๔
อยู่มากาลวันหนึ่ง เป็นฤดูหนาว บุรีจันออกไปจำศีลเวนข้าวและให้อัคคิทาน ตรวจน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้พญานาคและเทวดา ครั้นถึงเวลาเย็นก็เข้าไปนอนในปราสาท พอเวลาจะใกล้รุ่งพญานาคเนรมิตเป็นมนุษย์นุ่งขาวห่มขาว นำเอาแก้ว ๗ ประการ ใส่พานทองแล้วใส่ถุงแพรขาว พร้อมด้วยรูปกงจิตรแก้วและรูปท้าวรูปนาง กับทั้งพานดอกไม้ธูปเทียนคุกเข่าเข้ามาให้
ส่วนรูปจิตร์แก้วนั้นแล้วไปด้วยทองคำ รูปท้าวรูปนางนั้นแล้วไปด้วยเงินเรียง ผ้าขาวจึงบอกกับเจ้าบุรีจันว่า เจ้าได้นางอินทสว่างลงฮอด ซึ่งท้าวคำบางและนางคำบางผู้เป็นบิดามารดา ท่านมีความปรารถนาจะนำไปถวายให้เป็นมเหษี พระยาสุมิตตวงศามรุกขนครอย่าได้โทษแก่พญานาคกับทั้งเทวดาที่ยินดีกับด้วยบุรีจัน ๆ ท่านจงเอาถุงจิตร์แก้วอันนี้ไปคารวะ พระยาสุมิตตวงศานั้นเทอญ บุรีจันคิดถึงความหลังของตนจึงรับว่า สาธุ สาธุ พญานาคซ้ำให้ทองคำ ๑,๐๐๐ ตำลึง แล้วก็อันตรธานหายไป
เมื่อบุรีจันกลับมาจากจำศีลไปสู่พระราชฐานแล้ว จึงตกแต่งเครื่องบรรณาการ พร้อมทั้งข้าวของอันพญานาคนำมาให้นั้น ให้หมื่นสาร หมื่นนาใต้ หมื่นนาเหนือ หมื่นสองเมือง หมื่นเชียงชูและพันนาเมือง นำไปถวายพระยาสุมิตตวงศามรุกขนคร เมื่อพระองค์ทรงแล้วยังเครื่องบรรณาการ ขณะนั้นปราสาทหลังหนึ่งก็บุ๑จากพื้นดินขึ้นมา พร้อมทั้งพระราชโรงหลวงหลังหนึ่งกว้าง ๑๙ ห้องล้วนแล้วด้วยทองคำ ประดับประดาไปด้วยแก้ว มีทั้งพระราชอุทยาน ประกอบไปด้วยพืชผล เป็นต้นว่าข้าวโพด, สาลี, พร้าว, ตาล, หวาน, ส้ม, กล้วย, อ้อย, หมาก, พลู, ถึงแม้ว่าพืชข้าวกล้าก็บังเกิดมีขึ้น ในพระราชอุทยานนั้นทุกประการ
อันนี้ก็ด้วยอานิสงส์ผล ที่พระองค์ได้ใส่บาตรพระศาสดา เมื่อครั้งเป็นพระยาติโคตรบูรครั้งโน้น ความอันนี้ก็ลือชาปรากฏไปถึงท้าวพระยาร้อยเอ็จพระนคร ๆ มีความชื่นชมยินดี และมีความปรารถนาจะใคร่เห็นอันนี้ก็ด้วยอานิสงส์ ที่ได้อุ้มบาตรไปส่งพระศาสดาดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น
ครั้งนั้นพระยาร้อยเอ็จพระนคร จึงพร้อมกันนำราชธิดาเมืองละองค์พร้อมทั้งบริวารนางละ ๕๐๐ คน ช้างพลาย ๑๐ เชือก ช้างพัง ๑๐ เชือก ม้า ๑๐ ม้า พร้อมทั้งควาญและนายม้า กับทั้งทองคำอีกเมืองละ ๑๐๐,๐๐๐ ตำลึง เป็นเครื่องราชบรรณาการนำเข้ามาถวาย แล้วพร้อมกันราชาภิเษกขึ้นเป็นพระยาสุมิตตธรรมิกราชาธิราชเอกราชมรุกขนคร ครั้นเสร็จการราชพิธีแล้ว พระยาร้อยเอ็จพระนครจึงพร้อมกันกลับไปสู่พระนครของตน ๆ
ครั้นถึงฤดูกาลออกพรรษาสังขารปีใหม่ พระยาร้อยเอ็จพระนคร จึงแต่งให้อำมาตย์ทูลพระราชสาส์นพร้อมทั้งเครื่องราชบรรณาการดอกไม้เงินทอง เข้ามาถวายพระยาสุมิตตวงศาธรรมิกราชาธิราชเอกราช
ครั้งนั้นพระยาสุมิตตวงศาพระองค์พระราชทานคนใช้แก่อำมาตย์บุรีจัน มีหมื่นจรศเป็นต้น กับทั้งทองคำอีกหนัก ๑,๐๐๐ ตำลึง และเสื้อผ้าให้ครบถ้วนทุกคน แล้วพระองค์ทรงจัดนาง ๒ นางไปประทานบุรีจัน นางหนึ่งชื่อมงคลกตัญญู เป็นเชื้อวงศ์ชาวจุลณี อีกนางหนึ่งชื่อมังคลทปาลัง เป็นเชื้อวงศ์ชาวราชคฤห์ พร้อมด้วยข้าทาษบริวารนางละ ๕๐๐ คน ช้างพัง ๒๐ เชือก ช้างพลาย ๒๐ เชือก ม้า ๒๐ ม้า พร้อมทั้งควาญและนายม้า เงิน ๑๐,๐๐๐ ตำลึง ทอง ๑๐,๐๐๐ ตำลึง เสื้อผ้าสิ่งละ ๑๐,๐๐๐ พร้อมทั้งเครื่องปัญจราชกกุธภัณฑ์ มอบให้พราหมณ์ทั้ง ๕ ที่รู้จบไตรเพทเป็นหัวหน้า มีมังคลพราหมณ์หนึ่ง จุลมังคลพราหมณ์หนึ่ง ไชยพราหมณ์หนึ่ง สิทธิพราหมณ์หนึ่ง จิตตวัฒนพราหมณ์หนึ่ง ทั้ง ๕ นี้ให้น้อมนำไปราชาภิเษกบุรีจัน ครั้นถึงวันมหาพิไชยฤกษ์อันดี จึงตรัสสั่งให้ออกเรือขึ้นมาสู่เมืองบุรีจัน
ครั้นมาถึงแล้ว พราหมณ์ทั้ง ๕ จึงให้จอดเรือที่ท่าหอแพ หมื่นกลางโรงจึงไปบอกหมื่นนันทอาราม น้าเลี้ยงพ่อนมให้มาพร้อมกัน แล้วสร้างแปงราชสำนักที่พักที่อาศัยขึ้น ๒ หลัง พร้อมทั้งหอขวางหลังหนึ่งให้นางทั้ง ๒ อยู่ และสร้างขึ้นสำหรับเก็บข้าวของหลังหนึ่ง สำหรับให้พราหมณ์ทั้ง ๕ อยู่อีก ๒ หลัง ถ้อยคำอันนี้จึงได้ลือชาปรากฏไปว่า “หอผา ท่าแขก พราหมณ์มา”
พระยาสุมิตตธรรมเจ้า พระองค์จึงให้หมื่นนันทะผู้เป็นปราชญ์ มาบอกเขตต์แดนเมืองให้ แต่ปากสดิง๒มาโดยลำดับ คนทั้งหลายที่แตกตื่นอพยพหนีมาแต่เมืองร้อยเอ็จประตูครั้งนั้น ก็ขึ้นมากับด้วยหมื่นนันทะกลางโรงผู้เป็นปราชญ์นั้น มีหมื่นหลวงกลางเมืองเป็นต้น และหมื่นรามเมือง หมื่นประชุมนุมเมือง หมื่นพระน้ำรุ่ง หมื่นเชียงสา ครั้นมาถึงราชสำนักแล้วก็ตั้งพักอยู่ณที่นั้น
ครั้งนั้นหมื่นแก่มาตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำของแต่ปากห้วยคุคำไปเหนือ คนทั้งหลายจึงชุมนุมพูดจากัน นางทั้ง ๒ จึงว่า “เขตต์แดนอย่าฟ้าวให้เราไซร้” พันแก่ได้ยินดังนั้นจึงนำความไปบอกแก่พราหมณ์ทั้ง ๕ ๆ จึงนำเครื่องกกุธภัณฑ์พร้อมทั้งเครื่องบรรณาการนั้น ๆ ไปราชาภิเษกบุรีจัน
ครั้งนั้นบุรีจันจึงแต่งอำมาตย์ออกไปรับพราหมณ์เข้ามา เมื่อเสร็จการพิธีราชาภิเษกแล้ว พราหมณ์ทั้ง ๕ จึงทูลบุรีจันว่า บัดนี้พระยาสุมิตตธรรมพระองค์มีอาชญาให้ข้าพเจ้าทั้งหลายนำนางทั้ง ๒ มาถวาย พร้อมทั้งเขตต์แดนบ้านเมือง ขอให้พระองค์ไปรับเอา พระยาสุมิตตธรรมพระองค์เป็นใหญ่กว่าท้าวพระยาในชมพูทวีป ๆ เทียรย่อมนำเอาราชธิดามาถวาย ผิว่าพระองค์จะเอานางทั้ง ๒ นี้มาพร้อมณบัดนี้ ก็เหมือนดังพระองค์เป็นผู้น้อยและมีอำนาจอ่อนกว่าบุรีจัน อนึ่งก็ยังไป่ได้ราชาภิเษก ถึงแม้ราชาภิเษกแล้วก็ไป่ควร นางทั้ง ๒ นี้ก็เปนเชื้อวงศ์ใหญ่โต
คำอันนี้อำมาตย์ทั้งหลาย มีหมื่นกลางเมืองหนึ่ง หมื่นรามเมืองหนึ่ง หมื่นประชุมนุมเมืองหนึ่ง หมื่นพระน้ำรุ่งหนึ่ง หมื่นเชียงสาหนึ่ง หมื่นแก่หนึ่ง หมื่นกลางโรงหนึ่ง หมื่นนันทอารามหนึ่ง น้าเลี้ยงพ่อนมเขาทั้งหลายเหล่านี้ มีความวิตกตามปัญญาอันส่องแจ้ง ในธรรมอันเลิกแลบ๓ ความจริงนั้นพระยาสุมิตตธรรมพระองค์ก็มิได้อาณัติ แต่หากว่าเขาทั้งหลายมีความวิตก จึงมิได้ให้พราหมณ์นำนางทั้ง ๒ มา พระองค์มีธรรมจินดารำพึงถึงคลองสาธุนรธรรมกตัญญู และในปุตตภริยบริจาคแท้จริง ที่พระองค์ให้ชื่อนางที่นำมาถวายนั้น มีชื่อว่า “มังคลกตัญญูหนึ่ง” “มังคลทปาลังหนึ่ง” นั้นเป็นปัญหาคุณตอบแทนแก้วเพื่ออภัยโทษ ที่บุรีจันได้พาเอานางอินทสว่างลงฮอดมาเป็นกรรยา
