๔. คนกลางดิน

เดือน ๕ หน้าแล้งแดดเปรี้ยง

หญ้าทุกหย่อมร้อนระอุ น้ำแลฟากตลิ่งแตกระแหง ท้องน้ำลำกระโดงก็เขินเลน แสนแสบกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูของธรรมชาติ หัวคุ้งเจ้าขวัญเงียบสงัดร่มรื่นไปด้วยเงาไม้ใหญ่แม้ว่าจะเป็นเดือน ๕ หน้าร้อนในคลองก็ยังมีน้ำใสสะอาดไหลเป็นเกลียว บัวเผื่อนและผันประชุมดอกสลอนตามตลิ่งสองฟากเป็นไม้ใหญ่ยืนต้นทั้งไกรและก็กร่างเถาวัลย์เลื้อยโยงระย้าปกคลุมมีศาลคู่ของเจ้าขวัญและแม่เรียมซึ่งชายคลองปลายน้ำบางกะปินับถือกันว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่ซึ่งยังสถิตเสถียรอยู่เพื่อเป็นองค์พยานของคู่หนุ่มสาวลูกปลายน้ำรุ่นหลังที่จะกระทำสัตย์สาบาน ว่าจะเป็นคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตลอดไป

เพิงมุงด้วยแฝกเพียงอาศัยคนเดียว ปลูกอยู่หลังศาลห่างออกไปจากนาเขินท้ายดงโสน ควายแตกเปลี่ยวเพิ่งรุ่นหมอบเอื้องหญ้าอยู่ใกล้ๆ กำลังบ่าย แดดเพิ่งจะตกชายทุ่งลมฝ่ายอดไม้ลงพ้องน้ำเป็นระลอก อ้ายเจ้าของควายซึ่งนอนพักร้อนก่ายหน้าผากอยู่ในเพิงอ้ายคนที่ถูกหาว่าลักเงินปล้นควายเมื่อ ๓-๔ เดือนก่อนและถูกขับออกจากแสนแสบ แต่ว่ามันก็คงหลบอยู่ในแดนบางกะปิต่อแสนแสบอย่างสบายใจสองชีวิตกับอ้ายหลักควายหนองจอกที่มันเป็นคนซื้อแต่ว่าอ้ายหลักเป็นควายเปลี่ยวอาละวาด เมื่ออ้ายแผลงคนเลี้ยงเตลิดมาแล้วก็ไม่มีใครจะยออ้ายหลักไว้อยู่ มันก็แตกคอกขวิดดะไม่เลือกแล้วก็เบิ่งไป กระทั่งมาพบเจ้าแผลงนายเก่าที่เคยขี่มันมาแต่หนองจอก อ้ายหลักก็เลยมอบตัวเป็นพาหนะเพื่อนทุกข์ เพื่อนยากอยู่กับอ้ายแผลงอาศัยหลบเป็นควายเจ้าอยู่หลังศาลเปลี่ยว

พอตะวันคล้อย ความร้อนค่อยเบาบางลมตกทุ่งเย็นสบาย มื้อเย็นที่จะต้องหาใส่ปากใส่ท้องใกล้เข้ามา เจ้าแผลงจำใจตื่นจากความคิดที่ไตร่ตรองไปถึงความหนหลังโน้น ปลดออกจากหลังคาเพิงเดินมาที่อ้ายหลัก มันลุกยืนเบิ่งจ้องหน้าเจ้าของเห็นอ้ายหลักแล้วก็คิดถึงความหลัง เพราะกูไปหนองจอกซื้อมึงแท้เทียวอ้ายหลัก กูถึงต้องยากกายช้ำใจถึงปานนี้ เออ-ปานนี้และวะอ้ายหลักที่แม่โปรยกะกูมาสาบานกันที่หน้าศาลท้ายพงกก แต่ว่ากูมันคนยากหมดตัวอ้ายน้ำคำสาบานและน้ำใจรักของแม่โปรยก็หมดไปลดไปพร้อมๆ กับน้ำหลากเดือนอ้าย

