ครั้นถึงสมัยพระยาโพธิสาราชเจ้า พระองค์เสด็จไปบุรณปฏิสังขรณ์พระมหาธาตุ และได้สร้างวิหารขึ้นหลังหนึ่ง มุงด้วยตะกั่วสิ้นทั้งหลัง แล้วทรงเลือกสรรค์หาเอาข้าโอกาสได้บ้างไม่ได้บ้าง แล้วพระองค์จึงได้บริจาคเพิ่มเติมเข้าให้ครบจำนวน ๓,๐๐๐ ฅน ครั้งนั้นยังมีลูกขา ๒ คน เมื่อก่อนได้นำเข้าไปถวายพระองค์ไว้แต่เล็ก ๆ พระองค์เลี้ยงไว้เป็นข้าในหัตถบาศ ผู้พี่ชื่อว่า “ข้าชะเอง” ผู้น้องให้กินเรือนหิน ชื่อว่า “พันเรือนหิน” พระองค์สละโปรดให้เป็นใหญ่ ดูแลปกปักรักษาข้าโอกาส พระราชทานจุ้มให้ และหลั่งน้ำไว้ แล้วทรงสร้างวัดขึ้นวัดหนึ่ง ข้างทิศเหนือภูกำพร้า ให้ชื่อว่า “วัดสมสนุก” ถวายข้าโอกาสไว้ณที่นั้นด้วย และทรงเพิ่มเติมเขตต์แดนตั้งแต่ปากห้วยปลาเซือมนั้น ให้เป็นเขตต์แดนของพระมหาธาตุเจ้า จึงได้เสด็จกลับคืนมาสู่พระนคร

ครั้นอยู่ต่อมาถึงปีหนึ่ง พันเรือนหินจึงได้หนีกลับขึ้นมาและเข้าไปเฝ้า พระยาโพธิสาราชจึงตรัสว่า กูได้ให้เขือพี่น้องเป็นข้าพระมหาธาตุเจ้าแล้ว กูจักใช้สรอยมึงด้วยราชการอื่น ๆ ไป่ได้แล้ว เมื่อชอบมาอยู่ก็อยู่ตามเดิม แต่ว่าเมื่อออกพรรษาแล้ว ให้มึงนำเครื่องไทยทานธูปเทียนของกูไปบูชาให้เป็นปกติเทอญ

ข้าชะเองผู้พี่จึงได้แต่งคน ๓๐ คน มาอยู่ดูแลติดหน้าตามหลังพันเรือนหิน แต่พวกที่ส่งข้าวกกหมกปลา ๓๓๐ ขุนกินเมืองทั้งหลายมีความสงสัยแก่พันเรือนหิน จึงให้แต่งใส่เวียกชารึม ๓๐ เอาการ ก็ได้เฮ็ดชารึม ตั้งแต่นั้นมาแล

ครั้นมาถึงสมัย พระไชยเชษฐาธิราชเจ้า พระองค์ได้ทอดพระเนตรตำนาน จึงได้ทรงก่อสร้างพระเจดีย์ใหญ่ โลมเจดีย์พระยาศรีธรรมาโศกที่นั้น และทรงสร้างวัดป่าฤษีสังหรขึ้นวัดหนึ่ง แล้วทรงอุโมงค์โลมธาตุพระอรหันต์ที่ป่ามหาพุทธวงศาอีกแห่งหนึ่ง ทรงสร้างวัดขึ้นที่ป่ากันทองนั้นแห่งหนึ่ง และทรงสร้างวัดขึ้นที่หนองยางคำนั้นแห่งหนึ่ง แล้วจึงได้เสด็จไปทรงสร้างพระเจดีย์โลมพระบรมธาตุหัวเหน่าที่ภูเขาหลวง และทรงตั้งพระพุทธศาสนาขึ้นในที่นั้นแห่งหนึ่ง ทรงสร้างพระอารามขึ้นที่โพนหนองกกแห่งหนึ่ง แล้วพระราชทานข้าโอกาสและเขตต์แดนไว้ทุก ๆ แห่ง

แล้วพระองค์จึงได้เสด็จไปสู่เมืองมรุกขนคร ทรงสร้างพระเจดีย์ไว้ในที่นั้นองค์หนึ่ง พระองค์จึงได้เสด็จไปนมัสการพระบรมธาตุที่ภูกำพร้า และทรงบุรณปฏิสังขรณ์ แล้วพระราชทานจุ้มไว้ในพระพุทธศาสนา แล้วพระองค์จึงเสด็จไปสู่เมืองรามลัก ก็ครั้งนั้นแล เจ้าลานช้างได้ทรงทอดพระเนตรเห็นตำนานนั้น จึงเสด็จไปสร้างพระเจดีย์โลมพระธาตุฝ่าตีนที่เมืองหนองคาย และสร้างวัดขึ้นวัดหนึ่งที่หน้าโฮง แทนที่ปราสาทซึ่งพญานาคเนรมิตให้บุรีจันอ้วยล้วยและอินทสว่างลงฮอด จึงได้ชื่อว่า “วัดมโนภิรมย์มาจันทบุรี” เพื่อเหตุนั้นแล

ข้าพระบาท พระยาศรีไชยชมพู ถวายอุรังคธาตุนิทาน และพระบาทลักษณนิทาน ศาสนานครนิทาน อันนี้ เพื่อให้เป็นมงคลวุฒิศรีสวัสดี และอุโมงค์ที่ผู้ชายทั้งหลายก่อนั้นไป่แล้ว อุโมงค์ที่ผู้หญิงทั้งหลายก่อนั้น ผู้ชายทั้งหลายพากันไปก่อช่วย จึงได้แล้วก่อนดาวประกายพฤกษ์ขึ้น แม้ว่า พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร และพระยานันทเสน ทอดพระเนตรเห็นโคมไฟที่จุดไว้บนยอดเขา ทรงเข้าพระทัยว่าเป็นดาวประกายพฤกษ์ขึ้นจริง ก็อย่าได้ละวางที่เขาก่ออารามหินไม่แล้วนั้นเสีย

พอเวลาใกล้รุ่งพระมหากัสสปเถระเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ นำเอาพระอุรังคธาตุขึ้นไปประดิษฐานไว้บนแท่นอุโมงค์ที่ยังไม่แล้วนั้นก่อน จึงได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองหนองหานหลวงและหนองหานน้อย พระยาสุวรรณภิงคาร พระยาคำแดง พร้อมด้วยชาวเมืองทั้งหลายพร้อมกันใส่บาตร แล้วจึงได้จัดเครื่องสักการบูชา เป็นต้นว่า ดอกไม้ธูปเทียนให้พร้อมสรรพ์ พระยาสุวรรณภิงคารเสด็จพาเหล่าบริวารตามพระอรหันต์ขึ้นไปบนเขา นมัสการพระอุรังคธาตุและปทักษิณเป็นวาร ๓ รอบ แล้วจึงได้สระสรงสุคันธรสพระอุรังคธาตุ ขณะนั้นพระองค์ทอดพระเนตรอุโมงค์เห็นไม่แล้ว ทรงกริ้วแก่ชาวเมืองทั้งหลาย ล่ามเวียกเกียกกายจึงทูลถวายเหตุการณ์นั้น ๆ ให้ทรงทราบ ซ้ำกริ้วแก่พวกผู้หญิงทั้งหลายยิ่งขึ้น จึงตรัสว่าจะทรงกระทำโทษแก่หญิงทั้งหลาย

