๒. ผู้หญิงเดือนสิบเอ็ด

รุ่งขึ้นเป็นวันพระ ๑๕ ค่ำ

แม้นเดือน ๑๑ น้ำจะนอง ฤดูหนาวกำลังกรายเข้ามาในแสนแสบ น้ำในนาตอนเช้าเย็นเฉียบน้ำค้างจับใบข้าวขาวพราว แต่พอตกสายแดดขึ้นอ่อนๆ ท้องนาก็เป็นสบายไม่หนาวไม่ร้อน

กำนันแปลกเป็นผู้ที่มั่นในศีลทานมาก การไปวัดของแกไม่เคยขาดสักวันพระ บางวันก็ถึงค้างวัดเพราะอยู่รักษาอุโบสถ ไม่ก็เพลินโขกหมากรุกกับตาเชื่อมลุงเจ้าแผลง ผู้ที่ร่ำรวยอยู่คนหนึ่งในย่านแสนแสบนี่ ต่อรุ่งสว่างก็พากันกลับบ้านตั้งหน้าทำไร่ไถนาต่อไป จนกว่าจะถึงวันพระข้างหน้าอีก

ถึงเมื่อคืนจะไม่หลับสักงีบเดียว แต่วันนี้แผลงก็ต้องรีบตื่นเช้าโยนหญ้าและฟางเข้าไปในคอกให้ควายมันเอื้องและเก็บกวาดห้องซึ่งรกไปด้วยขี้บุหรี่และก้นยาใบจากกว่าจะเสร็จเรียบร้อย ได้กินข้าวกินปลาก็สาย แดดขึ้นสูงโผล่ขึ้นไปบนเรือนก็รู้จากป้าว่าลุงเชื่อมชวนอีช้อยไปวัดแต่เช้า เพื่อให้พระดูชะตาราศี เหลือบไปที่ครัวไฟซึ่งมีกระดานกั้นเป็นฝาอยู่สัก ๓-๔ แผ่น ก็เห็นตัวหนังสือโป้งๆ เขียนด้วยดินสอพองติดไว้ว่า “เมื่อคืนควายมันกลับคอกดึก”

หนังสือ ๓-๔ ตัวนั้นสะกิดใจเจ้าแผลงแปล๊บ ลายมือก็จำได้ว่าอีช้อย แลเมื่อวันวานก็ไม่เห็นมี เพิ่งจะมาเขียนเมื่อเช้านี่เอง ชะรอยมันจะรู้อะไรสักอย่างไม่ดักคอกราดหน้าเล่น ใจคอก็ไม่ดีนึกเลยไปถึงว่านังช้อยจะแอบได้ยินความที่ปรึกษาจะฟ้องชิงนาจากพ่อมัน ออกได้ก็ผลุนคว้าลูกระหัดขึ้นบ่ามุ่งไปหัวกระโดง ระบายน้ำเก่าออกหมดแล้วก็ก้มหน้าก้มตาถีบด้วยความมานะบากบั่น นานๆ ก็เงยข้ามตาจับไปชายนากำนันแปลก

เจ้าโปรยเข้าหน้าท่านกำนันไม่สนิท ตั้งแต่เมื่อคืน ถึงแม้จะมีปลามาแก้ขวยจนเต็มข้องก็ยังไม่วายถูกพ่อเอ็ดที่มัวเพลินลงปลาจนลืมค่ำลืมมืด แต่เมื่อเจ้าแก้ได้สนิทเรื่องก็เป็นอันระงับ คงเหลือข้อสงสัยไว้ให้ท่านกำนันคิดก็คือในลำกระโดงแกเกิดกุ้งปลาชุมขึ้นผิดเคย

วันนี้แม่ไปวัดด้วยที่บ้านจึงไม่เหลือใครนอกจากยายกับน้าๆ อีก ๒ คน แลคนที่เจ้าโปรยจะกลัวก็มีอยู่แต่พ่อนอกไปกว่านี้เจ้าโปรยก็หาเกรงใครไม่

เสียงระหัดชักน้ำเข้านาลั่นเอี๊ยดอยู่ต้นลำกระโดงตาเชื่อม ใจไม่อยู่กับตัว ที่นาตาเชื่อมพ่ออีช้อยรูปสวยคงไม่มีใครเขาจะขยันเกินพี่แผลงด้วยความในใจมีอยู่คิดมาค่อนคืนจนนอนไม่หลับ นังลูกสาวงามของกำนันก็คว้างอบสวมหัว ดิ่งมาคอกเปิดอีเผือกออก ขี่ไถลเรื่อยมาตามชายนาข้าวได้น้ำกำลังงามรวง แต่ละกอหนักแทบจะทรงลำไม่อยู่เห็นกอข้าว และน้ำใสในนาเปี้ยว ปูแลปลาเล็กกำลังวนว่าย เลยนึกไปถึงปลาใหญ่ของกำนันเมื่อคืนที่เต็มอยู่ในข้อง พงข้าวโอนลมไม่ผิดพงกกหน้าศาลเจ้าขวัญ

เสียงระหัดกลืนน้ำอยู่เรื่อย จึงเตือนอีเผือกบุกลงคันนามาได้ค่อนทาง ก็เห็นเจ้าตัวดีกำลังก้มหน้าก้มตาถีบอย่างเอางานเอาการหลังแลขาเนื้อขึ้นเป็นมัดๆ ทั้งนาและเรี่ยวแรงเป็นของมัน แต่ว่าอาณาประโยชน์เป็นของคนอื่น ตั้งใจจะกู่ล้ออีกเช่นเมื่อวันวานเผอิญเหลียวมาพบเข้าเสียก่อน

“เอ้อเฮ้อ กำลังนึกถึงอยู่เชียว โปรยเออใจมันตรงกันอย่างนี้ฉันก็ปลื้มตาย” แล้วระหัดก็หยุดเงียบ น้ำก็นิ่งนองเจิ่ง พอดีอีเผือกเข้ามาใกล้เจ้าแผลงก็ลงจากระหัดยืนสนตะพายไว้ เอียงหน้าเข้าเกือบชิดถามว่า

“เมื่อคืนนอนหลับมั่งไหมโปรย”

ฟังถามอายหน้าแดง เพราะไม่นึกว่าเจ้าแผลงจะอวดดีถามตรงๆ เจ้าโปรยรีบก้มหน้าเอางอบบัง

“กลางคืนมันสำหรับคนนอน ทำไมฉันจะไม่หลับถามพิลึกคน”

“แต่ฉันมันหลับไม่ลงนี่ยะโปรย ถึงจะเป็นมันก็อ้ายคนไม่มีหัวใจเป็นของฉันเอง”

เจ้าโปรยไขว้ขาแผล็วลงจากหลังอีเผือก มือแซมลานงอบที่แตกแก้ขวยปากก็ว่า

“คนมีพิรุธน่ะซีมันถึงไม่นอนกลางคืน นอนเฝ้าควายหรือคอยเบิ่งดู เผื่อว่าคนมันจะลงมาจากเรือนกลางดึกมั่ง”

แม้เจ้าโปรยจะพูดกราดหน้าดักคอส่งๆ ก็ไม่วายให้คิดความมันเกี่ยวไปถึงอีช้อยแต่ตัวหนังสือที่ครัวไฟเมื่อเช้านั่นมันเกี่ยวมาหาเจ้าโปรย แล้วอ้ายคนกลางมันก็เหมือนคนที่เข้าห้ามควายที่ประลองเขา

“พิพากษาเสียแต่เช้าเชียวนะโปรย อ้ายฉันรึนอนหนาวอยู่ที่ห้างก็เพราะนับถือข้อบังคับของแม่โปรยเมื่อใจมันไม่ง่วงก็หลับไม่ลง ถึงลมเดือนสิบเอ็ดมันจะพัดแรงหนาวเข้าหัวใจ แต่พอรำลึกถึงพงกกเมื่อวันวานก็อุ่นยิ่งกว่าผ้าผวย ๒ ผืน เบิ่งขึ้นไปบันเรือนน่ะมันป่วยการมันสู้เห็นนากำนันแต่เพียงยอดข้าวไม่ได้จริงมั้ยล่ะ”