อีกอย่างหนึ่งพระองค์ชอบให้เป็นมงคลแก่บุรีจัน เพื่อจะได้ค้ำชูพระพุทธศาสนาไปภายหน้า เหตุนี้พันแก่จึงได้นำข่าวสาส์นนั้น ๆ ขึ้นมาทูลปฏิบัติให้บุรีจัน ๆ คิดถึงในถ้อยคำนั้น ๆ จึงได้แต่งเรือให้ไปรับเอาพราหมณ์ขึ้นมา เมื่อพราหมณ์ทั้ง ๕ มาถึงแล้ว จึงได้นำเครื่องบรรณาการพร้อมพระราชสาร เข้าไปถวายบุรีจัน ๆ ก็กระทำการเคารพในพระราชสาร ขณะนั้นพราหมณ์ทั้ง ๕ จึงได้พิจารณาดูลักษณะของบุรีจัน ตามคัมภีร์เพทที่ตนได้เล่าเรียนมานั้น จึงเห็นได้ว่าเป็นโพธิสัตว์ที่ได้รับลัทธพยากรณ์มาแล้ว ทันใดนั้นพราหมณ์ทั้ง ๕ จึงได้ดูนามและโคตรของบุรีจัน ก็รู้ได้ว่าเป็นตระกูลพ่อนา พระอรหันต์จึงได้ให้ชื่อว่า “บุรีอ้วยล้วย”
แล้วพราหมณ์ทั้ง ๕ จึงพร้อมกันถวายโฉลกโคลงไว้คนละบท มังคลพราหมณ์ผู้ใหญ่กว่าพราหมณ์ทั้ง ๔ จึงกล่าวว่า ผู้มีบุญอรหันตาจึงให้ชื่อ รีพำบารมีธรรมถ้วนแล้ว อวยจันทนาคเทวดาผายโผดลวยรูปลุลาภได้อินทสว่างโสรจ เสวยราชควรแลนา
จุลมังคลพราหมณ์จึงกล่าวโฉลกโคลงปฏิโลมว่า ลวยตมตูปกระทำนำให้เป็นเหตุ อวยโพเสียเพศร้ายวิปาโก ปูมใหญ่รีบ่ใช่โยโสสามานย์ ท่านพึ่งบุญบุรพชาติเชื้อ แหม่นบาทโพธิญาณแลนา
แล้วพราหมณ์ทั้ง ๕ จึงพิจารณาดูลักษณะของนางอินทสว่างลงฮอด เห็นว่านางนี้ถูกต้องตามอิตถีลักษณะ เป็นเมียบุราณทุติยิกา บุรีจันจึงได้เป็นผัว ไชยพราหมณ์จึงได้กล่าวโฉลกโคลงว่า นางนารีปัญจกัลยาณีพร่ำพร้อม มีศรีอินทรสักกะปราณีทรงธรรมทอดไว้ ธเทวินทร์แต่งนำแนมให้บุรีจันเป็นใหญ่ส่างกระสัน ให้หายโภยภัยจริงแลนา
สิทธิพราหมณ์จึงกล่าวปฏิโลมว่า สว่างสนิทนิทแหน่งเนื้อนอนเนือง ทรงโฉลกธจึงแถลงภายโยค ให้เอาบุรีจันเป็นใหญ่ อินทรกร่างเกราแสรงเพศ เหตุแค้นคำเคือง นางนารีบุญเปืองลาภล้น เลยเรื่อเรืองงามแลนา
ทันใดนั้น จิตตวัฒนพราหมณ์ จึงเอาชื่อบุรีจันอ้วยล้วยและนางอินทสว่างลงฮอดนั้น มาเข้าประสมกันเป็น ๘ บทได้ ๒ โฉลก อธิบายดังนี้ “บุ, นาง, รี, อินทร์,” ๔ บท และ อวย, ธ, ลวย, สว่าง” ๔ บท ปุบขึ้นแหม่นผัวบุราณก่อน นางลุได้ทัวระการพ้นโลก รีชะอินทรสมภารมีบ่ห่อนเปล่า อินทร์วางให้บริโภค ทรงโฉมจริงแลนา อวยลวดให้คันธรสฟุ้งซ่าน ธทรงทอดเนื้อมรโฉมสายสะอาด ลวยลวดใค้ ลวดใค้ลือชา ทั้งเมืองสว่างแสลงเบื้อง ยอเมืองมอบให้จริงแล
เมื่อพราหมณ์ทั้ง ๕ พิจารณารำพึงถึงพระยาสุมิตตธรรมเจ้าและบุรีจัน เปรียบเทียบกันดู จึงกล่าวเป็นโฉลกว่า สุ, มิต, ต, ธรรม, เอาวาทะ ๔ ตัวนี้ มังคลพราหมณ์อ่านเป็นโฉลกว่า “สุใจจงสว่างแจ้งโพธิญาณ มิตตทรงธรรมสมภารเสมอภาค ตติยชาติเชื้อสืบสร้างศาสนา ธรรมราชาอาชาไนยจิตต์คิดขอดจริงแล”
จุลมังคลพราหมณ์ จึงกล่าวเป็นคำโฉลกว่า “ธรรมราชาชาติเชื้อโคดม ตติยทัวระเทียวสมภารสืบสร้าง มิทธิไป่ได้ม้างเมือฟ้าห้าพันวัสสา ยังสุดเสี้ยงแล้วเมือฟ้าพร้อมเมตไตรยลงแลนา
ขณะนั้นไชยพราหมณ์ จึงมารำพึงถึงนางเทวีแก้ว จึงกล่าวเป็นโฉลกว่า “นางนารีพร่ำพร้อมอัธยาศัย ธทรงกรรมเป็นปัจจัยตกแต่ง วีให้เย็นแอ้งแม่งบ่อร้อนแก่หัวใจ แก้วเกิดเป็นมัทรีแทบเท่านีรพานจริงแลนา
สิทธิพราหมณ์กล่าวโฉลกปฏิโลมว่า “แก้วเกิดเป็นเมียแก้ว ใจผัวแผ้วในการบุญ มีคำรักชื่นช้อย วีวอนขึ้นเวหาปอมเมฆ ได้เป็นเอกภริยา เทพดาให้ลักขณะแวนยิ่ง นางนรทัพพาทรงแท่น แล้วจึงได้ชื่อว่าเทวีแก้วจริงแท้บ่สงสัยแลนา”
จิตตวัฒนพราหมณ์จึงกล่าวเป็นโฉลกว่า สุ, นาง, มิต, เท, เข้ากันเป็น ๔ บท ต, วี, ธรรม, แก้ว, เป็น ๔ บท จึงกล่าวเป็นโฉลกว่า “สุจิตตเสียวสวาสดิแจ้งในบุรพ นางคูนค้ำให้ทรงธรรมทานแจก มิตตจึงยกแยกขึ้นทูนทั่วสีสัง เททอดให้พุทธสงฆ์ชั่วเขตต์นิพพานแลนา ตะตัปปังจักให้แพ้ยังตัณหา วิวาจากรรมฐานังบ่ห่อนเคียดเดียดแก่ใจ ธรรมาเป็นอุปนิสสัยสังเขต แก้วอันให้แล้วเหตุนิพพานจริงแล
เมื่อพราหมณ์ทั้ง ๕ กล่าวโฉลกเสร็จแล้ว จึงถามหาน้ำมงคล เพื่อจักนำเอามาราชาภิเษกบุรีจัน คนทั้งหลายจึงไปเอาน้ำแม่ของและน้ำบ่อและน้ำสระพัง ที่ว่าเป็นมงคลนั้นมาให้ พราหมณ์ทั้งหลายไป่เอา ให้คนทั้งหลายไปหาน้ำมงคลที่พญานาคได้กระทำไว้นั้นจึงจะเอา คนทั้งหลายบอกว่าไม่มี จะสระสรงมหากษัตริย์ก็เทียรย่อมเอาน้ำแม่ของน้ำบ่อและน้ำสระพัง ที่เป็นมงคลควรเอาหากเป็นจารีตน้ำที่พญานาคให้บ่ห่อนมีสักเทื่อ๔
แม่น้ำใหญ่และแม่น้ำน้อยทั้งหลายที่ใดก็ดี หลางมีอยู่ทุกแห่ง แม้ไม่ได้ก็เอามาหดสรง พราหมณ์ทั้งหลายจึงว่า ที่จะเอามาสระสรงราชาภิเษกให้เป็นท้าวพระยาตามประเพณีวงศานั้น น้ำที่จะนำเอามานั้นก็ควร แต่ส่วนเจ้าบุรีจันนี้คือหน่อพุทธังกูร ได้มาเกิดในตระกูลพ่อไร่พ่อนา เราทั้งหลายอยากจะได้น้ำมงคล ที่พญานาคเนรมิตไว้นั้นมาสระสรง จะล้างเสียยังกลิ่นไอ เพื่อให้ประเสริฐในภายหน้าตามอุปเทศด้วยเหตุนี้ ชาติพราหมณ์ทั้งหลายนี้ เทียรย่อมรู้จบแล้วยังคัมภีร์ลักษณะทั้งมวล ฉะนี้จึงรู้ว่า เจ้าบุรีจันนี้เป็นหน่อพุทธังกูร คนทั้งหลายจึงกล่าวกับพราหมณ์ว่า หน่อพุทธังกูรนี้ เทียรย่อมเกิดขัติยตระกูลและพราหมณ์ตระกูลดอกหนา
พราหมณ์ทั้ง ๕ ได้ยินดังนั้น จึงนำเอามายังปัญหาโคลงมากล่าวให้คนทั้งหลายฟังว่า ยังมีสระน้ำอันหนึ่ง เปิดน้ำออกเสียให้แห้ง ครั้นถึงฤดูกาลฝนตก น้ำเข้ามาขังอยู่ในสระนั้น บัวนั้นก็บังเกิดขึ้น มีดอกอันสวยงามด้วยเหตุใด คนทั้งหลายจึงตอบว่าบัวที่เกิดขึ้นในสระที่นั้น ก็ด้วยเหตุแห่งน้ำ พราหมณ์จึงถามว่า เหตุไรดอกบัวจึงเกิดด้วยน้ำนั้นเล่า คนทั้งหลายจึงตอบว่าน้ำอาศัยตม ๆ อาศัยซึ่งน้ำ สังโยคกันเข้าแล้ว บัวจึงได้เกิดมีดอกออกมา พราหมณ์จึงกล่าวว่า ตมและน้ำนั้นมีคนธรสหรือไม่มีเล่า คนทั้งหลายจึงตอบว่าตมและน้ำนั้นไม่มีคันธรสอะไร มีคันธรสแต่ดอกบัวเท่านั้นแหละ
พราหมณ์ทั้ง ๕ นั้นจึงกล่าวว่า ตมและน้ำนั้น เป็นประดุจดังบิดาและมารดาของเจ้าบุรีจันซึ่งเกิดในตระกูลพ่อไร่พ่อนานั่นแหละ ชาติที่อันบุคคลผู้ประเสริฐแล้ว แม้จะเกิดในที่ใด ๆ ก็ตาม ที่เกิดนั้นแลเป็นที่ประเสริฐ แก้วลูกประเสริฐก็เทียรย่อมเกิดแต่หิน ม้าอาชาไนยนั้นก็เทียรย่อมเกิดแต่ลา เมื่อบุคคลเกิดมาในตระกูล ๒ ตระกูล คือขัติยตระกูล และพราหมณตระกูลนั้น จะถือว่าเป็นเนื้อหน่อพุทธังกูรไปทั้งสิ้นนั้นก็หามิได้
ถ้าอยากจะรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่นั้น พราหมณ์ทั้งหลายที่รู้จบไตรเพททั้ง ๓ เขาจึงได้แกวดกฎหมายไว้ให้บุคคลทั้งหลายแจ้งว่า บุคคลที่เกิดในตระกูลทั้ง ๒ ตระกูลดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ตามที่เขาได้รู้มาแล้วว่า ต้องเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในการกุศล เป็นต้นว่าให้ทานรักษาศีลและปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้นแหละ จึงจะได้สมความประสงค์ เรื่องนี้ถ้าอยากจะรู้ให้แจ้งก็มีอยู่ในสูตร์และนิยายต่าง ๆ ให้ไปดูเอาเทอญ
