขุดเพลาะไว้เหมาะมั่น |
ทหารฮ่อรอรบเข้าทบกัน |
แต่ล้วนกลั่นกล้าหาญการณรงค์ |
ทำแยบคายรายรองประคองประคับ |
มาคำนับนอบชิดพิศวง |
ดูทีลวงล้วงไส้จะให้งง |
ต้องพะวงคอยระวังไม่หวังใจ |
จึ่งน้าวโน้มโลมล้อมถนอมสนิท |
จนชอบชิดชวนมาพูดปราศรัย |
ไม่สะเทิ้นเมินหมางให้จางใจ |
แต่ดูในจิตเห็นจะเป็นกล |
คอยดูเชิงเริงรายอยู่ค่ายรบ |
ไม่กระทบให้กระทั่งฟังเหตุผล |
มันก็มาหาสู่อยู่ทุกคน |
จะกล่อมจนทัพใหญ่ได้ถึงเมือง ๚ะ |
๏ ครั้นกองทัพยับยั้งเข้าตั้งค่าย |
ทำยืนรายเรียบทหารขนานเนื่อง |
ทำสง่าท่าทางย่างชำเลือง |
อย่างเจ้าเมืองเอกอำนาจราชฤทธิ์ |
ถืออาวุธปืนกระสันล้วนกลั่นกล้า |
ดูทีท่าโตเติบกำเริบจิต |
สวมเสื้อกั๊กสักหลาดแลผาดพิศ |
ยี่ห้อติดเรียบริ้วเหมือนงิ้วโว |
ดูอาจหาญทะยานทะเยอทำเย่อหยิ่ง |
เห็นกรุ้งกริ่งหนักนักชักโมโห |
จึ่งให้จับปรับเล่ห์พวกเฉโก |
ที่ทำโตเต็มท่าการทารุณ |
ทั้งคำสามคำฮุยแลคำล่า |
ขนานหน้านิกรเหล่าพวกท้าวขุน |
ให้สมจิตที่มันคิดเนรคุณ |
ริบเป็นจุณจนเกลี้ยงถึงเชียงจัน |
รื้อหอรบทบทัพลงยับสิ้น |
ชั้นมูลดินดูราบดังสาปสัน |
พลทหารที่มาห้อมล้อมนายมัน |
ก็แตกกันหนีหน้าเข้าป่าไป |
เก็บสาตราอาวุธได้สุดสิ้น |
สมถวิลหวังลงสิ้นสงสัย |
มีจำนวนถ้วนทัดกระจัดใจ |
ปืนสะไนเดอร์สิบสามตามบาญชี |
ปืนอินฟินแปดสิบบอกที่นอกนั้น |
ริมิงตันสิบสองจดหมดถ้วนถี่ |
วินเชสเตอร์สองรางเป็นอย่างดี |
ปืนแฮรีหนึ่งคู่เชิดชูพักตร์ |
ปืนสั้นสองจองจดไม่หมดท่า |
คาบศิลาอีกหนึ่งพึงประจักษ์ |
รวมได้ร้อยสิบเอ็ดบอกไม่ยอกยัก |
เอาเก็บรักษาไว้ดังใจจง |
ปัสตันของมันมีมิใช่น้อย |
พันสามร้อยยี่สิบสี่บาญชีส่ง |
มีดาบง้าวยาวสองคู่ชูณรงค์ |
กับทวนธงรบเสร็จสิบเจ็ดคัน ๚ะ |
๏ ครั้นจัดเสร็จเผด็จศึกที่ฮึกหาญ |
จึ่งจัดการเมืองแถงให้แข็งขัน |
เรียกเพี้ยท้าวผู้ไทยล้อมมาพร้อมกัน |
ให้รำพันบอกเรื่องพวกเมืองไล |
ต่างนอบนบเคารพรับสดับสาร |
ชุลีลานเล่าแจ้งแถลงไข |
รำพันว่าทัพเจ้าเหล่าผู้ไทย |
ได้อาศัยสุขสถานอยู่นานมา |
