๑. บ้านข้างเรือนเคียง

เมื่อตะวันบ่ายข้ามทุ่ง แลท้องน้ำแสนแสบผ่านยอดเจดีย์หักวัดบางกะปิ ตกท้ายบางกอกโน้นแล้ว เพลาคาบบ่ายคาบเย็นก็มาถึง แม้เนื้อนาและกล้าเขียวของบางกะปิต้นน้ำ ยังอบอุ่นได้แสงตะวันอยู่ แต่นาลุ่มนาเขินท้ายน้ำของตำบลแสนแสบกำลังจะเป็นเงียบเชียบด้วยตะวันทิ้งดวงไปแล้วไกล

หัวน้ำขึ้นของเดือน ๑๑ กุ้งปลากำลังหลากมากับน้ำใหม่ ข้าวก็ตั้งท้อง บางแห่งแก่ใกล้เกี่ยว พวกบ้านนาที่ว่างงานก็หาลำไพ่อื่น แต่ที่ผู้ขยันเป็นอย่างยอดคือ เจ้าแผลง ลูกเจ้าท้ายน้ำแสนแสบ เจ้าหนุ่มที่คิดจะหาทรัพย์ในดินสินในน้ำด้วยบากบั่นมานะ เพราะมันถือว่าจนไม่เหมือนยังเพื่อนหนุ่มอื่น

เมื่อตะเพิดควายขึ้นจากปลักต้อนเข้าคอกแล้วก็คว้าข้องและสวิงตรงมาหน้าศาลจ้าวขวัญ ซึ่งปลูกอยู่ชายน้ำหว่างแสนแสบต่อบางกะปิด้วยกุ้งปลาชุมกว่าแห่งอื่น โดยพวกบ้านทุ่งบ้านนาทั้งหลาย หามีใครกล้ามาลงสวิงหรือทอดแหไม่ ต่างพากันคร้ามเกรงความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าทุ่งตนนี้ ทั้งหน้าศาลก็เป็นวังท้ายน้ำคุ้ง บนฝั่งเป็นนาดอนสุมทุมไปด้วยมิ่งไม้และเถาวัลย์ และไกลหลังศาลมืดทึบ

สวิงอีกคันหนึ่งยังโหว่รูเบ้อเร้อ เป็นสวิงของนังโปรยที่วานถัก นัดจะมาเอาเย็นๆ แล้วจะเลยลงปลาด้วยกัน เจ้าแผลงนั่งเหยียดขาปากร้องเพลงเอื่อย ใจก็ตั้งอยู่ว่าจะถักให้สวยเพื่อถูกใจเจ้าโปรย แต่ก็ถักผิดคร่อมตาสวิงบ่อยๆ เพราะตามันชำเลืองไปจับอยู่ที่หัวคุ้ง คอยฟังเสียงจ๋อมของใบพายจุ่มน้ำ คอยเหลือบดูหัวเรือเพรียวที่จะโผล่หัวคุ้ง เมื่อถักผิดก็ต้องแก้ใหม่ แล้วก็ผิดอีกและแก้อีกเลยยุ่งกันใหญ่ ตะวันก็รอนลง สวิงก็ไม่แล้ว ซ้ำเจ้าโปรยยังไม่มา สวิงจึงถูกเหวี่ยงไปทางหนึ่ง แล้วก็เอนเอกเขนกนึกเพลงอะไรนิดๆ หน่อย ก็ร้องแก้รำคาญจนกว่านังหน้ามนจะมาตามนัด

ร้องเองรับเองทั้งลิเกและเพลงเกี่ยวข้าวที่จำได้หมดพุง ยังแถมเพลงฉ่อยที่ถนัดก็หมด ถึงต้องใช้ด้นมันเพลิดเพลินที่จะหาคำเกี้ยวเพราะๆ ผูกกลอนไว้แทงใจเจ้าโปรยเล่น จึงหารู้ไม่ว่าที่ริมน้ำท้ายพงกกได้มีผู้หญิงมาซุ่มฟังเพลงฉ่อยอย่างขบขันด้วยกลอนด้นมันตาย แลก็เงียบเหลือแต่เสียงผิวปากรับกลอนสด

นังผู้หญิงในเรือหัวเราะคิกๆ ขำใจ เมื่อปักพายผู้กเรือมั่นคงดีจึงตะโกนเย้าโยนขึ้นไปให้เจ้าคอเพลงบนตลิ่งว่า

