ภาค ๒

กิระดังสดับมาแต่ท่านดะตุ๊ ผู้รจนาเล่าแถลงเรื่องระเด่นอินู กะระตะปาตี ถึงกาลเมื่อนั่งพิธีอภิเษกสมรสกับก้าหลุอาหยัง เหนือเบญจาปัญจปราสาท มีผู้เฝ้าอยู่หน้าที่นั่งคือ นางพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในราชบริวาร สาวพรหมจารีย และดรุณกุมารีใหญ่น้อย กับทั้งผู้ที่รับเชิญมาประชุมดูงาน ณ ที่นั้น ในจำนวนคนเหล่านี้กว่ากึ่งย่อมตกตะลึงพิศวงในอันเห็นรูปงามของระเด่นอินูนั้น

ท่านเล่าแถลงต่อไปว่า อันระเด่น อินู นั้นถึงแม้ว่าประทับอยู่ในท่ามกลางพิธีสยุมพรก็จริงแล แด่ทว่าหาความเสบยบมิได้ ประดุจว่านั่งอยู่บนกองหนาม เฝ้าแต่ทอดถอนหทัยใหญ่น้อยสั้นยาว เพราะจิตต์ใจเลื่อนลอย มิได้หลุดพ้นไปได้จากความคิดถึงคนึงหาปันหยี สะมิหรัง แต่สักขณะเดียว จนคนทั้งหลายแลเห็นเป็นปลาดอัศจรรย์

ครั้นเวลาล่วงรัตติกาลไปมากแล้ว จึงคู่สมรสนั้นลงยังพื้นล่าง เพื่อเข้าที่บรรธม ขณะนั้นท่านลิกูก็รับกรธิดา ก้าหลุอาหยังนั้น แล้วพาไปยังที่บรรธม รูปโฉมก้าหลุอาหยังเวลานั้นนุ่มนวล ศอระหง ราวกับด้ำกระบวยยังไม่ได้ติด แล้วท่านลิกูก็จัดการเปลื้องเครื่องจุมพิตที่เศียรพลางพูดว่า “ลูกแม่ โชคดีเหลือเกิน ด้วยได้เป็นประไหมสุหรีแล้ว”

ครั้นแล้วก็พาเข้าห้อง

ขณะนั้นนางเกน วารคะอยู่ ณ ที่นั้นด้วย เป็นคนช่างยุช่างยอ

จึงเกน วารคะว่า “พระบุตรีโชคดีจริงที่มาได้สวามีรูปดีโฉมงามเห็นปานนี้ แต่เธอจะต้องเอาพระหทัยพระสามีให้มากๆ เพื่อจะได้รักใคร่สิเนหา เวลาประทับรื่นรมย์อยู่ด้วยกับกะกันดาอินู ก็ควรพระบุตรีจะบรรธมเอนลงไปบนตักเธอ”

ท่านลิกูเสริมว่า “ถูกแล้ว ควรอย่างนั้น เออ แน่ะลูกแม่ เมื่อเข้าที่บรรธมแล้ว เธออย่ายอมตนง่ายๆ นะ ต้องแสร้งทำเป็นกลัวและตระหนกตกใจ”

จึงก้าหลุอาหยังตอบว่า “คะ แม่ เวลาอยู่เฉพาะหน้ากับกะกันดาอินู จะควรประพฤติอย่างไร กะกันดาอินูจึงจะถวิลจินดาสิเนหาอาลัยมาก ๆ”

ท่านลิกูตอบว่า “อ้อลูกแม่ เวลาอยู่ในที่บรรธม จะให้ดีแล้วลูกจะแสร้งทำกลัวและตกใจก่อน ถ้ากะกันดาอินูยึดมือถือหัตถ์ จงป้องปัดชักหัตถ์หนี เพื่อกะกัน ดาอินูจะได้เข้าโอบอุ้ม แล้วลูกแม่ควรแสร้งทำกรรแสงเพื่อเธอจะได้เช็ดน้ำเนตรให้ และปลอบโยนด้วยถ้อยคำอันอ่อนหวาน ถ้ากะกันดาอินูนั้นไม่จับต้องและไม่ปลอบ เธอควรจะนอนลงบนตัก และกอดบั้นพระองค์ไว้ ถ้าทำอย่างนั้นแล้ว แน่เทียวเธอคงจะช้อนองค์ขึ้นแล้วปลอบโยนกอดจูบ เมื่อเธอเลวยพลู (หมาก) ควรจะป้อนชานใส่เข้าไปในโอษฐกะกันดาอินู ด้วยโอษฐ์ของเธอเอง เช่นอย่างแม่นกป้อนอาหารให้ลูกนกฉนั้น ถ้ากะกันดากัดที่ริมโอษฐก็เป็นที่หมายว่ามีความสิเนหาอาลัยในตัวเธอแล้ว”

ครั้นรัตติกาลล่วงถึงยามดึก และท่านลิกูเสร็จสั่งสอนพระบุตรีแล้ว คู่สมรสฝ่ายชายจึงเข้ายังที่บรรธมนั้น เข้าที่แล้วระเด่นอินูก็จะบรรธม พนักงานจึงชักม่านปิด ก็และในระวางที่บรรธมเรียงเคียงเขนยกันอยู่นั้น ระเด่นอินูก็พลิกไปพลิกมา ด้วยคิดถึงคนึงหาปันหยีสะมิหรัง และไม่สมประสงค์ในความปรารถนาที่จะสมรสกับก้าหลุจันตหรากิระหนานั้น

จึงคนึงในว่า “เหตุใดหนอก้าหลุจันตหรากิระหนาจึงไม่อยู่ในเมืองนี้ ชรอยว่าปันหยีสะมิหรังนั้นจะเป็นก้าหลุจันตะหรากิระหนาเสียละกระมัง”

ระเด่นอินูไม่สามารถบรรธมหลับได้แต่สักขณจิตต์เดียว เป็นแต่บรรธมกอด ทรวงหลับเนตรนิ่งอยู่ แต่หาหลับไม่

ก้าหลุ อาหอัง เห็นอัธยาศรัยระเด่นอินูดังนั้น กล่าวคือว่าบรรธมนิ่งอยู่ เมื่อ บรรธมหงายก็หงายอยู่อย่างนั้น เมื่อบรรธมตะแคงข้างขวาก็ไม่กลับตะแคงซ้าย จึงก้าหลุอาหยังเอาบาทวางกับบาทระเด่นอินู ๆ ก็ไม่ว่ากระไรสักคำเดียว กลับนิ่งอยู่ประดุจว่าไม่รู้ที่จะปฏิบัติอย่างไรดี

จึงก้าหลุ อาหยังว่า “กะกันดาอินู ปลอบหม่อมฉันบ้างสิ ตั้งแต่เสด็จมาถึงที่นี้อังไม่เคยได้ตรัสปลอบโยนอะไรเลย”

ระเด่นอินูตอบด้วยสำเนียงอ่อนหวานว่า “พี่จะปลอบเธอได้อย่างไรเล่า เพราะไม่เห็นเธอกรรแสง”

กาลนั้น ก้าหลุ อาหยัง ก็ทรงกรรแสง ครั้นระเด่นอินูเห็นความประพฤติของนางดังนั้นก็เบื่อหน่ายหฤทัย ผินพักตรหนีพลางตรัสว่า “เสียงกรรแสงของเธอดังราวกับเสียงเสือซึ่งกระชากใจพี่ ก็และการปลอบโยนนั้นพี่นี้ยังทำไม่เป็น”

ก้าหลุ อาหยัง ก็กรรแสงเรื่อยจนรุ่งสว่างและเนตรช้ำบวม แต่ก็หามีใครปลอบไม่

ถึงเวลาเช้าบรรดานางพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลใน ก็ตื่นนอนทั่วกันเพื่อที่จะโดย เสด็จก้าหลุ อาหยัง ไปลงสรงในตาหมัน จึงก้าหลุ อาหยังปลุกบรรธมระเด่นอินู เพื่อจะชวนให้ไปสรงสนานด้วยกัน ด้วยความปรารถนาจะได้ดำเนิรจูงนิ้วหัตถ์กันไป แต่ระเด่นอินูนั้นก็ไม่อยากจะตื่นกลับตรัสว่า “เธอไปก่อนเถิด กะกันดานี้ไม่อยากอาบน้ำ”

ก้าหลุ อาหยังก็ว่า “ถึงกะกันดาจะไม่อยากสรงน้ำก็ตามทีเถิด มาพากันเดิรไปด้วยกันกับหม่อมฉัน คนทั้งหลายเห็น จะได้ว่าน่ารักน่าเอ็นดู”

จึงระเด่นอินูตอบว่า “พี่นี้ยังไม่เคยพาผู้หญิงคนใดไปไหน แม้ตัวพี่เองก็จะต้องขอให้ยะรุเดะ การะตาหลา และปูนตาเปนผู้พา ถ้าเธออยากจะให้มีคนพาไปก็จงไปขอให้เขาเหล่านั้นพาเถิด”

ครั้นแล้วก้าหลุ อาหยังก็เสด็จไป มีพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในตามเสด็จ เชิญผ้าทรงผลัดเพื่อสรงน้ำในตาหมันที่สรงนั้น ก็และก้าหลุ อาหยัง นั้นเกษายุ่งเหยิง เนตรบวม เหตุกรรแสงเพื่อขอปลอบเพิ่งหยุดลง น้ำตาดังตาน้ำไหลไม่มีอะไรปิดขัดขวางจนเหือดแห้งหยุดไปเอง

ครั้นสรงแล้วจึงเสด็จกลับคืนสู่กะกันดา คือระเด่นอินูนั้น

ฝ่ายระเด่นอินูเล่า ก็เสด็จออกจากตำหนัก มีการะตาหลา และยะรุเดะตามเสด็จ เพื่อไปสระสรงชำระกาย การณ์เปนไปดังนี้ทุกๆวัน ไม่เหมือนดังคู่สามีภริยาธรรมดา ซึ่งไปไหนก็ย่อมจะไปด้วยกัน

ท่านเล่าแถลงว่า กาลล่วงมาสี่ห้าวัน ทั้งสององค์นั้นก็ยังประพฤติอยู่อย่างนั้น จึงก้าหลุ อาหยังขอให้คลึงเคล้าเล้าโลมด้วยตรัสว่า “โอ้กะกันดา นานแล้ว พระพี่ยาได้สมรสหม่อมฉันนี้เปนชายา ยังหาได้เคยคลึงเคล้าเล้าโลมหม่อมฉันไม่เลย”

จึงระเด่นอินูตอบว่า “พี่จะเคล้าคลึงอะดินดาได้ฉันใด เพราะพี่นี้เองยังไม่รู้ว่าจะพึงทำอย่างไร ตั้งแต่เกิดมาตลอดชีวิตพี่นี้ยังไม่เคยคลึงเคล้าเล้าโลมสตรีเลย ไม่รู้แบบอย่างว่าเขาคลึงเคล้าสตรีอย่างไรกัน”

ก้าหลุ อาหยังก็ตรัสว่า “ถ้ากะกันดาของน้องยังไม่รอบรู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว มาเถอะ ไปเข้าที่บรรธม น้องนี้เองจะเคล้าคลึงกะกันดา”

จึงระเด่นอินูตอบว่า “พี่ไม่ปรารถนาให้หญิงใดมาเคล้าคลึงพี่ มิหน้าซ้ำพี่นี้กำลังเปนหวัดตัวร้อนเหงื่อไคไหลฉ่ำไม่หยุดหย่อน ไม่ต้องการเคล้าคลึง”

ก้าหลุ อาหยังก็ว่า “ถ้ากะกันดาไม่คลึงเคล้าเล้าโลมอะดินดาจริงๆ แล้ว อะดินดาจะต้องกราบทูลให้ทราบฝ่าธุลีสังระตู ไม่ทูลไม่ได้”

บัดนั้นระเด่นอินูก็นิ่ง และก้มพักตรจินตนาว่า “ไฉนหนอก้าหลุ อาหยังนี้ จึงมีกิริยาอัชฌาศรัยดังหญิงชาวตลาด”

ขณนั้นจึงหวลระลึกถึงความสุจริตและเฉลียวฉลาดของปันหยี สะมิหรัง ซึ่งติดฝังแน่นอยู่ไม่รู้ลืม