ครั้งนั้น พระมหากัสสปเถระเจ้า ทรงรำพึงถึงวิรุทธปัญหาธรรม จึงได้นำมาเทศนาแด่พระยาสุวรรณภิงคารว่า “กึสุ อุณโห ชาโต อคฺคินา กึสุ มณินา อติโรจติ อสริโร จรติ อจิตฺตโก นโร ขามิ”

ดูกรมหาราช พระพุทธเจ้าทรงตรัสเทศนาธรรมวิรุทธปัญหาอันนี้ว่า อะไรร้อนไปยิ่งกว่าไฟ อะไรรุ่งเรืองสว่างยิ่งไปกว่าแก้วมณี อะไรไม่มีตัวตนรู้เดินเที่ยวไปมาได้ อะไรไม่มีจิตต์ใจรู้กินยังคนได้นั้นเล่า มหาบพิตร

พระยาสุวรรณภิงคารทรงตอบปัญหาของพระมหากัสสปเถระเจ้าไม่ได้ จึงได้รับสั่งถามพระมหากัสสปเถระเจ้าว่า ปัญหานี้ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอธิบายให้โยมแจ้งด้วยเทอญ

พระมหากัสสปเถระเจ้า จึงอธิบายถวายเป็นข้อ ๆ ไปว่า สิ่งที่ร้อนยิ่งไปกว่าไฟนั้น ได้แก่ราคะตัณหา สิ่งที่รุ่งเรืองสว่างยิ่งไปกว่าแก้วมณีนั้น ได้แก่สติปัญญา สิ่งที่ไม่มีตัวตนรู้เดินเที่ยวไปมาได้นั้น ได้แก่นามธรรม สิ่งที่ไม่มีจิตต์ใจรู้กินยังคนได้นั้น ได้แก่ความชรา ที่ว่าราคะตัณหาร้อนยิ่งกว่าไฟนั้น เมื่อบังเกิดขึ้นแล้ว จะเอาน้ำมาดับสักเท่าใด ก็ไม่สามารถจะดับได้ ส่วนไฟนั้น เมื่อบังเกิดลุกลามขึ้น สามารถจะเอาน้ำมาดับได้ พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกโพธิเจ้า พร้อมด้วยพระขีณาสพทั้งหลาย ประดุจดังตัวอาตมาทั้งหลายนี้ ได้ตัดเสียแล้วยังตัณหา ก็บัดนี้ผู้หญิงทั้งหลายเข้ามาคลุกคลีเย้าหยอกยังชายทั้งหลาย ๆ บมิสังวรจิตต์ใจของตนด้วยดี อุโมงค์จึงไม่แล้วด้วยเหตุนี้แล

พระยาสุวรรณภิงคารได้ทรงสดับยังปัญหา ก็ทรงดับเสียได้ยังความกริ้วแก่คนทั้งหลาย พระมหากัสสปเถระเจ้าจึงทูลต่อไปว่า อุโมงค์อันนี้ถึงแม้ก่อแล้ว ก็ไม่ได้ประดิษฐานยังพระอุรังคธาตุไว้ในที่นี้ พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่ ได้เสด็จมาสถิตแท่นที่นี้ก็จริง แต่พระพุทธองค์ทรงรับสั่งอาตมาไว้ว่า ให้อาตมานำเอาพระอุรังคธาตุนี้ไปประดิษฐานที่ภูกำพร้า

ทันใดนั้น พระยาสุวรรณภิงคารจึงตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นโยมจะขอแบ่งเอาพระอุรังคธาตุไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วโยมจะก่ออุโมงค์นี้ให้แล้ว จะได้ฐปนาพระอุรังคธาตุไว้ในที่นี้ พระมหากัสสปเถระเจ้าทูลห้ามว่า ขอมหาบพิตรอย่าได้ม้างพุทธวจนะของพระศาสดาเลย ไม่เป็นมงคลแก่บ้านเมืองดอก โบราณธรรมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า ท้าวพระยามหากษัตริย์องค์ใดม้างพุทธวจนะ ทรงเข้าพระทัยว่าเป็นการกุศลดังนี้ เทวดาทั้งหลายพร้อมด้วยมเหสักขอารักข์ที่รักษาภูมิสถานบ้านเมือง และรักษาพระบรมธาตุพระพุทธเจ้า เทียรย่อมติเตียนและโกรธมากนัก ไม่ให้มีความเจริญแก่บ้านเมืองแท้จริง

ดูกรมหาราช ครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่ากัสสปใกล้จะเสด็จเข้าสู่นิพพาน ตรัสสั่งไว้กับพระอรหันต์องค์หนึ่งว่า ให้นำเอาพระบรมธาตุของพระองค์ไปประดิษฐานไว้ในคูหาแห่งหนึ่ง ไว้คอยท่าพระยาองค์หนึ่งที่จะเกิดมาในภายภาคหน้านั้น ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงทราบในพระญาณว่า พระยาองค์นั้นจะได้ฐปนาโชตนาพระพุทธศาสนาของพระองค์

พระยาลังกาไม่ตั้งอยู่ในพระพุทธวจนะ ไปนำเอาพระบรมธาตุจากคูหามารักษาไว้เป็นที่สักการบูชาเพื่อประโยชน์ในการกุศล ครั้งนั้น เทวดาและมเหสักขอารักษ์ที่รักษาภูมิสถานบ้านเมือง และเทวดาที่รักษาพระบรมธาตุที่คูหานั้น คอยดูอยู่เป็นนานก็ไม่เห็นเอานำมาประดิษฐานไว้ตามเดิม คูหานั้นก็เป็นเปล่าเศร้าศูนย์ ถึงแม้ว่าเทวดาทั้งหลายอื่น ๆ ที่เคยได้ไปสักการบูชา มาไม่เห็นพระบรมธาตุพระพุทธเจ้า จึงถามเทวดาที่รักษานั้น เทวดาที่รักษาจึงบอกว่า พระยาลังกานำเอาพระบรมธาตุไปไว้สักการบูชา เทวดาทั้งหลายเหล่านั้น จึงพร้อมกันกล่าวติเตียน และโกรธพระยาลังกาองค์นั้นเป็นอันมาก

จึงไปสมคบกันกับเทวดาที่อยู่รักษาเขตต์แดนท้าวพระยาร้อยเอ็จ ให้เข้าไปบรรดลจิตต์ใจท้าวพระยาทั้งหลาย ให้พร้อมกันไปกระทำยุทธกรรมสงครามล้อมเมืองลังกาไว้ พระยาลังกาทรงทราบ จึงได้นำเอาพระบรมธาตุไปฐปนาไว้ในหลุมแห่งหนึ่ง แต่งเป็นยนต์ง้าวกวัดแกว่งป้องกันไว้ในที่นั้นถึง ๙ ชั้น