“ด้นสวิงเฮอะ อย่าด้นเพลงเลยปลามันจะไม่เหลือกิน” รีบผลุบลงบังกราบเรือพงกก

เจ้าแผลงถลันยืนมองไปหัวคุ้ง และชายคลอง หามีใครนอกจากน้ำกระเพื่อมฝั่ง รอบๆ ตัว แลหลังศาลเป็นนาเขิน มีแต่พงแขม และอ้อถูกลมพัดเกรียวกราวท้ายโน่นก็ดงโสน ใครเล่าลองดี แต่มันเสียงผู้หญิงหรือนังพวกคอเพลงบางกะปิเตลิดมาหาปลาถิ่นปลายน้ำนี่ จะว่าผู้ชายอ้ายหนุ่มนาโน้นก็ผิดไป นี่มันบ้านท้ายคุ้งปลายน้ำ ทุ่งนี้มันลือมาแต่เจ้าขวัญเจ้าพ่อยังทรงชีวิตอยู่เป็นเสือขวัญมาแล้วใครจะห้าวเข้ามาเหยียบมั่ง

เบิ่งข้ามพงกกไปฟากคลองโน้น แล้วป้องไปรอบๆ เพื่อหาตัวคนขัดคอ แต่เมื่อตรวจถ้วนถี่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครอื่นอีก แม้ควายจะดุ่มอยู่ในนาสักตัวก็ไม่มี จึงคิดว่าหูตาฝาดไปเองก็นั่งลง ซึ่งทำให้นังร่างงามที่อยู่ในเรือขำในท่าทางเก่งก๋าของมัน

จึงกู่ขึ้นคล้ายเสียงนกกุ๊กบ้าง สุนัขหอนมาแต่ไกลบ้าง บางครั้งฟาดขาลงน้ำเหมือนปลาใหญ่ผุดแล้วก็หลบลงกลางลำเรือ ก้มหน้าหัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว

เจ้าแผลงเอะใจ นกหนูร้องกันแซ่หมาก็หอนวิเวก ซ้ำปลาใหญ่ผุดโผงอยู่เมื่อครู่ กำลังหัวเราะคิกหลบหน้าชอบใจ ประเดี๋ยวเถอะจะแก้ลำเจ้าให้รู้สำนึก เจ้าหนุ่มบ้านใกล้จึงวางสวิงย่องกริบเข้าชิดเกาะท้ายเรือเพรียวลำเล็ก กระโชกขึ้นจนสุดเสียง ทั้งโห่ร้องป้องปีกมือก็เขย่าโคลงเรือแทบจะล่ม

นังสาวผมประไหล่ร้องกรี๊ดขวัญหนีดีฝ่อ ตะโกนร้องไปตามความตกใจ “ต๊าย พี่แผลงเร็วช่วยฉัน” แล้วลุกเผ่นตะกายจะขึ้นตลิงตัวสั่นไม่เป็นท่า

แผลงหัวเราะก้ากที่สมอุบาย พอนางปลาใหญ่น้ำหลากโผนก็รวบตัวไว้แนบอก

“ขวัญเอ๋ยพี่เอง โปรย โปรยเอ้ยเจ้าอยู่ในอกพี่เองใช่ใครอื่นหรอก”

ความสงัดของท้องน้ำหน้าศาล แลทุ่งวิเวกบนฝั่งใกล้พลบ เมื่อถูกกระโชกโฮกฮากไม่รู้ตัว เจ้าโปรยก็แทบสิ้นสติ แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นใครก็ยังตัวสั่น หลับตากอดเจ้าแผลงแน่น ปากพร่ำเรียกชื่อเจ้าหนุ่มที่ถูกกู่หลอนอยู่เมื่อกี้ พอได้ยินคำรับขวัญและเรียกชื่อทั้งกอดรัดแน่นขึ้นจึงรู้ว่าเสียกลเจ้าเพื่อนชายบ้านเคียง

เสียรู้และตกใจทำให้โมโหเกิดแล้วแสนงอนก็ตามติดๆ ข่วนอกเจ้าแผลงทั้งหยิกและปากช่วยเป็นแว่นๆ เพื่อสลัดให้พ้นจากอ้ายคนอวดดี

“ปล่อยนะ เล่นอะไรพรรค์นี้เฮิบจนตกใจขวัญบินไปหมดแล้วยังจะ...” คำก็ห้วนลงด้วยกระดากนึกอายที่เสียรู้มันกอด

