๓. คนบางกอก

เจ้าแผลงจากไปแล้วเพียง ๗-๘ วัน

ที่นาตาเชื่อมก็มีคนมาแทนเจ้าแผลงคือนายชวนพี่ชายเจ้าช้อย ซึ่งจากแสนแสบบ้านเกิดเมืองนอนไปแต่ยังเล็ก และรับการศึกษาในพระนครอยู่กับลุง ภายหลังเมื่อนายชวนได้รับนาโอนกรรมสิทธิ์ของตนแล้ว สิ่งสำคัญซึ่งแฝงอยู่ในแสนแสบก็เหนี่ยวรั้งนายชวนให้วนเวียนกลับมาบ้านเกิดอีกบ่อยๆ

ธรรมชาติที่งามเองเช่นห้องฟ้าแลทิวไม้งามลึกซึ้งไม่เบื่อฉันใด แม่โปรยซึ่งผุดขึ้นระหว่างธรรมชาติแลแฝงอยู่บนฝั่งเหนือของคุ้งน้ำแสนงามก็งามเอาเยี่ยงธรรมชาติ แม้จะปราศจากการตบแต่งความงามของแม่โปรย ก็ยังลึกล้ำจับใจ นายชวนแลคิดว่าหญิงงามเองเยี่ยงแม่โปรยนี้ แม้ได้รับความสว่างไสวเปิดหูเปิดตาเยี่ยงสาวพระนครเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็พอจะได้ไว้เป็นคู่ที่พอจะอวดเพื่อนได้แล้วก็มุ่งเข้าทอดสนิทโดยไม่สู้ยากเป็น เพราะมีเจ้าช้อยน้องสาวซึ่งสมัครใจอยู่ก่อนที่จะให้เจ้าแผลงกับแม่โปรยแตกกันเป็นเครื่องมือ ยังแถมมีเจ้าเทียมหนุ่มแสนแสบเป็นผู้คอยสนับสนุนทางกำนันแปลกเพื่อหวังประจบนายชวนพี่นางช้อยคนรัก จึงสู้ยอมติดหน้าตามหลังเป็นทหารเอกของนายชวน

ชั่วปลายเดือน ๑๒ เจ้าโปรยกับนายชวนก็เป็นคนกันเอง แล้วนายชวนก็เป็นผู้นำคนทั้งสาม คือเจ้าโปรย เจ้าช้อย เจ้าเทียมให้เปลี่ยนชีวิตจิตใจจากที่หลงหลับอยู่ในสภาพท้องทุ่งท้องนาหันเข้าสู่ความรุ่งเรือง โดยพาทั้งสามเข้าเยี่ยมกรายในพระนครเกือบจะว่าทุกอาทิตย์ตลอดจนแนะนำให้มีเพื่อนเป็นคนบางกอกอีกหลายคน เมื่อพบมากเห็นมาก คนทั้งสามก็ทะยานใจที่จะให้เจริญเท่าที่พบเห็น แล้วก็พากันเคลิบเคลิ้มไปว่าเขามิใช่ลูกบ้านแสนแสบ แม้แต่อ้ายคนเคราะห์ร้ายที่มันหายหน้าไปซื้อควายเมื่อ ๒-๓ เดือน ก็เกือบจะพากันลืมว่าชื่ออ้ายแผลง

ต่อเดือนยี่น้ำลดตลิ่ง แสนแสบก็กำลังเก็บเกี่ยวนาส่วนมากของรายอื่นๆ เกี่ยวกันจนหมดแล้ว เหลืออยู่ก็แต่นาตาเชื่อมที่ทิ้งแลไว้คอยกลางเดือนยี่ เพื่อจะบอกแขกขอแรงบ้านใกล้เรือนเคียงให้ระดมกันเกี่ยว

แล้วกลางเดือนยี่ก็มาถึง วันนัดวันเกี่ยวก็กำหนดขึ้นที่นาตาเชื่อม แต่งานเกี่ยวปีนี้ออกจะครึกครึ้นผิดเคยเพราะการเลี้ยงกับข้าวของกินตลอดจนเหล้ายาปลาปิ้งนั้นเหลือเฟือ และแม่งานที่จะเลี้ยงก็คือเจ้าช้อย เจ้าโปรย เจ้าเทียม ซึ่งแต่ก่อนทุกปีเคยสวมงอบจับเคียวลงมือเอง แต่ปีนี้กลับแต่งตัวสวยจนจำกันไม่ได้ว่าเป็นคนบ้านนา พร้อมด้วยนายชวนกับเพื่อนกรุงเทพฯ อีก ๒ คน ที่สมัครใจมาเที่ยวและปะปนอยู่กับพวกแขกอย่างสนุกสนาน

