๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงศักดิ์ |
มหาจักรพรรดิราชนาถนาถา |
เฉลิมวงศ์มงกุฎอยุธยา |
บำรุงราษฎร์สาสนาให้ถาวร |
พระปกเกล้าชาวบุรีเปนที่ชื่น |
สำราษรื่นร่มโพธิ์สโมสร |
มีคชาพาหนะนรินทร |
ห้ากุญชรเผือกผู้คู่บารมี |
กับเผือกพังทั้งสองล้วนผ่องแผ้ว |
ชาติ์ช้างแก้วเกิดสำหรับกับกรุงศรี |
เปนเจ็ดช้างต่างนามล้วนงามดี |
อยู่โรงที่ริมปราสาทในราชวัง |
ตั้งพานทองรองหญ้าผลาผล |
ผ้ารัตกัมพลนั้นปกหลัง |
พเนกฟูกผูกม่านเพดานบัง |
หมอควาญทั้งพราหมณ์กล่อมอยู่พร้อมเพรียง |
บ่ายสามโมงลงน้ำนำกลองชนะ |
ปิ๋งเปิงปะเปิงครื่มกระหึมเสียง |
เครื่องสูงสำหรับช้างสองข้างเคียง |
พร้อมเพรียงเพราะพระบารมี |
อุดมทั้งโภไคยไอสูรย์ |
เพิ่มภูลภิญโญดังโกสีย์ |
ทั้งเหนือใต้ไพร่ฟ้าประชาชี |
ล้วนมั่งคั่งมั่งมีต่างปรีดา |
อาณาจักรนัคเรศประเทศราช |
พึ่งพระบาทบุญฤทธิ์ทุกทิศา |
ทุกถิ่นฐานบ้านเมืองเลื่องฦๅชา |
พระเจ้าช้างเผือกมหาจักรพรรดิ |
ฝ่ายเสนาข้าเฝ้าเหล่าทหาร |
ต่างเริงร่านการศึกซ้อมฝึกหัด |
ยิงปืนทั้งช้างม้าฝึกสารพัด |
สนามน่าจักรวรรดิหัดทุกวัน ฯ |
๏ จะกลับกล่าวถึงพระเจ้าเมืองหงษา |
เปนปิ่นรามัญประเทศทุกเขตรขัณฑ์ |
พม่าทวายฝ่ายลาวเมื่อคราวนั้น |
อภิวันท์หงษาพึ่งบารมี |
เธอทราบเรื่องเมืองไทยที่ใหญ่กว้าง |
มีเจ็ดช้างเผือกอยู่บุรีศรี |
คิดจะใคร่ได้มาไว้ธานี |
ให้มนตรีคิดอ่านแต่งสารตรา ฯ |
๏ ครั้นเสร็จสรรพพับผนิดปิดตราแล้ว |
ใส่กล่องแก้วมรกฎตามยศถา |
ให้สมิงโยคราชมาตยา |
คุมไพร่ห้าสิบตรงเข้าดงดาล |
ยี่สิบวันดั้นเดินตามแผนที่ |
ถึงเจดีย์สามองค์ลงทางบ้านด่าน |
พบขุนพลพามาในป่าลาน |
เข้าแจ้งเรื่องเมืองกาญจนบุรี ฯ |
๏ ฝ่ายผู้รั้งปลัดยกรบัตรแจ้ง |
ให้ขุนแพ่งรีบพามากรุงศรี |
นำเข้าหาเจ้าพระยาจักรี |
พร้อมอยู่ที่ศาลาว่าราชการ |
ให้มอญล่ามถามซักตระหนักแน่ |
อ่านเขียนเปลี่ยนแปลพระราชสาร |
เปนคำไทยได้ระเบียบแล้วเทียบทาน |
พนักงานนำเข้าคอยเฝ้าพลัน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช |
ปิ่นปักนัคเรศรังสรรค์ |
สถิตย์แท่นแม้นมหาเวชายันต์ |
เสมอชั้นบัณฑุกัมพล์อัมรินทร์ |
สาวสุรางค์นางบำเรอเสนอบาท |
บำรุงราชรู้เชิงบรรเทิงถวิล |
บ้างร้องรับขับขานประสานพิณ |
บำเรอปิ่นปัถพีให้ปรีดา |
ครั้นสายแสงสุริกาญจน์พระผ่านเกล้า |
เสด็จเข้าที่สรงทรงภูษา |
ประดับเครื่องเรืององค์อลงการ์ |
ออกข้างน่าพนักงานไขม่านทอง |
เสด็จเหนือพระที่นั่งบัลลังก์อาศน์ |
พร้อมมหาดเล็กฟังรับสั่งสนอง |
ประโคมดังสังข์แตรเสียงแซ่ซ้อง |
มโหรทึกกึกก้องท้องพระโรง |
ฝ่ายข้าเฝ้าเหล่าขุนนางต่างตำแหน่ง |
ก็ตกแต่งกายาล้วนอ่าโถง |
นุ่งสมปักชักกลีบจัดจีบโจง |
เข้าพระโรงบังคมก้มกราบกราน ฯ |
๏ เจ้าพระยาจักรีศรีสมุหะ |
ขอเดชะทูลความตามราชสาร |
เบิกทูตเข้าเฝ้าประนตบทมาลย์ |
อาลักษณ์พนักงานอ่านสารตรา ฯ |
๏ ในลักษณพระราชสารสวัสดิ์ |
จอมกระษัตริย์ซึ่งดำรงเมืองหงษา |
ทรงพระยศทศธรรม์กรุณา |
ให้เย็นใจไพร่ฟ้าประชาชี |
มีเมืองน้อยร้อยเอ็ดเปนเขตรขอบ |
มานบนอบน้อมประนตบทศรี |
กับกรุงเพทวาราวดี |
เปนทางราชไมตรีได้มีมา |
ทราบว่าองค์ทรงยศมีคชเรศ |
ล้วนเผือกผู้คู่พระเดชพระเชษฐา |
เสมอบุญจุลจักรทรงศักดา |
จนฦๅชาปรากฎบทมาลย์ |
เมืองหงษาวดีที่ใหญ่กว้าง |
ไม่มีช้างเผือกผู้คู่ถิ่นฐาน |
ขอพระองค์ทรงมหาปรีชาชาญ |
โปรดประทานให้น้องสักสองช้าง |
จะฦๅนามงามภักตร์สูงศักดิ์แสง |
สมประเทศเขตรแขวงที่กว้างขวาง |
ให้ร่วมแดนแผ่นดินร่วมถิ่นทาง |
ขอพระองค์จงสร้างทางไมตรี |
แม้นทรงศักดิ์รักข้างช้างเผือกผู้ |
ไม่ช่วยชูภักตร์น้องจะหมองศรี |
กรุงอยุธยากับหงษาวดี |
จะขาดราชไมตรีซึ่งมีมา ฯ |
๏ พอจบสารกรานกราบพระทราบเรื่อง |
ให้ขุ่นเคืองในพระไทยแต่ไม่ว่า |
ให้จ่ายเสบียงเลี้ยงดูพวกทูตา |
แล้วตรองตรึกปฤกษาเสนาใน |
ซึ่งหงษามาขอช้างเผือกผู้ |
จงคิดดูใครจะเห็นเปนไฉน |
จะแขงอ่อนผ่อนผันทำฉันใด |
เร่งตรึกไตรใคร่ครวญให้ควรการ ฯ |
๏ ฝ่ายเสนาข้ารองลอองบาท |
อยู่พร้อมพรั่งทั้งมหาดไทยทหาร |
ต่างปฤกษาว่าแต่ก่อนเคยรอนราญ |
กับผู้ผ่านหงษาเจ้ารามัญ |
จับลูกเธอทั้งสองพี่น้องได้ |
ก็คุมไว้ไม่ฆ่าให้อาสัญ |
เมื่อโปรดให้ไปขอพระหน่อนั้น |
เจ้ารามัญคืนให้เปนไมตรี |
เดี๋ยวนี้เล่าเขาขอคชสาร |
ควรประทานหงษาเปนราษี |
แม้นไม่ให้เห็นจะมารบราวี |
ในธานีก็คงเกิดสงคราม ฯ |
๏ ฝ่ายพระราเมศวรพระยาจักรี |
พระสุนทรอยู่ที่เฝ้าทั้งสาม |
ต่างปฤกษาว่าจะให้เห็นไม่งาม |
จะลวนลามล่วงประมาทบาทยุคล |
จึงทูลว่าข้าพเจ้าทั้งสามนี้ |
เห็นไม่สมควรที่ให้ช้างต้น |
ที่ไมตรีมีแต่ก่อนได้ผ่อนปรน |
ให้ช้างดีศรีมงคลทวีปไป |
ถึงสองช้างข้างมอญพม่านั้น |
จะขี่ขับสับฟันไม่หวั่นไหว |
จึงคืนให้ไว้กับเราก็เอาไว้ |
เราได้ให้ได้มีไมตรีกัน |
ช้างเผือกผู้คู่บุญทูลกระหม่อม |
มิควรยอมให้ไปจากไอสวรรย์ |
เหมือนกลัวดีฝีมือพวกรามัญ |
จะเสียชั้นเชิงมอญเพราะอ่อนตาม |
แม้นหงษามาตีบุรีเรา |
ข้าพเจ้าพร้อมพรั่งกันทั้งสาม |
ขออาสาพระองค์ออกสงคราม |
มิให้ลามล่วงมาถึงธานี ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินปิ่นพิภพ |
หมายจะรบรับศึกไม่นึกหนี |
จึงตรัสสั่งทั้งสามว่าตามที |
ให้เสนีที่ชำนาญแต่งสารตรา |
เปนความตอบมอบสมิงโยคราช |
บังคมลาฝ่าพระบาทนาถนาถา |
กับไพร่ห้าสิบถ้วนด่วนเดินมา |
ถึงหงษาเข้าเฝ้าเจ้าธานี |
กราบทูลความตามราชสารตอบ |
แล้วนอบน้อมประนตบทศรี |
ฝ่ายเสนารามัญอัญชลี |
แล้วก็คลี่ราชสารออกอ่านพลัน ฯ |
๏ ในสารว่าพระมหาจักรพรรดิ |
เจ้าจังหวัดเวียงไชยไอสวรรย์ |
เฉลิมวงศ์ทรงยศทศธรรม์ |
ครองเขตรขัณฑ์กรุงทวาราวดี |
ซึ่งพระน้องต้องประสงค์ช้างเผือกผู้ |
เปนของคู่บุญบำรุงชาวกรุงศรี |
อันวิไสยในจังหวัดปัถพี |
ผู้ใดมีบุญญากฤดาการ |
จึงย่อมจักเกิดช้างแลนางแก้ว |
ใช่บุญแล้วถึงจะได้ไว้ถิ่นฐาน |
ไม่รุ่งเรืองเครื่องจะอันตรธาน |
เหมือนบุราณท่านเปรียบทำเนียบความ |
ประเวณีมีบุญการุญโลก |
อุประโภคโภไคยก็ไหลหลาม |
มีม้าแก้วแล้วมีช้างมีนางงาม |
ศึกสงครามก็มักมาถึงธานี |
ซึ่งมิได้ให้ช้างเผือกไปเลี้ยง |
เพราะผิดเยี่ยงอย่างพระน้องอย่าหมองศรี |
เชิญดำรงหงษาประชาชี |
จะได้มีเกียรติยศปรากฎไป ฯ |
๏ พอจบสารอ่านแสนแค้นเคืองขุ่น |
ให้หมกมุ่นโมโหเสโทไหล |
ชะฮึกฮักยักเยื้องเจ้าเมืองไทย |
จะไปไล่ลุยล้างชิงช้างมา |
ยิ่งฮึดฮัดตรัสสั่งมังสุระ |
บอกอังวะทวายเชียงใหม่หวา |
เดือนสิบสองจะไปตีศรีอยุธยา |
ใครไม่มาเหมือนหมายจะวายปราณ |
เกณฑ์ให้ทั่วหัวเมืองเครื่องรบพุ่ง |
เร่งบำรุงช้างม้าโยธาทหาร |
มังสุระประนมก้มกราบกราน |
หมายประกาศราชการทุกบ้านเมือง ฯ |
๏ พอถึงเดือนสิบสองพวกกองทัพ |
ต่างต้อนขับเกวียนต่างม้าช้างเครื่อง |
เมืองปรอนแปรแซ่ซ้องมานองเนือง |
เมืองเสี่ยงเมืองเมาะตมะมะลำเลิง |
เมืองตองอูภุกามเมืองบัวเผื่อน |
มากลาดเกลื่อนเมืองพสิมเมืองติมตะเคลิ่ง |
เชียงใหม่ทั้งอังวะเมืองละเคิง |
มาสิ้นเชิงทั้งจิตตองกองทวาย |
รวบรวมล้อมพร้อมเข้าสิบเก้าหมื่น |
หอกดาบปืนพร้อมหมดเหมือนกฎหมาย |
ทั้งเกวียนต่างช้างม้ามามากมาย |
พม่าทวายมอญลาวเฝ้าพร้อมกัน ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์หงษาตรึกตราตรัส |
อันจังหวัดเมืองไทยไอสวรรย์ |
มีทุ่งลำน้ำรอบเปนขอบคัน |
ดูเหมือนกันกับลงกากลางสาชล |
มีเรื่องราวคราวพระรามข้ามทหาร |
ต้องคิดการถมน้ำทำถนน |
ครั้งนี้เราเล่าจะไปพร้อมไพร่พล |
ต้องคิดกลการปีจึงมีไชย |
ด้วยเมืองรายฝ่ายเหนือเมืองไทยนั้น |
แม่น้ำคั่นเขาขวางล้วนกว้างใหญ่ |
เมืองพิจิตรพิศณุโลกศุโขไทย |
เมืองพิไชยเมืองกำแพงระแหงนั้น |
จะระดมสมทบช่วยรบพุ่ง |
ป้องกันกรุงเทพเหมือนดังเขื่อนขัณฑ์ |
ทั้งเข้าน้ำลำเลียงพร้อมเพรียงกัน |
เปนที่มั่นกันศรีอยุธยา |
เราตีให้ได้ก่อนพักผ่อนตั้ง |
จะย่อหย่อนอ่อนกำลังลงนักหนา |
จะได้ไทยได้ทั้งช้างเผือกมา |
ท้าวพระยาใครจะเห็นเปนอย่างไร ฯ |
๏ เจ้าอังวะพระเจ้าแปรบุตรเขยหลาน |
เหล่าทหารพร้อมเพรียงทั้งเชียงใหม่ |
ต่างบังคมชมพระปัญญาไว |
เห็นจะได้กรุงทวาราวดี ฯ |
๏ ฝ่ายกระษัตริย์อัษฎงคต์เจ้าหงษา |
จัดโยธาทหารชาญไชยศรี |
อุปราชทัพน่าเคยราวี |
คุมพลยี่สิบหมื่นพื้นฉกรรจ์ |
เจ้าอังวะกะเกณฑ์เปนปีกขวา |
ทหารสิบหมื่นพม่ากล้าแขงขัน |
พระเจ้าแปรปีกซ้ายไพร่นายนั้น |
สิบหมื่นถ้วนล้วนฉกรรจ์เลือกสรรมา |
เจ้าเชียงใหม่ให้กำกับเปนทัพหลัง |
ทหารทั้งสิบหมื่นถือปืนผา |
ดูดาษเดียรเกวียนต่างทั้งช้างม้า |
อูฐล่อลาวัวควายเรียงรายไป |
ถึงสองค่ำสำคัญเปนวันฤกษ์ |
ต่างเอิกเกริกเตรียมกันเสียงหวั่นไหว |
พระองค์หงษาสำราญบานพระไทย |
น้ำดอกไม้ทรงสุคนธ์ปนอำพัน |
ทรงภูษาค่าเมืองเรืองระยับ |
ปั้นเหน่งทับทิมพรายสายกระสัน |
ฉลององค์ทรงสวมเกราะนวมนั้น |
สังวาลวรรณพรรณรายเจ็ดสายทรง |