“ยังจะอะไรล่ะโปรย บอกให้รู้ไปเรอะเออแน่ เจ้าจะกอดพี่เองหรอกนะ” แผลงเป็นคนสนุกเมื่อพูดแล้วก็จับแขนเจ้าโปรยให้กอดคอมันเอง “เมื่อภัยก็เรียกหาอ้ายแผลง ครั้นพ้นแล้วจะไล่ส่ง รางวี่รางวัลก็ไม่มี มันจะใช้ได้ที่ไหนล่ะเจ้าโปรย”

ฟังคำเจ้าหนุ่มท้ายน้ำพูดเอาแต่ได้ถอนฉิว ทุบแทบว่าหน้าอกจะพังมันก็ยังทำหน้าที่รื่นหัวร่อ เจ้าโปรยดิ้นสุดแรงแล้วโถมตัวชนมันเซเลยรั้งเจ้าล้มจมพงกกไปด้วยกัน

“ปล่อยน่ะพี่แผลงผ่าซีเอ้อ ข่มเหงหัวใจอะไรกันยังงี้ล่ะ” สะบัดจะลุกขึ้นแต่กลับถูกรั้งให้นั่งลงไปอีก ต้นกกหักราบเป็นทาง

“ข่มเหง” แผลงล้อคำทำตาปรือๆ ยังเอกเขนกลุกไม่ขึ้น “พี่รึจะข่มเหงเจ้าลงคอ นั่งราบลงเถอะโปรยฉันใช่คนดุร้ายสามหาวอย่างไรหรอก เราบ้านข้างเรือนเคียงยังต้องเห็นหน้ากันไปอีก นานๆ ก็พอจะคบจะพูดกันได้อยู่ไม่ใช่หรือไร”

เจ้าโปรยหน้าก่ำกลัดเลือดตอบเปื่อยๆ ว่า “ก็พี่ปล่อยมือข้าซียึดไว้ยังงี้ข้ากลัว”

“กลัว” เจ้าแผลงชะโงกศีรษะขึ้น “เออแน่ะช่างว่าแท้แม่ะล่ะ เจ้ากลัวผีหรือกลัวพี่ล่ะโปรย จะเย็นจะค่ำอยู่แล้วทำห่างข้าไป ผีมันจะหลอกเจ้าล่ะนาไม่ว่า”

ถึงเป็นลูกบ้านนา เจ้าโปรยก็มีนิสัยกลัวผี ยิ่งรู้ว่านี่เป็นหน้าศาลเจ้าขวัญเจ้าทุ่งปิศาจกล้า ก็อดจะหวาดไม่ได้ แผลงก็ไม่ยอมปล่อยข้อมือซ้ำคอยดักมองพบหน้าให้นึกบัดสีใจพิกล

ชั่วครู่ที่นังโปรยเลื่อนไปอื่น ข้อแขนที่อยู่ในกำมือสั่นเทิ้มกำดัดสาวของเจ้าโปรย ทั้งที่เขินที่เบือนเหลือที่เจ้าแผลงจะอดใจรัก จึงขยับตัวขึ้นแล้วรั้งรวบเจ้าโปรยไว้ ลอบพบปะกันนักต่อนักแล้วไม่ชื่นเหมือนมื้อนี้เลย

“หายตกใจแล้วรึโปรย แม่คุณขวัญอ่อนแท้” แข็งใจถือวิสาสะจูบเพียงเบาๆ แต่นังโปรยเป็นสาวบริสุทธิ์ไม่เคยต้องมือชายก็ปัดป้องหลบหลีกดิ้นเร่าๆ เมื่อเห็นไม่พ้นเขาแน่ก็ซุกหน้าแอบ

ถอนใจครั้งนี้ก็ถูกรัดแน่นอีกครั้งหนึ่ง จนต้องวอนขอตัว

“คลายพอฉันหายใจออกมังเถอะพี่แผลง ยังงี้เมื่อยแทบขาเป็นเหน็บปวดหมดทั้งตัว”

เสียงเจ้าโปรยน่าสมเพช พูดสั่นๆ แหลมลึกแทงใจ อยากจะกอดโปรยจูบโปรย แล้วก็สบถสาบานให้มันฟังว่าเมืองมนุษย์ที่แสนแสบนี่มันสุขเหลือ ตายไปแล้วสวรรค์สิบชาติก็หาปรารถนาเท่ากอดเจ้าโปรยมื้อเดียว