เมื่อเหล้าล่วงลำคอไปแล้วคนละ ๒-๓ กะลา น้ำตาลเมาเพิ่มมาอีกเป็นไหๆ งอบก็ถูกเขวี้ยงไม่มีประโยชน์เพราะร้อนแดดมันแพ้เหล้าเพลงเกี่ยวก็เริ่มประ ที่ไม่สันทัดก็หันเข้าหาเพลงฉ่อย แต่ทั้งคอเพลงเกี่ยวแลเพลงฉ่อยบางครั้งต้องหยุดชะงักเอียงหูฟังเพลงสากลของนายชวนกับเพื่อน เจ้าโปรยเจ้าช้อยและพ่อเทียมรู้สึกปลื้มมีหน้ามีตาที่ได้ร่วมอยู่กับวงเพลงสากลและฝรั่ง แล้วมองชายมาทางพวกแสนแสบด้วยกันเป็นเชิงว่าเพลงเกี่ยวมันพ้นสมัย ถึงเพลงฉ่อยก็เป็นโบราณบ้านนอกที่ไม่น่าจะมาร้องคู่กับเพลงสากลเสียกระมัง

จากทิวไม้ลิบๆ โน้น จากฟากทุ่งโล่งที่เกี่ยวแล้วเหลือแต่กองฟางหัวซังเหลืองทุ่ง กระบือขนาดเปลี่ยวดำมะเมื่อมคู่หนึ่งด้อมตามกันมา ตัวหลังถูกจูงและเตือนสนตะพายให้กระชั้นตัวหน้าซึ่งมีคนขี่ เมื่อถึงที่เรียบก็แล่นตะโพงที่ลุ่มก็อืดอาดไปอย่างควายไม่ทันใจอ้ายคนขี่เสียเลย ด้ามหอกก็ลงสีข้างแทนตะพดอยู่ไม่ขาด เจ้าควายหนองจอกก็คงไม่เร็วเป็นม้าไปได้

พอเลี้ยวคุ้งไผ่ แผลงอ้ายคนขี่ที่หายหน้าไปจากแสนแสบก่อน ๓ เดือนก็ใจเต้นตึ้ก ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้คงจะได้เห็นหน้าเจ้าโปรย แล้วก็คงเป็นมะรืนที่ลุงจะโอนนาคืนให้ และเฒ่าแก่ก็จะออกนำหน้านำขันหมากไปหมั้นราวๆ ปลายเดือน แต่ว่าเจ้าแผลงก็ไม่วายหวั่นใจ เพราะไม่คิดว่าปีนี้น้ำจะมากเกินการถึงเดินกลับไม่ได้ ต้องยังอยู่หนองจอกจนกระทั่งหน้าเกี่ยว ความที่โกรธกะเจ้าโปรยก็ยังไม่แน่ว่าจะไปกันแค่ไร เขาว่าพ้นกระได ๓ เดือน คั่นจากผู้หญิง ๓ วันจะเป็นอื่น ถ้าเมื่อมันจริงยังเขาว่าใจเจ้าโปรยมันก็เหลวไหลเหมือนเดือน ๑๑ น้ำนอง

ถึงละเมาะไผ่อดนึกคำอีช้อยเมื่อ ๓ เดือนไม่ได้ มันทำแก่ช่างทาย ช่างทักว่าเคราะห์ร้าย เคราะห์อื่นกรรมใดก็หากลัวมันไม่หรอก ชาตินักเลงถึงตายก็ให้มันสมนักเลงแล้วไม่ว่าเลย บ้านไหนบ้างเล่าที่ว่ากินเหล็กกินไหลแท้มันก็อ้ายกินข้าวเดินดินอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ดูแต่เมื่อข้าไปดูรึอ้ายนักเลงดีรู้แกวดักแย่งเงินที่ปลายแสนแสบ ยังแทงเสียอ้าวไปตามกัน อ้ายแผลงมันเลวแล้วเงินชั่งมันก็สูญไม่ได้ควายกลับเท่านั้นจะยอมอยู่อย่างก็เรื่องเจ้าโปรยนี่แหละ เคราะห์อื่นขอให้เรียงเข้ามาให้รู้สักหน่อยเถอะ

เสียงเพลงเกี่ยวเริ่มประกันขึ้นอีก ลอยละลิ่วมาเป็นเสียงแก้ของผู้หญิง เจ้าแผลงประหลาดใจมันรีบเตือนควายให้พ้นละเมาะไผ่บังพอออกพ้นทางลัดป่าสะแกสัก ๗-๘ วา ก็เห็นงอบชาวทุ่งแถบผู้หญิง ส่วนทางกลุ่มเจ้าหนุ่มๆ เห็นแต่หัวดำกับผ้าขาวม้าโพก บ๊า-นาลุงเพิ่งจะเกี่ยววันนี้เอง บอกแขกมาเยอะแยะพอเหมาะวันกูกลับ แล้วความลำพองใจก็เกิดแก่เจ้าแผลงที่คิดว่ามาทันส่งท้ายของนาเกี่ยว จะดื่มเหล้าให้แประแล้วเข้าว่าเพลง ถึงจะไม่ใช่คอเพลงก็จะด้นไปข้างๆ คูๆ ตามสนุกเมื่อมันหนักหนาผิดหูอย่างไรก็ตีกัน

เนื้อเต้นริกๆ เมื่อเสียงผู้ชายขึ้นสองมือวางเดียวตบจังหวะสนั่นชะ-แลฮ้าไฮ้ ก้องทุ่ง เจ้าหนุ่มที่เพิ่งมาเหยียบแสนแสบลิงโลดคะนองใจ ลุกชะเง้อปล่อยตัวหลังให้แล่นตามตัวหน้าแล้วก็เตือนออกตะโพงไปราวกะม้าเร็ว หอกก็กวัดแกว่งโห่ร้องรุดเข้ามา

