๑
อุรังคธาตุ
ตำนานพระธาตุพนม
นโม พุทธาย จักกล่าวยังอุรังคธาตุนิทาน ปาทลักษณนิทาน ศาสนานครนิทาน อันพระอรหันต์ทั้ง ๕ องค์ แปลไว้ให้แจ้งแก่นักปราชญ์เจ้าทั้งหลาย นิทานอันนี้ พระพุทธเจ้าทรงทำนายปลายเมือหากก๑ บุคคลผู้มีปัญญาจึงค่อยพิจารณาดูอธิบายให้แจ้งเทอญ
เมื่อพระพุทธเจ้ายังธรมานอยู่สำราญในเชตวันอารามยามใกล้รุ่ง เจ้าอานนทอุปฐากด้วยน้ำและไม้สีฟัน เมื่อพระพุทธเจ้าเมี้ยน๒กิจชำระแล้ว หลิง๓เห็นโบราณประเพณีแห่งพระพุทธเจ้าทั้งสามพระองค์ ที่เสด็จเข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว ทรงไว้ยังธาตุในดอยกัปปนคิรีอันมีในที่ใกล้เมืองศรีโคตรบอง พระพุทธเจ้าทรงผ้ากัมพลผืนแดงงาม มีวรรณเหมือนแสงสุริยอาทิตย์เมื่อแรกขึ้น และผ้ากัมพลผืนนี้พระนางกีสาโคตมีได้ถวายให้เป็นทานเมื่อแรกปลูกฝ้ายนั้น พระนางได้เอาแท่งคำมาฝนผสมกับน้ำ หด๔ต้นฝ้ายนั้นวันละแสนทุก ๆ วันเพื่อเหตุนั้น เมื่อต้นฝ้ายนั้นเป็นดอกออกมา จึงมีสีแดงงาม
พระพุทธเจ้าทรงบาตรอ่วย๕หน้าสู่ทิศตะวันออก เจ้าอานนท์นำ๖พุทธลีลามาทางอากาศ ลงที่ดอนกอนเน่าที่นั้นก่อน แล้วจึงมาสถิตย์อยู่แคมหนองคันแทเสื้อน้ำ ทอดพระเนตรเห็นแลน๗คำตัวหนึ่งแลบลิ้นที่โพน๘จิกเวียงงัวใต้ปากห้วยกู่คำ พระพุทธเจ้าทรงกระทำหสิตุการแย้มหัว๙ เจ้าอานนท์จึงไหว้ว่า พระพุทธเจ้าแย้มหัวด้วยเหตุสิ่งใดจา
พุทธพยากรณ์
ดูราอานนท์ ตถาคตเห็นแลนคำแลบลิ้นให้เป็นเหตุ เมืองสุวรรณภูมินี้ เป็นที่อยู่แห่งนาคทั้งหลายมีสุวรรณนาคเป็นเค้า แลผีเสื้อน้ำเสื้อบก ยักษ์ทั้งมวลภายหน้าโพ้น คนฝูงอยู่ในเมืองอันนี้ แม้นรู้ธรรมก็ดีจะเลือกหาผู้มีสัจจะได้ยากนัก แต่จักหล่านาคา๑๐ที่ปิ้นแผ่๑๑ไปมา เป็นหลายแห่งหลายชื่อ บางพ่องจักเชื่อบุญคุณแก้วทั้งสามสิ้น บางพ่องจักเชื่อบุญคุณแก้วทั้งสามถ่อง๑๒หนึ่ง และจักเชื่อมิจฉาทิฏฐิส่วนหนึ่ง บางพ่องจักเชื่อบุญคุณแก้วทั้งสามสองส่วนจักเชื่อมิจฉาทิฏฐิส่วนหนึ่ง บางพ่องจักเชื่อบุญคุณแก้วทั้งสามส่วนหนึ่งจักเชื่อมิจฉาทิฏฐิสองส่วน บางพ่องก็บ่เชื่อบุญคุณแก้วทั้งสามสักอัน จักถือมิจฉาทิฏฐิกรรมอันเป็นคลองแห่งอบายทั้ง ๔ สิ่งเดียว เหตุว่าตถาคตเห็นแลนคำแลบลิ้นนั้นเป็นนิมิตร์ เมื่อใดท้าวพระยาองค์เป็นเชื้อหน่อพุทธวงศาได้มาเสวยราชสมบัติ พุทธศาสนา บ้านเมืองจักรุ่งเรืองเหมือนดังเมื่อกูตถาคตยังธรมานอยู่ เมืองอันนี้เป็นที่เที่ยวไปมาแห่งพระโพธิสัตว์แต่ก่อน เป็นเหตุจักนำมาส่งผลเวร เมื่อตถาคตเสวยพระชาติเป็นท้าวสุทธนู ได้มาเซา๑๓ในศาลายักษ์ที่นั้น จึงพลัดนางแก้วเจียรประภา เมื่อเป็นท้าวสุทธเสน ก็ได้มาเซาศาลายักษ์ที่นั้น มีฤษีตนหนึ่งอยู่ในป่าที่นั้นมีเมตตาให้พ้นจากยักษ์กินในกาลครั้งนั้น
ดูราอานนท์ เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว พระยานาคจักก่อแรกเป็นเมือง ตั้งไว้ที่แคมน้ำเพียง๑๔หาดทราย และยังมีพระยาองค์หนึ่ง ชื่อว่าสุมิตตธรรม จักให้นำเครื่องปัญจราชกกุธภัณฑ์ มาหดสรงกะทาชายผู้หนึ่ง อันเป็นพ่อไร่พ่อนาพร้อมทั้งตระกูลวงศา มาเป็นใหญ่ในเมืองสุวรรณภูมินั้น ให้เป็นพระยาจันทบุรี จักได้ตั้งไว้ยังพระพุทธศาสนาเป็นปฐม ก่อนท้าวพระยาทั้งหลาย พระยาจันทบุรีองค์นั้น แหม่น๑๕พระยาปัสเสนมาเกิดใช้กรรมอันเศษปูม๑๖ใหญ่นักเป็นเค้า๑๗
ครั้งหนึ่ง พระองค์ได้ลุอำนาจมาตุคามแห่งนางมัลลิกา ลงจากผาสาท๑๘ไปสู่ส้วมอาบน้ำ เพื่อเหตุนั้นจึงได้ไปเกิดในตระกูลพ่อนา ลูกสาวตระกูลวงศ์นั้น คือนางมัลลิกามาเกิดใช้เศษบุรพกรรม อันนางได้ให้หมาเสพตกนรก ๗ วัน บาปนั้นหมดแล้วแต่กรรมยัง เพื่อเหตุนั้นจึงได้ตระกูลพ่อนามาเป็นผัว หากว่านางบ่เกี่ยวด้วยเป็นเมียแห่งโพธิสัตว์ ยังจักได้รับกรรมวิบากยิ่งกว่านี้ ที่นางตกนรก ๗ วันนั้น ด้วยเหตุให้หมาเสพบาปยังเบา อันนางหล่าย๑๙ว่าพระยาสนุกกับด้วยแม่แพะนั้นบ่เป็นบาป ผัวเมียใส่โทษกันบ่ขึ้น เท่าเป็นเศษกรรมสิ่งเดียว เหตุดังนั้นตถาคตจึงกล่าวว่า เมืองสุวรรณภูมินี้ติดด้วยเศษกรรมม้ม๒๐เวรแห่งโพธิสัตว์
แต่นี้จักนำมาซึ่งเหตุ เมื่อพ่อนาผู้นั้นได้เป็นพระยา มีพระอรหันต์ ๔ องค์ อยู่ในเมืองสุวรรณภูมิ ๒ องค์ จักได้นำเอาธาตุพระอรหันต์ขีณาสพอันเป็นเชื้อวงศ์ตถาคตทั้งมวล มาไว้ในป่าที่แคมน้ำบึง พระยาองค์นั้น จักได้พร้อมกับพระอรหันต์สององค์ฐปนาไว้ณะที่นั้น พระอรหันต์อีก ๕ องค์จักได้เอาธาตุตถาคตมาไว้ที่ภูเขาหลวง แล้วพระยาองค์นั้นจักได้พร้อมกับพระอรหันต์ฐปนาไว้สู่เช่น๒๑ พระยาจันทบุรีจุติมาได้มาบังเกิดเป็นพระยาจันทพานิช ตั้งเมืองในดงหนองคันแทเสื้อน้ำนั้น
ดูรา อานนท์ พระอรหันต์สององค์ จักได้มากำจัดผีเสื้อน้ำทั้งหลายเหล่านี้ แล้วพระยาองค์หนึ่ง ชื่อว่าศรีธรรมาโศก จักเอาธาตุตถาคตมาฐปนาไว้ณะที่นี้แห่งหนึ่ง และฤษีตนหนึ่ง ชื่อว่าฐิตกัปปิ อยู่ในป่าหิมพานต์มีอายุเสี้ยง๒๒กัลป์หนึ่ง มาเอาพระยาสององค์ที่กินเมืองกุรุนทนั้นไปบวชเป็นฤษี ตนหนึ่งชื่อว่าอมรฤษี ตนหนึ่งชื่อว่าโยธิกฤษี ส่วนพระยาสุมิตตธรรมที่หด๒๓พ่อนาให้เป็นพระยานั้น ก็จักได้บวชเป็นฤษีอยู่ที่เดียวกัน
อมรฤษี โยธิกฤษี จักได้มาก่อแรกเมืองไว้ที่ดอยนันทกังรี ชื่อว่าเมืองศรีสัตตนาค ด้วยเหตุนาคตัวหนึ่งมี ๗ หัวแต่นั้นมา บุญบ้านเมืองก็จักเกิดมีสืบ ๆ ไป พระพุทธศาสนาก็จักตั้งอยู่ณที่นั้น โยธิกฤษีจักมาเกิดในเมืองอินทปัฐนคร แล้วออกบวชก็จักได้ถึงพระอรหันต์อยู่ณที่แห่งหนึ่ง
ส่วนอมรฤษี ครั้นเมื่อจุติมาเกิดในเมืองศรีสัตตนาคครั้งนั้น ได้ครองราชสมบัติมีนามว่า พระยาทุคคตะไหล๒๔น้ำ เหตุที่ได้ถูกลอยแพไปถึงพระมหาเถร ๆ เก็บเอามาเลี้ยงจนมีอายุเจริญ แล้วสั่งสอนศิลปะต่าง ๆ ให้แก่กุมาร ๆ ก็ได้ให้ความสัจจะแก่พระมหาเถรผู้อาจารย์
ครั้นต่อมาภายหลัง กุมารนั้นรวบรวมผู้คนได้มาก จึงเที่ยวรบเอาบ้านเล็กเมืองน้อย บ้านห้อยเมืองแขวนได้เป็นอันมาก แล้วตั้งเป็นบ้านเป็นเมืองใหญ่โตขึ้นณที่นั้น และได้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาไว้ในดอยนันทกังรีศรีสัตตนาค เพื่อเป็นที่สักการบูชาสืบต่อไป พระยาทุคคตะไหลน้ำ พระองค์ปรารถนาเป็นพระพุทธบิดา แต่ทะว่ามักกระทำมิจฉาจารมากนัก ครั้นสิ้นชีวิตมีจิตต์บ่มิได้หวั่นไหว ได้ไปเกิดในเมืองพาราณสี แล้วออกบวชเป็นฤษี ได้ชื่อว่าทุคคตฤษีอยู่ที่เก่า
ส่วนสุมิตตธรรมฤษีนั้น ครั้นจุติมาบังเกิดในเมืองศรีสัตตนาคดังนั้น ฝูงหมู่เทพดาทั้งหลายในที่นั้น คอยพิทักษ์รักษากุมารนั้นมิให้เป็นอันตราย ครั้งนั้นทุคคตังสา ผัวแห่งนางปาปเทวีผู้นั้น จักได้เสวยราชสมบัติสืบพระพุทธศาสนา บ้านเมืองก็สุขเกษมอิ่มเต็มยิ่งนัก พระยาทุคคตังสาองค์นี้ แต่ชาติปางก่อนนั้นได้เป็นอำมาตย์ของพระยาสุมิตตธรรม ครั้นจุติจากชาตินั้นได้ไปบังเกิดเป็นพระยารุกขเทวดาอยู่รักษาพระพุทธศาสนา บ้านเมืองกับดอม๒๕เทวดาทั้งหลายเหล่านั้น
ครั้งนั้นนางปานเทวีได้เป็นใหญ่ จักให้หม่นหมองแก่พระพุทธศาสนาบ้านเมือง พระยาภุมรุกขะเทวดาโกรธ กลัวจักเป็นอันตรายถึงแก่กุมาร จึงพร้อมกันบรรดลจิตต์ใจเสนาอำมาตย์ ให้กระทำนางปาปเทวีถึงแก่ความตายไปตกนรก ฝ่ายว่าพระสังฆเถรแลเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย จึงพร้อมกันราชาภิเศกกุมารนั้นขึ้นครองราชสมบัติ มีชื่อว่า พระยาไชยจักร เหตุผจญแพ้๒๖มารทั้งหลาย มีนางปาปเทวีเป็นเค้า พระยาไชยจักรองค์นั้นได้สืบพระพุทธศาสนาบ้านเมือง แล้วจักได้มาตั้งพระพุทธศาสนาไว้ในเมืองจันทบุรี อันพระยานาคหากให้สวัสดีแต่ก่อนนั้น
