ต่อแต่นี้ไปจะได้กล่าวถึง เจ้าพุทธรักขิต ธรรมรักขิต สังฆรักขิต เถระที่นำสัทธิงวิหาริกทั้ง ๕ มีมหารัตนเถระเป็นต้น ไปสู่เมืองราชคฤห์ นำเอาพระบรมธาตุหัวเหน่าพระพุทธเจ้า ๒๙ องค์ ธาตุเขี้ยวฝาง ๗ องค์ พระธาตุฝ่าตีนขวา ๙ องค์ มายั้งอยู่ที่เมืองคอนราชนั้นคืนหนึ่ง พระอรหันต์ทั้ง ๘ รู้แจ้งในพฤตติการณ์ว่า ครั้งเมื่อพระศาสดายังทรงทรมานอยู่ พระองค์ได้เสด็จมาสถิตที่ถ้ำแก้ววชิรปการ ระหว่างภู ๒ ลูกถัดละโว้นั้น พระอรหันต์ทั้ง ๘ จึงได้พร้อมกันไปจารึกพื้นบ้านพื้นเมืองและอุปเท่ห์นิทานทั้งมวลไว้ในแผ่นหินและพื้นพระธาตุพระพุทธเจ้า ที่จะได้ไปประดิษฐานอยู่ในชมพูทวีป และพื้นรอยพระบาทลักษณพร้อมทั้งศาสนานครนิทานไว้พร้อมสรรพ์

ส่วนพระอรหันต์ทั้ง ๓ ที่เป็นอาจารย์ จึงสั่งศิษย์ทั้ง ๕ ไว้ว่า ให้นำพระบรมธาตุที่ได้มานั้น คือพระธาตุหัวเหน่า ให้เอาไปประดิษฐานไว้ที่ภูเขาหลวงนั้น ส่วนพระธาตุฝ่าตีนขวานั้น ให้นำไปประดิษฐานไว้เมืองลาหนองคาย พระธาตุเขี้ยวฝางนั้น ให้นำไปประดิษฐานไว้ที่เวียงงัว ๓ องค์ และที่หอแพ ๔ องค์ ครั้นสั่งเสียเสร็จแล้ว พระอรหันต์ผู้อาจารย์ทั้ง ๓ ก็กลับคืนไปสู่เมืองราชคฤห์

ขณะนั้น พระอรหันต์ทั้ง ๕ จึงนำเอาพระบรมธาตุพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ที่ร่มไม้ปาแป้งที่ภูเขาหลวง ครั้งนั้น พระยาจันทบุรีพระองค์ได้ทรงทราบความจากหมื่นกลางโรงว่า พระอรหันต์ ๕ องค์กลับจากเมืองราชคฤห์ ได้นำเอาพระบรมธาตุพระพุทธเจ้ามา พระองค์ทรงชื่นชมยินดียิ่งนัก จึงตรัสสั่งอำมาตย์ให้ไปรับ นางอินทสว่างราชเทวีรัตนเกสี พระนางทรงทราบในการบุญ จึงได้เอาทองคำหล่อเป็นรูปสิงห์ ๔ ตัว หนักตัวละ ๑๐,๐๐๐ ตำลึง แล้วพระนางให้นำสิงห์ ๔ ตัวมาตั้งรวมติดกันเข้า หันหน้าออกตัวละทิศ แล้วเอาทองคำ ๒๐,๐๐๐ ตำลึง หล่อเป็นรูปอุโมงค์ประดับด้วยแก้ว ครั้นเสร็จแล้วพระนางจึงให้เอาสิงห์ ๔ ตัวนั้น พร้อมด้วยอุโมงค์ ลงสู่เรือพระที่นั่ง เสด็จยาตราไปสู่ที่ศาลจอดพระสวามี