บัดนี้ จะกล่าวถึงปันหยีสะมิหรัง ซึ่ง ณ กาลนั้นประทับอยู่ ณ ตำหนัก ด้วยหฤทัยสิเนหาพิศวาสดิ์ไม่อาจลบล้างผลักใสให้หลุดพันจากกมลของนางได้ ด้วยคิดถึงคนึงหาระเด่นอินู กะระตะปาตีอยู่มิรู้วาย

จึงดำริว่า “ถ้าเช่นนั้น เราอยู่ที่นี่จะมีคุณประโยชน์อันใดเล่า ควรเราจะไปเฝ้าบิบินดา ซึ่งประทับอยู่กุหนุงวิลิสนั้นเสียดีกว่า ด้วยกะกันดาอินูก็อภิเษกสมสู่อยู่กับชายา ณ กรุงดาหาแล้ว ถ้าเราขืนอยู่นี่ต่อไป แน่เทียว ผู้คนพลเมืองจะต้องล่วงรู้ความลับว่าเราเปนหญิง อีกประการหนึ่งใจเรานี้ก็จะสิเนหาพิสวาสดิ์ไม่รู้เหือดหาย ถ้าไม่ไปให้พ้นเสียจากที่นี้”

ครั้นประทับตริตรึกดังกล่าวนี้อยู่นานแล้ว จึงตรัสให้หากุดาประวีระกับกุดาปะรันจา

ทั้งสองนั้นก็มาน้อมประนตเฝ้าเจ้านายแห่งตน

บัดดลนั้นปันหยีสะมิหรังจึงตรัสสังกุดาประวีระและกุดาปะรันจาให้ตระเตรียมรี้พลมนตรีเสนา พลางตรัสว่า “ในวันนี้นี่และ เราใคร่จะยกไปจากที่นี่ ด้วยใคร่จะไปมะงุมบาหรารอบแว่นแคว้น”

แล้วจึงจัดเอารี้พลของท้าวมันตาหวันพวกหนึ่ง สั่งให้กลับคืนไปยังบ้านเมืองแห่งตน ฝ่ายรี้พลกุรีปั่นอีกพวกหนึ่งก็เช่นกัน และพระชนนีมหาเดหวีนั้นไม่ให้ไปด้วย ให้ประทับอยู่เงียบๆ แต่องค์เดียวในนครนั้น ส่วนพระบุตรีมันตาหวัน ซึ่งมีนามว่าบุษบาชูวิตกับบุษบาส้าหรีกับทั้งกุดาประวีระ และกุดาปะรันจานั้นให้ไปด้วยสิ้น

ครั้นได้เพลาจวนอรุณรุ่งฟ้า จึงระเด่นปันหยีสะมิหรังเสด็จยาตราแปรทิศสู่กุหนุงวิลิส ลุยป่าดงพงไพรผ่านทุ่งผ่านเขา แต่หทัยนั้นประหวั่นห่วงถึงชนนีมหาเดหวีซึ่งทิ้งไว้เบื้องหลังนั้น ในเพลากลางวันเดิรทางไปไม่หยุดหย่อน พลบค่ำลงที่ไหนก็หยุดพักแรมคืน ณ ที่นั้น เธอดื่มน้ำค้างตามมีตามได้จากที่ตกอยู่ตามใบเผือกมัน ส่วนของเสวยนั้นก็มีแต่ผลไม้ป่า พฤติการณ์เปนดังพรรณนามานี้แล

จะกล่าวถึงนางมหาเดหวี ครั้นเห็นปันหยีสะมิหรังหายไป โดยมิได้บอกกล่าวเล่าแถลงว่าจะไปไหนและไปเสียแต่หัวเช้ามืด นางจึงค้นหาทางโน้นทางนี้ แต่ก็หาพบไม่ นางก็กรรแสงกำศรวลโศกาดูรอย่างใหญ่หลวง พิไรรำพันต่างๆ นาๆ และตะโกนเรียกหา ออกนามปันหยีสะมิหรังมิรู้หยุดว่า “โอ้ ลูกของแม่ ปันหยีสะมิหรัง แม่จะตามไปหาที่ไหนถูกเล่า แม่สู้ตามมาจนถึงนี่ เออสิแล้วมาทิ้งแม่ไว้แต่เดียวดาย พระมารดาของเธอก็ได้ทิ้งเธอกลับไปสู่สวรรค์แล้ว บัดนี้เธอยังมาทิ้งแม่ไปเสียด้วย ที่ไหนเล่าแม่จะได้ประสบพบรูปโฉมอันวิลาศของเธออีก มาจากแม่ไปเสียแล้ว ทุกข์ร้อนเธอจะได้ปรับทุกข์กับใครเล่า พระมารดาของเธอเองก็ละโลกไปเสียแล้วด้วยถูกคนวางยาพิษ โอ้ลูกเอ๋ย ช่างมีแก่ใจทิ้งแม่ไว้ให้อ้างว้างอยู่คนเดียว เออ ลูกเอ๋ย ป่าไหนหนอเธอจะเข้า เขาไหนหนอเธอจะปีน ดงไหนหนอเธอจะลุย ทุ่งไหนหนอเธอจะเดิรข้าม แม่แก่ถึงเพียงนี้แล้วจะมีอุบายทำอะไรได้เล่า”

แล้วมหาเดหวีก็รำพันประการอื่นอีกเล่า มีความเปนไปดังกล่าวนี้แล

จะกล่าวถึงระเด่นอินูกะระตะปาตี ซึ่งอยู่ในเมืองดาหานั้น ณกาลนั้นก็มีแต่กำสรดเศร้าหมอง และพระบุตรีก้าหลุ อาหยังนั้นเล่า ก็ประพฤติดังคนวิกลจริตเมาลำโพงด้วยความรักพิศวาสดิ์ในองค์ระเด่นอินู แต่ระเด่นอินูก็ไม่ใยดีเอาเสียเลย แม้นางขอให้ปลอบก็ไม่ปลอบ นางขอให้โลมเล้าเคล้าคลึง ก็ทำไม่ได้ยิน

ก็และเวลานั้นระเด่นอินูก็ไม่วายที่จะคิดถึงคะนึงหาปันหยี สะมิหรังผู้สหายเลยแม้แต่สักขณจิตต์เดียว จนกลายเปนโรคอันหนึ่งซึ่งสุดที่จะทนทานได้ และจะรอคอยต่อไปอีกไม่ได้ อนึ่งแม้ว่าเธออยู่ในนครดาหาก็ดี ยังมิได้เคยขึ้นเฝ้าธุลีสังระตูเสียเลย จนเปนที่ประหลาดใจแก่บรรดาข้าไทยบริวารชนทั้งปวง

มาวันหนึ่งจึงระเด่นอินู กะระตะปาตีดำริว่า “ก้าหลุ อาหยังนี้มิได้มีอัชฌาศรัยตามเยี่ยงอย่างพระบุตรีเสียเลย มีกิริยาวาจาดังหญิงชาวตลาด และลูกไพร่ บัดนี้สุดที่เราจะทนได้ต่อไปแล้ว”

จึงดำรัสให้หายะรุเดะ และการะตาหลา ๆ ก็เข้ามาเฝ้า

ระเด่นอินูตรัสว่า “เออแนะ พี่ยะรุเดะ จะให้ดีแล้วพี่จงเตรียมรี้พลมนตรีแต่ในเช้าวันนี้เทียว ข้าจะไปมะงุมบาหรา เพราะอยู่ในกรุงดาหานี้ ไม่มีความสบายใจ”

ยะรุเดะ และการะตาหลาก็ไปเตรียมพหลสกลไกร ครั้นมาพร้อมกันแล้ว ระเด่นอินูก็เสด็จยาตราจากกรุงดาหาแปรทิศสู่เมืองของปันหยี สะมิหรัง โดยได้เข้าเฝ้ากราบทูลขอพระราชานุญาตของสังระตูก่อนแล้ว ระเด่นอินูเสด็จไปนั้น แวดล้อมด้วยไพร่พลกุรีปั่นกับทั้งยะรุเดะ ปูนตา และการะตาหลา เดิรทางไปมิได้หยุดยั้ง ไม่ช้าก็พากันไปถึงเมืองของปันหยี สะมิหรังนั้น เพลานั้นวันก็รุ่งสว่าง ดวงทิพากรขึ้นส่องแสงจับยอดเขา สรรพสัตว์จตุบาททวิบาทคือ ฝูงวิหคและมฤคสัตว์ก็ออกหาอาหาร ไก่ป่าในอารัญก็ขันจะเจื้อย กะก้อกก้อก ด้วยเริงใจในอันเห็นแสงอาทิตย์นั้น

ครั้นถึงธานีของปันหยี สะมิหรัง ระเด่นอินูก็จะเข้าวัง เห็นประตูวังนั้นปิดอยู่และในวังนั้นก็เงียบสงัด ไม่ได้ยินเสียงอันใด นอกจากเสียงหญิงคนหนึ่งร้องไห้พิไรรำพันออกชื่อใครอยู่

หทัยระเด่นอินูก็เต้นสั่นระรัว และทันใดนั้นก็รีบเข้าใกล้เสียงนั้น จึงประจักษ์ว่าเสียงซึ่งได้ยินนั้นเปนสำเนียงร่ำพิไรของมหาเดหวีเฝ้าแต่ออกนามปันหยีสะมิหรังและนามประไหมสุหรีว่า “โอ้ลูกแม่เคราะห์กรรมอันใดเล่า เธอจึงมาตามเคราะห์ของชนนีของเธอซึ่งมอดม้วยด้วยถูกท่านลิกูวางยาพิษ แล้วเธอก็มาสละตนหายไป แม่จะตามไปเที่ยวหาที่ไหนเล่า

ระเด่นอินูได้ยินเสียงพิไรรำพันของมหาเดหวี เปนข้อความต่างๆ นาๆ และออกนามประไหมสุหรีกับทั้งก้าหลุจินตะหรากิระหนาดังนั้น จึงจินตนาว่า “ถ้าเช่นนั้นแล้วก็ย่อมกระจ่างแจ้งว่า ผู้ที่ชื่อปันหยี สะมิหรัง นั้น คือ ก้าหลุ จินตะหรา กิระหนานั้นเอง”

คิดดังนั้นแล้วก็เปล่งอุทานแก่ตนเองว่า “เทวดาอารักษโปรดด้วยเถิด” พลางอสุชลก็หลั่งไหล แล้วตรัสว่า “โอ้เธอ ผู้ยอดสายตาของพี่ เธอช่างมีแก่ใจทำได้ ไม่แสดงตนให้ประจักษ์แจ้งแก่พี่”

ครั้นแล้วบาทและหัตถของระเด่นอินูก็อ่อนเพลีย เพราะหฤทัยไหวประหวั่นสุดที่จะทนได้ พลันพระวาโยใส่วิสัญญีล้มกลิ้งลงยังภูมิดล แต่คนอื่นยังหาทันได้ทราบไม่ ครู่หนึ่งก็ฟื้นพระสติ แล้วก็เช็ดน้ำเนตรด้วยผ้าคาดองค์แพรดอก อันเปนรอยปันหยีสะมิหรังได้ใช้แล้ว และถวายไว้เปนที่ระลึกนั้น

บัดนั้นมหาเดหวีก็ทอดถอนหฤทัยพลางเปล่งอุทานว่า “โอ้ลูกแม่ ไปไหนเสียเล่า ช่างมีแก่ใจทิ้งแม่นี้ไป ตั้งแต่เล็กมาแม่ได้ตามถนอมทำนุกมิเคยจะได้พรากจากกันเลยแต่สักขณเดียว มาวันนี้สิอยู่ๆ ก็มาทิ้งแม่หายไป ถึงแม้จะยังไม่นาน แม่นี้ก็รู้สึกเหมือนนานสักสี่สิบปีแล้ว”

ขณนั้นระเด่นอินูก็เข้าไป ครั้นเห็นแจ้งว่า ผู้ซึ่งพิไรรำพันนั้นคือนางมหาเดหวี จึงเข้าปลอบด้วยวาจาอันอ่อนหวานว่า “เท่านั้นทีเถอะ พระมารดา อย่าทรงกรรแสงไปอีกเลย”

อันที่แท้จริงนั้นถึงตรัสดังนี้ ส่วนในหฤทัยนั้นพลอยกรรแสงตามไปด้วย พลางตรัสว่า “อุวะ ปันหยี สะมิหรัง พี่มิได้รู้เลยว่าเธอเปนจันตะหรา กิระหนา”