โปรยทำหน้าเง้ากลบความอาย “เรื่องสีปากประจบละเป็นเอกในแสนแสบนี่ทีเดียว อย่ากลัวเลยฉันยังไม่ใช่มดหรอกจะได้ตายเพราะกินแต่หวาน” ค้อนเป็นวงเป็นกงแล้วพาลตะเพิดตีท้ายอีเผือกตะโพงลงลำกระโดง

ถึงจะยืนยันว่าไม่ใช่มดหลงน้ำตาลอยู่เมื่อกี้ แต่ในครู่ต่อมานังผู้หญิงก็หลงเพลินประจบประแจงตลกคะนองของอ้ายหนุ่มนาบ้านใกล้แล้วมันชักชวนนั่งลงบนคันนาหลังระหัด ต้นข้าวสูงเป็นพงแตกกอให้ร่มเงาพอบังแสงแดดกล้าในตอนสาย

“เรื่องนั้นปรึกษาท่านกำนันแล้วรึยังล่ะโปรย อย่ามัวช้าความนะจะเสียเปรียบเขา” แผลงถามไถลพอเกลื่อนอายของนังผู้หญิงที่มันลอบจูบเอาเมื่อกี้ “พอเกี่ยวเดือนอ้ายนี่ยังไงฉันจะได้รีบฟ้องเสียก่อน เพราะเจ้าชวนพี่อีช้อยมันจะมานาปลายเดือนสิบเอ็ดนี่แหละ”

“อ้อชวนจะมานา” โปรยย้ำคำ นึกแปลกใจว่าเจ้าชวนไปอยู่บางกอกแต่เล็กๆ ไม่เคยโผล่มานาเลยตั้งสิบกว่าปีจะมาเที่ยวนา “มาทำไมกันทำงานบางกอกได้เงินแพงๆ แต่งตัวสวย มิดีกว่ามาทำนากับพวกเราหรือฉันว่า”

แผลงส่ายหน้า เจ้าโปรยมันช่างไม่รู้จักความหนักเบาเสียบ้างเลย

“ทำไม-ฮะ จะมาทำไมเสียอีกล่ะถ้าไม่ผิดอ้ายเรื่องรายนี้ มันคงไม่เป็นอื่นไปได้ เมื่อแรกยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าอ้ายชวนมันไปอยู่บางกอก อายุ ๑๐ กว่าขวบยังไม่เคยย่างมาแสนแสบเลย อีคราวนี้มันจะมาก็เพราะลุงมีหนังสือไปบอก ข้างพวกศาลอำเภอก็มาหาคุยกะลุงบ่อยๆ มันจะมีอะไรเสียอีกอีช้อยก็แย้มพรายอยู่เสมอๆ ถึงเรื่องจะแบ่งนาให้เขาเช่า”

โปรยนิ่งฟังพลอยนึกเสียดายแทนเจ้าแผลง นาตั้ง ๓๐ จะเป็นของคนอื่นเสียเปล่า ใจลอยๆ นึกไปหาเจ้าแผลงเป็นคนสิ้นตัวแล้วไหนเลยพ่อเจ้าจะพลอยเห็นงามยกยอขอให้ ข้างผู้ชายเมื่อพูดแล้วก็นั่งเหม่อๆ อดใจหวั่นใจไม่ได้ว่าถ้าสู้ความแล้วจะต้องแพ้ลุง เพราะเจ้าชวนก็เท่ากับเป็นคนบางกอกรู้ถ้อยรู้ความดี

“ฉันจะไปปรึกษาพ่อแกแต่เมื่อคืนแล้วก็กลัวความจะแตก หน่อยแกจะรู้ว่าเรามานัดพบกันถึงยังไม่กล้า”

เจ้าแผลงได้ยินเพียงครึ่งกลาง มันรักอยู่เท่าใดก็กลัวไม่สำเร็จอยู่เท่านั้น ความคิดกำลังเดินคลองเดียวกับเจ้าโปรยที่ว่าไหนเลยกำนันแปลกจะยินยอมยกลูกสาวสวยให้แก่คนอย่างมัน

เห็นคนรักมันอ้ำอึ้ง โปรยก็ผัดวันพอให้มันสิ้นทุกข์อุ่นใจ “อดใจอีกซักที ๓ วันถึงมาฟังข่าวได้ไหมล่ะฉันจะปรึกษาพ่อให้รู้ในราววันมะรืนเป็นอย่างช้า”

“แล้วแต่โปรยจะเห็นงามซี” แผลงตอบเรื่อยๆ “ยิ่งเร็ววันก็ยิ่งดีน่ะแหละ แต่ว่าโปรยเอ๋ยในวันสองวันนี้ใจคอฉันมันเป็นไงไม่รู้ ตึ้กตั้กเขม่นพิกลเห็นทีจะเกิดความอะไรขึ้นสักอย่างเป็นแท้ นั่นแหละนะโปรย ฉันจะพูดไว้เสียก่อน ถ้าเหมือนยังกะว่าฉันแพ้ความลุง แล้วเขาก็คงไล่ฉันไม่ให้อยู่แล้วก็ฉัน...”

“ฉันพอเห็นจะช่วยอยู่ได้มั่ง”

“ช่วยได้ เออ ก็จริงละไอ้เรื่องที่อยู่ที่กินน่ะฉันไม่เห็นสำคัญหรอกมีเรี่ยวแรงขยันเป็นลูกจ้างทำนาให้เขาที่ไหนๆ ก็พอจะอยู่ได้ ก็แต่ว่าฉันกะโปรยมันมิต้องเลิกรากันไปรึ?”

โปรยไม่ตอบนั่งก้มหน้า วักน้ำสาดกอข้าวอย่างไม่ตั้งใจ แผลงก็กระเถิบชิดฉวยมือเจ้า “ฉันหวังยึดนา โปรยถึงได้คิดเป็นทุกข์ไปยังว่าโปรยลองตอบให้ฉันฟังสักคำเรอะ หากเมื่อหน้าฉันถูกขับจากบ้านแล้วเราจะทำยังไงกัน?”

โปรยสลดใจลงอีกถนัด น่าจะจริงยังที่มันคิดวิตก เพราะกำนันแปลกแลเจ้าเอง เป็นคนชอบมีหน้ามีตาพวกในบางกอกมากมายไหนเล่าจะเห็นงามยกลูกสาวให้แก่เจ้าคนท้องนาที่มีแต่ตัวเปล่า

ทั้งสองนั่งอิงกันมองเงาตัวในน้ำ ปลาหมอว่ายผ่านเงาไปเป็นคู่ๆ ปลาซิวหลบเมียงอยู่ในหลุมตื้นทั้งตัวผู้ตัวเมีย ลัดเข้าแฝงกอข้าวเดรัจฉานมันรักกันด้วยใจสมัครไม่ต้องสู่ขอ ที่ไหนมีห้วงน้ำเย็นก็พากันไปสู่ห้วงนั้นด้วยใจสำราญ เออ-นังโปรยก็น้ำตาลงอาบแก้ม

“โปรย-ถ้าฉันอธิษฐานได้ก็ขอเป็นปลาเสียเดี๋ยวนี้ล่ะ มันสุขเบาไปรึ ว่ายไหนก็ไปด้วยกัน แต่ว่าอ้ายเราเป็นคนมันช่างเกิดมาเสียชาติจะทำเอายังใจเหมือนปลามันก็ไม่ใช่คน”

“มันกรรมเวรน่ะพี่แผลง จะคนหรือปลาก็ช่างถ้าว่าเรารักกันยืดเหมือนเมื่อแรก ถึงเมื่อหลังจะนุ่งผ้าคนละครึ่งผืน ตายแล้วให้ไปอยู่เสียด้วยกันที่นรกทนเวร ฉันก็ว่ามันสุขเกินปลา เพราะว่าคนมันรักกันที่ใจชอบ แต่ปลานั่นมันแล้วแต่ชอบใจ เมื่อน้ำใหม่โพงเข้านาอีตัวเมียมันก็ติดน้ำมาให้ตัวผู้เลือกใหม่”