ขณะนั้น นางทั้ง ๒ จึงมาคอยคารวะไหว้นบอยู่ณที่นั้น พระนางเห็นนางทั้ง ๒ มีพระทัยรักใคร่ยิ่งนัก พระนางจึงพระราชทานเครื่องยศ เป็นต้นว่า ขัน กาทองคำ ม้าวทองคำประดับเพ็ชร ปิ่นเกล้าทองคำประดับเพ็ชร ต่างหูทองคำฝังเพ็ชร พร้อมทั้งพระภูษาทุกสิ่งเสมอกันทั้ง ๒ นาง แล้วพระยาจันทบุรีจึงได้นำอัครมเหษีทั้ง ๓ ไปสู่ภูเขาหลวง เพื่อกระทำสักการบูชา

ขณะนั้น พระอรหันต์ทั้ง ๕ องค์จึงได้พร้อมกันอธิษฐานพระบรมธาตุว่า ผิว่าพระบรมธาตุพระพุทธเจ้าจะประดิษฐานตั้งอยู่ที่ภูเขาหลวงตลอด ๕๐๐๐ พระวรรษา ในฐานันตรอันนี้วิเศษแท้ ขอให้แผ่นดินจงแยกออกเป็นหลุมให้ลึก ๘ วา กว้างด้านละ ๑๐ วา ทั้ง ๔ ด้านเทอญ

ทันใดนั้น แผ่นดินก็แยกออกตามคำอธิษฐานของพระอรหันต์แท้จริง พระยาจันทบุรีทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงตรัสสั่งให้เสนาอำมาตย์ก่อเป็นอุโมงค์หินเรียงกันขึ้น แต่เต้าฝาทั้ง ๔ ด้าน ๆ ละ ๕ วา หนา ๒ วา สูง ๔ วา ๓ ศอก หินที่ก่อนั้นหมด คนทั้งหลายไปเที่ยวหาหินมาได้แห่งมาได้แห่งละเล็กละน้อยไม่พอ

ทันใดนั้น ปัพพารนาค จึงเนรมิตเป็นผ้าขาวถือไม้แทกค่าตัวเมื่อเป็นนาคนั้น มาบอกแก่คนทั้งหลายว่า หินของแกกองไว้เบื้องตะวันตกตรงนั้นมากหลาย ท่านทั้งหลายจงไปเอามาก่อให้แล้วเทอญ คนทั้งหลายว่าไกลหรือใกล้จา ผ้าขาวว่าแทกไปแต่นี้ ๑,๐๐๐ ชั่วไม้อันนี้ คนทั้งหลายว่าไม้แทกยาวนัก เราบ่ไป ผ้าขาวจึงทำให้ไม้นั้นหดลงมาให้ได้เสมอวาด้าม คนทั้งหลายเห็นเป็นอัศจรรย์ด้วยไม้นั้น เขาจึงเข้าไปไหว้พระอรหันต์และกราบทูลพระยาจันทบุรีว่า ผ้าขาวปะไม้อันนั้นไว้ที่หินต่อหน้า

พระอรหันต์จึงบอกแก่คนทั้งหลายว่า นั้นคือปัพพารนาคที่อยู่ใต้พื้นภูเขานี้แหละมาช่วยเรา ท่านทั้งหลายจะหาแผ่นหินได้ง่ายไม่ยากแล้ว คนทั้งหลายผู้ได้แจ้งเหตุนั้นจากพระอรหันต์ จึงเอาไม้วัดแต่ที่นั้นไปได้ ๑,๐๐๐ ชั่วไม้สุด พอพบหิน ๓ ก้อนงามนัก คนทั้งหลายจึงพูดกันว่า ไม่เอา ๆ เราควรเอาไม้วัดไปให้แน่ก่อน พญานาคบอกว่าหินมีมากนัก คนที่วัดและคนที่นับว่าวัดมาได้ ๑,๐๐๐ ชั่วไม้แล้ว ก็ไม่เห็นมีกองหิน ฝ่ายคนหนึ่งจึงว่า ได้เท่าใดก็เอาเท่านั้น อยาให้เสียเวลาที่มา แล้วจึงพากันหามเอาหิน ๓ ก้อนนั้นมา หินซ้ำเกิดขึ้นมาอีกเป็น ๖ ก้อน เขาทั้งหลายจึงพร้อมกันหามเอามาอีก หินนั้นซ้ำเกิดมาอีกเป็นอันมาก ไม่รู้จักหมดจักสิ้น คนทั้งหลายที่ไปเอาหินนั้นจึงพูดกันว่า เราเห็นว่าสำเร็จแน่ เมื่อสำเร็จ เราทั้งหลายจงพร้อมกันสร้างแปลงรูปรอยเท้าพระอรหันต์ปากคี้วเป็นเครื่องหมายไว้ในที่นี้ และจารึกไว้ว่า “บาทลักษณพระอรหันต์พันค่า” แต่นั้นมาคนทั้งหลายได้หินแล้วจึงได้ก่อขึ้นวันละ ๓ คืบ แล้วไปด้วยซะทายลายจีน และมีการมหรสพบูชาทุกวันทุกคืนมิได้ขาดจนสำเร็จ