แล้วก็กรรแสงไปด้วยกันทั้งสององค์

ครั้นแล้วระเด่นอินูจึงทูลว่า

“โอพระมารดา การณ์ทั้งนี้เปนไปโดยเทวานุภาพขององค์สังหยัง เดวาตะ ทรงบันดาล มาเถอะ บัดนี้หม่อมฉันจะเชิญเสด็จพระมารดากลับคืนกรุงดาหา ด้วยปันหยี สะมิหรังนั้นไม่แน่เลยว่าจะผ่านมายังที่นี้อีกหรือไม่”

แล้วก็ปลอบโยนอีกด้วยคำหวานนานัปการ มหาเดหวีจึงนิ่งเพราะอันได้ฟังสำเนียงอันไพเราะเสนาะโสตรของระเด่นอินูนั้น

ทันใดนั้นระเด่นอินูจึงตรัสให้หายะรุเดะกับการะตาหลา ทั้งสองนายนั้นก็เข้ามาเฝ้าเจ้านายแห่งตน

จึงระเด่นอินูตรัสว่า “ในวันนี้นี่เทียว พี่ทั้งสองจงกลับไปกรุงดาหา พร้อมด้วยพระมารดามหาเดหวี”

แล้วมหาเดหวีก็เสด็จออกเดิรทางกลับกรุงดาหากับยะรุเดะ และการะตาหลา ระเด่นอินูก็ตามไปด้วยสู่กรุงดาหา

มิช้านานก็พากันไปถึงกรุงดาหา ระเด่นอินูมีความรังเกียจที่จะเข้าพระราชวังจึงคอยอยู่ข้างนอก ดำรัสสั่งให้ยะรุเดะกับการะตาหลาเข้าไปพร้อมด้วยมหาเดหวี เพื่อเข้าเฝ้าธุลีสังระตู ดาหานั้น

ฝ่ายองค์สังระตู เมื่อทอดพระเนตรเห็นนางมหาเดหวีเนตรช้ำมา ถึงแม้ว่าตลอดเวลาที่นางไปเสียนั้นจะมิได้ทรงคิดถึงคนึงหาเลยก็ดี แต่บัดนี้เมื่อพบกันก็มีความสงสารสมเพชในพระหฤทัย ทั้งหวลระลึกถึงพระชายาซึ่งถูกวางยาพิษละโลกไปแล้วนั้น ก็รู้สึกองค์ขึ้นและสำนึกในความโหดร้ายของท่านลิกู ด้วยขณนั้นอาคมและยาต่างๆ ของท่านลิกูเสื่อมคลายความศักดิ์สิทธิแล้ว

เหตุฉนั้นสังระตูทอดพระเนตรเห็นนางมหาเดหวีจึงทรงเวทนายิ่งนัก แล้วก็ทรงยกขึ้นเปนประไหมสุหรีแทนที่องค์ประไหมสุหรีซึ่งละโลกไปแล้วนั้น

ฝ่ายว่ายะรุเดะกับการะตาหลา ครั้นเสร็จกิจนั้นแล้วจึงน้อมเศียรถวายบังคมธุลีสังระตูทูลลาออกจากพระราชวัง เพื่อไปเฝ้าเจ้านายแห่งตน ซึ่งประสงค์จะรีบกลับไปยังเมืองของปันหยี สะมิหรังนั้น ไม่ช้าก็พากันไปถึงโดยสวัสดิภาพ ระเด่นอินูก็เข้าไปยังที่บรรธมของปันหยี สะมิหรัง พลันกรรแสงสะอื้นไห้อย่างใหญ่หลวงจนชลเนตรจะเหือดแห้ง มีอากัปกิริยาประดุจดังคนวิกลจริต ไม่รู้สำนึกตน แล้วก็พร่ำพิไรรำพันไปแต่ลำพังองค์เดียวว่า

“ดูหรือ เธอช่างมีแก่ใจทิ้งพี่ไปเสียได้ ถ้าพี่นี้ยังไม่พบเธออยู่ตราบใด จะไม่กลับคืนกรุงกุรีปั่นเลย”

ครั้นแล้วก็เอาเขนยกลิ้งของปันหยี สะมิหรังมากอด และจูบ และรำพันด้วยถ้อยคำประการต่างๆ ทั้งกรรแสงกระทั่งเนตรบวมช้ำ เพราะปล่อยองค์ไปตามหฤทัยยามคลั่งใคล้ใหลหลง ด้วยความพิศวาสดิสิเนหา แทบจะทนทานอยู่ต่อไปอีกไม่ได้

มาวันหนึ่งจึงระเด่นอินูตรัสแก่ยะรุเดะว่า “แน่ะ กะกัง๑๐ ยะรุเดะ บัดนี้พี่จะว่าอย่างไร ด้วยข้านี้ใคร่จะเที่ยวตามหา อะดินดา ปันหยี สะมิหรังนั้น แม้ว่ายังตามไม่พบอยู่ตราบใด ข้าจะไม่กลับคืนกรุงกุรีปั่น ถึงแม้จะต้องเที่ยวมะงุมบาหราไปทั่วทุกแห่งหนก็ไม่ว่าจะติดตามหาปันหยีสะมิหรังนั้นไม่หยุดหย่อน บัดนี้จงไปเรียกน้ามนตรีมา”

จึงยะรุเดะไปเรียกน้ามนตรีนั้น และในขณนั้นเอง น้ามนตรีก็มาเข้าเฝ้า

ระเด่นอินูตรัสว่า “แน่ะน้ามนตรี บัดนี้น้าจงกลับไปกรุงกุรีปั่น กราบบังคมทูลองค์สังระตูให้ทราบฝ่าธุลีว่า ข้านี้ถ้ายังไม่พบกับก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา อยู่ตราบใด จะยังไม่กลับ เพราะก้าหลุ จินตะหรานั้นสูญหายไปจากกรุงดาหา”

แล้วตรัสสั่งให้แบ่งรี้พลกลับไปกรุงกุรีปั่นเสียกึ่งจำนวน ส่วนอีกกึ่งหนึ่งนั้นเท่านั้นเอาตามเสด็จไปมะงุมบาหราด้วย

ฝ่ายมนตรีก็กลับพร้อมด้วยรี้พลซึ่งไม่โปรดให้ตามเสด็จมะงุมบาหรานั้น บ่ายหน้าสู่นครกุรีปั่น

มนตรีเดิรทางไปมินานนักก็ไปถึง แล้วก็เข้าเฝ้าธุลีสังระตู ก้มศิระเกล้าลงยังธุลีบาทบงกชพลางกราบทูลว่า “ขอพระราชทานอภัยตวนกูนับพันๆอภัย ข้าพระองค์ขอกราบทูลว่า องค์ปุตะรันดา๑๑ ยังไม่เสด็จกลับเพราะยังกำลังออกมะงุมบาหราเที่ยวตามหาก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาอยู่ ด้วยเธอนั้นสูญหายไปจากกรุงดาหา”

องค์สังระตู และประไหมสุหรีได้ทรงฟังคำมนตรีทูลดังนั้น จึงประไหมสุหรีทนอยู่ไม่ได้ พลันกรรแสงพิไรรำพันถึงพระราชโอรส

สังระตูตรัสว่า “เหตุใดเล่าจึงมิได้ข่าวคราวอะไรมาถึงเราเลยในเรื่องนี้ แต่ว่ามูลกรณีนั้นประจักษแจ้งอยู่ จะเปนด้วยเหตุอื่นใดไม่ได้นอกจากความยุแหย่และรันทำของนางลิกู ซึ่งพอใจเล่นกับคาถาอาคมเสน่ห์ยาแฝด จนสังระตูดาหาคล้อยตามไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง”

แล้วสังระตูกุรีปั่นก็พิโรธโกรธกริ้วสุดประมาณ ฝ่ายองค์ประไหมสุหรีก็โศกาดูลย์พูนเทวศอย่างสาหัสทุกทิพาราตรีด้วยเหตุพระราชบุตรซึ่งมีอยู่แต่องค์เดียวแล้วมาจากไปเสียนั้น และราชธานีกุรีปั่นนั้นก็กลายเปนเงียบเหงาสงัด ด้วยว่าองค์สังระตู และประไหมสุหรีกำลังทรงทุกขจิตต์กำศรดอย่างแรงกล้า อันไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินและมนตรีทั้งปวงก็ย่อมเปนไปเช่นเดียวกันดังนั้นแล

ฝ่ายว่าระเด่นอินู กะระตะปาตี ครั้นมนตรีนั้นเดิรทางกลับไปกุรีปั่นแล้ว จึงตรัสแก่รี้พลสกลไกรว่า “เฮ้ย รี้พลพหลโยธาของเรา พวกเจ้าจะว่าประการใดในเรื่องนี้”

คนทั้งหลายนั้นก็สนองว่า “เจ้ากูมีพระประสงค์อย่างไร ข้าพระองค์ก็จะปฏิบัติตามทุกสถาน และพระองค์ประทับอยู่ ณ ที่ใด ข้าพระองค์ทั้งหลายก็จักอยู่ ณ ที่นั้นด้วยกับตวนกู”

แล้วระเด่นอินูก็ตรัสว่า “ดีแล้ว ถ้าพวกเจ้าทั้งปวงจะตามเราไป มาเราจงเปลี่ยนชื่อและแปลงกายเสียให้ทั่วกัน บัดนี้นามกรของตัวเราจะเปลี่ยนเปน ปะเงรัน๑๒ ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา อันยะรุเดะให้เปลี่ยนชื่อเปนวิรุน ปูนตาให้ชื่อ อันดาคา การะตาหลาให้ชื่อ กาลัง ประสันตาชื่อ กิอาย ลูระ สะมาร์๑๓

ครั้นแล้วเขาทั้งหลายนั้นต่างคนต่างก็แปลงนามทั่วกัน แล้วระเด่นปันหยียาเหย็ง กะสุมาก็ยาตราออกจากธานีนั้นด้วยหฤทัยประหวั่นด้นดั้นมรรคาเข้าป่าออกไพร ขึ้นเขาลงเขา ผ่านทุ่งข้ามน้ำอย่างกว้างใหญ่ ทางครรไลยิ่งลำบาก ก็ยิ่งเหนื่อยยากวรกาย แล้วก็ยิ่งมั่นหมายคิดถึงคะนึงหาปันหยี สะมิหรังแต่ก็มิให้พบเห็นโดยอาการอื่นใด นอกจากลอยอยู่ในภาพซึ่งหากนึกเห็นเปนองค์ระเด่นปันหยี สะมิหรังไปเท่านั้น คิดถึงปันหยี สะมิหรังขึ้นมาเมื่อใด เธอก็เอาสะไบรัดเอวซึ่งให้ไว้นั้นมาจูบ ความเปนไปของปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา มีประการดังนี้ จนกระทั่งเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไปทั่ววรกาย ด้วยความรักพิศวาสดิ์มาดหมายหาที่สุดมิได้

ฝ่ายวิรุนก็เปนอย่างนั้น คิดถึง มะ ระมีซะ๑๔ ขึ้นมาเมื่อไรก็ตบอก แล้วโก่งก้นสู่ฟ้า

กาลัง เห็นวิรุนโก่งก้นขึ้นสู่ฟ้า ศีรษะอยู่เบื้องต่ำ กางเกงถลกดังนั้น ก็ชังน้ำหน้ามันไส้ จึงผลักวิรุนล้มกลิ้งฝุ่นลอองเต็มตัว ใครเห็นก็หัวเราะก๊ากๆ ไปทั่วกัน

ต่อนี้ไปท่านกวีผู้รจนาเล่าแถลงว่า ปันหยียาเหย็ง กะสุมานั้นจรจรัลลุยป่าพนาลัย ค่ำลงที่ไหนก็พักแรมณที่นั้นตามแต่ใจปรารถนา ไสยาภายใต้ร่มไม้ เสวยตามแต่จะหาได้ คือเผือกมัน แต่พอได้ประโยชน์บรรเทาความหิวกระหาย คิดพลางก็ฟูมฟายชลเนตรหลั่งไหลไม่รู้หยุด ประดุจตาน้ำ ซึ่งไหลออกจากซอกศิลา พลางก็เช็ดด้วยผ้าคาดองค์ ดูรูปทรงราวกับว่าโสรดสรงด้วยน้ำอสุชลฉนั้น ยิ่งเปนเวลาค่ำคืนด้วยแล้ว หยุดพักแรมอยู่เชิงบรรพต หฤทัยก็ยิ่งเหี่ยวหดพินาศสลายด้วยเสียงฟ้าร้องฟ้าคนอง โต้ตอบไปมามิรู้วาย และถึงเพลาเช้าตรู่พระสุริยฉายเริ่มจะส่องกระจ่าง ก็มีแต่น้ำค้างพร่ำหยาดเยือกเย็น

