๏ กราบบังคมสมเด็จบดินทร์สูร |
พระยศอย่างปางนารายน์วายุกูล |
มาเพิ่มภูลภิญโญในโลกา |
ทุกประเทศเขตรขอบมานอบน้อม |
สพรั่งพร้อมเปนศุขทุกภาษา |
ขอเดชะพระคุณการุณา |
ด้วยเสภาถวายนิยายความ |
๏ จะกล่าวพงศาวดารกาลแต่หลัง |
เมื่อแรกตั้งอยุธยาภาษาสยาม |
ท้าวอู่ทองท่านอุส่าห์พยายาม |
ชีพ่อพราหมณ์ปโรหิตคิดพร้อมกัน |
มีจดหมายลายลักษณ์ศักราช |
เจ็ดร้อยสิบสองคาดเปนข้อขัน |
ปีขาลโทศกตกสำคัญ |
เดือนห้าวันศุกร์ขึ้นหกค่ำควร |
เพลาสามนาฬิกากับเก้าบาท |
ตั้งพิธีไสยสาตรพระอิศวร |
ได้สังข์ทักษิณาวัฏมงคลควร |
ใต้ต้นหมันตามกระบวนแต่บุราณ |
เปนมหามงคลเลิศประเสริฐศักดิ์ |
สร้างปราสาทสำนักไพฑูรย์สถาน |
สำเร็จแล้วจึงให้สร้างปรางปราการ |
ชื่อไพชยนต์ทิพพิมานอลงการ์ |
แล้วสร้างพระที่นั่งใหญ่ไอสวรรย์ |
สามปราสาทเสร็จพลันด้วยหรรษา |
ท้าวอู่ทองครองเสวยสวรรยา |
พระชัณษาสามสิบเจ็ดเสร็จสมปอง |
ชีพ่อพราหมณ์ถวายนามตามที่ |
พระรามาธิบดีไม่มีสอง |
นามบุรีศรีอยุธยาครอง |
ให้ถูกต้องตามนามพระรามา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงศักดิ์ |
จุลจักรจอมทศทิศา |
บำรุงเมืองเรืองฤทธิ์อิศรา |
ฝูงประชาชมชื่นทุกคืนวัน |
มีเมืองขึ้นสิบหกพระบุรี |
คือเมืองตะนาวศรีนครสวรรค์ |
เมืองชวามละกาพิจิตรนั้น |
เมืองสวรรคโลกศุโขทัย |
เมาะลำเลิงบุรีศรีธรรมราช |
ทั้งสงขลามาภิวาทไม่ขาดได้ |
พิศณุโลกกำแพงเพ็ชรเมืองพิไชย |
ทวายใหญ่เมาะตมะจันทบูร |
แสนอุดมสมพงศ์วงศ์กระษัตริย์ |
เจ้าจังหวัดราเชนทร์นเรนทร์สูร |
โภชนาสาลีบริบูรณ์ |
ยิ่งเพิ่มภูลผาศุกทุกนิรันตร์ |
ทรงรำพึงถึงองค์พระเชษฐา |
ร่วมครรภาอัคเรศนรังสรรค์ |
จำจะให้ไปบำรุงกรุงสุพรรณ |
ด้วยท่านนั้นสิร่วมสุริวงศ์ |
อนึ่งราชกุมารชาญศักดา |
องค์พระราเมศวรควรประสงค์ |
จำเริญไวยใหญ่ยิ่งประยูรวงศ์ |
ควรดำรงเมืองลพบุรี |
ดำริห์พลางทางออกพระโรงรัตน์ |
ตั้งกษัตริย์ขนานนามต้องตามที่ |
เฉลิมเดชเชษฐาธิบดี |
ให้เปนที่พระบรมราชา ฯ |
๏ ครานั้นพระเจ้ากรุงสุพรรณ |
พระราเมศวรนั้นก็หรรษา |
ต่างองค์ทรงคำนับรับบัญชา |
แล้วลีลาไปสู่พระบูรี ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
มิ่งมงกุฎอยุธเยศจำเริญศรี |
สถิตย์แท่นแสนสำราญดาลฤดี |
ด้วยบุรีขอมคดประทษร้าย |
จำจะให้ราชบุตรสุดสงสาร |
ไปรอนราญไล่ริบให้ฉิบหาย |
เสด็จออกพระโรงคัลพรรณราย |