จะนับแซ่แลตระกูลประยูรญาติ |
ก็หลายชาติช้าอยู่แต่ปูย่า |
ประกอบกรรมทำไร่แลไถนา |
โดยบุรพาเภทภัยมิได้พาน |
ครั้นอยู่มาปีไรไม่กระจัด |
ท้าวไลลัดล่วงเขตประเทศสถาน |
มาบังคับจับจองตั้งกองพาล |
เป็นเจ้าบ้านเบียนชนออกป่นไป |
เกณฑ์เอาเงินกะเอางานทำราญราษฎร์ |
ไม่สมมาดมันฆ่าไม่ปราศรัย |
เก็บเอาข้าวส่งเนื่องไปเมืองไล |
แล้วจัดให้บังเบียนมารักษาบุรี |
มันกะเกณฑ์เวรเอาข้าวไม่ขาด |
บ้างออกลาศหลบล่าเข้าป่าหนี |
ที่ทนอยู่สู้เวรเกณฑ์ทวี |
ขึ้นทุกปีป่นไปมิได้ลด |
ครั้งนี้เป็นบุญสนุนสนับ |
มีกองทัพใหญ่มาให้ปรากฏ |
ปราบคนพาลสันดานช่อทรยศ |
ขอให้หมดสิ้นพ้นพวกคนพาล ๚ะ |
๏ ฟังถ้อยคำร่ำบ่นทุกคนแจ้ง |
มันช่างแกล้งเคี่ยวเข็ญเห็นส่งสาร |
เป็นหลายปีมีกรรมน่ารำคาญ |
เหมือนเกิดการปลุกปล้นคนทั้งปวง |
พ่อมันปล้นแล้วมิหนำยังซํ้าลูก |
ช่างดูถูกท้าวขุนนางข้างเมืองหลวง |
ให้หาตัวไปจะห้ามความทั้งปวง |
แกล้งหนักหน่วงนัดเนิ่นให้เกินไป |
ถึงเดือนนี้ปีนั้นจะพลันเฝ้า |
แล้วก็เปล่าปลิ้นปล้อนหลอกหลอนให้ |
มาล่วงถิ่นหมิ่นการทะยานใจ |
แม้นนิ่งไว้วันนานจะราญแรง |
ถึงคราวนี้ที่มันมาสามิภักดิ์ |
ก็ทำศักดิ์สูงจัดเหมือนขัดแข็ง |
มีทหารขานหน้าดูร่าแรง |
เหมือนจะแข่งคู่ศึกคึกคะนอง |
จึ่งต้องจับปรับทัณฑ์ที่มันหมิ่น |
มาล่วงถิ่นทำการหาญจองหอง |
ให้สมสาที่มันมาเข้าครอบครอง |
ตั้งเป็นกองโกงไพร่อยู่ในแดน |
แต่ท้าวไลไปอยู่แม่น้ำแท้ |
ก็นอกแควแขวงด่านจะหาญแหน |
ไปจับมาปราบปรามก็ข้ามแดน |
มิใช่แคว้นเขตข้างทางจุไทย |
แต่ท้าวขุนที่เป็นข้าอาณาจักร |
ตั้งใจรักษากิจพิสมัย |
แม้นไปโลมโน้มน้าวด้วยท้าวไล |
จะปรับให้โทษถึงกาลลาญชีวี |
ที่เมืองแถงจะแต่งให้พระสวา |
มิภักดิ์สยามาเขตพิเศษศรี |
อยู่ดำรงคงรักษาประชาชี |
โดยคดีดังคิดกิจการ |
แล้วเกณฑ์คนพลไพร่ในประเทศ |
อยู่ในเขตนั้นมาจัดหัดทหาร |
สำหรับรักษาเมืองเรืองสำราญ |
ออกตรวจด่านแดนระวังการทั้งปวง |
แต่งขุนนางลาวให้ดูอยู่รักษา |
กำกับว่าการเป็นเช่นข้าหลวง |