พระยาจันทบุรีจึงตรัสให้ช่างแผ่แผ่นทองคำ ๓ แผ่น ขนาดกว้าง ๒ วา เป็น ๔ เหลี่ยม ขนาดหนาเท่าใบลาน นางทั้ง ๒ ให้ช่างแผ่แผ่นเงินที่บริสุทธิ์ คนละแผ่น ใหญ่และหนาเท่าแผ่นทองคำ หมื่นกลางโรงให้ช่างแผ่แผ่นเงินแผ่นหนึ่งหนาเท่าแผ่นทองคำ พระยาจันทบุรีจึงตรัสสั่งให้เอาแผ่นเงินทั้ง ๓ นั้น รองพื้น เอาแผ่นทองคำทับลงไปทั้ง ๓ แผ่น แล้วจึงให้เอารูปสิงห์ทองคำเข้าบรรจุตั้งบนแผ่นทองคำ เอาอุโมงค์ทองคำตั้งบนหลังสิงห์นั้นอีกชั้นหนึ่ง แล้วพระองค์จึงเอาเสื้อที่เอกจักขุนาคและกายโลหนาคให้นั้น ถวายบูชาป้องหางสิงห์ไว้ นางอินทสว่างเอาผ้าสะใบขาวขลิบทองคำ ปิ่นทองคำ นางทั้ง ๒ เอาผ้าสะใบเชิงขลิบทองคำ ของเหล่านี้ถวายบูชาป้องหางสิงห์ไว้ พระยาจันทบุรีทอดพระเนตรเห็นนางอินทสว่างเขาปิ่นเกล้าใส่บูชาไว้ด้วย พระองค์ทรงคำนึงถึงเซิดที่สหัสนาคให้ จึงทรงบูชาไว้ในที่นั้นเหมือนกัน

ทันใดนั้น พระอรหันต์จึงนำเอาพระบรมธาตุหัวเหน่า ๒๙ องค์ ถวายพระยาจันทบุรี พระองค์ทรงรับเอาพระบรมธาตุเข้าบรรจุขวดไม้จันทน์ที่สุคันธนาคให้นั้น ๑๐ องค์ ในขวดแก้วผลึกที่ปรสิทธิสักกเทวดาให้นั้น ๑๐ องค์ นางทั้ง ๓ รับเอาพระบรมธาตุที่เหลือนั้น เข้าบรรจุในผะอบทองคำ นางละ ๓ องค์ แล้วนำไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ทองคำที่ตั้งอยู่บนหลังสิงห์นั้น แล้วพระองค์จึงให้ช่างกระทำยนต์ง้าว กวัดแกว่งไว้ในที่นั้นทั้ง ๔ ด้าน จึงกลบดินให้เสมอดังเก่า พระอรหันต์จึงให้คนทั้งหลายเอาหินที่พราหมณ์ฝังไว้แต่ก่อน มาฝังหมายไว้เสมอยอดอุโมงค์ เมื่อเสร็จการบรรจุพระบรมธาตุแล้ว พระองค์ก็เสด็จกลับคืนมาสู่พระนคร