ณกาลเช่นนั้นเธอก็ตรัสแต่ลำพังองค์เดียวว่า “อุวะ ปันหยีสะมิหรังน้องรักของพี่ ๆ ออกมะงุมบาหราแบกทุกข์โศกาดูลย์อยู่ดังนี้ อะดินดาไม่เห็นกะกันดาเลยหรือ อุวะน้องเอ๋ย ช่างมีแก่ใจทำแก่พี่ได้ดังนี้”

แล้วปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็ทอดถอนหฤทัยใหญ่อย่างดัง ชลเนตรพลันก็ไหลหลั่งประดุจสายน้ำตกจากเชิงภูผาฉนั้น

อัดอั้นตันจิตต์ผิดหวัง

เหมือนอยู่ในหลุมปิดขัง

ใครเล่าอาจรู้อาจหยั่ง

จิตต์ประหวั่นพรั่นทุกข์ประดัง

พอถึงเพลาทิวาวาร เริ่มจะรุ่งสว่าง สรรพวิหคในอารัญยังมิทันจะออกบิน นกกระสาก็ยังจับเจ่าเหงาอยู่เพราะยังเยือกเย็น และมฤคสัตว์ทั้งปวงก็ยังมิทันจะออกหาอาหาร ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็ตื่นบรรธมเสด็จลงโสรดสรงชำระกายในลำธาร ครั้นแล้วก็จรจรัลไปใหม่ด้วยอาการเมื่อยล้าอ่อนเพลีย

เดิรทางไปมินานก็ไปถึงซึ่งนครอันหนึ่งมีนามว่าสะดายุ

แล้วปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็เสด็จเข้าเมืองและทันใดนั้นตรัสสั่งกาลัง และวิรุนให้จัดสร้างพลับพลาประสังคราหัน ไม่ช้าก็สร้างสำเร็จ จึงตรัสสั่งให้ยับยั้งรี้พลพักอยู่ ณ ที่นั่น และให้เล่นหัวสนุกสนานเริงพลทั่วไป

บัดนี้จะกล่าวถึงท้าวครองเมืองสะดายุนั้น เธอมีธิดาองค์หนึ่งซึ่งมีวงพักตรโฉมงาม ทรงนามว่า นางบุตรี ก้าหลุ นาหวัง จันตะหรา

ก็และ ศรีภคินทราช สะดายุ นั้น ทรงสิเนหาอาลัยในพระราชบุตรีนั้นยิ่งนัก มักทรงชักชวนให้ประทับใกล้ชิดองค์ในที่เฝ้าสาวสรรกำนัลใน

ณ กาลนั้น จึงนายประตูเมืองวิ่งละล้าละลังกระหืดกระหอบเข้ามา ท่าทางประดุจคนถูกเสือไล่ น้อมเศียรเกล้าเฝ้าสังระตูแล้วทูลว่า “ขอพระราชทานอภัยตวนกู นับพันอภัย ด้วยที่นอกวังธุลีตวนกูนั้น มีชายชาติกษัตริยะ๑๕หนุ่มคนหนึ่ง เขาพาเอารี้พลมาด้วยและได้ตั้งประสังคราหันขึ้นแล้ว เค้าเงื่อนชะรอยจะมาตีเอานครของธุลีตวนกูนี้”

บัดดลก็จัดเตรียมรี้พลพหลโยธาพร้อมสรรพทั้งเสนาและทหารเอก ถืออาวุธครบมือแล้วก็พากันออกไปยังสนามสมรภูมิชัย เข้ารุกไล่ข้าศึกสัตรู เสียงอึกทึกพรรฤกโกลาหล ทั้งเสียงประโคมดุริยดนตรี มีฆ้องหมุ่ย ฆ้องตับ ระนาดทอง และกลองยุทธเภรี ก็ตีกระหน่ำไม่หยุดยั้ง เสียงดังสนั่นกัมปนาท เสียงพาทย์กับเสียงพลระคนกันกึกก้อง ต่างโห่ร้องส่งเสียงซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย

แต่พอสองฝ่ายเผชิญหน้ากระทบกัน ก็สู้รบกันอย่างเด็ดเดี่ยวสามารถ ทั้งแทงพุ่ง แทงทิ่ม บ้างก็คว้ากันที่เอวผลักไสลากดึง

ฝ่ายสะมาร์ กับวิรุน กาลังกับอันดาคา ก็ยินดีนัก ถลาพุ่งเข้าไปกลางหมู่ข้าศึก ตลุมบอนทางโน้นทางนี้ไม่ต้องพักกล่าวว่า สะมาร์นั้น ได้ฟันฆ่ารี้พลสะดายุตายในที่รบนั้นเสียมากมายทีเดียว

จึงรี้พลสะดายุทั้งหมด ปรากฏว่าไม่สามารถทนต่อสู้ข้าศึกอยู่อีกได้ เพราะถูกพี่เลี้ยงหรือเสนาทั้งสี่นั้นโจมตีอย่างเข้มแข็ง

ยิ่งสู้รบนานไปก็ยิ่งล้าลง แล้วก็ถอยหลัง พวกหนึ่งวิ่งหนีระส่ำระสายทิ้งอาวุธเพราะยังหวังรักชีวิต อีกพวกหนึ่งก็ถอยไป เหลือแต่มนตรี ตำมะหงง และทหารเอก

ครั้นดะหมัง ตำมะหงง ทหารเอก และมนตรีเห็นไพร่พลหนีกระจัดกระจายไปเปนอลหม่านดังนั้น ตนเองก็แทบจะขาดลมปราณทนอยู่ไม่ได้ จึงแข็งใจเข้ากระทบพุ่งเข้ารบกับข้าศึกทั้งมวญ

ขณนั้นจึงประสบกับ กาลัง วิรุน และสะมาร์ ก็เข้าสู้รบกันอย่างสามารถ ต่างยึดมือถือแขนลากดึงซึ่งกันและกัน และฟันตี

มิช้านาน ดะหมัง ตำมะหงง และประธานมนตรีทั้งมวญนั้นก็ถูกกาลัง วิรุนและสะมาร์ จับได้และให้มัดไว้

ส่วนรี้พลสะดายุที่ยังเหลือสู้รบกันอยู่นั้น ครั้นเห็นดะหมังและตำมะหงงถูกจับเปนเชลยสิ้นแล้ว ก็ทิ้งอาวุธ แล้วก็เลยแตกสลายพ่ายแพ้สิ้น และตกเปนเชลยของปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น

แล้วท้าวสะดายุก็มายอมตนเปนเมืองออก และบุตรี นาหวัง จันตะหรานั้นก็ถวายแด่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา

อันพระบุตรีนั้นก็กรรแสงสอื้นไห้นักหนา แต่ทว่าเมื่อได้เห็นรูปโฉมของปะเงรัน ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมางามวิไลดังนั้นแล้ว นางก็หยุดกรรแสง และรู้สึกผิดในอันประพฤติดังนั้น เพราะชั้นต้นสงกาว่าปะเงรัน ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้นคงจะเปนคนผิวดำ รูปกายกำยำสูงใหญ่ นับแต่วันนั้นไปพระบุตรีเธอก็เกิดกำหนัดพิศวาสดิ์ประดุจคนมึนเมา ด้วยความสิเนหาอันแรงกล้าในองค์ระเด่นปันหยีนั้น

ครั้นแล้วท้าวสะดายุก็จัดการต้อนรับระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา และทำพิธีวิวาห์สยุมพรกับนางบุตรี ก้าหลุ นาหวัง จันตะหรานั้น แล้วก็อยู่ด้วยกันด้วยความรื่นรมย์โสมนัศสุดประมาณ

ครั้นถึงเพลารัตติกาล ดวงบุหลันส่องสว่างกระจ่างหล้า สนั่นเสียงคนทั้งหลายสรวลเสเฮฮาด้วยวิรุน สะมาร์ และกาลัง โลดเล่นเต้นรำบิดตัวไปมาอย่างตลกคนอง และตบมือทำนองประดุจดังนักชนไก่ ยามไก่ของตนชนะ ฝ่ายสององค์คู่วิวาห์ใหม่นั้น ก็เข้าที่บรรธม

ครั้นรุ่งเช้าจึงตรัสกับสหายหรือพี่เลี้ยงว่า “แน่ะ วิรุน และกาลัง บัดนี้พี่จะว่ากระไรด้วยข้านี้มีความประสงค์จะออกไปจากที่นี้แต่วันนี้เทียว เพราะยังไม่อิ่มหนำช่ำใจ ด้วยมิได้ประสบหรือหาพบตัวน้องปันหยี สะมิหรังนั้น เพราะฉนั้นจงรีบไปตระเตรียมรี้พลณบัดนี้”

จึงวิรุนออกไปเรียกชุมนุมเตรียมรี้พล ก็พร้อมสรรพโดยพลันทันใดนั้น

ระเด่นปันหยีตรัสแก่พระนางบุตรีนั้นว่า “เออ อะดินดา บัดนี้น้องจะว่าประการใด ด้วยพี่นี้จะออกมะงุมบาหราต่อไปอีก”

นางก็ทูลสนองว่า “กะกันดาจะเสด็จหนไหนก็ตาม หม่อมฉันจะขอตามเสด็จกะกันดาไปด้วย”

จึงระเด่นปันหยี ตรัสว่า “ดีแล้ว”

ครั้นแล้วจึงดำรัสให้ผูกวออุสุงหงัน๑๖ขึ้นหลังหนึ่ง และแต่งรถไว้ด้วย แล้วพระนางบุตรีนั้นก็เสด็จขึ้นทรงวอ

ณ กาลนั้น จึงตรัสสั่งให้มนตรีนายหนึ่งเข้าไปเฝ้าธุลีสังนาตะสะดายุ ทูลว่า ระเด่นปันหยีจะเสด็จไปแต่ในวันนั้น ไม่ทันที่จะเข้าเฝ้าทูลลาสังระตู ต่อเมื่อกลับมาใหม่จึงจะเข้าเฝ้า

มนตรีก็ไปทูลให้ทราบฝ่าธุลีสังนาตะตามเรื่อง

องค์สังนาตะได้ทรงฟังข่าวดังนั้น ก็ทรงกำสรดทุกข์จิตต์ไม่มีที่สุด ด้วยยังมิทันจะได้ทอดพระเนตรเห็นราชบุตรเขยเลย ซึ่งตามข่าวลือระบือว่า ระเด่นปันหยีนั้นโฉมงามยิ่งนัก

ฝ่ายว่าระเด่นปันหยี ณ กาลนั้นก็ออกจรจรัลไปจากนครสะดายุ พร้อมด้วยบุตรี นาหวัง จันตะหรา และรี้พลสกลโยธาโดยเสด็จ ชาวประโคมก็กระทั่งเสียงฆ้องหมุ่ย ฆ้องตับไม่ยับยั้ง และในจำนวนรี้พลนั้นบางพวกส่งเสด็จแล้วก็กลับ บางพวกก็ตามเสด็จไปด้วย

ระเด่นปันหยีนั้นก็จรดลด้นดั้นไปทั้งกลางวันกลางคืน พบบ้านเมืองเข้าที่ไหนก็ให้ตั้งพลับพลาประสังคราหันขึ้น ณ ที่นั่น แล้วก็เข้าโจมตีชิงเอาเมืองทางเบื้องซ้ายเบื้องขวาจนกระทั่งตีเอาได้ อ่อนน้อมเปนเมืองขึ้นแล้วหลายเมือง

การที่ประพฤติดังนี้มิใช่เพราะมีความมุ่งมาทประการอื่นใด นอกจากที่ให้บรรลุผลตามประสงค์จำนงหมาย กล่าวคือจะค้นให้พบปันหยี สะมิหรัง

ตามเรื่องที่เปนดังนี้ ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งได้จำนวนรี้พลเพิ่มพูนมากขึ้น พฤติการณ์มีอันเปนดังกล่าวมาด้วยประการฉะนี้แล