ใครท่านว่าใช่หน่อพุทธพงศ์ ก็ควรเชื่อได้ในคัมภีร์นรลักษณ์มหาบุรุษ เป็นต้นว่า “นาติ ทีฆงฺ นาติ รสฺสงฺ นาติ กณฺหงฺ นาติ โจทาตงฺ นาติ ถุนาติ กึสงฺ” อธิบายความว่า “สูงบ่สูงพ้นประมาณ ต่ำบ่ต่ำพ้นประมาณ ดำบ่ดำพ้นประมาณ ขาวบ่ขาวพ้นประมาณ พีบ่พี๕พ้นประมาณ ผอมบ่ผอมพ้นประมาณ” ลักษณะที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ได้แก่ลักษณะของบุรีจัน ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้น ถ้าอยากจะรู้ให้แจ้งให้ไปดูในคัมภีร์ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น
พราหมณ์ทั้งหลาย เท่ารู้แต่มหาปุริสลักขณชาติอันเดียว บ่รู้ว่าบุคคลผู้เป็นลักษณะสิ่งนี้ ได้กตาธิการกุศลสิ่งนี้สิ่งนั้นจึงได้ลักษณะอย่างนี้ อย่างนี้ไป่รู้ ที่จะรู้ได้นั้นมีแต่พระศาสดาองค์เดียวเท่านั้นที่จะรู้ ในที่สุดบุรีจัน มีลักษณะถูกต้องตามคัมภีร์มหาปุริสลักษณะแท้ทีเดียว
ขณะนั้นเป็นเวลาจวนค่ำ พราหมณ์ทั้งหลายจึงพร้อมกันมาพักนอนอยู่ในหอหลวง ในคืนนั้นพอเวลาจะใกล้รุ่ง เทวดาอินทสิริเจียมบาง จึงนำเอาหลาบคำ๖ ๒ หลาบ ๆ หนึ่งเปล่า อีกหลายหนึ่งนั้น จารึกอักษรไว้ในที่นั้น แล้วนำมาใส่ไว้ในถุงหมากของมังคลพราหมณ์ และในคืนนั้นพราหมณ์ทั้ง ๕ ฝันเห็นเทวดาผู้ชาย ๕ ตน กับนางเทวดาอีกตนหนึ่ง พญานาค ๙ ตัว มาบอกว่า หลาบคำที่เปล่านั้นให้พราหมณ์ทั้ง ๕ ปงราชนามบุรีจันเทอญ
ถ้าท่านทั้ง ๕ อยากรู้แจ้งในธรรมวงศาโคตร ที่รักษาอยู่ในขันธสันดานบุรีจัน และเมืองนี้จะตั้งอยู่นานเท่าใด ให้ดูในหลาบคำนั้นเทอญ
ครั้นรุ่งสว่างมา พราหมณ์ทั้ง ๕ ตื่นจากที่ ออกมาล้างหน้าแล้วก็กลับเข้าไปประชุมแก้ฝันให้กันฟัง ในคำฝันนั้นก็ตรงกันทุกประการ แล้วพราหมณ์ทั้ง ๔ ก็ลามังคลพราหมณ์ไป ทันใดนั้นมังคลพราหมณ์จึงแก้ถุงหมากออกเพื่อจะกินหมาก จึงได้เห็นหลาบคำทั้ง ๒ จึงอ่านดูในหลาบนั้นรู้เรื่องตลอดแล้ว จึงออกไปตามพราหมณ์ทั้ง ๔ นั้นเข้ามาในที่สงัด แล้วจึงเอาหลาบนั้นให้ไชยพราหมณ์อ่าน และจารึกในหลาบคำนั้นว่า อินทสิริเจียมบางผู้รักษา “ส่างสอง หนองสาม ล่ามสี่ ศรีห้า”
“เทวตา สฎฺฐ นวนาคา อินฺทสิริ มาตา ปรสิทฺธิสกฺก เทวปิตา รัตนเกสีภาตา อินฺทผยอง สขา สราสนิท ปุตโต มจฺฉนารี ภริยา ปริคณทสฺส ขนฺธสนฺตาเน ติฏฺฐิติ กายโลหนาโค เอกจกฺขุ สุคนฺโธ อินฺทจกฺโก นาควินิจฉยฺโย เสฎฺฐเชยฺยนาโค สหสฺสพโล สิทฺธิ โภโค คนฺธพฺพ สิริวฑฺฒโน นาโค รกฺขติ นครํ ปุรีจนฺทสฺสฏฺฐิโตทติ” พราหมณ์ทั้ง ๕ แปลได้ความว่า คำฝันนี้เป็นอัศจรรย์ เทวดาเอามาให้พราหมณ์ทั้ง ๕ เพื่อให้นำไปเฝ้าบุรีจัน จึงพร้อมกันดูลักษณะธรรมวงศาโคตร เห็นธรรม ๖ ตัวตั้งอยู่ในสันดาน
จึงกล่าว “ธรรมสังฆาโคตรบุรีจันให้แจ้งแก่คนทั้งหลาย มีท้าวคำบางและมเหษีเป็นต้น “ว่าศีลที่เจ้าบุรีจันได้รักษานั้น เป็นประดุจดังแม่เทวดา อินทสิริจึงได้รักษาเพื่อเหตุนั้น ที่เจ้าบุรีจันเรียนเอาศิลปที่ดีในสำนักพระอรหันต์ เพิ่มเติมศิลปเดิมที่มีอยู่นั้น เทวดาปะระสิทธิสักกเทวะเป็นพ่อรักษา มีใจอันขาวผ่องในกุศลธรรม เทวดารัตนเกสีเป็นพี่ชายรักษา มีใจเมตตากรุณาแก่คนทั้งหลายนั้น เทวดาอินทผยองเป็นสหายรักษา มีใจอันอดทนนั้น เทวดาสราสนิทเป็นลูกชายรักษา มีใจอันเลื่อมใสในการบริจาคทานนั้น นางเทวดามัจฉนารีเป็นเมียบุรีจันรักษา เพื่อเหตุนี้แหละพราหมณ์ทั้ง ๕ เห็นพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ตั้งอยู่ในขันธสันดานบุรีจัน
และที่มีใจรู้ในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้านั้น นาคทั้ง ๔ ตัวเป็นผู้รักษา มีกายโลหะเป็นต้น และเป็นผู้วินิจฉัยพิจารณาคุณและโทษ นาค ๕ ตัวที่รักษาศรีเมืองนั้น มีเสฎฐไชยนาคเป็นต้น และเป็นใหญ่รักษาบ้านเมืองให้มั่นคงเป็นศรีเมือง
ท้าวพระยาองค์ใดไป่มีธรรม ๖ ตัว อยู่ในขันธสันดานและไป่รู้คุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ถึงจะมีเชื้อชาติวงศานับหมื่นนับแสน ก็ได้ชื่อว่าหาวงศาเชื้อโคตร์บ่มิได้ เหตุพระพุทธเจ้าทรงเทศนาไว้ว่า คนทั้งหลายที่ประเสริฐในโลกนี้ มี ๒ คนคือ “ปุญฺญวา ผู้มีบุญหนึ่ง” “ปญฺญวา ผู้มีปัญญาหนึ่ง” ๒ คนนี้พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่าเป็นผู้มีบุญและมีปัญญารู้ธรรมอันประเสริฐ บุญในที่นี้ บุรีจันถูก “เสฏฐรา”
ครั้งนั้น คนทั้งหลายได้ยินคำพราหมณ์ทั้งหลายกล่าวลักษณะในตน และนอกตนของบุรีจัน ว่าเป็นหน่อพุทธังกูรดังนั้น ก็มีความชื่นชมยินดีให้เสียงสาธุการยิ่งนัก แล้วพราหมณ์ทั้ง ๕ จึงให้เชื้อสายฝ่ายบิดาบุรีจัน เอาไม้มะเดื่อมากระทำเตียง และให้เชื้อสายฝ่ายมารดานางอินทสว่างลงฮอด เอาไม้ตาลมากระทำเป็นลินสรง พราหมณ์ทั้ง ๕ ก็สาธยายตามเพทที่ตนได้เรียนจบมาแล้ว ไชยพราหมณ์จึงนำบุคคลที่เป็นเชื้อวงศ์ท้าวคำบาง และเชื่อวงศ์ฝ่ายมารดาบุรีจัน ไปประทักษิณหาน้ำมงคล
ไชยพราหมณ์ออกจากเวียงไม้จันทน์ไป เป็นระยะทาง ๓,๐๐๐๗ ทั้ง ๔ ด้าน จึงไปพบกงจิตร์แก้วพระพุทธเจ้า ที่ริมหนองคันแทเสื้อน้ำ จึงได้หมายไว้ว่าเป็นเจดีย์อันประเสริฐจักเกิดมาณภายหน้า แล้วไชยพราหมณ์จึงวกเวียนไปทางใต้ ข้ามแม่น้ำของวกเวียนกลับไปทางขวา จึงได้พบลินน้ำที่พญานาคคุ้ยควักไว้แต่ก่อน ๒ ลิน จึงกระทำการบวงสรวงสาธยายเทวดาประสิทธิสักกเทวะและเทวดารัตนเกสี จึงบอกชื่อของตนทั้ง ๒ แก่ไชยพราหมณ์ ว่าเป็นผู้รักษาน้ำมงคลอยู่ที่นี้
ไชยพราหมณ์ได้ทราบความดังนั้น จึงบอกแก่พราหมณ์ทั้ง ๔ มีมังคลพราหมณ์และสิทธิพราหมณ์ทั้ง ๒ ให้ไปนำเอาน้ำลินที่ออกไปข้างนอกเมืองซึ่งเทวดาประสิทธิอยู่รักษานั้นได้มา แล้วจึงอาราธนาบุรีจันขึ้นนั่งบนเตียงไม้มะเดื่อ แล้วเอาหอยสังข์ตัวผู้ ตักน้ำใส่ลินสระสรงราชาภิเษกและปงราชนามบุรีจัน ตามหลาบคำอันเทวดาให้นั้น มีนามว่า “พระยาจันทบุรีประสิทธิสักกเทวะ”
จุลมังคลพราหมณ์และจิตตวัฒนพราหมณ์ พราหมณ์ทั้ง ๒ จึงไปนำเอาน้ำลินที่ออกมาก้ำในเมืองนั้นมา แล้วจึงเอาหอยสังข์ตัวเมียตักน้ำ สรงนางอินทสว่างลงฮอดให้เป็นราชเทวี ให้ปงราชนามตามหลาบคำอันพระยาสุมิตตธรรมให้แก่บุรีจันนั้น มีนามว่า “อินทสว่างรัตนเกสีราชเทวี” เมื่อเสร็จการราชาภิเษกแล้วจึงกระทำการบาสี๘ พราหมณ์ทั้ง ๕ จึงถวายพระพรพร้อมด้วยหลาบคำคาถาโฉลกที่เทวดาให้พระยาจันทบุรีทรงอ่าน แจ้งในคุณแห่งพราหมณ์กับทั้งเทวดา พระองค์ทรงกระทำสักการบูชา และตรวจน้ำอุทิศส่วนกุศลไปถึงเทวดาและนาคทั้งหลายเป็นปกติ