แล้วเผยผายสิงหนาทประภาษมา |
เฮ้ยเสนีรีบร้อนจรโดยด่วน |
บอกพระราเมศวรมาหน่อยหวา |
ตำรวจรับพระโองการคลานออกมา |
ลงนาวารีบไปดังใจจง |
วันหนึ่งก็ถึงลพบุรี |
อัญชลีทูลความตามประสงค์ |
ว่าพระทรงฤทธิ์บิตุรงค์ |
เชิญเสด็จเสร็จลงไปกรุงไกร ฯ |
๏ ครานั้นพระราเมศวรราช |
ฟังอำมาตย์ทูลแจ้งแถลงไข |
ให้จัดเรือเร็วพลันในทันใด |
รีบครรไลคืนหนึ่งถึงบุรี |
ประทับจอดทอดท่าน่าตำหนัก |
ขึ้นเฝ้าองค์หริรักษรังษี |
น้อมประนมบังคมคัลอัญชลี |
สถิตย์ที่พระโรงรัตน์ชัชวาลย์ ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ทอดพระเนตรแลมาตรงน่าฉาน |
เห็นลูกยามาประนตบทมาลย์ |
มีโองการทักทายภิปรายเปรย |
นี่แน่เจ้าเยาวยอดปิโยรส |
อ้ายขอมคดดูถูกนะลูกเอ๋ย |
พ่อสุดแสนแค้นใจไม่เสบย |
แม้นละเลยจะกระเจิงละเลิงใจ |
เจ้าแก้วตายาจิตรของปิตุเรศ |
ไปเหยียบเขตรดับเข็ญให้เย็นใส |
จักประหารผลาญชีวันให้บรรไลย |
จะได้ฤๅฤๅมิได้ให้ว่ามา ฯ |
๏ ครานั้นพระโอรสยศยง |
ศิโรราบกราบลงแล้วทูลว่า |
ซึ่งข้อขอมคบคิดจิตรพาลา |
จะอาสามิให้เคืองเบื้องบทมาลย์ ฯ |
๏ ครานั้นพระภูเบนทร์นเรนทร์สูร |
ได้ฟังทูลตบพระหัดถ์อยู่ฉัดฉาน |
จึงเอื้อนอรรถตรัสมาไม่ช้านาน |
จงจัดการรีบร้อนอย่านอนใจ |
พลของเราห้าวหาญชำนาญยุทธ |
เจียนจะขุดกัมพูชาก็ว่าได้ |
อย่าถอยหลังรั้งรอไปพ่อไป |
แม้นมีไชยพ่อจะภูลรางวัลครัน ฯ |
๏ ครานั้นพระราเมศวรราช |
เคารพรับอภิวาทขมีขมัน |
มาเกณฑ์พวกโยธาได้ห้าพัน |
ล้วนฉกรรจ์แขงข้อจะต่อตี |
ทั้งอาจองคงทนด้วยมนต์เวท |
แสนวิเศษฤทธิไกรชาญไชยศรี |
ถืออาวุธครบมือล้วนฦๅดี |
โพกแพรสีแสดเสียดประเจียดรัด |
บ้างก็ผูกลูกสกดตะกรุดคาด |
ล้วนองอาจโล่ห์เขนก็เจนจัด |
มาพร้อมพรั่งนั่งเบียดเยียดยัด |
สารวัดตรวจตราพลากร ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงยศ |
เอกโอรสชาญไชยดังไกรสร |
เสด็จเข้าที่สรงอลงกรณ์ |
แล้วสอดซ้อนเครื่องทรงณรงค์ครบ |
ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพจับพระแสง |
โดยตำแหน่งสงครามตามขนบ |
มาทูลลาบิตุรงค์ทรงพิภพ |
ประนมนบคอยสดับรับโองการ ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราชย์ |
สถิตย์อาศน์รจนามุกดาหาร |
เห็นพระปิยบุตรสุดสำราญ |
จึงมีรศพจมานประภาษมา |
เจ้าดวงใจพ่อจะไปกัมพุชประเทศ |
ระวังเหตุกลศึกฦกหนักหนา |