ทั้งหญิงและชาย ซึ่งตาเชื่อมบอกระดมขอแรงกำลังเพลินฟังคอเอกทางฝ่ายชายที่เริ่มประฉานไปตามกัน ในเมื่อลูกคู่ที่ตบจังหวะหายไปทีละคน ๒ คน แล้วก็พากันเงียบกริบสักครู่ก็เสียงโห่กันเกรียวบ้างถอดงอบแกว่งไกว แสงเดียวขาวรับๆ เข้าแสงแดด ปากตะโกนกู่ก้องออกชื่อเจ้าแผลง แต่บางคนก็พิศวงอยู่ว่าตามคำเล่าคำลือกันว่าอ้ายแผลงขโมยเงินลุงชั่งหนึ่งหนีเข้าบางกอก แล้วทำไมจะเสือกหน้ามาให้เขาจับ ที่ชังก็อยากจะคอยดูน้ำหน้ามันถูกจับ ส่วนที่รักใคร่นับถือก็โห่ร้องป้องปีกดีใจที่เจ้าแผลงกลับมาอีก

เจ้าแผลงถูกซักถามแทบจะตอบไม่ทัน แต่คำถามมีสะกิดใจอยู่มั่งที่ว่ามันไปอยู่บางกอกสนุกไหม เจ้าแผลงไม่ทันตอบพอเหลียวก็พบลุงเชื่อมกับคนอื่นๆ ซึ่งมันไม่รู้จักแต่งตัวสะสวย ทั้งผู้หญิงผู้ชายยืนออดูมันอยู่นึกฉงนตื่นเต้นใจ จึงลงจากหลังจูงควายงามคู่ที่ซื้อมาแต่หนองจอกเข้าไปหาลุง

พวกนั้นพากันหลบเข้าโรงนาทุกคน เหลือแต่ตาเชื่อมยืนรับหน้าอยู่คนเดียว กำลังมากลางแดดหน้ามืดมองไม่เห็นในโรงนาว่าผู้หญิงสวยและเจ้าหนุ่มๆ ทำกริ่มเหล้านั้นเป็นใคร

“ฉันเพิ่งจะถึงเดี๋ยวนี้เองล่ะลุง” ยกมือไหว้ลุงเชื่อมที่จากแกไปนานแต่ตาอดชำเลืองดูในโรงนาไม่ได้ “ลุงเพิ่งจะเกี่ยวกันวันนี้เองล่ะหรือนี่?”

“เออ” ตาเชื่อมรับไม่ค่อยเต็มคำ คิดร้อนๆ หนาวๆ ถึงความที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า “มึงกินข้าวมาแล้วรึ? เมื่อยังก็เข้าไปกินกะเจ้าชวนเขาเสียด้วยกันซีไปเหอะเขาอยู่ในโรงกันทั้งนั้นแหละ”

พอออกชื่อเจ้าชวนอ้ายหนุ่มหลานตาเชื่อมก็นึกหน้าออกรางๆ ว่าเจ้าหนุ่มบางกอกที่ยืนอยู่เมื่อครู่ ท่าทางละม้ายเจ้าชวนที่เดินด้อมเลี้ยงควายอยู่ด้วยกันเมื่อเด็กๆ และนังผู้หญิงสวยเห็นทีจะเป็นเมียมันที่ได้กันอยู่บางกอกเลยนึกระแวงไม่สบายใจไปถึงเจ้าชวนจะมาโอนนา

ยืนรีรอไม่กล้าจะเข้าไป เพราะถึงเจ้าชวนจะเคยอยู่มาด้วยกันแต่ก็จากกันไปนานจนเป็นคนอื่นซ้ำนึกขลาดอ้ายพวกหนุ่มที่มากะเจ้าชวนและผู้หญิงสวยผมฟูเป็นร่องริ้วน้ำ แต่เมื่อถูกลุงคะยั้นคะยอหนักเข้าก็ต้องเดินตามหลังไปอย่างหัวอกเต้นระทึก

พวกซึ่งหลบเข้ามาก่อนมีหัวใจและท่าทางต่างๆ กัน นายชวนกับเพื่อนนั้นครึกครื้นเป็นปกติ เพราะฤทธิ์สุรา พ่อเทียมนั่งภูมิฐานกระหยิ่มใจเยี่ยงเดียวกับเจ้าช้อย ซึ่งแต่งตัวสวยนั่งไขว่ห้างเก๋อยู่บนแคร่ ส่วนเจ้าโปรยตกประหม่า ใจคอไม่สบาย นั่งหลบๆ หันข้างให้บังเจ้าช้อย พอเจ้าแผลงพ้นประตูโรงนาเข้ามาพวกนั้นก็เมินไปคนละทาง