ขณะนั้นไชยพราหมณ์จึงบอกกับพราหมณ์ทั้ง ๔ ว่า ได้พบกงจิตร์แก้วพระพุทธเจ้า พราหมณ์ทั้ง ๔ จึงทูลขอเอากำลังด้วยพระยาจันทบุรีได้แล้ว ไชยพราหมณ์จึงพาไปสู่ริมหนองคันแทเสื้อน้ำ กระทำสักการบูชา แล้วจึงเอาหินมุกด์ ๔ เหลี่ยมมาจารึกบอกไว้ว่า ที่นี้พระพุทธเจ้ามายืนทำนายว่า พระยาองค์ชื่อว่าศรีธรรมาโศก จักก่อแรกเจดีย์ประเสริฐ พราหมณ์ทั้งหลายมาราชาภิเษกบุรีจัน ให้เป็นพระยาเสวยราชสมบัติบ้านเมือง ที่พญานาคมาก่อแรกไว้ที่หาดทรายนั้นได้เห็น จึงได้จารึกหินฝังหมายไว้ให้แจ้ง พราหมณ์ทั้ง ๕ จึงให้คนทั้งหลายคัดเอาตำนานนั้นไว้ และว่าอย่าให้สร้างเวียงโลมเต็งกงจิตร์แก้วที่นั้น เหตุว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงไว้ยังกงจิตร์แก้ว เต็งโลมนครศาสนาทั้งมวล
พราหมณ์ทั้ง ๕ จึงกล่าวเป็นโฉลกนครไว้ว่า “นครเจดีย์ท่าวหนึ่ง” “นครต่าวพลคืนหนึ่ง” “นครขนเหม้นหนึ่ง” “นครส่วนซะเด็นหนึ่ง” “นครอวนเอาเข็ญหนึ่ง” “นครเย้าเข็ญมาหนึ่ง” “นครพาราสูรหนึ่ง” “นครจาตุทีปหนึ่ง” “นครมรรคาหนึ่ง” “นครราชาทรงศักดิ์หนึ่ง” “นครอินทาตั้งหนึ่ง” “นครจักราวุธหนึ่ง” “นครอุตตโมหนึ่ง” “นครโสฬสชมพูหนึ่ง”
เวียงอันใด ส่วย๙ใต้เป็นรูปดังนี้ ชื่อว่า “นครเจดีย์ท่าว” สร้างพระพุทธศาสนารุ่งเรืองแต่ทีแรก นานไปก็จะรกร้างเสียแก่นักปราชญ์บัณฑิตย์มากนัก, เวียงส่วยเหนือดังนี้ชื่อว่า “นครต่าวพลคืน” กระทำสงครามบ่ลุ๑๐ ถึงแม้ว่าอยู่ก็แพ้ผู้ใหญ่ เวียงรูปนี้ชื่อว่า “นครขนเหม้น” อยู่เทียรย่อมทะเลาะวิวาทผิดเถียง รบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันมิได้ขาด เวียงรูปนี้ชื่อว่า “นครส่วนซะเด็น” อยู่ย่อมฉิบหายแล เวียงรูปนี้ชื่อว่า “นครอวนเอาเข็ญ” หรือชื่อว่า “นครเย้าเข็ญมาเวียง” ๒ อันนี้ย่อมเป็นพยาธิเต้า๑๑ไข้เต้าหนาว เวียง ๔ อันนี้ชื่อว่า “นครพาราสูร” เหตุว่าเป็นรูปรอยจิตร์แก้ว พญานาคบ่คูนคงให้เป็นดงเป็นเหล่าเปล่าเสียผี ถ้าจะตั้งเวียงสำหรับทำการสงครามแล้วเป็นดีที่สุดมีชัยชะนะ อยู่อย่าให้ถึงขวบปีให้ย้ายไปเสียที่อื่น เวียง ๔ อันนี้ชื่อว่า “นครวินาสแล” เวียงรูปนี้ชื่อว่า “นครจตุทิศ” ทุกกีบก้ำมาส่งส่วยเงินคำ เวียงรูปนี้ชื่อว่า “นครมรรคา” พระพุทธศาสนาจักรุ่งเรือง ต่างประเทศก็จักเข้ามาสู่สมภาร นครราชาทรงศักดิ์นั้นรุ่งเรืองด้วยท้าวพระยาผู้ใหญ่มีความสุขยิ่งนัก เวียงทั้ง ๒ นี้ชื่อว่า “นครอินทาตั้ง” เทวดาอินทร์พรหมและพญานาคย่อมรักษาช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูดีนัก เวียงรูปนี้ชื่อว่า “นครจักราวุธ” ค้ำคูน คนอยู่ก็มีชัย แม้นไปก็มีโชค บ่ทุกข์ยากโศกเศร้าสักอัน เวียงรูปนี้ชื่อว่า “นครอุตตโม” ประเสริฐบริบูรณ์ไปด้วยเสนาอำมาตย์ราชมนตรีมีมากนัก ช้าง ม้า เกิดมาก็ประเสริฐวุฒิมงคลทุกประการ เวียงรูปนี้ชื่อว่า “นครโสฬสชมพู ๑๖”
เมืองใหญ่ในชมพูทวีป ย่อมส่งส่วยนาง เวียง ๘ ชื่อนี้ดีทุกอัน ให้ท้าวพระยาทั้งหลายตั้งบ้านสร้างเวียงอยู่อยู่ดีนัก แม้ว่าตั้งไว้ก็มีโชคมีชัย ที่กล่าวมานี้ผิว่าโลมกงจิตร์แก้วก็ได้ชื่อว่า “นครวินาสแล” ผิว่าโลมจิตร์แก้วรอยบาทลักษณ์แท้ ชื่อว่า “นครวินาสา” แล
ครั้งนั้นคนทั้งหลาย มีหมื่นหลวงกลางเมืองเป็นต้น จึงได้ให้พันแก่ไปทันเอามายังพราหมณ์ ๆ จึงลาพรากจากกันคืนมาสู่ศาลจอดของตน แล้วพันแก่จึงไหว้พระยาจันทบุรีว่า พระยาสุมิตตธรรมให้นำนาง ๒ คนมาพระราชทาน และจักให้เขตต์แดนบ้านเมืองไว้ ขอพระองค์จงไปรับเอาเทอญ
ครั้งนั้น พระยาจันทบุรี คำนึงถึงพาลมิจฉาวิตกเข้าแล้ว ก็ทรงพระสรวล จึงตรัสสั่งให้พันแก่คืนไปบอกแก่คนทั้งหลายก่อน พระองค์บ่มิได้มีพระทัยอันย่อท้อ เท่ามีพระทัยชื่นบานด้วยของที่พระราชทาน “น ตํ สิปฺปํ น ตํ ธนํ” อธิบายความว่า มีศิลปศาสตร์อยู่ในใบลาน บ่มิได้ขึ้นใจท่องบ่นเอาก็ไป่ได้ ข้าวของ ๆ ตนมีอยู่ในมือของท่านผู้อื่น บุรุษผู้มีความปรารถนาเพื่อจะสาธยาย หรือว่าจะซื้อขายเมื่อใดก็ไป่ได้ตามความพอใจ ข้าวของและศิลปศาสตร์นั้น ๆ ก็หาเป็นของ ๆ ตนไม่ ฉันใด
พระยาจันทบุรี ทรงรำพึงถึงธรรมกถาบทนี้อยู่ในพระทัย พระองค์จึงให้แต่งแปงราชปราสาท ประดับประดาไปด้วยแก้วขึ้นตั้งบนเรือพระที่นั่งศีร์ษะราชสีห์ลำหนึ่ง ยาว ๒๑ วา เรือนั้นให้ลงรักปิดทองและนาก แล้วพระองค์เสด็จขึ้นประทับเรือพระที่นั่ง ยาตราไปรับเอานางทั้ง ๒ พร้อมกับด้วยบริวารเป็นอันมาก
ครั้งนั้น เทวดาทั้ง ๕ มีปรสิทธิสักกะเทวดาเป็นประธาน ตามไปรักษามิได้ขาด เทวดาที่มิได้ตามไปนั้น ก็มีแต่อินทสิริเจียมบางเท่านั้น ส่วนนางเทวดามัจฉนารีนั้น เนรมิตเป็นปลาศนาคตัวหนึ่ง ยาว ๒๙ วา เกล็ดเป็นทองคำทั้งสิ้น หลังเป็นร่องแบ่งถ่องออกเป็น ๒ ชูโจม๑๒เรือขึ้นสูงพ้นน้ำ ๓ ศอก คนทั้งหลายเห็นดังนั้น มีความอัศจรรย์เกรงกลัวอานุภาพ ก้มกราบแทบบาท พระยาจันทบุรีเสด็จขึ้นสถิตบนปราสาท นางเทวดามัจฉนารี กลับเพศเป็นนางขึ้นมาอยู่กับด้วยเทวดาทั้ง ๔ ถือดาบด้ามแก้วคอยรักษาพระยาจันทบุรีอยู่ในที่อันสมควร
เทวดาทั้ง ๔ มีปรสิทธิสักกะเทวดา รัตนเกสี อินทผยอง และสราสนิท จึงอาณัตินางเทวดามัจฉนารี ให้ไปบันดลใจนางทั้ง ๒ เข้ามาถวายบังคมพระยาจันทบุรี คนทั้งหลายก็ถวายตามโดยลำดับ พราหมณ์ทั้ง ๕ จึงให้หมื่นหลวงกลางเมือง หมื่นประชุมนุมเมือง นำเอาต้นรังผู้มากระทำให้เป็นลิน หมื่นกลางโรงและน้าเลี้ยงพ่อนมนั้น ไปนำเอาต้นรังเมียมากระทำเป็นเสาลิน หมื่นนันทอาราม หมื่นพระน้ำรุ่งนั้น ให้ไปนำเอาไม้คูนมากระทำเตียง หมื่นแก่ หมื่นเชียงสา ให้ไปนำเอาไม้ยอมากระทำเป็นเท้าเตียง
แล้วจุลมังคลพราหมณ์ จึงสาธยายอาคมไปตามริมแม่น้ำของ ถึงปากห้วยบางพวน เห็นมเหศักดิ์ตันคลอง เข้าไปถึงภูเขาหลวงได้ พบน้ำวังใหญ่วังหนึ่งว่าเป็นน้ำมงคล ปัพพารนาคจึงเนรมิตเป็นผ้าขาว มาบอกให้ตักเอาน้ำเคีงแปวนั้น และให้ขึ้นเอาฟดไม้เทิงโพ้น๑๓มาบิดน้ำไม่ให้หก