สวมพระมาลาสลับประดับเพ็ชร |
แก้วเก็จเกร็ดกนกวิหคหงส์ |
ทองกรนวมสวมพระธำมรงค์ |
ครั้นเสร็จลงจากบัลลังก์มายังเกย |
ขึ้นคอคชสารเริงร่านร้าย |
ชื่อเทวนาคพินายเดินส่ายเสย |
ร้องแปร๋แปร้นแหงนหน้าชูงาเงย |
เปนช้างเคยเข้าณรงค์ได้ทรงชน |
ได้ฤกษ์ดีตีฆ้องเดินกองทัพ |
ทั้งน่าหลังคั่งคับดูสับสน |
ทวนธงทิวปลิวสล้างกลางอัมพน |
ทั้งเสียงคนขานโห่ก้องโกลา |
กลองชนะประโคมครื้นโครมครึก |
มโหรทึกสังข์แตรแซ่ซ้ายขวา |
ออกเดินทางกลางทุ่งฝุ่นฟุ้งฟ้า |
พวกโยธาน่าหลังคับคั่งกัน |
พม่ามอญคอนหาบถือดาบหอก |
กลับกระบอกแบกตะพายรีบผายผัน |
หม้อเข้าปลาผ้านุ่งคาดพุงพัน |
เบียดเสียดกันเกะกะเถียงเทลาะ |
พวกอังวะพม่าว่าลาแคะ |
มอญว่าแกละอาระเคลิงเกลิงเผนาะ |
ลาวว่าเบอเจอละน้อหัวร่อเยาะ |
ทวายว่าเดาะยามะเวเฮฮากัน ฯ |
๏ ทางเสด็จเจ็ดเวรเปนระยะ |
ถึงเมาะตมะมีลำแม่น้ำคั่น |
ต้องหยุดข้ามโยธาถึงห้าวัน |
จึงพร้อมกันขึ้นบกรีบยกไป |
ยี่สิบวันครั้นถึงแขวงกำแพงเพ็ชร |
จึงเสด็จขึ้นพลับพลาที่อาไศรย |
จึงจัดแจงแบ่งพลเกณฑ์คนใช้ |
เจ้าเชียงใหม่ให้รออยู่ต่อเรือ |
ลำกระจังทั้งนาวาหลาวคาบ้าง |
เจ้าเมืองลำพูนลำปางไปทางเหนือ |
อย่าประมาทกวาดเอาทั้งเข้าเกลือ |
บรรทุกเรือมาไว้แขวงระแหงนี้ |
แล้วทัพหลวงล่วงศุโขไทยตั้ง |
หยุดยับยั้งนั่งพลับพลาหลังคาสี |
ให้ม้าใช้ไปหาเจ้าธานี |
ผู้รั้งที่สวรรคโลกศุโขไทย |
ต่างโอนอ่อนมอญพาออกมาเฝ้า |
ฝ่ายพระเจ้าหงษาตรัสปราไส |
ให้เกณฑ์กองสองทัพกำกับไป |
ยกจากศุโขไทยตามทางมา ฯ |
๏ หยุดยับยั้งตั้งประชิดพิศณุโลก |
ตามโฉลกหลายค่ายปีกซ้ายขวา |
ริมฝั่งน้ำทำประทับที่พลับพลา |
ทุกหมู่หมวดตรวจตราเสียงเกรียวกราว |
ให้รำเต้นเล่นสนุกทุกทุกค่าย |
เสียงทวายมอญพม่าเฮฮาฉาว |
พวกเชียงใหม่ได้แพนอ้อร้องซอลาว |
โอเจ้าสาวสาวเอ๊ยเจ๊ยละน้อ |
พวกพม่าว่าเลเอระพะ |
พยายะชะดองรำยองย่อ |
มอญทะแยแซ่ซ้องเสียงพองคอ |
โอระออระนายเฮยเยาะเย้ยกัน ฯ |
๏ จะกลับกล่าวเจ้าเมืองพิศณุโลก |
พระธรรมราชาวิโยคเศร้าโศกศัลย์ |
ให้สืบดูรู้ว่าทัพรามัญ |
เข้าเขตรขัณฑ์ข้างเหนือเหลือประมาณ |
จึงเร่งรัดจัดเรือเร็วรีบรุด |
ไปอยุธยามหาสถาน |
ขอกองทัพรับมอญช่วยรอนราญ |
เปนช้านานแล้วก็ไม่เห็นใครมา |
จึงลากปืนขึ้นบนเนินเชิงเทินป้อม |
ดูทัพล้อมหลายแสนเห็นแน่นหนา |
เหลือจะนับทัพค่ายสุดสายตา |
พระธรรมราชาระทดสลดใจ |
จึงคิดว่าข้าศึกฮึกฮักหาญ |
จะรบรอต่อต้านเห็นไม่ไหว |
ให้กวาดครัวมั่วสุมประชุมไว้ |
ต้อนแต่ไพร่ขึ้นอยู่พร้อมป้อมปราการ ฯ |
๏ ฝ่ายปิ่นปักนัคเรศเกษหงษา |
ไม่เห็นข้าศึกออกนอกถิ่นฐาน |
แต่คอยฟังรั้งราอยู่ช้านาน |
สั่งทหารมอญลาวเฮ้ยชาวเรา |
ขุดเอาดินถิ่นที่ธานีนั้น |
กำก้อนปั้นทำดูดังภูเขา |
แล้วตรัสใช้ให้สมิงมัตเนา |
เปนทูตเข้าไปในเมืองแจ้งเรื่องความ |
ว่าเรายกโยธามาครั้งนี้ |
จะไปศรีอยุธยาภาษาสยาม |
ชวนชิงไชยไว้ยศให้งดงาม |
แวะมาถามข่าวพระอนุชา |
ให้น้องเราเจ้าเมืองเปลื้องมานะ |
มาชมพระเกียรติเดชของเชษฐา |
ซึ่งรอรั้งหวังจะสนทนา |
เจรจาความเมืองให้เลื่องฦๅ |
ฤๅมานะจะไม่ลดที่ยศศักดิ์ |
ไม่ผูกรักจักไม่รับไม่นับถือ |
ฤๅจะสู้ดูดีดูฝีมือ |
จะชิงไชยไว้ชื่อฤๅฉันใด ฯ |
๏ พระธรรมราชาฟังสั่งทูตว่า |
พระมหาจักรพรรดิเปนกระษัตริย์ใหญ่ |
เราเปนข้าถ้าจะนอกเจ้าออกไป |
ต้องกลัวไภยผ่านเกล้าเจ้าแผ่นดิน ฯ |
๏ ฝ่ายทูตรับกลับไปเฝ้าเจ้าหงษา |
ทูลกิจจาตามสั่งมาทั้งสิ้น |
พระกลับใช้ให้ไปขู่เจ้าบุริน |
ว่าที่ถิ่นน้องเราเล็กเท่านั้น |
แต่ทัพน่าถ้าจะให้เข้าไปตั้ง |
จะเต็มทั้งวังนิเวศขอบเขตรขัณฑ์ |
สิ้นคำพูดทูตกลับมาฉับพลัน |
พระธรรมราชานั้นหวั่นวิญญา |
จึงสั่งให้ไปนิมนต์ภิกษุสงฆ์ |
ทั้งสี่องค์ออกไปเฝ้าเจ้าหงษา |
ดูนอกในให้แน่เห็นแก่ตา |
พระสงฆ์พากันออกไปค่ายรามัญ ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าหงษาให้พาสงฆ์ |
ทั้งสี่องค์ไปดูรอบขอบค่ายมั่น |
เที่ยวดูคูดูบันไดทำไว้นั้น |
ดูดินปั้นก้อนกองสำรองไว้ |
แล้วพระเจ้าหงษาตรัสว่าสงฆ์ |
ทั้งสี่องค์จงไปแจ้งแถลงไข |
อันดินนั้นปั้นก้อนกองซ้อนไว้ |
จะใช้ให้ไพร่พลโยนคนละมือ |
จะเต็มสิ้นถิ่นฐานไม่ถึงครู่ |
ยังจะรู้สู้รบหลีบหลบฤๅ |
บอกพระน้องของเรามาพูดหารือ |
ถ้าขืนถือดื้อดึงจะถึงตาย |
พระสงฆ์รับกลับเข้ามาเล่าเรื่อง |
ฝ่ายเจ้าเมืองนึกให้จิตรใจหาย |
มิออกไปไม่รอดเห็นวอดวาย |
เสียหญิงชายไพร่ฟ้าประชาชี |
จำจะออกไปเฝ้าเจ้าหงษา |
ถึงจะฆ่าจะฟันบั่นเกษี |
จะวอดวายแต่เราเอาชีวี |
ไปแลกเหล่าชาวบุรีช่วยชีพราหมณ์ |
จึงจัดแจงแต่งองค์ทรงเสลี่ยง |
ตำรวจเรียงริมถนนสี่คนหาม |
ทั้งข้าไทใหญ่น้อยต่างพลอยตาม |
พากันข้ามคูไปค่ายไพรี ฯ |
๏ เจ้าหงษาปราไสเชิญให้นั่ง |
ประทานทั้งเครื่องอานพานพระศรี |
แล้วสั่งให้ไปอยู่ในบุรี |
เกณฑ์โยธีไว้ให้เสร็จในเจ็ดวัน ฯ |
๏ ฝ่ายพระธรรมราชาทูลลากลับ |
เกณฑ์กองทัพหมื่นถ้วนล้วนแขงขัน |
สมทบกับทัพหลวงทั้งปวงนั้น |
ยกไปนครสวรรค์ตามสัญญา |
ต่างตั้งค่ายรายเรียงไปริมฝั่ง |
ทั้งน่าหลังเกียกกายปีกซ้ายขวา |
ประชุมทัพยับยั้งตั้งพลับพลา |
คอยรอรารวมล้อมให้พร้อมเพรียง ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่อยู่ฝ่ายเหนือ |
ตั้งต่อเรือรบเหลากล่อมเกลาเกลี้ยง |
เสร็จสองร้อยลอยน้ำใส่ลำเลียง |
วางกระเชียงช่องชั้นกัลเม็ด ฯ |
๏ ฝ่ายลำพูนลำปางไปทางเหนือ |
กวาดเข้าเกลือเรือใช้ได้สำรเจ |
มารวมกับทัพระแหงกำแพงเพ็ชร |
ตามเสด็จมาบรรจบสมทบกัน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระมหาจักรพรรดิ |
เจ้าจังหวัดเวียงไชยไอสวรรย์ |
เมื่อพระธรรมราชาบอกมานั้น |
ขอทัพกันทัพมอญช่วยรอนราญ |
จึงตรัสให้พระยาพิไชยรณฤทธิ |
พระยาวิชิตณรงค์ขับทัพทหาร |
รีบขึ้นไปให้ทันประจัญบาน |
รักษาด่านพิศณุโลกไว้ |
พระยาพิไชยรณฤทธิ์วิชิตณรงค์ |
ยกทัพหมื่นดื่นธงทวนไสว |
ขึ้นทางทุ่งสาลิกาลัดป่าไป |
ให้ม้าใช้สืบดูได้รู้ความ |
ว่ากองทัพเมืองมอญตั้งนครสวรรค์ |
หัวเมืองฝ่ายเหนือนั้นต่างเกรงขาม |
ยอมกับเขาเข้าด้วยช่วยสงคราม |
ยกมาตามทั้งพระธรรมราชา |
พระยาพิไชยรณฤทธิวิชิตณรงค์นั้น |
ปฤกษากันเหลือจะรับทัพหงษา |
จึงถอยทัพกลับมาทูลมูลลิกา |
พระมหาจักรพรรดิทราบชัดความ |
เสียบุตรเขยเคยสนิทเสียพิศณุโลก |
ยิ่งเศร้าโศกทรวงเจ็บดังเหน็บหนาม |
จึงตรัสว่าฮ้าพระสุนทรสงคราม |
พระยาจักรีพระรามเมศวรนั้น |
บัดนี้ทัพหงษายกมารบ |
หัวเมืองเราเข้าสมทบทุกเขตรขัณฑ์ |
เดิมอาสาว่าจะรับทัพรามัญ |
จะป้องกันคิดอ่านประการใด ฯ |
๏ พระราเมศวรศักดิ์จักรีพร้อม |
พระสุนทรอ่อนน้อมประนมไหว้ |
ทัพหงษามาตั้งแต่ยังไกล |
ยังมิได้ประมาณการสงคราม |
แม้นประชิดติดกรุงที่ทุ่งกว้าง |
จะแผ่พลคนจะบางกลางสนาม |
จะมากน้อยคอยดูให้รู้ความ |
ข้าทั้งสามจะออกรับให้ยับเยิน ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฟังคนทั้งสาม |
ไม่เข็ดขามคร้ามศึกนึกสรรเสริญ |
จึงว่าเจ้าเอาธุระอย่าละเมิน |
ป้อมเชิงเทินซ่อมแปลงตกแต่งไว้ |
แล้วกวาดครัวมั่วสุมประชุมพร้อม |
ลากปืนขึ้นป้อมซ่อมแปลงใหม่ |
บนเชิงเทินเดินบรรจบมัดคบไฟ |
ตระเตรียมไว้รบรับกองทัพมอญ |
เกณฑ์เวียงวังคลังนาคนห้าหมื่น |
ถือทวนปืนหอกดาบกำซาบศร |
ด้านไหนหนักจักสมทบช่วยรบรอน |
ตระเวนระวังนั่งนอนประจำซอง |
ลงเขื่อนรอบขอบคูประตูหลัก |
เสี้ยมขวากปักปืนจุกไว้ทุกช่อง |
กลางคืนขานยามตรวจทุกหมวดกอง |
ตีเกราะกลองฆ้องกระแตเสียงแซ่ไป |
๏ ฝ่ายพระองค์หงษาพระยามอญ |
อยู่เมืองนครสวรรค์เสียงหวั่นไหว |
ตั้งรวมล้อมพร้อมพลสกลไกร |
คิดสงไสยถามพระธรรมราชา |
เรางอนง้อขอช้างข้างพระพี่ |
ตัดไมตรีไม่ประสงค์คบหงษา |
ฤๅใครทัดขัดข้องพระน้องยา |
รู้ขึ้นมาถึงบ้างฤๅอย่างไร ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระธรรมราชาฉลาด |
อภิวาททูลแจ้งแถลงไข |
เมื่อทราบสารท่านปฤกษาเสนาใน |
ต่างเห็นยอมพร้อมให้เปนไมตรี |
แต่พระสุนทรสงครามรามเมศวร |
กับจักรีว่ามิควรให้หัตถี |
แม้นศึกมาว่าจะขอออกต่อตี |
เหตุเท่านี้จึงมิได้ให้พระองค์ ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าหงษาว่าทั้งสาม |
มันเห็นตามความละโมภเพราะโลภหลง |
ชาติ์สอพลอก่อศึกนึกทนง |
เห็นรูปทรงไส้เดือนว่าเหมือนงู |
จองหองฮึกนึกเห็นเหมือนเช่นริ้น |
จะกลืนกินคนได้กีดใบหู |
เปนแมลงเม่าเข้าในกองไฟฟู |
มิได้รู้ประมาณการทั้งปวง |
ดังปักษากาแร้งจะแข่งครุธ |
ข้ามสมุทสุดคะเนชะเลหลวง |
เช่นหิ้งห้อยคอยแข่งแสงเดือนดวง |
มันข้าหลวงสอนเจ้าบ่าวสอนนาย |
จะไปตีศรีอยุธยาหยอก |
ให้มันออกรบพุ่งเหมือนมุ่งหมาย |
แล้วเลิกทัพขับพหลพลนิกาย |
ทั้งไพร่นายหนุนตามแลหลามทาง ฯ |
๏ พระอุปราชอาจองตรงข้ามทุ่ง |
เข้าถึงกรุงอยุธยาเวลาสว่าง |
ให้ตั้งค่ายรายเรียดริมพเนียดช้าง |
พระเจ้าแปรตั้งข้างโพธาราม |
อังวะตั้งหลังวัดพุทไธถนน |