ได้ปราบเข็ญเป็นสุขทุกกระทรวง |
จนลุล่วงตลอดเหตุเขตนิคม ๚ะ |
๏ ดูพื้นดินถิ่นสถานบ้านเมืองแถง |
มีเขตแขวงใหญ่กว้างน่าสร้างสม |
เป็นทุ่งรื่นพื้นสถานสำราญรมย์ |
เนินพนมนั้นห่างหว่างพนานต์ |
มีท่าทางวางคนพลรบ |
ที่กระทบท่าสำนักเป็นหลักฐาน |
เห็นภูมิพื้นรื่นแท้ให้แลลาน |
แล้วเข้าบ้านเชียงแลเที่ยวแชชม |
เห็นเนินแนวแถวที่เป็นสี่เหลี่ยม |
ดูสูงเยี่ยมอย่างคีรินมูลดินถม |
ปลูกกอไผ่ไว้รอบขอบนิคม |
เป็นของนมนานร้างเขาสร้างมา |
เหลี่ยมหนึ่งยาวราวการประมาณเห็น |
สักหกเส้นสมหวังไม่กังขา |
สูงเชิงเทินประเมินตามสักสามวา |
มีชลาไหลหลั่นเป็นขั้นคู |
ท่านแม่ทัพทัศนาเห็นหนาแน่น |
เป็นปึกแผ่นผูกพักอีกอักขู |
อยู่ริมน้ำยมน่าชมชู |
จึ่งเกณฑ์หมู่พลถางดูกว้างครัน |
แล้วมาตั้งค่ายใหญ่ในสำนัก |
เข้าพร้อมพรักพวกพหลพลขันธ์ |
ราษฎรเดิมอยู่หมู่เชียงจัน |
ก็พากันมาอยู่ในค่ายเชียงแล |
ต่างยินดีปรีดิ์เปรมเกษมสุข |
ฟังสนุกสำเนียงขานประสานแซ่ |
ผู้ไทยลาวลื้อข่ามากอแก |
สำนวนแปรปรวนไม่แจ้งแห่งคดี |
อันเรื่องรบก็สงบเงียบระงับ |
กิตติศัพท์ฟังแจ้งทุกแห่งที่ |
ถึงเมืองม่วยเมืองลาเขตธานี |
ว่ายังมีพวกเจ๊กชื่อเต๊กเซง |
มาตั้งอยู่หมู่ใหญ่มิใช่น้อย |
สักหกร้อยราญรัวล้วนตัวเส็ง |
ใช้ธงดำร่ำลือชื่อระเบ็ง |
เป็นตัวเก่งประกอบกิจชนิดพาล |
มีแซ่เหล่าเผ่าที่พากันอาศัย |
พวกกวางไชยเคยศึกเหิมฮึกหาญ |
เดิมท้าวไลได้ชักนำมาทำการ |
จ้างให้ราญราวีตีเมืองจัน |
ข้างฝ่ายเจ้าเมืองจันก็ขันรับ |
ออกตีทัพท้าวไลมิได้พรั่น |
เต๊กเซงแตกแหลกยับหนีกลับพลัน |
มาตั้งมั่นหมู่พลดลประดัง |
เงินค่าจ้างค้างติดไม่คิดใช้ |
ท้าวไลให้ที่ถิ่นแผ่นดินตั้ง |
เป็นหักหายขายทำแต่ลำพัง |
ฮ่อจึ่งตั้งต่อตามล่อลามมา |
ครั้นทราบว่าทัพใหญ่ได้มาปราบ |
พวกที่หยาบหยามจิตริษยา |
น่าสมัครพรรคพลดั้นด้นมา |
จากเมืองลาเข้าคำนับแม่ทัพชัย |
เล่าแถลงแจ้งความตามแต่ต้น |
เหมือนอย่างยลยินคำที่ร่ำไข |
ไม่เหิมฮึกรู้สึกตัวด้วยกลัวภัย |
เช่นท้าวไลลำพองพาลหาญผจญ |
จะขออยู่เป็นข้าอาณาจักร |