“เจ้าช่างเปรียบ” แผลงว่า แล้วรัดนังลูกสาวกำนันแน่นขึ้น “พี่ชอบปลาเพราะมันทำไรได้ยังใจไม่ถูกนินทาว่าขาน แต่ถ้าโปรยจะไปอยู่กะมันถึงจะรักแรงแข็งขอบกันอย่างไร ความมันก็ออไปทั้งแสนแสบนี่แหละมันจึงว่าปลามันดีกว่าคน”

“แต่ขอให้คนมันเป็นคนยังว่าเถอะ” แล้วมองเจ้าคนรักเป็นปัญหา “ฉันกลัวว่ามันจะเป็นคนแต่เมื่อเราพอไปเมื่อหลังก็จะเป็นปลาคะนองน้ำใหม่ที่หลากเข้านาเสียแหละมากกว่าอื่น”

แผลงร้อง “อ๋อ” แล้วจูบผมเจ้าโปรยอย่างน่าเวทนา “นั้นหรอกรึผู้ชายเป็นอย่างนั้นมันก็มีอยู่มากๆ ล่ะโปรย แต่ที่ไม่เป็นยังว่าน่ะมันจะมีอยู่มั่งไหม? ถ้ามันมีก็ขอให้เชื่อว่ามันเป็นข้าอีกสักคนเถอะน่าฮะ โปรยเอ๋ยถ้าว่าเราจะไม่โกรธกันแล้วฉันก็จะพูดให้ฟังว่า อีช้อยน่ะถึงใครจะเห็นมันสวย แต่ว่าฉันอุ้มมันมาแต่เด็ก แล้วก็จะให้ไปรักอีเด็กที่อุ้มจนกระเอวเป็นหนามงั้นรึ ฉันน่ะลงใจมันไม่ชอบแล้ว ให้มันงามเป็นรูปหล่อมีสมบัติล้นหัว ข้าวในนามันเอารวงขึ้นมาเป็นทองเสียอีกด้วยเอ้า ฉันก็จะขอหลับตากอดคออีคนที่ฉันรักมีผ้าแต่ผืนพร้าเล่มตายไปเสียด้วยกันให้มันสาใจที่เรารักกัน”

ถึงจะนั่งกอดคอกันอยู่ต้นข้าวสูงท่วมหัวมิดชิดก็สักแต่ว่ากอดกันเพราะอยู่ใกล้ส่วนหัวใจต่างคนต่างตรองสงสารอกเองที่รักกันแล้วแต่มองไม่เห็นว่าจะได้กันอย่างหน้าชื่นตาบาน

นังผู้หญิงน้ำตานอง เจ้าผู้ชายเห็นก็เบือนไป แม้กลางนาจะกำลังแดดเปรี้ยง เพราะเป็นแดดย่างเข้าหนาว ร้อนจัด หัวใจของหนุ่มสาวก็คงเงียบวังเวงไม่เปลี่ยนเป็นอื่น กลองเพลซึ่งดังมาแต่วัดฟากทุ่งโน้นก็ได้ยินเหมือนคนเคลิ้มใกล้หลับ

“ก็แล้วแต่เวรล่ะพี่แผลง พ่อแกฟังเทศน์ยังเคยเล่าให้ฟังว่า คนเรานี่แหละมันมีเวรมีกรรมต่อกันไว้แต่ชาติก่อน เมื่อถึงกำหนดมาชาตินี้จะทำยังไงๆ ก็หนีเวรที่ผูกกันไว้เมื่อก่อนไปไม่พ้น เอ๊อ-เมื่อคิดยังพระท่านว่าแล้วฉันจะยอมปล่อยไปตามเวรที่เราผูกกันไว้”

ยินคำอีโปรยแทบหัวใจจะแตก ขนลุกเกรียวปีติไปทั่วกาย คำเดียวของเจ้าเกิดมานะอีกร้อยปี

“ชื่นใจนักโปรย เออ-คำเดียวของเจ้ามันชุ่มหัวอกพี่จนตาย อย่าว่าแต่จะต้องไถนาเลี้ยงโปรยเลย เมื่อยากเมื่อแค้นมื้อหน้าควายงัวเราไม่มี ฉันก็จะลากไถต่างควายพลิกแผ่นดินเลี้ยงจนชีวิตหาไม่”

ฟังน้ำใจเจ้าแผลง ก็ก้มลงกราบบนตัวอ้ายผู้ชายที่จะมีคนเดียวในแสนแสบหาอีกไม่ได้ เมื่อแรกก็เพียงแต่รักมันด้วยหัวใจเหลิง แต่เดี๋ยวนี้จะขอกอดคอตายไปกับมันเป็นผีไปเสียด้วยกันทั้งคู่ยังจะสบายกว่านั่งเป็นคนทุกข์

อันนาที่นั่งพร่ำรักกันอยู่มุมหนึ่ง แต่อีกมุมหนึ่งหลังระหัดออกไปมีคนบังกอข้าวแอบอยู่ข้างหลัง สักครู่คนที่แอบจึงย่องใกล้เข้ามาถึงระหัด

ไม่ชั่วแต่เจ้าโปรยสะดุ้งและผละจากอก แม้เจ้าแผลงคนที่ขวัญดีและกล้าอย่างสุดใจของแสนแสบก็โหยงขึ้นจนสุดตัวจนไปทางหนึ่ง

พอรู้ว่าใครเป็นใครโมโหจนตัวสัน ยิ่งเห็นเจ้าโปรยยืนปิดหน้าร้องไห้แทบจะโลดเข้าจับมันสองตีนฟาดแล้วกดคนฆ่าเสียในลำกระโดง

ชี้หน้าว่า “อีช้อย นี่เป็นมึงหรอกน่ะ เออ-นี่ดีแต่เป็นมึง อ๋อจะตามมาแกล้งกูน่ะเรอะ แล้วมึงรู้ไหมว่ามึงหยามหน้ากูเท่าไหร่?”

นังคนชื่อช้อยหัวร่อเก๋ ที่จริงหน้ามันก็คมคายเก๋ดี แต่เป็นสาวรุ่นจะเด็กกว่าเจ้าโปรย ยืนเท้าเอวฟังอ้ายแผลงผู้ที่พูดปากคอสั่น มองไปทางแม่โปรยที่ชมกันตลอดลำน้ำแสนแสบว่าสงบเสงี่ยมนักก็อดขันไม่ได้ ชาติคนหงิมมันก็นิ่งไม่กระฉอกให้ใครรู้ แต่ว่าตะเข้มันกบอยู่ใต้พื้นน้ำนี่หรือแม่คนงามแสนแสบ

แกล้งแก้ตัวไปข้างๆ คูๆ ว่า “จะไปรู้เรอะนึกว่านังอยู่คนเดียวซี เดินมาข้างหลังอ้ายระหัดก็บังอยู่ทั้งอัน ใครจะไปเห็นว่ามีคนนั่งค่อนตัวอยู่อีก พอกระแอมขึ้นจึงเกิดเป็นสองคน”

อ้ายแผลงแทบจะคลั่ง ถ้าเป็นน้องแท้รึว่าอ้ายผู้ชายอื่นก็จะเตะมันเสียให้ครอกลงลำกระโดง

โบกมือแล้วชี้หน้าห้ามคำขาด “หยุดนามึง อีช้อยมึงหยามน้ำหน้ากูมากนัก ก็อยากจะรู้ว่ากงการอะไรของมึงถึงได้ตามมาเสือกแกล้งกูนี่”

เจ้าช้อยหน้าซีด เพราะเคยรู้เคยเห็นมาว่าเสียงนี้มันเป็นคนจริงถึงผู้ชายอื่นมันยังเกรงเสียงห้วนๆ พรรค์นี้อยู่ทุกคน

ปากสั่นริกตอบไปอย่างมีแค้น “ฉันเห็นระหัดมันหาย ได้ยินก็ไม่ได้ยินถึงมาดู กลัวพี่แผลงลืมหน่อยใครมันจะยกไปกินเสียฮิ” แล้วก็นึกน้อยใจเช็ดน้ำตาป้อย “ฉันขอโทษเสียเถิด ที่พลั้งกะอีเรื่องเท่านี้ก็ถึงชี้หน้าคาดตาแทบจะกินเนื้อ เมื่อฉันมันรุนแรงยังว่าก็ตบเอาซีจะเป็นไรมี จะได้จำใส่หัวใจไว้จนวันตาย” พูดไม่ออกอีกจนน้ำตาร่วงเผาะกลับหลังออกเดินจากคนทั้งสอง คิดร้อยพันไปตลอดจนกระทั้งถึงเรือน