ครั้งนั้น พระยาลังกา พร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ จึงได้ยกพยุหโยธาออกไปสู้รบกับด้วยท้าวพระยาร้อยเอ็จพระนคร ท้าวพระยาทั้งหลายล้อมจับเอาพระยาลังกาและเสนาอำมาตย์ได้ทั้งสิ้น เมืองลังกาก็พินาศฉิบหายไป ท้าวพระยาทั้งหลายเข้าค้นเก็บเอาทรัพย์สมบัติข้าวของจึงได้เห็นหลุมยนต์ง้าว เข้าใจว่าเป็นหลุมฝังเงินทอง ลงไปดูก็ไม่ได้ เทวดาทั้งหลายจึงเนรมิตเป็นหมู่พราหมณ์มาบอกว่า ในหลุมนี้มีพระบรมธาตุพระพุทธเจ้าอันประเสริฐยิ่งกว่าข้าวของทองเงินมากนัก

ครั้งนั้น บัณฑุกรรมพลศิลาอาศน์ของพระยาอินทร์ก็กระด้างแข็ง พระยาอินทร์ทรงทราบด้วยทิพเนตร จึงตรัสสั่งแก่เทวบุตรเทวดาทั้งหลาย มีเทวบุตรทั้ง ๙ เป็นประธาน เสด็จลงมาสู่ที่ชุมนุมท้าวพระยาทั้งหลายในเมืองลังกา พระยาอินทร์จึงตรัสสั่งให้เทวบุตรทั้ง ๙ มีสุริยเทวบุตร, จันทเทวบุตร เป็นประธาน ตลอดถึงราหูอสุรินทเทวบุตร ให้พร้อมกันไปปราบปรามทำลายยนต์ง้าวเสียให้สิ้น องค์ละชั้น พระยาร้อยเอ็จพระนคร จึงเข้าไปนำเอาพระบรมธาตุพระกัสสปพุทธเจ้า กลับคืนไปประดิษฐานไว้ในคูหาตามเดิม ครั้งนั้นเทวดาทั้งหลายมีความยินดี มาบอกเล่าแก่พระยาร้อยเอ็จพระนคร ให้ไปนำเอาแก้วแหวนเงินทองในถ้ำที่นั้นไม่รู้หมดสิ้น

ดูกรมหาราช ถึงแม้พระพุทธเจ้าของเรานี้ก็ดี เมื่อครั้งพระองค์ทรงตรัสรู้สัพพัญญูครั้งแรกนั้น ได้ทรงประทานพระเกศาธาตุแก่ตปุสสภัลลิก ๘ เส้น ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสสั่งว่าให้เอาไปไว้ในดอนสิงคุตร พระยาเชษฐนครแย่งเอาหนีลงสำเภาไปเสีย ๒ เส้น พญานาคลักเอาหนีไปเสียอีก ๒ เส้น

ครั้งนั้น เทวดามเหสักขะ บ่นแก่พระยาเชษฐนครและพญานาคว่า ม้างพุทธวจนะทำให้เกิดอันตรายแก่บ้านเมือง พระศาสดาทรงรู้แจ้ง จึงโปรดให้เทวดาไปนำเอาพระเกศาธาตุมาจากพระยาเชษฐนครและพญานาค นำเอาไปไว้ในผะอบให้ครบจำนวน ๘ เส้นตามเดิม ด้วยความอธิษฐานของพระยาอุปลนคร ๆ จึงเปิดยังผะอบออกดู เห็นพระเกศาธาตุยังครบบริบูรณ์ แต่พระองค์ไม่ทรงทราบว่าดอยสิงคุตรอยู่ที่ไหน พรหมและวิสสุกรรมเทวบุตรเทวดามีความยินดียิ่งนัก จึงมาบอกที่ดอยสิงคุตร และช่วยก่อพระเจดีย์ ฐปนาพระเกศาธาตุพระพุทธเจ้าไว้ในที่นั้น แต่นั้นมาพระองค์ก็มิได้ละพุทธวจนะอันใดแท้จริง

พระยาสุวรรณภิงคาร ทรงทราบในพระธรรมเทศนาว่า ม้างพุทธวจนะไม่ชอบด้วยพระพุทธโอวาทของพระศาสดา จึงตรัสสั่งให้อำมาตย์แต่งเครื่องสักการะคารวะ และให้คนทั้งหลายเอาหินยอดอุโมงค์ที่สร้างไม่แล้วนั้น มาโสรจสรงอบรม นำเอาพระอุรังคธาตุทั้งสิ้นที่หุ้มห่อและปกปิดด้วยผ้ากำพลนั้น ตั้งไว้ท่ามกลางปราสาท แล้วให้เลือกสรรค์เอาแต่บุคคลที่ดี ให้นุ่งผ้าขาวสวมเสื้อขาว สำหรับหามพระอุรังคธาตุไปสู่ภูกำพร้า พร้อมด้วยพระอรหันต์ แล้วทรงประกาศแก่คนทั้งหลายให้ทราบว่า ห้ามไม่ให้พูดถึงการแข่งขันพะนันกัน แม้แต่อย่างใดอย่างหนึ่งดังแต่ก่อน ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนจะเอาตัวทำโทษ

อนึ่ง ห้ามไม่ให้นำเอาผู้หญิงไปสู่ภูกำพร้าแม้แต่คนเดียว หญิงเหล่านั้นย่อมกระทำให้เป็นเหตุแก่การกุศล ถ้าผู้ใดนำเอาหญิงไปเราจะกระทำทัณฑกรรมแก่บุคคลคนนั้นเป็นอันเด็ดขาด

ขณะนั้น หญิงทั้งหลายได้ทราบในคำประกาศ ก็พากันเข้าไปไหว้พระมหากัสสปเถระเจ้าว่า ผู้ข้าทั้งหลายนี้ก็ได้พร้อมใจกันก่ออุโมงค์สำเร็จบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ผู้ข้าทั้งหลายพร้อมกันเข้ามาไหว้พระผู้เป็นเจ้า ขอเอาพระอุรังคธาตุพระพุทธเจ้าไปฐปนาไว้ณที่นั้น

ครั้งนั้น พระมหากัสสปเถระเจ้า จึงให้พระอรหันต์กลับคืนไปสู่ที่ถวายพระเพลิง นำเอาพระอังคารพระพุทธเจ้ามา ๓ ทะนาน ด้วยอิทธิฤทธิ ให้แก่หญิงทั้งหลายนำไปฐปนาไว้ณที่นั้น สถานที่นั้นจึงได้ชื่อว่า “ธาตุนารายน์” ตามคำหญิงทั้งหลายกล่าวเมื่อแรกจะก่อนั้นว่า ใครจะมีกำลังเสมอด้วยพระนารายน์นั้นเล่า ผู้ชายก็มีมือข้างละ ๕ นิ้วเหมือนกันนั้นแหละ อุโมงค์นี้ผู้เฒ่าคนแก่ทั้งหลายจึงให้ชื่อว่า “อุโมงค์อิตถีมายา” พระยาสุวรรณภิงคารจึงตรัสว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้ม้างคำพระอรหันต์เลย ให้เรียก “พระธาตุนารายน์” ตามคำของพระอรหันต์นั้นเทอญ ส่วนอุโมงค์ที่ผู้ชายก่อไม่สำเร็จนั้น ให้ชื่อว่า “ภูเพ็กมุสา” ตามเหตุอันนั้น