จะหยุดยั้งจงระวังพระกายา |
ไม่ได้ท่าแล้วอย่าหาญเข้าราญรอน |
ชื่อว่าศึกแล้วอย่านึกประมาทหมิ่น |
คอยประคิ่นจดจำเอาคำสอน |
อย่าให้อายขายหน้าประชากร |
จงถาวรสวัสดีอย่ามีไภย |
รีบปรามปราบราบเตียนที่เสี้ยนหนาม |
ดังองค์รามดับเข็ญให้เย็นใส |
จงมีโชคไชยะชนะไภย |
ให้สมในมโนรถหมดทุกอัน |
ยื่นพระแสงสาตราอาญาสิทธิ์ |
ใครคดคิดเข่นฆ่าให้อาสัญ |
จงอุดมสมศุขทุกนิรันตร์ |
ซึ่งไภยันตร์สิ่งใดอย่าใกล้กราย ฯ |
๏ ครานั้นพระโอรสยศยง |
กราบลงแทบบาทพระฤๅสาย |
เคารพรับพรพลางแล้วย่างกราย |
ผันผายมาทรงคชาธาร |
ได้มหาพิไชยฤกษ์ให้เลิกทัพ |
โห่รับแซ่เสียงสำเนียงขาน |
ลั่นฆ้องหึ่งอึงออกนอกทวาร |
เสียงสท้านลั่นเลื่อนสเทื้อนสทึก |
ทหารธงโบกธงตรงไปน่า |
เสียงช้างม้าเริงร้องอยู่ก้องกึก |
ทวยหาญขานโห่โอฬาฦก |
อึกกะทึกข้ามทุ่งพ้นกรุงไกร |
ประทับร้อนนอนค้างกลางอารัญ |
หลายวันตั้งพลับพลาหยุดอาไศรย |
เลี้ยวลัดตัดทุ่งเดินมุ่งไป |
ถึงเวียงไชยกัมพูชาพอราตรี |
มิทันตั้งค่ายคูอยู่สำนัก |
สั่งให้พักพลทหารชาญไชยศรี |
ขึ้นประทับพลับพลาพนาลี |
ให้โยธีล้อมรอบเปนขอบคัน ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ทรงนัครา |
กัมพูชาธิราชรังสรรค์ |
รู้เรื่องราวข่าวศึกฮึกฉกรรจ์ |
มาบุกบันตั้งประชิดติดภารา |
แสนพิโรธโกรธกริ้วกระทืบบาท |
ดำรัสเรียกอุปราชโอรสา |
กับข้าเฝ้าเจ้าพระยาและพระยา |
มาปฤกษาสงครามตามทำนอง |
จะผ่อนผันฉันใดไฉนเล่า |
ภาราเราเกิดวุ่นจะขุ่นหมอง |
จะคิดอ่านการศึกเร่งตรึกตรอง |
ใครเห็นช่องฉันใดให้ว่ามา ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าพระยาอุปราช |
เคารพรับอภิวาทแล้วทูลว่า |
ซึ่งทัพไทยเดินบกยกกันมา |
ขออาสามิให้เคืองเบื้องบทมาลย์ |
จะหักโหมโจมจับสัปรยุทธ |
ให้ม้วยมุดยับแยกถึงแตกฉาน |
ซึ่งทัพมาล้าเมื่อยเดินเหนื่อยนาน |
ถึงสถานมิทันยั้งตั้งกระบวน |
จะหักหาญรานทำค่ำวันนี้ |
เห็นจะมีไชยาสักห้าส่วน |
ไม่มีค่ายถ่ายเทคงเรรวน |
ใคร่ครวญเห็นจะได้ดังใจปอง ฯ |
๏ ครานั้นพระเจ้ากรุงกัมพูชา |
ได้ฟังว่าเปรมปริ่มค่อยยิ้มย่อง |
จึงเอื้อนอรรถตรัสความตามทำนอง |
ดีแล้วลูกถูกต้องคลองฤไทย |
แล้วผินภักตร์ถามบรรดาพวกข้าเฝ้า |
ซึ่งลูกเราว่าเห็นเปนไฉน |
จะได้ช่องคล่องจิตรเหมือนคิดไว้ |
ฤๅเห็นเปนอย่างไรให้ว่ามา ฯ |
๏ ฝ่ายว่าข้าเฝ้าเหล่าพวกขอม |
ต่างเห็นพร้อมเพรียงกันยิ่งหรรษา |