เข้าพึ่งภักดิ์โดยสวัสดิ์พิพัฒน์ผล |
ให้สัญญาสาบานประจานตน |
ทุกทุกคนเหมือนแต่เก่าที่เล่ามา ๚ะ |
๏ พอกองทัพเมืองแอดมาพระพาหล |
คุมพวกพลพร้อมพรักเป็นนักหนา |
กับเจ้าราชภาคิไนยก็ไคลคลา |
นำคณาฮ่อทู้มากรูกรี |
ล้วนต้นเถาที่เข้าสวามิภักดิ์ |
ยอมสมัครหมายมุ่งมากรุงศรี |
มารวมพร้อมที่แม่ทัพสดับคดี |
รออยู่ที่ค่ายตั้งคอยฟังตรา ๚ะ |
๏ แล้วเที่ยวยลชนประชาที่อาศัย |
ล้วนผู้ไทยแถวทางต่างภาษา |
เป็นลาวเหนือเหลือจดพจนา |
แต่งกายายลแปลกคล้ายแขกครัว |
ช่างแต่งเศียรเคียนเกศาเอาผ้าโปะ |
เช่นกับโต๊ะตึกขาวทำหนาวหัว |
นุ่งห่มเห็นเช่นอานัมทำพันพัว |
แต่หญิงกลั้วกล้ำกรายอยู่ฝ่ายลาว |
เป็นหนึ่งดังหวังในฤทัยถวิล |
ยังนุ่งซิ่นกระสันแลทั้งแก่สาว |
พอสังเกตเพศพื้นที่ยืนยาว |
เหมือนบอกข่าวเขตหมายฝ่ายมาลา |
พลเมืองเนื่องแนวแถวสถาน |
ประกอบการมุ่งมาดศาสนา |
ถือพุทธไสยไหว้ผีมีตำรา |
มีหมอยาหมอมนต์ก็กลกัน |
ที่อยู่ไพรไศลยลมีคนแปลก |
ดูช่างแผกพิศแลเห็นแปรผัน |
ชอบอาศัยในเขาเนาอรัญ |
แต่ไม่มั่นมุ่งประสงค์อยู่ยงยืน |
อย่างนานประมาณมีสามปีเศษ |
แล้วประเวศวรรณาไปหาอื่น |
มีหลายเช่นเป็นคนดงไม่คงคืน |
ลงอยู่พื้นแผ่นดาวเหมือนชาวเมือง |
ได้เรียงพจน์จดนามมีความเล่า |
เรียกเย้าเขาอย่างนี้จะชี้เรื่อง |
เรียกมาดลยลกายาคณะเนือง |
ให้แต่งเครื่องสำหรับประดับดู |
เย้าผู้ชายหมายเชื้อเจือเจ๊กบก |
สกปรกไคลพอกจนซอกหู |
กางเกงเสื้อเหลือสมมมจะชมชู |
พูดไม่รู้เสียงภาษาว่ายังไร |
เช่นกินข้าวเล่าสำเหนียกก็เรียกท่าง |
ว่ายันหางเห็นชนิดผิดนิสัย |
กินตะเกียบเปรียบอย่างต่างเจ๊กไพร |
ผมก็ไว้เปียปอยปล่อยกระพือ |
ไม่สางซักถักไหมทิ้งไว้ยุ่ง |
แต่ความมุ่งหมายนั้นยังใช้หนังสือ |
เหมือนอย่างจีนเจนจัดเฝ้าหัดปรือ |
ชะรอยรื้อรกรากมาจากจีน |
เขาใช้ผ้าโพกศีรษะเช่นพระแขก |
แต่ไม่แปลกปลอมลือว่าถือศีล |
เลี้ยงสุกรตอนขายไปจ่ายจีน |
เที่ยวป่ายปีนป่าสังเกตแปลกเพศพันธุ์ |
การตกแต่งร่างกายฝ่ายผู้หญิง |
เห็นสุดสิ่งชนคิดประดิษฐ์ขัน |