ครั้งนั้น พระรัตนเถระ และจุลรัตนเถระ จึงพร้อมกันนำเอาพระบรมธาตุเขี้ยวฝาง ๔ องค์ มาประดิษฐานไว้ที่ท่าหอแพ ส่วนมหาสุวรรณปาสาทพี่น้องนั้น นำเอาพระบรมธาตุเขี้ยวฝาง ๓ องค์ มาประดิษฐานไว้ที่โพนจิกเวียงงัว ส่วนมหาสังขวิชเถระนั้น นำเอาพระบรมธาตุฝ่าเท้า ๙ องค์ ไปประดิษฐานที่เมืองลาหนองคาย น้าเลี้ยงพ่อนมพร้อมด้วยชาวเมือง สร้างอุโมงค์สำหรับประดิษฐานพระบรมธาตุนั้นใต้พื้นแผ่นดิน ขนาดกว้างด้านละ ๒ วา ๒ ศอก สูง ๓ วา แล้วไปด้วยซะทายลายจีน จึงเอาแผ่นเงินอันบริสุทธิ์รองพื้น แล้วนำเอาพระบรมธาตุเข้าบรรจุในผะอบทองคำ นำไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์นั้น

ครั้งนั้น พระอรหันต์ป่าใต้ป่าเหนือ ก็เข้าสู่นิพพานเรียงวันคืนกัน มหาสังขวิชเถระก็กลับคืนมาหามหาสุวรรณปาสาทพี่น้อง ที่โพนจิกเวียงงัว แล้วพร้อมกันมาหามหารัตนเถระเจ้าพี่น้องที่หอแพ เพื่อจะได้พากันมาคารวะพระอรหันต์ทั้ง ๒ ที่เข้าสู่นิพพานนั้น

พระอรหันต์ทั้ง ๕ มาถึงเสมอหนองแปวเชษฐไชยนาคค่ำพอดี เชษฐไชยนาคจึงเนรมิตหอไชยไว้ ๕ หลัง ให้เป็นที่พักพระอรหันต์ทั้ง ๕ ครั้นรุ่งเช้าจึงได้ออกมาบิณฑบาต ข้ามสะพานเข้าไปในพระราชฐาน พระยาจันทบุรีทรงบาตรแล้วจึงอาราธนาพระอรหันต์ทั้ง ๕ องค์ให้อยู่โปรด มหารัตนเถระพี่น้อง มหาสุวรรณปาสาทพี่น้อง เดินตามริมบึงเลาะเลียบคืนไปหาที่อยู่สบาย ถึงเสมอหาดทรายผ่อหล่ำ ที่นั้นเป็นที่เที่ยวไปมาของเชษฐไชยนาค ๆ เนรมิตเป็นผ้าขาว ถือเผียกไหมขาวฟั่น ๗ เกลียว มาไหว้พระอรหันต์ทั้ง ๔ ว่า ข้าน้อยเอาเผียกอันนี้ วัดแต่ริมน้ำของขึ้นมาสุดเผียกแค่ตัวเมื่อเป็นนาคนั้น ได้ ๓๐ ชั่วเผียกนี้ ที่นั้นเป็นมงคลยิ่งนักแล พระอรหันต์ทั้ง ๔ รู้ว่าเชษฐไชยนาค ก็รับนิมนต์ทั้ง ๒ องค์ คือมหารัตนเถระและจุลรัตนเถระ ให้อยู่ในที่สุดของเผียกที่นั้น เชษฐไชยนาคจึงว่า เจ้ากูอยู่ที่กกเผียกนี้ ๒ องค์เทอญ