พราหมณ์รู้ได้ว่าเป็นพญานาค จึงได้กระทำตามความบอกเล่า เมื่อขึ้นไปเอาฟดไม้บนต้นไม้สูง จึงได้เห็นกงจิตร์แก้วพระพุทธเจ้าอยู่ณที่นั้น มีความยินดียิ่งนัก จึงได้เอาหินหมายไว้ แล้วกล่าวว่า โชติจักเกิดมีขึ้นในพื้นแผ่นดิน เหตุด้วยพระอรหันต์และพระยาจันทบุรี พราหมณ์จึงได้พิจารณาดู เห็นยังคลองพระเนตรพระพุทธเจ้าสถิตที่นั้นคล้อยตกภูกูเวียน แล้วกลับคืนมายั้งแต่ปากห้วยนกยูงคำมาใต้ พราหมณ์กล่าวว่า ชะรอยพระพุทธเจ้าจะทรงไว้กงจิตร์แก้วที่ภูกูเวียนนั้น ภายหน้าโพ้นพระพุทธศาสนาฝั่งฟากแม่น้ำของนี้จักรุ่งเรือง แต่ปากห้วยนกยูงคำนี้ลงไปทางใต้ ขณะนั้นคนทั้งหลายที่ไปด้วยได้ยินคำพราหมณ์กล่าวดังนั้น จึงกฎหมายเอาคำที่ทำนายไว้ แล้วสิทธิพราหมณ์จึงได้นำเรือล่องลงมาตามแม่น้ำของ จึงพูดกันว่า เราทั้ง ๕ นี้ มีมังคลพราหมณ์เป็นผู้ใหญ่กว่าเราทั้งหลาย ๆ จงพร้อมกันไปดูกงจิตร์แก้วพระพุทธเจ้า ที่หนองคันแทเสื้อน้ำวันนั้น เราทั้งหลายก็มิได้พิจารณาดูคลองเนตรพระพุทธเจ้าแม้แต่สักคน ถึงแม้ว่าไชยพราหมณ์เป็นผู้เห็นก่อนเราก็จริง ประดุจดังว่ามิได้เป็นพราหมณ์รู้จบไตรเพทเลย หรือว่าผีเสื้อน้ำมันกั้งกวม๑๔เราให้หลงความคิดไปเสีย เราทั้ง ๒ มาสาธยายอาคมผาบ๑๕ผีเสื้อให้หลับอยู่ในหนองนั้นทุกตัว แล้วจงไปพิจารณาดูคลองเนตรพระพุทธเจ้าให้รู้แน่นอนแล้ว เราจะได้นำไปเล่าถวายพระยาสุมิตตธรรม
ทันใดนั้น พราหมณ์ทั้ง ๒ จึงออกจากเรือไปสู่ริมหนองคันแทเสื้อน้ำตามเพศของตน ขึ้นงอยพิจารณาดูคลองเนตรแบ่งไปตกเวินพีนไกลนัก เมื่อเรากลับคืนไปจึงไปกราบทูลให้ทรงทราบเทอญ ชะรอยพระพุทธเจ้าจะทรงไว้กงจิตร์แก้วรอยพระบาทลักษณ์ที่นั้น คลองเนตรจึงได้กลับคืนมา
วัฒนพราหมณ์จึงสาธยายอาคมไปตามริมแม่น้ำของฝ่ายเหนือ จึงได้ไปพบน้ำกูเวียนว่าเป็นมงคล สุวรรณนาคจึงเนรมิตเป็นผ้าขาวผู้หนึ่ง ออกมาบอกว่า ให้ไปตักน้ำเคีงแปวเพียงหินเป้ง ๒ หน่วย๑๖นั้น แล้วให้ขึ้นไปเอาฟดไม้เทิงภูกูเวียนมาแช่น้ำเมือเทอญ แล้วผ้าขาวผู้นั้นก็เดินหนีลงน้ำไป
ทันใดนั้น พราหมณ์ทั้ง ๒ รู้ว่าเป็นพญานาค จึงกระทำตามความบอกเล่านั้นทุกประการ เมื่อขึ้นไปหักเอาฟดไม้จิกเทิงภูกูเวียนนั้น จึงได้เห็นรอยกงจิตร์แก้วพระพุทธเจ้า มีความยินดียิ่งนัก จึงงอยพิจารณาดู จึงเห็นยังคลองเนตรพระพุทธเจ้า เปล่งให้ถูกเมืองท้าวคำบาง แล้วกลับคืนมายั้งอยู่เสมอหางดอน พราหมณ์ทั้ง ๒ จึงกล่าวว่า ต่อไปภายหน้าโพ้น เมืองท้าวคำบางนี้ก็จะเสื่อมศูนย์ไป และที่หางดอนนี้พระพุทธศาสนาจะบังเกิดขึ้นในภายหน้า พราหมณ์ทั้ง ๒ จึงว่า ชะรอยจุลมังคลพราหมณ์จะไปก้ำใต้ พบกงจิตร์แก้วพระพุทธเจ้าที่ภูเขาหลวงนั้นเป็นแน่
ทันใดนั้น พราหมณ์ทั้ง ๒ จึงลงมาสู่ที่พักของนางทั้ง ๒ พิจารณาดูตามคลองพระเนตรก้ำขวาของพระพุทธเจ้า ทอดข้ามแม่น้ำเปล่งไปโพนจิกเวียงงัว กลับวกเวียนขึ้นไปริมหนองมงคล เหนือท้องพระโรงพระยาจันทบุรี พราหมณ์ทั้ง ๒ จึงกล่าวว่า ต่อไปภายหน้าโพ้น พระพุทธศาสนาจะมาประดิษฐานรุ่งเรืองอยู่ที่ศาลจอด๑๗นี้ มาข้อนอยู่ที่ห้วยมงคล เมื่อว่าพระเนตรข้างขวาของพระพุทธเจ้ามิได้ทอดข้ามแม่น้ำคืนมา พระพุทธศาสนาและบ้านเมืองก็จักรุ่งเรืองเลยขึ้นไปถึงคราว ๒๐,๐๐๐ และคนที่ไปด้วยนั้นได้ยินก็กฎหมายเอาไว้ พราหมณ์ทั้ง ๒ จึงมาสู่เรือล่องตามลำน้ำมาที่ศาลจอด จุลมังคลพราหมณ์มาถึงก่อน จึงท้วงขึ้นว่า เจ้าทั้ง ๒ นี้มีเกล้าอันยาว ประเสริฐกว่าผู้ข้า ส่วนผู้ข้าก็มาลืมความคิดเสีย พราหมณ์ทั้ง ๒ จึงว่า สาธุ สาธุ ได้บุญก็เจ้าส่วนหนึ่งเทอญ
จุลมังคลพราหมณ์มีความยินดี จึงถอดแหวนธำมรงค์ให้กับพราหมณ์ทั้ง ๒ นั้นคนละลูก แล้วพราหมณ์ทั้ง ๕ จึงปฏิสัณฐารซึ่งกันและกัน ครั้นเสร็จแล้วจึงเชิญให้นางทั้ง ๒ ขึ้นนั่งบนเตียง แล้วนำเอามายังน้ำวังใหญ่ที่ภูเขาหลวงนั้นมาโสรจสรง นางมังคลทปาลัง ให้เป็นอัครมเหษีฝ่ายขวา และเอาน้ำปู่เวียนมาสระสรงนางมังคลกตัญญู ให้เป็นอัครมเหษีฝ่ายซ้าย เมื่อเสร็จการพิธีแล้ว พราหมณ์ทั้ง ๕ จึงนำเอาพานทองคำมาใส่เครื่องคารวะ พร้อมด้วยเผียกเส้นเขตต์แดน เข้าไปถวายนางทั้ง ๒ เพื่อให้นางทั้ง ๒ นำเข้าไปถวายพระยาจันทบุรี เมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น จึงทรงทราบได้ว่า เขตต์แดนบ้านเมืองทิศใต้ ให้ตั้งแต่ปากกะดิงมาถึงเมือง ทิศเหนือตั้งแต่ดอยนันทกังรีมาจดเมือง ทางนอกตั้งแต่เมืองแก ตรงไปทิศใต้เสมอปากกะดิง ตรงขึ้นไปทิศเหนือเสมอดอยนันทกังรี ฝั่งฟากน้ำเมืองสุวรรณภูมิ เป็นเมืองท้าวคำบาง มาแต่ริมน้ำงึมนั้นทั้งสิ้น
ขณะนั้น คนทั้งหลายเห็นพระยาจันทบุรีทรงเลื่อมใสยินดีในรสธรรม อันพราหมณ์ทั้ง ๕ บอกว่าเป็นหน่อพุทธังกูร หมื่นหลวงกลางเมือง หมื่นรามเมือง หมื่นประชุมนุมเมือง หมื่นพระน้ำรุ่ง หมื่นเชียงสา หมื่นแก่ หมื่นกลางโรง และหมื่นนันทอาราม ทั้งนี้ มีนางและข้าทาษบริวาร ๑๐๐ ช้างพลายเชือกหนึ่ง ช้างพังเชือกหนึ่ง ม้า ๒ ม้า พร้อมทั้งควาญและนายม้า คำ ๑๐,๐๐๐ เงิน ๑๐๐,๐๐๐ พร้อมทั้งเสื้อผ้าเสมอกันทุกเมือง มาบาสีช่วยโอมน้าเลี้ยงพ่อนม มีดาบขรรค์ไชยศรีด้ามแก้ว ๔ เล่ม ฝักคำ๑๘ ดาบด้ามแก้ว ๔๐ เล่ม ขันทองคำลูกหนึ่ง ขันเงินลูกหนึ่ง ของเหล่านี้เป็นทรัพย์สมบัติมรดกของเจ้าสังขวิชกุมารได้มาแต่เมืองร้อยเอ็จประตู นำเอามาถวายในการบาสีพระยาจันทบุรี
เมื่อพระองค์ทรงรับของเหล่านี้แล้ว จึงตรัสถามน้าเลี้ยงพ่อนมว่า เจ้าสังขวิชกุมารเป็นโอรสของผู้ใด น้าเลี้ยงพ่อนมจึงทูลว่า เจ้าสังขวิชกุมารนี้ เป็นโอรสพระยาสุริยวงศาสิทธิเดชธรรมิกราชาธิราชเอกราช เมืองร้อยเอ็จประตู ผู้ข้าทั้ง ๒ พร้อมด้วยหมื่นกลางโรง จึงได้อุปัฏฐากรักษาเลี้ยงดูมาแต่ยังเยาว์ เวลานี้เธอออกบวชได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ อยู่ที่โพนจิกเวียงงัวฟากเมืองนั้น และข้าน้อยได้สร้างวิหารถวายให้ท่านอยู่ในที่นั้น
พระยาจันทบุรี จึงตรัสถามหมื่นกลางโรงว่า ท่านได้แจ้งด้วยเหตุใด ว่าพระอรหันต์อยู่ในสำนักที่นี้มี ๓ องค์ หมื่นกลางโรงจึงทูลว่า ข้าน้อยได้สร้างหอแพขาวถวายให้เป็นที่อยู่ของพระอรหันต์ ที่โพนจิกเวียงงัวนั้น ๓ องค์ และข้าน้อยได้สร้างวิหารถวายให้เป็นที่อยู่ของพระอรหันต์ที่เมืองลาหนองคายนั้น ๒ องค์ คือเจ้าสังขวิชกุมารองค์หนึ่ง พร้อมทั้งพระอรหันต์ที่เป็นอาจารย์ เป็น ๘ องค์ด้วยกัน
พระยาจันทบุรีจึงตรัสว่า ถ้าเราไม่มารับนาง ก็เท่ารู้แต่ว่า พระอรหันต์มีอยู่ในเขตต์เมืองเรานี้ ๒ องค์ ที่เราได้อุปัฏฐากนั้นเท่านั้น บุญอันนั้นจึงได้มาค้ำมาชูเราเป็นดังนี้ แล้วพระองค์จึงตรัสถามต่อไปว่า เวลานี้พระอรหันต์ยังอยู่หรือ หมื่นกลางโรง น้าเลี้ยงพ่อนม จึงทูลว่า เวลานี้พระอาจารย์ทั้ง ๓ ได้นำไปสู่เมืองราชคฤห์นครได้ ๓ วันนี้ แล้วพระองค์จึงตรัสถามอีกว่า ท่านยังจะกลับคืนมาหรือ ๆ ว่าไม่มา ถ้ามาจะมาวันใด เมื่อไร หมื่นกลางโรง น้าเลี้ยงพ่อนม จึงทูลว่า พระอรหันต์ท่านได้สั่งกับข้าน้อยทั้ง ๒ ว่า จะกลับมาในวันปรืนนี้ พระยาจันทบุรีทรงยินดี จึงตรัสว่า สาธุ สาธุ แล้วพระองค์เอาทองคำพระราชทานให้กับ หมื่นแก่ หมื่นกลางโรง น้าเลี้ยงพ่อนม คนละ ๑๐๐,๐๐๐ ตำลึง จึงตรัสว่า เราจักยั้งอยู่คอยพระอรหันต์ ผิว่าบุญมีก็หากจักได้นมัสการ