ครั้งนั้น พระยาคำแดงเจ้าเมืองหนองหานน้อย ให้ก่ออุโมงค์เป็นรูปพรหม ๔ หน้าไว้ที่บัวหลวงแห่งหนึ่ง ที่บัวกุ่มน้อยแห่งหนึ่ง ที่ก่อไกลกันบ่มิได้ปรากฏ แต่พระองค์ทรงทราบข่าวว่า พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุไว้ณที่นั้น และนำเอาไปประดิษฐานไว้ที่ภูกำพร้า พระองค์จึงได้นำเอาข้าวของเงินทองขึ้นบรรทุกบนหลังช้างหลังม้า แล้วพระองค์เสด็จขึ้นทรงช้างมงคล พาบริวารเสด็จมาสู่เมืองหนองหานหลวง เพื่อจะนำเอาพระอุรังคธาตุไปสู่พระนคร

ชาวเมืองหนองหานหลวงเห็นดังนั้น ก็พากันแตกตื่นเข้าใจว่าข้าศึกยกเข้ามารบกวน จึงได้นำความเข้าไปกราบทูลพระยาสุวรรณภิงคาร ๆ จึงตรัสสั่งให้อำมาตย์ผู้ฉลาดออกไปตรวจตราดู ก็รู้ว่าพระยาคำแดง ซึ่งเป็นพระอนุชาข้างฝ่ายพระมารดาของพระองค์ นำเครื่องไทยทานเสด็จมา อำมาตย์จึงได้นำความเข้ามากราบทูล เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าพระอนุชาเสด็จมาทรงยินดียิ่งนัก จึงตรัสสั่งให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ออกไปต้อนรับเชิญเสด็จเข้ามาให้ทันในเพลานั้น จะเสด็จไปสู่ภูกำพร้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย ทันใดนั้น พระยาคำแดงพร้อมด้วยอำมาตย์เสด็จและมาถึง พระยาสุวรรณภิงคารเสด็จออกไปต้อนรับและทรงปฏิสันถารกับด้วยพระอนุชา แล้วพระราชาทั้ง ๒ ก็เสด็จไปสู่ภูกำพร้า

ครั้งนั้น พระยาอินทปัฐนคร พระยาจุลณีพรหมทัต พระยานันทเสน ทรงทราบ จึงได้ทรงตระเตรียมไพร่พลโยธาไว้ริมแม่น้ำเสมอปากเซ พระยาสุวรรณภิงคาร พระยาคำแดง ได้ทอดพระเนตรเครื่องสาตราวุธยุทธภัณฑ์และไพร่พลโยธาของพระยาทั้ง ๓ ก็บังเกิดความสงสัย ด้วยเหตุว่าพระยาทั้ง ๒ พี่น้อง มิได้ตระเตรียมไพร่พลโยธา และมิได้นำเอาเครื่องสาตราวุธยุทธภัณฑ์ไปด้วย

ครั้งนั้น พระมหากัสสปเถระเจ้า จึงได้แกวดกดหมายด้วยเหตุที่พระผู้เป็นเจ้ารู้ในน้ำพระทัยของพระราชาทั้ง ๒ พระมหากัสสปเถระเจ้าก็มีความยินดีที่จะมิให้น้ำพระทัยของพระราชาทั้งหลายกระด้างกระเดื่องต่อกัน พระมหาเถระเจ้ามีความปรารถนาอยู่แต่จะให้พระราชาทั้ง ๕ มีน้ำพระทัยอันเบิกบาน จึงได้ออกไปเชิญท้าวพระยาทั้ง ๕ เข้ามาประทับสนทนาซึ่งกันและกัน ณท่ามกลางพระอรหันต์ทั้งหลาย แล้วพระมหากัสสปเถระเจ้าจึงถวายพระพรตามปัญหาพระยาธรรมว่า “เขือไป ขามา ขาไป เขือมา” ดังนี้ แล้วพระผู้เป็นเจ้าเอาปัญหาพระยาธรรมผูกเข้ากับปัญหาธรรม เพื่อเล้าโลมน้ำพระทัยพระยาทั้ง ๕ ว่า “คจฺฉนฺติ นรคจฺฉนฺติ โกเว นรโกเว เยฺยา นรเยฺยา สากนฺติ นรสากนฺติ โจรํ นรโจรํ เถโน นรเถโน นรา นุเร นุเร” ดังนี้ พระมหากัสสปเถระเจ้ากระทำให้พระยาทั้ง ๕ เข้าใกล้กัน และให้ได้วิสสาสะคุ้นเคยชอบในพระอัธยาศัยซึ่งกันและกัน พระมหาเถระเจ้ามองเห็นอนาคตว่า พระยาสุวรรณภิงคารและพระยาคำแดงจักจุติไปเกิดในเมืองอินทปัฐนคร ร่วมพระราชบิดาและพระราชมารดาเดียวกัน จึงได้นำเอาปัญหาพระยาธรรมเข้ามาแทรงแซงว่า “เขือไป” เพื่อเหตุนี้

บทว่า “ขามา” ได้แก่ พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร ทั้ง ๒ จักจุติมาเกิดในเมืองจุลณีพรหมทัต ร่วมพระราชบิดาและพระราชมารดาเดียวกัน

บทว่า “ขาไป” นั้น ได้แก่ พระยาติโคตรบูร จุติแล้วจักได้ไปบังเกิดเป็นพระยาสุริยวงศา ในเมืองสาเกตนคร พระยานันทเสนผู้เป็นพระอนุชา จักได้เสวยราชสมบัติแทน ๑๓ ปี จึงจะได้เสด็จมาสู่ภูกำพร้า แล้วจึงได้จุติไปเกิดในครรภ์แห่งนางศรีรัตนเทวี พระราชเทวีของพระยาสุริยวงศา

บทว่า “เขือมา” นั้น ได้แก่นางศรีรัตนเทวี จะได้จุติมาเกิดในวงศ์พระยานันทเสน พระยาสุริยวงศาก็จักได้จุติมาเกิดเป็นโอรสพระยามรุกขนคร ได้นางศรีรัตนเทวีมาเป็นราชเทวี

อนึ่ง พระมหากัสสปเถระเจ้ามองเห็นว่า ท้าวพระยาทั้งหลายจักได้เป็นพระยาธรรม ค้ำชูพระพุทธศาสนาในเมืองศรีสัตตนาค ดอยนันทกังรีและเมืองจันทบุรีศรีสัตตนาค ด้วยเหตุอดีตชาติที่ได้ผลัดเปลี่ยนกันเป็นพระยาศรีโคตรบูร มีอมรฤษีเป็นต้น