แล้วเชษฐไชยนาคจึงเอาเผียกวัดแต่ป่ากกเผียกออกไปนอกทางท้ายหนองคันแทเสื้อน้ำนั้น ได้ ๓๓ ชั่วเผียกเป็นที่สุด และที่นั้นก็เป็นที่เที่ยวไปมาของเชษฐไชยนาค ๆ จึงนิมนต์ให้มหาสุวรรณปาสาทและจุลสุวรรณปาสาทเถระอยู่ในที่นั้น สถานที่นั้นคนทั้งหลายจึงให้ชื่อว่า “ร่องนาคา” และที่ต้นเผียกนั้นให้ชื่อว่า “ป่ากกเผียก”

เชษฐไชยนาคจึงเอาเผียกนั้นมาทบเข้าเป็น ๔ ทบ แล้วตัดออกเป็น ๔ ท่อน เอาถวายมหารัตนพี่น้ององค์ละท่อน เอาถวายมหาสุวรรณปาสาทพี่น้ององค์ละท่อน เสร็จแล้วเชษฐไชยนาคก็กลับไปสู่ที่อยู่แห่งตน

ส่วนมหาสังขวิชเถระนั้น ไปเที่ยวแสวงหาที่อยู่ไปตามริมน้ำห้วยมงคล อินทจักกนาคเนรมิตเป็นผ้าขาวมาปักธงไว้ ที่เสาธงนั้นเขียนบอกไว้ว่า ที่นี้ดีนัก เจ้ากูจงอยู่ที่นี้เทอญ มหาสังขวิชเถระก็รู้ได้ว่าเป็นนาค ก็มีความยินดี จึงกล่าวว่า ที่นี้ชะรอยจะเป็นที่ประเสริฐ พระพุทธศาสนาก็จะตั้งรุ่งเรืองในที่นี้ แล้วก็เข้าสำนักอยู่ในที่นั้น

เมื่อพระอรหันต์ทั้ง ๕ อยู่ในที่นั้น ๆ แล้ว ครั้นรุ่งเช้าจึงเข้าไปบิณฑบาตโปรดพระยาจันทบุรี ๆ พระองค์จึงตรัสสั่งให้เสนาอำมาตย์ไปสร้างวิหารให้พระอรหันต์ทั้ง ๕ อยู่ในที่นั้น ๆ องค์ละหลัง ครั้งนั้นเป็นฤดูกาลเข้าพรรษา ครั้นถึงวันขึ้น ๗, ๘ ค่ำ ๑๔, ๑๕ ค่ำ หรือแรม ๗, ๘ ค่ำ ๑๔, ๑๕ ค่ำ พระอรหันต์ทั้ง ๕ จึงพร้อมกันไปสู่วัดสวนอ้วยล้วย สั่งสอนพระภิกษุสงฆ์ในวัดนั้นทุกวันมิได้ขาด พระยาจันทบุรี พระองค์นำเอาธาตุพระอรหันต์ป่าใต้ป่าเหนือทั้ง ๒ ที่นิพพานไปแล้ว ฐปนาไว้กับที่นั้น

ครั้นออกพรรษาแล้ว พระอรหันต์ทั้ง ๕ จึงหนีออกไปอยู่ป่าโพน ภายนอกที่ปากห้วยบางพวน ๔ องค์ มีมหารัตนเถระเป็นประธาน ส่วนมหาสังขวิชเถระนั้น อยู่ที่ปากห้วยบางพวนก้ำใต้ พอเวลาใกล้รุ่งปัพพารนาคเอาผ้าสาฎกผืนหนึ่ง ยาว ๑๐ วา มาถวายพระสังขวิชเถระ น้าเลี้ยงพ่อนมจึงนำเอาผ้านั้นมาตัดเป็นพระยาผ้า หมดทั้ง ๑๐ วา ผ้านั้นก็เกิดเพิ่มขึ้นมาตามจำนวน น้าเลี้ยงพ่อนมก็เอาผ้าที่เกิดใหม่นั้นมาตัดเป็นพระยาผ้า จนครบทั้ง ๕ ผืน เมื่อครบจำนวนแล้ว ผ้านั้นก็หาบังเกิดขึ้นอีกไม่