บัดนี้จะกล่าวถึงก้าหลุ อาหยัง ซึ่งได้เสกสมรสใหม่ๆ นั้น ถึงแม้ว่าเธอจะได้เปนชายาหลับตื่นมาแล้วหนึ่งวันกับหนึ่งคืนก็ดี แต่ก็ยังหาได้เคยสูดซาบกลิ่นเสโทของสวามีไม่ ครั้นล่วงคืนที่สอง พอรุ่งเช้าเธอบรรธมตื่นเห็นระเด่นอินูหลับสนิทแล้ว เธอจึงเลี่ยงไปในเวลากำลังหลับ เพราะก้าหลุ อาหยังใคร่จะสรงน้ำในเพลาตื่นบรรธม ครั้นกลับมาไม่เห็นมีพระสามีในที่ไสยาศน์เสียแล้ว นางก็กรรแสงด้วยความพิศวาสคลั่งไคล้ในพระสามี คือระเด่นอินูนั้น แล้วก็เที่ยววิ่งหาทางโน้นทางนี้ บัดเดี๋ยวก็ไปดูรอบขอบตำหนัก บัดเดี๋ยวก็ไปเที่ยวหาในโรงม้า บัดเดี๋ยวก็ค้นดูในที่บัณฐรณ และเที่ยวซอกซอนค้นหาหลังหีบหลังเตียงกระทั่งเสื้อผ้าภูษาทรงสลัดตรวจ ด้วยสงกาว่าระเด่นอินูจะล้อเล่นและแกล้งซ่อนเร้นองค์ แต่แม้ถึงว่าไม่ลืมตรวจกระทั่งหลังบานประตูก็หาประสบพบประระเด่นอินูไม่

นางก็ลงกลิ้งเกลือกกรรแสงไห้ พลิกไปพลิกมาอยู่ที่พื้น

ก็และในบรรดาสาวสรรกำนัลในข้าไททั้งหลาย หามีใครอยากเอาธุระแก่การที่นางกรรแสงร่ำไห้นั้นไม่ แม้ถึงว่านางจะออกนามระเด่นอินูมิรู้หยุด โดยอุทานเช่นว่า “อุวะ กะกันดาอินูผู้องค์ดีพักตรงาม อุวะ กะกันดา ซึ่งหวานน่ารัก โปรดทอดพระเนตรอะดินดานี้สักหน่อยเปนไรมี ปลอบหม่อมฉันบ้างซี ใครเล่าจะเปนผู้สมควรปลอบหม่อมฉันยิ่งไปกว่ากะกันดา อุวะ กะกันดาเสด็จมาหาต้อนรับหม่อมฉันเถิด ด้วยกะกันดาองค์เดียวเปนผู้สมควรจะรับรองหม่อมฉัน ใครอื่นจะมารับรองหม่อมฉันไม่เอา กะกันดาเท่านั้นเปนผู้ได้ผูกพันธ์แล้ว และเปนเจ้าของในตัวของหม่อมฉัน กะกันดาเปรียบดังเปนเมล็ดพลอย หม่อมฉันเปนเรือนฝังรองรับ ใครดูก็เห็นคู่ควร กะกันดาเสด็จไปองค์เดียวควรที่หม่อมฉันจะเปนผู้โดยเสด็จและดำเนินไปด้วยกัน กะกันดาประดุจบุหลันหม่อมฉันประดุจดวงระวี ถ้ากะกันดาเปนกุหนุงคิรี หม่อมฉันก็เปนยอดบรรพต โอ้องค์คิรี จะทรงหาใครได้ที่ไหนเล่า ที่จะเทียบได้เหมือนหม่อมฉันนี้”

แล้วก้าหลุ อาหยังนั้นก็รำพันประการอื่นๆ ต่อไปแทบจะสิ้นสมฤดี ด้วยความคลั่งไคล้ใหลหลงในองค์ระเด่นอินูนั้น

ฝ่ายนางสาวสรรกำนัลในก็หามีใครปราสัยไต่ถามแต่สักคนหนึ่งไม่ และสังระตูก็ละอายพระหฤทัย ทั้งทรงรำลึกถึงพระมเหษีซึ่งถูกวางยาพิษสิ้นชีพไปแล้วนั้น ก็บังเกิดความเกลียดชังในท่านลิกู เหตุด้วยเสน่ห์ยาแฝดนั้นเสื่อมคลายสิ้นฤทธิแล้ว

ด้วยเหตุดังกล่าวนั้น แม้องค์สังระตูก็ไม่ทรงปรารถนาจะเอาธุระกับก้าหลุ อาหยัง

บัดนี้จะย้อนกล่าวถึงระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ซึ่งกำลังเดิรทางอยู่รอบประเทศ และได้เจ้าผู้ผ่านนครต่างๆ มาอ่อนน้อมเปนเมืองขึ้นเมืองออกแล้วเปนอันมากนั้น

เดิรต่อไปไม่ช้าก็ไปถึงแว่นแคว้นอันหนึ่ง แล้วก็เข้าไปสู่นครหลวง สั่งให้ตั้งพลับพลาประสังคราหันขึ้น

ก็และแว่นแคว้นนั้นมีนามว่า จกรกา๑๗ และพระราชาผู้ครองนครนั้นมีราชบุตรสององค์ๆ หนึ่งเปนชาย มีนามว่า ระเด่น วิรันตะกะ อีกองค์หนึ่งเปนหญิงมีนามว่า พระบุตรี นิลวาตี๑๘ แต่พระบุตรีนี้เปนธิดาของชายารอง

ครั้นระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ให้ตั้งพลับพลาประสังคราหันขึ้นแล้ว จึงนายประตูเมืองนั้นวิ่งเข้าไปในวังแล้วทูลความให้ทราบแก่ท้าวจกรกา

ท้าวเธอได้ฟังข่าวทราบว่ามีชายชาติกษัตริย์หนุ่มคนหนึ่งเข้ามาในเมืองและสั่งให้ตั้งพลับพลาประสังคราหันขึ้นแล้วดังนั้น ก็พิโรธโกรธกริ้วเปนอันมาก แล้วตรัสว่า “ควรเราจะไปจับมันเสียบัดนี้เทียว ถ้ามันเปนคนที่ชื่อว่าปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ซึ่งนัยว่าเปนคนอ่อนหวานโฉมงามนักนั้นแล้ว กิริยาอาการของมันก็เปนประหนึ่งโจรไปเข้าเมืองใครก็ไม่จำนงหมายอันใดอื่น นอกจากจะปล้นตีชิงเอาทรัพย์สินของคนทั้งหลายเท่านั้น ท้าวสะดายุก็ถูกมันทำเล่นตามใจแล้วก็ถูกจับเอาตัวได้อย่างง่ายดาย และไปยอมอ่อนน่อมแก่มันเพราะเปนคนอ่อนแอโง่เง่าเต่าตุ แต่ตัวเรานี้จะไม่ให้มันสมประสงค์อย่างนั้น เราจะไปจับตัวมันเอาเข้าขังคุกเสียทั้งเปนๆ เทียว”

ณ กาลนั้นจึงราชโอรส ซึ่งทรงนามระเด่นวิรันตะกะนั้นทูลสนองว่า “พระบิดาตรัสนั้นถูกต้องชอบแล้วทุกประการ ก็และการจะจับตัวมันนั้นขอรับพระราชทานให้เปนพนักงานหม่อมฉันนี้เถิด”

ทันใดนั้นองค์ท้าวจกรกา จึงตรัสสั่งให้เตรียมรี้พลสกลไกร ล่วงไปอีกครู่หนึ่งก็มีเสียงโห่ร้องเปนเอิกเกริกมโหฬาร ออกเดิรไปสู่สนามสมรภูมิชัย

ระเด่น ยาเหย็ง กะสุมา เห็นข้าศึกมาดังนั้นก็แย้มสรวล พลางเช็ดพักตรด้วยผ้ารัดองค์และตรัสว่า “เฮ้ย วิรุน และพี่สะมาร์ ระวังตัวจงดีเถิด พี่ทั้งสองคน ด้วยบัดนี้เราจะต้องสู้รบอย่างจริงจัง เพราะข้าศึกที่มานี้จะเข้าโจมตีเรา และดูท่าทางองอาจกล้าหาญมาก”

สะมาร์กับวิรุนก็ถลกแขนเสื้อและถลกขากางเกง ฝ่ายกาลังก็เช็ดจมูกด้วยน้ำมูกไหลไม่หยุดหย่อน จนเต็มไปด้วยน้ำมูกแห้งเกรอะติดตังดังแป้งเหนียวพลางกล่าวว่า “ยาก ยากแท้ คอยประเดี๋ยวก่อน แล้วหม่อมฉันจะเข้าเผชิญหน้าข้าศึกให้สู้รบกัน จนมันแตกยับพินาศไปสิ้น”

แล้ววิรุนก็ตะโกนท้า จนบรรดารี้พลของท้าวจกรกาโกรธจะเร่งเข้าจับตัว

วิรุนก็ต่อสู้ด้วยองอาจกล้าหาญ แล้วก็เกิดสงครามกันเปนสามารถ ฝุ่นธุลีก็ปลิวขึ้นสู่อากาศจนมืดมน

ทันใดนั้นท้าวจกรกาก็เร่งม้าเข้ารุกไล่ข้าศึก และไม่ช้าก็เข้าใกล้กับปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ด้วยความประสงค์จะจับ แต่ยังไม่ถึงตัว

ต่อนี้ไป ท่านผู้เจ้าของเรื่องนี้เล่าแถลงว่า สงครามนั้นเปนการใหญ่หลวงโกลาหล ได้ทำอยู่ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนมิได้หยุดยั้ง

ฝ่ายปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็เข้ากระทบกับท้าวจกรกา แทงทิ่มแทงพุ่งซึ่งกันและกันทั้งถ้อยทีรุกไล่ไปมา อาชาแต่ละฝ่ายก็เข้ากัดกัน บางขณก็ฟันกันด้วยดาบ เมื่อระเด่นปันหยีรุกเข้าตะลุมบอน ท้าวจกรกาก็หลบไปเบื้องขวา เมื่อรุกต้อนเข้าไปข้างซ้ายก็โลดหลบไปข้างขวา แล้วกริชทรงของระเด่นปันหยี ซึ่งมีนามว่ากาละมิตานีก็กระทบถูกท้าวจกรกาที่อุระประเทศ ท้าวจกรกาไม่สามารถปัดป้องได้เพราะระเด่นปันหยีโถมแทงอย่างแรงมาก และด้วยเหตุที่ท้าวจกรกาเผลอตัวไม่ระมัดระวังเพราะเหนื่อยล้า ไม่สามารถเต้นโลดโดดหลบได้อีกแล้ว จึงถูกแทงที่ทรวงซวดเซ โลหิตก็หลั่งไหลดังเทน้ำ ขณนั้นท้าวจกรกาก็ล้มม้วนกลิ้งลงบรรลัยยังพสุธา

จึงกาลนั้นราชบุตร ผู้ทรงนามระเด่นวิรันตะกะนั้น เห็นราชบิดาเสียทีม้วยมรณ์ลง หัตถ์ก็ปลงปล่อยอาวุธเข้ากอดศพชนกซึ่งเหยียดอยู่ ณ พื้นดินนั้น อันไพร่พลก็ล้มตายด้วยเปนอันมาก

ครั้นพวกพหลโยธีจกรกาเห็นราชาของตนเสียชีพไปแล้วดังนั้น แต่ละคนก็พากันทิ้งอาวุธยุทธภัณฑ์ ทั้งเหล่ามนตรีเสนาและนายทหารทั้งนั้นก็ยอมตนแพ้ ด้วยหวังรักชีวิต

ทันใดนั้นระเด่นวิรันตะกะก็ต้อนรับระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาพาเข้าในพระราชวัง เชิญให้ขึ้นประทับเหนือสิงหาศน์ ฝ่ายปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาเห็นระเด่นวิรันตะกะก็เกิดความสมเพชเวทนาในเพราะเหตุที่ต้องมาเสียราชบิดาบรรลัยไปแล้วนั้น จึงตรัสว่า “เอาเปนแล้วกันทีเถิด อะดินดาวิรันตะกะ ด้วยเปนเคราะห์กรรมอันแน่แท้ที่ต้องมาเปนเช่นนี้ด้วยเดชมหาเทวาธิราชเจ้าทรงบันดาล”