“นั่งตามสบายซิโปรย นั่งให้เต็มตักพี่ก็แล้วกันได้หายเหน็บ อย่าเกรงใจเลย ฉันน่ะจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ายังไรก็ยอมที่จะให้โปรยรับสบายทุกอย่าง”

“ฉันขอนั่งดินเถอะจ้ะพี่แผลง” โปรยวอนถอยตัว แต่เจ้าผู้ชายก็หายอมไม่คงกอดแน่นหนาจูบถนอมเจ้าจนสั่นเทิ้มไปทั่ว ปากก็พร่ำว่าด้วยคำหวานต่างๆ

ตะวันรอนลมก็โกรกแรง พงกกที่ยังตั้งลำก็โอนเอนโน้มยอดชายน้ำข้างหน้าเล่าเรือเพรียวของเจ้าโปรยกำลังโต้ระลอกลม แต่ในหัวอกเจ้าของมันระลอกรักกำลังวิ่งพล่านกายหวั่นไหวมิผิดเรือเพรียวโต้ระลอก

“โปรยเงยหน้าทีรึ ฉันจะพูดอะไรด้วยสักหน่อย” จับคางเชยขึ้นหน้าตาโปรยยังร้อนผ่าวด้วยความอายแทบจะแทรกดิน

“กวนเสียเรื่อยจะพูดอะไรก็พูดไปซิ”

แผลงหัวเราะฮาใหญ่ นังลูกสาวกำนันแสนแสบมันยิ่งงอนยิ่งงามหลับตาปี๋กัดริมฝีปากจะยิ้มแต่ลักยิ้มมันผุดบุ๋มอยู่บนแก้ม จะเข้าสองหน้าเกี่ยวแล้วที่รักกันก็เพียงเฉียดฉวยข้อมือยังปลื้มนอนไม่หลับ นี่มิอิ่มใจลืมข้าวน้ำไปชั่วปีล่ะหรือนี่

“ความมันก็ไม่มีอะไรนักหรอกโปรยเอ๋ย, มันก็พี่รักเจ้าแลอยากให้โปรยรักฉัน เหมือนฉันรักโปรยนั่นแหละ”

“อ๊อ-” นังผู้หญิงลากเสียงคราง “นึกว่าขออื่นขอไกล พี่หามาเปรียบเอากะคนยังฉัน แล้วก็ฉันขอขึ้นมามั่งนั่นจะขัดใจไหมล่ะ”

“ขอไรล่ะ ฉันก็รักโปรยอยู่เป็นหนักหนาแล้วขออะไรอีกรึว่าจะขอไม่ให้รักอีช้อยก็พูดมาให้มันเกรงใจเถอะ ฉันจะสาบานเสียต่อหน้าตะวันมันจะตกแล้วจะเอาเจ้าขวัญนี่แหละเป็นองค์พยาน”

ถูกใจดำเจ้าโปรยยิ้มแฉ่ง แต่ซ่อนหน้าไปเสียอื่น มือแหนบสีข้างเจ้าหมอ ที่ทำนายเก่งเข้าให้ ตอบเป็นคำเปรย เหมือนความนั้นมันไม่สำคัญ “ก็สาบานไปซะซี่ ฉันจะว่าไรคน เมื่อปากมันไม่เกรงใจแล้วควายมันก็จะดีกว่าคน”

“เอานั้น” เสียงแซมและหัวเราะสิ้นแต้ม “เรื่องการคารมล่ะฉันกลัวเจียวแม่เอ๊ยพับผ่าเถิดแล้วที่ฉันพูดน่ะมันถูกมั่งไหมล่ะ เมื่อถูกก็บอกกันตรงๆ แต่ไอ้ที่จะให้ฉันพูดพล่อยสาบานไปคนเดียว ไม่รู้ความนั้นมันจะทำให้ฉันเป็นบ้าอยู่นะแม่โปรย เอ้องั้นน่ะซี ไม่ต้องกระซิบพูดดังก็ไม่มีใครมาซุ่มฟังอยู่หรอก เอ้อเฮอ” แล้วแผลงก็เต้นหัวเราะให้ดังขึ้นอีก “ห้ามจนถึงว่านอนร่วมชายคาเทียวเหรอะ เอาละวะทุกวันนี้ฉันก็นอนเฝ้าควายที่ห้างอยู่ทุกๆ คืนน่ะปะไร อือโปรยฮึ่มมันช่างสมเป็นลูกกำนันจริงๆ ออกข้อบังคับแต่ละข้อ นายอำเภอยังสู้ไม่ได้ เออ-เออ เมื่อมองอีช้อยนานไม่ได้ ฉันก็จะเบิ่งไปดูควายกลางนาก็เห็นจะไม่ผิด”