ถึงคลองตะเคียนทั้งเกวียนคนแลล้นหลาม |
วัดการ้องตองอูเมืองภูกาม |
ละเขิ่งจิตตองตามตั้งปีกกา |
พระยาเสี่ยงพระยาพสิมตั้งริมที่ |
ลุมพลีหลายค่ายทั้งซ้ายขวา |
ทัพหลวงตั้งหลังขนอนปากคูมา |
ทัพพระธรรมราชายกมาทัน |
ให้ตั้งค่ายท้ายบ้านมะขามหย่อง |
อยู่หลังทัพหลวงต้องเปนกองขัน |
ที่คลองน้ำทำตะพานเดินถึงกัน |
แต่ในวันเดียวเสร็จสำเร็จการ ฯ |
๏ ฝ่ายนายหมวดตรวจตราทุกน่าที่ |
ในกรุงศรีอยุธยามหาสถาน |
เห็นทัพใหญ่ใต้เหนือเหลือประมาณ |
ทั้งสี่ด้านด้านดูดังคลื่นยืนตลึง |
สทึกสเทือนเหมือนพสุธาถล่ม |
เสียงหวู่หวู่ดูเหมือนลมเพ็ชหึง |
เหมือนฟ้าลั่นบันฦๅเสียงอื้ออึง |
ตกใจจึงเข้าไปทูลมูลความ |
ทัพหงษามาติดประชิดตั้ง |
ทั้งบกทั้งทัพเรือเห็นเหลือหลาม |
ดูมากกว่ามาแต่หลังครั้งสงคราม |
อิกสักสามสี่ส่วนประมวญทูล ฯ |
๏ ฝ่ายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ |
เจ้าจังหวัดบริเวณนเรนทร์สูร |
ทราบข่าวศึกตรึกตราให้อาดูร |
เพราะช้างดีมีตระกูลเกิดสงคราม |
ศึกหลายแสนแน่นหนากว่าทุกครั้ง |
ดูประเมินเกินกำลังคนทั้งสาม |
แขงพระไทยสั่งกำชับบังคับความ |
อย่าหวาดหวั่นครั่นคร้ามห้ามปรามกัน |
ขึ้นรักษาน่าที่อย่าหนีหลบ |
คอยรับรบยิงแย้งให้แขงขัน |
รักษาองค์อาทมาตราชมัน |
ทลวงฟันมันให้ยับทั้งทัพไชย |
ผู้รับสั่งบังคมประนมสนอง |
มาเร่งร้องเรียกกันเสียงหวั่นไหว |
จ่องหง่องจ่องหง่องฆ้องกระแตตีแซ่ไป |
ทุกหมู่หมวดตรวจไพร่เดินไขว่กัน |
๏ ฝ่ายพระองค์หงษาศักดาเดช |
ตั้งล้อมรอบขอบนิเวศทั้งเขตรขัณฑ์ |
ไม่เห็นชาวเมืองมาถึงห้าวัน |
เห็นจะพรั่นหวั่นหวาดขยาดมอญ |
จึงใช้สมิงโยคราชฉลาดพูด |
เคยเปนทูตมาขอช้างแต่ปางก่อน |
ไปว่ากล่าวเจ้าแผ่นดินนรินทร |
เดิมตัดรอนให้ขาดราชไมตรี |
ว่าเกิดนางช้างแก้วแล้วต้องมีศึก |
ทนงนึกฮึกฮักถือศักดิ์ศรี |
เดี๋ยวนี้เล่าก็มาเหยียบธานี |
ไม่ต่อตีติดพันดูชั้นเชิง |
อันเชื้อชาติ์ราชสีห์มีอำนาจ |
ไม่เขลาขลาดเหมือนมฤคถึงเถลิง |
ท้าวพระยาสามันต์ย่อมบรรเทิง |
ที่สำเริงสำราญการณรงค์ |
เชิญเสด็จเชษฐาออกมารบ |
ให้ประสบสมคิดจิตรประสงค์ |
ถ้าแม้นไม่ไว้ยศจะลดลง |
เชิญพระองค์ออกมาพูดจากัน |
แม้นละเลยเฉยอยู่เหมือนผู้หญิง |
จะรบชิงฉัตรไชยไอสวรรย์ |
จะหักเอาเมื่อไรได้เมื่อนั้น |
ไม่รักวงศ์พงศ์พันธุ์ฤๅฉันใด ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงศักดิ์จักรพรรดิ |
ให้ข้องขัดคิดต้านทานไม่ไหว |
จึงเขียนคำทำบอกจะออกไป |
กำหนดในสามวันเปนสัญญา |
แล้วส่งให้ทูตถือหนังสือกลับ |
ไปทูลกับพระองค์เจ้าหงษา |
ฝ่ายทรงศักดิ์จักรพรรดิตรัสบัญชา |
ให้เสนาน้อยใหญ่แจ้งใจความ |
ด้วยหงษาพาทัพมานับแสน |
อเนกแน่นเนืองนองท้องสนาม |
เหมือนศึกเสือเหลือกำราบจะปราบปราม |
แม้นไม่ตามใจไปเหมือนใจจง |
จะย่ำยีตีเมืองให้เคืองเข็ญ |
จะยากเย็นยับยุ่ยเปนผุยผง |
เวทนาข้าเฝ้าพวกเผ่าพงศ์ |
จะปลดปลงแหลกเหลวเหมือนเปลวไฟ |
ทั้งวัดวาอาวาศพระสาสนา |
จะโรยราเศร้าหมองไม่ผ่องใส |
ถึงเรานี้ชีวันจะบรรไลย |
สู้ตายไปผู้เดียวเจียวจริงจริง |
ให้ข้าเฝ้าชาวเมืองพ้นเคืองแค้น |
สู้ตายแทนคนทั้งหลายพวกชายหญิง |
ถึงฆ่าฟันฉันใดไม่ไหวติง |
จะสู้นิ่งทิ้งชีวิตรอุทิศทาน |
แล้วสั่งให้ไปปลูกพระที่นั่ง |
กระษัตริย์ทั้งสองสถิตย์ประดิษฐาน |
เสมอกลางห่างสี่ศอกประมาณ |
พนักงานปูลาดอาศนะ |
สูงกว่านั้นชั้นหนึ่งซึ่งจะตั้ง |
พระพุทธพระสังฆ์ธรรมาสาธุสะ |
ชื่อว่าราชสัณฐาคารวะ |
หว่างวัดพระเมรุราชิการาม |
ต่อกับวัดชื่อหัศดาวาศ |
เปนที่ราชบัลลังก์ไว้ทั้งสาม |
ผู้รับสั่งบังคมก้มกราบงาม |
ไปแต่งตามพจนาบัญชาการ ฯ |
๏ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ |
ถึงวันนัดลงพักตำหนักขนาน |
แล้วทรงเรือสุพรรณหงส์พร้อมวงศ์วาร |
ทั้งโหราพฤฒาจารย์ตามทรงธรรม์ |
ข้ามขึ้นทางหว่างวัดสหัสวาศ |
ทรงพระราชยานบัลลังก์นรังสรรค์ |
ฝ่ายพระเจ้าหงษาพร้อมรามัญ |
ก็แห่แหนแน่นนันต์ป้องกันมา |
๏ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ |
โองการตรัสเชิญองค์เจ้าหงษา |
ขึ้นแท่นทองสองกระษัตริย์ตรัสสนทนา |
พระเจ้ารามัญว่าเชษฐาเรา |
เชิญพระพุทธพระธรรมทั้งสังฆรัตน์ |
มาทำสัจตัดไพรีฉนี้เล่า |
อันกรุงทวาราวดีจะตีเอา |
เปนของเราเล่าก็ได้ด้วยง่ายดาย |
แต่ออกมาหาน้องจะครองสัตย์ |
ราชสมบัตินั้นจะคืนถวาย |
เดิมนั้นน้องขอสองช้างเผือกพลาย |
พระไม่ให้ได้อายไม่วายวัน |
เดี๋ยวนี้น้องต้องยกทัพมามาก |
ต้องลำบากบ่าวไพร่เดินไพรสัณฑ์ |
จะขอพี่สี่เชือกช้างเผือกนั้น |
จะยอมใจให้ปันฤๅฉันใด ฯ |
๏ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ |
สุดจะตรัสขัดข้องก็ต้องให้ |
เจ้าหงษาว่าขอราเมศวรไป |
จะเลี้ยงไว้เปนโอรสให้งดงาม ฯ |
๏ พระมหาจักรพรรดิไม่ขัดข้อง |
ขอก็ต้องให้สำเร็จด้วยเข็ดขาม |
เจ้าหงษาว่าพระสุนทรสงคราม |
ขอไปตามลูกรักกับจักรี |
จะยกทัพกลับคืนไปหงษา |
เชิญเชษฐาทรงบำรุงซึ่งกรุงศรี |
พระจักรพรรดิตรัสตอบว่าชอบที |
แต่คนที่กองทัพจับไว้นั้น |
จะขอไว้ให้สิ้นอยู่ถิ่นฐาน |
ตามสำราญราษฎรจงผ่อนผัน |
เจ้าหงษายอมให้พร้อมใจกัน |
สั่งรามัญไพร่น้อยให้ปล่อยไทย ฯ |
๏ พระจักรพรรดิตรัสสั่งส่งทั้งสาม |
จักรีรามเมศวรสุนทรให้ |
ฝ่ายช้างเผือกเลือกที่ตัวดีไป |
แต่ล้วนได้ลักษณ์เลิศประเสริฐทรง |
หนึ่งชื่อพระคเชนทโรดม |
พระบรมไกรสรผ่อนตามประสงค์ |
ทั้งพระรัตนากาศอาจณรงค์ |
พระแก้ว (ทรง)บาศดีทั้งสี่ช้าง |
ประทานให้ไปกับองค์เจ้าหงษา |
ตามอัชฌาสารพัดไม่ขัดขวาง |
ครั้นเสร็จสรรพเสด็จกลับกับขุนนาง |
ตามขึ้นทางฉนวนใหญ่เข้าในวัง ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าหงษากลับมาค่าย |
ได้ช้างพลายเผือกสมอารมณ์หวัง |
ให้เลี้ยงไว้ในทัพหยุดยับยั้ง |
จึงตรัสสั่งทั้งสามตามทำนอง |
พระสุนทรสงครามรามเมศวร |
จักรีชวนกันไปเอาซึ่งเข้าของ |
ชวนบุตรภรรยาพาพี่น้อง |
ทั้งพวกพ้องของตัวครอบครัวมา ฯ |
๏ ฝ่ายพระราเมศวรชวนจักรี |
พระสุนทรไปที่ถิ่นเคหา |
เก็บเงินทองของสำคัญบุตรภรรยา |
ได้พร้อมมูลทูลลาเจ้าธานี |
ออกไปค่ายตั้งดังกำหนด |
ต่างรันทดที่จะไปไกลกรุงศรี |
ฝ่ายว่าพระองค์หงษาวดี |
ได้ช้างสี่ช้างกลับกองทัพไป ฯ |
๏ ฝ่ายพระธรรมราชามาส่งเสด็จ |
ถึงเขตรแขวงกำแพงเพ็ชรพักพลไพร่ |
ต่อพระองค์หงษายกคลาไคล |
จึงเลิกทัพกลับไปในไพรวัน |
ถึงเมืองพิศณุโลกแสนโศกเศร้า |
สงสารเจ้าอยุธยามหาสวรรค์ |
เสียโอรสคชเรศเสวตวรรณ |
จะทรงกรรแสงสลดระทดฤไทย |
คงขุ่นเคืองเรื่องที่เราไปเข้าหา |
ช่วยหงษาน่าพระองค์จะสงไสย |
ที่จำเปนนั้นไม่ล่วงเห็นดวงใจ |
ทุกข์สท้อนถอนฤไทยมิได้วาย ฯ |
๏ ฝ่ายพระยาตานีศรีสุลต่าน |
คุมทหารแขกเหลื่อเหล่าเชื้อสาย |
เรือสองร้อยถอยเคียงทอดเรียงราย |
สมอสายพวนน้ำมันล้วนมั่นคง |
ทอดอยู่ถัดวัดกุฎสุดบางกระจะ |
ช่วยราชะสงครามตามประสงค์ |
ครั้นสำเร็จเสร็จศึกนึกทนง |
ไม่เกรงองค์มงกุฎอยุธยา |
ด้วยโลภทรัพย์กลับจิตรคิดขบถ |
จะปล้นปลดเอาสมบัติเครื่องวัตถา |
คุมแขกไทรไล่เหล่าชาวภารา |
ถือสาตราปืนจู่ประตูไชย |
เข้าวังในใครนั้นไม่ทันรู้ |
ไม่รบสู้ชายหญิงวิ่งหวั่นไหว |
กระษัตราพาสนมกรมใน |
ลงเรือไปอยู่ลเมาะเกาะมหาพราหมณ์ |
ต่างตื่นแตกแขกเข้าค้นเอาของ |
เครื่องนากทองกองแขกขนแบกหาม |
ฝ่ายพวกล้อมป้อมปราการชาญสงคราม |
ต่างติดตามฆ่าแขกตื่นแตกแตน |
บ้างล้มตายนายไพร่หนีไทยวิ่ง |
ต่างทอดทิ้งเข้าของเงินทองแหวน |
ลงเรือออกนอกอ่าวพ้นด้าวแดน |
กางใบแล่นเรือรีบไปลิบลิบ |
ฝ่ายขุนนางต่างตามทูลความแขก |
ที่ตื่นแตกสิ้นเสร็จเชิญเสด็จกลับ |
พวกที่ความชอบมีตีแขกยับ |
ประทานสรรพเสื้อผ้าสารพัน ฯ |
๏ จะกลับกล่าวเจ้ากรุงนาคนะหุต |
เปนมงกุฎเกษลาวพุงขาวขยัน |
ทุกวันนี้ที่สำเนียกเรียกเวียงจันท์ |
พระองค์นั้นมเหษีสิ้นชีวา |
ได้ทราบเรื่องเมืองไทยที่ใหญ่กว้าง |
ออกชนช้างกลางณรงค์กับหงษา |
มเหษีที่ออกช่วยชนคชา |
พระนามแก้วกัลยาสุริโยไทย |
เข้าราญรอนมอญฟาดขาดคอช้าง |
ธิดานางนั้นยังมีที่กรุงใต้ |
จะขอสู่เปนคู่ครองเวียงไชย |
เห็นจิตรใจจะเหมือนพระชนนี |
จึงสั่งลาวท้าวแมนแสนฉลาด |
ให้จัดแจงแต่งราชสารศรี |
ให้เพี้ยฮาดราชทูตช่างพูดดี |
ไปขอราชบุตรีศรีอยุธยา ฯ |
๏ ฝ่ายหาญเลียเพี้ยฮาดเชิญราชสาร |
บรรณาการพร้อมหมดขึ้นรถา |
กับบ่าวไพร่ใช้สอยห้าร้อยมา |
ทางเดือนหนึ่งถึงทวาราวดี |
เข้าหาท่านผู้ใหญ่ปราไสทัก |
แล้วถามซักแจ้งการในสารศรี |
ถึงเวลาพาเพี้ยฮาดราชมนตรี |
เข้าเฝ้าที่พระโรงก้มบังคมทูล |
เจ้ากรุงศรีสัตนาคนะหุต |
ขอพระบุตรีปิ่นบดินทร์สูร |
อภิเศกเอกฉัตรกระษัตริย์กูล |
สิ้นคำทูลแล้วก็อ่านสารสุนทร ฯ |
๏ ในสาราว่าพระองค์มิ่งมงกุฎ |
กรุงสัตนาคนะหุตอดิศร |
บำรุงราษฎร์สาสนาสถาพร |
มีนครร้อยเอ็ดเปนเขตรคัน |
ขอบังคมพระบรมหริรักษ์ |
มหาจักรพัตรานราสรรค์ |
พระบิตุรงค์ทรงยศทศธรรม์ |