จะมาเทียบเปรียบอื่นสักหมื่นพัน |
ไม่เหมือนกัลยาเย้าเขาช่างทำ |
เข้าพินิศพิศยุพาไม่น่ารัก |
พอประจักษ์แจ้งสำคัญที่ขันขำ |
ผมกระหมวดกวดกันมั่นประจำ |
เอาชันรำโรงมาใส่ใจนิยม |
แล้วอังไฟให้ร้อนพออ่อนด้วย |
โดยอยากสวยใส่หัวจนทั่วผม |
แล้วเกล้าเป็นจุกเกรี่ยงดูเกลี้ยงกลม |
เขาชื่นชมใช้เหมาเอาเป็นเดือย |
ไม่สูงนักประมาณสักสี่นิ้วย่อม |
บนกระหม่อมมุ่นไว้แข็งใจเหือย |
ทำโครงหมวกไม้เจาะพอเหมาะเดือย |
ดูน่าเหนื่อยหน่ายงามความรำคาญ |
มีไม้โค้งโก่งรีเป็นสี่เหลี่ยม |
ผ้าดาษเรี่ยมสีแดงบังแสงฉาน |
มีระใบให้ลมพัดสะบัดบาน |
ข้างหลังยานยาวถึงไหล่ได้พอดี |
ในการผมนิยมจริงพวกหญิงเย้า |
ถ้าแม้นเศร้าสางใหม่ต้องไหว้ผี |
เซ่นไก่เหล้าเข้ากิจทำพิธี |
เห็นเต็มดีประดักประเดิดเขาเชิดชู |
เครื่องประดับสำหรับนางอย่างออกหน้า |
มีระย้าลูกปัดใส่ที่ใบหู |
สวมเสื้ออย่างญวนพิศพินิจดู |
รังดุมคู่เกี่ยวทาบติดสาบแบน |
เป็นบั้งบั้งช่างแผ่แลกระสัน |
ล้วนหิรัญเรียงเม็ดมีเจ็ดแว่น |
เหมือนปลิงทาบราบรายเป็นลายแบน |
ติดเอาแน่นแลนุงช่างรุงรัง |
สวมกางเกงขากว้างอย่างกระสอบ |
ผ้าแถบรอบรัดสมอารมณ์หวัง |
คล้ายงิ้วนางอย่างยุ่งดูรุงรัง |
สุดจะสังเกตจำร่ำแสดง ๚ะ |
๏ อีกพวกหนึ่งนี้ก็ขันกระสันสี |
เรียกโอนีอาก้าดูกล้าแข็ง |
ชายแต่งเป็นเช่นเย้าที่เล่าแจง |
แต่หญิงแปลงเปลี่ยนตามความนิยม |
บ้างเกล้ามวยสำรวยราบดอกไม้ปัก |
ลางนางยักแยกสบายกระจายผม |
เอาพันเศียรเวียนรอบเป็นขอบกลม |
บ้างนิยมแยกยักมาถักเปีย |
มีหมวกครอบรอบรีเป็นสี่เหลี่ยม |
ประดับเรี่ยมรายผูกด้วยลูกเบี้ย |
ลูกเดือยถักปักลูกปัดดูหยัดเยีย |
เจ๊กว่าเงี้ยงามขรึมทำครึมเครือ |
เครื่องนุ่งห่มชมชายรายระยับ |
ดูสลับรายกระพือที่มือเสื้อ |
ผ้าต่างสีมีสาบมาทาบเจือ |
ดูน่าเบื่อแบบสำหรับประดับกาย |
เอาไม้อ้อมาขวั้นเป็นขั้นขอด |
งามไม้หลอดแลสลับกันกับหวาย |
มาย้อมสีประสานกวดเป็นลวดลาย |
เหมือนอย่างสายรัดอร่ามงามตระการ |
เป็นแถบแถบแลบลายคล้ายงูหลาม |