ระเด่นวิรันตะกะก็ก้มเศียรรับ มิได้ว่าขานโต้ตอบประการใด

ครั้นระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาได้ประทับอยู่ในนครจกรกามานานพอควรแล้ว นางบุตรีนิลวาตีผู้กนิษฐภคินีของระเด่นวิรันตะกะก็ยอมตนถวายแต่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น แล้วก็สถิตครองกันโดยผาสุกเกษมสำราญ

ต่อมาวันหนึ่งจึงโปรดให้นางนาหวัง จันตะหรา ทรงวอเข้ามาเพื่อจะได้พบรู้จักกันกับนางนิลวาตีนั้น นางนิลวาตีก็ละอายด้วยมิได้คาดหมายว่าระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้นมีคู่ครองอยู่แล้ว ครั้นนางก้าหลุ นาหวัง จันตะหราตระหนักว่า นิลวาตีอับอายดังนั้น จึงตรัสว่า “ช่างเถิด อะดินดานิลวาตี อย่าอับอายไปเลย ด้วยน้องของพี่เปนกำพร้า และกะกันดาของเธอก็เปนกำพร้าดุจกัน บัดนี้โชคชะตาได้นำเราเข้ามาหากัน แล้วสุดที่จะหลีกเลี่ยงได้ ควรที่น้องจะฝากตัวแก่พี่ และพี่นี้ก็จะฝากตัวแก่น้องเหมือนกัน”

แล้วสององค์นั้นก็ชื่นชมโสมนัศอยู่ด้วยกันโดยสงบสันติภาพและสิเนหารักกันเช่นอย่างพี่น้อง

ก้าหลุ นาหวัง จันตะหรา ตรัสว่า “พี่นี้ตกเปนคนจาริกท่องเที่ยว ต่อไปน้องก็จะต้องเปนดังนั้นเหมือนกัน”

ต่อมามินาน วันหนึ่ง จึ่งระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาตรัสแก่เสนาข้าราชการว่า “แน่ะ สะมาร์ และกาลัง ในวันพรุ่งนี้เราควรจะเดิรทางต่อไปอีกแล้ว”

เขาเหล่านั้นก็ทูลสนองว่า “ชอบแล้ว ตวนกู”

ฝ่ายนิลวาตีกับระเด่นวิรันตะกะ จึงทูลว่า “อ้า ตวนกู ขอพระองค์ได้โปรด ด้วยหม่อมฉันทั้งสองนี้จะขอตามเสด็จไปด้วยไม่ว่าจะเสด็จไปแห่งหนตำบลไหน หม่อมฉันไม่อยากอยู่ต่อไปในนครนี้ด้วยว่าองค์สังระตูก็เสด็จสวรรคาลัยแล้ว”

ถึงเพลาอรุณรุ่งสางสว่างฟ้า พระสุริยายังมิทันขึ้นไขดวงปวงวิหคในอรัญยังมิทันจะตื่นนอน แสงดารากรยังมิทันดับ คนทั้งหลายทั้งปวงต่างก็ระวังระไวอยู่ในที่นอน จึงปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา เรียกเตรียมรี้พล แล้วก็ออกเดิรทางพร้อมทั้งนางนิลวาตีและระเด่นวิรันตะกะ เพราะสององค์นี้จะขอตามเสด็จไปด้วยไม่ว่าปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาจะเสด็จไหน จึงมีผู้สำเร็จราชการปกครองกรุงจกรกานั้น แทนที่ราชาจนกว่าจะเสด็จกลับ คือว่ามนตรีนายหนึ่ง ซึ่งเปนคนอยู่ในวัยชราภาพพฤติการณ์เปนดังนี้ด้วยเทวานุภาพบันดาลนั้นแล

ความเรื่องมะงุมบาหรารอบแว่นแคว้นแดนดินนี้ จะงดไว้ก่อน บัดนี้จะย้อนกล่าวถึงปันหยี สะมิหรัง ซึ่งเดิรทางไปรวมทั้งคนตามเสด็จด้วยเปนเจ็ดคนนั้น ผ่านบรรพตเขาเขินเนินทุ่ง ทั้งตำบลหมู่บ้านมากหลาย มีผู้โดยเสด็จคือ นางบุตรี บุษบาชูวิต กับบุษบาส้าหรี ซึ่งเปนธิดาท้าวมันตาหวัน อีกทั้งเกนบาหยัน เกนส้าหงิด เกนปะมอหนัง และเกนปะสิเหรียน๑๙

แล้วตรัสสั่งให้รี้พลมันตาหวันและรี้พลดาหาบางส่วนนั้นกลับคืนสู่บ้านเมืองแห่งตนๆ ส่วนที่โปรดให้ตามเสด็จด้วยมีแต่พระบุตรีทั้งสองนางนั้นพร้อมด้วยพี่เลี้ยงและสาวบริวาร แล้วก็พากันเดิรเข้าป่าออกไพร เมื่อใดมีจันทร์แจ่มจรัส บรรดาสาวรุ่นดรุณีซึ่งเดิรทางนั้นก็มีกมลประดิพัทธคนึงใน มีอาการเฉกจินตกวีประลัยด้วยคิดประพันธ์จนลืมตัว เฉกคนอ่านๆ อร่อยเมามัวถึงม้วยมรณ เฉกคนฟังคิดอาวรณ์จนชีพมลาย เฉกคนดูชีพสลาย เพราะเพ่งพินิจตกตลึง

ต่อไปนี้ท่านเล่าแถลงว่า อันนางบุตรีบุษบา ชูวิต และบุษบา ส้าหรีกับทั้งเกน ปะมอหนัง เกน ปะสีเหรียน ซึ่งเปนนางเชลยติดตามปันหยีสะมิหรังไปนั้น มาบัดนี้ก็ทราบแล้วว่าปันหยี สะมิหรังนั้น คือก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา กล่าวคือว่าเปนพระบุตรีกรุงดาหา ซึ่งแต่ก่อนสำคัญว่าเปนชาย มาถึงกาลนี้ปันหยี สะมิหรัง ทรงเครื่องภูษาภรณ์เยี่ยงสตรีเพศ จึงได้ทราบเข้าว่าเปนสตรี แล้วนางทั้งหลายนั้นก็น้อมเกล้าบังคมคัล พลันทูลว่า “แล้วแต่การณเถิด พระพี่นางเสด็จไหน ก็จะขอตามเสด็จไปด้วย”

ฝ่ายเกนบาหยัน และเกนส้าหงิด ซึ่งเปนพี่เลี้ยงปันหยี สะมิหรังนั้นก็เช่นกัน เมื่อผลัดเครื่องแต่งกายเปนเยี่ยงสตรีเพศแล้ว ก็ประจักษ์ว่ามีรูปโฉมดีงามยิ่ง

เดิรทางต่อไปไม่ช้า ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ก็ไปถึงตีนเขาอันหนึ่ง หยุดพักหายเหนื่อยที่นั้น แล้วก็สรงน้ำที่รางน้ำอันหนึ่งซึ่งมีน้ำไหลใสเย็นเปนนิตย์

จะกล่าวถึง พระนางบุตรี บีกู คันฑะส้าหรี ซึ่งประทับประตาปาอยู่ ณ อาศรมสถานอันหนึ่ง บนยอดบรรพตอันมีนามว่า กุหนุงวิลิสนั้น พระนางเธอเปนผู้มีจักษุสว่างและจะตรัสพยากรณสิ่งใดไม่มีผิดพลาด ทั้งการณใดๆ ที่เปนสิ่งมหัศจรรย์ก็ย่อมทรงทราบได้ทุกเมื่อ พระปรีชาและความศักดิสิทธิ์ของพระนางเธอมีประการดังกล่าวมานี้

มาวันหนึ่งเธอตรัสแก่บริวาร กล่าวคือนักพรตผู้หนึ่ง ซึ่งได้เปนอาจารย์เปนพราหมณแล้วณที่นั้น ในปกครองของเธอ ผู้มีนามว่า อุบุน อุบุน อิหนัง๒๐ นั้นว่า “แน่ะ อุบุน อุบุน อีหนัง พวกเจ้าทั้งหมดจงลงไปตีนเขานี้ และรับรองราชบุตรีดาหาซึ่งมาอยู่ณที่นั้นแล้ว”

เหล่านางอิหนังนั้นๆ ก็ลงไป และก็เห็นสมจริงว่า ที่เบื้องล่างแห่งกุหนุงนั้นมีคนเจ็ดคน จึงพร้อมกันก้มเศียรลงประนตน้อมและอัญเชิญให้ขึ้นไปบนเขานั้น จึงก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาขึ้นเขาไปพร้อมด้วยบรรดาผู้ที่ตามเสด็จมานั้น บัดดลก็เฝ้าบังคมพระนางบีกู คันฑะส้าหรีพร้อมกันทั้งหมด ฝ่ายบีกู คันฑะส้าหรีก็ต้อนรับด้วยดี ทรงจุมพิตพระหลานเธอที่พระศิรเกล้า พลางตรัสว่า “หลานเอ๋ย จงสรรเสริญคุณเทพเจ้าเถิด ด้วยองค์มหาเทวาธิราชโปรดแล้วจึงได้มาถึงยังที่ประตาปาของอานี้”

แล้วก็เสวยด้วยกัน พนักงานก็ตั้งเครื่องมันเผือก กล้วย แห้ว และ น้ำชงใบไม้ มันยำ เผือกขูด และกล้วยเชื่อม

ครั้นเสวยแล้วก็พลบค่ำ จึงแรมอยู่ในอาศรมของพวกนักบวชนั้นๆ ซึ่งมุงด้วยใบไม้กั้นฝาผนังด้วยใบมะพร้าว และใช้รากหรือกิ่งไม้ทำเสา

ก็และจำนวนหนึ่งแห่งผู้ที่ประตาปาอยู่นั้น ยังไม่สำเร็จได้ตะบะเดชะเพียงพอ พวกนี้มีที่อยู่ตอนข้างขวา นั่งบนเศวตรศิลา ไขว้แขนขาสมาธิอยู่เปนนิตย์ ฝนตกก็ทนฝน ลมพัดก็ทนลม บางคนก็นั่งอยู่บนหินราบ ที่บำเพ็ญตะบะมีต่างๆ กันดังนี้

ฝ่ายก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ครั้นรัตติกาลล่วงถึงยามดึก มิได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากเสียงสัตว์เท่านั้น ในกาลเช่นนั้นนางก็คำนึงถึงเคราะห์กรรมแห่งตนและนึกถึงความโหดร้ายของท่านลิกูกับก้าหลุ อาหยัง นางก็รู้สึกเศร้าสลดท้อหฤทัยและยิ่งจินตนาในระลึกถึงระเด่นอินู ถึงแม้ว่าจะดึกมากแล้วก็ดี นางยังหาได้บรรธมไม่แต่สักน้อยหนึ่งเลย ไม่สามารถบรรธมหลับได้ เพราะเดี๋ยวๆ ก็นึกเห็นภาพระเด่นอินูกำลังสุขเสวยรมย์อยู่กับก้าหลุ อาหยัง ณ กรุงดาหา นางก็เสียวประหวั่นในหทัยนาง

จึงรำพิไรเปนบทประพันธ์ว่า

“อกใจแตกสลายพินาศ

ยิ่งคิดก็ยิ่งหวั่นหวาด

ชีพนี้แท้โทษเหมือนทาษ

อวยวะไร้กำลังไร้อำนาจ

ทุกข์เรานี้หนอถึงขนาด

อกใจจึงประลัยพินาศ

สิ้นสุขสิ้นสงบวิปลาศ

เพื่อเดชบันดาลเทวราช”๒๑

นางจินตนาอยู่ดังนี้จนรุ่งสว่าง

ถึงเวลาดังกล่าวนั้นก็ตื่นกันหมด แล้วก็ไปอาบน้ำชำระกายในน้ำซึ่งไหลลงมาจากภูเขาเบื้องบนนั้น หรือมิฉนั้นก็อาบที่รางน้ำท่อน้ำซึ่งมีน้ำไหลใสและเย็นออกจากปากศิลา ครั้นอาบน้ำชำระกายแล้ว แต่ละนางต่างก็แต่งกายตามนารีเพศ สรวมกำไลและสร้อยคอ แล้วก็พักอยู่ครู่หนึ่งในเรือนกุฎีซึ่งสร้างขึ้นด้วยศิลาก้อนใหญ่ๆ ครั้นแล้วก็ขึ้นไปบนเขาสูงด้วยความสวยงามราวกับหุ่นเชิด