“อ้ายปากพูดนี่น่ะนี่....นี่” เจ้าโปรยคว้าริมฝีปากบิดเสียเป็นเกลียว “ปากนี่มันไม่น่าจะมาอยู่เป็นคนท้องนาช่างพูด มันต้องอยู่บางกอกถึงจะเหมาะสมัยสาบานก็สาบานซีจะฟัง ถ้าใครไม่เกรงคำก็อย่าให้มันแคล้วเลย เจ้าขวัญแม่เรียมที่ตายอยู่กลางน้ำขอให้ยินคำเขาไว้มั่ง”

“เออซีน่าเจ้าโปรย ยิ้มให้แก้มบุ๋มๆ เสียก่อนปะไร เมื่อจูบแล้วก็จะได้สาบานเสียให้สมกะที่จูบ”

ถึงไม่คิดจะยิ้มก็อดยิ้มไปไม่ได้ เพราะเจ้าหนุ่มลูกบ้านนามันพูดชวนขันอยู่ร่ำไป แกล้งหลบยิ้มไปทางหนึ่ง มันจับได้ก็ถูกปล้ำจูบเสียอ่อนใจ ยังแถมบังคับให้ตอบว่ารักมันหนา แล้วอ้อนออดมาแต่คำเหมือนจะเด็ดหัวใจไปไว้ในอกมัน แต่ก็เพลินฟังเสียจนลืมว่าจะค่ำมืดอยู่เดี๋ยวนี้แล้วน้ำก็ท่วมฝั่งขึ้นมาจนเกือบต้องนั่งแช่

เตือนขึ้นว่า “เอาซี เมื่อเพียงพอแล้วก็อย่าให้มันคลาดสัญญาเนิ่นนานไปเสียแล้ว”

“พอ-ฮะ! จูบโปรยน่ะรึจะพออิ่ม ให้ตกนรกไปเถอะ มันจะตายโหงหรือตายดีก็แล้วแต่ เมื่อตายก็ขอให้โลกันตร์มาสูบไปทีเดียว ทว่าใจมันรักโปรยน้อยไปกว่าปาก ถึงเมื่อไม่ตายก็ขอให้ฉิบหายมีอันเป็นไปยังว่าเถอะ เถอะตัวอย่างก็มีอยู่แล้ว เจ้าแม่และเจ้าพ่อขวัญนั่นปะไรก็เหมือนฉันมันเสียคำก็ให้มันตายฉิบหายไปยังว่าซิเล่า” คำที่กล่าวเน้นแน่นแต่ละคำก็มีน้ำหนักเป็นความเต็มใจของลูกผู้ชายที่จะสาบานให้สมกับที่มันรักนังผู้หญิงนิ่งฟังนึกหวาดๆ ไป คำว่าสาบานนันมันจะเป็นลางให้ร้าย

เห็นเจ้าโปรยงันตั้งอกตั้งใจ แผลงก็แหวกแขนหักพงกกราบเป็นช่อง ตรงข้างหน้าที่แลเห็นคือศาลเจ้าขวัญ ซึ่งมีรูปเจว็ดเบื้องซ้ายเป็นรูปตุ๊กตาผู้หญิงห่มแพรแดงคือเจ้าแม่เรียม

“ฟังซิโปรย บางทีเจ้าจะยังไม่จำความได้กระมังเมื่อเจ้าขวัญแกตายฉันก็ยังยอมอยู่ ฟังไว้เสียเถอะจะได้จำเรื่องของแกรำลึกถึงเราเวลานี้ และเวลาชิงพลบนี่แหละเจ้าขวัญกับเจ้าเรียมแกกำลังสิ้นใจอยู่กลางน้ำ แกเรียกหากันได้ ๓-๔ คำแล้วก็ขาดใจไปด้วยกันทั้งคู่ปลายน้ำนี่เอง” แผลงชี้มือไปอีกฟากหนึ่งตอนหัวคุ้งแล้วก็เล่านิยายของเจ้าสองคนให้โปรยฟังย่อๆ แต่เมื่อถึงตอนที่เจ้าคนผู้หญิงจะตายเพราะเสียสัตย์ต่อความรักนั้น เจ้าหนุ่มย้ำแล้วย้ำอีกเพื่อให้นังคนรักฟังแปลบเข้าหัวใจ