คนละสามสี่สายลายประสาน |
ตุ้มหูพวงควงหิรัญอันตระการ |
ดูย้อยยานมาถึงไหล่มิใช่แกน |
กำไลใส่มือทั้งสองเป็นทองเหลือง |
ไม่รุ่งเรืองสุกก่ำเหมือนคำแหวน |
เขาเห็นงามตามโอนีที่ในแดน |
มิใช้แค่นแคะเดาเล่าประจาน |
การซื้อขายจ่ายเงินตราใช่ตาชั่ง |
ไม่ชิงชังรูปพรรณทรงสัณฐาน |
เล่าสั้นสั้นขั้นข้อพอประมาณ |
เมื่อแต่งงานหญิงพามาหาชาย |
การมงคลยลแยบก็แบบเจ๊ก |
เมื่อคลอดเด็กดังไฟเหมือนใจหมาย |
แม้นเจ็บไข้ได้ทุกข์ไม่สุขกาย |
ก็ทนตายตามเวราอยู่ป่าดง |
เมื่อชีพดับลับอาลัยไม่ไว้หวัง |
เอาไปฝังแฝงในไพรระหง |
จะโศกสุขทุกข์ระทดเรื่องปลดปลง |
เป็นตกลงเหมือนดังคิดไม่ผิดที |
คนพวกนี้มีความขลาดที่มาดหมาย |
เป็นอย่างร้ายแรงครันแทบขวัญหนี |
คือไข้หัวกลัวร้ายวายชีวี |
พากันลี้ละตำบลไม่ยลยิน |
หมดหมู่บ้านยกพากันล่าหลบ |
คนไข้ซบเสือกกายอยู่ดายดิ้น |
เห็นหลายวันดั้นด้นมายลยิน |
ถ้าม้วยสิ้นชีวาไม่อาลัย |
กลับมาอยู่สู่หาพาโขยง |
แต่เรือนโรงหลังที่ผีอาศัย |
มิให้คงดำรงเก่าต้องเผาไฟ |
แม้นเอาไว้ว่าพิษจะติดตัว |
ฟังฉงนจนจิตคิดระทด |
มิตายหมดหรือยังไรออกไข้หัว |
เขาแจ้งความตามสงสัยมิให้มัว |
มิหมอปัวแปลงอยู่ในหมู่ตน |
เป่าจมูกปลูกฝีดีชะงัด |
เป็นยานัตถุ์เหน็บวางข้างละหน |
แล้วออกฝีดีนอนไม่ร้อนรน |
ทุกทุกคนปลูกทันไม่อันตราย |
ถ้าฝีปลุกสุกสมอารมณ์มาด |
ก็ไม่คลาดเคลื่อนที่ออกหนีหาย |
อยู่รักษาพยาบาลสำราญกาย |
ไม่กลัวตายติดเหมือนฝีที่ขึ้นเอง |
อันตัวยามาแต่จีนเป็นสิ้นเสร็จ |
กับสะเก็ดฝีกะเทาะพอเหมาะเหม็ง |
บดระคนปนปามกันตามเพลง |
ปลูกกันเองขึ้นออกทั่วไม่กลัวภัย |
ครั้นทราบความตามยุบลพวกคนป่า |
เล่ากิจจาชี้แจงแถลงไข |
แล้วต่างคนต่างพากันคลาไคล |
เข้าค่ายใหญ่เย็นน้ำค้างลงพร่างพราว ๚ะ |
๏ พระสุริยนเย็นพยับลับสิงขร |
อนาถนอนนิ่งตรมระทมหนาว |
ต้องอาศัยไฟดังกันพรั่งพราว |
ขอหยุดกล่าวกลอนนิราศลีลาศลิบ |
จะนำเหตุเศษเสริมมาเติมพลอด |
หนาวปรอทฟาเรนไฮต์ได้สี่สิบ |
ครั้นรุ่งเที่ยงอาทิตย์ส่องขึ้นห้องทิพย์ |