ครั้งนั้นพระยาอินทร์ จึงสั่งให้วิสสุกรรมเทวบุตรลงมาก่อแรกพระพุทธศาสนา ที่น้ำห้วยมงคลที่นั้น เมื่อพระยาไชยจักรจุติมาเกิด ได้บวชเป็นฤษี ชื่อว่าไชยจักรฤษีอยู่ที่เก่า
พระยาปุตตจุลมาเกิด ชื่อว่าเอกจักขุกุมาร ได้เป็นพระยาเอกจักขุ มีอัครมเหสีผู้หนึ่ง เทพดาจึงบรรดาลให้นางฝันเห็นต้นไม้รังล้อมไม้ศรีมหาโพธิ พระสังฆเถรทั้งหลาย จึงพร้อมกันประชุมทำนายฝันของนาง แล้วพร้อมกันทำนายว่า จักมีบุตรเป็นชายต่อไปภายหน้า จักได้เป็นพระพุทธบิดา และกุมารนั้นจักมีบุตรคนหนึ่งอันเป็นเชื้อหน่อพุทธพงศ์องค์หนึ่งภายหน้าโพ้น พระสังฆเถรทั้งหลายทำนายดังนี้ ทุคคตฤษีก็จุติมาถือเอาปฏิสนธิในท้องแห่งนางนั้น ครั้นกุมารนั้นประสูติออกมา พระสังฆเถรทั้งหลายจึงพร้อมกันใส่ชื่อว่า สารโพธิกุมารสาร ได้แก่ไม้รังอันล้อม กล่าวคือว่าพ่อ โพธิได้แก่บุตรของสารโพธิกุมารที่จักเกิดมานั้น เมื่อสารโพธิกุมารได้ขึ้นเสวยราชสมบัติ เอา๒๗นางปัจฉิมกุมารอันร่วมชาติมาเป็นเทวี ครั้งนั้น พระพุทธศาสนาบ้านเมืองก็รุ่งเรืองเจริญ ปราศจากมิจฉาทิฏฐิทั้งหลาย
เมื่อไชยจักรฤษีจุติมาเกิดในท้องนางเทวีประสูติออกมาแล้ว เทพดาทั้งหลายที่รักษา ก็บรรดลใจเอกเทศมาเอาให้เป็นใหญ่ ได้ชื่อว่าไชยประเสริฐ จักได้ยังโลกิยสมบัติเป็นอันมากในที่นั้น ส่วนพระยาสารโพธิองค์พ่อนั้น ก็จักได้ไปสร้างพระนครที่เมืองพระยาจันทบุรี เมื่อชาติได้เป็นพระยาทุคคตกุมารนั้น ได้พารี้พลไปอ้อม๒๘ยังพระยาองค์หนึ่งไว้ แล้วได้เสวยราชสมบัติตามประเพณี พระยาองค์นั้นป้อย๒๙ไว้แล้วก็ตายไป พระยาสารโพธิจึงถึงปติกรรม๓๐แห่งพันธนหัตถีตัวหนึ่งตายไป ครั้นเกิดมาจึงได้บวชเป็นฤษีชื่อว่าสารโพธิฤษีอยู่ที่เก่า
ดูราอานนท์ พระยาไชยประเสริฐจากเอกเทศอันนั้นมาอยู่เสวยราชสมบัติ ได้นางเทวีแก้วอันเกิดกับนั้น มาตั้งชื่อเมืองว่า เมืองจันทบุรีศรีสัตตนาค ว่าเป็นเมืองพระยานาค ให้ความสวัสดีแก่บุรีจัน ครั้งนั้น เทพดา นาค และมเหสักข์ทั้งหลายก็ชื่นชมยินดี ให้เสียงสาธุการทั่วกันไปทุกทิศานุทิศ จักได้โชตนาพระพุทธศาสนาทั่วไปในอาณารัฐบ้านเมือง ท้าวพระยาทั้งหลายจักได้ก่อเจดีย์โลม๓๑ธาตุตถาคต อันพระยาศรีธรรมาโศกเอามาฐปนาไว้ในที่ต่าง ๆ ส่วนท้าวพระยาฝูงอื่นมีบุญสมภารน้อย ก็บ่มิอาจก่อเจดีย์โลมธาตุอันพระยาศรีธรรมาโศกประดิษฐานไว้นั้นได้ เท่าเว้นไว้แต่เชื้อหน่อพุทธพงศ์มีบุญสมภารมาก พระยาองค์นั้นและ จักได้ก่อเจดีย์โลมธาตุหัวเหน่าตถาคต ไว้ที่ภูเขาหลวงนั้น สืบต่อพระยาจันทบุรี บ่เท่าแต่นั้นจักได้ก่ออุโมงโลมธาตุพระอรหันต์ขีณาสพ ที่พระยาจันทบุรีพร้อมด้วยพระอรหันต์สององค์ได้นำมาฐปนาไว้ในป่าที่นั้น
พระยาไชยประเสริฐองค์นี้ เมื่อชาติก่อนนั้นได้พาทารกบริวารไปเล่นน้ำในที่แห่งหนึ่ง ทารกทั้งหลายลอย๓๒น้ำไป่เป็น ได้จำลอย๓๓ด้วยอันเหยาะไย๓๔ ทารกทั้งหลายฝูงนั้นได้รับความลำบากเวทนา ครั้นต่อมา เมื่อพระยาไชยประเสริฐพารี้พลโยธาไปยุทธกรรมเมืองอินทปัฐนครตั้งพลอยู่ที่แม่น้ำในเขตต์เมืองมรุกขนคร อันเป็นเมืองเก่าแต่ชาติก่อนนั้น บังเกิดการกุศลจักได้ก่อแรกพระพุทธศาสนา และได้ก่อเจดีย์ใหญ่ไว้ในที่นั้น แล้วจึงจะได้ไปยุทธกรรมสงคราม
พระยามรุกขเทวดาองค์ที่อยู่รักษาเมืองศรีสัตตนาคนั้น แต่ก่อนได้เกิดมาในตระกูลต่ำ แล้วได้มาเป็นเสนาใหญ่ของพระยาไชยประเสริฐ ได้ไปกระทำยุทธกรรมดอมพระยาทางหนึ่ง ส่วนทารกทั้งหลายที่เป็นบริวาร ของพระยาไชยประเสริฐครั้งนั้น ครั้นจุติจากชาตินั้นได้ไปเกิดในเมืองอินทปัฐนครเป็นใหญ่ในพลศึก จึงได้มาอ้อมวังขังไว้ ยังพลศึกของพระยาไชยประเสริฐ บางพ่องตาย บางพ่องก็ลอยพ้น เหตุที่พระยาไชยประเสริฐตกอยู่ในที่ล้อมแห่งข้าศึกนั้น ก็ด้วยเหตุเศษกรรมที่ได้บังคับให้ทารกลอยน้ำครั้งนั้นเป็นเหตุ
ส่วนพระยาไชยประเสริฐนั้น ได้สร้างกุศลผลบุญไว้เป็นอันมาก เทพดาทั้งหลายจึงได้พิทักษ์รักษาอยู่ทุกเมื่อ วิสสุกรรมเทวบุตรจึงได้ลงมาช่วยชีวิต และหลิงเห็นอนาคตภัยจักเกิดมี จึงเอาหนีไปบวชเป็นไชยฤษีอยู่ที่เก่า
ส่วนเสนาใหญ่ผู้นั้น จักได้พารี้พลกลับคืนมา แล้วได้เป็นพระยากุญชรประเทศ ด้วยอันหล่า๓๕ชื่อเมืองเสีย พระยากุญชรประเทศสืบพระพุทธศาสนาบ้านเมือง จักได้ก่อเจดีย์ฐปนาโลมฝ่าพระบาทเบื้องขวา อันพระอรหันต์นำมาฐปนาไว้ที่เมืองลาหนองคายที่นั้น ครั้นจุติก็ได้ไปบังเกิดในชั้นดุสิต มีนามปรากฏชื่อว่า กุญชรเทวบุตร ๆ จักได้ลงมาบังเกิดในเมืองมนุษย์พร้อมพระอริยเมตไตรยโพธิสัตว์
ครั้งนั้น สารโพธิฤษี จุติมาเกิดในวงศ์ไชย ได้ชื่อว่าวงศากุมารและเสวยราชสมบัติสืบพระพุทธศาสนา บ้านเมืองก็รุ่งเรือง คนทั้งหลายมีความสงสัยเป็นอันมาก พระยาอินทร์หลิงเห็นอนาคตภัยจักเกิดมีแก่พระยาวงศา เหตุที่ราชบุตรผู้เค้าเมื่อเป็นทุคคตะกุมาร ได้ให้ความสัจจะแก่พระมหาเถรผู้อาจารย์ ครั้นภายหลังเท่าเอาเหตุที่ได้ครอบครองบ้านเมือง มากระทำมิจฉากรรม
ครั้นเมื่อพระยาวงศาองค์นั้น พารี้พลกลับ๓๖เมือสู่บ้านเมืองแล้ว ก็ได้ถึงอุปฆาตกรรม ลวดเป็นโกลาหลแก่พระพุทธศาสนาบ้านเมือง พระยาอินทร์เห็นเหตุดังกล่าวมานี้ จึงใช้ให้วิสสุกรรมเทวบุตร ลงมาช่วยชีวิตแก่ไชยฤษี เมื่อไชยฤษีจุติเกิดเป็นบุตรของพระยาวงศาองค์นั้น มีชื่อว่าสุริยกุมารตามนิมิตร แต่เมืองร้อยเอ็จประตูโพ้น วิสสุกรรมเทวบุตรจึงมาคาด๓๗ยังนาคแลเทวดา อารักข มเหสักขทั้งหลายให้รักษาไว้ด้วยคำว่า เจ้าทั้งหลายจงช่วยกันปกปักรักษาเจ้าสุริยกุมารไว้ ให้ถึงพิธีการมงคลสังกราช๓๘ ให้ได้เสวยราชสมบัติเป็นพระยานั้นเทอญ วิสสุกรรมเทวบุตรสั่งดังนี้แล้ว กลับไปสู่ที่อยู่
ครั้งนั้นพระยาวงศาตนพ่อถึงกรรมปัตติแต่หลัง ได้เกิดด้วยโอปปาติกะเป็นภุมเทวดา มีชื่อว่าวงศาเทวดา ได้ซาววัสสา๓๙ จึงได้ไปบังเกิดในเมืองอินทปัฐนคร ได้เสวยราชสมบัติสร้างพระพุทธศาสนา แล้วจุติไปบังเกิดในเมืองพาราณสี ออกบวชมีชื่อว่าวงศาฤษีอยู่ที่เก่า
แต่นั้น อปสัทธา มิจฉาทิฏฐิก็จักเกิดมีปางนั้น มีวัสสากาลอันหนึ่ง เทวดา นาค อารักข และมเหสักขฝูงรักษาสุริยกุมาร เห็นยังสังกราชพร้อมทุกมาตรา มีชื่อว่าปุณณสหัสสวุฒิมงคลสังกราช อันควรแก่เจ้าสุริยกุมารในชาติถ้วน ๓ นี้ เทวดาทั้งหลายเห็นดังนี้จึงมารำพึงว่านี่ เจ้าสุริยกุมารจักถึงราชสมบัติเป็นพระยา
ครั้งนั้น เทวดาฝูงรักษาภุมฉัตรและฝูงรักษาพระพุทธศาสนา กับทั้งเทวดาที่อยู่รักษาในอาณาเขตต์บ้านเมืองทั้งมวล สังขยาได้ ๑๓๓,๓๓๙ ตนจึงพร้อมกันให้เสี่ยงสาธุการ ส่งข่าวสืบๆ ไป ด้วยคำว่า ดูรา เจ้าทั้งหลาย สุริยกุมารได้เสวยราชสมบัติเป็นใหญ่แก่บ้านเมืองจันทบุรีแล้ว ท่านทั้งหลายจงลงมาชุมนุมปงราชนามตามคำมัก๔๐แห่งเราทั้งหลายเทอญ
เมื่อเทวดาทั้งหลายกล่าวดังนี้แล้ว จึงพร้อมกันลงมาชุมนุมในดอยเขาควาย เล่นมหรสพสมโภชเจ้าสุริยกุมาร ๓ วัน ๓ คืน แล้วจึงปงราชนามเจ้าสุริยกุมารให้เป็นพระยาสุริยวงศาไชยจักรธรรมิกราชาเชฏฐาธิราช ดังนี้