อ้ายคนหนุ่มที่อาศัยท้องน้ำแลนาเขินแอบแฝงฝากชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ยืนเพ่งพงกกชายตลิ่งข้างหน้ากอกกที่หักราบเพราะแขนมันแหวกแล้ว อุ้มเจ้าโปรยนั่งตัก จมูกจูบแก้ม ปากก็พร่ำวอนรักกันเหมือนจะขาดใจเสียด้วยกันที่หน้าศาลเมื่อก่อน แต่มื้อนี้เล่าโปรยเอ๋ยเจ้าเป็นอื่นไปเสียแล้ว พี่อกแห้งเมื่อรู้ข่าวว่าท่านกำนันรับหมั้นอ้ายชวนกะเจ้าเมื่อเดือนก่อน แล้วเดือนหกแรมข้างหน้า เจ้าก็จะต้องแต่งเป็นเมียของอ้ายชวน แล้วอ้ายชวนมันก็จะพาเจ้าไปอยู่บางกอก แลอ้ายคนแสนแสบพันยังกะพี่ก็จะต้องตายเพราะช้ำใจโอ๋บางกอก บางกอกเมืองไกลที่มันจะพรากเจ้าโปรยไปจากพี่ แม่โปรยก็คงเป็นสุขอยู่ในบางกอกเมืองสวรรค์ รวมทั้งอีช้อยกะอ้ายเทียมที่เพิ่งจะหมั้น หากว่าฉันจะตายลงเสียมื้อใดแม่โปรยก็คงจะไม่รู้ อีช้อยก็จะลืมหน้าพี่ ผีพี่ก็คงเป็นผีทุ่งอยู่กะอ้ายหลักหลังศาลนี้เอง

ถ้าขืนคิดไปอีกคงไม่กลั้นน้ำตาได้ กลับหลังเมินหน้าหนีพงกกออกเดินมุ่งลัดเข้าชายนา อ้ายหลักที่เงื่องหงอยเหมือนรู้ใจนายเพื่อนทุกข์ มันมิได้ร้องรบกวนหรือเอาสีข้างสีขาแงะหยอกล้อเหมือนอย่างเคยออกเดินตามเจ้าแผลงดุ่มร่วมทุกข์ร่วมยากไปหาอาหารมื้อเย็นด้วยกัน

คล้อยบ่ายล่วงไปแล้วอีกครู่ใหญ่ๆ ที่ท่าน้ำหลังเรือนกำนันแปลกกำลังเป็นสบาย เพราะร่มเงาไม้ริมตลิ่งกับสายน้ำเชี่ยวในคลองทำให้เพลิดเพลิน เจ้าโปรยคนสวยของแสนแสบแม้ว่าจะได้เปลี่ยนสภาพจากหญิงบ้านนาไปอย่างคนละคน กระทั่งเป็นคู่หมั้นของนายชวนคนบางกอกมีหน้ามีตา แต่แล้วความไม่แน่ทั้งหลายก็เกิดขึ้นแก่เจ้าโปรยอีก ตั้งแต่หมั้นกันแล้วร่วมเดือน นายชวนก็หายเงียบไม่เยี่ยมกรายมาแสนแสบอีก ซ้ำร้ายพ่อเทียมยังยืนยันว่าเมียของนายชวนที่บางกอกมีถึง ๒ คน เป็นอันว่าท่านกำนันและเจ้าโปรยหลวมตัวที่รับหมั้น