เพียงเจ็ดสิบดีกรีมีอัตรา |
ลงนิ่งจนทนสั่นอยู่งันงก |
เหมือนโปฎกแดดิ้นถวิลหา |
ไม่มีรังร้างร้ายอยู่ชายนา |
หยาดนภาเย็นหยดระทดกาย |
พอมีตรามาประทานท่านแม่ทัพ |
อ่านสดับได้สมอารมณ์หมาย |
ที่สิบแปดปีจอข้อภิปราย |
โปรดให้จ่ายเสื้อผ้ามาประทาน |
ทั้งกองทัพรับทั่วจนตัวไพร่ |
ค่อยอุ่นใจปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ |
พร้อมทั้งยารักษาไข้กันภัยพาล |
ทรงประทานโดยพระทัยมิได้ลืม |
ทุกสิ่งหวังดังประสงค์ทรงธุระ |
ควรมานะนึกคิดให้จิตปลื้ม |
จะลำบากยากอย่างไรอย่าได้ลืม |
ตั้งจิตดื่มเดี๋ยวคิดกิจการ |
สนองคุณบุญเบื้องบทเรศ |
โดยพิเศษสุดลงในสงสาร |
บุตรนัดดาถ้าคงดำรงการ |
คงสำราญเรืองยศปรากฏไป |
รำพันบ่นทนร้างอยู่กลางหาว |
คอยสืบสาวราชกิจวินิจฉัย |
พอมีตราหากลับกองทัพไป |
อย่าทันให้ถูกฝนทนระมาน |
ได้รับตราน่าชื่นอกตื่นเต้น |
ดังจะเผ่นขึ้นนภามหาสถาน |
สรวลระริกซิกซี้ฤดีดาล |
ก็กะการกองเวรให้เกณฑ์เรือ |
มาพร้อมเพรียงเรียงลำประจำท่า |
มีมาลาลื้อขาวแลลาวเหนือ |
ล้วนเจนจัดสันทัดข้างหนทางเรือ |
ก็จ่ายเจือให้ประจำทุกลำไป |
พวกฮ่อทู้ไปกับหมู่พวกคำสาม |
ออกล่องหลามล่วงหน้ามาไสว |
ท่านแม่ทัพรอท่าไม่คลาไคล |
ต่างร้อนใจจำนิ่งประวิงความ |
ในหัวอกเหมือนหนิ่งครกเข้าตำแป้ง |
แทบจะแล่งลั่นเลื่อนเมื่อเดือนสาม |
จนขื้นค่ำจำจดกำหนดความ |
อังคารสามโมงเช้าจึ่งเข้าเรือ |
ล่องน้ำยมอารมณ์รื่นค่อยชื่นชุ่ม |
นั่งสุขุมคิดหวังเห็นฝั่งเฝือ |
ล้วนเชิงซุ้มพุ่มผกาลัดดาเครือ |
คะนึงเนื้อนวลใจพลางไคลคลา |
ดูน้ำยมสมถวิลกระสินธุ์ใส |
ช่างหลั่งไหลเรื่อยรี่ดีนักหนา |
ไม่มีแก่งเกาะขวางทางนาวา |
ล่องลอยมาในนทีได้สี่โมง |
ออกน้ำนัวพัวพื้นดูดื่นหิน |
ไม่มีดินดอนศิลาช่างอ่าโถง |
เกาะสลอนก้อนไศลเห็นใหญ่โยง |
ไม่มีโล่งแลตั้งสองฝั่งราย |
ในพื้นธารดลทอนล้วนก้อนหิน |
ศีขรินทร์รอราท่ากระสาย |
เรือกระทบหลบไม่ทันจรัลจราย |
หลีกทางซ้ายขวากระแทกแทบแตกแตน |
บางแห่งตื้นฝืนฝ่ามาไม่ไหว |
เรือควรไลแล่นผิดไปติดแขวน |