และผ้าผืนที่หนึ่งนั้นนำเอาไปถวายมหารัตนเถระ ผืนที่ ๒ ถวายจุลรัตนเถระ ผืนที่ ๓ ถวายมหาสุวรรณปาสาท ผืนที่ ๔ ถวายจุลสุวรรณปาสาท พื้นที่ ๕ ถวายมหาสังขวิชเถระ ๆ ได้ทรงผ้าแล้วก็มารวมกันอยู่ที่ป่าโพนภายนอก คืนนั้นมีความสุขยิ่งนัก ด้วยเหตุที่ได้ทรงผ้าที่ปัพพารนาคถวาย

ครั้งนั้น พระอรหันต์ทั้ง ๕ ซาบซึ้งในคาถา ๔ บท ซึ่งพระมหากัสสปเถระเจ้าแสดงไว้แต่ชาติป่างก่อนนั้นว่า “คจฺฉนฺติ นรคจฺฉนฺติ” อธิบายว่า ผู้ประเสริฐเทียวทางมาพบกันเข้า ก็ซ้ำยิ่งประเสริฐกว่าเก่า ได้แก่มหารัตนพี่น้อง เมื่อครั้งเป็นพระยาสุวรรณภิงคาร และพระยาคำแดง ตามปัญหาเทียบว่า เขือไป “โก เว นรโก เว” ผู้ฉลาดต่อผู้ฉลาดมาพบกันเข้า ก็ยิ่งซ้ำฉลาดยิ่งกว่าเก่า ได้แก่มหาสุวรรณปาสาทพี่น้อง เมื่อครั้งเป็นพระยาจุลณีพรหมทัต และพระยาอินทปัฐนคร ตามปัญหาเทียบมาว่า ขามา “เยฺยา นรเยฺยา” ผู้รู้ต่อผู้รู้มาพบกันเข้า ก็ซ้ำรู้ยิ่งกว่าเก่า ได้แก่มหาสังขวิชเถระเมื่อเป็นพระยานันทเสน ได้มาพบกับพระยาติโคตรบูร ที่เมืองร้อยเอ็จประตู ซ้ำมาพบกันในชาตินี้ ปัญหาเทียบว่า ขาไป “สากนติ นรสากนติ” ได้แก่ พระยาติโคตรบูรและนางรัตนเกสี พระยาจันทบุรีกับนางอินทสว่างลงฮอด เคยเป็นสามีภรรยากันมาแล้วแต่ชาติก่อน เมื่อเทียวทางมาพบกันเข้า ก็ย่อมได้เป็นสามีภรรยากันโดยไม่ต้องสงสัย ตรงตามปัญหาเทียบว่าเขือมานั้นแล

ครั้งนั้น พระอรหันต์เจ้าทั้ง ๒ ป่าเหนือป่าใต้ รู้แจ้งในปุพเพสันนิวาสญาณของพระยาจันทบุรีและพระราชเทวีว่าเคยร่วมกันมาแต่ชาติก่อน พาดพิงไปถึงพระยาสุมิตตธรรมเมืองมรุกขนคร เพื่อได้ฐปนาพระอุรังคธาตุพระพุทธเจ้าที่ภูกำพร้า

  1. ๑. “ไม้แทกค่าตัว” ไม้วัดแค่ตัว

  2. ๒. “หด” ในที่นี้ ทำให้สั้น หรือย่น

  3. ๓. “วาด้าม” หมายความว่า วาอก

  4. ๔. “ปะ” ละทิ้ง

  5. ๕. “ปากคี้ว” พูดจาแน่นอน, พูดถูกต้อง

  6. ๖. “ป้อง” กัน, รอง

  7. ๗. “แปว” ปล่อง

  8. ๘. “เผียก” เชือก สำหรับวัด, กระแส

  9. ๙. “พระยาผ้า” ในที่นี้หมายถึง ผ้าสำคัญในประเภทผ้าครอง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