ข้างฝ่ายเจ้าเทียมถึงจะได้หมั้นแล้วกะเจ้าข้อย แต่ใจแท้เดี๋ยวนี้ของพ่อเทียมหาได้รักเจ้าช้อยไม่ เมื่อก่อนรู้ว่าเจ้าโปรยยังรักยังใคร่อยู่กะอ้ายแผลง พ่อเทียมจึงเสี่ยงมาชอบเสียกะเจ้าช้อย แต่นี่อ้ายแผลงซึ่งเป็นคนเดียวที่คิดคร้ามก็สาบสูญ ความรักของนายชวนก็แตกเพราะปากพ่อเทียมเอง แล้วเจ้าโปรยก็ถูกอกถูกใจและปองไว้นานนักหนาจะไปไหนเสีย

ทั้งสองนั่งอยู่ใกล้ๆ กันที่ท่าน้ำ พ่อเทียมคนเจ้าความคิดกำลังพูดจาหว่านล้อม จะให้เจ้าโปรยถอนหมั้นจากนายชวนมาตกลงปลงใจกับตัว แต่ว่าในหัวอกแท้ของโปรยกำลังชอกช้ำคิดจะไม่เชื่อผู้ชายทั้งหลายอีก เพราะสิ้นชายนั้นเหมือนไผ่ยอดอ่อนที่โอนลมรอบทิศสัญชาติไผ่หรือจะหมดหนามหรือวิสัยหนามก็ยอกไม่เลือกว่าใคร

โปรยนิ่งฟังคำของพ่อเทียมที่พูดจาหว่านล้อม แทะโลมต่างๆ ก็ให้นึกรำคาญน้ำคำจึงถามขัดขึ้นว่า

“ก็แล้วแม่ช้อยนั้นพ่อเทียมจะว่าไร?”

พ่อเทียมหัวเราะก๊าก เพราะได้เตรียมตอบคำนี้ไว้ก่อนแล้ว “อ๋าแม่โปรย ฉันก็ถอนหมั้นนังช้อยเสียเท่านั้น พี่ชายมันทำไว้กะแม่โปรยฉันก็จะแก้ตัวกะน้องมันเพื่อลบแค้นให้แม่โปรย” เมื่อเห็นโปรยไม่ตอบก็พูดต่อไปตามที่คิดมาแต่เมื่อคืน “รู้หรือเปล่าหรอกแม่โปรย ว่าอ้ายก๊กตาเชื่อมนี่มันโกงทั้งโขยง เจ้าชวนมันหมั้นกะแม่โปรยก็เพราะแม่โปรยมีนามาก เป็นลูกคนเดียวของท่านกำนัน มันจะเอาปลาเล็กมาแลกปลาใหญ่ ข้างนังช้อยมันก็รักสมบัติฉันตะหาก แน่ะแม่โปรยอย่าดูอื่นดูไกลเลย ขอให้ดูอ้ายแผลงเถอะ นาของมันตั้ง ๓๐ กว่าไร่ตาเชื่อมก็โกงเสียจนหมดตัว ซ้ำหาความใส่เสียจนต้องเตลิดออกจากแสนแสบแล้วฉันเรอะจะกล้าเข้าไปเป็นเขยตาเชื่อม มิวันไรก็วันหนึ่งหรอกที่ฉันจะต้องถูกวางตายทิ้งสมบัติไว้ให้มัน”

โปรยใจหายเมื่อได้ยินชื่อเจ้าแผลง ยิ่งรู้ว่าเคราะห์ของเจ้าแผลงนั้นเกิดขึ้นจากตาเชื่อมใส่ไคล้ ก็อกแห้งเพิ่งจะรู้ความจริงว่า อ้ายชู้รักเก่าเป็นคนบริสุทธิ์นึกเสียใจที่เจ้ามัวหลงคำเขาอื่นลืมมันเสียง่ายดาย

“ใครเป็นคนบอกพ่อเทียม?”