เมื่อบีกู คันฑะส้าหรีเห็นหลานเธอสรงน้ำมาเสร็จเช่นนั้น ก็ทรงต้อนรับและชวนให้นั่งเคียงข้าง ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา เช็ดน้ำเนตรซึ่งกบอยู่ที่หางเนตร แล้วจึงบีกู คันฑะส้าหรี ตรัสว่า

“หลานเอ๋ย เธอจงระงับจิต

สังสารทุกข์ย่อมคู่กับชีพิต

เหตุสังระตูพระองค์หลงผิด

จึงจำพรากบุกไพรไม้ชิด

“ในชั้นต้นหลานถูกให้ร้ายจากนางลิกู ซึ่งได้ประทุษร้ายประไหมสุหรีจนต้องม้วยมรณด้วยยาพิษ เรื่องนี้อาก็รู้อยู่สิ้น บัดนี้จะว่าไปใย ด้วยองค์สังหยัง เดวาตาได้โปรดแล้ว”

ต่อนั้นไปพระนางบีกู คันฑะส้าหรีก็ทรงเล่าแถลงเหตุการณ์แต่ต้นมาจนถึงเมื่อก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ได้รับของฝากจากนครกุรีปั่นคือว่า ตุ๊กตาทองคำตัวหนึ่งนี้แหละ เปนเหตุให้ต้องออกมะงุมบาหราไม่รู้ว่าจะไปไหน ต้องบุกป่าฝ่าไพรเปนเนื่องมา แล้วก็ทรงเล่าแถลงต่อไปอีกจนจบเรื่อง

จึงก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา และบรรดานางที่นั่งอยู่ใกล้เคียงนั้น กรรแสงและน้ำตาไหลในอันมาระลึกว่า กระไรเลย องค์สังระตู ช่างมีพระหทัยทำได้เห็นปานนั้น

บีกู คันฑะส้าหรีทอดเนตรเห็นพระหลานเธอทรงกรรแสงดังนั้น ก็สุดที่จะอดกลั้นชลเนตรได้ พลันกรรแสงตามไปด้วย ครั้นสิ้นกรรแสงแล้ว จึงก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ทูลว่า “โอ้พระมารดา บัดนี้ลูกจะขอทูลลาออกมะงุมบาหราต่อไปอีก จะตกไปแห่งหนตำบลใดก็แล้วแต่พระประสงค์ขององค์มหาเทวาธิราช”

บีกู คันฑะส้าหรีตอบว่า “จะให้ดีแล้ว คอยสักหน่อยก่อนเถิดลูก แล้วภายหลังจะไปก็ตามใจ”

นางทั้งปวงนั้นก็ปฏิบัติตามรับสั่งของบีกู คันฑะส้าหรีนั้นแล

จะกล่าวถึงปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา นับแต่ออกจากจกรกาธานีก็จรดลเข้าป่าออกดงตามแต่จะไปถึงไหน พลบค่ำลงที่แห่งใด ก็หยุดแรม ณ แห่งนั้น พร้อมด้วยนวลนางนั้นๆ คือนางบุตรีนิลวาตี และนางบุตรีก้าหลุ นาหวัง จันตะหรา ย่อมชักชวนให้เล่นหัวสัพยอกหยอกเย้าสำเริงสำราญใจ เมื่อไรคะนึงถึงกะละหนา ปันหยี สะมิหรัง ก็หยิบเอาผ้าคาดออกมา แล้วก็กรรแสงครวญคร่ำรำพันว่า “โอ้ปันหยี สะมิหรัง ควรหรือเธอช่างมีแก่ใจทิ้งพี่ไป จนกะกันดาต้องมาเปนดังนี้”

ก็และสะมาร์ กับวิรุน และกาลังนั้น ไปๆ ก็ฟ้อนรำตบมือทั้งสัพยอกหยอกเย้ากับมนตรีและเสนีทั้งหลาย เพื่อจะปลอบหฤทัยเจ้านายให้คลายโศก แล้วก็สรวลเสเฮฮาทั่วกันในอันเห็นประพฤติของพี่เลี้ยงทั้งสามนั้น ไม่ผิดแผกอันใดกับการกระทำของจำอวด ถึงเวลาเช้า ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็บรรธมตื่นแล้วก็ไปสรงน้ำพร้อมด้วยนางทั้งสองนั้น ครั้นแล้วก็เดิรทางไปใหม่เช่นเคยอยู่ทุกๆ วัน

ท่านเล่าแถลงต่อไปว่า ไม่ช้านานนัก ก็ตีได้เมืองต่างๆ ในแว่นแคว้นแดนชวาและผ่านไปแล้วซึ่งบ้านเมืองนานา เปนอันมาก แต่จำนวนธานีที่ดีได้นั้นคณนาไม่ยิ่งหย่อนกว่าสี่สิบเก้าเมือง มาวันหนึ่งก็ไปถึงนครหนึ่งซึ่งรู้จักก่อนแล้วว่าเปนเมืองกากะหลัง จึงหยุดยับยั้งอยู่นอกเมือง สั่งให้ไพร่พลสร้างประสังคราหันขึ้น ครั้นสร้างเสร็จปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็เสด็จขึ้นประทับ มีนางก้าหลุ นาหวัง จันตะหรา กับนางนิลวาตี และระเด่นวิรันตะกะเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้น จึงตรัสว่า “บัดนี้น้องทั้งปวงจะว่าอย่างไร ด้วยพี่นี้ใคร่จะเข้าไปในเมือง เพราะตามความคาดหมายของพี่ เมืองนี้คือนครกากะหลังอันเปนที่ประทับของพระเจ้าอา”

ขณที่กำลังตรัสอยู่นั้น วิรุน กับสะมาร์ และกาลังก็เข้ามายังที่เฝ้า จูบพระบาทเจ้านายแห่งตนแล้วก็นั่งลงเคียงกันบนพรม จึงปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาตรัสว่า “แน่ะ กาลัง วิรุน และสะมาร์ มาเถอะเราจะเข้าไปในเมืองเพื่อเฝ้าถวายบังคมธุลีองค์ศรีภคินทะ ระตู กากะหลัง ด้วยข้านี้ยังไม่เคยเฝ้าพระเจ้าอาองค์นี้เลย”

ครั้นเจรจากันดังนี้แล้ว ก็พร้อมกันจรจรัลไปสู่พระราชวัง

กาลนั้น ฝ่ายว่าระตูกากะหลังกำลังประทับอยู่กับราชโอรสองค์หนึ่งซึ่งมีนามว่าระเด่นสิริกัน แต่ซึ่งคนทั้งหลายเรียกว่าระเด่นสิงหมนตรี กับทั้งประไหมสุหรีประทับเคียงอยู่เบื้องขวาพร้อมด้วยข้าหลวงสาวสรรกำนัลใน

จึ่งสังระตูตรัสว่า “เออแน่ะอะดินดา อันกะกันดานี้ได้ยินข่าวอย่างแจ่มแจ้งในเรื่องนครดาหาเวลานี้กำลังปั่นป่วนยิ่งนัก สังระตูดาหาสิ้นอุบายที่จะแก้ไข ด้วยถูกชายาของตนซึ่งมีนามว่านางลิกูทำทุจริตเสียป่นปี้ ก็แต่เรื่องนี้ยังไม่เข้าใจ ยังเปนที่อัศจรรย์แก่ใจแก่กะกันดานัก”

ระเด่นสิงหมนตรีราชบุตรจึงทูลสนองว่า “อ้อ พระบิดา ก็ระตูดาหานั้นใคร เปนลุงหม่อมฉันมิใช่หรือ”

สังระตูตอบว่า “ถูกแล้วดังลูกว่านั้น”

เมื่อกำลังตรัสอยู่อีกนั้น นายประตูเมืองก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามากิริยาดังปุถุชนถูกเสือไล่ แล้วเข้าเฝ้าสังระตูที่ในพระราชฐาน ครั้นถึงจึงก้มเกล้าถวายบังคมธุลีภคินทะ กราบทูลว่า “ตวนกูข้าพระองค์ขอพระราชทานอภัยนับพันอภัย ด้วยที่นอกราชธานีธุลีดวนกูนั้น มีกะละหนาคนหนึ่งซึ่งหน้างามมาก มาตั้งประสังคราหันขึ้นแล้ว และพาเอารี้พลมนตรีเสนามาด้วยเปนอันมาก มีอาวุธยุทธภัณฑ์ ช้างม้าพร้อมสรรพ ชะรอยจะมารอนราญกับนครนี้ ราวกับว่าข้าศึกนั้นลอยมาทางอากาศ”

จึงสังระตูพระหทัยสั่นระริกรัว แล้วตรัสว่า “กะละหนานั้นรูปร่างเปนอย่างไรหวา รี้พลของมันมากน้อยเท่าไร”

นายประตูทูลว่า “กะละหนานั้นรูปร่างงามอ้อนแอ้นราวกับองค์สังหยังเทวราชลงมาจากกะยาหงัน และงามยิ่งกว่าบะตาหรากะมะชายะ ท่วงทีกิริยาอ่อนโยนดังดอกกุหลาบยามโรยเค้าเงื่อนจะสมรสใหม่ๆ และรี้พลนั้นมากมายก่ายกอง”

จึงสังระตูกากะหลังตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่คนสามัญ”

ทันใดนั้นองค์สังระตูกากะหลังก็ดำรัสสั่งให้หามนตรีเสนีนายทหารมาชุมนุม บัดเดียวนั้นก็เข้ามาอัญชลีถวายบังคมพร้อมกัน.

สังระตูตรัสว่า “บัดนี้พวกเจ้าจะว่าอย่างไร ด้วยราชธานีของเรานี้จะถูกชายชาติกษัตริย์คนหนึ่งเข้าโจมตี จะให้ดีแล้ว ควรพวกเจ้าทั้งหมดจะออกไปต้อนรับกะละหนานั้นด้วยดี แล้วเชิญเข้ามานี่ ให้ทรัพย์สินมหัคฆภัณฑ์ของเราแก่เขา ด้วยว่ารี้พลของเราก็มีแต่น้อยนิดเดียว และตามกิติศัพท์นั้นว่า เปนคนกล้าหาญลือชาจึงได้เมืองมาเปนเมืองออกนับได้หลายราชธานีแล้ว เพราะฉนั้นจึงควรเราจะรับรองเขาด้วยอัธยาศรัยเคารพไมตรี”

สิงหมนตรีทูลว่า “ขออายะฮันดาอย่าได้ทรงครั่นคร้ามไปเลย หม่อมฉันเองจะออกไปปราบกษัตริย์นั้นให้พินาศอย่างง่ายดาย และจะหักขาหักแขนหักบั้นเอวมันเสียเทียว”

แต่ทว่าคำที่ราชบุตรทูลนั้น สังระตูทรงฟังไม่ เพราะย่อมทรงทราบอยู่แล้วว่า เธอมักจะมีความคิดความเห็นอะไรแปลกๆ ซึ่งมักเปนไปทางวิกลจริต ฝ่ายประธานมนตรี ตำมะหงง และเสนากับข้าราชการ พนักงานปกครองตำบลบ้านฐานถิ่นต่างๆ ก็พร้อมกันถวายบังคมลา ออกจากที่เฝ้าต่างคนต่างนำทรัพย์สินสิ่งของนานาภัณฑ์ ทั้งกลดและทิวธงสำหรับแผ่นดินก็มีผู้นำไป เพื่อรับรองปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้นด้วยระบอบอันดีงามและเคารพ

ไม่ช้าก็ไปถึงกึ่งทาง ประสบปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา จึงมนตรีเมืองกากะหลังปฏิสันถารระเด่นปันหยีโดยเคารพ ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้นก็หยุดอาชาไนย ซึ่งมีนามว่า รังคะรังคิตนั้น พลันจับเคลื่อนกริสซึ่งชื่อว่า กาละมิตานี ด้วยหัตถ์ซ้าย และเช็ดพักตร์ด้วยหัตถ์ขวา แย้มสรวล บรรดามนตรี และข้าราชการดะหมังตำมะหงงนั้นๆ ก็เข้าใกล้ น้อมคำนับปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น แล้วพลันก็ตกตลึงจังงังทั่วกัน ในอันเห็นรูปโฉมของปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น กระทั่งเมื่อตากำลังเพ่งพินิจอยู่ กายหมดความรู้สึก ปากอ้าค้าง แม้แมลงวันเข้าปากก็ไม่รู้ตัว