“แผลง-นี่ไงล่ะพ่อชวนเอ็งจำไม่ได้หรือ?” ตาเชื่อมบอกหลานชายแล้วกระซิบที่ใกล้หูว่า “มึงยกย่องเขาให้สมหน้าหน่อยเถอะวะ เพื่อนฝูงเขามากหลายมึงไหว้เขาก่อนเถอะนึกว่าเห็นแก่กู”

แผลงจับตาลุงแล้วมองอ้ายชวน ประหลาดแท้ที่อ้ายชวนอ่อนกว่าเป็นหลายปี ลุงจะบังคับให้ไหว้

แล้วตาเชื่อมก็เตือนขึ้นอีก “ไงล่ะ แล้วกันมึง” เมื่อเจ้าแผลงเสียรำคาญไม่ได้ก็ยกมือไหว้ แต่นายชวนพยักหน้ายิ้มๆ รับเท่านั้น “สบายดีหรือแผลงไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน”

“อือ-แหมเอ็งไปอยู่บางกอกเสียนาน ข้าแทบจำไม่ได้” พอตอบขาดคำ นายชวนก็คิ้วขมวดเข้าหากันไม่พอใจในคำปราศรัยของเจ้าลูกของอา อายเพื่อนที่นังอยู่ก็แสนจะอาย แต่ไม่รู้จะทำยังไงได้

เจ้าแผลงไม่รู้ในสีหน้าเจ้าลูกชายลุง เมื่อพูดแล้วก็ชายตาแหลมไปทางคนอื่นๆ ผีสาง-นั่นมันอ้ายเทียมแท้ๆ นั่งทำหยิ่งกะคนบ้านนอกเอ๋อ อีช้อยหรอกนึกว่าใครคนอื่นที่ไหนนุ่งผ้าถุงปากแดงแจ๊ดยังกะกินหมากคราวเดียว ๓ คำ ผมหยิกตลอดหัวงามล้ำจนผิดตาพี่ แต่แปลกที่อีช้อยไม่ทักสักคำ

มองถัดหลังอีช้อยออกไปริมแคร่ ผู้หญิงงามพอเหวี่ยงกะอีช้อยนั่งหันข้างแล้วก็หันหลัง คนบางกอกแท้ แต่ช่างขี้อายสิ้นดี คอระหงถึงเนื้อจะคล้ำอย่างคนบ้านนาแต่มีน้ำมีนวล คงจะเป็นเมียอ้ายชวนแน่ เออบางกอกมันเมืองสวรรค์แท้ แล้วผู้ชายบางกอกมันวาสนาดีเกินหนุ่มบ้านทุ่ง เห็นเมียเขาอื่นก็ใจหวนคิดถึงแม่โปรย

เจ้าโปรยนั่งหันหลังใจริกๆ เหมือนจะเป็นลม ถึงจะไม่เห็นหน้ามันแต่นึกหน้ามันออก ห่อผ้าบนไหล่แลหอกคร่ำเงินในมือนั่นเคยงามสง่าสมนักเลงบ้านทุ่งแท้เมื่อก่อน แต่แสนจะทุเรศในความป่าเลื่อนเป็นบ้านนอกที่สุดในครั้งนี้ นึกภาวนาขอให้มันพ้นไปจากที่นี่ไปเสียโดยเร็วที่สุด ก่อนที่มันจะรู้ว่าเป็นเจ้าและได้เปลี่ยนสภาพตลอดจนการคบหาสมาคมกับผู้ชายบางกอก

เจ้าแผลงยืนลังเล เพราะไม่มีใครจะทักทายด้วยอีก อ้ายเทียมก็จองหองเหลือหลาย อีช้อยก็กระดากกระเดื่องผิดราวกับคนละคนกะอีช้อยเมื่อค่อน ๓ เดือน จึงตั้งท่าจะหนีกลับ พอดีเจ้าช้อยซึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่นานจึงกลับตัวจะเปลี่ยนท่านั่ง ข้างเจ้าโปรยเกรงเจ้าช้อยจะยืน ไม่มีใครบังจึงเหลียวมาสะกิด

แผลงจับตาอยู่นานแล้วที่จะดูหน้านังคนบางกอกขี้อาย เจ้าโปรยเมื่อเหลียวก็อดชำเลืองไม่ได้จึงพบกันจังตา เพียงแวบเดียวเจ้าแผลงก็สิ้นสงสัยว่าเป็นผู้หญิงอื่น ความยุ่งยากร้อยพันก็ผุดในหัวอก ผีหลอกกลางวันยังไม่แปลกประหลาดเหมือนมันเหยียบแสนแสบวันนี้

“เอ๊ะ-โปรย เออ-นี่มันไปมายังไงกันล่ะนี่” แล้วก็มองหน้าไปอีกทุกๆ คน

พ่อเทียมหัวเราะก๊าก นายชวนกับเพื่อนแทบจะถึงฮา เพราะท่าทางเจ้าแผลงตื่นชวนฮา แต่ว่าโปรยน้ำตาหยด

เมื่อโปรยไม่พูดด้วยก็ต้องแก้เก้อพูดกะน้องสาว

“อีช้อย-แหมเอ็งช่างไม่ทักพี่สักคำเลย ใจดำแท้”