“จะต้องใครบอก ก็อ้ายเขียวคนบ้านฉันที่ตาเชื่อมจ้างให้ดักฆ่าอ้ายแผลง เมื่อจะไปซื้อควายนั่นถูกแทงวิงอู้มายังอยู่ทั้งคนแล้วความนี้ตาเชื่อมยังมาปรึกษากะฉันอยู่ทุกวันจนอ้ายแผลงกลับ”

โปรยมองดูสายน้ำใจคอหาย ยิ่งเห็นปลาผุดและว่ายเลาะตลิ่งก็หวนนึกถึงคำของเจ้าแผลงเมื่อวันไปถีบระหัด มันอยากเป็นปลาอยู่ในน้ำเพราะว่าสบายใจกว่าคนก็น่าจะจริงของมัน

เรือสำปั้น จ้ำมาจากหัวคุ้งลำหนึ่งมีคนนั่ง ๓-๔ คน โปรยป้องหน้ามองจำได้ว่าคนท้ายคือเจ้าช้อย กระทั่งใกล้เข้ามาจึงรู้ว่าเจ้าช้อยร้องไห้ ข้างพ่อเทียมผละห่างสีหน้าเจื่อน

แทบไม่ทันจอดเรือ เจ้าช้อยรีบโดดขึ้นตลิ่งก่อนคนหัว

“ท่านกำนันอยู่ไหม? แม่โปรย”

โปรยยังตะลึงในท่าทางและการมาอย่างผิดประหลาดของน้องสาวคู่หมั้น

“อยู่-เอ๊ะ ทำไมช้อยถึงร้องไห้ เกิดเรื่องราวอะไรขึ้นเร๊อะ?”

ช้อยยกมือปิดหน้าซัดอีกโฮใหญ่

“พ่อตาย เพิ่งขาดใจเสียเมื่อสักครู่ฉันก็รีบมาหาท่านกำนัน”

พ่อเทียมกับโปรยสะดุ้งร้องฮะขึ้นพร้อมกัน และนึกโล่งใจไปด้วยกัน ที่เจ้าช้อยมิได้ร้องไห้เพราะเห็นคนทั้งสองนั่งคุย

“นี่พูดเป็นความจริงหรือน่ะ แม่ช้อยฮะ?” พ่อเทียมคะยั้นคะยอแกะมือที่เจ้าช้อยทำท่าจะปิดหน้าอีก

“จริง-อ้ายหลักควายที่แตกคอกไปเมื่อ ๓-๔ เดือนนั่นแหละ มันบ้ามาแต่ไหนไม่รู้ขวิดควายเราที่ปล่อยอยู่กลางทุ่ง พ่อแกจึงวิ่งออกไปไล่ มันเลยขวิด ไปดูเองเถอะฉันจะไปหาท่านกำนัน ที่บ้านก็ไม่มีคนจะอยู่เป็นเพื่อนผีนอกจากแม่และเด็กๆ”

เมื่อเจ้าช้อยผลุนผลันขึ้นเรือนไปแล้ว โปรยก็นึกปลง อนิจจังตาเชื่อมยังพูดถึงแกหยกๆ เดี๋ยวนี้เอง แล้วก็ใช่ควายอื่นไกลที่แท้ก็อ้ายควายหนองจอกที่แกซื้อมานั่นเองแล้ว ก็เลยคิดไปว่า บาปก่อนแกทำไว้ที่ให้เจ้าแผลงไปซื้อหวังเพอุบายจะโกงมัน แล้วแกก็ต้องมาตายด้วยอุบายชั่วของแก เป็นอันว่าเจ้าช้อยมาแจ้งให้กำนันว่าพ่อตายและขอร้องให้เรียกระดมลูกบ้านช่วยกันออกล้อม ยิงอ้ายหลักเสียในเย็นวันนั้น โปรยหน้าซีดเมื่อรู้ว่าพ่อต้องรีบธุระออกไปยิงอ้ายหลักเกรงจะถูกชนตายเหมือนตาเชื่อม แต่พ่อเทียมซึ่งคอยหาช่องจะทำความดีอยู่แล้วเป็นผู้รับอาสาจะออกหน้านำลูกบ้านไปยิงอ้ายควายหนองจอกโปรยจึงค่อยเบาใจ