จึงกราบทูลตามมูลกิจจา |
ซึ่งตรัสมาต้องที่เห็นดีนัก |
ด้วยทัพไทยไพร่นายยังรายเรี่ย |
ทำลายเสียจู่โจมรีบโหมหัก |
อย่าให้ตั้งค่ายมั่นขยันนัก |
แม้นหน่วงหนักนิ่งไว้ไม่สู้ดี ฯ |
๏ ครานั้นพระเจ้ากรุงกัมพุชประเทศ |
สดับเหตุปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ทรงสำรวลสรวลร่าแล้วพาที |
เหวยเสนีตรวจตราพลากร |
แล้วตรัสสั่งอุปราชราชโอรส |
จงคุมทศทวยหาญชาญสมร |
ไปโจมทัพจับไทยไพรีรอน |
จงถาวรภูลสวัสดิ์กำจัดไภย ฯ |
๏ ครานั้นพระอุปราชราชบุตร์ |
เกษมสุดยินดีจะมีไหน |
บังคมลามาเตรียมพลไกร |
จำนวนไพร่โยธาหมื่นห้าพัน |
ถึงยามสองกองทัพไม่สับสน |
ดำเนินพลออกทวารปราการกั้น |
ห้ามมิให้เฮฮาพูดจากัน |
ถึงกองทัพฉับพลันในทันที |
ให้ยิงปืนครื้นครึกเสียงกึกก้อง |
โห่ร้องเลื่อนลั่นสนั่นมี่ |
ดาบดั้งพรั่งพร้อมล้อมราวี |
ต้อนตีทัพมาไม่รารอ ฯ |
๏ ครานั้นแม่กองสองทหาร |
อลหม่านตกใจเอ๊ะใครหนอ |
ฉวยดาบโดดโลดไล่ไม่ย่อท้อ |
ร้องรับพ่อพวกเราเอาให้ตาย |
หมู่ทหารราญรับสัปรยุทธ |
ปรายอาวุธหอกดาบกำซาบสาย |
พวกขอมแขงแทงกระทั่งพุงทลาย |
ไทยตายแตกตื่นเสียงครื้นครึก |
เขมรโดดโลดไล่พวกไทยล่า |
มัวหลับตาเสียกระบวนเมื่อจวนดึก |
ขอมกระทำซ้ำเติมโห่เหิมฮึก |
อึกกะทึกรบรับจนทัพไชย ฯ |
๏ ครานั้นพระราเมศวรราช |
ทรงไสยาศน์ในพลับพลาที่อาไศรย |
เสียงครั่นครื้นตื่นพลันในทันใด |
ตกพระไทยผลันผลุนหมุนออกมา |
เห็นพลเมืองเนืองหนุนขนาบไล่ |
กองทัพไทยย่อหย่อนอ่อนนักหนา |
แสนพิโรธโดดกลับเข้าพลับพลา |
ทรงสาตราวิ่งวางออกกลางทัพ |
ขับพหลพลไกรไล่ตระหลบ |
ใครไม่รบหลีกเลี่ยงจะเสี่ยงสับ |
ทหารกลัวตัวตายเข้ารายรับ |
ทั้งสองทัพแขงขันประจัญบาน |
ต่างกำแหงแรงเริงในเชิงยุทธ |
ฤทธิรุทฟันฟาดกันฉาดฉาน |
พวกขอมอ่อนหย่อนย่นไม่ทนทาน |
ไทยทหารฮึกโห่เปนโกลา ฯ |
๏ ครานั้นมหาอุปราช |
กริ้วตวาดพลนิกายทั้งซ้ายขวา |
ต้อนกระตุ้นหนุนซ้ำกระหน่ำมา |
พวกโยธาร้อนตัวกลัวความตาย |
ฟันแทงแย้งยุทธอาวุธสั้น |
แขงขันต่อตีไม่หนีหาย |
ทั้งสองข้างต่างระทมบ้างล้มตาย |
ไพร่นายกลิ้งกลาดอนาถใจ ฯ |
๏ ครานั้นพระราเมศวรราช |
องอาจมิได้พรั่นประหวั่นไหว |
ทรงม้าร่ารับด้วยฉับไว |
ต้อนไพรพลทหารเข้าราญรบ |
ทั้งสองข้างต่างแขงกำแหงฮึก |
อึกกะทึกกรูเกรียวเลี้ยวตระหลบ |
ข้างทัพไทยไพร่น้อยต้องถอยทบ |
พวกขอมรบบุกบันประจัญบาน |