เจ้าช้อยใจไม่สบายคิดอายคุณพรเพื่อนของพี่ชาย ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เจ้าแผลงเป็นคนบ้านนอกไปคนเดียวแล้วยังจะพลอยคนอื่นเสียรังวัด

ตอบอ้ายพี่ชายอย่างทันสมัยว่า “เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่เถอะพี่แผลง หัวบ้านนอกพรรค์นี้ ฉันขวางพิลึก”

แผลงคงทำหน้าประหลาดไม่เข้าใจ “เฮอะเอ็งว่ายังไงวะช้อย? เอ้อแม่โปรยก็ใจดำ ถามเป็นหลายหนไม่พูดด้วยสักที”

โปรยมิรู้ที่จะตอบอย่างไร ก็คิดสงสารมันอยู่มั่งเพราะชั่วๆ ดีๆ ก็คนรักกันมา แต่เมื่อคิดถึงคำพูดของเจ้าแผลงแต่ละคำแล้วรู้สึกที่จะพูดด้วยเกรงได้รับความอายหันมาชวนเจ้าช้อยออกเดินจากที่นั้นไปเสียเฉยๆ เหมือนจะไม่พอใจ

นายชวนกับเพื่อนเข้าใจผิดไปตามกัน คาดว่าเจ้าแผลงพูดแสลงหูของหญิงทั้งสอง ต่างก็ทำกิริยาฮึดฮัดจะรับมือกับอ้ายเสือแสนแสบ แต่เจ้าแผลงก็หารู้ทีรู้ท่าไม่เหมาะกับตาเชื่อมซึ่งเห็นความไม่งามจะเกิดจึงไพล่ชวนเจ้าแผลงไปเสียคนละทาง

งานเกี่ยวเลยไปแล้ว ๓ วัน ข้าวหมดทุ่งเหลือแต่กอซังเหลือง นายชวนกับเพื่อนก็จากแสนแสบไปแล้ว แม้แสนแสบจะยังไม่เปลี่ยนแปลงแต่ทว่าเจ้าแผลงลูกทุ่งแสนแสบก็คงจะมีหัวใจอลเวงกลับกลอกไปด้วยความผันแปรของเหตุการณ์และธรรมชาติ เมื่อมันจะจากแสนแสบข้าวยังเหลืองเต็มทุ่งน้ำยังเจิ่งตลิ่ง อีช้อยยังสวมงอบนุ่งโจงกระเบน เจ้าโปรยยังเป็นหญิงท้องนา แต่พอมันนั้นกลับเพียงค่อน ๓ เดือนข้าวก็ร้างทุ่งน้ำก็ลดลาตลิ่ง อีช้อย เจ้าโปรยกลายเป็นหญิงบางกอก ซ้ำเจ้าชวนก็มาคลุกคลีเป็นกันเองกะเจ้าโปรย แล้วทุกๆ คนตลอดจนลุงเชื่อมก็ดูเหินห่างไม่ค่อยพูดจากับมัน อื่นๆ เปลี่ยนไปหมดแล้ว คงเหลือแต่เนื้อนาท้องน้ำลำกระโดงแลห้างนอนควายในคอกเท่านั้นที่ยังจำได้ว่าเป็นแสนแสบบ้านทุ่งบ้านนา

เช้ารุ่งของวันที่ ๔ นับแต่เจ้าแผลงมาถึง ด้วยความอึดอัดกระวนกระวาย ที่เห็นความผิดแปลกเกิดขึ้น เจ้าแผลงซึ่งเหมือนคนกำลังฝันก็ตั้งใจเป็นเด็ดเดี่ยวว่าจะต้องไปซักเอาความที่ลุงแล้วจะเลยพูดถึงเรื่องไร่เรื่องนาตามที่สัญญากันไว้

ถึงบนเรือนเห็นอีช้อยกำลังอ่านหนังสือสมัยใหม่ มันเหลือบดูแวบหนึ่งแล้วก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนลุงเชื่อมพอเห็นสะบัดหน้าฮึด อะไรๆ มันก็แปรไปหมดรีว่าที่นี่มันไม่ใช่เมืองแสนแสบ

“ธุระไรรึวะแผลง” แกถามเสียไม่ได้

แผลงไม่ค่อยสบายใจเมื่อเห็นสีหน้าลุง “ก็มีอยู่มั่งหรอกจ้ะ ลุงเห็นจะว่างกระมังวันนี้”

ตาเชื่อมพยักรับ “อือ แต่ว่าบ่ายๆ ข้าจะต้องไปบ้านท่านกำนันสักหน่อย เอ็งมีธุระเรื่องอะไรก็ว่าไปดูเรอะ”

แผลงอึกๆ อักๆ นั่งพลิกสองกลับสามแล้วก็แข็งใจตอบตรงๆ “ฉันคิดว่าหากลุงว่างอยากจะชวนไปอำเภอ”

ตาเชื่อมรีบถามแซม “ไปทำไมอำเภอ”

“ก็ตามลุงสัญญาว่า เมื่อฉันกลับจากหนองจอกแล้วจะโอนนาคืนให้ แต่ว่าเมื่อลุงยังไม่ว่างจะไว้มื้อหลังก็ได้ไม่เป็นไร”

เจ้าช้อยพับหนังสือเริงรมย์ ซึ่งอ่านค้างมองพี่ชายหัวบ้านนอกอย่างเอาใส่ ตาเชื่อมตบพื้นดังสนั่นด้วยฤทธิ์โทโส

“นาของพ่อมึงสร้างไว้ที่ไหนล่ะ หน็อยอ้ายแผลง อ้ายเนรคุณกูเลี้ยงมึงมาแต่หัวเท่ากำปั่น นี่มึงมีปีกมีหางแล้วงั้นเรอะ?”