ขณะนั้น คนทั้งหลายจึงพูดกันว่า พระยาจันทบุรี พระองค์ได้ราชสมบัติเหล่านี้ด้วยเหตุใด ลางคนพูดว่า ได้ด้วยบุญสมภารที่ได้สร้างสมมาแต่ปางก่อน ลางคนพูดว่า ได้ด้วยบุญสมภารที่ได้สร้างมาแล้วนั้น เรามีความสงสัย แล้วพูดว่า เราบ่เห็นอย่าฟ้าวห่อนว่า๑๙คำเหล่านี้ไม่ใช่ พระยาจันทบุรีได้ยศศักดิสมบัติด้วยบุญสมภารแห่งพระยาสุมิตตธรรมวงศา พระองค์จึงให้พราหมณ์ราชาภิเษก ลางคนว่าได้ด้วยพญาสุวรรณนาคและเทวดาทั้งหลายให้เป็นเมือง แล้วพระยาสุมิตตธรรมจึงให้มาราชาภิเษกทีหลัง ลางคนว่าได้ด้วยบุญที่พระองค์กระทำในปัจจุบันฉะเพาะหน้า พญานาคจึงให้ขวดไม้จันทน์ เทวดาจึงมาช่วยทนุบำรุงดอก พระยาจันทบุรีได้ทรงสดับ ก็เสด็จออกมารับสั่งถามเขาทั้งหลายว่า เมื่อตะกี้นี้สูเจ้าทั้งหลายปราสัยกันด้วยเหตุสิ่งใด เขาทั้งหลายเหล่านั้น จึงกราบทูลว่า ข้าน้อยทั้งหลายประสังสิทธิ์กิตนาจาเถิงบุญคุณสมภารมหาราชเจ้าที่เป็นใหญ่ก็ข้าแล แล้วพระองค์จึงตรัสว่า สูเจ้าทั้งหลายจงพากันฟังเถิด เราจักกล่าวยังปัญหาอุปมาให้สูทั้งหลายแจ้ง
ยังมีจิตตาอันหนึ่ง เทวดาหากริจนาควัดแล้วบริบูรณ์ และกานตาอีกอันหนึ่ง บุคคลหากกระทำไว้ด้วยคลั่งลาน เทวดาจึงเอาจิตต์มาจำกานตาอันนั้นให้เป็นรูปและหนังสือชื่อนามแห่งมหากษัตริย์ แล้วบุคคลจึงเขียนลงใบลานสืบตามความพอใจ อันนั้นจะเป็นสิ่งใดเล่า แล้วพระองค์ตรัสเป็นคาถาที่พระองค์ได้ทรงสดับมาแต่สำนักพระอรหันต์ว่า
“ปุพฺเพว สนฺนิวาเสน | ปจฺจุปฺปนฺนหิเตน วา |
เอวนฺเต ชายเต เปมํ | อุปฺปลํว ยโถทเก |
กานานํ รกฺขติ สิหํ | สิโห รกฺขติ กานานํ |
น ภเช ปาปเกมิตฺเต | นภเช ปุริสาธมฺเม |
ภเชถ มิตฺเต กลฺยาเณ | ภเชถ ปุริสุตฺตเม” |
อธิบายว่า ความรักพระยาสุมิตตธรรม มีในพระยาจันทบุรี ด้วยเหตุที่ทั้งพระองค์ได้ร่วมอยู่กินด้วยกันมาแต่ในชาติก่อน ทั้ง ๒ พระองค์จึงได้มีความรักซึ่งกันและกัน ประการหนึ่งรักกันด้วยอันเป็นประโยชน์และเป็นคุณในอัตตภาพชั่วนี้ เป็นดังดอกอุบลและน้ำมาถูกต้องกันเข้าจึงชื่นบาน
อธิบายครั้งที่ ๒ ว่า ป่าเป็นที่อาศัยและรักษายังราชสีห์ให้อยู่มีความสุข ราชสีห์ก็รักษายังป่าไว้ให้ดกหนา ชาติท้าวพระยามหากษัตริย์ต่างประเทศใช้มาก็อย่าได้ห้าม เปรียบประดุจดังน้ำมหาสมุทร แม่น้ำใหญ่น้อยทั้งมวลย่อมไหลไปสู่ที่นั้นตลอดถึงกัน ไม่มีสิ่งกีดกั้นให้ไหลเข้ามาทั้งกลางวันและกลางคืน อันนี้ฉันใด
อธิบายครั้งที่ ๓ ว่า บุคคลผู้เป็นนักปราชญ์ ไม่เคยได้เสพยังมิตรที่ชั่วคนบาปอธรรม ย่อมเสพแต่มิตรผู้มีบุญเสมอกันหรือยิ่ง และเป็นชายผู้ประเสริฐ พระยาจันทบุรีตรัสดังนี้ แล้วทรงรำพึงดูในปัญหาที่พระยาสุมิตตธรรมอภัยโทษที่พระองค์ได้นำเอานางอินทสว่างลงฮอดมาเป็นเมีย และพระองค์ได้นำเอานางทั้ง ๒ มาถวาย และทรงให้ชื่อนางทั้ง ๒ มาให้เราปรากฏ นางคนที่ชื่อมังคลทปาลังนั้น ว่าพญานาคให้แก้ว ๗ ประการ เป็นอันประเสริฐยิ่งนัก และเราบ่มิได้เอาไว้กับตัวเราบุรีจัน เราให้นำเอาแก้ว ๗ ประการไปถวาย โรงหลวง ปราสาทและอุทยานจึงบังเกิดมีแก่พระยาสุมิตตธรรมดอกหนา ดังนี้ พระองค์จึงได้ให้ชื่อนางมาว่า มังคลทปาลัง นั้นแล
พระยาจันทบุรี พระองค์ซ้ำรำพึงดูนางผู้ถ้วน ๒ ที่ชื่อมังคลกตัญญูนั้น ให้รู้ว่าพระราชทานตอบคุณที่ได้แก้ว ๗ ประการ และได้เป็นใหญ่ในชมพูทวีป ท้าวพระยาทั้งหลายได้นำเอานางมาถวายดังนี้ จึงให้ชื่อนางนั้นมาว่า มังคลกตัญญู ที่พระยาสุมิตตธรรมอภัยโทษที่เราได้นำเอานางอินทสว่างลงฮอดมาเป็นเมียนั้น พระองค์จึงให้พราหมณ์ทั้ง ๕ มาราชาภิเษกและให้เขตต์แดน เพื่อเหตุนี้
พระยาจันทบุรีทรงรู้แจ้งในปัญหาเหล่านี้ในพระทัยแล้ว จึงแสร้งกล่าวคาถาบทหลังให้พราหมณ์ทั้ง ๕ ได้ยิน ที่จริงนั้นพราหมณ์ทั้ง ๕ ได้นำเอานางมาพร้อมแล้ว แต่มิได้ถวายเมื่อราชาภิเษกนั้น พระองค์ทรงคำนึงถึงใจแห่งคนทั้งหลาย มีหมื่นหลวงกลางเมืองเป็นต้น พระองค์จึงตรัสเป็นคาถาว่า “โกโธ ปลาโส กติมาโน มายา สาเถยฺย อิจฺฉา อุปฺปเนญหตพฺโพ สารกมาโน อสํมิเชยฺย มจฺเฉริยโก สชฺชมทฺโท มุตฺถสฺสติ ทุปญฺา ทุพฺพจฺจ ทุเสวิ อหิริกํ พุทิฏฺี อสฺสติโก อินฺทฺริยสํวโร อตฺถติโก โอภาสิโก มหิจฺโฉ โอตฺตปฺป อขนฺติ คุรุจตฺโต อขิริยา อตฺถิ มหิทสฺสนํ อสํกิจฺจ ถิรี” ดังนี้
พระยาจันทบุรีทรงทราบตลอดแล้วว่า พราหมณ์ทั้ง ๕ มีศีลประเสริฐแท้ แต่ทว่าคนทั้งหลายที่เป็นบุถุชน หากบุญแพ้แต่งแปงเอา พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลาย ว่าบุคคลเกิดมาในโลกนี้ มีความมักโกรธหนึ่ง ลืมคุณท่านหนึ่ง มีมานะมากหนึ่ง มีมายาอันปกปิดบาปไว้หนึ่ง มีความคดในข้องอในกระดูกและใจหนึ่ง มีความชอบฤษยาแก่ท่านหนึ่ง มีความโกรธแล้วอาฆาตหนึ่ง มีใจกระด้างดังเสาหินหนึ่ง ติเตียนผู้เฒ่าผู้แก่และสมณพราหมณ์หนึ่ง มีใจมานะนิดหน่อยหนึ่ง ๑๐ ประการนี้ ย่อมมีแก่บุคคลผู้บมิได้เป็นนักปราชญ์ ย่อมให้บังเกิดขึ้นในตนตัว เมื่อว่าเป็นดังนี้
คนทั้งหลายเหล่านี้ หามิตรให้เป็นประโยชน์แก่ตนบ่ได้ เทียรย่อมมักตระหนี่พ้นประมาณ มักเกียจคร้านภาวนา เท่าชอบยังกามคุณและมัวเมาอยู่เป็นนิตย์ และมีความประมาทปราศจากสติและหาปัญญามิได้ เป็นผู้ว่ายากสอนยาก เทียรย่อมเสพมิตรผู้ที่ชั่ว และเป็นผู้บ่มีละอายต่อบาป และเป็นผู้รู้ปลิ้นจากคำเจ้าตน และเป็นผู้ไม่เชื่อคำสอนพระพุทธเจ้า จึงบ่มิได้สำรวมอินทรีย์ของตน เป็นผู้ไม่ชอบสันโดษ มักมากด้วยอาหาร มักมากด้วยสมบัติ ไม่มีความพยายามละเสียจากบาป และเป็นผู้ไม่มีความอดใจ ไม่มีความยำเกรงต่อครูบาอาจารย์ของตน จึงหาสังขริยธรรมอันขาวในใจบ่ได้ เท่ามองดูแต่ชายผู้ถ่อย แล้วไปมั่วสุมกับด้วยชายผู้นั้น จึงได้หลงอยู่ไม่รู้พ้นไปได้แล
คนทั้งหลายได้ยินดังนั้น ก็มีความคิดถึงโทษของตนเป็นอัศจรรย์ ยิ่งมีความเลื่อมใสในพระยาจันทบุรี ว่าเป็นดังพระองค์ได้เห็นด้วยพระเนตร และทรงสั่งสอนพวกเราทั้งหลายให้รู้ยังคลองที่แท้จริง แล้วเขาทั้งหลายจึงพร้อมกันไหว้กราบทูลว่า เมื่อเป็นดังนั้นบาปจักมีอย่างไร พระยาจันทบุรีจึงตรัสเป็นคาถาว่า
“อถ ปาปานิ กมฺมานิ | อกโรนฺโต น พุชฺฌติ |
เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ | อคฺติทฑฺโฒว ตปฺปติ” |