เหมือนฉัตรกั้นเกษาทั้งธาตรี |
ข้าพระบาทขอเปนราชโอรส |
เหมือนเกือกทองรองบงกชบทศรี |
ด้วยไร้รักอัคราชนาถนารี |
ขอพระเทพกระสัตรีเปนศรีเมือง |
จะจัดแจงอภิเศกเอกฉัตร |
ผ่านสมบัติบำรุงให้ฟุ้งเฟื่อง |
ได้สืบวงศ์พงศ์ตระกูลจำรูญเรือง |
เพราะจอมเมืองมิ่งมงกุฎอยุธยา |
ขอพระองค์ทรงพระอนุญาต |
อย่าเคืองขัดตัดขาดที่ปราถนา |
ให้ร่วมแดนแผ่นดินถิ่นสุธา |
ฉลองพระคุณมุลลิกาเบื้องน่าไป ฯ |
๏ ครั้นจบอ่านสารศรีมนตรีกราบ |
พระทรงทราบสาราตรัสปราไส |
ถามถึงองค์พงศาเสนาใน |
ทูตสนองต้องพระไทยให้รางวัล |
จึงตรองตรึกนึกว่าหงษาเล่า |
กับเมืองเรารบสู้เป็นคู่ขัน |
แม้นไม่ให้ไปแก่ลาวพุงขาวนั้น |
จะผูกพันพยาบาทขาดไมตรี |
เขาก็เปนเมืองเอกเสวตรฉัตร |
เชื้อกระษัตริย์สมภักตร์เปนศักดิ์ศรี |
แล้วปฤกษาข้าเฝ้าเหล่าเสนี |
เขาได้มีอักษรอ้อนวอนมา |
เราก็จะอนุญาตประสาทให้ |
ตามวิไสยสุริวงศ์เผ่าพงศา |
ให้อาลักษณ์พนักงานแต่งสารตรา |
ตอบบรรณาการไปเปนไมตรี |
แล้วมอบให้หาญเลียกับเพี้ยฮาด |
บังคมลาฝ่าพระบาทบทศรี |
ออกจากทุ่งกรุงทวาราวดี |
ไปธานีเข้าเฝ้าทูลเจ้านาย ฯ |
๏ ฝ่ายกรุงศรีสัตนาคนะหุต |
เกษมสุดซึ่งสมอารมณ์หมาย |
จึงจัดเหล่าท้าวนางเจ้าขรัวนาย |
ทั้งรถาฝาพระฉายช้างกูบทอง |
เกณฑ์โยธาห้าร้อยให้เพี้ยฮาด |
กับเครื่องราชโภคาบรรณาสนอง |
มีเกณฑ์แห่แตรสังข์ทั้งฆ้องกลอง |
แล้วยกกองทัพกลับมารับนาง |
ถึงกรุงศรีอยุธยาพาเข้าเฝ้า |
ฝ่ายพระเจ้าจักรพรรดิคิดขัดขวาง |
ด้วยพระบุตรีประชวรยังครวญคราง |
พวกหมอวางยาอย่างไรยังไม่คลาย |
จะบอกว่าป่วยไข้ไหนจะเชื่อ |
โรคก็เรื้อรังอยู่มิรู้หาย |
จะโกรธาว่ารับแล้วกลับกลาย |
แสนเสียดายด้วยจะขาดราชไมตรี |
จึงแต่พระแก้วฟ้าธิดาใหญ่ |
แต่มิใช่ลูกพระมเหษี |
ประทานเครื่องต่างต่างล้วนอย่างดี |
สำหรับที่อรรคราชนาถนรา |
แล้วฝากฝังสั่งทูตที่มารับ |
น้อมคำนับรับสั่งใส่เกษา |
ครั้นเสร็จสรรพรับพระราชธิดา |
ไปภาราถึงทูลมูลความ ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าสัตนาคนะหุต |
ทราบว่าบุตรกำเนิดเกิดกับห้าม |
เสียพระไทยไม่ประสงค์ที่ตรงงาม |
รักแต่ความรักหญิงไม่ทิ้งชาย |
อันพระเทพกระษัตรีที่ขอสู่ |
บุตรพระสูริโยไทยเหมือนใจหมาย |
สาพิภักดิ์รักผัวจนตัวตาย |
เปนเชื้อสายกตัญญูควรคู่ครอง |
ซึ่งส่งพระแก้วฟ้าขึ้นมาให้ |
เรามิได้หมายชมประสมสอง |
คืนลงไปให้พระองค์ทรงตรึกตรอง |
ขุนนางสองนายรับพากลับมา |
กราบทูลพระมหาจักรพรรดิ์ |
เหมือนคำเจ้าลาวตรัสให้ต่อว่า |
ฝ่ายพระองค์มงกุฎอยุธยา |
จึงบัญชาว่าเรารับไม่กลับกลาย |
แต่องค์พระเทพกระษัตรีที่มาขอ |
ป่วยให้หมอแก้ไขก็ไม่หาย |
มารับไม่ได้ตัวกลัวจะอาย |
คิดเสียดายด้วยจะขาดญาติวงศ์ |
จึงส่งแก้วฟ้าไปใคร่เปนญาติ์ |
มิให้ขาดไมตรีที่ประสงค์ |
แม้นบุตรีชีวิตรมิปลิดปลง |
เมื่อกลับฟื้นคืนคงจะส่งไป ฯ |
๏ ฝ่ายพระธรรมราชาทราบว่าลาว |
ขอน้องสาวมเหษีทีจะได้ |
จึงบอกแจ้งกิจจาให้ม้าใช้ |
ไปทูลให้หงษายกมาชิง |
เจ้าหงษารามัญครั้นได้แจ้ง |
หวังแสวงหาอยู่ข้างผู้หญิง |
หมายชนะจะได้สมใจจริง |
จึงตรัสสั่งสมิงพระตบะพลัน |
มังลอกระมอไปด้วยช่วยคิดอ่าน |
ฟ้าเสือต้านชาญกำแหงล้วนแขงขัน |
เกณฑ์เอาไพร่ไปสักหมื่นพื้นฉกรรจ์ |
สกัดกั้นชิงเจ้าสาวจากลาวมา |
สามขุนนางต่างทูลลาไปน่าฉาน |
เกณฑ์ทหารครบหมื่นแจกปืนผา |
พระตบะแม่ทัพบังคับบัญชา |
กองน่าฟ้าเสือต้านคุมทหารไป |
กองหลังมังลอกระมอกำกับ |
รีบเดินทัพธงทิวปลิวไสว |
ข้ามระแหงแฝงป่าพนาไลย |
ถึงดงใหญ่ไม้สล้างริมหว่างเนิน |
ทางอยุธยาไปนาคนะหุต |
ซุ่มทัพหยุดอยู่ริมลำแม่น้ำเขิน |
มีชื่อว่าป่ามะเริงเปนเชิงเทิน |
คนจะเดินมาไปก็ไม่มี ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าช้างเผือกเลือกหมอประกอบ |
โอสถชอบโรคธิดามารศรี |
ถึงเดือนอ้ายฝ่ายพระเทพกษัตรี |
ก็หายดีเดินเหินจำเริญทรง |
ประทานเครื่องประดับสำหรับยศ |
พร้อมหมดจะให้ขึ้นไปส่ง |
พระพี่เลี้ยงล้วนเหล่ามีเผ่าพงศ์ |
ข้าหลวงทรงโสภานั้นห้าร้อย |
ทั้งขอเฝ้าเข้ากันเปนพันถ้วน |
เถ้าแก่ล้วนเลือกไปได้ใช้สอย |
ขุนนางลาวชาวเวียงที่หยุดคอย |
กับไพร่มาห้าร้อยก็รางวัล |
แจกเงินตราผ้าเสื้อเข้าเกลือจ่าย |
ให้ไพร่นายชายหญิงทุกสิ่งสรรพ์ |
แล้วตรัสใช้ให้พระยาแมนนั้น |
คุมพลพันหนึ่งไปส่งองค์ธิดา ฯ |
๏ พระยาแมนแสนท้าวเจ้าล้านช้าง |
เชิญพระนางหน่อกระษัตริย์ทรงรัถา |
พร้อมขอเฝ้าสาวใช้เคลื่อนไคลคลา |
ขับเกวียนต่างช้างม้าเข้าป่าไป |
เดินทางครั้นค่ำทำที่ประทับ |
ปลูกเปนพลับพลาป่าพออาไศรย |
สิบห้าวันดั้นเดินถึงเนินไพร |
แดนดงใหญ่ชื่อมะเริงเชิงคิรี |
ฝ่ายทัพมอญซ่อนซุ่มออกรุมรบ |
ไทยลาวหลบล้มตายพลัดพรายหนี |
พระตบะได้พระเทพกษัตรี |
ไปธานีถวายนางส่งข้างใน ฯ |
๏ ฝ่ายพวกทัพที่มารับที่ไปส่ง |
มอญชิงองค์พระธิดาพาไปได้ |
ไทยก็กลับกรุงเฝ้าทูลท้าวไท |
ลาวก็ไปเมืองลาวทูลเจ้านาย ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าศรีสัตนาคนะหุต |
ความแค้นสุดเสียใจมิใคร่หาย |
จึงว่ามอญหงษาพวกขาลาย |
คอยคโมยโดยไม่อายทำร้ายกู |
เพราะพระธรรมราชอิจฉาจิตร |
สมคบคิดให้มอญมาซ่อนอยู่ |
เจ้ากรุงไทยได้ช่วยชุบเลี้ยงดู |
ก็ไม่รู้จักคุณทำวุ่นวาย |
จะยกทัพไปติดพิศณุโลก |
จับตัวโขลกเสียให้ได้ดังใจหมาย |
แล้วสั่งลาวท้าวพระยาเสนานาย |
บำรุงช้างพังพลายไพร่พลไว้ |
อย่ายั่นหนอบ่แพ้จะแก้เผ็ด |
เอาให้เข็ดลาวลงให้จงได้ |
พวกขุนนางต่างรับสั่งแล้วตั้งใจ |
เตรียมการไว้พร้อมตามพระบัญชา ฯ |
๏ ฝ่ายพระมหาจักพรรดิ |
จอมกระษัตริย์โศกสลดเสียยศถา |
เสียโอรสคชสารเสียธิดา |
เจ้าหงษาแสนหยาบเหลือปราบปราม |
แล้วทราบเค้าลาวจะติดพิศณุโลก |
ยิ่งเศร้าโศกสั่งให้คนไปห้าม |
เจ้ากรุงนาคนะหุตก็หยุดตาม |
การสงครามเว้นวายมาหลายปี |
อันพระองค์ทรงศักดิจักรพรรดิ |
เบื่อสมบัติคิดหมายจะหน่ายหนี |
จึงตั้งพระมหินทราครองธานี |
ให้บำรุงกรุงศรีอยุธยา |
ครั้นเสร็จมอบขอบแคว้นแผ่นพิภพ |
เสด็จไปลพบุรีที่หรรษา |
ให้จัดช่างสร้างพระปฎิมา |
ซ่อมมหาธาตุด้วยช่วยบุรณะ |
แล้วจัดพวกชีปขาวชาวบ้านช่อง |
เปนคนสองร้อยศรัทธาอุสาหะ |
คนใช้สอยร้อยคนเปนข้าพระ |
แล้วขุดสระแก้วประกอบเขื่อนขอบมี |
ครั้นสรรพเสร็จเสด็จกลับมายับยั้ง |
อยู่วังหลังทรงศีลพระชินศรี |
อันองค์พระมหินทราเจ้าธานี |
พระชนม์ยี่สิบห้าปรีชาชาญ ฯ |
๏ ฝ่ายพระธรรมราชาว่าเมืองเหนือ |
หัวเมืองเชื่อฟังสิ้นทุกถิ่นฐาน |
บังคับพระมหินทราว่าการงาน |
ก็ไม่หาญขัดความต้องตามใจ |
พอพระยารามออกนอกตำแหน่ง |
เมืองกำแพงเพ็ชรมาอยู่เป็นผู้ใหญ่ |
พระนับถือซื่อตรงปลงพระไทย |
คิดความในให้ข่าวถึงลาวนั้น |
เชิญกรุงศรีสัตนาคนะหุต |
ช่วยยงยุทธยกพหลพลขันธ์ |
จับพระธรรมราชามาฆ่าฟัน |
จงช่วยกันล้อมจับกับทัพไทย ฯ |
๏ เจ้ากรุงนาคนะหุตสุดแสนแค้น |
จะทดแทนธรรมราชาให้จงได้ |
เกณฑ์โยธายี่สิบหมื่นทั้งปืนไฟ |
ลงทางเมืองนครไทยทัพใหญ่มา |
พอรู้ข่าวเจ้าเมืองพิศณุโลกนั้น |
ตั้งป้องกันเขตรแคว้นไว้แน่นหนา |
แต่งเรือใช้ไปศรีอยุธยา |
กราบทูลฝ่าลอองขอกองทัพ ฯ |
๏ สมเด็จพระมหินทราบัญชาสั่ง |
เดโชทั้งท้ายน้ำจงกำกับ |
คุมพวกไทยไปสมทบช่วยรบรับ |
แล้วลอบสั่งความลับกำชับไป |
ถ้าทัพลาวเข้าตีตามทีเขา |
จงจับเอาธรรมราชามาให้ได้ |
แม้นสมหวังดังจิตรที่คิดไว้ |
จะเลี้ยงท่านเปนใหญ่ให้เงินทอง |
ฝ่ายเดโชท้ายน้ำฟังกำกับ |
น้อมคำนับรับสั่งสิ้นทั้งสอง |
มาเกณฑ์ไพร่ได้พลคนละกอง |
ต่างตีฆ้องขานโห่เดินโยธา |
เจ็ดวันครั้นถึงพิศณุโลกนั้น |
พร้อมกันเกียกกายกองซ้ายขวา |
นายทัพเข้าเฝ้าพระธรรมราชา |
ตรัสปฤกษาราชกิจคิดอ่านกัน |
พระยาเดโชชอบลอบเข้าเฝ้า |
แล้วทูลเล่าความจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
เหมือนคำพระมหินทราสั่งมานั้น |
คิดป้องกันพระองค์ให้จงดี ฯ |
๏ ฝ่ายพระธรรมราชาว่าน้อยฤๅ |
เรานับถือซื่อตรงต่อไม่พอที่ |
มาคดเคี้ยวเลี้ยวเล่นกันเช่นนี้ |
เปนไรมีดีละพระมหินทรา |
จึงแต่งม้าใช้ถือหนังสือลับ |
ไปขอทัพทูลองค์เจ้าหงษา |
แล้วให้กวาดราษฎรขับต้อนมา |
รักษาน่าที่มั่นป้องกันเมือง ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้านาคนะหุตไม่หยุดยั้ง |
ยกทัพทั้งสองแสนมาแน่นเนื่อง |
ปีกขวาซ้ายหลายกองดูนองเนือง |
มาถึงเมืองพรั่งพร้อมห้อมล้อมไว้ |
ทัพพระยาแสนสุรินทร์ขว้างฟ้า |
ตั้งค่ายน่าเนินกะเบาที่เตาไห |
ตัวฦๅชื่อว่าพระยามือไฟ |
ตั้งค่ายใต้โรงเหล้าวัดเขาพราหมณ์ |
พระยามือเหล็กตั้งบางสะแก |
ตลอดแลไพร่พลออกล้นหลาม |
ทัพพระยานครชาญการสงคราม |
ตั้งค่ายตามสระแก้วเปนแถวกัน |
ทัพพระเจ้าเวียงจันท์นั้นมาตั้ง |
เนินน่าวังหลังคูตรงประตูสวรรค์ |
ดูคั่งคับนับหมื่นพื้นฉกรรจ์ |
ต่างตั้งค่ายหลายชั้นเปนหลั่นไป ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระมหินทราได้ยินข่าว |