เจ้าแผลง อ้ายคนสิ้นเนื้อประดาตัวอาศัยเพิงแลร่มไม้เป็นที่ค้างกายกำลังก่อไฟหลุมจะหุงข้าววันนี้ได้ข้าวมาก เพราะอ้ายเทียมไม่อยู่ ลูกจ้างก็ออกไปเลี้ยงควายเลยเจาะยุ้งขนเสียพอแรงเผื่อไปมื้อหน้าได้อีกหลายวัน ขอเทน้ำลอยเป็นแพเสียอีกแยะ นึกขันว่าอ้ายเทียมกลับบ้านคงจะท้าขรมหาตัวคนแกล้ง วันนี้อ้ายหลักจะเตลิดเข้าไปลองเขาที่นาใครยังหารู้ไม่ได้ ควายพันธุ์ยังอ้ายหลักนี่มันถูกใจนักถึงชาติหน้าจะเกิดเป็นควายก็ขอให้เป็นควายเหลือขออย่างอ้ายหลักเถอะไม่ว่าเลย

พอข้าวหลุมสุกสักครู่ ก็เอาโคลนพอกปลาแล้วเสียบไม้ย่าง พลิกไปมายังไม่ทันจะสุก เสียงสวบสาบตะโพงลั่นทุ่งมาแต่ข้างหลัง พอเหลียวก็เห็นอ้ายหลักตัวลือยังนึกเมื่อมาถึง มันสลัดเขาเบิ่งแล้วตะกุยดินทั้งจามทั้งหอบปลายเขาเลือดยังสดๆ

เจ้าแผลงมิได้นึกผิดแปลกอะไร เพราะเป็นของธรรมดาของอ้ายควายหนองจอกที่ชอบประลองเขา ครั้นมองไปอีกทีถึงกับถลันยืนที่ปลายเขามีเศษผ้าขาดติดมาด้วย ทั้งเลือดก็ใสผิดเลือดควายอื่น เป็นคนแท้เสียละอ้ายหลักมึงวันนี้ต้องขวิดคน เออ ถ้าว่าเป็นคนก็เห็นจะไม่รอดข้ามคืนแน่ แล้วเจ้าแผลงก็วัดเลือดตามรอยปลายเขาลึกเกือบจะสองฝ่ามือ ตายโหงแน่ เอาอะไรมารอดถึงควายก็เต็มยืด

มันยืนใจคอสั่นคิดถึงคนที่ถูกอ้ายหลักขวิด ว่าป่านนี้จะเป็นประการใด คิดถึงความเดือดร้อนของอ้ายหลักที่จะต้องถูกพวกลูกหลานติดตามประหารมัน เพราะเอาไว้ไม่ได้ ข้างอ้ายหลักควายเปลี่ยวที่จะรู้ผิดมันยืนง่วงเขาตกตาปรอยๆ

เสียงกู่และตะโกนกันเอะอะมาแต่ไกล ทั้งในลำคลองและท้องทุ่งทุกด้าน อ้ายหลักตื่นเบิ่งเขาเข้าดงโสน เจ้าแผลงเองก็ตื่นไม่แพ้อ้ายหลักแต่พอเดาความได้ว่าทำไงเสียพวกพ้องลูกหลานอ้ายคนถูกขวิด คงจะต้องสะกดรอยมาเป็นแน่ หมุนเข้าเพิงคว้าหอกกับไม้รวกที่เสี้ยมเป็นแหลนมัดไว้ ๘-๙ อันกับมีดพก เผ่นขึ้นต้นไม้ใหญ่หลังศาลจนกระทังถึงยอดจึงโหนเถาวัลย์ข้ามไปอีกทีหนึ่งด้วยความช่ำชองชำนาญ