จนเพลาฟ้าขาวเช้าตรู่ตรู่ |
ยังเกรียวกรูฮึกโห่ด้วยโมหานธ์ |
ไพร่ยิ่งตายนายต้อนเข้ารอนราญ |
อลหม่านจนสว่างขึ้นรางรอง ฯ |
๏ ฝ่ายว่าพระราเมศวรราช |
องอาจมิได้หลบสยบสยอง |
แต่เห็นพลน้อยกว่าท่าเปนรอง |
จำจะต้องผ่อนพักไว้สักที |
ดำริห์พลางทางให้โบกธงทัพ |
รอรับรบไปแต่ไม่หนี |
เขมรโห่โกลาตามราวี |
พวกไทยตีถอยทนร่นมาพลาง ฯ |
๏ ครานั้นอุปราชราชบุตร |
เห็นสิ้นสุดแดนเมืองเครื่องขัดขวาง |
จะติดตามข้ามเขตรประเทศทาง |
ก็เหินห่างเวียงไชยไม่ชอบกล |
ไม่มีกองลำเลียงเลี้ยงทหาร |
ทางกันดารสารพัดจะขัดสน |
ก็เลิกทัพกลับจรไม่ร้อนรน |
ประมาทตนมิได้คิดจะติดตาม ฯ |
๏ ฝ่ายพระราเมศวรสุริวงศ์ |
ให้พักพวกจัตุรงค์กลางสนาม |
แล้วชุมนุมเสนาปฤกษาความ |
แม้นวู่วามเล่าก็เห็นจะเปนรอง |
พลเรามาห้าพันถึงกลั่นกล้า |
ก็น้อยกว่าสิบเอาหนึ่งไม่ถึงสอง |
จึงรอราล่าให้ใจคนอง |
คงจะต้องแก้เผ็ดไม่เข็ดมือ |
บอกขอพลคนเพิ่มเติมมาใหม่ |
ไม่มีไชยแล้วพากลับอย่านับถือ |
ได้เรียนรู้สู้เขาเอาให้ฦๅ |
แต่งหนังสือบอกพลันให้ทันที ฯ |
๏ ครานั้นข้าเฝ้าเหล่าทหาร |
กราบกรานเห็นพร้อมน้อมเกษี |
แต่งหนังสือปิดตราไม่ราวี |
ให้เสนีสิบม้ารีบคลาไคล ฯ |
๏ ครานั้นพระราเมศวรราช |
ให้เคลื่อนพยุหบาตรทั้งน้อยใหญ่ |
ประทับอยู่เขตรแคว้นแดนกรุงไกร |
ตั้งพระไทยท่าทัพอยุธยา ฯ |
๏ ครานั้นเสนีปรีชาชาญ |
จำทูลสารทรงยศโอรสา |
แรมร้อนนอนในพนาวา |
ถึงกรุงศรีอยุธยาด้วยฉับพลัน |
ก็เข้าในนัคเรศเขตรสถาน |
แจ้งสารเสนีขมีขมัน |
ถึงเวลามาเตรียมอยู่พร้อมกัน |
คอยเฝ้าองค์ทรงธรรม์พระโรงไชย ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช |
เนานิเวศน์ปรางทองอันผ่องใส |
แสนสำราญบานราชหฤไทย |
อนงค์ในเคียงคู่เข้าอยู่งาน |
บ้างหมอบเมียงเคียงคอยชม้อยม้วน |
เปนนวลนวลน่าชมสมสัณฐาน |
บ้างกล่อมขับรับเพลงบรรเลงลาน |
พระสำราญรื่นเริงบรรเทิงใจ |
พอสายแสงสุริยาภาณุมาศ |
ยุรยาตรออกพระโรงวินิจฉัย |
สถิตย์แท่นเนาวรัตน์ใต้ฉัตรไชย |
เสนาในหมอบเฝ้าเปนเหล่ากัน |
เสียงประโคมโครมครึกพิฦกก้อง |
ตามทำนองขัติยราชสังสรรค์ |
ดังจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์ทรงสุบรรณ |
ผันพระภักตร์ซักถามความบุรี ฯ |
๏ ครานั้นพระยามหาอำมาตย์ |
อภิวาททูลความไปตามที่ |
ขอเดชะพระองค์ทรงธรณี |
อันชีวีอยู่ใต้พระบาทา |