ครั้งนั้น พระยาสุริยวงศาไชยจักรธรรมิกราชาเชฏฐาธิราช พระองค์ทรงบำเพ็ญศีลทานบารมี ทรงตั้งอยู่ในทศราชธรรม ๑๐ ประการ และพระองค์ได้กำจัดคนทั้งหลายฝูงถือมิจฉาทิฏฐิเหล่านั้นให้หมดให้สิ้น เป็นประดุจดังพระสุริยอาทิตย์ขึ้นมา กำจัดเสียยังเมฆให้แจ้งเสาะ๔๑ใสงามสอาด พระองค์ผจญแพ้ข้าศึกภายในขันธสันดานทั้งมวลด้วยดี มี โลภะ, โทษะ, โมหะ, มานะ, กุกกุจจะ, วิจิกิจฉา สิ้นแล้ว จึงมีคำติปอง๔๒ตามคำนักด้วยกุศลกรรม หาบุคคลผู้จะเสมอได้ด้วยยาก เป็นพระยาองค์ประเสริฐ ยิ่งกว่าพระยาในชมพูทวีปทั้งมวล มีพระชนมายุยืนนานยิ่งนัก ทรงโชตนาพระพุทธศาสนาของตถาคต ที่เก่าที่ใหม่ทั้งมวลให้รุ่งเรืองยิ่งนัก ควรนักปราชญ์ทั้งหลายจักได้ก่อเจดีย์ถ้วนสองครั้ง โลมไว้อุโมงอุรังคธาตุของตถาคต ในที่ภูกำพร้านั้น ครั้นจุติได้ไปเกิดในเมืองพาราณสี แล้วออกบวชเป็นฤษี มีชื่อว่า สุริยวงศาจักรฤษีอยู่ที่เก่า เมื่อจุติจากชาติอันเป็นฤษีได้มาเกิดในเมืองอินทปัฐนคร สร้างพระพุทธศาสนาที่นั้นเป็นครั้งที่ ๒ แล้วจุติมาเกิดในเมืองกุรุนท ชื่อว่าสุริยวงศากุรุนท
ครั้นวงศาฤษีจุติมาเกิดในเมืองกุรุนท ชื่อว่าสารวงศา พ่อเดียวต่างแม่ สุริยวงศาได้เสวยราชสมบัติเป็นพระยาสุริยวงศา แล้วจักได้มาตั้งเมืองในเมืองร้อยเอ็จประตูดังแต่ก่อนเป็นครั้งที่ ๓
ส่วนสารวงศานั้น ก็ได้เสวยราชสมบัติเป็นพระยาสารวงศากุรุนทนคร จักได้สร้างพระพุทธศาสนาในที่นั้น ครั้นจุติจักได้ไปเกิดในชั้นดุสิต และจักลงมาบังเกิดในมนุษย์พร้อมพระอริยเมตไตรยโพธิสัตว์
ส่วนพระยาสุริยวงศา เมื่อมาสร้างเมืองร้อยเอ็จประตูได้นางเทวีแก้ว พระพุทธศาสนารุ่งเรืองเหมือนดังแต่ก่อน ครั้นจุติก็ไปบังเกิดในเมืองสาวัตถี สืบพระพุทธศาสนา เป็นครั้งที่ ๓ แล้วจุติไปเกิดในเมืองกุสินารา แลเมืองราชคฤห โชตนา๔๓พระพุทธศาสนาเมืองละ ๓ ครั้ง โดยลำดับโสฬสนครแลเมืองน้อยทั้งหลาย เวียนกลับไปลังกาทวีปครั้งหนึ่งแล้วกลับคืนมาในเมืองอินทปัฐนคร ในชาติอันถ้วน ๓ ตลอด ๕๐๐๐ วรรษา ครั้นจุติจากชาติอันถ้วน ๓ ก็ได้ไปบังเกิดในชั้นดุสิต ปรากฏชื่อว่า สุริยวงศาไชยจักรเทพบุตรอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ดูรา อานนท์ ตถาคตทำนายไว้นี้ก็เป็นเอกเทศแต่โดยสังเขป
พระพุทธองค์ ทรงทำนายศาสนานครนิทานอันนี้แก่เจ้าอานนท์ ที่แคมหนองคันแทเสื้อน้ำ สิ้นข้อความเพียงเท่านี้
ครั้นเมื่อ พระพุทธองค์เสด็จจากหนองคันแทเสื้อน้ำ ไปประทับอยู่ที่โพนจิกเวียงงัว ทอดพระเนตรเห็นแลนคำแลบลิ้น และแลนคำตัวนั้นแหม่น๔๔ปัพพารนาค ตัวที่อยู่ภูเขาหลวงริมน้ำบางพวน เนรมิตให้เป็นเหตุ นาคตัวนั้นประดับสังวาลย์คอด้วยแก้วปัพพา เหตุนั้นจึงได้ชื่อว่าปัพพารนาค แล้วกลับเนรมิตเป็นมนุษย์นุ่งผ้าขาวเสื้อขาวเข้ามารับเอาบาตร และราธนาพระพุทธเจ้าไปสู่ภูเขาหลวงสถิตย์ในร่มไม้ปาแป้งต้นหนึ่ง ปัพพารนาคถวายภัตตาหารพระพุทธองค์ทรงกระทำภัตตกินเสร็จแล้ว จึงประทานผ้ากัมพลผืนหนึ่งแก่ปัพพารนาค แล้วเสด็จไปฉันเพนณะที่ใกล้เวินหลอดคนทั้งหลายจึงเรียกที่นั้นว่า เวินเพนมาเท่ากาลทุกวันนี้
ยังมีพญานาคตัวหนึ่งชื่อว่า สุกขนาคหัตถี เนรมิตรเป็นช้างพลายถือดอกไม้เข้ามาขอเอารอยพระบาท พระพุทธองค์ทรงย่ำรอยพระบาทไว้ที่แผ่นหิน ไกลริมแม่น้ำ ชั่วเสียงช้างร้องได้ยิน ช้างตัวนั้นก็เข้าไปไหว้อุปฐากด้วยงวงยกขึ้นใส่หัว แล้วก็หลีกหนีไป น้ำที่นาคตัวนั้นอยู่เรียกชื่อว่าเวินสุข แล้วคนทั้งหลายได้พร้อมกันเอาทองมาหล่อเป็นพระรูปใหญ่เท่าองค์พระตถาคต ประดิษฐานไว้ณที่ฉันเพนนั้น พญานาคตัวนั้นจึงเอารูปพระพุทธองค์หนีจากที่นั้น ไปไว้ในแม่น้ำณที่อยู่แห่งตน คนทั้งหลายจึงได้เรียกที่นั้นว่า เวินพระเจ้ามาถึงกาลบัดนี้
แต่นั้นพระพุทธองค์จึงเสด็จไปสู่เมืองศรีโคตรบอง เพียงที่อยู่แห่งพญาปลาตัวหนึ่ง พญาปลาตัวนั้นได้เห็นพระรัศมีของพระพุทธองค์ จึงได้พาบริวารล่องไปตาม พระพุทธองค์ทรงเห็นการณ์ดังนั้นจึงทรงแย้มพระโอษฐ์ เจ้าอานนท์จึงทูลถามว่า พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ด้วยเหตุอันใด พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ตถาคตเห็นพญาปลาตัวหนึ่ง พาบริวารมาถึงฝั่งน้ำที่นี้ และพญาปลาตัวนี้ เมื่อเป็นมนุษย์ได้บวชในสำนักพระพุทธเจ้าองค์ชื่อว่า กัสสป ได้มาถึงแม่น้ำที่อยู่นั้น ภิกษุรูปนั้นได้เด็ดใบไม้กรองน้ำฉัน เมื่อใกล้จุติมีความกินแหนงในการที่ได้กระทำนั้น จึงได้มาเกิดเป็นพญาปลาอยู่ในแม่น้ำที่นั้น เมื่อมันได้เห็นรัศมีและได้ยินเสียง ฆ้อง, กลอง, แส่ง๔๕ จึงได้ออกมาจากที่อยู่เป็นอาจิณ ด้วยเหตุว่า มันเคยได้เห็นรูปารมณ์ และได้ยินสัททารมณ์อันดีมาแต่เมื่อก่อน จึงได้รู้สพพสัญญานั้น ๆ และพญาปลาตัวนี้จักมีอายุยืน ตลอดถึงพระอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ลงมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า จึงจักได้จุติจากชาติอันเป็นปลามาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วออกบวชเป็นภิกษุในสำนักพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อพญาปลาตัวนั้น ได้ยินพระพุทธพยากรณ์อันนี้ก็ชื่นชมยินดียิ่งนัก จึงมาคำนึงนึกแต่ในใจว่า อยากจะได้ยังรอยพระบาทของพระศาสดาไว้เป็นที่สักการะ พระพุทธองค์ทรงทราบจึงทรงพระเมตตา อธิษฐานรอยพระบาทไว้ที่โหง่นหิน๔๖ในน้ำที่นั้น คนทั้งหลายจึงเรียกที่นั้นว่า พระบาทเวินปลามาเท่ากาลบัดนี้
ครั้นแล้ว พระพุทธองค์ก็เสด็จมาทางอากาศ ลงประทับที่ดอยกัปปนคิรี คือว่าภูกำพร้า ในราตรีนั้น วิสสุกรรมเทวบุตรลงมาอุปฐากพระพุทธองค์อยู่นจนตลอดรุ่ง กาลนั้นพระพุทธองค์ทรงผ้า แล้วเอาบาตรห้อยไว้ที่หง่าหมากทัน๔๗ไม้ปาแป้งต้นหนึ่งเบื้องทิศตะวันตก แล้วเสด็จลงไปสู่ริมแม่น้ำที่นั้น เพื่อชำระพระบาท บัณฑุกำพลศิลาอาศน์ของพระยาอินทร์ ก็กระด้างแข็ง พระยาอินทร์เห็นเหตุดังนั้น ก็เสด็จลงไปสู่ป่าหิมพานต์ นำเอาน้ำแต่สระอโนดาดพร้อมด้วยไม้สีฟันมาถวาย พระพุทธองค์ทรงชำระแล้ว ก็ทรงบาตรผินพระพักตร์สู่ทิศตะวันออก แล้วก็เสด็จไปประทับอิงต้นรังต้นหนึ่งใต้ปากเซเล็กน้อย ทอดพระเนตรเมืองศรีโคตรบอง เพื่อจะเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร ครั้งนั้นพระยาเจ้าเมืองศรีโคตรบองนั้น ได้ทรงบำเพ็ญบุญสมภารมาเป็นอเนกประการ เหตุนี้จึงได้มาเสวยราชสมบัติบ้านเมือง ในชมพูทวีปเป็นครั้งที่ ๓ เพื่อจักได้โชตนาพระพุทธศาสนา จึงได้ชื่อว่าพระยาติโคตรบูร พระยาติโคตรบูรเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นพระศาสดาเสด็จมาดังนั้น ก็ทูลอาราธนาพระศาสดาเข้าไปรับเอาบิณฑบาตในพระราชฐาน
เมื่อพระศาสดาทรงรับเอาข้าวบิณฑบาตแล้ว ก็ส่งบาตรให้กับพระยาติโคตรบูร แล้วก็เสด็จกลับมาประทับที่ต้นรังตามเดิม เมื่อพระยาติโคตรบูรรับเอาบาตรจากพระศาสดาแล้ว ก็ทรงยกบาตรขึ้นเหนือพระเศียร ทรงกระทำความปรารถนา แล้วจึงนำบาตรไปถวายพระศาสดาที่ประทับ พระศาสดาทรงรับเอาบาตรแล้ว ก็เสด็จกลับมาทางอากาศ ลงประทับที่ภูกำพร้าดังเก่า พระยาติโคตรบูรเมื่อทอดพระเนตรเห็นพระศาสดาเสด็จมาทางอากาศดังนั้น ทรงปิติยินดี ยกพระหัตถ์ขึ้นประนม ทอดพระเนตรพระศาสดาจนสุดชั่วพระเนตร จึงทรงคำนึงในพระทัยว่า อยากจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง แล้วจึงเสด็จกลับมาสู่พระราชฐาน