ว่าทัพลาวมาติดพิศณุโลกได้ |
เห็นสมหวังสั่งมหาเสนาใน |
ให้เกณฑ์ไพร่พร้อมพรั่งเรือดั้งกัน |
เสด็จลงทรงเรือที่นั่งครุธ |
ฝรั่งจุดปืนสัญญาโกลาลั่น |
เป่าสังข์แตรแห่แหนแน่นอนันต์ |
เสียงสนั่นน่าหลังประดังตาม |
ถึงปากพิงที่ประทับหยุดยับยั้ง |
ทัพหลวงตั้งเรือจอดตลอดหลาม |
ทัพจักรีกองน่าพระยาราม |
ตามชายฝั่งตั้งตามกันขึ้นไป |
ถึงวัดจุฬามณีไม่มีว่าง |
สลับสล้างเรือล้วนธงทวนไสว |
สมเด็จพระมหินทราให้ม้าใช้ |
ไปบอกให้เจ้าเมืองรู้เรื่องราว |
ว่าทัพศรีอยุธยามาสมทบ |
จะบรรจบรบพุ่งพวกพุงขาว |
ฝ่ายพระธรรมราชาตอบว่าลาว |
เราได้ข่าวว่าจะกลับถอยทัพไป |
ให้ทัพเรือรอรั้งยั้งอยู่ก่อน |
เมื่อรานรอญจึงจะแจ้งแถลงไข |
ม้าใช้รับกลับมาพลับพลาไชย |
กราบทูลไทแจ้งความตามกิจจา ฯ |
๏ ฝ่ายทัพลาวเจ้ากรุงล้านช้างนั้น |
ตั้งค่ายมั่นหลายค่ายล้อมซ้ายขวา |
ให้สืบดูรู้ว่าพระมหินทรา |
ยกทัพมาราวีก็ดีใจ |
จึงสั่งให้นายทัพขับทหาร |
โห่สท้านสเทื้อนลั่นเสียงหวั่นไหว |
ยิงปืนรุมกลุ้มกลาดพาดกระได |
จุดคบไฟฟาดคนบนกำแพง |
พวกรักษาน่าที่ไม่หนีหลบ |
ยิงปืนรบประจัญไว้ขันแขง |
พุ่งแหลนหลาวง้าวทวนออกสวนแทง |
ลาวทำแผงกันกายขึ้นป่ายปีน |
เหนี่ยวสายโซ่โยทกาพวกน่าที่ |
เอาดาบกระบี่ฟันฟาดขาดเปนสิน |
พวกบนป้อมหลอมตะกั่วบ้างขั้วดิน |
สาดถูกดิ้นพลาดพลัดลงบัดซบ |
เจ้าเวียงจันท์นั้นทรงช้างที่นั่ง |
ต้อนกองหลังไล่ประจัญเข้าบรรจบ |
ทั้งซ้ายขวาดาระดมเข้าสมทบ |
ขว้างเพลิงคบรบรอบเปนขอบคัน |
ฝ่ายพระธรรมราชามายืนช้าง |
เกณฑ์ขุนนางนายรองพวกกองขัน |
เปิดประตูพรูพรั่งออกทั้งพัน |
ทลวงฟันลาวตายแตกพ่ายพัง |
เจ้าลาวเห็นศึกหนักหักไม่ไหว |
เสียพลไพร่หลายร้อยต้องถอยหลัง |
กลับเข้าค่ายนายหมวดตรวจระวัง |
หยุดยับยั้งตั้งประชิดคิดตรองการ ฯ |
๏ ฝ่ายพระธรรมราชาเห็นข้าศึก |
ไม่อาจฮึกคึกคักเข้าหักหาญ |
เกรงทัพเรือเผื่อจะโจมเข้าโรมราญ |
จะคิดผลาญทัพเรือแต่งเชื้อไฟ |
ให้มัดแพแต่ล้วนไม้ไผ่ป่า |
กว้างสิบวายาวเส้นเปนแพใหญ่ |
ห้าสิบแพล้วนแต่กองของเชื้อไฟ |
แต่งเรือใช้สองลำประจำการ |
แม้นแพปล่อยลอยไปเห็นใกล้ชิด |
จุดให้ติดเปลวโปล่งพลุ่งโพลงผลาญ |
เผาทัพเรือน้อยใหญ่ให้แหลกลาน |
จัดแจงการทุกหมวดตรวจเตรียมไว้ |
พอราตรีสี่ทุ่มชอุ่มฝน |
เปนลมบนชลเชี่ยวเปนเกลียวไหล |
ตัดแพปล่อยลอยชิดติดติดไป |
ใกล้ทัพเรือเชื้อไฟจุดไหม้โพลง |
เปลวเพลิงพลามลามไหม้เรือใหญ่น้อย |
แพเพลิงลอยดากันควันโขมง |
พวกพลตื่นขึ้นตลิ่งต่างวิ่งโทง |
เพลิงยิ่งโพลงพลุ่งพลามลุกลามไป |
บ้างเรือล่มจมตายบ้างว่ายน้ำ |
ถึงแก่กรรมมากมายทั้งนายไพร่ |
ที่หลบลี้หนีทันไม่บรรไลย |
ล่องลงไปทูลพระมหินทรา ฯ |
๏ ฝ่ายปิ่นปักนัคเรศประเทศถิ่น |
พระเจ้าลิ้นดำดำรงเมืองหงษา |
ครั้นทราบเรื่องเมืองพระธรรมราชา |
พวกลาวมาหักโหมรุกโรมรัน |
จึงตรัสใช้ให้พระยาเสือหาญกล้า |
ทั้งพระยาภุกามสงครามขยัน |
กำกับพลคนละหมื่นพื้นฉกรรจ์ |
กองม้าพันหนึ่งจงไปทั้งไพร่นาย |
การรับสั่งทั้งสองยกกองทัพ |
กำหนดนับสิบวันรีบผันผาย |
ถึงพิศณุโลกนั้นตวันชาย |
เห็นค่ายรายล้อมรอบขอบบุรี |
หักเข้าทางบางสะแกต่างแร่ถึง |
เสียงลาวอึงออกรบไม่หลบหนี |
พวกทัพมอญฟอนฟันประจัญตี |
ลาวเสียทีถอยแยกต่างแตกพัง |
ทัพรามัญนั้นก็เข้าในเมืองได้ |
กราบทูลให้ทราบความตามรับสั่ง |
พระธรรมราชาดีใจได้กำลัง |
เลี้ยงแล้วรางวัลพหลพลนิกร ฯ |
๏ ฝ่ายพระมหินทรานราราช |
บรมบาทบพิตรอดิศร |
ไม่สมคิดกิจการที่ราญรอน |
ด้วยทัพมอญยกมาช่วยราวี |
เห็นจะไม่ได้เมืองพิศณุโลก |
ยิ่งเศร้าโศกขุ่นข้องให้หมองศรี |
จึงเลิกทัพกลับมายังธานี |
คิดการที่จะบำรุงชาวกรุงไกร ฯ |
๏ ฝ่ายทัพลาวเจ้าเวียงจันท์ครั้นสุดคิด |
ขืนตั้งติดตีเมืองจะเปลืองไพร่ |
ทัพหงษามาด้วยช่วยชิงไชย |
จะขืนให้รอนราญป่วยการแรง |
จึงเลิกทัพกลับเดินข้ามเนินทุ่ง |
ตัดทางมุ่งดอนชมพูเคยรู้แห่ง |
ผ่านนาไร่ไพร่เข้าเก็บเอาแตง |
ทั้งฟักแฟงแกงกินค่อยยินดี ฯ |
๏ ฝ่ายพระยาเสือหาญชาญสนาม |
พระยาภุกามทูลว่าลาวล่าหนี |
จะขออาสาไปจับไพรี |
ด้วยได้ทีที่จะคิดไปติดตาม |
พระธรรมราชาตรัสว่าทัพ |
ไม่แตกยับกลับไปเองด้วยเกรงขาม |
คงแต่งกองป้องกันเพราะครั่นคร้าม |
จะติดตามลามล่วงเสียท่วงที |
สองขุนนางต่างว่าองค์เจ้าหงษา |
ใช้ให้มารบลาวพุงขาวนี่ |
จะปล่อยไปไม่คิดติดตามตี |
โทษจะมีเหมือนขลาดไม่อาจตาม |
พระตรัสว่าถ้ากริ้วทั้งสองทัพ |
เราจะรับโทษผิดอย่าคิดขาม |
สองขุนนางต่างไม่ฟังรับสั่งความ |
รีบยกตามลาวไปกับไพร่พล ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าเมืองลาวชาวล้านช้าง |
ถอยทัพล่ามาทางกลางไพรสณฑ์ |
เกรงสงครามตามติดจึงคิดกล |
ให้พวกพลรั้งหลังระวังการ |
พระยาสุรินทร์ขว้างฟ้าพระยานคร |
พระยามือเหล็กซ่อนซุ่มทหาร |
ตำบลป่าราวีที่กันดาร |
คอยต่อต้านตีทัพจับรามัญ |
แล้วเกณฑ์ม้าห้าสิบกระซิบสอน |
คอยรับมอญล่อให้ไล่ถลัน |
ครั้นเสร็จสั่งทั้งหลายสามนายนั้น |
คอยหมายมั่นกั้นทางอยู่กลางไพร ฯ |
๏ ฝ่ายพระยาภุกามทัพเสือหาญ |
เข้าดงดาลเดินทางหว่างไศล |
เห็นลาวล่าห้าสิบรีบยกไป |
ทลวงไล่ลาวน้อยทำถอยรบ |
แสนสุรินทร์ขว้างฟ้าพระยานคร |
มือเหล็กต้อนโยธีตีตระหลบ |
ทั้งกองซุ่มระดมออกสมทบ |
พวกมอญรบแรงน้อยต่างย่อยยับ |
ลาวตีแตกแยกย้ายทั้งนายไพร่ |
พวกลาวไล่ฟันฟาดเสียงฉาดฉับ |
บ้างเจ็บป่วยม้วยมรณ์ศพซ้อนซับ |
ทีเปนจับมัดจูงเปนฝูงมา |
บ้างเก็บเอาเข้าของเงินทองตก |
เที่ยวแก้พกผีได้ใส่เสื้อผ้า |
เก็บเกวียนควายหลายอย่างจับช้างม้า |
เครื่องสาตราอาวุธธุชธงไชย |
แล้วต่างพามาถวายของหลายอย่าง |
เจ้าล้านช้างยินดีจะมีไหน |
ให้ขานโห่โยธาเคลื่อนคลาไคล |
กลับไปธานีด้วยปรีดา ฯ |
ฝ่ายพระยารามัญทั้งสองนาย |
เสียทัพอับอายเปนหนักหนา |
พากันเข้าเฝ้าพระธรรมราชา |
ต่างรับสารภาพก้มกราบกราน |
ครั้นศึกวายฝ่ายพระยาท้ายน้ำหนี |
ไปกรุงศรีอยุธยามหาสถาน |
พระยาเดโชไม่กลับรับราชการ |
อยู่สำราญกับพระธรรมราชา |
ส่วนสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ |
เบื่อสมบัติตัดขาดไม่ปราถนา |
จึงทรงผนวชองค์ทรงศีลา |
ทั้งขุนนางต่างศรัทธาชักพากัน |
ทิ้งครอบครัวตัวตามเสด็จบวช |
อุส่าห์สวดมนต์เย็นเพนไม่ฉัน |
เรียนทางธรรมบำเพ็ญถือเคร่งครัน |
หวังสวรรค์หรรษาพยายาม ฯ |
๏ ฝ่ายพระธรรมราชาทรงตราตรึก |
ซึ่งเกิดศึกเบียดเบียนเปนเสี้ยนหนาม |
เหตุพระมหินทราเชื่อพระยาราม |
ชักสงครามลาวมารบราวี |
จึงตรัสใช้ให้เสมียนเขียนหนังสือ |
ให้คนรู้ผู้ซื่อชื่อว่าขุนศรี |
ไปทูลพระมหินทราเจ้าธานี |
ว่าเมืองพิไชยไม่มีเจ้าเมืองตาย |
ขอพระยารามไปเปนใหญ่อยู่ |
ด้วยเปนผู้รู้กำหนดแลกฎหมาย |
ครองเมืองพิไชยให้ศุขสบาย |
ด้วยเมืองฝ่ายเหนือนี้มักมีการ ฯ |
๏ ฝ่ายข้างพระยารามทูลความว่า |
แม้นพระธรรมราชาตรัสว่าขาน |
บังคับคิดสิทธิ์ขาดราชการ |
คงเสียยศหมดทหารทั้งแผ่นดิน |
เหมือนชักน้ำเข้าเรือเสือเข้าบ้าน |
ไปคิดอ่านกับหงษาอารมณ์ถวิล |
แม้นพระองค์ส่งไปให้ไพริน |
จะสูญสิ้นเสนาในธานี |
แม้นศึกเมืองหงษายกมาเล่า |
ข้าพเจ้าจะรบพุ่งกันกรุงศรี |
รับประกันมั่นแม่นแม้นไพรี |
มาราวีก็จะสู้กู้กรุงไว้ ฯ |
๏ สมเด็จพระมหินทราบัญชาตอบ |
ท่านรอบคอบคิดเห็นเปนไฉน |
จะรับรองป้องกันทำฉันใด |
ให้พ้นไภยไม่ขัดตามอัชฌา |
แล้วองค์พระมหินทราพระยาราม |
ไปทูลความแก่พระองค์ทรงสิกขา |
เชิญบำรุงกรุงศรีอยุธยา |
ของให้ลาพรตทรงช่วยสงคราม |
ฝ่ายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ |
เบื่อสมบัติเบือนพระภักตร์ไม่ซักถาม |
แต่องค์พระมหินทราพระยาราม |
เชิญถึงสามครั้งนิ่งเฝ้าวิงวอน |
จงทรงพระกรุณาประชาราษฎร์ |
เคยพึ่งบาทบุญฤทธิ์อดิศร |
มิโปรดสัตว์ตัดขาดราษฎร |
จะเดือดร้อนรอบจังหวัดปัถพี |
พระเจ้าช้างเผือกผู้เอนดูสัตว์ |
รับสมบัติจะบำรุงชาวกรุงศรี |
จึงลาผนวชออกมาครองธานี |
ชาวบุรีพรั่งพร้อมน้อมคำนับ ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์หงษาได้ทราบข่าว |
ว่าทัพลาวขัดสนเลิกพลกลับ |
เสือหาญกับทัพภุกามตามตีทัพ |
กลับย่อยยับแตกพ่ายวายชีวา |
เคืองพระไทยให้ตามภุกามนั้น |
ทั้งเสือหาญจะฟันบั่นเกษา |
สองนายมอญร้อนตัวกลัวอาญา |
วอนพระธรรมราชาเจ้าธานี |
เชิญพระองค์จงเสด็จขึ้นไปด้วย |
จะได้ช่วยขอโทษโปรดเกษี |
พระฟังมอญวอนไหว้พระไทยดี |
นึกปรานีนายกองทั้งสองรา |
จึงพาพระนเรศร์โอรสนั้น |
ไปด้วยกันกับพระองค์ถึงหงษา |
ไปเฝ้าเจ้ารามัญกราบวันทา |
ขอพระองค์ทรงเมตตาข้าบทมาลย์ |
ซึ่งพระยาภุกามตามตีทัพ |
กลับแตกยับผิดเหลือทั้งเสือหาญ |
ต้องกับบทกฎหมายถึงวายปราณ |
ขอประทานโทษาฝ่าธุลี ฯ |
๏ เจ้าหงษาว่าทั้งสองมันต้องโทษ |
สิ้นทั้งโคตรควรฟันบั่นเกษี |
แต่พระน้องต้องมาถึงธานี |
ขอชีวีพี่จะให้เหมือนใจคิด |
ฝ่ายพระธรรมราชาสาพิภักดิ์ |
ยิ่งนึกรักเจ้าหงษาปกาสิต |