กำนันแปลกซึ่งป่าวร้องลูกบ้านได้ ๑๐ กว่าคน และส่วนมากเป็นเจ้าของควายที่ถูกอ้ายหลักรังควานมาแล้วทั้งสิ้น พ่อเทียมเป็นคนนำหน้าถือปืนยาวเดินตามรอยตีนมาทางบกกระทั่งถึงหน้าศาล

เมื่อล้อมใกล้เข้าไป ทุกๆ คนก็แปลกใจที่เห็นเพิงอาศัยสำหรับคนข้าวก็ยังร้อนๆ หุงเพิ่งสุกแถมปลาที่ยังย่างค้างไว้อีก และรอยตีนควายก็มาสิ้นสุดลงตรงนั้น เพราะเป็นที่แห้งดอน

ท่านกำนันกับพ่อเทียมไปก้มๆ ดูในเพิง แล้วก็พูดซุบซิบ

“คงจะมีคนมาลอบอาศัยอยู่เป็นแน่เชียวนะ ท่านกำนันดูซีผ้าผ่อนยังแขวนอยู่ทั้งห่อ”

ท่านกำนันแปลกพยักหน้า “เห็นจะจริง ข้าวปลายังหุงร้อนๆ แต่ก็คงไม่ใช่คนดีบริสุทธิ์เสียละมังพ่อเทียม?”

“อ๋อเป็นแน่เทียว” พ่อเทียมคล้อยตามแล้วแหงนดูคบไม้ “อ้อศาล ถูกละศาลเจ้าพ่อบางกะปิ แต่ว่าอ้ายควายนี่มันก็ดุฉกรรจ์อยู่นักทำไมอ้ายหมอนี่ถึงอยู่รวมกับมันอยู่ได้นะ โน่นไงท่านกำนัน” พ่อเทียมชี้แปลงควายและหญ้าฟาง ที่ทอดถัดหลังเพิงให้กำนันแปลกดูแล้วว่า

“รื้อมันทิ้งเสียเถอะน่ะ อ้ายเพิงหมาแหงนนี่ขืนเอาไว้ก็รังแต่จะเป็นที่อ้ายคนกลางดินกินกลางทรายอาศัยเปล่าๆ เผลอเข้าก็ขโมย ฉันกลับไปบ้านไปเอาปืนเมื่อกี้ข้าวในยุ้งก็ถูกขโมยทิ้งน้ำเป็นกองสองกองคงอ้ายนี่แน่” ขาดคำพ่อเทียมก็ยกเท้าถีบเพิง และกระชากหลังคาพังทลายวินาศหมด แถมเอาข้าวในห่อกับปลาเหวี่ยงลงน้ำไป

ลูกบ้านที่มาด้วยเที่ยวค้นหาอ้ายหลักกันตามที่ต่างๆ กระทั่งใกล้พลบด้วยความระมัดระวัง เพราะรู้อยู่ว่าอ้ายหลักมิใช่ควายธรรมดา เป็นควายที่มีปิศาจผีตายโหงของตาเชื่อมสิงอยู่ปลายเขา

เหลือดงโสนทึบอีกแห่งเดียว ที่ไม่มีใครกล้าค้น กำนันแปลงจึงให้ประชุมพร้อมๆ กัน แล้วโห่ร้องยิงกราดเข้าไป ในครู่นั้น อ้ายหลักซึ่งหมอบหลบอยู่ก็โผนตะโพงออกมาด้วยความตกใจและบ้าเลือด เพราะมันถูกปืนที่กลางตัว ออกได้วิ่งรี่ใสวิ่งเข้าขวิดกระจายไม่เลือกหน้าใครต่างหลบกำบังโคนต้นไม้ พ่อเทียมซึ่งจ้องอยู่นานพอได้ทีอ้ายหลักเบนหัวให้ก็ยิงถูกแสกหน้าอย่างจัง ล้มแด่วๆ ซ้ำอีก ๓-๔ นัดจึงเงียบหาย