ฟังนิยายของเจ้าถิ่น แล้วมองดูเจว็ดบนศาลนึกเสียวใจ หวาดกลัวเจ้าโปรยจึงห้ามขึ้นว่า

“แต่พอการเถอะพี่แผลง ฉันออกกลัวขึ้นมาทีเดียว กลับเสียทีล่ะจะดี ค่ำมืดแล้วฉันโกหกพ่อแกว่าจะมาลงปลา สวิงที่วานถักนั่นแล้วกันมั่งหรือยัง”

“เออ-ลืมสนิท ยังไม่แล้วเลยถักๆ แก้ๆ อยู่นั่นแหละ เพราะใจมันไปรออยู่ที่หัวคุ้งโน้นน่ะซี ผ่าเถอะนะโปรย อ้ายหัวใจฉันนี่มันจะยังไงๆ เสียแล้วนึกอยากให้คนมันตายกันหมดทั้งแสนแสบ เหลือแต่ฉันกับโปรยสองคน ไร่นามันก็จะเป็นของเราข้าวน้ำมันก็เป็นสมบัติเราลงกุ้งลงปลาให้มันสบายกันแต่สองคน มันคงเอ้อระเหยสนุกอยู่ในน้ำวันยังค่ำ แสนสบายเชียวนะ-โปรย”

“ฉันถามสวิงคำเดียว พี่แผลงตอบเป็นกองแล้วก็เอาเรื่องข้าวเรื่องน้ำอะไรเปื่อยมาให้ฉันฟังไม่รู้” ขัดคอแลชี้นิ้วยันหน้าผู้ชายหงึก “มันยังงี้นี่เล่า อ้อ อ้ายคนหน้านี้มันสำคัญเมื่อลับหลังคนมันชวนใจคนให้เสียยังงี้เอง พอใกล้คนละเหมือนควายหน้าไถ ไม่พูดไม่จาโด่งจะเอาแต่งาน พอเดือน ๑๑ ขึ้นดอนเข้าคอกแล้วควายมันก็เป็นคน มันก็เป็นค้น” เมื่อเน้นเจ้าโปรยก็เน้นฟันลงที่แขนของอ้ายควายเจ้าชู้

“โอ๊ยน่าแม่โปรย” สูดปากเพราะเจ้าโปรยเน้นอย่างมันเขี้ยว “คงจะระแวงไปอีช้อยอีกละซีบอกว่าอีช้อยมันลูกของลุง ฉันก็เลี้ยงมันมาแต่เล็กและมันจะมาไยดีอะไรกับฉันนะ อ้ายเทียมมันมีไร่นาสาโทแลสวยกว่าฉันเป็นกองสองกอง”

“ก็ใจนังช้อยเขาจะชอบพี่ขึ้นมาล่ะ จะไปว่าไรฮะ ก็โจนงับไปเท่านั้นเอง ผู้ชายนะเร้อมันก็เหมือนสวิงลงปลานั่นแหละยิ่งตักได้ทีละหลายๆ ตัวมันก็ยิ่งซอบ ปากสวิงมันก็อ้ายใจผู้ชายนั้นแหละรับปลาไม่รู้จักอิ่ม อย่าทำเอียงเข้ามาออเซาะเลย พอลับตาฉันตักนี้มันก็เป็นห้างนอนของอีช้อยดูควายที่มันจะแปลงเป็นคน แล้วอ้ายปากนี่มันก็สาบานให้ฟังยังงี้อีกใช่แมะล่ะ”

แผลงร้องเอ๊อ “พิพากษาไปตามตัวใจซีแม่ะอ้าย ฉันมันเป็นชายเชลยแล้ว ก็ต้องฟังอยู่วันยังค่ำน่ะแหละ”

“ฟังแล้วก็จำซี”

“อย่าให้มันมากข้อนักซิล่ะ กระดาษดินสอฉันก็ไม่ติดจะมาจดข้อบังคับของแม่โปรย ที่จำได้แม่นใจก๊อว่าห้ามนอนร่วมชายคาเรือนกะอีช้อยและก็ห้ามมองมันนานๆ ก็ถ้าเผื่ออีช้อยมันด่าฉันอยู่ทางนี้มิต้องเมินไปอีกทาง แล้วก็ด่าตอบมันออกไปกลางนางั้นรึ”

“มันไม่ด่า ฉันก็ไม่ด่าเพราะรักพี่แผลง ถ้ามันด่าฉันก็ต้องไม่หนักใจซี นี่มันไม่ด่าเพราะมันรัก”