ครั้งนั้น พระศาสดาทรงทราบเหตุของพระยาติโคตรบูรดังนั้น จึงตรัสกับพระยาอินทร์ว่า ดูรา อินทราธิราช ตถาคตมาสถิตย์ณที่นี้ราตรีหนึ่งด้วยเหตุอันใด พระยาอินทร์ทูลตอบว่า พระศาสดามาสถิตย์ที่ภูกำพร้าราตรีหนึ่งนั้น พระองค์ทรงอาศัยซึ่งอดีตเหตุ แห่งพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ มีพระกกุสนธเป็นต้น มีพระกัสสปเป็นปริโยสาน ซึ่งเสด็จเข้าสู่พระนิพพานไปแล้วนั้น พระอรหันต์ทั้งหลายย่อมเอายังพระบรมธาตุ ของพระศาสดาทั้ง ๓ พระองค์ มาประดิษฐานไว้ในที่นี้ เพื่อเป็นที่สักการบูชาแห่งท้าวพระยาทั้งหลาย ในอนาคตกาลนี้ เป็นประเพณีแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายสืบ ๆ มา ฉะเพาะที่พระศาสดาทรงฉันข้าวบิณฑบาต ของพระยาติโคตรบูรนั้น คนทั้งหลายเรียกว่าเมืองศรีโคตรบอง ผู้ข้าทั้งหลาย อินทร์ พรหม เทพบุตร เทวดา เรียกว่าเมืองศรีโคตโม เหตุพระองค์ทรงพระนามว่าโคตมะ หากให้ศรีสวัสดีแก่พระยาศรีโคตรบูร ผู้ข้าทั้งหลายเรียกดังนี้ พระยาอินทร์ทูลชอบพระพุทธวิสัยของพระศาสดาดังนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงดุษณีภาพ
ในขณะนั้น เทวดา มเหสักข ทั้งหลายฝูงอยู่ในราวป่าที่นั้น เมื่อได้ยินดังนั้น ก็ส่งเสียงสาธุการขึ้นพร้อมกัน ภายบนถึงชั้นอกนิษฐพรหม ภายล่างถึงขอบเขาจักรวาฬเป็นที่สุด พระยาอินทร์กราบทูลดังนั้นแล้ว ก็เสด็จกลับไปสู่ที่อยู่ของตน
ในกาลนั้น พระพุทธองค์จึงทรงพยากรณ์ให้เจ้าอานนท์แจ้งว่า พระยาติโคตรบูรองค์นี้ จักจุติไปเกิดในเมืองสาเกตนคร ทิศตะวันตกแห่งเมืองติโคตรบูร มีนามว่าสุริยกุมาร เมืองศรีโคตรบองนี้ จักย้ายไปตั้งที่ป่าไม้รวก มีนามว่า เมืองมรุกขนคร เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว สุริยกุมารนี้ จักได้เป็นพระยาใหญ่กว่าท้าวพระยาทั้งหลาย และจักได้ก่อแรกพระพุทธศาสนาไว้ในเมืองร้อยเอ็จประตู เมืองสาเกตนครนั้นก็เสื่อมศูนย์ไป ตั้งแรกแต่นี้ไปพระพุทธศาสนา ก็จักรุ่งเรืองเสมอด้วยเมื่อตถาคตยังมีชีวิตอยู่ ครั้นจักจุติก็ได้มาเกิดเป็นพระยาสุมิตตธรรมมรุกขนคร จักได้หดพ่อนาเป็นพระยาจันทบุรี และแรกพระพุทธศาสนาในที่นั้น
ดูรา อานนท์ พระยาสุมิตตธรรมองค์นี้ จักได้ฐปนาอุรังคธาตุของตถาคตไว้ในที่นี้ แล้วจักได้กลับคืนไปโชตนายังพระพุทธศาสนา อันแตกม้าง๔๘ในเมืองสาเกตนครร้อยเอ็จประตู ครั้นจุติก็ไปเกิดในเมืองพาราณสี ออกบวชได้เป็นฤษี ชื่อว่า สุมิตตธรรมฤษี
ส่วนเมืองมรุกขนครนั้น จักได้ย้ายกลับคืนไปตั้งพระพุทธศาสนา ใกล้ที่อยู่แห่งพญาปลาตัวนั้น แต่เมืองนี้ก็บ่มิอาจตั้งเป็นเอกราชอยู่ได้ดังแต่ก่อน จักเป็นเมืองน้อยขึ้นแก่เมืองใหญ่ ที่ท้าวพระยามีบุญสมภารเสวยราชสมบัติครอบครองนั้น เหตุว่า ตถาคตได้อธิษฐานรอยบาทไว้ที่ก้อนหิน ให้แก่พญาปลาตัวนั้นเป็นที่สักการบูชา พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ดังนี้แล้ว จึงทรงผินพระพักตร์ต่อเมืองจุลณีพรหมทัตต์ และเมืองอินทปัฐนคร
ขณะนั้น พระอานนท์มีความสงสัยว่า พระองค์จักเสด็จไปเมืองทั้งสองนั้นหรือ ๆ ว่าบ่เสด็จไปหนอ จึงกราบทูลว่า เมื่อพระพุทธองค์เสด็จจากภูกำพร้าที่นี้แล้ว จะเสด็จไปโปรดณที่ใด.
พระตถาคตตรัสว่า เราจักไปชุมรอยบาทที่แคมหนองหานหลวง๔๙ที่นั้นก่อน และในหนองหานหลวงนี้มีพระยาองค์หนึ่ง มีพระนามว่าพระยาสุวรรณภิงคาร พระยาองค์นี้มีกระโจมหัวคำ๕๐และสังวาลย์คำ น้ำเต้าคำ๕๑ใหญ่ เสวยราชสมบัติอยู่ณเมืองนี้ เมื่อพระศาสดาเสด็จไปถึงริมแม่น้ำอันหนึ่ง อยู่ณท่ามกลางทาง มีนาคตัวหนึ่งชื่อว่าโทธนนาค เป็นเชื้อวงศ์พระยาศรีสุทโทธนแต่ชาติเมื่อเป็นมนุษย์ เมื่อเวลาจะตาย ๆ ด้วยความโกรธ จึงได้มาเกิดเป็นนาค มีนามว่าโทธนนาค เป็นนาคที่เที่ยวเลาะเลียบหากินปลาตามริมแม่น้ำ พระพุทธองค์ทรงทราบยังเหตุแห่งโทธนนาคดังนั้นจึงตรัสว่า ดูรา โทธนนาค ท่านอย่าได้ถือหาบอันหนักซ้ำเติมหาบเก่าให้หนักขึ้น
เมื่อนาคตัวนั้นได้ยิน จึงมารำพึงว่า บุคคลผู้ใดมารู้จักเชื้อชาติแห่งกูและตักเตือนกูเช่นนี้หนอ ? กูควรจักเข้าไปดูให้รู้ คำนึงดังนั้นแล้ว ก็เข้าไปใกล้พระศาสดา ๆ จึงตรัสว่า โทธนนาคเข้ามาหาเรา เพื่อจะปงเสียยังหาบอันหนัก เราก็จักปลดเสียยังทุกข์ ให้ท่านได้ถึงความสุข นาคตัวนั้นเมื่อได้ยิน ก็มีจิตต์ใจเบิกบานชื่นชมยิ่งนัก จึงเข้าไปกราบแทบฝ่าพระบาทของพระศาสดา แล้วก็ได้ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ ครั้นจุติจากชาติอันเป็นนาค ก็ได้ไปบังเกิดในชั้นดาวดึงส์ มีนามปรากฏว่า โทธนนาคเทวบุตรตามวงศ์แห่งตน แม่น้ำที่โทธนนาคอยู่แต่ก่อนนั้น คนทั้งหลายเรียกว่าน้ำพุงสามาเท่ากาลบัดนี้
เมื่อพระศาสดาเสด็จจากที่นั้น ไปสู่เมืองหนองหานหลวง พระยาสุวรรณภิงคาร เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระศาสดาเสด็จมาดังนั้น จึงทูลอาราธนาเข้าไปฉันในปรางปราสาท เมื่อพระพุทธองค์ทรงทำภัตตกิจเสร็จแล้ว ก็เทศนาสั่งสอนพระยาสุวรรณภิงคาร แล้วจึงเสด็จลงจากปราสาทไปไว้รอยพระบาทที่นั้น ต่อพระพักตร์พระยาสุวรรณภิงคาร แล้วทรงกระทำพระปาฏิหารย์ ให้เป็นแก้วออกมาจากพระบาททั้ง ๓ พระบาทละลูกโดยลำดับ ซ้ำทรงกระทำพระปาฏิหารย์ให้ออกมาอีกลูกหนึ่ง เมื่อพระยาสุวรรณภิงคารได้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็บังเกิดอัศจรรย์ยิ่งนัก ว่าเหตุใดหนอ แก้วจึงออกมาจากรอยพระบาทของพระศาสดาได้
ในขณะนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ดูรา มหาราช สถานที่นี้เป็นที่ประดิษฐานรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ แก้วจึงได้ออกมาจากที่นี้ ๓ ลูก มีรอยพระบาทของพระกกุสนธ พระโกนาคมน์ และพระกัสสป พระพุทธเจ้าทั้ง ๓ องค์นี้ ได้เสด็จไปรับข้าวบิณฑบาตในเมืองศรีโคตรบองมาฉันที่ภูกำพร้า แล้วประดิษฐานรอยพระบาทไว้ณที่นี้ ส่วนแก้วลูกที่ ๔ นั้น คือตถาคตนี้เอง เมื่อตถาคตได้มาไว้รอยพระบาทรวมอยู่ในที่นี้ และเข้าสู่นิพพานไปดังนั้น ในที่นี้ก็จักเป็นที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นพระยาสุวรรณภิงคารจึงไหว้กราบทูลว่าเมื่อเช่นนั้น พระศาสดาจักประดิษฐานรอยพระบาทไว้ด้วยเหตุใด
พระศาสดาตรัสว่า ดูรามหาราช ที่เป็นบ้านเป็นเมือง ตั้งพระพุทธศาสนาอยู่เป็นปกตินั้น แม้มีเหตุควรไว้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไป่ไว้ ด้วยเหตุว่า เป็นที่หวงแหนแห่งหมู่เทวดาและพญานาคทั้งหลาย และบ้านเมืองก็จักเสื่อมศูนย์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายเทียรย่อมไว้ยังรอยพระบาทไกลบ้านเมือง พระพุทธศาสนาก็จักตั้งอยู่ก้ำท้ายเมืองและหัวเมือง
เมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้ไว้จิตแก้ว กล่าวคือ รอยพระบาทที่ท้ายเมืองทิศใต้นั้น พระพุทธศาสนาก็จักตั้งรุ่งเรืองในเมืองนั้นก่อน แล้วจึงยาย๕๒ห่างมาใต้ตามรอยพระบาท เมื่อไว้จิตแก้วก้ำหัวเมือง พระพุทธศาสนาก็จักตั้งในเมืองนั้นแล้วจึงยายห่างไปข้างเหนือ ที่รอยพระพุทธบาทอันพระพุทธเจ้าได้ประดิษฐานไว้นั้นก็ไป่ตั้งเป็นเมือง คนทั้งหลายจึงจะตั้งอยู่เป็นปกติ
ส่วนเมืองหนองหานหลวงนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้มาสุมรอยพระพุทธบาทไว้ สมัยพระยาองค์ใดเสวยราชสมบัติ พระยาองค์นั้นได้สร้างบุญสมภารมาแล้วตั้งแสนกัลป์ทุก ๆ องค์ ถึงเมืองหนองหานน้อยก็เช่นเดียวกัน และทั้งสองเมืองนี้ เมื่อตั้งก็เกิดพร้อมกัน ด้วยเหตุเป็นที่เสด็จมาแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ครั้นสิ้นชั่วพระยาทั้งสองเมืองนี้ เทวดาและนาคทั้งหลายที่รักษาหนองหานหลวงและหนองหานน้อย ก็จักได้ให้น้ำไหลนองเข้ามาหากัน ท่วมรอยพระบาทและบ้านเมือง คนทั้งหลายจึงได้แยกย้ายกันไปตั้งเป็นบ้านเล็กเมืองน้อยตามริมหนองนั้น จักได้ไปรับเอาจารีตประเพณีและกิจการบ้านเมืองในราชธานีใหญ่ ที่พระพุทธศาสนาตั้งรุ่งเรืองอยู่ณที่นั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จเข้าสู่นิพพานไปแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลายจักได้นำเอาธาตุตุมไก่๕๓มาประดิษฐานไว้ริมแม่น้ำธนนทีราชธานี บ้านเมือง พระพุทธศาสนา จักตั้งรุ่งเรืองไปตามริมแม่น้ำอันนั้น เมืองฝ่ายเหนือกลับลงไปตั้งอยู่ฝ่ายใต้ ฝ่ายใต้กลับไปตั้งอยู่ฝ่ายเหนือ เมืองที่ตั้งอยู่ท่ามกลางนั้นประเสริฐมีอานุภาพยิ่งนัก ท้าวพระยาทั้งหลายที่มีบุญสมภาร จักได้เสวยราชสมบัติ บ้านเมืองค้ำชูพระพุทธศาสนา แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ครั้นสิ้นพระพุทธศาสนา ราชธานี บ้านเมืองที่อยู่ริมแม่น้ำฝ่ายเหนือก็กลับไปฝ่ายเหนือ เมืองราชธานีอันเป็นที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จเที่ยวบิณฑบาต เป็นต้นว่า เมืองศรีโคตรบองก็กลับมาตั้งอยู่ที่เก่า เมืองราชธานีที่ตั้งอยู่ณท่ามกลางนั้น ก็กลับมาตั้งอยู่ริมหนองหานทั้งสองดังเก่า เพื่อรอท่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ครั้งนั้น ท้าวพระยาทั้งหลายที่มีบุญสมภารก็บังเกิดขึ้นตามราชธานีนั้น ๆ อันนี้หากเป็นจารีตประเพณีสืบ ๆ มาแห่งแม่น้ำธนนที พระพุทธศาสนาก็จักตั้งอยู่แต่ทิศเบื้องเหนือและทิศเบื้องใต้ แลทิศตะวันตกตะวันออกไปตามริมแม่น้ำอยู่เป็นปกติ
ดูรา มหาราช ตถาคตเทศนา ศาสนานครนิทานดังกล่าวมาแล้ว เพื่อเหตุนั้นจึงได้ว่าไป่มีคนอยู่ในเมืองหนองหาน แม้ว่ามีคนอยู่ในริมหนองหานทั้งสองนั้น ท้าวพระยาที่มีบุญสมภารเป็นเอกราชนั้น จักตั้งอาณาคม และพระพุทธศาสนาอันใหญ่ก็ไป่มี เท่ามีก็เป็นแต่ปัจจันตพุทธศาสนาตามกาลสมัยนั้น ๆ
เมื่อพระยาสุวรรณภิงคารได้ทรงสดับรตนปัญหาดังนั้น ก็ทรงพระโสมนัสซาบซึ้งในพระขันธสันดานยิ่งนัก และมีพระทัยปรารถนาจะตัดยังพระเศียรของพระองค์ บูชารอยพระพุทธบาท ทันใดนั้น พระนางเทวีจึงได้ทูลห้ามไว้ว่า เมื่อมหาราชมีพระชนม์อยู่ จักได้สร้างพระราชกุศลเพิ่มเติมต่อไป ไม่ควรที่พระองค์จะมาทรงกระทำเช่นนี้ เมื่อพระยาได้ทรงสดับถ้อยคำนางเทวีห้ามดังนั้น จึงถอดมงกุฎออกบูชา
พระศาสดาซ้ำเทศนาโปรดเป็นครั้งที่สองว่า ดูรา มหาราช รอยบาทอันตถาคตได้ไว้ให้แก่พญานาค ที่แผ่นกระดานหินฝั่งแม่น้ำใหญ่ ชั่วช้างร้องและงัวร้องได้ยิน ฝ่ายตะวันออกนั้น เพื่อหมายจิตแก้วแห่งหัวเมืองและท้ายเมืองอันจักเป็นราชธานี พระพุทธศาสนาก็จักรุ่งเรืองยิ่งนักในที่นั้น และรอยบาทอันตถาคตได้ไว้ที่แผ่นหิน ฝ่ายตะวันตกแห่งแม่น้ำนั้น หมายจิตแก้วแห่งพระพุทธศาสนา มัชฌิมอนุราชธานีสืบต่อกันโดยลำดับ ครั้นตถาคต จักไว้รอยบาทพระพุทธศาสนานั้นจึงได้ไว้ที่ฝั่งแม่น้ำก้ำตะวันออกซ้ายนั้นก่อน แล้วจึงข้ามแม่น้ำมาไว้กงจิตแก้วฟากฝั่งแม่น้ำก้ำตะวันตกเฉียงใต้ แล้วตถาคตจึงข้ามแม่น้ำกลับคืนไปก้ำตะวันออกเฉียงใต้ เล็งเห็นพญานาคว่าจักขอรอยบาทที่สุมไว้ ตถาคตจึงอุบายเสีย ลางเมืองก็หมายกงจิตแก้วเบื้องขวานั้นไว้ก่อนแล้วจึงไต่ตามเส้นซ้าย เล็งเห็นพญาปลาตัวน้อยไป่ควรไว้กงจิตแก้วแต่อธิษฐานเป็นรูปจิตแก้ว คือรูปรอยบาทที่ไว้ฝั่งฟากตะวันออก เพื่อหมายเมืองราชธานีที่ตั้งพระพุทธศาสนาพอปานกลาง จึงข้ามไปเบื้องขวาก้ำตะวันตก ไว้ยังพงสอนฟากแม่น้ำ เต็งโลมยังรูปจิตแก้วที่อธิษฐานไว้นั้น เพื่อให้บ้านเมืองฝ่ายใต้และพระพุทธศาสนาน้อมกลับขึ้นไปเหนือ อย่าให้เป็นอันตรายในภายหน้า ตถาคต จึงได้กลับคืนไปหากกเบื้องขวาแต่เค้า จึงไว้ยังจิตแก้วฝ่ายตะวันตกที่ได้หมายกงจิตแก้วไว้แต่ก่อนนั้นแท้จริง.
ดูรามหาราช รอยบาทอันตถาคตไว้ที่แผ่นหินในแม่น้ำใหญ่ไป่เห็นนั้น พระพุทธศาสนาบ้านเมืองจักรุ่งเรืองด้วยพระสังฆเถรผู้เป็นใหญ่ ตถาคตไว้ร้อยบาทที่แผ่นหินบนยอดเขาข่มรอยในน้ำนั้น เพื่อให้ไหลไปทางใต้ ให้บ้านเมืองพระพุทธศาสนามีความสุขสำราญรุ่งเรือง โลมเต็ง๕๔อสัปปุริสพาลผู้เป็นบาป และเหล่ามนุษย์ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิและอลัชชีทั้งหลายเหล่านั้น ให้เป็นมงคลแก่พระพุทธศาสนาบ้านเมือง เมื่อท้าวพระยาตนมีบุญเกิดขึ้นแล้ว บุรุษผู้อาชาไนยก็จักบังเกิดมี เขาเหล่านั้นเทียรย่อมเป็นมงคลแก่พระพุทธศาสนาและบ้านเมือง รอยบาทที่ตถาคต ได้อธิษฐานไว้ที่ก้อนหินนั้นหมายพระพุทธศาสนา อันจะมาถึงตามมัชฌิมราชธานีแต่ก่อน
และรอยบาทที่ตถาคต ได้อธิษฐานไว้ในแผ่นพื้นที่ภูเขาบกโล้นใกล้แม่น้ำ ให้เป็นบาทพาหิรประเทศ เพื่อโปรดนาคและเทวดาที่มีโอฆะมนะสัทธา ขอเอารอยตถาคตมาชุมนุมในแผ่นดิน กระทำปาฏิหารย์เพื่อให้แจ้งแก่พระยาที่มีบุญอันสิ้นเสียแล้ว และมีบุญที่ได้สร้างมาแล้วแสนมหากัลป์ ตามรอยบาทอันนี้ เป็นอันบ่พาง๕๕ตั้งอยู่เป็นปกติ รอยพระบาทอันพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้ประดิษฐานซ้อนกันไว้บนภูเขาสูงนั้น เพื่อหมายเมืองในชมพูทวีป ว่าเป็นมงคลแต่ปฐมกัลป์ ด้วยเหตุว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย บ่มิได้เกิดในที่ทั้ง ๓ และหมายกงจิตแก้วโลมไว้ยังชมพูทวีปนี้
ดูรามหาราช รอบบาทหมายชมพูทวีป มีในเมืองโยนกวตินครเชียงใหม่นั้น ดอยลูกนี้ชื่อว่าดอยผารังรุ้ง เป็นรูปสะเภางามยิ่งนัก พระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์เสด็จไปฉันข้าวที่นั้น แล้วก็เหยียบซ้อนรอยยุด๕๖กันลงไปโดยลำดับที่หินรูปสะเภานั้นทั้ง ๓ พระองค์
ตถาคตไปบิณฑบาตในเมืองแพ่ อันเป็นโบราณบิณฑบาต แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายมาแต่ก่อน ชาวแพ่ทั้งหลาย เอาข้าวแลปลาเวียน๕๗ไฟมาใส่บาตร พระตถาคตรับเอาข้าวบิณฑบาตแล้ว ขึ้นไปสู่ดอยเทพ ๕๘ ดอยไชย แล้วจึงขึ้นไปดอยผารังรุ้ง เห็นปลาบ่า ปลาเวียนไฟ มีอยู่ในรอยพระบาท แห่งพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์อันเป็นอปหาริยธรรม ตถาคตก็ไป่ฉันปลาอันชาวแพ่ใส่บาตรมานั้น จึงได้อธิษฐานให้ปลามีชีวิตขึ้นทุกตัวไว้ในที่นั้น ปลาทั้งหลายเหล่านั้นยังเป็นรอยไม้หีบปิ้ง๕๙อยู่ทุกตัว จนตลอดสิ้นภัททกัลป์ คนทั้งหลายที่อยู่ในเมืองนั้น เห็นปลาเหล่านั้น ก็รู้ว่าเป็นอปหาริยธรรม มีความเคารพยำเกรงไม่บริโภคปลาที่มีชื่อนั้น แม้ว่าจะได้มาด้วยเหตุใด ๆ ก็ปล่อยเสียจนสิ้น ตถาคตฉันข้าวแล้ว ยังมีพญานาคตัวหนึ่งอยู่รักษาในที่นั้น นำเอาน้ำมาให้ฉัน แล้วขอเอายังรอยบาทไว้เพื่อเป็นที่สักการบูชา ตถาคต จึงยำซ้อนรอยบาทลงไว้โดยลำดับ
รอยพระบาทพระกกุสนธ ยาว ๓ วา กว้าง ๑ วา รอยพระบาทพระโกนาคมน และพระกัสสป ยาวและกว้างโดยลำดับ รอยตถาคตยาวหนึ่งว่าสองศอก สั้นกว่าทุกพระองค์ พระอริยเมตไตรยที่จักมาภายหน้านั้น จักได้เหยียบทับลงไปณะที่นั้น ส่วนรอยทั้ง ๕ นั้น ก็จักปรากฏมีอยู่ทั้ง ๕ รอยแท้จริง
พระยาสุวรรณภิงคารพร้อมด้วยพระราชเทวี ได้ทรงสดับพระธรรมเทศนาพระปาทลักษณ์และอปหาริยธรรมอันพระศาสดาตรัสเทศนาดังนั้น ก็ทรงพระปีติปราโมทย์ยิ่งนัก แล้วทรงสร้างอุโมงด้วยหินปิดรอยพระพุทธบาทพร้อมทั้งมงกุฎ เหตุนั้นจึงได้เรียกชื่อว่าพระธาตุเชิงชุม มาเท่ากาลทุกวันนี้