การแล่เนื้ออ้ายหลักลงมือกันเดี๋ยวนั้น กระทั่งค่ำมืดต้องส่องคบแล้ว เนื้ออ้ายหลักก็เพิ่งจะแล่ได้ซีกเดียว เหตุประหลาดที่ไม่มีใครนึกถึงก็เกิดขึ้น เพราะลูกบ้านคนที่ถือคบถลาแล้วล้มฮวบลง

ช่วยด้วย-เร็วฉันถูกแทง!” พอขาดคำคนทุกทางก็มารวมอยู่ที่คนเจ็บ กำนันแปลกเป็นคนถอนหลาวไม้รวกยาวออกจากหลังแล้วมองตาทุกๆ คน

“มาจากไหน?” พ่อเทียมถาม ขยับปืนกลับหน้าตื่นเมื่อไม่มีใครตอบถูก ก็พากันพิศวงและหวาดสันหลังไปตามกัน จึงดับคบหมดทุกดวงเพื่อไม่เสียเปรียบบ้างก็เตรียมกลับ บ้างก็หมอบตัวลงแนบกับดิน

เจ้าแผลงซึ่งลอบอยู่บนคบไม้สูงอีกฟากหนึ่ง ขณะเมื่อเห็นพ่อเทียมยกเท้าถึบและรื้อเพิงที่อาศัยมันแค้นไม่มีอะไรเปรียบ มึงคนเดียวล่ะนะอ้ายเทียมที่ตามผลาญกู กูแตกกันเพราะปากมึง แสนแสบกูอยู่ไม่ได้ก็เพราะปากมึงแล้วมึงก็ยังจองล้างจองผลาญรื้อที่อยู่อาศัยค้างกายกูอีก พออ้ายหลักถูกยิงล้มลงต่อหน้าต่อตา มันก็แทบเอาแหลนพุ่งลงมา แต่หากยังคิดไว้ได้ว่าพวกนั้นมากกว่าทั้งมีปืนครบมือ จึงอุตส่าห์สะกดใจคอยจนมืดจึงพุ่งแหลนไม้รวกที่มันติดมือขึ้นมาไปถูกคนถือคบอย่างแม่นยำ

พวกนั้นตายังมืดฟางไฟอยู่ เพราะเพิ่งดับคบใหม่ๆ จึงคลำดินกันป้วน และเป็นทีข้างอ้ายแผลงซึ่งอยู่ในที่มืด มันมองหาร่างอ้ายเทียมจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร จึงไต่คบต่ำลงมา แต่กำลังมืดจึงไม่รู้ว่าอ้ายเทียมไปซุกหัวอยู่หนไหน เมื่อไม่พบแน่ แหลนที่เหลืออยู่ ๕-๖ อันมันก็พุ่งปราดลงมา แต่ละอันไม่ผิดเพราะคนมากอยู่เป็นกลุ่มเสียงร้องเอะอะเจ็บปวด บ้างก็ยิงปืนสุ่มไปในรกแลพงโสนพอเอาเสียงปืนเป็นเพื่อน สักครู่เสียงน้ำตูมใหญ่ อ้ายคนทรหดใจเสือของแสนแสบโผนลงน้ำไปเสียแล้ว และเสียงหัวเราะก้องลำน้ำ เสียงหัวเราะลั่นที่บางคนได้ยินถนัดหูก็พอจำเค้าได้เป็นรางๆ ว่า เมื่อแล้วต้นปีก่อนมีงานก่อพระทรายที่วัด แล้วเกิดตีกับพวกบางกอก อ้ายคนเสียงหัวเราะนี้ลั่นไปถึงไหนก็แหลกกันเป็นช่องเลือดสาดดินลอยคอลงน้ำกันเป็นแพ สักครู่จึงได้ยินเสียงแขนสาวว่ายน้ำปราดและดำหาย มันจะดำไปสักกี่คุ้งโผล่ก็หามีใครจะกล้าชะเง้อขึ้นมองไม่

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