พระมหากัสสปเถระเจ้ารู้แจ้งดังนี้ จึงได้นำเอาปัญหาพระยาธรรมมาเปรียบเทียบด้วยพระยาทั้ง ๕ พระมหาเถระรำพึงดังนี้ จึงกล่าวว่า “เขือไป ขามา” ดังนี้ ผู้มีปัญญาเป็นบุรุษอาชาไนย หากจักรู้แจ้งต่อภายหน้า อรรถกถาต่อไปเป็นปัจจุบันชาติเห็นฉะเพาะหน้า “คจฺฉนฺติ นรคจฺฉนฺติ” ผู้ประเสริฐต่อผู้ประเสริฐ เทียวทางมาเจอะกันเข้า ยิ่งซ้ำประเสริฐกว่าก่อน บทนี้พระมหาเถระเจ้ามองเห็นในท้าวพระยาทั้ง ๕ ได้สร้างสมบุญสมภารมาแล้ว ๑๐๐,๐๐๐ มหากัลป์ ซ้ำได้มาเจอะกัน ยิ่งซ้ำประเสริฐยิ่ง ๆ ขึ้นไปกว่าแต่ก่อน

บทว่า “โกเว นรโกเว” นี้ แปลว่า ผู้ฉลาดต่อผู้ฉลาด เทียวทางมาเจอะกันเข้า ก็ยิ่งซ้ำฉลาดรู้ดีงามยิ่งกว่าแต่ก่อน

บทว่า “เยฺยา นรเยฺยา” นี้ แปลว่า ผู้รู้ต่อผู้รู้ เทียวทางมาเจอะกันเข้า ก็ยิ่งรู้หลักนักปราชญ์เพิ่มเติมขึ้นไปยิ่งกว่าเก่า

บทว่า “สากนฺติ นรสากนฺติ” นี้ แปลว่า ผู้รักต่อผู้รัก เทียวทางมาเจอะกันเข้า ก็ยิ่งซ้ำรักกันยิ่งกว่าเก่า

อธิบายคาถาบทนี้ว่า ต่างคนต่างเป็นท้าวพระยา มีบุญสมภารเกิดแต่ธรรมชาติ ว่าเป็นผู้ฉลาดรู้หลักรักตน กลัวแต่สังสารทุกขภัย มีหัวใจเป็นมงคล และรักในแก้วทั้ง ๓ เพื่อเป็นที่ใต่ตามเข้าไปสู่พระนิพพาน ไม่มีความคดเลี้ยวด้วยการสงคราม

บทว่า “โจรํ นรโจรํ” นี้ แปลว่า ผู้เป็นโจรต่อผู้เป็นโจร เทียวทางมาเจอะกันเข้า ยิ่งซ้ำชวนกันประพฤติเป็นโจร เที่ยวฆ่าฟันแย่งชิงยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

บทว่า “เถโน นรเถโน” นี้ แปลว่า ผู้ชำนาญในการลักขะโมย เทียวทางมาเจอะกันเข้า ก็ยิ่งซ้ำชวนกันไปเที่ยวลักขะโมยยิ่งกว่าแต่ก่อน

บทว่า “นรา นุเร นุเร” นี้ แปลว่า คนทั้งหลายผู้ที่เป็นสับบุรุษมีความเพียร เทียวทางมาเจอะกันเข้า ก็ยิ่งซ้ำชวนกันกระทำความเพียรยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน อธิบายว่า พระยาทั้ง ๓ ที่มานี้ ถึงแม้จะมีเครื่องสาตราวุธกระทำยุทธสงครามมาด้วยก็จริง ก็หาใช่พระราชาทั้ง ๓ มีพระราชประสงค์เช่นนั้นดอก พระราชาทั้ง ๓ หากเป็นสับบุรุษผู้มีความเพียรเสมอกัน

พระราชาทั้ง ๓ ทรงทราบข่าวสาส์นว่า พระอรหันต์ ๕๐๐ จะนำเอาพระอุรังคธาตุมาประดิษฐานณที่นี้ พระองค์แสวงหายังพระนิพพานเสมอด้วยพระยาทั้ง ๒ พระมหากัสสปเถระเจ้ารู้แจ้งในพุทธวิสัยที่พระศาสดาทรงพยากรณ์ไว้นั้นว่า “กปฺปนคิริ” แปลว่า ดอยเข็ญใจเป็นกำพร้า พระพุทธเจ้าอาศัยซึ่งพระยาติโคตรบูรพระองค์นั้น เมื่อชาติหนหลัง พระยาได้นำเอา ลูกนก ไข่เต่า และไข่ตะกวดมากินและขายเลี้ยงชีวิต ครั้นเกิดมาจึงได้เป็นคนเข็ญใจ และปราศจากบิดา มารดา บุตร ภรรยา และเสนาอำมาตย์ที่พึงใจ พระองค์จักได้เป็นผู้ฐปนาพระอุรังคธาตุไว้ในดอยอันนี้ ๆ จึงได้ชื่อว่า ดอยเข็ญใจภูกำพร้า ก็เพื่อเหตุอันนั้น

อนึ่ง พระพุทธเจ้าสั่งให้เอาพระอุรังคธาตุมาประดิษฐานเป็นภาษาบาลีว่า “อุรงฺคธาตุ” ในดอยเข็ญใจ ตามที่พระศาสดาตรัสว่า พระยาติโคตรบูรเสมออก พระยาเป็นเชื้อเนื้อหน่อพุทธวงศา ท้าวพระยาทั้ง ๕ ที่มา ก็เป็นเนื้อหน่อพระอรหันต์ และเป็นพระยาธรรมสืบพระพุทธศาสนา พระมหากัสสปเถระเจ้ามองเห็นเหตุดังนี้ จึงเทศนาให้พระยาทั้ง ๕ ทรงทราบแต่เล็กน้อย

เมื่อพระยาทั้ง ๕ จุติ ได้มาเป็นพระอรหันต์ จึงแจ้งด้วยบุพเพนิวาสญาณและปรสัญญิตญาณในปัญหาที่ว่า เขือไป ขามา ขาไป เขือมา และแจ้งในบทคาถาที่ผูกไว้ให้พระมหากัสสปเถระเจ้า แจ้งในคุณพระอรหันต์ทั้ง ๕ จึงได้กล่าวไว้ในนิทานวันนี้ เพื่อให้นักปราชญ์ทั้งหลายรู้ต่อไปภายหน้า เมื่อใดยังมีสาวกบารมีญาณและโพธิญาณนั้นไม่กล่าว เหตุท่านเหล่านี้รู้แจ้งในธรรมทั้งสิ้นอยู่แล้ว

ครั้งนั้น พระยาสุวรรณภิงคาร พระยาคำแดง พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร พระยานันทเสน ได้ทรงสดับพระมหากัสสปเถระเจ้าอธิบายในคาถานั้น ๆ มีพระทัยชุ่มชื่นและมีความเสนหาซึ่งกันและกัน พระราชาทั้ง ๕ จึงตรัสสั่งให้บริวารแห่งตน ๆ ไปขนเอาหินเหล่านั้นมาก่ออุโมงค์ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ

พระมหากัสสปเถระเจ้า พร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย จึงทูลว่า หินเหล่านั้นได้ก่อแล้วแต่ก่อน ไม่แล้ว ละทิ้งเสีย ไม่เป็นมงคล ให้ปั้นดินดิบก่อเป็นอุโมงค์แล้วเอาไฟเผาเอาเทอญ ไม่ยิ่งไม่หย่อนในพระพุทธศาสนาภายหน้าดอก พระอรหันต์ทั้งหลายว่าดังนี้

ท้าวพระยาทั้ง ๕ จึงตรัสสั่งให้คนทั้งหลายปั้นดินดิบ และให้ทำแม่พิมพ์เท่าฝ่ามือพระมหากัสสปเถระเจ้า เป็นแบบตัวอย่างปั้นดินดิบนั้น เมื่อปั้นได้พอแล้ว พระยาสุวรรณภิงคาร พระองค์เริ่มขุดหลุมด้วยพระองค์เองก่อน พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร และพระยานันทเสน จึงขุดเป็นลำตัวไป เสนาอำมาตย์และอาณาประชาราษฎรทั้งหลายจึงได้ขุดต่อไป หลุมนั้นลึก ๒ ศอกของพระมหากัสสปเถระเจ้า กว้าง ๒ วาของพระมหากัสสปเถระเจ้า เท่ากันทั้ง ๔ ด้าน ท้าวพระยาทั้ง ๔ จึงแบ่งปันกันก่อองค์ละด้าน

พระยาจุลณีพรหมทัตทรงก่อด้านตะวันออก และทรงบริจาคพระราชทรัพย์และวัตถุสิ่งอื่นรองบูชาไว้ภายใต้ด้านที่พระองค์ทรงก่อนั้น เงินแน่น ๕,๕๕๐ แน่น ๆ หนึ่ง มีกำหนด ๔๐๐ ทองคำ ๕๕๐ แน่น แน่นหนึ่งหนัก ๓๐๐ ฆ้อง ๑๙ กำ ๙ ลูก ๑๗ กำ ๗ ลูก

พระยาอินทปัฐนครทรงก่อด้านใต้ และทรงบริจาคพระราชทรัพย์บูชาไว้ เงิน ๙,๙๙๙,๙๐๐ ปลอกมงกุฎทองคำ มี ๓๓,๓๓๐ ทรงหล่อเป็นรูปเรือรองไว้ภายใต้ด้านที่พระองค์ก่อ

พระยาคำแดงทรงก่อด้านตะวันตก และทรงบริจาคพระราชทรัพย์บูชา เป็นต้นว่า กระโถนทองคำลูกหนึ่ง หนัก ๖๐,๐๐๐ แล้วเอาแหวนใส่ในกระโถนนั้นให้เต็ม เงิน ๓๐๐,๐๐๐ มงกุฎแก้วมรกตคู่หนึ่ง ปิ่นทองคำคู่หนึ่ง พานทองคำ ๗,๐๐๐ ลูก แล้วเอาหินมุกด์มาทำเป็นหีบใส่ข้าวของนั้น ๆ เอาลงไปรองไว้ภายใต้ด้านที่พระองค์ก่อ

พระยานันทเสนทรงก่อด้านเหนือ พระองค์ทรงบริจาควัตถุข้าวของ เป็นต้นว่า ขันทองคำลูกหนึ่ง หนัก ๗,๐๐๐ แล้วเอาแหวนทองคำบรรจุลงในขันนั้นให้เต็มบริบูรณ์ ขันเงินลูกหนึ่ง หนัก ๙,๐๐๐ แล้วเอาปิ่นทองคำบรรจุลงในนั้นให้เต็มบริบูรณ์ ไตเงิน ๒ ลูก หนัก ๑๙,๐๐๐ แล้วเอาม้าวบรรจุลงในไตเงินให้เต็มทั้ง ๒ ลูก ๆ ละ ๕๐ คู่ ๆ หนึ่งหนัก ๒๐ เงิน ๙๐,๐๐๐ บรรจุลงในฆ้อง ๑๗ กำ ๗ ลูก ๑๕ กำ ๕ ลูก ๑๓ กำ ๓ ลูก บูชารองไว้ภายใต้ด้านที่พระองค์ก่อ

พระยาสุวรรณภิงคาร พระองค์ทรงบริจาควัตถุข้าวของถวายบูชา เป็นต้นว่า มงกุฎทองคำคู่หนึ่ง หนักมงกุฎละ ๓๐,๐๐๐ สังวาลย์ทองคำคู่หนึ่ง หนักสังวาลย์ละ ๓๐๐,๐๐๐ กระโถนทองคำลูกหนึ่ง หนัก ๙๐,๐๐๐ แล้วเอาแหวนทองคำและกระจอนหู บรรจุลงในกระโถนให้เต็ม พานทองคำลูกหนึ่ง หนัก ๗๐,๐๐๐ เอาวันละคัง บรรจุลงในพานนั้นให้เต็ม โอทองคำ ๙ ลูก ๆ หนึ่ง หนัก ๒,๐๐๐ โอเงิน ๙ ลูก หนักลูกละ ๕,๐๐๐ โอนาก ๗ ลูก หนักลูกละ ๕,๐๐๐ รองไว้ณภายใต้อุโมงค์ท่ามกลางท้าวพระยาทั้งหลาย

เมื่อพระยาทั้ง ๔ จะทรงก่ออุโมงค์นั้น พระมหากัสสปเถระเจ้าจึงบอกให้เอาไหน้ำใหม่มาตั้งไว้ด้านละลูก จารึกคำถามงคลโลกใส่ลงไว้ในไหทุกลูก แล้วสวดราหุลปริตตสูตร ให้ท้าวพระยาทั้ง ๕ มีพระยาสุวรรณภิงคารเป็นประธาน ทรงตักน้ำในไหนั้นประพรมอุโมงค์ให้ตลอดทั้ง ๔ ด้าน แล้วประทักษิณเวียนขวา ๓ รอบ พระยาจุลณีพรหมทัต ทรงตักเอาน้ำในไหประพรมด้านตะวันออก แล้วจึงให้ก่อขึ้น พระยาอินทปัฐนคร พระยาคำแดง และพระยานันทเสน ก็ทรงกระทำเหมือนดังพระยาจุลณีพรหมทัตนั้น เมื่อทรงก่อด้านใดก็เอาน้ำประพรมด้านนั้น แล้วจึงให้ก่อขึ้นไป ท้าวพระยาทั้ง ๕ พร้อมกันก่ออุโมงค์เป็นรูปเตาขึ้นไปแต่พื้นดินเป็นสี่เหลี่ยม สูงขึ้นไปวาหนึ่งแล้วหยุดไว้ ต่อแต่นั้นขึ้นไป พระยาสุวรรณภิงคาร ทรงก่อเป็นรูปฝาระมีตลอดขึ้นไปจนถึงที่สุดยอด ได้วาหนึ่งของพระมหากัสสปเถระเจ้า วัดแต่ฐานขึ้นไปถึงยอดสุดได้ ๒ วาของมหากัสสปเถระเจ้า แล้วทำประตูเตาฮางไว้ทั้ง ๔ ด้าน จึงให้เอา ไม้จวง ไม้จันทน์ ไม้กลัมพัก ไม้คันธรส ไม้ชมภู ไม้นิโครธ และไม้รัง มาทำเป็นฟืนเผา ๓ วัน ๓ คืน สุกดีแล้ว ให้ขนเอาหินหมากคอมกลางโคกที่เป็นมงคลมากลบลงในหลุมนั้น