แผลงผงะหน้า ความมันแปรไปหมดเหมือนหน้ามือหลังมือ นึกไม่ชอบใจว่าลุงชี้หน้าว่าเนรคุณ นี่หากเป็นพี่ชายแท้ของพ่อกูหาไม่ก็จะรู้ว่าใครดีใครชั่ว

“เอ้-ลุง ก็นาพ่อที่แกตายไปนั่นไม่มีหรอกเรอะ”

“นาพ่อมึง-เอ้ อ้ายแผลง พ่อมึงตายโหงไปแต่ตัวเปล่ายังไม่พอทิ้งเดรัจฉานตาดำๆ ครือว่ามึงนี่แหละไว้ให้กูเลี้ยงอีกทั้งคน ยังไม่พออีกเรอะ แล้วมึงจะเอาอะไรกะกูอีกวะอ้ายแผลง แต่เล็กจนโตข้าวสุกกูหมดไปเพราะมึงกี่เกวียนแล้วรู้มั่งมั้ย?”

เหลือที่จะอดใจเถียง เจ้าแผลงจึงถลันยืน “นี่ลุงจะโกงข้าดื้อๆ งั้นเรอะ”

“หยุดอ้ายแผลง” ตาเชื่อมลุกเก้กังชี้หน้าห้าม “เมื่อมึงเห็นกูโกงมึงฟ้องเอา แต่มึงขโมยเงินกูชั่งหนึ่งหนีไปแล้วด้านหน้ากลับมา คำน้อยกูยังไม่พูดให้มึงกระเทือน อ้ายสัตว์เดรัจฉานเนรคุณกู!”

เจ้าแผลงไม่ตกใจในคำกล่าวหาของลุง เพราะควายในคอกนี่ยังเป็นพยานอยู่ ขณะนั้นพ่อเทียมก็ก้าวขึ้นมาบนเรือน แต่งตัวสวยสะอาดคล้ายคนบางกอก

“แน่ะ-พ่อเทียมเป็นพยานไว้ด้วยอ้ายขโมยที่เอาเงินฉันไปชั่งหนึ่งน่ะอยู่นี่แล้ว ช่วยไปบอกกำนันให้ทีเถอะ” พอตาเชื่อมมาอ้างพ่อเทียมเป็นพยานเจ้าแผลงก็หัวเราะก้อง

“แล้วอ้ายควายคู่ในคอกนั่นจะว่าไงล่ะลุง?”

“อ้ายจังไร มึงปล้นควายเขามาแต่หนองจอกแทงผู้แทงคนตายป่นปี้ แล้วจะมาพลอยให้กูไปด้วยมึงรู้มั้ยล่ะว่าผู้ใหญ่บ้านหนองจอกเขาแจ้งให้อำเภอตามจับมึงนั่น จะว่ายังไง เร็วซีพ่อเทียมไปตามกำนันแปลกมาเดี๋ยวนี้หละเร็วๆ หน่อยมันจะหนีเสีย”

พ่อเทียมไม่รอช้ารีบลงเรือนไปตามตาเชื่อมสั่ง เจ้าช้อยหน้าเลิกลั่กมองเห็นว่า เลือดจะต้องนองพื้นขึ้นในครู่ข้างหน้าเมื่อกำนันมาล้อมจับ เจ้าแผลงจะรีบหลบลงเรือนไปก่อน

ถึงจะแสนโง่ เจ้าแผลงก็มองเห็นเรื่องราวข้างหลังที่ซับซ้อนกันจนตัวเองเสียกลต้องอุบายลุง คิดถึงคำอีช้อยที่เตือนว่ามันกำลังมีเคราะห์ก็ยิ่งแค้นใจหนัก

“ฉันไม่หนีหรอกลุง แต่คนอย่างฉันน่ะจะไม่ยอมให้ใครจับเหมือนกัน” แผลงตอบผางๆ เยื่อใยที่จะคิดว่าเป็นลุงหรือผู้มีพระคุณแทบไม่เหลืออยู่อีก “ฉันจะไปห้างเมื่อกำนันมาอยากได้ตัวก็ไปจับเอาถึงจะต้องติดอำเภอก็เห็นจะต้องติดกันหรอกแต่ศพ ถ้าอ้ายแผลงมันยังลืมตาอ้าปากอยู่เถอะ ทุ่งนี้ก็ยังอยากจะรู้จักหน้าอยู่มั่งว่าใครจะจับอ้ายแผลง” แล้วก็หมุนลงเรือนตรงมาห้าง