ช้อยไปแล้วตั้งครู่ใหญ่ คนทั้งสองเห็นความไม่งามจะเกิดขึ้นขืนอยู่ช้า เมื่อนัดแนะสั่งเสียว่าจะพบกันอีกเมื่อไหร่เป็นแน่แล้ว อีเผือกก็ถูกต้อนขึ้นจากลำกระโดงที่มันยังแช่น้ำแสนสบาย เจ้าแผลงยืนแลนังคนที่รักกันแต่ปีกลายจนเลี้ยวเข้าคันนาชายคลอง ต้นข้าวงามสูงท่วมหัวอีเผือกเดินหลีกลัดไปเห็นหลังไรๆ งอบเอนเอียงไปตามคออ่อนของคนสวมที่นั่งปล่อยสติกระทั่งลับหายเข้าไปหว่างกอไผ่

อีก ๓ วันต่อมา

เป็นข้างแรมเดือนมืด ท้องนาแจ่มใสตั้งแต่เช้าอรุณ พอตะวันเยี่ยมฟ้าขึ้นไรๆ ข้าวงามรวงก็ตื่นขึ้นรับแดด ที่ใกล้เกี่ยวก็เหลืองดังทองทั้งรวง ที่ปลูกกล้าเพิ่งเขียวหม่นแกมเหลืองคอยวันสุก กำลังจะย่างเข้าเดือน ๑๒ น้ำเหนือที่หลากมาแต่หนองจอกเมืองมินจึงขาวทุ่ง ข้าวคู่นา ปลาคู่น้ำคือ ท้ายเดือน ๑๑ ย่าง ๑๒ นี่แล้วก็ปล่อยผลให้งอกงามจนกระทั่งถึงวันชายเกี่ยวหญิงเก็บคู่กันอีก เมื่อปลายเดือนอ้ายคาบเดือนยี่แล้วข้าวจะเกลี้ยงนา น้ำหลากก็ลดหนีตลิ่งไปตามฤดู แต่หนุ่มสาวที่คบกันเมื่อหน้าเกี่ยวยังจดจำกันไว้เพลงเกี่ยวยังจับใจ ไม่ลืมกระทั่งแล้งพอย่างฝน ก็จะได้คบกันอีกเมื่อไถดะไถแปร

ถึงใครจะหวังกันได้ แต่อ้ายแผลงเห็นจะไม่ได้หวังกะเขา หว่านรักไว้กับเจ้าโปรยแต่หน้าเกี่ยวปีกลาย พอจะเก็บปีนี้อีช้อยก็มาทำให้พิธีแตก สามวันเหมือนสามปีก็ไม่พบกัน นัดไว้แล้วแต่วันนั้นว่าบ่ายจะพบกันเพื่อฟังความไปถีบระหัดคอยจนน้ำล้นนาเจ้าโปรยก็หายหน้าเงียบ เกลียดหน้าอีช้อยไม่มองหน้ากันมา ๓ วันแล้วเพราะมันเอาความไปฟ้องลุงเชื่อม และแกก็ด่าไม่เว้นแต่ละวัน

ตกค่ำนอนก่ายหน้าผากอยู่บนห้างคนเดียว เดือนมืดเมื่อข้างแรมยังไม่เท่าหัวใจมัน เมื่อคิดถึงเจ้าโปรยแล้วก็แค้นอีช้อยอีเด็กที่อุ้มมาแต่เล็ก มันขี้แยก็พาขึ้นหลังควายหลอกล่อร้องเพลงให้ฟัง กระทั่งมันเป็นสาวก็ยังขี่คอว่ายข้ามน้ำ พอรักกับอ้ายเทียมก็เป็นอื่น อ้ายเทียมก็เป็นคนกันเอง พอหัวไม่รู้สำนึก

แสงไฟฉายสว่างวาบเข้ามาในห้างแล้วก็ส่องหยุดอยู่ตรงหน้ากำลังเพลินคิดกลุ้มอยู่ พอไฟส่องปลาบเข้าตาก็ผงะขึ้นนั่ง

“ใครวะนั่น?”

คนที่ฉายไฟตอบมาห้วนๆ “ฉัน”

คิดประหลาดอีช้อยลงมาทำไมกันกลางค่ำกลางคืนทั้งไม่พูดกันมาตั้ง ๓ คืนแล้ว

แผลงก้าวลงจากห้างถามว่า “เอ็งมีธุระอะไรหรือช้อย?”

“ไม่ใช่ธุระฉัน ธุระพ่อแกให้มาเรียก” เสียงเจ้าช้อยตอบไม่เหมือนปกติ ฉายไฟไปดูควายในคอกบนดอน แล้วก็ฉายออกไปนาหันกระบอกไฟฉายแวบวาบผ่านไปทุกแห่งรอบด้าน แล้วหยุดส่องที่หัวคันนาซึ่งเจ้าพี่ชายเคยไปถีบระหัดจนเกิดความ

ยังหนักๆ ใจที่ลุงเรียกผิดเวลา ก่อนร่อนชะไรก็ไม่เห็นจะถึงกับตามตัวในกลางคืน เมื่อคิดว่าคงจะถูกเทศน์เรื่องนั้นอีกก็ทำใจดีกับเจ้าช้อย

“เอ็งรู้มั้ยว่าแกตามไปเรื่องอะไร?”

“ไม่รู้ มันไม่ใช่ธุระของฉันจะแส่ฟังเรื่อง”

“ช้อยเอ็งเห็นพี่เป็นอะไรไปแล้วรึ?”

“เป็นคน”

แผลงแทบอึ้ง “เอ็งไม่ตอบคำนี้ข้ายังจะไม่ช้ำใจเหมือนเอ็งตอบ”

เจ้าช้อยเมินไปเสียทางหนึ่ง เดือนจะมืดพอจะเห็นหน้ากันเพราะยืนใกล้ เจ้าแผลงหน้าซูบชีดหม่่นหมอง ช้อยก็ดูคล้ำๆ หน้าตาโรย

“ฉันตอบตรงๆ แต่พี่อดคิดไปเอง พ่อแกใช้ให้มาเรียก ใครจะไปรู้ใจแกว่าเรียกเรื่องอะไรก็ไปฟังแกดูเองซี”

“รู้หรอกว่าเอ็งปิด ช้อยถึงข้าจะไม่ใช่พี่คลานออกมาก่อนเอ็ง แต่ข้าก็เลี้ยงเอ็งมา มึงซนสาหัสเล่นไฟเผาฟางทั้งกองลุงจะตีมึงก็ยังรับเอาเสียเอง กูหลังแตกมีแผลนี่เพราะกูรักหลังมึง กูสงสารน้องกู แต่ว่าน้องกูไม่รักกูเลย”

เจ้าช้อยร้องไห้ออกมาดังๆ “ก็เพราะรักพี่ล่ะซีจนเกือบจะถูกตบเตะ ก็ไม่เพราะน้องมันรักพี่รึ” กว่าจะพูดลงคำท้ายฝืนใจเสียเหลือเกิน แล้วก็หันจะกลับไปเรือน

แผลงก็โดดรั้งข้อมือไว้ ลืมข้อสัญญาและคำห้ามของเจ้าโปรย เพราะคิดสมเพชนังลูกสาวคนงามของลุงเชื่อม

“หะ-ช้อย ข้ายังไม่รู้เรื่องเลย เอ็งมันใส่ความข้าหนักไปล่ะ”

ช้อยสะบัดเต็มแรงร้องไห้ดังขึ้นกว่าเก่า แค้นไม่รู้จะไปทางไหนเมื่อสะบัดไม่หลุด

“ปล่อย บอกว่าปล่อยๆ ข้าไม่ใช่คอซ้อมสำหรับพี้เกรียมไว้ประกะอีโปรย ปล่อยนะ ถ้าไม่ปล่อยจะฟ้องพ่อ”