บัดนี้พระโอรสยศยง |
ให้ขุนโจมจัตุรงค์แม่กองน่า |
กับหลวงศักดิเสนีศรีเสนา |
นำสารมาเคารพอภิวันท์ |
พอทูลเสร็จคลี่สารอ่านถวาย |
บรรยายโดยคดีขมีขมัน |
อ่านจบนบนิ้วบังคมคัล |
ตรงน่าบัลลังก์รัตน์ชัชวาลย์ ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงวัง |
ได้ทรงฟังอึ้งอั้นไม่บรรหาร |
คนึงนึกตรึกตราเปนช้านาน |
มีโองการสิงหนาทประภาษมา |
เอออะไรลูกเราช่างเบาจิตร |
แพ้ความคิดข้าศึกนึกขายหน้า |
ทำให้เสียท่วงทีในปรีชา |
ดีแต่กล้าดื้อดื้อถือทนง |
จนเสียพระศรีสวัสดิ์น่าขัดแค้น |
เข้าเขตรแดนอรินไยมาใหลหลง |
ไม่ระวังเนื้อตัวมัวทนง |
อ้ายขอมคงเหิมฮึกนึกดูเบา |
ครั้นจะนิ่งทิ้งไว้ให้กำเริบ |
จะโตเติบใหญ่เยี่ยมแทบเทียมเขา |
เขม้นหมายหยิ่งเย่อลเมอเมา |
โอรสเราหมิ่นประมาทถึงพลาดพลั้ง |
จำจะให้พระบรมราชา |
ยกโยธาตามไปดังใจหวัง |
ทำลายล้างภาราเข้าผ่าพัง |
คงได้ดังมโนรถหมดโพยไภย |
เหวยมหามนตรีขมีขมัน |
ไปสุพรรณภาราอย่าช้าได้ |
เชิญเสด็จเชษฐามาไวไว |
จงรีบไปเร็วหวาอย่าช้าที ฯ |
๏ ครานั้นตำรวจในได้รับสั่ง |
ถวายบังคมคล้อยถอยจากที่ |
เรียกฝีพายบ่ายหน้าลงวารี |
ไม่รอรีคืนหนึ่งก็ถึงพลัน |
ประทับท่าคลาไคลขึ้นไปเฝ้า |
ก้มเกล้าอัญชลีขมีขมัน |
ทูลว่าองค์พระทรงยศทศธรรม์ |
ให้เชิญเสด็จผายผันยังกรุงไกร ฯ |
๏ ครานั้นพระบรมราชา |
ฟังเสนาทูลแจ้งแถลงไข |
สั่งให้จัดนาวาแล้วคลาไคล |
คืนหนึ่งถึงในอยุธยา |
เรือที่นั่งเข้าประทับกับฉนวน |
เสด็จด่วนแห่แหนแน่นหนา |
ครั้นถึงวังยั้งกระบวนด่วนลีลา |
เข้าพระโรงรัตนาในทันที ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ทอดพระเนตรปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
เห็นเชษฐาสุริวงศ์ทรงยินดี |
เชิญสถิตย์ร่วมที่บัลลังก์รัตน์ |
ต่างองค์คำนับอภิวาท |
ร่วมอาศน์อดิเรกเสวตรฉัตร |
มนตรีเข้าเฝ้าเบียดกันเยียดยัด |
สองกระษัตริย์ปราไสกันไปมา ฯ |
๏ ครานั้นฝ่ายพระนรินทร์ปิ่นประเทศ |
อยุธเยศยอดสยามภาษา |
ตรัสประภาษตามราชกิจจา |
พระนัดดาท่านไปปราบไพรี |
เสียฤทธิ์เหลวแหลกต้องแตกทัพ |
ระยำยับไพร่พลก็ป่นปี้ |
ท่านเอนดูกู้ภักตร์ไว้สักที |
ช่วยขยี้เหยียบยำให้ทำลาย ฯ |
๏ ครานั้นพระบรมราชา |
สำรวลร่าทูลไปดังใจหมาย |
ศึกเพียงนี้มิพอที่จะวุ่นวาย |
พระหลานชายพ่ายแพ้ขอแก้มือ |
ทำไมกับทัพเขมรเดนเขาเลือก |
มีแต่เปลือกสู้ไทยจะได้ฤๅ |