อุส่าห์เฝ้าเช้าเย็นอยู่เปนนิจ |
ต่างชอบชิดอยู่หงษาหลายราตรี ฯ |
๏ ฝ่ายพระมหินทราพระยาราม |
ได้รู้ความเฟื่องฟุ้งถึงกรุงศรี |
ว่าพระธรรมราชาทิ้งธานี |
ไปหงษาวดียังมิมา |
จึงทูลพระมหาจักรพรรดิ |
จำจะจัดเมืองรับทัพหงษา |
เชิญเสด็จพระองค์ทรงศักดา |
ไปรับพี่นางมาไว้ธานี |
กับทั้งพระดไนยมาให้พร้อม |
ถึงหงษาจะมาล้อมรบกรุงศรี |
ฝ่ายพระธรรมราชาช่วยราวี |
ก็จะมีห่วงใยอาไลยลาน ฯ |
๏ พระมหาจักรพรรดิจึงตรัสตอบ |
เจ้าคิดชอบเชิงศึกที่ฮึกหาญ |
แล้วตรัสสั่งพระยารามตามโปรดปราน |
อยู่ว่าขานตรวจตราข้างน่าข้างใน |
แล้วจัดทัพกับทั้งเรือที่นั่งกระหนก |
บุษบกบัลลังก์ทองม่านสองไข |
ครั้นสรรพเสร็จเสด็จลงโบกธงไชย |
ออกเรือใหญ่เรือน้อยสามร้อยเรียง |
ต่างขานโห่โยธาเคลื่อนคลาคลาศ |
ประโคมคาดฆ้องกลองแซ่ซ้องเสียง |
พร้อมเรือดั้งเรือกันคู่คั่นเคียง |
ทั้งเรือนำสำเนียงสนั่นดัง |
เรือพิฆาฏราชมันกันซ้ายขวา |
ทั้งทัพพระมหินทรามาข้างหลัง |
ถึงพิศณุโลกทัพหยุดยับยั้ง |
ครั้นพร้อมพรั่งตั้งประทับที่พลับพลา |
ให้ข้างในไปเชิญพระราชบุตร |
พระวิสุทธกระษัตรีมียศถา |
กับพระดไนยนารถราชนัดดา |
องค์เอกาทศรถกราบบทมาลย์ |
ข้าหลวงเดิมที่ให้ไว้แต่ก่อน |
ก็กวาดต้อนมาทั้งข้าธิดาหลาน |
ลงเรือรับสรรพเสร็จสำเร็จการ |
ทั้งเครื่องอานพานพระเต้าเก็บเอาไป |
ครั้นสรรพเสร็จเสด็จกลับประทับร้อน |
ถึงเมืองนครสวรรค์เสียงหวั่นไหว |
ตั้งประทับพลับพลาเสนาใน |
ทั้งนายไพร่พรั่งพร้อมตั้งล้อมวง ฯ |
๏ สมเด็จพระมหินทรานราราช |
อภิวาททูลความตามประสงค์ |
เมืองกำแพงเพ็ชรนั้นยังมั่นคง |
เปนที่หงษาสำหรับตั้งทัพไชย |
ควรทำลายค่ายเชิงเทินให้เยินยับ |
อย่าให้ทัพมอญมาอาไศรยได้ |
แล้วเก็บกวาดราษฎรขับต้อนไป |
ไว้บำรุงกรุงไกรพร้อมไพร่พล |
ทั้งกวาดเอาเข้าเกลือเมืองเหนือสิ้น |
ทัพมอญมาหากินให้ขัดสน |
จะหิวหอบบอบช้ำด้วยจำจน |
ขอผ่อนปรนกลศึกตามตรึกตรา |
พระมหาจักรพรรดิตรัสว่าชอบ |
คิดรอบคอบทั้งนี้ดีนักหนา |
โอรสรับกราบก้มบังคมลา |
ยกโยธาน่าหลังพร้อมพรั่งกัน |
ถึงเมืองกำแพงเพ็ชรขึ้นเจ็ดค่ำ |
ให้ทอดลำเรือเรียงเคียงเปนหลั่น |
ทัพน่าตั้งฝั่งน้ำที่สำคัญ |
ทัพหลวงนั้นตั้งค่ายท้ายธานี ฯ |
๏ ฝ่ายผู้รั้งทั้งสองเห็นกองทัพ |
ต่างต้อนขับโยธาขึ้นน่าที่ |
ทุกหมู่หมดตรวจตราจนราตรี |
พระยาศรีทัพน่าปรีชาชาญ |
ขับพวกพลปล้นปีนกำแพงป้อม |
โห่หุ้มห้อมพร้อมพรักเข้าหักหาญ |
ทัพหลวงขับทัพสมทบรุมรบราญ |
ชาวเมืองต้านต่อแย้งทิ่มแทงฟัน |
ฝ่ายขุนอินทร์เสนาตัวข้าหลวง |
ขุนต่างใจได้ท่วงทีถลัน |
คุมไพร่ออกนอกประตูวิ่งกรูกัน |
ทลวงฟันสองทัพแตกยับเยิน |
กลับเข้าค่ายฝ่ายชาวเมืองกลับขึ้นป้อม |
พวกทัพล้อมปิดทางไม่ห่างเหิน |
ถึงสามครั้งตั้งแต่ปีนป้อมเชิงเทิน |
ชาวเมืองเดินถึงกันประจัญรับ |
เห็นจะไม่ได้แขวงกำแพงเพ็ชร |
จึงเสด็จเลิกล่าโยธากลับ |
มากราบทูลทูลกระหม่อมน้อมคำนับ |
เชิญเลิกทัพกลับมาอยู่ธานี ฯ |
๏ ฝ่ายพระยารามแต่งกำแพงป้อม |
ตั้งค่ายล้อมหลายชั้นกันกรุงศรี |
คิดปูนก่อหอรบรอบบุรี |
ห่างกันยี่สิบวากั้นน่าทัพ |
วางปืนใหญ่ไว้กลางหว่างหอรบ |
ปืนมณฑปห่างห้าวาสลับ |
ที่ไหนน้ำทำเปนหอโทนไว้รับ |
จะกันทัพเรือมิให้ใกล้กำแพง |
แล้วฝึกพลบนเชิงเทินเดินบรรจบ |
กองสมทบทลวงฟันให้ขันแขง |
ฝึกช้างม้าสารพัดคิดจัดแจง |
ต่างตกแต่งเครื่องอาวุธยุทธนา ฯ |
๏ ฝ่ายพวกพิศณุโลกต่างโศกเศร้า |
ให้ตามเจ้าเข้าดงไปหงษา |
กราบทูลความตามคดีที่มีมา |
เขารับพระชายาบุตราไป |
พระทราบเรื่องเคืองข้อที่ก่อเหตุ |
น้ำพระเนตรนั้นจะกลืนก็ขืนไหล |
อุส่าห์กลั้นกรรแสงแขงพระไทย |
เสด็จไปที่เฝ้าเจ้าธานี |
กราบทูลความตามพระจักรพรรดิราช |
มาต้อนกวาดครัวไปไว้กรุงศรี |
ทั้งราชบุตรพระวิสุทธกระสัตรี |
สิ่งของที่ก่อนเก่าคืนเอาไป |
เจ้าหงษาทราบเรื่องก็เคืองขัด |
ว่าพระมหาจักรพรรดิหาสัตย์ไม่ |
จะแก้แค้นแทนพระน้องอย่าหมองใจ |
จงกลับไปภาราตรวจตราการ |
หัวเมืองรายฝ่ายเหนือเจ็ดเมืองนั้น |
สมทบกันกวาดลำเลียงเสบียงอาหาร |
บำรุงช้างม้าไว้ให้สำราญ |
กำหนดการเดือนสิบสองยกกองทัพ |
พระรับสั่งบังคมบรมนารถ |
ชวนพระราชบุตรพาโยธากลับ |
มาถึงเมืองเคืองขัดตรัสบังคับ |
เกณฑ์ทั้งทัพฝ่ายเหนือเข้าเกลือไว้ ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์หงษาบัญชาสั่ง |
เกณฑ์ทัพทั้งลาวทวายฝ่ายเหนือใต้ |
เมืองใหญ่น้อยร้อยเอ็ดเขตรกรุงไกร |
มาพร้อมในเดือนสิบสองยกกองทัพ |
มาตั้งอยู่เมืองกำแพงข้างแขวงเหนือ |
ทัพบกเรือตามเสด็จมาเสร็จสรรพ |
ครั้นรวบรวมพร้อมหมดกำหนดนับ |
ที่กองทัพเมืองมอญปรอนทละ |
เมืองสพัวบัวแสแลเมืองหน่าย |
เมืองสอบเมืองทวายเมืองมีตะ |
เมืองกองตองอูทั้งเมืองอังวะ |
เมาะตมะปะแสในไทยใหญ่นั้น |
แต่พระเจ้าเชียงใหม่เปนไข้หนัก |
ให้หมอรักษาโรคยังโศกศัลย์ |
ให้แสนหลวงพิงไชยคุมไพร่ฉกรรจ์ |
ตามหงษารามัญมาทันทัพ |
ทั้งพระธรรมราชามาตามเสด็จ |
คุมไพร่เจ็ดหมื่นประจำตรวจกำกับ |
ทั้งเรือบกยกมาตั้งคนคั่งคับ |
กำหนดนับร้อยหมื่นเสียงครื้นเครง |
ทั้งเกวียนต่างช้างม้าเครื่องอาวุธ |
หอกดาบธุชปืนทวนชนวนเขนง |
ตีฆ้องกลองร้องรำบ้างทำเพลง |
เล่นกันเองอื้อฉาวมอญลาวทวาย |
ครั้นพร้อมสรรพรับสั่งเจ้าหงษา |
ให้ยาตราทัพบกเรือแลเหลือหลาย |
เสียงแซ่ซ้องสองฟากคนมากมาย |
ดูดังสายคลื่นเคลื่อนสเทื้อนสท้าน ฯ |
๏ ฝ่ายพระมหินทราพระยาราม |
ครั้นรู้ความข้าศึกซึ่งฮึกหาญ |
ให้กวาดครัวหัวเมืองกรมการ |
ได้ประมาณส่วนหนึ่งซึ่งมานั้น |
ที่หลบลี้หนีหายไปหลายส่วน |
ทิ้งเรือกสวนนาไร่เข้าไพรสัณฑ์ |
เมืองน้อยใหญ่ให้บรรจบสมทบกัน |
นครนายกสิงห์สรรค์สุพรรณบุรี |
เมืองอินทร์พรหมสมทบกับไชยนาท |
บุรีราชสาครนครไชยศรี |
เพ็ชรบุรีลพบุรีสระบุรี |
เกณฑ์รักษาน่าที่ในกรุงไกร |
แต่หอรัตนไชยไปเกาะแก้ว |
เพราะคูน่าหามีแนวแม่น้ำไม่ |
พระยาพระคลังตั้งแต่ประตูไชย |
ไปถึงถนนนายไก่ได้บังคับ |
ประตูไชยไปวังไชยนั้นให้ท่าน |
พระอินทร์นครบาลด้านกำกับ |
แต่วังไชยไปชีขันนั้นนายทัพ |
พระท้ายน้ำสำหรับบังคับการ |
แต่ชีขันนั้นไปถึงมุมศาลหลวง |
เปนกระทรวงสีหราชเดโชทหาร |
แต่สวนหลวงไปข้างน่าท่าชลธาร |
ท่านธรรมาว่าขานคอยราญรบ |
ระวังรอบขอบแขวงกำแพงป้อม |
ทหารพร้อมบนเชิงเทินเดินบรรจบ |
ข้างไหนหนักจักระดมช่วยสมทบ |
ทั้งหอรบปืนรายทุกค่ายคู |
ปืนน้อยใหญ่ใส่ประจำไว้ทุกช่อง |
คนยิงจ้องจุดไฟใส่ดินหู |
ปืนนกสับกับปืนสั้นเกาทัณฑ์ธนู |
เปนหมวดหมู่อยู่รอบเขตรขอบคัน |
เกณฑ์ทัพไว้ในบุรีอิกสี่หมื่น |
ถือหอกปืนดาบแดงล้วนแขงขัน |
พระยารามผู้กำกับทัพทั้งนั้น |
คิดป้องกันพระนครคอยรอนราญ ฯ |
๏ ทัพหงษาข้าศึกมาครึกครื้น |
ดูเพียบพื้นทุ่งนาสุธาสถาน |
โห่สนั่นลั่นเลื่อนสเทื้อนสท้าน |
เข้าตั้งด้านลุมพลีที่ท้องนา |
พระยารามเห็นสมอารมณ์หมาย |
ยิงปืนนารายน์สังหารผลาญหงษา |
ถูกไพร่นายตายกลาดดาษดา |
ลูกปืนไปใกล้พลับพลาเข้าทุกที |
เจ้ารามัญนั้นให้เก็บลูกปืนใหญ่ |
แคลงพระไทยให้เอาเหล่าเส้นผี |
ปลูกศาลใหญ่ใส่กระสุนแล้วสรวงพลี |
ถอยไปตั้งยังที่มหาพราหมณ์ |
แล้วตรัสสั่งนายทัพบังคับพร้อม |
ให้ตั้งห้อมล้อมภาราภาษาสยาม |
พระมหาอุปราชอาจสงคราม |
ยกทัพข้ามไปถึงทิศบูรพา |
ให้ตั้งค่ายรายเรียงเคียงกัน |
ปีกกากั้นเกียกกายกองซ้ายขวา |
พระเจ้าอังวะกับพระธรรมราชา |
ตั้งค่ายน่าเนินดินทักษิณทิศ |
ไทยใหญ่แสนหลวงเจ้าเมืองพสิม |
ตั้งประจิมทุ่งนาชักปีกกาปิด |
พระตะเบิดพระตบะเมาะตมะประชิด |
เมืองตองอูอยู่ทิศอุดรนั้น |
เจ้าหงษามาตั้งทางจังหวัด |
ทุ่งหลังวัดมเหยงค์ลงเขื่อนขันธ์ |
ชาวเมืองยิงปืนใหญ่ไพร่รามัญ |
ล้มตายยับนับพันทุกวันไป |
ค่ายมอญตัดตาลทำเสาสิ้น |
แล้วขุดดินพูนขึ้นกันปืนใหญ่ |
ห่างแม่น้ำสามเส้นเห็นยังไกล |
ครั้นตั้งได้ให้รุกเข้าทุกที |
ยิ่งใกล้เข้าชาวเมืองต่างมุ่งหมาย |
ยิงปืนใหญ่ไพร่นายตายแตกหนี |
พวกพลหลังยังเพิ่มเติมทวี |
รุกเข้าไปได้ทีละชั้นละชั้น |
ถึงเดือนหนึ่งจึงเข้าไปได้สิบเส้น |
แล้วขุดเปนรางรองดินกองกั้น |
ชาวเมืองเกณฑ์กองหลวงทลวงฟัน |
ตัดหัวไปได้ทุกวันนับพันคน |
แต่พระเจ้าหงษาอุส่าห์คิด |
เพียรประชิดตั้งค่ายเปนหลายหน |
จึงตั้งได้ใกล้แม่น้ำทุกตำบล |
เสียไพร่พลไพร่นายมากมายครัน ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระมหินทราพระยาราม |
การสงครามเข้มงวดเห็นกวดขัน |
ขอทัพลาวเจ้าเมืองล้านช้างนั้น |
มาช่วยกันรบพุ่งกันกรุงไกร |
พระยารามรับสั่งแต่งหนังสือ |
เลือกคนถือที่ปัญญาอัชฌาไศรย |
ให้ขุนราชเสนาขุนมหาวิไชย |
ไปเมืองลาวบ่าวไพร่ห้าสิบคน |
ฝ่ายองค์พระมหาจักรพรรดิเจ้า |
เวลาเช้าทรงช้างระวางต้น |
เที่ยวเลียบดูหมู่หมวดเดินตรวจพล |
ทุกถนนสนามรอบขอบภารา |
จัดอำมาตย์ราชมัณฑ์ล้วนขันแขง |
โจมฟันแทงมอญทวายตายหนักหนา |
ใครฆ่าได้ให้ตัดเอาหัวมา |