อธิบายว่า บุคคลไป่ได้กระทำกรรมอันเป็นบาป ก็ไป่ตรัสรู้ยังวิบากแห่งตนว่าเป็นบาปโทษใด ๆ บุคคลดังที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ก่อนนั้น ได้ไปเกิดในนรกทนทุกขเวทนา จึงจะได้รู้จักยังกรรมวิบากแห่งตน แล้วคนทั้งหลายจึงทูลว่า จะกระทำสิ่งใดจึงจะหายจากกรรมวิบากนั้น ๆ พระยาจันทบุรีจึงตรัสเป็นคาถาว่า
“อปฺปมาโท อมตํ ปทํ | ปมาโท มจฺจุโน ปทํ |
อปฺปมตฺตา น มียนฺติ | เย ปมตฺตา ยถา มตา |
สทฺโธ สีเลน สมฺปนฺโน | ยโสโภคสมปฺปิโต |
ยํ ยํ ปเทสํ ภชติ | ตตฺถ ตตฺเถว ปูชิโตติ” |
อธิบายว่า บุคคลเหล่าใดบ่ประมาทหลงลืมในกุศลบุญ และคุณแก้วทั้ง ๓ ประการนั้น เป็นคลองอันจักได้ถึงยังพระนิพพาน บุคคลเหล่าใดมีความประมาทในคุณแก้ว ๓ ประการนั้น หากเป็นคลองแห่งความตาย และผู้ที่มิได้ประมาทนั้น ถึงแม้ว่าตายแล้วก็ได้ชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่ บุคคลที่มีความประมาท ถึงแม้ว่าชีวิตมีอยู่ก็ได้ชื่อว่าตายแล้ว บุคคลที่ประกอบไปด้วยศรัทธาในพระรัตนตรัย และเป็นผู้ตั้งอยู่ในศีลนั้น ข้าวของเงินทอง ลูกเมีย ช้างม้า ยศศักดิ์ก็มิได้ละเสีย แม้ว่าบุคคลผู้นั้นไปตกประเทศใดก็ดี คนทั้งหลายก็เทียรย่อมสักการบูชามิได้ขาด เปรียบประดุจดังฝนที่ตกลงมาแต่ที่สูง ย่อมไหลลงไปสู่มหาสมุทรทั้งสิ้น ฉันใด
พระยาจันทบุรี ตรัสคาถาทั้งหลายจบลงแล้ว พระองค์ทรงหล่อเทียนเงินเทียนทองหนักเล่มละ ๑๐๐,๐๐๐ ตำลึง ดอกไม้ทองเงินหนักต้นละ ๑๐,๐๐๐ ตำลึง พร้อมด้วยขันเงินขันทองและพระขรรค์ไชยศรีด้ามแก้ว ดาบด้ามแก้ว ทั้งสิ้น ที่เป็นของเจ้าสังขวิชกุมารนั้น ทรงจารึกพระนามติดเทียนทั้ง ๒ เพื่อนำไปถวายพระยาสุมิตตธรรมให้ทรงทราบในความนอบน้อม แล้วพระองค์จึงตรัสสั่งให้นายช่างเอาไม้รังมากระทำเป็นปราสาทหลังหนึ่ง บุให้แล้วไปด้วยเงิน และให้เอาผ้าสาฎกมุงหลังคา ทรงกระทำเป็นดอกบุณฑริก ๑๐ ดอก แล้วไปด้วยเงินไว้ในปราสาท ประดับประดาไปด้วยเครื่องประดับสวยงามยิ่งนัก เพื่อบอกข่าวว่ามีพระอรหันต์ ๑๐ องค์ อยู่ในพระนคร แล้วให้ช่างเอาทองคำมาแผ่ออกให้เป็นแผ่น ขนาดยาว ๓ วา กว้างวาหนึ่ง ให้เขียนเป็นรูปมหาสมุทรและรูปสะพาน พร้อมด้วยรูปพระสังฆเถระและรูปอินทร์พรหม เทวบุตร เทวดา พร้อมด้วยรูปชาวพระนครไต่สะพานข้ามไปมาอยู่มิได้ขาด เพื่อให้แจ้งในสภาวะของพระองค์ว่าปรารถนาพระโพธิญาณ
แล้วพระองค์จึงเอาเครื่องราชบรรณาการนั้น ๆ พระราชทานให้แก่พราหมณ์ทั้ง ๕ และหมื่นนันทอารามพร้อมด้วยบริวาร ฝ่ายใต้มีหมื่นหลวงกลางเมือง และหมื่นรามเมือง หมื่นประชุมนุมเมือง หมื่นพระน้ำรุ่ง หมื่นเชียงสา หมื่นแก่ นำไปถวายพระยาสุมิตตธรรม คนทั้งหลายที่ออกนามมาแล้วนั้น ก็พร้อมกันกราบทูลลาไปสู่ที่อยู่แห่งตน ๆ
ส่วนพราหมณ์ทั้ง ๕ นั้น เมื่อกลับไปถึงเมืองมรุกขนครแล้ว ก็นำเครื่องราชบรรณาการนั้น ๆ เข้าไปถวายพระยาสุมิตตธรรม เมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นวัตถุข้าวของทั้งหลายนั้น ๆ ทรงรับเอาแผ่นทองที่มีรูปสะพานและรูปมหาสมุทร พร้อมทั้งดอกบุณฑริก ยกขึ้นเหนือพระเศียรถึง ๓ ครั้ง แล้วจึงตรัสว่า หน่อพุทธังกูรเกิดแล้ว พระอรหันต์ก็มีขึ้นแล้วณที่นั้นถึง ๑๐ องค์ กล่าวคือดอกบุณฑริกนั้น
ครั้นแล้ว พระองค์ตรัสเป็นคาถา ดังที่พระองค์ทรงได้เป็นอุปนิสสัยมาแต่เมืองร้อยเอ็จประตูติดกับด้วยพระองค์มาว่า
“ทุลฺลโภ ปุริสาชฺโ | น โส สพฺพตฺถ ชายติ |
ยตฺถ โส ชายติ ธีโร | ตํ กุลํ สุขเมธติ” |
อธิบายว่า บุคคลที่เกิดมาเป็นบุรุษผู้อาชาไนยนั้น หาได้ยาก บุรุษที่เป็นอาชาไนยนี้ บ่ห่อนเกิดในที่ทั่วไป เป็นบางแห่งที่จะมีบังเกิดขึ้น เมื่อว่าบุรุษผู้อาชาไนยเกิดมีในที่ใด คนทั้งหลายอยู่ในที่นั้นก็มีความสุขในโลก
แล้วพระองค์จึงตรัสถามพราหมณ์ทั้ง ๕ ถึงเหตุการณ์ประเทศบ้านเมืองของพระยาจันทบุรี พราหมณ์ทั้ง ๕ จึงทูลถวายโฉลกว่า “อินทสิริเจียมบาง ส่างสอง หนองสาม ล่ามสี่ ศรีห้าแห่ง แจ่งสี่อัน๒๐ ดังนี้ พระยาสุมิตตธรรมมีพระประสงค์จะใคร่ให้พราหมณ์ทั้ง ๕ แต่งลักษณะโฉลกเมือง พระองค์จึงได้พระราชทานดาบด้ามแก้วฝักทองคำ ที่พระยาจันทบุรีถวายมานั้น แก่พราหมณ์คนละเล่ม
ทันใดนั้น พราหมณ์ทั้ง ๕ จึงบอกแก่กันว่า พระองค์พระราชทานดาบแก่เราทั้งหลายนี้ ด้วยพระองค์ทรงเลื่อมใสและพอพระทัยจะทรงทราบ จึงกราบทูลว่า อินทสิริเจียมบางนั้น เป็นชื่อของเทวดาตนหนึ่ง อยู่รักษาราชสมบัติของพระยาจันทบุรี เทวดาตนนั้นสถิตอยู่ปราสาทโรงหลวง เป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้ง ๕ ดังที่ข้าพเจ้าทั้งหลายจะได้ทูลถวายต่อไปข้างหน้านี้
ชื่อที่ข้าพเจ้าทั้งหลายปงราชนามนั้น ด้วยเหตุแห่งขวดไม้จันทน์ของพญานาค และชื่อที่พระอรหันต์ตั้งให้ว่า บุรีจันอ้วยล้วย เมื่อครั้งเป็นพ่อนาว่าเป็นผู้บำเพ็ญบุญนั้น เป็นต้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงได้เอาชื่อเทวดา ๒ ตนที่รักษาน้ำมงคลมาสระสรงราชาภิเษก ประสมกันเข้าตามเพสแห่งครูกล่าวนั้น ด้วยมีแท้ ส่างสองนั้น เทวดาตนหนึ่งชื่อว่า ปรสิทธิสักกเทว อีกตนหนึ่งชื่อ รัตนเกสี รักษาน้ำลินมงคลตนละลิน และลินน้ำอันนั้น พญานาคเป็นผู้คุ้ยควักออกมาแต่บ่อแก้ว ๗ ประการ อันเป็นมงคล ให้ไหลออกเป็นร่องน้ำไปก้ำหัวเมือง มาตกแม่น้ำของเลยโรงหลวง และหนอง ๓ อันนั้น มีเทวดาตนหนึ่งชื่อ อินทผยอง มีผมอันหยัก อยู่ในบึงก้ำใต้เวียงนั้น อีกตนหนึ่งชื่อ สราสนิท อยู่รักษาสระน้ำที่ตีนเวียงก้ำเหนือ เทียรย่อมรักษาคนทั้งหลาย และดูแลยังคุณและโทษของอาณาประชาราษฎรในพระนครนั้น เทวดาอีกตนหนึ่งชื่อ มัจฉนารี รักษาพระยาจันทบุรี พร้อมด้วยข้าทาษบริวารในพระราชสำนักทั้งสิ้น
ล่าม ๔ นั้น มีนาค ๔ ตัวเป็นผู้วินิจฉัยไตร่ตรองดูยังคุณและโทษของอาณาประชาราษฎรทั้งหลาย ตัวหนึ่งชื่อ เอกจักขุ อีกตัวหนึ่งชื่อว่า กายโลหะ นาค ๒ ตัวนี้อยู่นอกเวียง ตัวหนึ่งชื่อ สุคันธนาค อยู่หาดทรายกลางแม่น้ำ อีกตัวหนึ่งชื่อ อินทจักกนาค อยู่ปากห้วยมงคล
ศรี ๕ นั้น มีนาค ๕ ตัวอยู่รักษาศรีเมือง เป็นใหญ่กว่านาคเงือกงูทั้งหลาย ด้วยมีแท้ พุทโธธปาปนาคนั้น เป็นใหญ่กว่านาคทั้งหลายที่ได้บอกชื่อมาแล้วข้างต้นนั้น
ส่วนพญาสุวรรณนาคนั้น เป็นใหญ่กว่านาคทั้งหลาย แต่ทว่าท่านได้ตั้งอยู่ในสรณคมน์ รักษากงจิตร์แก้วพระพุทธเจ้าที่ภูเวียน เหตุนี้จึงได้กล่าวถึงท่าน ท่านมาในที่นี้ก็แต่ในเวลาที่มาเนรมิตบ้านเมืองไว้ให้แก่พระยาจันทบุรีเท่านั้น แล้วก็กลับไปอยู่หาความสุขของท่านตามเดิม