มันรวบรวมผ้าผ่อนเข้าห่อ เมื่อพระเครื่องคาดมันอยู่แขนหอกก็วางอยู่ใกล้ตัวแล้ว เจ้านักเลงลือของทุ่งแสนแสบก็จุดธูปเทียนรำลึกถึงผีพ่อบอกเล่าเก้าสิบว่า ครั้งนี้มันทุกข์หนักเมื่อผีพ่อไม่ช่วย มันก็จะสู้จนตัวตายไม่ยอมให้นักเลงอื่นมาตราหน้า

เสียงพูดกันเอะอะข้างนอก ทำให้เจ้าแผลงรู้ตัวว่ามันถึงเวลาเข้าคับขันแล้วแน่ อย่างไรเสียกำนันแปลกพ่อเจ้าโปรยคนรักคนใคร่เมื่อก่อน คงเชื่อคำอ้ายเทียมตามมาจับ แต่เมื่อเจ้าโปรยเป็นอื่นไปแล้วพ่ออีโปรยมันไม่สำคัญ เมื่อตั้งจิตแน่นอนว่าวันนี้เป็นวันจะลาทุ่งแล้วอ้ายยอดนักเลงที่ไม่เคยลงให้ใครก็คว้าห่อผ้าคู่มือควงกำออกมา

ข้างนอก กำนันแปลก ตาเชื่อมและพ่อเทียมยืนคุมเชิงอยู่กับลูกบ้านอีก ๓-๔ คน กำลังชี้มือชี้ไม้มาทางห้าง พอเห็นอ้ายนักเลงดีแต่งตัวครบเครื่องออกมายืน ก็รวมกลุ่มกันไม่กล้ากระจัดกระจายแม้ว่าจะมีคนตั้ง ๗-๘ คน แต่ไม่วายหวั่นว่ามิใครก็ใครคงเป็นศพลงมั่ง

กำนันแปลกเมื่อรู้ว่าหน้าที่จำเป็นของแกมาถึง ก็ออกนำหน้าเดินตรงเข้าใส่ “แผลง เอ็งยอมให้จับเสียดีๆ อย่าให้ต้องลงไม้ลงมือเลยวะ”

“เรื่องอะไรจะยอมให้ท่านกำนันจับ” ถามเสียงขุ่นๆ โจนจากห้างลงเหยียบดิน พวกนั้นชะงักมองตาไปตามกัน พ่อเทียมหลบบังหลังเพื่อน

ตาเชื่อมตอบแซงขึ้น “ขโมยเงินกู แล้วปล้นควายเขาที่หนองจอกแทงคนเขาไง”

“ฮ้ะ ฮ้าไม่ได้กินเสียแหละลุงข้า” มันว่ายกหอกชี้มาทางพ่อเทียม “กูรู้ทั้งนั้นว่าใครจะทำไม เออ ก็อ้ายคนที่ข้าแทงนั่นมันคนบ้านอ้ายเทียมแล้วจะว่ายังไงกันละ เอาเถอะ เมื่อลุงจะไม่ให้ข้าอยู่บ้าน แล้วจะโกงนาข้าก็ไม่ว่าอะไร แต่อ้ายที่จะเอาความมาป้ายกันเล่น แล้วพากันมาล้อมจับ อ้ายแผลงน่ะไม่ยอม ขอบอกให้รู้ทุกๆ คนว่า กูหัวเดียวคนเดียว เมื่อไม่ผิดแล้วก็ไม่ยอมทั้งสิ้นอย่าว่าแต่มาเท่านี้เลย ให้แห่กันมาทั้งแสนแสบก็จะต้องสู้”

“มึงจะตายโหงเสียเปล่า ยอมเสียดีๆ เถอะ” เสียงพ่อเทียมตะโกนมาจากข้างหลังตาเชื่อม

“ก็กูจะตายนี่วะ อ้ายเทียม มึงเห็นมั้ยล่ะ ว่ากูแต่งชุดดำนี่น่ะกูไว้ทุกข์ให้ผีกูเหมือนกัน ก็จับซีล่ะ มาเหอะมาจับชะ-ช้า อ้ายเทียมเอ๊ยเป็นทีแล้ว มึงอย่าเพิ่งหยามนักเลงซีวะ เมื่อมึงยังรักจะเป็นคนจริงละก้อไม่ต้องจริงอวดคนหรอก กลางค่ำกลางคืนพบกันที่ไหนก็ได้รึว่ามึงจะให้กูไปบ้านมึงก็บอกมาว่าเมื่อไหร่”

พ่อเทียมใจคอหาย ที่อ้ายแผลงลั่นปากออกมาหนัก ๆ แต่จะไม่ตอบเสียเลย เพื่อนบ้านที่มาด้วยกันจะสิ้นนับถือ

“ก็ตามใจมึงซิแผลง กูก็อ้ายคนแสนแสบเหมือนกัน จะแปลกอะไร”

กำนันแปลกเห็นท่าไม่เป็นการจึงห้าม ทั้งแกเองก็รู้ความนัย ที่ตาเชื่อมปรึกษาไว้แล้ว จึงคิดลังเล ถ้าจับอ้ายแผลงมันก็ต้องสู้และเมื่อความถึงอำเภอแล้วโทษโพยจะกลับเป็นของตาเชื่อมและพ่อเทียมเพราะเจ้าคนที่ถูกแทงยังนอนเจ็บอยู่บ้านพ่อเทียม ขณะนั้นเจ้าโปรยกับเจ้าช้อยก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึงเพราะเกรงเจ้าแผลงจะทำร้ายท่านกำนัน