เสียบไว้น่าป้อมค่ายเปนหลายพัน ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าหงษาแต่มาตั้ง |
ต้องระวังเตรียมตรวจกันกวดขัน |
เพราะทัพไทยในกำแพงออกแทงฟัน |
เสียโยธารามัญทุกวันไป |
จึงปฤกษาข้าเฝ้าเจ้าอังวะ |
กับทั้งพระเจ้าแปรคิดแก้ไข |
อันแหล่งหลักนัคเรศประเทศไทย |
แม่น้ำใหญ่ล้อมรอบขอบนคร |
ทั้งค่ายคูดูป้อมกำแพงเล่า |
ดังขุนเขาเมรุมาศราชศิงขร |
คิรีเรียงเคียงกันสีธันดร |
ล้ำนครเขตรแคว้นทุกแดนไตร |
ทั้งรี้พลคนล้อมอยู่พร้อมพรัก |
จะรุกโรมโหมหักเห็นไม่ไหว |
ต้องคิดอ่านการปีจึงมีไชย |
นายทัพให้หาเสบียงมาเลี้ยงคน |
จงสำรวจตรวจตราทุกน่าที่ |
กำหนดปีหนึ่งอย่าให้ไพร่ขัดสน |
แม้นเสบียงกองไหนไม่พอพล |
อันโทษคนตัวนายถึงวายวาง |
ฝ่ายตัวนายรายไปทั้งใต้เหนือ |
กวาดเข้าเกลือทุกจังหวัดไม่ขัดขวาง |
ผู้น้อยผู้ใหญ่ได้ทั่วตัวขุนนาง |
ตั้งยุ้งฉางใส่เสบียงพร้อมเพรียงไว้ |
ถึงเดือนหนึ่งจึงให้ตรวจสำรวจเช้า |
ขุนนางเจ้าเมืองมีพอปีได้ |
ทั้งหมื่นขุนมุลนายทุกค่ายไป |
พอเลี้ยงไพร่ไม่ขาดราชการ |
แต่ข้าหลวงเดิมมะโดดที่โปรดเลี้ยง |
ได้เสบียงน้อยให้เอาไปประหาร |
แต่รอรั้งตั้งมั่นประจัญบาน |
ทั้งสี่ด้านไพร่ล้อมพรักพร้อมกัน ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์มงกุฎอยุธเยศ |
เจ้าเสวตรคชานราสรรค์ |
ประชวรหนักรักษายี่สิบห้าวัน |
ไม่ฟื้นองค์ทรงสวรรคาไลย |
สมเด็จพระมหินทราได้ว่าขาน |
ราชการผ่านพิภพสบไสมย |
ก็ละเมินเหินห่างอยู่ข้างใน |
การณรงค์ปลงให้พระยาราม |
พระยารามยามดีขี่เสลี่ยง |
กั้นฉัตรเคียงคนแห่นั้นแลหลาม |
เที่ยวตรวจตราว่าขานการสงคราม |
ทหารตามน่าหลังพร้อมพรั่งกัน |
ให้พระยาจักรรัตน์จัดกองนอก |
ทหารหอกดาบแดงล้วนแขงขัน |
ออกเผาค่ายไหม้โขมงพลุ่งโพลงควัน |
ไล่แทงฟันโยธาพระยาเกียรดิ์ |
พวกมอญมัวดับไฟไทยประหาร |
ไล่ล้างผลาญวิ่งพลัดฉวัดเฉวียน |
ทั้งไพร่นายตายกลาดลงดาษเดียร |
พระยาเกียรดิ์ต้อนมอญเข้ารอนรับ |
พวกรามัญฟันแทงลัดแลงไล่ |
ตีทัพไทยย่นแยกต่างแตกกลับ |
แต่พระยาจักรรัตน์พลัดกองทัพ |
พวกมอญจับตัวได้ไปให้นาย |
พระยาเกียรดิ์พาไปเฝ้าเจ้าหงษา |
กริ้วพระอุปราชาว่ากฎหมาย |
ซึ่งไทยเข้าเผาค่ายให้ทลาย |
ตัวเปนนายเหตุไรไม่ว่ากัน |
พระอุปราชทูลว่าพระยาเกียรดิ์ |
โทษถึงเฆี่ยนแล้วฆ่าให้อาสัญ |
แต่จับนายทัพไทยไว้ได้นั้น |
พอเกลื่อนกลบลบกันจึงงดไว้ |
เจ้าหงษาว่าให้เขาเข้าเผาค่าย |
ถึงได้นายก็หาพ้นอาญาไม่ |
ตัวก็ผิดคิดทำแต่น้ำใจ |
เปนนายใหญ่ไม่พินิจกิจการ |
อย่าอยู่ทัพขับไปเสียให้พ้น |
บ่าวสองคนขี่ช้างไปต่างสถาน |
พระยาเกียรดิ์กฎหมายถึงวายปราณ |
ให้ประหารเสียบไว้ค่ายน่าทัพ ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระมหาอุปราช |
กลัวพระราชอาญาบิดาขับ |
ไปค่ายตั้งสั่งมหาดเล็กกำชับ |
ไปทูลกับองค์พระธรรมราชา |
ต้องขับไล่ให้พระพี่ช่วยขอโทษ |
คงคลายโกรธโปรดเกษพระเชษฐา |
ผู้รับสั่งบังคมก้มกราบลา |
ไปทูลพระธรรมราชาสารพัน |
ไม่ถึงครู่ผู้รับสั่งมากำชับ |
ขัดบังคับกลัวจะฆ่าให้อาสัญ |
รีบขึ้นช้างกับสองนายหัวท้ายนั้น |
จะผายผันผ่อนปรนให้พ้นไภย |
พอพระธรรมราชาให้มาห้าม |
ไปทูลความขอโทษตรัสโปรดให้ |
คืนดำรงคงที่ก็ดีใจ |
เปนนายใหญ่ได้อยู่ทิศบูรพา ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ซึ่งดำรงรามัญประเทศ |
มงกุฎเกษสุริวงศ์ครองหงษา |
ให้พระเจ้าแปรกำกับทัพนาวา |
ล่องลงมาตรวจทางขึ้นบางไทร |
แล้วตั้งค่ายท้ายคูอยู่ฝ่ายเหนือ |
มิให้เรือขายค้าไปมาได้ |
จัดตระเวนเกณฑ์กองเรือล่องไป |
ข้างทิศใต้เมืองนนท์ธนบุรี |
ถึงปากน้ำออกไปใกล้หลังเต่า |
เห็นสำเภากวางตุ้งเข้ากรุงศรี |
พระเจ้าแปรกำกับทัพออกตี |
สำเภาหนีออกไปห่างกลางชลา |
จะตามไปใจหวาดขยาดคลื่น |
จึงกลับคืนขึ้นไปเฝ้าเจ้าหงษา |
กราบทูลความตามที่ตีเภตรา |
พระเจ้ารามัญโกรธคาดโทษกร |
สั่งให้เอาพระเจ้าแปรตระเวนรอบ |
ริมเขตรขอบค่ายตั้งเหมือนสั่งสอน |
คงกำกับทัพว่าพม่ามอญ |
เหมือนแต่ก่อนสิทธิ์ขาดราชการ |
แล้วพระเจ้าหงษาบัญชาตรัส |
ให้ฝึกหัดจัดแจงแต่งทหาร |
ขึ้นหักโหมโรมรันประจัญบาน |
เข้าทางด้านหัวรอหอรัตนไชย |
พวกชาวกรุงมุ่งแม่นพุ่งแหลนหลาว |
ถูกมอญลาวเลือดโซมชโลมไหล |
ที่เหลือตายนายมอญต้อนเข้าไป |
พาดกระไดก้าวปีนตีนกำแพง |
พวกบนป้อมหลอมตะกั่วคั่วทรายสาด |
คบไฟฟาดรามัญกันด้วยแผง |
โยนสายโซ่โย้เหนี่ยวด้วยเรี่ยวแรง |
ชาวเมืองแทงถูกตกหกคะเมน |
พม่ามอญต้อนคนขึ้นบนฝั่ง |
ถือแตะบังตัวบางป้องกางเขน |
ถูกปืนใหญ่ไพร่นายตายระเนน |
ในเมืองเกณฑ์กองหลวงทลวงฟัน |
เสียงดาบฟาดฉาดฉับบ้างรับรบ |
บ้างหลีกหลบไล่ฆ่าให้อาสัญ |
เหลือกำลังทั้งพม่าลาวรามัญ |
ต่างขยั้นย่นแยกตื่นแตกแตน ฯ |
๏ ฝ่ายกระษัตริย์อัษฎงค์ตเจ้าหงษา |
เสียลาวพม่ามอญทวายตายนับแสน |
ต้องรอทัพยับยั้งยิ่งคั่งแค้น |
จะทดแทนไทยเข้าเผาภารา |
จะถมน้ำทำถนนให้คนข้าม |
จึงสั่งสามสุริวงศ์เผ่าพงศา |
เขาดินไซร้ให้พระอุปราชา |
ตั้งตรงน่าเกาะแก้วแนวนที |
พระเจ้าแปรตั้งข้างบางเอียนนั้น |
ริมวัดจันทน์ขอบคุ้งใกล้กรุงศรี |
เจ้าอังวะสพานเกลือเหนือทั้งนี้ |
ด้วยเปนที่ท่าลาดเกิดหาดทราย |
เร่งระดมถมน้ำทำถนน |
ให้พวกพลเดินข้ามทั้งสามสาย |
ต่างรับสั่งต่างไปเกณฑ์ไพร่นาย |
ต่างตั้งค่ายรายกันตามบัญชา |
แล้วเร่งไพร่ให้ระดมถมคูกรุง |
ดูคนยุ่งขุดดินแบกหินผา |
บ้านโยนทิ้งกลิ้งลงในคงคา |
ตรงน่าท่าที่จะข้ามสามตำบล ฯ |
๏ ฝ่ายพระยารามพระยากลาโหมนั้น |
เห็นรามัญถมน้ำทำถนน |
ให้ยิงปืนป้อมไปผลาญไพร่พล |
ถูกพวกขนดินตายลงหลายร้อย |
ยัดปืนใหญ่ใส่ลูกปรายทั้งสายโซ่ |
หมายยิงโยธาทัพผับผอยผอย |
ยิ่งยิงสำร่ำไปปืนใหญ่น้อย |
ตัดตีนหัวตัวลอยกระเดนไป ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าหงษาเธอมาเห็น |
ยังไม่เปนทางถนนพ้นน้ำได้ |
ยิ่งกริ้วกราดคาดโทษนายทัพไว้ |
แต่ใช้ให้ถมน้ำทำเท่านี้ |
ถึงเดือนเศษเหตุไฉนทำใจเฉย |
ไม่แล้วเลยเลื่อยล้าทุกน่าที่ |
ถ้าตัวนายตายกับคนถนนนี้ |
เห็นท่วงทีจะเสร็จสำเร็จการ |
ตรัสกริ้วกราดคาดโทษแล้วคืนกลับ |
พวกนายทัพรีบร้อนต้อนทหาร |
ขนดินก้อนคอนแบกสาแหรกคาน |
ทั้งสามด้านเดินไขว่ทั้งไพร่นาย ฯ |
๏ ฝ่ายขุนนางข้างในผู้ใหญ่น้อย |
ระวังคอยพรั่งพร้อมทุกป้อมค่าย |
ยิงปืนใหญ่ไปถูกล้วนลูกปราย |
คนขนดินดิ้นตายหลายร้อยคน |
เจ้าอังวะพระเจ้าแปรอุปราช |
เห็นปืนสาดซ้ายขวาดังห่าฝน |
ให้ทำทุบทูตั้งพอบังพล |
เร่งให้ขนดินถมระดมกัน |
ฝ่ายชาวกรุงมุ่งตรงประจงจ้อง |
ยิงสองพี่น้องก้องสุธาดังฟ้าลั่น |
ถูกทุบพังทลายไพร่นายนั้น |
สายโซ่หันหวดกวาดตายดาษดา |
พวกผู้ตรวจหมวดกองทุกกองทัพ |
ไปทูลกับพระองค์เจ้าหงษา |
ชาวเมืองยิงคนถมดินสิ้นชีวา |
วันละห้าหกร้อยตายบ่อยไป |
เจ้าหงษาว่าเสียพลคนหนึ่งนั้น |
เปนดินปั้นก้อนเข้าสักเท่าไหน |
ผู้ตรวจว่าถ้าคนหนึ่งบรรไลย |
ถมสักห้าก้อนได้ตามใหญ่น้อย |
เจ้าหงษาว่าเช่นนั้นชั่งมันเถิด |
อันตายเกิดธรรมดาอย่าให้ถอย |
ผู้ตรวจฟังบังคมก้มคลานคล้อย |
มาค่อยค่อยทูลความทั้งสามองค์ |
เจ้าอังวะพระเจ้าแปรแลอุปราช |
ก็ไม่อาจขัดความตามประสงค์ |
เร่งให้คนขนระดมทิ้งถมลง |
จนเต็มคงคาข้ามทั้งสามทัพ |
ยิ่งใกล้เข้าชาวกรุงพอมุ่งหมาย |
ยิงลูกปรายใหญ่น้อยปล่อยปืนตับ |
ถูกตีนตัวหัวขาดล้มพาดพับ |
ทิ้งดินก้อนซ้อนซับทับศพตาย ฯ |
๏ กลาโหมมหาเทพพระยาราม |
เห็นมอญข้ามเข้ามาได้ดังใจหมาย |
ทั้งเวียงวังคลังนาบรรดานาย |
ต่างตั้งค่ายรายไปในกำแพง |
ปืนจินดาขาเหรี่ยมแลมณฑป |
สำหรับรบรายจุกไว้ทุกแห่ง |
ปืนจังกาขานกยางวางทะแยง |
ต่างจัดแจงแต่งไว้กันไพรี ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าหงษาคอยท่าถนน |
สามตำบลข้ามคุ้งถึงกรุงศรี |
จึงข้ามทัพขับทหารเข้าต้านตี |
ชาวบุรีรบพุ่งกันกรุงไกร |
มอญระดมสมทบทัพเรือขนาบ |
ยิงกำสาบปืนประจัญเสียงหวั่นไหว |
เหมือนห่าฝนพลรบต้องหลบไป |
เข้าอยู่ในค่ายมั่นประจัญบาน |
พวกมอญรุมขึ้นทางมุมเกาะแก้วนั้น |
ทำลายชั้นเชิงกำแพงด้วยแรงขวาน |
พังทลายฝ่ายมอญรุกรอนราญ |
พวกไทยต้านตอบปืนเสียงครื้นครึก |
เปนด้านพระมหาเทพตำรวจใหญ่ |
ยิงปืนไฟไปสังหารผลาญข้าศึก |
เสียงสนั่นลั่นเลื่อนสเทื้อนสทึก |
พวกมอญฮึกแหกค่ายล้มตายครัน |
พระศรีเสาวราชโอรสทรงคชสาร |
ต้อนทหารชาญกำแหงล้วนแขงขัน |
ช่วยรบรับทัพมอญช่วยฟอนฟัน |
พวกรามัญแตกพ่ายเปนหลายครั้ง ฯ |
๏ ฝ่ายพระยารามปฤกษาพวกข้าเฝ้า |
ไพร่พวกเราก็น้อยต้องถอยหลัง |
มอญทำลายค่ายแขวงกำแพงพัง |
เหลือกำลังรบสู้กู้ภารา |
คิดจะอ่อนหย่อนเสียพูดเกลี่ยไกล่ |
ขอเปนไมตรีกับองค์เจ้าหงษา |
อยู่พร้อมเพรียงเวียงวังทั้งคลังนา |
ที่เราว่านี้จะเห็นเปนอย่างไร |
พวกขุนนางต่างว่าถ้าแต่ก่อน |
แม้นผันผ่อนเปนไมตรีทีจะได้ |
นี่รบราฆ่าฟันกันบรรไลย |
พวกมอญไพร่นายตายมากมายครัน |
จะไปเปนไมตรีเดี๋ยวนี้เล่า |
เห็นว่าเขาจะหัวเราะเยาะเย้ยหยัน |