เสียแต่หย่อนอ่อนหัดไม่ฟัดปรือ |
ได้ลงมือแม้นไม่สรรพไม่กลับมา |
อย่าได้ทรงพระวิตกยกธุระ |
ศึกนี้จะขอคำนับรับอาสา |
แต่ไพร่พลของข้าเจ้าไม่เอามา |
รับประทานโยธาสักหมื่นปลาย ฯ |
๏ ครานั้นพระภูเบนทร์นเรนทร์สูร |
ยิ่งเพิ่มภูลสำราญรมย์ด้วยสมหมาย |
สำรวลเรียงเสียงประสานบานสบาย |
แล้วผันผายพจนาดถ์ประภาษพลัน |
เหวยเสนีกรีธาพยุหะ |
ให้แด่พระเจ้าพี่ขมีขมัน |
จะยกไปกัมพูชาอิกห้าวัน |
ให้เกณฑ์กันไว้หวาอย่าช้าที |
ประภาษพลางทางเชิญพระเชษฐา |
เข้าปรางค์ปราปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ทรงเสวยโภชนาสาลี |
สถิตย์ที่มณเฑียรวิเชียรพราย ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าพระยามหาอำมาตย์ |
ผู้รับราชโองการให้บัตรหมาย |
กะเกณฑ์พวกพหลพลนิกาย |
แต่ตัวนายยี่สิบถ้วนกระบวนจร |
กองอาสาหกเหล่าเข้าบรรจบ |
เคยรุกรบห้าวหาญชาญสมร |
ไพร่สามหมื่นมีฝีมือฦๅขจร |
เคยราญรอนยืนยงคงกระพัน |
ทั้งคชาม้ามิ่งสิ่งละร้อย |
หมอควานคอยขับขี่ดีขยัน |
จ่ายอาวุธเสื้อผ้าสารพัน |
มาพร้อมกันเข้ากระบวนถ้วนทุกกอง ฯ |
๏ ครานั้นพระบรมราชา |
ครั้นโยธาพร้อมพรั่งกันทั้งผอง |
สดวกได้ฤกษ์ยามตามทำนอง |
เข้าสู่ห้องแต่งองค์ทรงอาวุธ |
ทูลลาองค์พงศ์นรินทร์ปิ่นประเทศ |
พระทรงเดชยินดีเปนที่สุด |
ทรงอำนวยพรประสิทธิ์ฤทธิรุท |
จงโค่นขุดให้แหลกแตกทำลาย ฯ |
๏ ครานั้นพระเจ้ากรุงสุพรรณ |
รับพรจรจรัลด้วยจวนสาย |
เสร็จทรงช้างบัลลังก์ที่นั่งพลาย |
ให้คลี่คลายทัพโห่เปนโกลา |
ประโคมแซ่แตรสังข์ดังสนั่น |
พลขันธ์แลหลามงามสง่า |
เสียงครื้นครึกกึกก้องกลองประดา |
กระบวนน่านำออกนอกปราการ |
ข้ามทุ่งมุ่งหมายออกชายป่า |
โยธาโห่ร้าวฉาวฉาน |
หลายวันดั้นเดินในดงดาล |
ถึงสถานกองทัพที่พลับพลา ฯ |
๏ ครานั้นพระเมศวรปรเมศ |
ทอดพระเนตรทัพใหญ่ใจหรรษา |
แจ้งว่าองค์ทรงฤทธิบิตุลา |
รีบไคลคลามารับในฉับไว |
ประนตนั่งบังคมประนมหัดถ์ |
เชิญกระษัตริย์สู่พลับพลาที่อาไศรย |
ทั้งโยธาทหารสำราญใจ |
เข้าเฝ้าไทพร้อมพรั่งดังบัญชา ฯ |
๏ ครานั้นพระเจ้ากรุงสุพรรณ |
สรวลสันต์ตรัสถามตามกังขา |
ยังไรพ่อหน่อกระษัตริย์ผู้นัดดา |
ยกออกมาเสียไชยแก่ไพรี |
พระองค์ทรงฤทธิคิดวิตก |
ให้ลุงยกตามตะบึงจนถึงที่ |
ทำไฉนจึงได้เปลี้ยเสียท่วงที |
แจ้งคดีเดิมไปจะใคร่ฟัง ฯ |
๏ ครานั้นพระราเมศวรราช |
อภิวาททูลไปดังใจหวัง |