พระมหากัสสปเถระเจ้า พร้อมด้วยพระอรหันต์กับทั้งท้าวพระยาทั้ง ๕ จึงไปนำเอาพระอุรังคธาตุเข้าไปฐปนาไว้ในอุโมงค์นั้น แล้วให้ปิดประตูไว้ทั้ง ๔ ด้าน

ขณะนั้น พระอุรังคธาตุ ที่หุ้มห่อไว้ด้วยผ้ากัมพล ทรงกระทำปาฏิหารย์ เสด็จออกมาประดิษฐานอยู่บนฝ่ามือก้ำขวาของพระมหากัสสปเถระเจ้าผู้อัครสาวก พระอรหันต์พร้อมด้วยท้าวพระยาทั้ง ๕ กับทั้งเสนาอำมาตย์ เห็นเป็นอัศจรรย์ดังนั้น ก็เปล่งออกยังเสียงสาธุการขึ้นพร้อมกัน

ครั้งนั้น พระมหากัสสปเถระเจ้า ระลึกถึงพระพุทธวจนะที่พระศาสดาตรัสสั่งไว้ว่า ให้นำเอาพระอุรังคธาตุไปประดิษฐานที่ภูกำพร้า พระศาสดามิได้ทรงสั่งให้ฐปนาไว้ พระมหากัสสปเถระเจ้ารู้แจ้งแล้วแสร้งกล่าวว่า ชะรอยว่าพระพุทธวิสัยทรงมองเห็นว่า จักมีบุคคลทั้งหลายที่เป็นเชื้อเนื้อหน่อพุทธวงศา และเชื้อเนื้อหน่อพระอรหันต์ จักเกิดมีในกาลภายหน้านั้น จะได้มาบูรณปฏิสังขรณ์ต่อไป บัดนี้เราทั้งหลายอย่าได้ฐปนาไว้ตามพระพุทธวจนะนั้นเลย

ทันใดนั้น พระอุรังคธาตุก็กระทำปาฏิหารย์เสด็จกลับไปประดิษฐานในอุโมงค์ ผ้ากัมพลก็คลี่คลายขยายออกรองรับ พระอุรังคธาตุก็เสด็จเข้าไปประดิษฐานอยู่ทั้งเก่า

พระยาสุวรรณภิงคารทอดพระเนตรเห็นเป็นอัศจรรย์ ทรงระลึกถึงถ้อยคำของพระมหากัสสปเถระเจ้าห้ามไว้แต่ก่อน พระองค์ทรงสะดุ้งพระทัย ท้าวพระยาทั้ง ๕ จึงได้พร้อมกันสร้างบานประตูอุโมงค์ด้วยไม้ประดู่ใส่ดานปิดไว้ แล้วทรงแต่งให้คนทั้งหลายไปนำเอาหินที่เมืองกุสินารายมาก้อนหนึ่ง ทำเป็นรูปอัจฉมุขีไว้ที่กก ฝังไว้ทิศเหนือหมายเมืองมงคลในชมพูทวีป แล้วให้ไปนำเอาหินมาแต่เมืองพาราณสีก้อนหนึ่ง ทำเป็นรูปไว้กก ฝังไว้ทิศใต้หมายเมืองมงคล แล้วให้ไปนำเอาหินมาแต่เมืองลังกาก้อนหนึ่ง ฝังไว้ด้านตะวันออกมุมใต้ เอามาแต่เมืองตักกสิลาก้อนหนึ่ง ฝังไว้ด้านตะวันตกมุมเหนือ จึงให้สร้างเป็นรูปม้าอาชาไนยไว้หมายด้านเหนือว่า พระอุรังคธาตุพระพุทธเจ้าได้เสด็จออกมากระทำปาฏิหารย์ รู้ในคำพระพุทธวจนะ ทรงพยากรณ์ไว้ในศาสนานครนิทาน อยู่ทิศเหนือเจือไปทิศใต้ ให้เอาข้างหางม้าอาชาไนยหันไปทางเหนือ เพื่อเหตุนั้น

อนึ่ง พระยาสุวรรณภิงคาร พระองค์ได้ทราบในที่พระศาสดาตรัสเทศนาในนิทาน จึงให้สร้างไว้ พระมหากัสสปเถระเจ้าให้สร้างรูปม้าพลาหกตัวหนึ่ง ผินหางมาทางเหนือ เรียงอยู่กับม้าอาชาไนยนั้น หมายว่าเป็นพระยาติโคตรบูรนั้น จักได้ฐปนาพระอุรังคธาตุไว้ค้ำชูพระพุทธศาสนา ตลอด ๕๐๐๐ พระวรรษา เกิดก้ำฝ่ายใต้ขึ้นไปเหนือ เป็นประดุจดังม้าพลาหกตัวประเสริฐนี้แล ม้าอาชาไนยและม้าพลาหกนี้ พระอรหันต์ทั้ง ๕ รู้แจ้งในปัญหาบุพเพนิวาสญาณและปรสัญญิตญาณ จึงได้ประพันธ์เข้าไว้ในนิทานอันนี้ นักปราชญ์ทั้งหลายดูแล้วให้พิจารณาไปในปรมัตถธรรมนั้นเทอญ

ครั้งนั้น พระมหากัสสปเถระเจ้า พร้อมด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ จึงกระทำปทักษิณสิ้นวาร ๓ รอบ ท้าวพระยาทั้งหลายจึงได้พร้อมกันอธิษฐาน เวนข้าวของเงินทองพร้อมด้วยเครื่องอุปโภคทั้งสิ้น ประดิษฐานสักการบูชารองไว้ภายใต้พื้นอุโมงค์นั้น ด้วยคำว่า “ข้าวของทั้งหลายนี้เป็นพุทธสันตกะ ตราบต่อเท่า ๕๐๐๐ พระวรรษา นั้นเทอญ”

ขณะนั้น พระยาสุวรรณภิงคารและพระยาคำแดงทั้ง ๒ พระองค์ ทรงปรารถนาว่า ขอให้ได้บวชในพระพุทธศาสนาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และขอให้ข้าพเจ้าทั้ง ๒ พี่น้องนี้ จงอย่าได้พลัดพลากจากกันไปได้เทอญ

พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร ทรงได้ยินในความปรารถนาของพระยาทั้ง ๒ ดังนั้น ก็ทรงพระสรวลและเย้าหยอกว่า เมื่อทรงก่ออุโมงค์นั้น พระยาเจ้าพี่น้องและข่อยทั้งหลายก็ยังพร้อมกันก่อ และยังหาได้ปรารถนาเอาสิ่งใดไม่ พระองค์ทั้ง ๒ ทำไมจึงไม่ชักจูงข่อยทั้งหลายด้วยเล่า

พระยาสุวรรณภิงคารจึงทูลว่า ความปรารถนานี้มีต่าง ๆ กัน ข่อยบ่ได้ชวนเพื่อเหตุนั้น มีคำโบราณว่า “ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่” เมื่อว่าจะเทียวทางด้วยกัน ก็ปรารถนาตามกันเทอญ

ขณะนั้น พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร พร้อมกันทรงปรารถนาไปเกิดร่วมพระบิดามารดาเดียวกัน และให้ได้บวชในพระพุทธศาสนา สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ประดุจดังพระยาเจ้าพี่น้องทั้ง ๒ พระองค์นั้นเทอญ พระยานันทเสน ทรงปรารถนาว่า สาธุ สาธุ ผู้ข้าได้ก่ออุโมงค์ด้านหนึ่ง เป็นส่วนของผู้ข้า ขอให้ผู้ข้าได้ออกบวชในพระพุทธศาสนา สำเร็จเป็นพระอรหันต์องค์ที่ ๕ นั้นเทอญ

ครั้งนั้น พระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ มีพระมหากัสสปเถระเจ้าเป็นประธาน พร้อมกันอนุโมทนาในความปรารถนาของพระราชาทั้ง ๕ ว่า ขอให้ความปรารถนานั้น ๆ จงสัมฤทธิตามพระราชประสงค์ทุกประการเทอญ

แล้วพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ ก็เสด็จไปสู่เมืองราชคฤห์โดยทางอากาศ เพื่อจักได้กระทำปฐมสังคายนาย

ท้าวพระยาทั้งหลาย พร้อมด้วยพระอนุชาและพระราชบุตร ชุมนุมสั่งทูลลาซึ่งกันและกัน ขณะนั้นพระยานันทเสนจึงปฏิสัณฐานถึงพระยาสาเกตนครและพระยากุรุนทนครว่า ทำไมพระราชาทั้ง ๒ จึงไม่เสด็จมาก่ออุโมงค์กับด้วยเราทั้งหลายเล่า พระยาคำแดงจึงทูลว่า พระอรหันต์ไม่ได้นำพระอุรังคธาตุพระพุทธเจ้าเสด็จมาทางนั้น พระอรหันต์ท่านนำพระอุรังคธาตุเสด็จมาทางเมืองหนองหานหลวง ผู้ข้ารู้ข่าวจากพระอรหันต์ที่เข้าไปบิณฑบาตในเมืองหนองหานน้อย ผู้ข้าจึงได้รีบลัดตัดมาซ้ำไป่ทัน

พระยาสุวรรณภิงคารตรัสว่า พระยาจุลณีพรหมทัตอยู่ฟากฝั่งแม่น้ำนั้นเท่านั้น พระยาอินทปัฐนครนั้นอยู่ไกล พระองค์ก็ยังรู้ข่าว ได้เสด็จมาทันพระอรหันต์ทั้งหลายก่ออุโมงค์

บุคคลทั้งหลายเกิดมาในโลกนี้ ได้บำเพ็ญบุญสมภารกตาธิการแต่ชาติก่อนไว้มามาก จึงได้มาพบปะสิ่งที่ประเสริฐยิ่งกว่าประเสริฐ เมื่อพระพุทธเจ้ายังไป่เสด็จเข้าสู่พระนิพพานครั้งนั้น พระองค์เสด็จมาสุมรอยพระบาทไว้ที่ริมหนองหานหลวง ทรงเทศนาแก่ผู้ข้าว่า

“กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ กิจฺฉํ มจฺจาชีวิตํ
กิจฺฉํ ธมฺมสฺสวนํ กิจฺโฉ พุทฺธานํ อุปฺปาโท” ดังนี้

อธิบายว่า บุคคลทั้งหลายที่เกิดมาในวัฏฏสงสารนี้ จักได้เป็นมนุษย์ยากนัก อนึ่ง จักให้มีชีวิตและเลี้ยงชีวิตโดยชอบยากนัก อนึ่ง จักได้ฟังพระสัทธรรมเทศนาและรู้ในธรรมนั้นยากนัก อนึ่ง จักได้มาพบพระพุทธบาทศาสนานี้ก็ยากนัก ด้วยเหตุว่าอุปนิสสัยแต่หนหลังมิได้มี

บัดนี้เราเจ้าข่อยทั้งหลาย ได้มาพบพระอรหันต์ ๕๐๐ และได้พร้อมกันก่ออุโมงค์ประดิษฐานพระอุรังคธาตุพระศาสดาครั้งนี้ เราเจ้าข่อยพี่น้องก็จะได้พ้นจากทุกข์ในวัฏฏสงสาร จะได้ถึงซึ่งความสุข คือพระนิพพานในภายหน้านั้น บ่สงสัยแท้จริง

พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร พระยานันทเสน และพระยาคำแดง ได้ทรงสดับพระคาถาที่พระยาสุวรรณภิงคารทรงแสดง มีพระทัยชุ่มชื่นประดุจดังบุคคลนำเอาน้ำอมฤตมาโสรจสรงฉะนั้น พระยาจุลณีพรหมทัตทรงนำเอาทองคำ ๕๐๐ แน่น ๆ หนึ่งหนัก ๓๐๐ พระยาอินทปัฐนครทรงนำเอาเงินแป ๓๐๐,๐๐๐ พระยานันทเสนทรงนำเอาพาน ๓ ลูก ๆ หนึ่งหนัก ๓๐,๐๐๐ พระยาคำแดงทรงนำเอาเงินด้วง ๓๐๐,๐๐๐ ท้าวพระยาทั้ง ๔ น้อมนำเอามายังเครื่องบรรณาการทั้งหลายนี้ เพื่อถวายบูชาพระคาถาที่พระองค์ทรงนำเอามาแสดงวันนั้น

ขณะนั้น พระยาสุวรรณภิงคาร ทรงจูงพระหัตถ์พระยาทั้ง ๔ เป็นต้นว่า พระยาคำแดง พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร และพระยานันทเสน แล้วต่างทูลลาซึ่งกันและกัน เสด็จจากภูกำพร้าคืนสู่พระนครแห่งตน ๆ กล่าวตอนที่พระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ มีพระมหากัสสปเถระเจ้าเป็นประธาน พร้อมด้วยพระยาทั้ง ๕ ก่ออุโมงค์ประดิษฐานพระอุรังคธาตุไว้ที่ภูกำพร้า ก็เสร็จสิ้นความแต่เท่านี้

  1. ๑. “จุ้ม” ตราตั้ง หรือสัญญาบัตร

  2. ๒. “ปลาเซือม” ปลาเนื้ออ่อน

  3. ๓. หนัก ๔๐๐ จะเป็นบาทหรือตำลึงไม่ทราบแน่

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