เมื่อไหนไหนได้รบจะขบฟัน |
คิดรับรองป้องกันจนบรรไลย |
แล้วขุนนางต่างตั้งระวังทัพ |
ไม่ฟังบังคับพระยารามตามวิไสย |
พวกหงษามาตีทัพทีไร |
ก็แตกยับกลับไปเสียไพร่พล ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าหงษาตรึกตราเหตุ |
เข้าเดือนเศษจวนเทศกาลฝน |
สิ้นเสบียงเลี้ยงทัพจะอับจน |
จะผ่อนปรนกลความตามทำสอง |
หาพระธรรมราชาเข้ามาเฝ้า |
กระซิบเล่าเล่ห์กลนุสนธิ์สนอง |
พระยารามแต่งทัพรบรับรอง |
เปนนายกองป้องกันเมืองมั่นคง |
ถ้าแม้นเราเอาพระยารามมาไว้ |
เห็นจะได้เวียงวังดังประสงค์ |
เหมือนแบ่งเบาเราจะชนะณรงค์ |
พระน้องจงคิดอ่านการข้างใน ฯ |
๏ พระธรรมราชาชอบนบนอบรับ |
ทูลลากลับมาพลับพลาที่อาไศรย |
ให้เสมียนเขียนความตามพระไทย |
ครั้นเสร็จให้พับปิดสนิทดี |
แล้วให้หาข้าหลวงเดิมแต่ก่อน |
ชื่อนายก้อนทองของพระมเหษี |
ถือไปให้พระวิสุทธกระสัตรี |
ซึ่งเปนพี่นางพระมหินทรา |
ทรงอ่านดูรู้ประจักษ์ในอักษร |
ให้นายก้อนทองคอยฟังอยู่ข้างน่า |
ทรงถือไปให้กับพระอนุชา |
รับสาราอ่านตามเนื้อความใน |
ว่าพระธรรมราชาเมตตาสัตว์ |
จะทานทัดตัดสงครามตามวิไสย |
เมื่อทรงศักดิ์จักรพรรดิครองฉัตรไชย |
กับหงษามาไปเปนไมตรี |
เพราะพระเชื่อพระยารามทิ้งความสัตย์ |
จึงเคืองขัดรบพุ่งถึงกรุงศรี |
แต่พระองค์หงษายังปรานี |
คิดอาไลยไมตรีซึ่งมีมา |
แม้นส่งตัวพระยารามต้นสงครามให้ |
จะเลิกทัพกลับไปเมืองหงษา |
จึงแจ้งความตามแต่พระอนุชา |
จะตรึกตราคิดอ่านประการใด ฯ |
๏ พระทราบความถามบรรดาเสนาพร้อม |
ควรจะยอมฤๅว่าจะคิดไฉน |
ขุนนางว่าถ้าแม้นทัพเลิกกลับไป |
เปนสัจจังดังหนึ่งในหนังสือมา |
ก็ควรส่งพระยารามไปตามที |
สืบไมตรีไว้กับองค์เจ้าหงษา |
พระเห็นชอบตอบความตามสงกา |
นายก้อนทองทูลลาฝ่าธุลี |
ไปทูลพระธรรมราชาที่ตาทัพ |
เธอใช้กลับเข้าไปเฝ้าเจ้ากรุงศรี |
ทูลว่าองค์หงษานั้นปรานี |
เปนไมตรีมั่นคงอย่าสงกา |
พระทรงฟังหวังว่าจริงไม่กริ่งตรึก |
จะเสร็จศึกซื่อตรงต่อหงษา |
นิมนต์พระสังฆราชให้ยาตรา |
แล้วจำพระยารามนั้นให้มั่นคง |
ส่งให้นายก้อนทองไปกองทัพ |
ทั้งพระสังฆราชกับคณะสงฆ์ |
ฝ่ายพระธรรมราชาปัญญายง |
ให้สี่องค์ทรงประทับที่พลับพลา |
แล้วปลดเปลื้องเครื่องจำนำพระยาราม |
ให้เดินตามไปเฝ้าเจ้าหงษา |
กราบทูลความตามพระมหินทรา |
ให้พระสงฆ์ออกมาส่งพระยาราม ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าหงษาบัญชาสั่ง |
ให้เบิกสังฆราชองค์สงฆ์ทั้งสาม |
มานั่งอาศน์ลาดเจียมเสงี่ยมงาม |
แล้วจบพระหัดถ์ตรัสความตามทำนอง |
จงบอกเล่าเจ้าไทยถ้าใจรัก |
จะสมัคสมานมีไมตรีสนอง |
ให้องค์พระมหินทราพาพวกพ้อง |
นายทัพนายกองข้าเฝ้าเหล่าเสนา |
มาพร้อมพรั่งบังคมขอสมบัติ |
กระทำสัจจานุสัจมนัศา |
แม้นผู้เปนเจ้าเข้าไปบอกมิออกมา |
สองภาราก็จะขาดราชไมตรี ฯ |
๏ พระสังฆราชรับคำแล้วนำสงฆ์ |
ทั้งสามองค์เข้ามาเฝ้าเจ้ากรุงศรี |
แล้วทูลความตามหงษาเธอพาที |
ครั้นเสร็จลามากุฎีทั้งสี่องค์ |
สมเด็จพระมหินทราถามข้าเฝ้า |
ซึ่งพระเจ้าภาราหงษาประสงค์ |
จะออกไปให้สำเร็จเสร็จณรงค์ |
เห็นจะคงคำมั่นฤๅฉันใด |
ฝ่ายขุนนางต่างว่าส่งพระยาราม |
หาเลิกทัพกลับตามสัญญาไม่ |
เห็นเหมือนคำตำราท่านว่าไว้ |
เคียวอยู่ในนาภีไม่มีตรง |
แม้นออกไปถึงทัพคงจับมัด |
ริบสมบัติตัดคอไม่หลอหลง |
อันชีวาข้าทั้งหลายถวายองค์ |
ขอณรงค์รามัญจนบรรไลย |
แต่พระยาธรรมาปฤกษาแย้ง |
เห็นเหลือแรงรบต้านทานไม่ไหว |
แต่ปฤกษาน่าที่นั่งถามครั้งไร |
ขุนนางไม่ยอมมอญขอรอนราญ ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าหงษารอท่าอยู่ |
มิให้จู่จ้วงโจมหักโหมหาญ |
ถึงเจ็ดวันครั้นเห็นว่าจะช้านาน |
จึงตรัสการกับพระธรรมราชา |
เจ้าเมืองไทยไม่ออกมาอ่อนน้อม |
เห็นไม่ยอมถ่อมถดถือยศถา |
ควรจะขับทัพเข้าเผาภารา |
ให้สมสาแก่ใจพวกไพรี |
พระธรรมราชาว่าโปรดเกล้า |
อย่าเพ่อเข้ารบพุ่งตีกรุงศรี |
จะขอบังคมลาเข้าธานี |
ไปพาทีชี้แจงให้แจ้งใจ |
เจ้าหงษายอมตามความประสงค์ |
จึงทูลลามาทรงเสลี่ยงใหญ่ |
พวกขุนนางต่างตามคนหามไป |
ตรงหอรัตนไชยใกล้ทวาร |
ให้ร้องบอกไปว่ามาดับร้อน |
ราษฎรได้เปนศุขสนุกสนาน |
ฝ่ายพระมหาเทพเดินตรวจการ |
เปนนายด้านค่ายต่อกับหอพระ |
ให้สาดปืนครื้นครั่นสนั่นเสียง |
ถูกคนหามพระเสลี่ยงล้มเกะกะ |
เห็นวุ่นวายฝ่ายขุนอินทร์เดชะ |
เข้าแบกพระองค์วิ่งเลียบตลิ่งมา |
ทั้งคนตามหลามหลั่งมาคั่งคับ |
ถึงกองทัพเข้าเฝ้าเจ้าหงษา |
กราบทูลความตามที่ได้ไปพูดจา |
พระเจ้ารามัญเคืองว่าเมืองไทย |
เพราะถึงที่ชีพราหมณ์สยามภาค |
จะพลัดพรากไพร่เลวแหลกเหลวไหล |
แล้วสั่งเหล่าท้าวพระยาเสนาใน |
จงเร่งให้หักเข้าเผาภารา |
พวกนายทัพรับสั่งตั้งประชิด |
ยกเข้าติดตีค่ายทั้งซ้ายขวา |
ยิงปืนสาดฟาดโซ่โยทกา |
เกี่ยวเสมาเหนี่ยวสายขึ้นป่ายปีน |
พวกน่าที่ตีรันแทงฟันฟาด |
ถูกหน้าหลังดังฉะฉาดขาดเปนสีน |
บ้างหมายมุ่งพุ่งแหลนหลาวฟาดง้าวจีน |
ถูกตัวตีนตกตายศพก่ายกัน |
พม่ามอญต้อนไพร่เข้าไปอีก |
ไม่เลี่ยงหลีกล้อมรอบทั้งขอบขัณฑ์ |
ต่างรบพุ่งรุ่งค่ำประจำประจัญ |
เสียงครื้นครั่นลั่นเลื่อนสเทื้อนสุธา ฯ |
๏ ฝ่ายพระมหินทราอยู่ปราสาท |
ให้พระศรีเสาวราชโอรสา |
พึ่งรุ่นหนุ่มคุมทัพสรรพสาตรา |
คนหมื่นห้าพันตั้งระวังการ |
ด้านมหาเทพศึกเสียงครึกครื้น |
จึงมายืนพระคเชนทร์เกณฑ์ทหาร |
ออกรบรับทัพมอญช่วยรอนราญ |
ข้าศึกต้านแตกพ่ายกระจายไป |
แล้วมาตั้งฟังความสนามหลวง |
แม้นศึกล่วงเข้าประชิดข้างทิศไหน |
ช่วยสมทบรบพุ่งกันกรุงไกร |
แต่มิได้ทูลกิจพระบิดา |
สมเด็จพระบิตุรงค์ทรงพระโกรธ |
ให้ลงโทษถอดยศโอรสา |
แล้วตรัสใช้ให้พระยาธรรมา |
เอาไปฆ่าเสียที่ถัดวัดพระราม |
ฝ่ายขุนนางต่างสงสารพระหน่อนารถ |
เคยช่วยราชรณการชาญสนาม |
มาวายวางต่างขยั้นคิดครั่นคร้าม |
ต้องรบตามรักตัวครอบครัวมี ฯ |
๏ ฝ่ายผู้ถือหนังสือสารไปล้านช้าง |
เข้าไปหาขุนนางนำเฝ้าเจ้ากรุงศรี |
ให้อ่านสารทราบว่าหงษาวดี |
ยกมาทำย่ำยีศรีอยุธยา |
คิดเคืองขัดจัดทัพถ้วนห้าหมื่น |
หอกดาบปืนปีกป้องกองซ้ายขวา |
ครั้นเสร็จสรรพขับพหลพลโยธา |
ทั้งเกวียนต่างช้างม้าเคลื่อนคลาไคล ฯ |
๏ ฝ่ายพระธรรมราชาม้าคอยข่าว |
เห็นทัพลาวลงมาแจ้งแถลงไข |
จึงทูลองค์หงษาตามม้าใช้ |
ว่าทัพใหญ่ล้านช้างล่วงทางมา |
องค์กระษัตริย์อัษฎงค์ตได้ทรงทราบ |
ว่าทัพจะกระหนาบมาแน่นหนา |
จึงตรัสถามพระยารามตามสงกา |
ทัพลาวมาช่วยไทยโดยไมตรี |
ฤๅว่าใช้ให้คนไปขอทัพ |
มาช่วยรับรบพุ่งกันกรุงศรี |
พระยารามทูลว่าเจ้าธานี |
ให้ข้ามีหนังสือคนถือไป |
ขอทัพลาวเจ้าเมืองล้านช้างช่วย |
จึงมาด้วยวอนว่าอัชฌาไศรย |
เจ้าหงษาว่าจะละเลยไว้ |
ให้มาใกล้ไทยแจ้งจะแขงมือ |
จึงกระซิบสั่งพระธรรมราชา |
ให้ปลอมตราราชสีห์ตีหนังสือ |
จะถ่ายเทเล่ห์กลให้คนฦๅ |
จัดให้ถือขึ้นไปรับเร่งทัพมา |
อุปราชคุมไพร่ไปสระบุรี |
คอยดักตีสองฝ่ายทั้งซ้ายขวา |
มหาอุปราชรับขับโยธา |
ขึ้นไปป่าสักตั้งระวังทาง ฯ |
๏ ฝ่ายพระธรรมราชาพระยาราม |
คิดเขียนความตามตรัสไม่ขัดขวาง |
แล้วจัดบ่าวชาวไทยให้ขุนกลาง |
เดินสวนทางรีบถือหนังสือไป |
ถึงทัพลาวเข้าหาท้าวเพี้ยควาน |
ทูลเจ้าล้านช้างแจ้งแถลงไข |
ให้อ่านความตามเรื่องว่าเมืองไทย |
มาต้อนรับทัพใหญ่ด้วยยินดี |
เดิมหงษาข้าศึกนั้นฮึกหาญ |
ครั้นรอนราญรบพุ่งชาวกรุงศรี |
ถูกปืนใหญ่ไพร่นายวายชีวี |
ทั้งคอยตีตัดเสบียงลำเลียงพล |
พม่ามอญอ่อนกำลังลงทั้งสิ้น |
จะหากินในจังหวัดก็ขัดสน |
เห็นเรรวนจวนทัพถึงอับจน |
จะเลิกพลพวกไทยจะได้ที |
เชิญพระองค์ลงไปให้ใกล้ทัพ |
ช่วยกำกับกันไว้อย่าให้หนี |
แม้นทัพถอยคอยกระหน่ำซ้ำเติมตี |
เห็นจะมีไชยชนะในณรงค์ ฯ |
๏ ฝ่ายพระเจ้าล้านช้างฟังหนังสือ |
คิดพาซื่อเสียเชิงละเลิงหลง |
รีบเดินทัพขับช้างตัดทางตรง |
ออกจากดงตายะถึงสระบุรี |
พอโพล้เพล้เพลาท้องฟ้าคลุ้ม |
หยุดทัพซุ่มฆ้องหึ่งเสียงอึงมี่ |
ปลงเกวียนต่างข้างวัดริมนัทธี |
บ้างก็สีไฟก่อตั้งหม้อทอง |
พวกทัพหลังยังเมื้อร้องเผือโว้ย |
เสียงร่อโรยโหวยหวูกันกู่ก้อง |
ปั้นเข้าเหนียวเคี้ยวแซบบ้างแสบท้อง |
บ้างดูดลองเหล้าอุพูดงุงะ ฯ |
๏ ฝ่ายทัพพระมหาอุปราช |
ร้องประกาศโรปะถะกึร้องอึอะ |
เสียงโคลงเคลิงเกลิงเขนาะเตาะอาระ |
เข้าไล่ฉะฟันลาววิ่งกราวเกรียว |
พวกทหารล้านช้างต่างแตกตื่น |
บ้างนั่งกลืนเข้าเจ้าปนเข้าเหนียว |
พวกรามัญฟันแทงลัดแลงเลี้ยว |
เข้ารกเรี้ยวร้องเรียกกันเพรียกไป |
เจ้ากรุงลาวสุดรู้จะสู้รบ |
ขึ้นช้างหลบหลีกกลับรีบขับไส |
บุกรกเรียวเลี้ยวหลงเข้าพงไพร |
พวกมอญไล่ลาวกระจายวิ่งพรายพลัด |
พระอุปราชอาจองทรงช้างสาร |
ต้อนทหารโหมหักร้องปรักฉัด |
ได้เกวียนต่างช้างม้าสารพัด |
จับลาวมัดมือจูงเปนฝูงมา |
แล้วเลิกทัพกลับหลังมายังค่าย |
ได้ช้างพลายช้างพังทั้งปืนผา |
เข้าเฝ้าทูลมูลกิจพระบิดา |
เจ้าหงษาทราบสิ้นก็ยินดี ฯ |