“ข้าไม่ปล่อย เมื่อข้าจะถูกลุงตีหัวแตกเพราะช้อยฟ้องข้าก็ให้มันรู้ไป เอ็งเล่าให้ข้าฟังก่อนว่ามันเรื่องอะไรที่เล็งจะมาแค้นข้าถึงไม่ยอมพูดยอมจา”

เจ้าช้อยไม่ยอมฟังเสียงและไม่ยอมเล่าความ อ้ายพี่ชายมันกินอยู่กับปากเอง สาบานกับอีโปรยหงับๆ อยู่เมื่อวันพระข้างขึ้น พอข้างแรมเดือนมืดจะมาตีเป็นสองหน้าลืมคำเมื่อข้างขึ้นเดือนหงาย

ยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ สะบัดอีกเท่าไรก็ไม่หลุด ยิ่งซ้ำหนักอ้ายแผลงกลับดึงตัวเจ้าเข้าไปให้ใกล้ ท่าทางไม่ผิดทำกับอีโปรยเมื่อก่อนวานซืน

“ข้าไม่ใช่อีโปรยนะพี่แผลง ถึงพ่อข้าจะไม่เป็นกำนัน ใครจะมาดูถูกข้าไม่ได้ ข้าบอกตรงๆ ว่าข้าไม่นับถืออ้ายคนหน้าด้านยังงี้ ถ้าข้าไม่เกรงใจอาแกในหลุมแล้ว ข้าจะตวงให้สิ้นปราณเดี๋ยวนี้ทีเดียว”

ขณะนั้น ควายในคอกบนดอนลุกพรวดพราดตกใจถอยหน้าถอยหลัง เบิ่งไปทางท้ายคอกแล้วก็หมอบลงไปเอื้องหญ้าตามเดิม แต่เจ้าแผลงมัวคิดมาถึงคำเจ้าช้อย

“หนักเกินไปละอีช้อย พ่อกูอยู่ในหลุมมึงก็ยังขุดขึ้นมาว่ามึงดูถูกกูเกินไปเสียแล้วละ” เมื่อใจคิดไปถึงอ้ายเทียม ก็เอาอ้ายเทียมขึ้นมาพูด “มึงสนิทกะอ้ายเทียมพักเดียวถึงกับจะขุดโคตรกูก็ดีละวะอีช้อย กูน่ะอโหสิให้มึงที่เบาความคิดก็เพราะอ้ายเทียมมันหนุน แต่ถ้ากูไม่ปล่อยมือแล้วอ้ายเทียมมันจะช่วยมึงได้แมะล่ะ”

โมโหขึ้นหน้ายิ่งกว่าเดิม เมื่อถูกตราหน้าว่ารักกะเจ้าเทียม เพราะเวลานี้เจ้าเทียมยังคุยกะพ่อที่บนเรือน ทำบ้าระห่ำรวบแขนรวบตัวรั้งไว้ไม่ให้กลับแล้วยังพูดพาลไปอื่น

“ถ้าไม่ปล่อยเป็นเห็นดี” เจ้าช้อยว่า

“กูก็อยากจะดูดี ถ้าไม่พูดกันแต่โดยดี กูก็ไม่ยอมปล่อย”

เมื่อเจ้าแผลงทั้งดื้อทั้งด้าน ข่มเหงขัดใจกันเกินพี่เกินน้อง หรือคนที่จะรักจะใคร่ เจ้าช้อยก็เหลืออดพอมือที่ถือไฟฉายสลัดหลุดก็ฟาดไปเต็มแรง จนกระจกแตกตกลงดินแล้วหัวเราะอย่างแค้นสมน้ำหน้า

เจ้าแผลงเซมานั่งอยู่ที่ห้าง ไม่คิดเลยว่าอีช้อยจะดุร้าย เมื่อแรกก็เพียงมึนหน้ามืด อีกครู่จึงรู้ว่าหัวแตกเพราะมืออีช้อย แม้บางนี้จะได้ชื่อว่าเป็นคนดุแต่ความคิดมันยังมี ยกมือลูบเลือดเหนียวหนับลื่นหน้าอีช้อยน่ะยืนตัวสั้นเท่าที่จะรู้ผิด เมื่อหายมึนแล้วเจ้าแผลงก็ลุกจากห้างที่นั่ง

“ช้อย ข้าเพิ่งเชื่อเดี๋ยวนี้เองล่ะว่าเอ็งเกลียดข้า เออ อย่าตกใจเลยวะ ข้าไม่ทำเอ็งหรอก เพราะข้ามันระยำเอง ข้ามันระยำอีช้อย ทั้งแสนแสบนี่ก็มีมึงแหละเอาเลือดกูออก” ก้มหน้าเช็ดเลือดด้วยผ้าเคียนพุงน้ำตาปนเลือด แค้นตัวเองที่วางใจผู้หญิงเมื่อคิดถึงได้เลี้ยงดูอีช้อยมาแสนลำบาก แล้วก็อดร้องไห้ไม่ได้ “กลับเรือนเสียเถอะไปแล้วก็บอกลุงว่าข้าไม่อยู่ห้างแล้ว เอ็งกะข้าก็อโหสิกันเสียที ข้าไม่รู้เสียเลยช้อยเอ๋ย เมื่อข้างขึ้นเอ็งยังกอดคอให้ข้าพาข้ามน้ำ พอตกข้างแรมชะตาข้าก็ตก เพราะเอ็งเกิดถือตัวไปเถิดน้องเวรกรรมเอ็งไม่มีกะข้าอีก”

ช้อยยืนร้องไห้ นึกชังตัวเองที่โมโหไม่ทันคิด หากว่าเจ้าแผลงตรงมาตบคืนเสีย ๓-๔ ที หรือสลบไปคามือยังจะดีกว่ามันพูด ๓-๔ คำ

“พี่แผลง” เจ้าช้อยเรียกแล้วเดินเข้าหา “ฉันผิดนักแล้วไม่รู้จะทำยังไง”

“กลับเรือน อีช้อยมึงอย่าเข้ามาใกล้มือ มึงอย่ามาแตะเลือดกูจนนิดเดียวไม่ได้ กูนักเลงถึงกูจะไม่ตอบกุ๔ก็ต้องถือนักเลงไม่ให้ใครคัดเลือดกู ไปขึ้นเรือนบอกลุงว่ากูไม่อยู่”

เจ้าช้อยต้องชะงัก เสียงนี้ใครมั่งเล่าจะไม่กลัวทั้งแสนแสบ ถอยออกมายืนร้องไห้ด้วยตันใจ จะช่วยมันก็ไม่ยอมจะกลับก็ใช่ที่ยืนตรองแล้วตรองอีก ยังตัดใจไม่ลงว่าจะทำยังไง

ไฟฉายจากหลักคอกมุมเรือนมาอีกดวงหนึ่ง แสงผ่านวูบวาบแล้วมาหยุดสว่างจ้าอยู่ที่คนทั้งสองและครู่นั้นลุงเชื่อมก็เดินมากับผู้ชายอีกคนหนึ่งยืนหยุดอยู่ข้างหลัง

“อีช้อยมึงไถลสิ้นดี มัวทำอะไรอยู่วะฮะ?” แล้วตาเชื่อมก็ฉายไฟปราดไปทางเจ้าหลานชาย แกตกใจเมื่อเห็นหน้าเจ้าแผลงยังโซมเลือด “เอ้อ นั่นเป็นอะไรวะเฮ้ย อ้ายแผลง เลือดออกซิก ฮิมันอะไรกัน?”

เจ้าแผลงมิรู้จะตอบเท่าไร ยิ่งเหลือบเห็นอ้ายเทียมมายืนเคียงลุงเป็นที่เย้ยแล้วเจ็บใจตัวเอง

“กลับไปเรือนแล้ว ให้อีช้อยมันเล่าให้ฟังเหอะ”

ลุงเชื่อมร้อง “เอ๊ะ นี่มันยังไงกันวะ” หันมามองลูกสาวเห็นปิดหน้าร้องไห้ “มันยังไงกันอีช้อยบอกตรงๆ ฮะ?”