แผลงครางอ่อยๆ “โอ้ย-นี่ฉันไม่ต้องให้ผู้หญิงแสนแสบด่าเสียทุกๆ คนก่อนรึนี่ หาแม่โปรยก็ยังจะว่าเขามารักอยู่กะฉัน”

โปรยเลยนึกขันคำเปรียบฝ่ายเดียวของเจ้า กลั้นหัวเราะแล้วก็ยังคิกๆ ออกมา แต่เมื่อเห็นเป็นทีก็ต้องเข้ากะตัวไปก่อน เพราะถือว่าควายถ้าสวมแอกมันก็ต้องก้มหน้าลากไถทำงาน พอแอกออกพ้นคอก็จะเบิ่งออกทุ่ง มันกลัวกันเมื่อรักแล้วถึงเมื่อชังก็ยังจะเกรงไม่เลวหลาย

“ยิ่งพามาด่าเสียต่อหน้าฉันจะยิ่งดี ฉันลูกผู้หญิงเสียเปรียบก็ต้องพูดกันไว้ก่อน เพราะเผื่อพี่ไปเหลิงขึ้นเมื่อหน้าแล้วฉันจะลำบากเจ็บใจ” สีหน้าโปรยที่เง้างอนเมื่อสักครู่หาย แล้วก็เก็บเอาความคิดต่างๆ ในเรื่องที่เจ้าแผลงจะเป็นอื่นขึ้นตรึกตรอง แลก็นึกไปเองว่าเจ้าต้องช้ำใจ ความร่าเริงเพลิดเพลินไปด้วยความรักก็จาง แลครู่นั้นเจ้าโปรยก็เป็นผู้หญิงที่โศกเศร้า หัวใจเปลี่ยนหม่นหมองทุกข์ร้อน

“ถ้าจริงยังว่าแล้วแสนแสบ นี่มันก็เป็นเมืองสวรรค์ในหัวอกฉันนั่นแหละ แต่ถ้าว่าไว้มันไม่จริงทั้งนรกและนาแสนแสบมันก็สุมหัวฉันคนเดียว พ่อแม่แกเลี้ยงฉันแกก็หวังได้พึ่ง แต่อ้ายคนที่แกจะหวังพึ่งก็กำลังจะเสียคนเพราะมันใจไม่ดี มันกรรมพ่อกรรมแม่นะพี่แผลงที่มีลูกอย่างฉัน เสมียนอำเภอเขามาขอฉันไม่ยอมพ่อแกก็ตามใจ แต่ถ้าแกรู้ว่าฉันเป็นยังงี้ไปแล้วแกคงร้องไห้ตาย ไม่ตียับแล้วไล่ส่ง”

แผลงนิ่งฟังตาปรอยคิดเห็นอกนังคนรัก แล้วก็หวนนึกถึงตัวเองขึ้นมามั่ง ที่อาศัยอยู่กับลุงและป้าไม่ผิดอยู่กะนายเงินที่จ้องจะเคี่ยวเข็ญเอาแต่งาน

“พรรค์นั้นน่ะอย่าเป็นทุกข์เลยแม่โปรย ว่าแต่เรามาช่วยปรึกษาก้นจะทำยังไงดี ผู้ใหญ่เขาถึงจะยกยอขอให้ ยอมเห็นงามกับเราล่ะแม่โปรยเอ๋ย ฉันเองมีนาก็เหมือนไม่มี เพราะพ่อแกตายก็มอบให้ลุงดูแล แต่ลุงแกก็ผัดแล้วผัดเล่า ไม่เห็นโอนให้สักทีจะไปอยู่ที่อื่นก็ไม่ได้ ใจตั้งไว้ว่าเดือน ๑๒ ใกล้เกี่ยวจะขึ้นหนองจอกรับจ้างเขาเกี่ยวข้าวหาเงินพอได้ซื้อผ้าผ่อนของเรานุ่งมั่ง ที่เหลือจะเก็บประสมประเสไว้สู้ความเพราะทำไงแกคงโกงฉันแน่ เมื่อนามันเป็นของเราแล้วน่ะโปรยเอ๋ย สามสิบไร่นี่สองคนผัวเมียเหลือกินทีเดียว ฉันโอนใส่ชื่อโปรยให้หมด ถึงท่านกำนันรู้คงไม่ขัด”