แล้วพระศาสดา ตรัสเทศนาแก่พระยาสุวรรณภิงคารว่า ที่ใดตถาคตได้ลงจากอากาศและสถิตย์ได้เห็นยังเหตุอันใดอันหนึ่งแล้วทำนายนั้น เป็นกงจิตแก้วอันหนึ่ง และที่ร่มไม้อันตถาคตฉันข้าวนั้น ก็เป็นกงจิตแก้วอันหนึ่ง พงศ์ทั้งสองนี้เรียกชื่อว่าโชติเจดีย์ พระพุทธศาสนาจักรุ่งเรืองในที่นั้น ที่ตถาคตได้ไสยาสน์และบิณฑบาตมาฉันที่นั้นเป็นพงศ์แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เสมอด้วยดอยสิงคุตร ที่ตถาคตทรงบาตรยืนอิงต้นไม้นั้น เป็นพงศ์อันหนึ่ง และเมื่อว่าตถาคตได้หมายกงจิตแก้วที่ใด ต่อไปภายหน้าโน้น โชติเจดีย์ก็จักบังเกิดมีขึ้นในที่นั้น ดูกรมหาราชเจดีย์ที่ก่อโลมบาทเชิงชุมบัดนี้เป็นปัจจุบันอัปปโชติเจดีย์ ไป่รุ่งเรืองในภายหน้า ทรงเทศนาแก่พระยาสุวรรณภิงคารดังนี้ แล้วจึงเสด็จขึ้นดอยลูกหนึ่งข้างในเป็นดังคูหา
คนทั้งหลายขึ้นไปบนดอยลูกนั้น มองเห็นหนองหานหลวงและหนองหานน้อย มองเห็นเมืองศรีโคตรบองและภูกำพร้า พระยาสุวรรณภิงคารจึงให้สังวาลย์ทองคำหนัก ๓๐๐,๐๐๐ เป็นทานแก่คนทั้งหลายที่มีกำลังสามารถก่อแท่นด้วยหินมุกด์เป็นปัจจุบันโดยพลัน แล้วพระพุทธองค์เสด็จขึ้นพระแท่น ระลึกถึงพระมหากัสสปเถร ๆ ก็มาเฝ้า พระศาสดาจึงตรัสเทศนาแต่พระมหากัสสปเถรเป็นภาษาบาลีว่า “อุรงฺคธาตุก กสฺสปคิริ อปฺปตฺตรา” ดังนี้ แล้วพระศาสดา จึงผินพระพักตร์ฉะเพาะซึ่งภูกำพร้า จึงตรัสว่า ดูรากัสสป ตถาคตนิพพานแล้ว เธอจึงนำเอาอุรังคธาตุ ตถาคตมาไว้ที่ภูกำพร้าที่นี้ อย่าได้ละทิ้งคำตถาคตสั่งไว้นี้เสีย พระมหากัสสปเถร เมื่อได้สดับพระพุทธพจน์ดังนั้น ก็ชื่นชมยินดียกขึ้นยังอัญชุลีว่า สาธุ สาธุ แล้วก็กลับไปสู่ที่อยู่
ครั้นแล้วพระศาสดา ก็เสด็จกลับคืนมาสถิตย์อยู่ที่ภูกูเวียนที่นั้น มีคำปุจฉาแซกเข้ามาว่า พระศาสดาเสด็จกลับคืนมาสถิตย์ที่ภูกูเวียนนั้น ด้วยเหตุใด มีคำวิสัชนาแก้ว่า พระพุทธองค์ไว้กงจิตที่ภูเขาหลวง ไป่ได้ไว้ยังจิตแก้วคือรอยพระบาท จึงเสด็จกลับคืนมา เพื่อจักโปรดพญานาค ครั้งเมื่อพระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นพญานาคนั้น
ยังมีอดีตนิทานอันหนึ่งว่า เมื่อพระพุทธองค์เสวยพระชาติมีนามว่าสุวรรณนาค เกล็ดเป็นทองคำทั้งตัวอยู่ในที่นั้น เมื่อเกล็ดนั้นหล่นณที่ใด ก็เกิดเป็นที่สักการบูชาเลี้ยงดู พญานาคตัวนั้นโกรธนิรมิตให้น้ำท่วมบ้านเมืองเสียสิ้น คนทั้งหลายได้ความเดือดร้อน จึงพากันไปไหว้พระอิศวร ๆ ทราบในเหตุอันนั้น จึงบัญชาให้ผู้มีฤทธิ์ไปว่ากล่าวแก่พญานาคว่า เมืองอันนี้พระอิศวรเป็นใหญ่ จักพระราชทานให้เป็นเมืองพระพาน พญานาคได้ยินคำดังนั้นจึงโกรธแก่พระอิศวรว่า พระอิศวรนี้ไป่รู้จักเกล็ดแห่งเราหนอ ตัวกูไป่ตาย มากุมหักคอถากเกล็ดแห่งเราอย่างไร เมื่อว่าพระอิศวรอยากได้เมืองก็ให้รบกับกูดูเสียก่อน เมื่อว่าแพ้กูเมื่อใดจงเอาเมืองกูเทอญ กูจักทำอิทธิฤทธิ์ให้เป็นภูเป็นดอย ล้อมไว้เป็นเมืองพระพาน คนใช้จึงนำความอันพญานาคกล่าวนั้นไปบอกพระอิศวร เมื่อพระอิศวรได้ทราบเหตุดังนั้น จึงใช้ให้ไปถามพญานาคอีกว่า เราทั้งสองจักรบกันณที่ใด พญานาคบอกว่าไปรบกันทางอากาศ แล้วคนใช้จึงนำความที่พญานาคบอกว่าไปรบกันบนอากาศนั้นแก่พระอิศวร ๆ ถือดาบขรรค์ไชยศรี เหาะขึ้นไปรบกับพญานาคบนอากาศ แล้วตัดหัวพญานาคด้วยดาบขรรค์ไชยศรีขาดตกไป ก็กลับเกิดเป็น ๒ หัว ตัด ๒ หัวกลับเกิดเป็น ๔ หัว ตัด ๔ หัวบังเกิดเป็น ๘ หัว ทวีขึ้นไปจนถึง ๑,๐๐๐ หัว พระอิศวรมีกำลังอิดโรยลงเป็นอันมาก
ทันใดนั้นยังมีนาคหลานชายแห่งพญาสุวรรณนาคตัวหนึ่ง ชื่อว่าพุทโธธปาปนาค มีความโกรธเคืองแก่สุวรรณนาคยิ่งนัก ด้วยเหตุที่พังบ้านเมืองเขาให้ล่มจมเสียนั้น จึงได้นำความมาบอกแก่พระอิศวรว่า สุวรรณนาคที่รบอยู่บนอากาศนั้น เป็นแต่อำนาจอิทธิฤทธิของสุวรรณนาคเท่านั้น หาใช่ตัวสุวรรณนาคไม่ ส่วนตัวสุวรรณนาคนั้น จำแลงตัวเป็นงูเล็กตัวหนึ่งอยู่ข้างล่าง แม้ท่านจะรบสักเท่าใด ๆ ก็ไม่รู้แพ้แก่สุวรรณนาค เมื่อว่าแพ้งูน้อยข้างล่างนี้แล้ว อิทธิฤทธิทางอากาศของสุวรรณนาคก็จักศูนย์หายไปสิ้น เมื่อพระอิศวรได้ทราบในคำบอกเล่าของพุทโธธปาปนาคดังนั้น จึงนิรมิตเป็นพังพอนเผือกให้ขึ้นไปรบทางบนอากาศ ส่วนตัวพระอิศวรเองนั้นมาซุ่มอยู่เบื้องล่าง จึงเห็นสุวรรณนาคนิรมิตตัวเป็นงูน้อยตัวหนึ่งโก่งหลังอยู่ที่หว่างเขานั้น พระอิศวรถือดาบขรรค์ไชยศรี เดินเข้าไปหาสุวรรณนาค ๆ เห็น จึงละเพศอันเป็นงูน้อยนั้นเสีย แล้วเข้ามาอ่อนน้อมกราบไหว้
ขณะนั้นพระอิศวรจึงควงดาบขรรค์ไชยศรี พร้อมทั้งกล่าวว่า กูเวียนเกียนเวียน สุวรรณนาคระลึกถึงคำพูดของตัวแต่ก่อน ที่ว่าจะออกเวียนด้วยอิทธิฤทธิ ให้เป็นภูเป็นดอยล้อมเมืองสุวรรณภูมิ เป็นเมืองพงพานไว้นั้น เหตุนั้น ภูลูกนั้นจึงได้ชื่อว่าภูกูเวียน และคำว่าไป่รู้จักเกล็ดกูหนอ ตัวกูไป่ตายมากุมหักคอถากเอาเกล็ด นี้เป็นคำพญาสุวรรณนาคหากกล่าวไว้ คนทั้งหลายโกรธซึ่งกัน ย่อมนำเอาคำอันนั้นมากล่าวแก่กัน
แต่นั้นมา พระอิศวรและพระนารอท ก็พร้อมกันแต่งตั้งให้พระพานเป็นใหญ่ บารถมาสู่นางอุษา พระพานโกรธ สุวรรณนาคมีคำ “วังกัตตไนย” ออกมาช่วยพระพานบังเลียบขึ้นไปมัดเอาบารถมาจากปราสาทนางอุษา ให้พระพานขัน๖๐ไว้ เป็นเหตุให้พระนารายน์สาธยายเวทมนต์ เป่าหอยสังข์เรียกเอาพระยาครุฑมาขี่ไปแย่งเอาบารถ แล้วมาสู้รบพระพาน สุวรรณนาคจึงมาบอกพระพาน ให้ตั้งเวียงกระดานหิน เวียงทางใต้นั้นไปบอกบารถ ให้บอกแก่พระกึดนารายน์ ตั้งพลศึกเวียนไปตามริมแม่น้ำที่อยู่แห่งสุวรรณนาค แล้วให้พระกึดนารายน์ขึ้นไปบนยอดภูกูเวียนยิงกราดเบื้องบนไว้ อย่าให้ทดถอยพลศึกที่ตั้งนั้น หากจักมีชัย แล้วก็มาอยู่ช่วยพระพาน เมื่อเวลาจักรบกันนั้น บารถจึงว่าแก่พระกึดนารายน์ว่า พระปู่เจ้าตั้งทัพเวียนไปตามริมแม่น้ำ แล้วขึ้นอยู่บนยอดภูกูเวียนยิงป้องกันไว้ภายบน พระกึดก็กระทำตามคำบารถบอก จึงยิงถูกพระพานกระเด็นตกจากรถ บารถจึงยิงปืนฟื้นเอาพระพานขึ้นมาห้อยท้ายรถไว้ ที่นั้นจึงได้เรียกว่าแก่งซากมาเท่ากาลทุกวันนี้ และแม่น้ำที่สุวรรณนาคอยู่นั้น เรียกว่าแม่น้ำปู่เวียน
พระอิศวรพระนารอทว่า ที่นั้นเป็น “อาสพฺพลญาณ” อันประเสริฐ จักตั้งบ้านสร้างเมืองไป่ได้ ถ้าหากว่าพระพานไป่เป็นเชื้อวงศ์พระอิศวร สุวรรณนาคก็จักช่วยให้แก่พระกึดนารายน์ ถ้าหากว่าพระพานไป่ออกนอกเมือง และอยู่ในเมืองอันเป็น “อาสพฺพลญาณ” ดังนั้น จักรบพระกึดนารายน์ก็ไป่แพ้
พญานาคตัวนี้ เป็นนาคเทวดาที่มีฤทธิ์มาก พร้อมทั้งนาคตัวที่เป็นหลาน เทียรย่อมประกอบไปด้วยความโกรธ จักกระทำอันตรายแก่พระพุทธศาสนาบ้านเมืองในภายหน้า พระพุทธองค์ทรงเห็นเหตุ จึงเสด็จเวียนกลับคืนมาทรงสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ เพื่อให้รักษาพระพุทธศาสนาบ้านเมือง
ขณะเมื่อพระพุทธองค์สถิตที่ภูกูเวียน เปล่งพระรัศมีให้เข้าไปในเมืองนาคปู่เวียน ขณะนั้นสุวรรณนาคได้เห็นพระรัศมี จึงออกมาจากแม่น้ำขึ้นไปอยู่บนยอดเขา พ่นพิศม์ออกมาเป็นควัน เขาลูกนั้นก็มืดมัวไปทั้งสิ้น พระพุทธองค์ทรงเห็นดังนั้น ทรงเข้าเตโชกสิณเป็นเปลวไฟ ไปเกี่ยวพันสุวรรณนาค กระเด็นตกลงไปในน้ำปู่เวียน เปลวไฟก็ผุดแต่พื้นน้ำขึ้นมา ไหม้เมืองนาคตลอดไปถึงหนองบัวบาน ซึ่งเป็นที่อยู่แห่งพุทโธธปาปนาค หนองนั้นเป็นที่เกิดของนางอุษาแต่ก่อน นาคทั้งหลายพร้อมกันมาล้อมภูกูเวียนนั้นไว้