เจ้าช้อยนิ่งอั้นเอาแต่ร้องไห้ เลยทำให้ตาเชื่อมเกิดโทโสหันมาทางเจ้าเทียมซึ่งยืนทำกริ่ม “ว่าไงกันพ่อเทียมเล่าไปเถอะตรงๆ เมื่อพ่อเทียมจะลงมาตามอีช้อยแล้วทำไมถึงย้อนกลับขึ้นไปตามข้าให้มาดูอะไร-เล่าซี”

เจ้าหนุ่มบ้านเหนือนาต่อขึ้นไปยืนลังเล จะทับถมเจ้าแผลงก็รู้สึกอยู่ว่าตัวยังมิใช่มือดีของแสนแสบเหมือนมัน แต่ก็เป็นทีอยู่หนักที่จะกันเจ้าแผลงออกนอกทางมิให้ตาเชื่อมไว้ใจอีก

“ฉันก็พูดเป็นกลางๆ และพ่อเครือว่าฉันจะลงมาตามแม่ช้อย พอมาถึงท้ายคอกก็เห็นกำลังทะเลาะกันและพ่อแผลงยุดข้อมือแล้วกอดแม่ช้อย”

“อือ!” ตาเชื่อมดูดปากเจี๊ยบแล้วหันมามองหลานชายกับลูกสาว

ฟังออกว่าอ้ายเทียมกำลังจะใส่ร้ายทับถม เจ้าแผลงก็พรวดถึงตัวผลักอกจนเจ้าเทียมกระเด็นไปชนตาเชื่อม

“อ้ายโกหก มึงมันโกหก”

ตาเชื่อมเข้ากั้นกลางปะทะไว้ เมื่อเห็นเจ้าแผลงจะซ้ำ

“ช้า-อ้ายแผลง มึงมันจังไรคนเสียแล้ว ผิดถูกยังไงค่อยพูดค่อยจาซี กูหัวหงอกยืนอยู่ทั้งคนจะทำกันอย่างงั้นมันจะได้หรือ แล้วทำไมมันหัวแตกฮะ”

“ถามอีช้อย”

“ลองถามแล้วมึงว่าไงวะ อีช้อย?” เมื่อเห็นลูกสาวยังปิดหน้าร้องไห้อยู่อีกแกก็ว่า “เฮ้ย กูผิดใจเสียแล้ว กูถามมึงคนละสองหนก็ไม่ตอบ แล้วนี่กูจะถามหมาที่ไหนดีเล่า? เอ้า พ่อเทียมเล่าอีก “อย่านาอ้ายแผลงเมื่อมึงไม่เล่าแล้วขืนเสือกเป็นโดนอีกแผลทีเดียว ขยับไฟฉายในมือและออกยืนบังเจ้าเทียมกั้นหน้าอ้ายหลายชายไว้

เจ้าเทียมเมื่อแรกนึกเกรงๆ แต่พอถูกผลักกระเด็นไปก็แค้นเจ้าแผลงเพราะอายนังคนรัก จึงเล่าความแต่ต้นกระทั่งเจ้าแผลงถูกตีหัวแตกตาเชื่อมพอรู้ความก็เต้นเหย็งหันเข้าใส่หลานชายชี้หน้าด่าจนเต็มโมโหและออกปากขับไล่

เจ้าแผลงยืนนิ่งไม่เถียงจนคำ เช็ดเลือดป้ายเลือดปนน้ำตาไหลเป็นทางหยดดิน ธรณีแสนแสบเพิ่งจะได้กลิ่นเลือดเห็นน้ำตาของอ้ายคนดี

ตาเชื่อมค่อยคลายโมโหนึกแปลกอยู่ว่า วันนี้อ้ายแผลงแสนดีไม่เถียงสักคำ ยืนหันๆ รีๆ อยู่ครู่หนึ่งก็เรียกลูกสาวและเจ้าเทียมกลับบ้านอย่างไม่รู้ไม่ชี้ คงปล่อยเจ้าหลานชายคราวเคราะห์ให้ยืนไปตามกรรมของมัน

แผลงนอนไม่หลับตลอดคืนด้วยความคิดที่วนเวียนไปต่างๆ ถึงความที่เกิดแต่เมื่อคืนนี้ ทั้งไม่กล้าที่จะอยู่สู้หน้าลุงหรือมองอีช้อยได้อย่างไร จึงคิดว่าจะหลบไปเที่ยวหากุ้งหาปลาเสียชั่ววันหนึ่ง ทั้งเพื่อพบปะเจ้าโปรยจะได้เล่าความให้ฟัง เพื่อช่วยกันปรึกษาปรับทุกข์ปรับร้อนและคิดการข้างหน้าสืบไป

ไม่กล้าขึ้นไปเอาสวิงบนเรือน ครั้นจะไปเฉยๆ มือเปล่าก็ดูกระไรอยู่ จึงคว้าหอกติดไปด้วย ชั่วๆ ดีๆ ได้ปลาใหญ่กลับมา ก็พอจะอ้างธุระได้บ้าง แดดเพิ่งขึ้นอ่อนๆ เดินเลียบตามชายนากำลังจะย่างเข้าหนาวลมแรงหวน รวงข้าวกร่างไปทั้งทุ่ง เมื่อเลาะมาตามลำกระโดงก็เบิ่งไปจับอยู่ชายคลองหลังบ้านกำนันแปลกเดินกลับไปกลับมาหลายตลบกระทั่งสาย แดดกล้าเกรงจะมีพิรุธไม่ก็อีช้อยไถลมาถีบระหัดพบเข้าอีกจึงเปลี่ยนทางเดินเลาะเลียบชายคลองแทงปลาไปตลอดทาง

ล่วงเพลแดดกล้าลมก็พัดจัด เจ้าแผลงร้อยปลาที่แทงได้มาเป็นพวง เมื่อมีปลาเป็นพยานพอจะทำไก๋กับท่านกำนันได้ จึงเดินบุกมาตามชายคลองกระทั่งถึงเนื้อนากำนันแปลก ซุ่มปลายหอกลงตามกอข้าวริมน้ำ ตาก็สอดส่ายไปพอเหลือบมาทางหลังเรือนอีกที เจ้าแผลงก็ต้องหลบลงหมอบบังพงแขม เพราะเจ้าเทียมกำลังเบนหัวเรือพ้นบันไดท่าน้ำหลังบ้าน ส่วนเจ้าโปรยตามมาส่งที่หัวสะพานน้ำ

หลบอยู่กระทั่งเรือสำปั้นของเจ้าเทียมลับท้ายคุ้ง นึกเฉลียวอยู่ว่า เจ้าเทียมเสือกมาบ้านกำนันแปลกทำไมวันนี้ สันดานล้ายเทียมลงเหยียบบ้านใครต้องมีเรื่องของเพื่อนบ้านติดซากอยู่เสมอ แต่ถ้าเป็นเรื่องอีช้อยตีหน้ากูแตกเมื่อคืนก็จะเอาหอกร้อยปากอ้ายเทียมเสียให้เหมือนอย่างปลา

เจ้าโปรยนั่งทอดใจปล่อยสติอยู่หัวสะพานมองดูน้ำ เห็นเงาตัวเองแล้วคิดสงสารตัว คำพ่อเทียมมาเล่าเมื่อเช้าแม้จริงยังว่า ลิ้นอ้ายแผลงมันก็ไม่ผิดระหัดเดือน ๑๒ ที่วิดน้ำเก่าแล้วก็โพงน้ำใหม่เข้านา กังหันกินลมก็ยังไม่หมุนเร็วเหมือนลิ้นอ้ายแผลง ยิ่งคิดยิ่งกลุ้มใจ แม้นปะหน้าเวลานี้แล้วจะด่าเสียให้สมแค้นแล้วก็เลิกคบเลิกหากันที

เสียงกอข้าวสวบสาบ พอเหลียวไปก็พบหน้าอ้ายหนุ่มที่กำลังแค้นถึง มันยิ้มเซียวๆ ชูพวงปลาให้ดูแล้วรีบบุกข้ามฟากตรงมาหา

“โปรย เลือกเอาสัก ๕-๖ ตัวปะไร”