ส่วนนาคทั้งหลาย ๙ ตัว ที่มีนามมาแล้วข้างต้นนั้น เทียรย่อมอยู่รักษาค้ำชูบ้านเมืองและพระพุทธศาสนา และแจ่งที่มีแก้ว ๔ ลูกนั้น คือพระพุทธเจ้าได้เสด็จมายืนพักอยู่ที่ริมหนองคันแทเสื้อน้ำ ทรงไว้กงจิตร์แก้วที่นั้นแห่งหนึ่ง แล้วพระพุทธเจ้าเสด็จข้ามน้ำของไปประทับฉันข้าวในร่มไม้ปาแป้งที่ภูเขาหลวง ที่นั้นเป็นกงจิตร์แก้วอีกแห่งหนึ่ง แล้วพระพุทธเจ้าเสด็จกลับข้ามแม่น้ำของไปซ้าย ไว้รอยบาทลักษณ์กงจิตร์แก้ว และฉันเพนที่เวินหลอดนั้นแห่งหนึ่ง ข้าน้อยทั้งหลายก็เห็นโดยลำดับ เมื่อกลับคืนมาจึงได้ไหว้กงจิตร์ที่เวินพีน
แล้วข้าน้อยทั้งหลายจึงได้พิจารณาดูตามคลองพระเนตรพระพุทธเจ้าเปล่งไปตกหนองหานทั้ง ๒ แล้วพระองค์เสด็จจากเวินพีนมาอธิษฐานรอยบาทลักษณ์ไว้ที่ก้อนหินเหนือเมืองเรานี้ แล้วจึงเสด็จไปสถิตภูกำพร้า เสมอเมืองเก่าศรีโคตรบอง ทรงอิงต้นรังเปล่งพระเนตรไปเมืองโคตรบอง ๆ จึงได้รุ่งเรืองเพื่อเหตุนั้น แล้วทอดพระเนตรมายังเมืองมรุกขนคร ๆ จึงได้รุ่งเรืองเป็นใหญ่ในชมพูทวีป พระพุทธองค์ซ้ำเปล่งพระเนตรไปที่บาทลักษณเรือนปลา แล้วเสด็จกลับคืนมายั้งที่ใต้นั้น ภายหน้าโพ้นเมืองมรุกขนครก็จะย้ายกลับคืนไปตั้งที่นั้น เจดีย์อันหนึ่งก็บังเกิดในที่ของพระองค์พระราชทาน จึงกล่าวคาถาที่ได้มาแต่สำนักพระอรหันต์ สืบคำพระพุทธเจ้าว่า
“สจฺจํ ภเณน กุชฺเฌยฺย ทชฺช อปฺปสฺมึ ยาจิโต เอเตหิ าเนหิ คจฺเฉยฺย เทวานํ สนฺติเก”
บุคคลพึงกล่าวยังคำสัตย์เที่ยง ท่านให้ข้าวของน้อยก็ดี พึงใจรับเอา แม้ว่าตัวมีน้อย ก็พึงใจให้เป็นทานแก่ผู้มาขอด้วยตน ๓ ประการนี้ เทียรย่อมไปสู่สวรรค์เทวโลก “ทานสีลฺจ สกฺกจฺจํ สุตฺวา ธมฺมํ ปสีทติ สจฺจํ ขนฺติ จ กตฺู ติณฺณานํ รตนํ สริ อิมานิ สตฺตปฺุานิ สมฺมา สมฺพุทฺธวณฺณิตํ มหปฺผลํ จ สพฺเพสํ อสงฺเขยฺย อนนฺตํ”
บุคคลกระทำบุญให้ทานรักษาศีล ควรคารวะ ฟังธรรม ควรยินดี มีคำสัตย์ อดทน และรู้คุณท่านได้กระทำไว้แล้วแก่ตน และระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย บุคคลทั้งหลายที่ได้กระทำนั้น ๆ พระพุทธเจ้าย่อมทรงสรรเสริญว่าดี มีอานิสงส์ผลได้อสงไขย หาที่สุดมิได้แก่บุคคลผู้นั้นแท้จริง
“อโกเธน ชิเน โกธํ | อสาธุํ สาธุนา ชิเน |
ชิเนกทริยํ ทาเนน | สจฺเจนาลิกวาทีนํ” |
บุคคลผู้บ่มักโกรธ ย่อมแพ้ผู้มักโกรธ บุคคลผู้เป็นสัปบุรุษ ย่อมแพ้บุคคลผู้เป็นอสัปบุรุษ บุคคลผู้มักให้ทาน ย่อมแพ้ผู้ตระหนี่ในการให้ทาน บุคคลผู้มีสัตย์ ย่อมแพ้บุคคลผู้บ่มีสัตย์ “ปาตฺถเก สุคตา พีชฺชา ปรหตฺเถ คตํ ธมฺมํ ยถา อิจฺเจ น ลพฺภติ” พระพุทธเจ้าต่าวกลับคืนมายังที่นั้น เหตุนี้เมืองมรุกขนครเท่าจักได้เป็นใหญ่ สมัยเมื่อมหาราชเจ้าตนมีบุญสมภารนี้แหละ แม้ว่าพระพุทธศาสนาก็จะเป็นมัชฌิมศาสนา ด้วยเหตุว่าพระพุทธองค์ได้อธิษฐานรอยพระบาทไว้ที่ก้อนหินในน้ำก้ำเหนือเมือง แล้วจึงเสด็จมาประดิษฐานกงจิตร์แก้วไว้ที่ภูกำพร้า ทรงประทับอิงต้นรังที่นั้น
ส่วนเมืองหนองหานทั้ง ๒ นั้น ก็หามีเหมือนแต่ก่อนไม่ ด้วยเหตุพระพุทธเจ้าทอดพระเนตรไปทางเมืองพระยาจันทบุรี ๆ นั้นและประเสริฐยิ่งนัก เหตุที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากภูกำพร้าไปเมืองหนองหาน แล้วพระองค์เวียนกลับคืนไปไว้กงจิตร์แก้วที่ภูกูเวียน จึงเสด็จไปดอยนันทกงรี ไว้กงจิตร์แก้วณท่ามกลางแม่น้ำของ ไหลผ่าเมืองพระยาจันทบุรีไป ที่ดอยนันทกังรีนั้นก็จักบังเกิดเป็นเมืองขึ้น รุ่งเรืองไปด้วยพระพุทธศาสนา แต่ทว่าจะต้องเข้าไปอ่อนน้อมขึ้นแก่เมืองที่พญานาคเนรมิตให้แก่พระยาจันทบุรีนั้น ถึงแม้ว่าเมืองมรุกขนครก็ฉันเดียวกัน ด้วยเหตุว่าพระพุทธเจ้าได้มาไว้กงจิตร์แก้วที่ริมหนองคันแทเสื้อน้ำนั้นก่อน พระองค์จึงได้เสด็จกลับคืนไปทางข้างขวา ไว้กงจิตร์แก้วและพงศ์เสมอกันทุกแห่ง ข้าน้อยทั้งหลายได้พิจารณาดูโฉลกเมืองตามคัมภีร์ศาสนานครนิทานที่ได้เรียนมา และได้เอาพื้นเมืองทั้ง ๓ มาเข้าประสมกันดู ตามที่พระพุทธองค์ได้เสด็จมาสู่เมืองสุวรรณภูมินั้น เอาตั้งเป็นอธิปติเข้าแพด๒๑กันดู เมืองมรุกขนครถูกมัชฌิมนคร เศษเป็นอัปปราชา ภายหน้ามีฉันนี้
ท้าวพระยาองค์ใดจักมาเป็นใหญ่ บ่มีอาณาคมบุญสมภารน้อย จักได้เป็นอนุแก่เมืองที่กว้างขวาง คือเมืองที่พระยาจันทบุรีกินอยู่ณท่ามกลางบัดนี้ เมืองที่ตั้งขึ้นที่ดอยนันทกังรีนั้น ก็ถูกโชติราชาเอาส่วนสังฆโชติมาสับ ภายหน้าท้าวพระยาตนใดมาเสวยราชสมบัติ ชอบกระทำยุทธกรรมมากนัก แต่ภายหลังก็จะเสื่อมศูนย์เสีย ด้วยเหตุว่าเศษสูญราชา มีในคัมภีร์ศาสนานคร แต่ทว่าจักรุ่งเรืองแต่สังฆเถรเป็นใหญ่ยิ่ง เหตุว่าโฉลกศาสนานครนิทาน ในคัมภีร์สังฆราชา อธิปติพระพุทธศาสนา ถูกข้าน้อยทั้งหลายฝูงเป็นพราหมณ์เวทคู ได้แจ้งในคัมภีร์เพศดังนี้ ขอถวายแก่มหาราชเจ้าก็ข้าแล
ขณะนั้น พระยาสุมิตตธรรม พระองค์ทรงยินดี จึงตรัสว่า สาธุ สาธุ แล้วจึงพระราชทานบำเน็จรางวัลแก่พราหมณ์ทั้ง ๕ เป็นอันมาก จึงตรัสสั่งให้แต่งโฉลกเมือง และรูปรอยกงจิตร์แก้ว กับทั้งรูปแม่น้ำใหญ่ มีน้ำของ เป็นต้น พร้อมทุกสิ่ง ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น เขียนลงในแผ่นผ้าขาวด้วยเส้นหมึก พร้อมทั้งรูปสิ่งที่เป็นมงคล ไว้ให้บุคคลที่มีปัญญาพิจารณาดูแปน๒๒แม่น้ำ และรูปนั้น ๆ เทอญ
ว่าด้วยพราหมณ์ทั้ง ๕ กลับคืนสู่เมืองมรุกขนคร
จบแต่เพียงเท่านี้
-
๑. “บุ” ผุด ↩
-
๒. บางแห่งเป็นกระดิง ↩
-
๓. “เลิกแลบ” ละเอียด สุขุม ↩
-
๔. “น้ำที่พญานาคให้บ่ห่อนมีสักเทื่อ” ในที่นี้หมายความว่า น้ำที่พญานาคเนรมิตหรือกระทำไว้นั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายยังไม่เคยเห็นว่ามีเลย ↩
-
๕. “พี” ในที่นี้หมายความว่า อ้วน ↩
-
๖. “หลาบคำ” สุพรรณบัฎ ↩
-
๗. ต้นฉบับบอกแต่เพียงว่า ๓,๐๐๐ ไม่ทราบว่าเป็นเส้นหรือวาแน่ ↩
-
๘. “บาสี” สมโภช ↩
-
๙. “ส่วย” รี เรียว ↩
-
๑๐. “บ่ลุ” ไม่ตลอด ไม่สำเร็จ ↩
-
๑๑. “เต้า” ในที่นี้แปลว่า นำมาซึ่งความฉิบหายและความเจ็บไข้ ↩
-
๑๒. “ชูโจม” หนูน ↩
-
๑๓. “ฟดไม้เทิงโพ้น” กิ่งไม้ข้างบนนั้น ↩
-
๑๔. “กั้งกวม” ปกปิด, กำบัง ↩
-
๑๕. “ผาบ” ปราบปราม ↩
-
๑๖. “หินเป้งสองหน่วย” หินใหญ่ ๒ ลูก ↩
-
๑๗. “ศาลจอด” ที่พักหรือที่ประทับชั่วคราว ↩
-
๑๘. “ฝักคำ” คร่ำทอง ↩
-
๑๙. “เราบ่เห็นอย่าฟ้าวห่อนว่า” เราไม่เห็นอย่าพึงพูดไป ↩
-
๒๐. “แจ่งสี่อัน” ในที่นี้หมายถึง กงจิตร์แก้วมีอยู่ในที่นั้นทั้ง ๔ ทิศ หรือ ๔ มุม ↩
-
๒๑. “แพด” เทียบเคียง ↩
-
๒๒. “แปน” แผนผัง ↩