ขณะนั้น พระศาสดาประทับกระทำสมณธรรมอยู่ณที่นั้น นาคทั้งหลายจึงกระทำอิทธิฤทธิ เป็นเปลวไฟพุ่งขึ้นไปหาพระพุทธองค์ เปลวไฟนั้นก็พุ่งกลับคืนมาไหม้นาคทั้งหลายเหล่านั้น แล้วกลับบังเกิดเป็นดอกบัวบูชาพระศาสดา นาคเหล่านั้นจึงแวดล้อมพระพุทธองค์ไว้ เพื่อให้พุทโธธปาปนาคทำอิทธิฤทธิพังทะลายที่ประทับ พระพุทธองค์ทรงเข้าปฐวีกสิณ ที่ประทับนั้นก็บังเกิดเป็นพระแท่นแข็งงดงามยิ่งนัก นาคทั้งหลายกระทำอิทธิฤทธิทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อทำลายพระแท่นและองค์พระศาสดา ก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายพระศาสดาได้ มันซ้ำกระทำอิทธิฤทธิให้เป็นเปลวไฟเข้าไปทำลายอีก พระศาสดาทรงเข้าวาโยกสิณ เป็นลมพัดไฟกลับไปไหม้นาคทั้งหลายเหล่านั้น แล้วพระศาสดาก็เสด็จขึ้นไปบนอากาศ นาคทั้งหลายเห็นดังนั้น ก็กระทำอิทธิฤทธิโก่งหลังขึ้นไปเป็นหมู่นาค ตามล้อมพระศาสดา ๆ ทรงนิรมิตให้หัวนาคทั้งหลายเหล่านั้นขาดตกลงมา นาคทั้งหลายเห็นดังนั้น มีความเกรงกลัวในพระศาสดายิ่งนัก
พระศาสดาทรงรู้แจ้งดังนั้น ก็เสด็จกลับลงมาประทับณที่เก่า นาคทั้งหลายจึงพร้อมกันเข้าหาพระศาสดา ๆ จึงตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงบันเทาเสียยังพยาธิต่อมฝีอันเจ็บปวด กล่าวคือหัวใจแห่งท่านทั้งหลาย ตถาคตจักรักษาให้หายยังพยาธินั้น นาคทั้งหลายได้ฟังพระพุทธพจน์ดังนั้นมีใจชื่นบาน พร้อมกันเข้ามากราบแทบพระบาท
พระศาสดาจึงตรัสเทศนาว่า ดูรานาคทั้งหลาย บุคคลผู้มีต่อมฝีบังเกิดขึ้นในหัวใจ กล่าวคือความโกรธ เทียรย่อมเสื่อมเสียจากประโยชน์ทั้งหลาย ส่วนบุคคลผู้ที่ไม่มีความโกรธ เทียรย่อมประจนแพ้แก่บุคคลผู้มีความโกรธ ฉันใด พุทธวิสัยของตถาคตนี้ บุคคลทั้งหลายบมิอาจที่จะหยั่งถึง เป็นนิมิตรอันหนึ่ง อิทธิวิสัยของตถาคต ก็เป็นอัศจรรย์อันหนึ่ง บุคคลในโลกนี้ไม่สามารถแพ้ฤทธิได้ เสมอด้วยสูท่านทั้งหลายกระทำยุทธกรรมต่อตถาคตอยู่ในกาลบัดนี้ และโลกนี้ย่อมเป็นที่เกิดแห่งสัตว์ทั้งหลาย มิรู้สิ้นแห่งความทุกข์ ก็เป็นอัศจรรย์อันหนึ่ง กรรมวิบากอันสูท่านทั้งหลาย ได้เกิดมาเป็นนาคมีอายุสิ้นกัลป์หนึ่ง บมิได้เกิดเป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นเทวดาและมนุษย์แต่สักครั้ง และมิได้ดับยังทุกข์ เป็นอัศจรรย์อันหนึ่ง สิ่งที่เป็นแก่นสาร สูท่านทั้งหลายมาใส่ใจว่ามิได้เป็นแก่นสาร สิ่งที่ไม่เป็นแก่นสาร สูท่านทั้งหลายกลับว่าเป็นแก่นสารเช่นนี้ กรรมวิบากที่สูท่านทั้งหลายหวงแหนแผ่นดิน และมีความโกรธแต่ปางก่อนนั้นและเป็นเหตุ จึงได้มาบังเกิดเป็นนาค
สูท่านทั้งหลายจงพยายาม รักษายังต่อมฝีที่บังเกิดขึ้นในหัวใจให้หายเป็นปกติ และอย่าให้ยึดถือเอาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ดังตถาคตได้กล่าวแล้วข้างต้นนั้นมายึดถือ มิใช่เป็นกรรมอันประเสริฐ และบมิได้เป็นมงคล สิ่งที่ประเสริฐในโลกนี้ มีแต่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นและ
ดูราพุทโธธปาปนาค ต่อแต่นี้ไป ท่านอย่าได้พานาคทั้งหลายเที่ยวทำลายพังบ้านเมืองดังแต่ก่อน นาคทั้งหลายเหล่านั้น ก็ได้ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ จึงทูลขอเอายังรอยพระบาทไว้เป็นที่สักการบูชา พระศาสดาทรงย่ำไว้ที่แผ่นหินในภูกูเวียน ใกล้ปากถ้ำที่สุวรรณนาคอยู่ แล้วพระศาสดาซ้ำทรงอธิษฐานรอยบาท ไว้ให้พุทโธธปาปนาคที่หนองบัวบาน ซึ่งเป็นที่เกิดของนางอุษาแต่ก่อนรอยหนึ่ง และอธิษฐานไว้ในแผ่นหิน ให้แก่นาคทั้งหลายที่มิได้ปรากฏชื่อนั้น ๒ รอย ในแผ่นหินบนโพนบกนั้นรอยหนึ่ง
แล้วพระศาสดา ก็เสด็จไปสู่ดอยนันทกังรี ซึ่งเป็นที่อยู่ของนางนันทยักษ์แต่ก่อน มีนาคตัวหนึ่ง ๗ หัว ชื่อว่าศรีสัตตนาค เข้ามาทูลขอให้พระศาสดาทรงย่ำรอยพระบาทไว้ในดอยนันทกังรี พระศาสดาที่ไปย่ำรอยพระบาทไว้ณที่นั้น ทรงก้าวพระบาทข้ามตีนดอยก้ำขวา แล้วทรงแย้มพระโอฐ เจ้าอานนท์กราบทูลถาม ตถาคตตรัสว่า เราเห็นนาค ๗ หัวเป็นนิมิตร ต่อไปภายหน้าที่นี้จักบังเกิดเป็นเมือง มีชื่อว่าเมืองศรีสัตตนาค และที่พญานาคได้ให้ความสวัสดีแก่พระยาจันทบุรีนั้น จักรกร้างเสื่อมศูนย์ไป
พระยาทุคคตะ ที่ตถาคตได้พยากรณ์ไว้แต่ก่อนนั้นจักได้มาเสวยราชสมบัติ ทนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองในเมืองนี้ แต่เป็นผู้ประกอบไปด้วยกามราค ทำโทษแก่ตนเอง ตายก็จักได้ไปตายต่างประเทศ พระพุทธศาสนาบ้านเมืองในที่นี้ก็จักเสื่อมศูนย์ไป พระยาจันทบุรีพร้อมด้วยท้าวพระยา จักได้เถราภิเษกพระสังฆเถระให้เป็นพระสมณราชา เป็นใหญ่ทางฝ่ายพระศาสนาในเมืองจันทบุรี พระพุทธศาสนากลับมารุ่งเรืองในพระนครนี้สืบต่อมา
ผิว่า ตถาคตไว้รอยบาทบนดอยนันทกังรีนี้ ต่อไปภายหน้าสถานที่นี้จักเสื่อมศูนย์ไป พระพุทธศาสนาบ้านเมืองก็ไม่บังเกิดขึ้นในที่นี้ ดอยนันทกังรีนี้ จักเป็นที่หวงแหนและเป็นที่เที่ยวไปแห่งพญาศรีสัตตนาค ด้วยเหตุนี้ ตถาคตจึงไม่ย่ำรอยบาทไว้ เมื่อพญาศรีสัตตนาคได้ยิน จึงสมมติดอยนันทกังรีนั้นว่าเป็นหงอนแห่งตน ถวายให้เป็นที่ตั้งพระพุทธศาสนาในภายหน้า
พระพุทธองค์ จึงเสด็จลงไปไว้รอยพระบาท ที่แผ่นหินที่จมอยู่ในกลางแม่น้ำเบื้องซ้ายดอยนันทกังรี ซึ่งมนุษย์ทั้งหลายไม่สามารถจะมองเห็นได้ แล้วพระศาสดาจึงเสด็จขึ้นไปบนดอยนันทกังรี อธิษฐานให้เป็นรอยเกิบ๖๑บาททับหงอนนาคไว้ เพื่อมิให้ท้าวพระยาในเมืองนั้นประกอบการยุทธกรรม จักแพ้พระพุทธศาสนาบ้านเมือง แล้วพระศาสดาก็เสด็จกลับมาสู่เชตวันอารามดังเก่า เป็นอันสิ้นข้อความปาทลักษณนิทานแต่เท่านี้
อยู่มาในกาลครั้งหนึ่ง หมูง้วนก็มาถึงแก่พระพุทธองค์ ๆ จึงตรัสถามพระอานนท์เป็นอุบายว่า ดูราอานนท์ วิหารหลังเก่าเราจะปฏิสังขรณ์อยู่ไปก่อนดีหรือ ๆ ว่าไม่ดี พระอานนท์ทูลว่าสร้างใหม่อยู่ดี แล้วพระศาสดาจึงตรัสว่า บัดนี้ตถาคตจักเข้าสู่นิพพาน อานนท์เห็นว่าเมืองใดเป็นเมืองใหญ่ พระอานนท์กราบทูลว่าเมืองราชคฤหเป็นเมืองใหญ่ แล้วพระศาสดาจึงตรัสว่า ตถาคตจักไปนิพพานในเมืองกุสินาราย เพื่อโปรดยังโสตถิยพราหมณ์ ๆ คนนี้เมื่อครั้งก่อนได้เอาหญ้าคา ๘ กำมาปูให้ตถาคตนั่ง แล้วก็บังเกิดเป็นแท่นแก้วเป็นที่ตรัสรู้ และเมื่อครั้งตถาคตได้เป็นพระยาสุทัสนจักรวรรติราช เสวยราชสมบัติอยู่ในเมืองนั้น กงจักรแก้วมณีโชติก็บังเกิดขึ้นในเมืองนั้น เมืองกุสินารายนี้ เป็นที่นิพพานแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในระหว่างต้นไม้รัง
เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว ใครผู้ใดมีความระลึกถึงตถาคต เอาแก่นไม้รังที่ตถาคตบริโภคนั้นมาสร้างเป็นรูปตถาคตไว้ เมื่อบุคคลผู้นั้นยังท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏสงสาร สามารถที่จะปิดเสียซึ่งประตูอบายได้ ด้วยเหตุว่า เป็นพุทธบริโภค ๒ ชั้น หรือว่าเอาแก่นไม้ปาแป้งที่ตายแล้ว มาสร้างเป็นรูปตถาคตก็ฉันเดียวกัน เหตุว่าไม้ทั้ง ๒ นี้ ตถาคตได้บริโภค เป็นต้นไม้อันประเสริฐ พระศาสดาตรัสดังนี้ ก็ฉันยังหมูง้วน แล้วจึงเสด็จไปสู่เมืองกุสินาราย ทรงอาเจียรออกเป็นโลหิต พระอานนท์เห็นดังนั้น จึงไปแสวงหาน้ำมาถวายพระศาสดา น้ำในที่นั้น ๆ ก็ขุ่นเป็นตมไปทุกแห่ง ไม่ได้น้ำที่ใสมาถวายพระศาสดา ทันใดนั้น พระอานนท์จึงกราบทูลพระศาสดา ๆ เมื่อทรงทราบ จึงตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์ เธออย่าได้ไปแสวงหาเลย ถึงเธอจะไปหาในที่ใด ๆ น้ำที่ใสอยู่แต่ก่อนนั้น ก็จักขุ่นเป็นตมไปสิ้นทุกแห่ง