เห็นหน้าเจ้าคนที่เคยรักอยู่เก่าก่อน ไม่วายสงสารผู้ชายที่ไหนจะมีอีก ซึ่งเคราะห์ร้ายอย่างมันเจ้าแผลงเล่า มองเห็นหน้าอีช้อยกับเจ้าโปรยแล้วแค้นตันคอหอย มันเป็นผู้หญิงบางกอกไปแล้วทั้งคู่โปรยเอ๋ยเจ้ากำลังเปลี่ยนสมัยจนลืมพี่ เจ้ากำลังสวยงามเป็นผู้หญิงบางกอกแล้วพี่ก็คงช้ำใจตายเพราะบางกอกที่มันเปลี่ยนเจ้าให้แปรไป

เป็นอันว่ากำนันแปลกตกลงกับตาเชื่อมปล่อยให้เจ้าแผลงพ้นข้อหา แต่ว่าอยู่ในท้องที่ของท่านกำนันอีกไม่ได้เพราะมีคดีติดตัว เจ้าแผลงหัวเราะแค้นๆ เหลียวมาดูห้างนอนซึ่งมันจะไม่ได้นอนอีก อีช้อยเมื่อก่อนๆ เคยรักใคร่มันนัก เจ้าโปรยก็หึงหวงมัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครจะแยแสมันสักคน เมื่อเดินผ่านมาถึงทางหญิงทั้งสองมันก็หยุดลา

“ช้อยเอ๋ย พี่ลาเอ็งก่อนละ นาของพี่นี่เมื่อว่ามันเป็นของเอ็งอยู่มั่ง พี่ก็เต็มใจ” มันพูดน้ำตาคลอๆ หันมาทางเจ้าโปรยกำลังเบือนหลบ “แม่โปรย-ผิดร้ายอะไรฉันก็ไม่มี อ้ายเรื่องวันนั้นก็ถามอีช้อยมันดูเองเถอะ แต่ฉันมันคนเคราะห์ร้ายก็จะขอลาไปตามเคราะห์ โปรยเอ๋ยฉันได้พูดไว้แล้วว่าเป็นปลามันสบายกว่าเป็นคน”

“นิ่งเสียเถอะพ่อแผลง” โปรยตอบเสียงสั่นคำพูดของเจ้าแผลงเป็นคำหลังที่แทงใจ “ฉันก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรเมื่อเรื่องมันแล้วไปแล้วจะงัดขึ้นมาพูดกันทำไม”

จะแสนแค้น เจ้าแผลงก็ยังเกรงใจโปรยอยู่มากคิดถึงวาสนาและความเวิ้งว้างที่จะต้องมีต่อไปข้างหน้า แล้วน้ำตาหยดดิน ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ออกได้เดินดุ่มไป

เจ้าช้อยสะอื้นดัง “พี่แผลงจะไปอยู่ไหน?”

มันเหลียวมาน้ำตานองหน้า “ไม่รู้เลยช้อยเอ๋ยน้ำขึ้นน้ำลงมันมีข้าก็จะไปตามน้ำตามลมกว่ามันจะหมดชีวิตของข้า” แล้วไม่พูดอีกจนคำเดียว ออกเดินมุ่งที่จะให้พ้นผืนนาของมันเองให้เร็วที่สุด เมื่อจะผ่านกลุ่มตาเชื่อมและกำนันแปลกกับลูกบ้านที่จะมาจับ เหลียวเห็นหน้าอ้ายเทียมแล้วยากจะร้องให้ดัง พยักหน้ากับมันครั้งหนึ่งเหมือนจะบอกว่า ถึงชายคาในแสนแสบมันจะไร้แต่ท้องน้ำและทุ่งท่าทิวไม้ยังเป็นของกู แล้วมึงก็จะได้รู้จักอ้ายคนนอนกลางดินกินกลางน้ำในวันหน้า

ทุกๆ คนมองตามด้วยหัวใจต่างกัน ชั่วๆ ดีๆ เมื่อมันอยู่นักเลงอื่นก็ไม่กล้าเหยียบทุ่งแสนแสบอย่างดูแคลน แต่ว่าพ่อเทียมมือรองดีอกดีใจที่จะได้เป็นมือเอก เจ้าช้อยหัวใจเยือกเย็นมองห้างเฝ้าควายแล้วรู้สึกอยู่ว่าทุ่งแสนแสบกำลังจะขาดอะไรไปสักอย่างหนึ่ง โปรยนั้นเหมือนปิศาจเข้าสิงหัวใจได้ยินอยู่แต่ว่าคล้ายคนพืมพำทำให้ได้ยินที่ข้างหูว่า “คนไม่รักสัตย์จะต้องฉิบหายตายเป็นผีทุ่ง” แล้วก็ยืนมองมันกระทั่งเห็นหลังไวๆ แลย่ำลับลงลำกระโดงโน้น

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