เจ้าโปรยค้อนขวับ ถอนสะอื้นขึ้นมาติดๆ น้ำตาหยดในต้องมองไปทางอื่น คิดจะกลับขึ้นเรือนแต่อยากจะฟังมันหน้าด้านโกหก ส่วนเจ้าแผลงยังมั่นอยู่ว่าเป็นด้วยที่แสนงอนของเจ้าโปรยเอง จึงเย้าขึ้น

“ที่จะโกรธว่าน้อยไปงั้นเรอะ เอ้า เอาเหอะทั้งพวงนี่แหละ ของเราถมเถไป หอกอยู่กะมือแล้วอดอะไรกะปลา เนรมิตเอาประเดี๋ยวก็ได้”

“อ้ายปลาเขาทุบหัวแล้วข้าไม่ต้องการ”

แผลงสะดุ้งเฮือกทั้งตัว เจ้าโปรยพูดถึงไม่หันมาก็รู้ว่าร้องไห้และมันพูดเข้าเค้ากะเรื่องเมื่อคืน

แข็งใจกลบไปเสียทางอื่นว่า “ไม่ใช่ทุบมานะแม่โปรย ฉันพุ่งเอามาหรอก มีอย่างที่ไหนปลาอยู่น้ำจะเอาไม้ไปทุบ”

เจ้าโปรยหันขวับมาสู้หน้า ถึงน้ำตาจะไหลแต่ปากเจ้าก็หัวเราะแลแกล้งหัวเราะใส่จนมันต้องถอย

“ย่ะ ข้าทราบ ปลาอยู่น้ำมันก็ต้องถูกหอกพุ่ง แต่อ้ายปลานอนห้างมันถูกทุบด้วยท่อนไฟฉายนี่แน่ะยะพ่อแผลงข้าจะบอกให้ว่า อ้ายคนตีสองหน้าหมาสองรางนั่นข้าเหลือจะคบ แม้แต่หลุมตีนข้าก็ไม่ต้องการให้เหยียบลงบนผืนนาข้า แล้วเราก็...” เจ้าโปรยสะอื้นขึ้นมาติดๆ ปัดมือมาจนเฉียดหน้าเจ้าแผลง “อโหสิไม่ต้องดูหน้ากันอีกต่อไป ข้าก็จะก้มหน้าตามเวรของข้า เพราะข้ามันชั่วใจคอมันง่ายหลาย แต่ขอให้พระภูมิเจ้าที่เจ้าทุ่งเจ้าทางจงจำสาบานของมันไว้เถิด”

แผลงยืนงัน อ้ายเทียมทำเสียแล้ว เจ้าโปรยเข้าใจผิดยกใหญ่เพราะอ้ายเทียมปากเดียว แต่เมื่อแผลมันยังเป็นพยานอยู่แก้ลำบากยืนดูเจ้าโปรยสะอึกสะอื้นแล้วเห็นใจ

“เห็นจะเข้าใจผิดไปเสียแล้วหละแม่โปรย ฉันจะว่าให้ฟัง แม่โปรยต้องฟังเสียงฉันก่อนค่อยพูดยังงั้น”

“โอ้ย-ข้าฟังเสียงแกมามากแล้ว ก็เห็นแต่โกหกตะพืด!”

“อ้ายเทียมบอกใช่แมะล่ะเรื่องนี้”

“ไม่ต้องพ่อเทียมพูด ใครๆ เขารู้ออกแซ่ไปทั้งบาง หัวคุ้งท้ายคุ้งเขาก็รู้กันสิ้นว่าหัวแตกเพราะเจ้าชู้ยักษ์”

“ตายโหง! นี่ฉันเสียถึงเพียงนั้นเทียวรึโปรย?” ย้อนถามเสียงปร่าใจคอมันเริ่มขุ่นเหมือนกวนตม ถ้าหากว่าเรือสำปั้นอ้ายเทียมย้อนมาอีกหนแล้ว พ่อแม่จะต้องมางมศพเอาก้นคลอง “เอาละแม่โปรยถึงจะเชื่อปากอ้ายเทียม แต่เสียแรงเรารักกันก็ขอให้ฟังปากฉันมั่ง จะเชื่อไม่เชื่อมันก็ยังเป็นปากคนพูด เมื่อจะว่าปากฉันมันโกหกได้ก็ขอให้คิดว่ามันก็พูดจริงได้อยู่หรอกแม่โปรย อีช้อยมันลงไปตามฉันที่ห้าง ฉันถามมันดีๆ สัญชาติคนงอนมันไม่ทิ้ง ฉันก็ไม่ยอมปล่อยให้มันไป มันเกิดมุตกมันขึ้นมาก็เหวี่ยงฉันด้วยไฟฉาย ความจริงมันมีอยู่แค่คืบนี่แหละแม่โปรย แต่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะกลายเป็นศอกเป็นเส้นเพราะปากอ้ายเทียม”

“ไม่ต้องย้อนยอกให้เจ็บใจ” นังผู้หญิงร้องไห้แค้นคำ “จะศอกจะเส้นมันก็อยู่ในหัวขมองด้วยกันทั้งสิ้น แต่ข้าขอพูดเป็นคำขาดว่าที่นี่เนื้อนาแลบ้านกำนันมิใช่ที่ทางของใครจะมาตีสีปาก ฮึ! ข้ามันชั่ว เพราะใจข้ามันชั่วเองจึงช้ำใจเพราะลมปาก”

สิ้นคำ นังสาวงามลูกกำนันแปลกก็ป่องๆ ลงส้นกลับไปเรือน ทิ้งให้เจ้าคนรักคนใคร่กันเมื่อแต่หน้าเกี่ยวปีกลายยืนอ้างว้างสลดใจอยู่คนเดียว

แผลงตะลึง ตกใจผีสางอื่นยังไม่เหมือนความที่เกิดเคยเห็นเจ้าโปรยงอนมานักต่อนัก ไม่ร้ายกาจเหมือนครั้งนี้เลย ปากอื่นแท้ยังเชื่อเขาได้ แต่ว่าคนมันพาลจะหาเรื่องอยู่ก่อน วาสนามันจะสิ้นคนเสียในเดือน ๑๑ นี่กระมังโปรยเอ๋ยเดือน ๑๑ นี่มันน้ำเหนือหลากเข้ามา แต่ว่าผู้หญิงเดือน ๑๑ หัวใจมันจะหลากหลายเยี่ยงน้ำเหนือกระไร อีช้อยก็คนหนึ่งแล้ว เจ้าโปรยจะแถมเป็นสองก็กรรมของกู

เดินกลับหงอยๆ บุกสวบสาบไม่เลือกนาใครนามัน เมื่อพอใจจะไปแล้ว ก็ด้นดั้นทะลุไปจนได้เพราะใจคอกำลังพาลหงุดหงิด เผ่นเข้านาไหนก็หักราบเป็นกอๆ ตามหนทาง เมื่อร้อนก็ลงคลองทิ่มแทงปลาไปตลอดทางเถลไถล กว่าจะกลับถึงนาก็ร่วมบ่ายร่วมเย็น

ข้าวเช้ายังไม่ตกท้องสักเม็ด แถมข้าวเย็นก็กินไม่ลง นอนไม่หลับอยู่ในห้างคนเดียวจนกระทั่งเพล สักครู่ก็ถูกเรียกตัวขึ้นไปบนเรือน ใจคอไม่ดีคิดว่าลุงเชื่อมคงจะย้อนเอาเนื้อความเก่าขึ้นมาชำระ

กลับตรงกันข้ามจนแปลกใจ เมื่อเจ้าหลานชายหนุ่มขึ้นไปถึงตาเชื่อมยิ้มแย้มรับรองดีแล้วนับเงินส่งให้ชั่งหนึ่ง บอกให้รีบขึ้นหนองจอกให้ทันวัน ๗ ค่ำ เพราะที่บ้านกำนันหนองจอกจะขายควายคู่ละ ๘๐ บาท เจ้าแผลงเป็นนักเลงควายที่ตาแม่น ลงได้รับซื้อแล้วเป็นออกตัวได้กำไรตั้งค่อน