ดูกรอานนท์ เมื่อชาติก่อนนั้น ตถาคตได้เป็นพ่อค้าเกวียน เดินตามทางมา งัวอยากกินน้ำ ๆ ใสมีอยู่ในที่ไกล น้ำขุ่นมีอยู่ในที่ใกล้ ความเกียจคร้านพร้อมด้วยการเร่งร้อนจะไปข้างหน้า จึงได้นำงัวไปกินน้ำขุ่นในที่ใกล้ เวรอันนั้นไป่สิ้น จึงตามมาสนองในบัดนี้ พระศาสดาตรัสแก่อานนท์ดังนี้ ก็เสด็จไปไสยาศน์ในระหว่างไม้รัง
ขณะนั้น พระยาอินทร์ทราบในเหตุนั้น ๆ ก็เสด็จลงมาเพื่อทำสักการพระศาสดา ๆ ตรัสกับพระยาอินทร์ว่า ดูรา อินทาธิราช ท่านอย่าได้ลืมไชยกุมารที่เขาลอยแพไปเมืองลังกานั้นเสีย แล้วตรัสกับเจ้าอานนท์ว่า อานนท์ ธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ที่ตถาคตเทศนาไว้นั้น เมื่อตถาคตนิพพานไป ตถาคตไว้พระพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ พระวรรษาไว้เป็นที่สักการบูชา ธรรมนั้นแลจักเป็นครูเป็นอาจารย์สั่งสอนแก่ท่านทั้งหลาย เสมอด้วยตถาคตยังทรมานอยู่ บุคคลผู้มีปัญญาได้ปฏิบัติตามธรรมที่ตถาคตสั่งสอนไว้ หรือสร้างสถูปเจดีย์วิหาร และรูปตถาคต ตั้งไว้สักการบูชา บำเพ็ญศีลทาน แม้ปรารถนาเอาโลกิยะและโลกุตตระ ก็จักได้สมดังความปรารถนาทุกประการ ประดุจดังไฟอันดับแล้ว บุคคลผู้มีปัญญาเอาไม้ที่แห้งมาสีกันเข้า เพื่อให้เกิดเป็นไฟ
อีกนัยหนึ่งว่า เป็นประดุจดังบุคคลเอาแก้วสุริยะกันตะ มารอแสงตะวัน เพื่อให้เกิดเป็นไฟติดยังชะนวน แล้วก็จุดกันต่อ ๆ ไปเป็นไฟกองใหญ่ เพื่อให้สำเร็จในกิจนั้น ๆ
อีกนัยหนึ่ง เปรียบประดุจดังลำอ้อยมีโคนอันขาดแล้ว บุคคลปรารถนาในรสอันหอมหวาน เอามาชำไว้ให้แตกออกเป็นหน่อเป็นกอเป็นลำขึ้น มีรสอันหวาน มีใบก็คม ฉันใด ถึงแม้ตถาคตจะนิพพานไปแล้วก็ตาม พระพุทธศาสนาก็จักตั้งอยู่เป็นปกติตลอด ๕,๐๐๐ วรรษา
พระพุทธศาสนานี้ เปรียบประดุจดังสระน้ำตั้งอยู่เหนือแผ่นดิน ถึงแม้น้ำจะเหือดแห้งไปก็ตาม เมื่อถึงฤดูกาลฝนตกลงมามีน้ำขึ้นในสระนั้น พรรณดอกไม้ทั้งหลายในสระนั้น เป็นต้นว่า ดอกบัวหลวงและบุณฑริก ก็จักบังเกิดขึ้นในสระนั้น ฉันใด พระพุทธศาสนาก็ฉันนั้น เมื่อบุคคลมีความเพียรกระทำกรรมฐาน ก็จักได้ถึงยังมรรคผลนั้น ๆ โดยลำดับ
ผิว่าไป่ได้ถึงในชาตินั้น เมื่อจุติไปก็จักได้ไปบังเกิดเป็นเทวดา ได้สดับธรรมเทศนา จากธรรมกถึกเทวบุตร ก็จักได้ถึงในสำนักนั้น ท่านทั้งหลายจงกระทำกรรมฐานอย่าได้ขาดเทอญ
ดูกรอานนท์ บุคคลบูชารูปตถาคต และศาสนาที่ตถาคตตั้งไว้ ด้วยดอกไม้ธูปเทียนนั้นชื่อว่ามิได้บูชา ส่วนบุคคลบูชาได้ชื่อว่าบูชานั้น ตถาคตจะสั่งเธอไว้ ภิกษุ สามเณร หรือคฤหัสถ์ก็ตาม ที่ปฏิบัติถูกต้องตามคำสั่งสอนของตถาคต ถึงแม้ว่าจะไม่มีเครื่องสักการก็ตาม เป็นแต่เพียงมีจิตต์ใจเลื่อมใสเชื่อในคุณพระรัตนตรัย ไหว้นบแต่มือเปล่า ๆ ก็ได้ชื่อว่าบูชาอันประเสริฐยิ่งกว่าประเสริฐ เมื่อพระศาสดาตรัสสั่งกับพระอานนท์ดังนี้แล้ว จึงทรงอธิษฐานว่า เมื่อใดกัสสปยังไป่มารับเอาอุรังคธาตุของตถาคตไปไว้ ที่ดอยกัปปนคิรี ไฟธาตุอย่าได้ไหม้สรีระตถาคต ทรงอธิษฐานแล้วก็เสด็จเข้าสู่นิพพาน
ครั้งนั้น กษัตริย์มัลลราชทั้งหลาย ได้ทราบซึ่งเหตุว่าพระศาสดาเสด็จเข้าสู่พระนิพพาน ก็พร้อมกันมากระทำสักการบูชาโสรดสรงพระบรมศพ แล้วเชิญพระบรมศพเข้าพระหีบทอง ประดิษฐานไว้บนเชิงตะกอน แล้วทำการถวายพระเพลิงเป็นหลายครั้งหลายหน เพลิงก็ไม่สามารถจะทำลายพระบรมศพได้ ทันใดนั้นพระมหากัสสปเถระก็มาถึงแล้วเข้าไปกระทำสักการ ขณะนั้น พระศาสดาทรงกระทำพระปาฏิหารย์ ให้พระบาทเบื้องขวายื่นออกมาจากพระหีบทอง เพื่อให้พระมหากัสสปเถระกระทำสักการ
ทันใดนั้น พระอุรังคธาตุที่หุ้มห่อด้วยผ้ากัมพลก็ปาฏิหารย์เสด็จออกจากพระหีบทอง มาประดิษฐานอยู่เหนือฝ่ามือเบื้องขวา แห่งพระมหากัสสปเถระอัครสาวก ทันใดนั้น ไฟธาตุก็บังเกิดลุกเป็นเปลวขึ้นทำลายพระสรีระของพระศาสดา ส่วนพระบรมธาตุกระโบงหัว๖๒นั้น ฆฏิการพรหมนำเอาไปประดิษฐานไว้ในพรหมโลก พระธาตุแข้วหมากแง๖๓ โทณพราหมณ์เขาซ่อนที่มวยผม พระอินทร์นำเอาไปประดิษฐานไว้ในชั้นดาวดึงส์ พระธาตุกระดูกด้ามมีด๖๔นั้น พญานาคนำเอาไปประดิษฐานไว้ในเมืองนาค พระบรมธาตุที่ออกพระนามมาข้างบนนี้ มิได้เป็นอันตรายด้วยเพลิง ยังปกติอยู่ตามเดิม ส่วนพระบรมธาตุนอกนั้นย่อยยับไปเป็น ๓ ขนาด ขนาดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วกวาง๖๕ ขนาดที่สองเท่าเมล็ดข้าวสารหัก ขนาดที่สามเท่าเมล็ดพรรณผักกาด พระยาอชาตสัตรุ นำเอาไปประดิษฐานไว้ในถ้ำสัตตปัณคูหา
ครั้งนั้น พระมหากัสสปเถระพร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ องค์ นำเอาพระอุรังคธาตุ ไปประดิษฐานที่ภูกำพร้า แต่จะนำไปพักที่เมืองหนองหานหลวงนั้นก่อน ครั้งนั้น ท้าวพระยาทั้งหลาย มีพระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร พระยานันทเสน พระยาสุวรรณภิงคาร และพระยาคำแดง รู้ข่าวว่า พระมหากัสสปเถรจะนำเอาพระอุรังคธาตุของพระศาสดามาประดิษฐานไว้ที่ภูกำพร้าดังนั้น พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร พระยานันทเสน ทั้ง ๓ พระองค์พร้อมด้วยไพร่พลโยธา เสด็จมาประทับและพักที่ฝั่งแม่น้ำธนนทีใต้ปากเซที่นั้น จึงตรัสสั่งให้ไพร่พลโยธาทั้งหลาย ๕๐๐ คน สะกัดหินมุกด์ มาสร้างอารามไว้คอยท่าพระมหากัสสปเถร
-
๑. ต้น, โคน ↩
-
๒. สำเร็จ ↩
-
๓. เล็ง ↩
-
๔. รด ↩
-
๕. หัน, กลับ ↩
-
๖. ตาม ↩
-
๗. ตะกวด ↩
-
๘. หัวปลวก ↩
-
๙. แย้มพระโอฐ ↩
-
๑๐. พลัด ↩
-
๑๑. กลับ ↩
-
๑๒. ครึ่ง ↩
-
๑๓. พัก, อาศัย ↩
-
๑๔. เสมอ ↩
-
๑๕. คือ ↩
-
๑๖. ท้องพลุ้ย ↩
-
๑๗. ต้น ↩
-
๑๘. ปราสาท ↩
-
๑๙. ตู่ ↩
-
๒๐. พ้น ↩
-
๒๑. ทุกชั่ว ↩
-
๒๒. สิ้น ↩
-
๒๓. ในที่นี้หมายถึงราชาภิเศก ↩
-
๒๔. ลอย ↩
-
๒๕. ด้วย ↩
-
๒๖. ชะนะ ↩
-
๒๗. คำว่า “เอา ” ในที่นี้หมายความว่า “ได้” ↩
-
๒๘. ล้อม ↩
-
๒๙. แช่ง ↩
-
๓๐. อีกฉะบับหนึ่งเป็นปวุตติกรรมพันธนา ↩
-
๓๑. ครอบ ↩
-
๓๒. “ลอย” ในที่นี้แปลว่า “ว่าย” ↩
-
๓๓. บังคับ ↩
-
๓๔. เย้าหยอก ↩
-
๓๕. “หล่า” ในที่นี้แปลว่า “เปลี่ยนแปลง” ↩
-
๓๖. ไป ↩
-
๓๗. บอกกล่าว, สั่ง ↩
-
๓๘. ศักราช ↩
-
๓๙. ๒๐ วรรษา ↩
-
๔๐. ด้วยความพอใจ ↩
-
๔๑. หมดจด ↩
-
๔๒. พยายาม ↩
-
๔๓. ทำให้รุ่งเรือง ↩
-
๔๔. คือ ↩
-
๔๕. ฉาบ ↩
-
๔๖. ก้อนหิน ↩
-
๔๗. หง่าหมากทัน กิ่งพุดทรา ↩
-
๔๘. เสื่อมศูนย์ ↩
-
๔๙. “ชุมรอยบาทที่หนองหานหลวง” นี้ คือพระธาตุเชิงชุมนี้เอง ↩
-
๕๐. “กระโจมหัวคำ” หมายถึง มงกุฎทองคำ ↩
-
๕๑. “น้ำเต้าคำ” หมายถึง คณโฑทองคำ ↩
-
๕๒. แยกย้าย, เรียงราย ↩
-
๕๓. “ตุมไก่” เข้าใจว่าเป็นพระธาตุตาตุ่ม และอีกฉะบับ ๑ เป็นแต่บอกว่า เป็นพระธาตุพระพุทธเจ้า ↩
-
๕๔. เต็ง แปลว่าทับ ↩
-
๕๕. บ่พาง ไม่คลาดเคลื่อน, ไม่โกหกหลอกลวง ↩
-
๕๖. ยุด แปลว่าลดลงไม่เสมอกัน ↩
-
๕๗. ปลาตะเพียนหางแดง ↩
-
๕๘. เข้าใจว่า ดอยสุเทพ ↩
-
๕๙. ไม้ตับย่างปลา ↩
-
๖๐. ผูก, มัด ↩
-
๖๑. รองเท้า ↩
-
๖๒. “พระบรมธาตุกระโบงหัว” พระอุตมางคสิโรตม์ ↩
-
๖๓. “พระธาตุแข้วหมากแง” พระเขี้ยวแก้ว ↩
-
๖๔. “กระดูกด้ามมีด” พระรากขวัญ ↩
-
๖๕. “เมล็ดถั่วกวาง” ถั่วแตก ↩