ตั้งแต่ต้นจนล่าเข้าป่ารัง |
เหลือกำลังพลน้อยจึงถอยมา |
มันทั้งเมืองเนื่องหนุนขนาบไล่ |
จึงเสียไชยปัจจามิตรผิดนักหนา |
ขอพระองค์ทรงฤทธิ์บิตุลา |
ให้นัดดาแก้กลได้พ้นอาย ฯ |
๏ ครานั้นพระบรมราชา |
สำรวลร่าตอบไปดังใจหมาย |
ลุงมาด้วยจะได้ช่วยพระหลานชาย |
จะผันผายพรุ่งนี้ไปตีทัพ |
พระรามราชรับรองเปนกองน่า |
คุมโยธาล้วนฉกรรจ์ห้าพันสรรพ |
มีเกียกกายยกรบัตรปลัดทัพ |
โดยตำหรับสงครามตามมีมา |
ตรัสพลางสายัณห์ลงทันใด |
พลไกรพรั่งพร้อมล้อมแน่นหนา |
ตีฆ้องกองไฟใกล้พลับพลา |
คอยตรวจตรานั่งยามตามทำนอง ฯ |
๏ ครั้นรุ่งรางส่างแสงสุริยา |
ไก่ป่าขานขันสนั่นก้อง |
น้ำค้างพรมลมชายปรายลออง |
ดุเหว่าร้องเร่งรัดพระสุริยง |
ผกากานบานแย้มแซมสาโรช |
ริมเขื่อนโขดบรรพตาป่าระหง |
แสงหิรัญพรรณรายขึ้นชายดง |
จัตุรงค์ต่างตื่นฟื้นกายา |
จัดแจงแต่งกายทั้งนายไพร่ |
ประจำให้เข้ากระบวนไว้ถ้วนหน้า |
บ้างผูกช้างพระที่นั่งอลังการ์ |
มารอท่ารับองค์พระทรงธรรม์ ฯ |
๏ ครานั้นพระบรมราชา |
ชวนกระษัตริย์นัดดาขมีขมัน |
ประดับองค์ทรงสรรพแล้วฉับพลัน |
จรจรัลมาเกยรัตน์ตระบัดใจ |
สองพระองค์เสร็จทรงช้างที่นั่ง |
พร้อมสพรั่งคนแห่แลไสว |
โห่สนั่นครั่นครื้นยิงปืนไฟ |
จากค่ายใหญ่เกรียวตรงเข้าดงดอน |
ถึงประเทศเขตรทุ่งกรุงกัมพุช |
ไม่ยั้งหยุดทวยหาญชาญสมร |
พอราตรีตีอ้อมล้อมนคร |
โห่สท้อนปล้นปีนตีนกำแพง |
เสียงสนั่นครั่นครื้นยิงปืนตับ |
เข้ารบรับผ่าพังกำแพงแขง |
จุดปืนไฟไล่ล้างกันกลางแปลง |
ยื้อแย่งเย่าเรือนเกลื่อนทำลาย ฯ |
๏ ครานั้นพระเจ้ากรุงกัมพูชา |
มัวหลับตาองอาจประมาทหมาย |
รู้สึกตนวนเวียนสิเจียนตาย |
ก็วุ่นวายหนีออกนอกบุรี |
ราษฎรร้อนจิตรไม่คิดสู้ |
ต่างเกรียวกรูพาลูกแลเมียหนี |
โยธาไทยไล่ลัดสกัดตี |
เสียงโศกีแซ่เสียงทั้งเวียงไชย |
ผัวผลัดเมียเมียพรากจากลูกผัว |
วิ่งแต่ตัวผู้เดียวเที่ยวร้องไห้ |
พวกกองทัพจับมัดด้วยขัดใจ |
ยกมือไหว้ท่วมหัวกลัวเต็มที ฯ |
๏ ครานั้นพระบรมราชา |
กับกระษัตริย์นัดดาจำเริญศรี |
ครั้นมีไชยได้โดยสดวกดี |
สั่งโยธีเที่ยวประกาศราษฎร |
ผู้ที่มาอ่อนน้อมยอมโดยดี |
จะให้อยู่บุรีสโมสร |
ที่สู้รบหลบลี้หนีซอกซอน |
จงกวาดต้อนรอมชอมไปพร้อมกัน |
รับสั่งพลางทางพานัดดาราช |
เที่ยวประพาศทั่วในไอสวรรย์ |
ประทับอยู่กัมพูชาสิบห้าวัน |
พระทรงธรรม์กลับมายังธานี ฯ |