เมื่อแรกอิดออดไม่ยอมไป เพราะยังทุกข์หนักเรื่องเจ้าโปรย โกรธกะเจ้าโปรยอยู่เมื่อกลางวันหัวล้นต้นไฟ ขืนทิ้งให้เนิ่น กว่าจะได้กลับมาแก้สงสัยกันอีกก็ร่วมเดือนน่าจะเลิกร้างถึงโกรธนักเลย แต่เมื่อลุงเชื่อมอ้อนวอนตั้งหลายครั้งหลายหนยังแถมสัญญาว่าเมื่อไปธุระสำเร็จกลับมา จะได้จัดแจงโอนนาคืนให้ พอรู้ว่าจะได้นาคืนความมานะก็เกิดขึ้น มองเห็นทางสว่างที่พอจะเข้ารอยกับเจ้าโปรยได้สำเร็จแล้วก็จะให้ลุงแต่งขันหมากมันเสียรู้แล้วรู้รอด เลยตกลงรับปากกับลุงง่ายดาย และคุยกันอยู่จนดึก

วันรุ่งขึ้นพอได้แสงอรุณตะวันสูงพ้นทิวไม้ พวกบ้านทุ่งทั้งหลายอื่นจากบันไดเรือนไปแล้ว พร้อมด้วยงอบสวมหัวและพร้าหวดมืดไม้ติดมือไปนาตรวจดูทรัพย์ในดินกำลังออกรวงอยู่ดกดื่นทุ่ง บ้านตีเกราะชักตะขาบไล่นกฝูงใหญ่ที่ลงจิกรวงข้าว ถึงจะนาใครนามันก็ทำกันไป พอไปพอเลี้ยงท้องตามประสาของพวกบ้านทุ่ง

เจ้าแผลงเตรียมตัวเสร็จแต่หัวมืด เมื่อปลงอารมณ์อาราธนาแล้ว พระเครื่องในผ้าก็คาดแขนมันอ้ายคนหนุ่มลูกบ้านท้ายคุ้ง ใส่เสื้อกุยเฮงนุ่งเพลาะดำแผนนักเลงบ้านนาตัวเอกหอกสั้นข้อคร่ำเงินคู่มือกับห่อผ้าขึ้นสะพานบ่า เจ้าแผลงจะต้องเดินไปจนกว่าจะถึงหนองจอก เพราะเป็นฤดูน้ำหนทางบางแห่งเดินไม่ได้ จึงต้องเดินสำรวจเสียแต่ขาไปเพื่อสะดวกที่นำควายเดินในขากลับ

นึกประหลาดใจที่ขึ้นไปลาลุงไม่พบหน้าอีช้อยตั้งใจไว้ว่าจะยอมเป็นคนหน้าด้านพูดดีกับมัน เพื่อฝากหนังสือให้อ้ายเทียมไปส่งเจ้าโปรยอีกต่อหนึ่ง เดินลังเลใจมากระทั่งจะพ้นเขตนาแลเห็นทางรถไฟลิบๆ ข้างหน้าโน้น

พอเลี้ยวละเมาะไผ่ชายเขตนาของลุง มันต้องไม่คาดว่าจะได้พบอีช้อยมันน่าจะเห็นอยู่ก่อนแต่ฤทธิ์งอนของมันไม่สิ้นจึงแกล้งยืนให้หลังงอบเปิดหน้าไพล่ตกมาท้ายทอยมือกำพร้าหวดไขว้หลังกำ อีช้อยถึงเป็นผู้ชาย สาวๆ ต้องหลงมันทั้งบางเพราะท่าเก๋ดีนัก

“ช้อย เอ็งออกมาแต่เช้าเชียวเรอะ วันนี้ทำไมมายืนอยู่ถึงนี่ล่ะ?”

ถึงเจ้าแผลงจะพูดใกล้ข้างหลัง นางช้อยท่าเก๋ก็ไม่สะดุ้งเพราะรู้ตัวอยู่ก่อนนึกแค้นอ้ายแผลงแต่ก็แสนสงสาร มันเป็นคนซื่อและโง่ใจหายคนมันกำลังย่าง ๒๕ เบญจเพสเปล่าละกำลังรนไปหาเคราะห์

เหลียวมาพบหน้าพี่ชายวางสีหน้าลำบากเพราะใจมันเป็นอริกันอยู่

“ข้าชอบดูทางรถเช้าๆ เพลินตาดี จะไปละรึนั่น”

“ฮึ-แต่ก่อนๆ ข้าไม่พบเอ็งเลยที่นี่ข้าก็มาทุกเช้า”

“ข้าเพิ่งจะชอบ” แล้วไถลนอกเรื่อง “นั่นพี่จะเดินไปรึจะลงเรือ”

“เดิน” ตอบอีน้องสาวแล้วล้วงหนังสือจากกระเป๋าเสื้อกุยเฮงที่เขียนเตรียมไว้ “ช้อย เอ็งแทนคุณพี่สักครั้งเถอะวะ เรื่องอะไรๆ เอ็งก็รู้อยู่ดี นังโปรยเขาโกรธข้า แต่เมื่อวานเพราะปากอ้ายเทียม” แล้วก็เล่าความที่เกิดให้ฟังแลอ้อนวอนเจ้าช้อยให้มันช่วยถึงเรื่องส่งหนังสือ

ไม่มีใครรู้หัวอกเจ้าช้อยเท่าตัวนังช้อยเอง ทั้งรักทั้งแค้นอ้ายผู้ชายแสนโง่ ยืนมองมันน้ำตาคลอครั้นจะพูดความจริงออกมา พ่อก็จะเสียอ้ายแผลงก็จะอาละวาดไปกันใหญ่ จะปล่อยตามเรื่องเสียละ อ้ายคนเคราะห์มันก็จะยิ่งเคราะห์หนักขึ้นไปอีก

ตอบให้มันตรองปัญหาเองว่า “ก็จะช่วยหละเพราะพี่เลี้ยงข้ามา แต่ว่าพี่รู้หรือเปล่าว่ากำลังเป็นคนเคราะห์”

“เอ๊ะช้อย” หัวเราะชอบใจที่อีช้อยทำแก่เกินอายุมัน “เอ็งไปวัดกับลุงสองสามมื้อเท่านั้น ก็มีวิชาติดปาก เออ ข้าก็รู้ละว่ากำลังมีเคราะห์ ฮะ-ฮะเอ็งแม่นโว้ยช้อย หัวข้าแตกแล้วยังแถมอ้ายเทียมทำพิษเสียอีก ทำไมจะไม่รู้ว่ามีเคราะห์”

ช้อยกระดากที่มันรื้อความเดิมขึ้นมาพูด แต่แล้วก็สลดใจที่มันทั้งโง่และดื้อเหลือหลาย

“ก็ตามเหอะจะว่าอย่างไร แต่ว่าพี่แผลงยังจะมีเคราะห์เกินกว่าที่ฉันว่า” พูดแล้วก็เศร้าใจ ยื่นมือไปรับหนังสือมองหน้าพี่ชายอย่างพิเคราะห์ หน้ามันหมองดำคล้ำบอกไม่ดี “แล้วฉันจะวานพ่อเทียมเขาเอง แต่เมื่อพี่กลับจากหนองจอกแล้วจะว่าไม่เตือนไม่ได้”

แผลงงัน คำอีช้อยมันยากใจพิกล ความฟังกินหูกินใจลึก แต่ก็คิดเสียว่านังน้องสาวคงหมายถึงเจ้าโปรยจะไม่ย้อนคืนดีมากกว่าเรื่องอื่น

“เออ ขอบใจเองละว่ะช้อย มันจะสำเร็จไม่สำเร็จก็ขอให้หนังสือถึงนังโปรยก็แล้วกัน สายโขอยู่แล้วพี่จะต้องรีบไป เพราะหากค่ำกลางทางจะหาที่ค้างยาก”

แล้วร่ำลาน้องสาว จิตนึกเอ็นดูเหมือนเก่าก่อน ลืมถึงว่าอีช้อยตีหัวแตกอยู่เมื่อวานซืน ออกได้เดินดุ่มมุ่งเข้าทาง พอให้หลังไปเพียง ๗-๘ วา เจ้าช้อยทิ้งมีดยืนปิดหน้าร้องไห้ เออ-พี่แผลงมันจะไปเคราะห์มีเคราะห์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