เพลินฟังแผลงพูดโปรยหัวใจค่อยชุ่มชื่น ยังอดนึกสงสารเจ้าชู้รักไม่ได้ กำพร้าทั้งพ่อและแม่ซ้ำยังจะถูกลุงโกง แล้วมันก็คงไม่มีสมบัติติดตัวนอกจากสวิงกับข้องหาปลา เมื่อเห็นเจ้าแผลงเหงาจึงคิดปลอบใจว่า “เรื่องถ้อยเรื่องความนั่นพ่อแกก็พอจะรู้ประสาอยู่มั่ง ฉันจะลองปรึกษาแกดูดีไหมพี่แผลง เพราะทุกวันนี้พ่อแกไม่รู้หรอกว่านาเป็นของพี่ ฉันก็เพิ่งรู้เมื่อบอกนี่เอง ดีทีเดียวเผื่อพ่อแกรู้ว่าพี่มีนา บางทีแกจะรักพี่ขึ้นอีกมั่ง แล้วเราก็คง...”

“ก็ดีเหมือนกัน แต่โปรยต้องสั่งแกให้ปิดเป็นความลับเทียวนาหาไม่เขารู้ตัวเราจะเสียท่าเพราะหนังสือของพ่อเขาเป็นคนเก็บไว้ทั้งสิ้น”

เจ้าโปรยรับรองแข็งแรง ที่จะทำเรื่องนี้ให้สนิทแล้วความในใจของนายแผลงที่เก็บไว้แต่หน้าเกี่ยวปีก่อน ในเรื่องสาวโปรยก็เป็นอันเบาอกไป ความรักกำลังจะเก็บเกี่ยวได้ผล แล้วเจ้ารักเจ้างามก็กอดกันกลมอยู่ชายตลิ่ง

พอหมดวันก็มาคืน แต่มิใช่คืนที่ค่ำมืดเหมือนข้างแรม พระจันทร์ขึ้นแจ่มแต่หัวค่ำในคลองน้ำก็ท่วมฟาก ไหลเลื่อยลงและน้ำจะถอยลดในกลางดึก ทางขวาของสายน้ำแลดูเคี้ยวไปตามจรดคลองไม่มีสวะหรือแหนสาหร่ายใดๆ เหมือนจันทร์ที่หมดเมฆทรงกลดบนฟ้า เจ้าหนุ่มซึ่งนั่งประคองสาวชมจันทร์เหนือทุ่งชมน้ำท่วมฝั่งจนจะลืมว่าทางบ้านคงเที่ยวติดตามค้นคว้าหาเจ้าโปรยที่หายมาแต่เย็น กระทั่งนังผู้หญิงเตือนขึ้นจึงคว้าสวิงอีกคันลงคลองด้วยความคุ้นเคยชำนาญมามาก ในชั่วครู่ที่เจ้าแผลงดำลงเพียงโผล่ ๔-๕ ครั้ง ปลาก็เต็มข้องที่จะมอบให้เจ้าโปรยไปเป็นประกันแก้ตัว

ต่อมา เรือเพรียวเล็กนังคนเดียวก็เบนพ้นตลิ่ง พายมากลางกระแสน้ำตัดเข้าคุ้ง แม้ว่าเจ้าของเรือเพรียวจะเป็นหญิงพายมากลางสายน้ำที่ปราศจากเรืออื่น เป็นสถานที่เปลี่ยวสองฝั่งวิเวกไปด้วยทิว ไม้ไผ่และมิ่งไม้ขึ้นสลับซับซ้อนเป็นหมู่ ผ่านไปอีกชั่วคุ้งก็เป็นทุ่งเข้าเนื้อนาก็ดีจะได้คิดหวาดไปในโจรฉกชิงหรือว่าชาติพาลเกกมะเหรกหนุ่มอื่นก็หาไม่ เพราะในน้ำข้างเรือมีอ้ายหนุ่มทรหดข้อลำแข็งขันแหวกว่ายมาด้วยฤทธิ์คะนอง ราวกับผีประจำท้องน้ำ จะเข้าสองคุ้งอยู่แล้ว เรือว่าเร็วก็ยังไม่ทิ้งให้มันอยู่ล้าไปได้ น้ำถึงจะเย็นเยียบเป็นวังวน เจ้าชาติผู้ชายลูกแสนแสบก็คงว่ายคู่มากับเรืออย่างร่าเริง ตะโขงตะเข้ที่ดูร้ายเมื่อมันไม่นึกกลัวเสียแล้วก็หลีกลงวังไปเอง กระทั่งส่งเรือลับเข้ากระโดงในเนื้อนากำนันแปลก

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