ต้องลากเข็นเล่นบนหินเหมือนดินแดน |
ด้วยทางแกมเกินยากลำบากจริง |
นั่งในเรือเบื่ออารมณ์ไม่ชมช้า |
นอนหลับตาตั้งใจจะให้นิ่ง |
เรือกระเทือนเตือนศีรษะที่พะพิง |
เหมือนผีสิงสั่นงกหกคะมำ |
บางทีโผนโดนประดังเข้าจังหน้า |
คนถลาโลดล้มลงจมคว่ำ |
เรือก็แตกแหลกทลายลงหลายลำ |
สุดจะรำพันชี้คดีแสดง |
อุปมาเหมือนชลาเชลหิน |
ไม่มีดินทรายปนระคนแข็ง |
ตั้งเป็นแง่แลสลับลำดับแซง |
เอาเรือแข่งเข็ญหินแล่นลิ้นลา |
บ้างเป็นแก่งแรงร่ำน้ำไหลเชี่ยว |
ดูกลอกเกลียวคลื่นกลบกระทบผา |
เสียงกึกก้องห้องไศลในชลา |
แวะนาวาขนของขึ้นกองเนิน |
พวกคนเรือเหลือใจเขาไวว่อง |
เอาเรือล่องลงแก่งดูแข็งเขิน |
ถือถ่อจ้องป้องหัวกลัวพะเนิน |
เสียงร้องเกริ่นเกรียวไปในนที |
แล่นละลิวฉิวแชริมแง่หิน |
สายกระสินธุ์ปัดเบียดเข้าเสียดสี |
ขูดเป็นขุยกุยกีกหลีกนาวี |
บ้างเสียทีกระแทกล่มลงจมชล |
เป็นหาดแก่งแห่งละหานล้วนธารห้วย |
บ้างเป็นกรวยโกรกขวางทางสถล |
จะชี้ย่านขนานนามตามตำบล |
ก็เห็นล้นเหลือจัดคัดประเด็น |
จึงจดจัดคัดแต่ที่มีประหลาด |
เห็นมีหาดหนึ่งฟุ้งเรียกปุงเหม็น |
มีควันกลุ้มคลุ้มเคล้าทุกเช้าเย็น |
กลิ่นเหมือนเช่นกำมะถันต้องควันเพลิง |
พอเย็นย่ำค่ำทอดเข้าจอดพัก |
เนาสำนักชลาลำแม่น้ำเหลิง |
มฤครายชายป่าเที่ยวร่าเริง |
วิ่งตามเซิงซุ้มร้องคะนองไพร |
เสียงปีบเปิบกำเริบเร้าบนเขาโขด |
บ้างก็โลดลงแควกระแสใส |
ดื่มกระสินธุ์ลิ้นลาเข้าป่าไป |
เที่ยวแล่นไล่ลองเชิงระเริงลาน |
สดับฟังละมั่งร้องคะนองคู่ |
เป็นหมู่หมู่มุ่งชมประสมสาร |
อุระร้อนนอนเรือเหลือรำคาญ |
เร่งทิวารวันให้รีบไคลคลอ |
ให้เปล่าเปลี่ยวเสียวกระสันอกตันตื้น |
ไฉนคืนนี้ช้านักหนาหนอ |
พระสุริยันฉันใดจึงได้รอ |
ไม่สอดส่อแสงส่องให้ผ่องพรรณ |
หรือจะดับลับล่องไม่ส่องโลก |
ทิ้งให้โศกเศร้าใจอยู่ไพรสัณฑ์ |
แล้วหวนนึกรู้สึกมาเราบ้าครัน |
เดือนตะวันเห็นไม่หวังเหมือนดังคิด |
จิตเราร้อนนอนรัญจวนเฝ้าครวญใคร่ |
เพราะอยากไปปะนุชจึ่งหงุดหงิด |
นึกเวียนวนจนนภาผ่องอาทิตย์ |
|