แล้วก็อัญเชิญและตามระเด่นปันหยีเข้าไปยังพระราชวัง เพื่อเข้าเฝ้าสังระตู ผู้คนพลเมืองชาวนาครทั้งหลายต่างก็วิ่งมาดูกษัตริย์นั้นเพราะสำคัญว่าเทพยดาบะตาระชคัต อวตารเปนรูปมนุษย์ลงมาสู่พิภพ

พอไปถึง องค์สังระตูก็ทรงต้อนรับเปนอย่างดี ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็ก้มเศียรลงถวายอัญชลีธุลีละอองบาทภคินทะนั้น ณ กาลนั้นระเด่นวิรันตะกะก็นั่งลงเคียงกับกาลัง สะมาร์ และวิรุน ล่วงไปไม่ช้าพนักงานก็เชิญเครื่องเสวยมาตั้ง ฝ่ายสิงหมนตรีเวลานั้นรู้สึกเจ็บจิตต์ยิ่งนัก ด้วยบรรดาผู้คนพลเมืองกากะหลังพากันกล่าวสรรเสริญความงามของปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาด้วยความพิศวงงงงวย เพราะสำคัญว่ารูปโฉมของกะละหนานั้นเปนดังบะตาระลงมาสู่โลกพิภพ ต่างปากอ้าตาจ้องไม่ปล่อยจากรูปกะละหนานั้นเลย

สิงหมนตรีจึงมาคิดว่า “ทำไมหนอรูปโฉมเธอจึงงามนักและสังระตูก็ทรงสิเนหาอาลัยในกะละหนานั้น เหตุใดจึงไม่โปรดปรานตัวเราเหมือนอย่างกะละหนานั้น ดีละ คืนนี้แหละ เราจะจับกะละหนานั้นทิ้งทะเลเสีย เพื่อองค์สังระตูจะได้โปรดเราบ้าง

ในเวลาที่เสวยอยู่นั้นกาลัง วิรุนและสะมาร์นั่งอยู่หลังสิงหมนตรีจึงพูดจาตลกคะนอง ล้อสิงหมนตรีว่า “เคราะห์ดีจริงหนอ นายเรานี้องค์สังระตูโปรดปรานเปนนักหนา ถ้าเราดูรูปโฉมนายของเราแล้ว คนทั้งเมืองกากะหลังนี้จะหาเปนคู่เปรียบไม่ได้สักคนเดียว”

สะมาร์ และวิรุน พูดเย้าอยู่อย่างนี้ ด้วยเสียงเบาเหมือนเสียงกระซิบ

ขณนั้นสีโตคก๒๒ก็นั่งอยู่ไม่ว่ากระไร แล้วสิงหมนตรีก็หยิบเอากับข้าวซึ่งเขาตั้งเลี้ยงวิรุนและสะมาร์นั้นมาเสวยเสีย แม้แต่ส่วนที่วิรุนจะบริโภคนำเข้าปากไป

ครึ่งหนึ่งแล้ว ก็แย่งชิงเอามาเสวย

วิรุน และสะมาร์ก็เปนอันรู้ว่าอัธยาศัยความประพฤติของสิงหมนตรีนั้น มีอาการวิกลวิกาลแปลกๆ จึงกล่าวคำสัพยอกหลอกล้อต่อไปว่า “นายของเรางามนัก ถ้าใครอยากได้รูปงามอย่างรูปนายของเราบ้าง ฉันมีอาคมจะบอกให้ได้”

สิงหมนตรีได้ยินคำสะมาร์พูดดังนั้น ก็ขอให้สะมาร์สอนอาคมให้เพื่อจะได้รูปงามเหมือนปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา

สะมาร์ก็ว่า “ได้ ประเดี๋ยวจะสอนให้ แต่เอาเข็มขัดที่ท่านคาดอยู่นั้นมาให้ฉันก่อน”

สิงหมนตรีก็ปลดสายรัดองค์ประทานแก่สะมาร์

แล้วสะมาร์ก็ว่า “ดูสิ บัดนี้รูปของท่านเริ่มจะงามขึ้นแล้ว”

สิงหมนตรีได้ฟังคำสะมาร์ดังนั้นก็ยินดี

ครั้นเสร็จเสวยแล้ว ท้าวกากะหลังจึงตรัสแก่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา “อ้อ ลูกพ่อ ถ้าเธอไม่ถือโทษ พ่อใคร่จะถามว่า เธอมีคู่ครองแล้วหรือยัง”

ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็ยิ้มและทูลสนองว่า “ตวนกูมีพระบุตรีอยู่กับหม่อมฉันสองนางๆ หนึ่งเปนพระบุตรีจกรกา อีกนางหนึ่งเปนพระบุตรีสะดายุ”

จึงสังระตูดำริในหทัยว่า “ถ้าอย่างนั้นชายนี้ก็มิใช่คนสามัญเสียแล้ว”

แล้วสังระตูจึ่งตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้น ควรที่เธอจะสั่งให้คนไปรับนางบุตรีทั้งสองที่ยังอยู่นอกเมืองนั้นเข้ามา”

จึงดำรัสสั่งให้ไปรับนางทั้งสองนั้นเข้ามา พนักงานก็ไปเชิญเสด็จนางบุตรีทั้งสองนั้นมา ตรัสสั่งให้พักแรมในตำหนักหลังหนึ่ง ซึ่งสร้างไว้ ณ บ้านการัง ปะสันตะเหร็น อันพระราชทานพระราชานุเคราะห์ให้เปนที่พัก

สังระตูตรัสว่า “จะให้ดีแล้ว เธอจงอยู่เสียที่นครของอานี้ ด้วยอาไม่มีลูกเหมือนอย่างเธอ เธอมาจากเมืองไหน และได้เดิรทางผ่านมากี่เมืองแล้วภูมิลำเนาของเธออยู่ที่ไหน ใครเปนบิดามารดา”

ระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาทูลว่า “อ้อ พระบิดาหม่อมฉันนี้เปนคนมะงุมบาหรา ความมุ่งมาดของหม่อมฉันมิใช่ว่าจะมาตีเมืองกากะหลังนี้ ใคร่แต่จะมาชมเครื่องประดับประดาความสวยงามของเมืองเท่านั้น ก็และภูมิลำเนาที่อยู่ของหม่อมฉันนั้นไม่เปนที่แน่นอน ด้วยหม่อมฉันนี้ประหนึ่งดังว่าคนหลงทาง ย่อมเดิรทางวนเวียนอยู่เปนนิตย์”

ครั้นสนทนากันดังนี้แล้ว ต่างคนต่างกลับคืนยังที่อยู่แห่งตนๆ ฝ่ายปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็กลับไปยังบ้านการัง ปะสันตะเหร็น มีกาลัง สะมาร์ และวิรุนตามเสด็จไปด้วย

สิงหมนตรีก็กลับดุจกัน แล้วแต่งองค์ด้วยภูษาภรณ์อันไพจิตรนอกจากสนับเพลา สายรัดองค์และฉลององค์อย่างสีงามๆ ยังทรงธำมรงค์ซ้อนทุกนิ้ว เพื่อจะให้ประชาชนพลเมืองชมว่างามกว่าปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา แต่งองค์เสร็จแล้วก็ดำเนิรยาตร์กรายไปยังบ้านการัง ปะสันตะเหร็น เพื่อจะพบกับสะมาร์ และวิรุน และจะได้เรียนอาคมทำหน้างามจากสองนายนั้น แล้วจะได้ใช้แก่ตนให้มีความสวยงามวิรุนและสะมาร์จะเดิรไปไหน เธอก็คอยเดิรตามไปไม่ให้คลาดได้สักขณเดียว สะมาร์และวิรุนก็สนุกใจนัก ด้วยได้ลาภทรัพย์สิ่งของต่างๆ จากสิงหมนตรีนั้น เพราะธำมรงค์และสายรัดองค์ที่ทรงอยู่ สิงหมนตรีก็ประทานแก่สะมาร์สิ้นแล้ว และผ้าคาดแพรสีเหลืองแดงกับสนับเพลาก็ยกประทานแก่วิรุน สะมาร์ก็หัวเราะและพูดว่า “บัดนี้ท่านงามยิ่งกว่านายหม่อมฉัน ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้นแล้ว” แล้วสะมาร์ก็ได้ของประทานจากระเด่นสิงหมนตรีเพิ่มขึ้นอีก ประวัติการของสิงหมนตรีมีมาดังนี้ ด้วยเดชเทพเจ้าบรรดาลนั้นแล

ฝ่ายปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น อยู่ในกรุงกากะหลัง ณ บ้านการัง ปะสันตะเหร็น ก็เสวยสุขารมณ์ร่วมกับนางนิลวาตีและนางก้าหลุ นาหวัง จันตะหราเปนนิตย์ตลอดมา ฝ่ายระเด่นวิรันตะกะเห็นความเปนไปของสิงหมนตรีก็พิศวงอัศจรรยใจ ด้วยวิรุนและสะมาร์ประสงค์อไรก็ดูตามใจยินยอมไปเสียทุกอย่าง

ก็และการที่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมามายังกรุงกากะหลังนั้น เป็นมงคลให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าขึ้น ด้วยยิ่งนานไปก็ยิ่งเพิ่มความแน่นหนาฝาคั่ง เพราะนายกำปั่นชอบมาแวะค้า และพ่อค้าวานิชคนสมบูรณด้วยโภคทรัพย์ กับช่างผีมือต่างๆ ก็พากันมาแต่ไหนๆ ทั่วทิศานุทิศเข้ามาอยู่ในกรุงกากะหลังนั้น การณเปนดังกล่าวนี้แล

บัดนี้จะย้อนกล่าวถึงก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา และนางทั้งหลายเพื่อนร่วมเดิรทาง คือเกน บาหยัน เกน ส้าหงิด กับทั้งนางบุตรีบุษบาส้าหรี บุษบาชูวิต และพี่เลี้ยงของนางทั้งสองนั้น คือเกน ปะมอหนัง เกน ปะสิเหรียน๒๓ ต่างก็แต่งกายตามเยี่ยงสตรีเพศทั่วกัน

ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาทรงเครื่องอย่างนารี แล้วก็ทวีความงามรูปงามโฉมขึ้นอีกเปนอันมาก นางอื่นๆ ผู้ตามเสด็จก็เช่นกันจนเปนประดุจดังดวงดาราประดับฟ้าเคียงกันอยู่เปนเทือก ก็แต่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้น ถึงแม้พักตร์จะงามสักเพียงใด ก็ดูลักษณะดุจดวงบุหลันอันเมฆปกคลุม เพราะมีอารมณ์ยุ่งเหยิงกระสับกระส่าย ด้วยแบกทุกข์โศกาดูรพูนเทวศคิดถึงคนึงหาระเด่นอินู กะระตะปาตีอยู่เปนนิตย์นิรันดร์

ท่านเล่าแถลงต่อไปว่า เมื่อก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา กับบริวารได้ประทับอยู่บนกุหนุงวิลิสนั้นนานหลายวันแล้ว ถึงเวลาวันหนึ่งจึงเข้าเฝ้าบีกู คันฑะส้าหรี พวกอีหนังก็เชิญเครื่องตั้งเลี้ยงไม่ขาดสาย คือว่า หน่อมัน เผือก กล้วย ถั่วลิสงเปนต้น

ณกาลนั้น บีกู คันฑะส้าหรีตรัสว่า “นี่แน่ะ อาหนะ ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ถ้าเธอมุ่งมาตรจะให้สมความปรารถนาในหทัยเธอนั้นแล้ว เธอจงออกเดิรไปจากนี้แต่ในวันนี้นี่เทียว และควรจะแปลงตัวเปนคนกำบู๒๔

ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา จึงปรึกษากับบริวาร ก็ชื่นชมยินดีพร้อมใจกันปฏิบัติตามรับสั่งของบีกู คันฑะส้าหรีนั้นทุกประการ ครั้นปรึกษากันแล้ว บีกู คันฑะส้าหรีนั้นก็ตรัสว่า “ถ้าหลานจะให้เปนไปดังนั้นแล้ว ควรหลานจะใช้เสื้อผ้าอย่างชาย เพื่อจะได้ไม่มีภัยอันตรายในกลางทาง”

แล้วบีกู คันฑะส้าหรีก็ทรงตัดเกศาบรรดานารีนั้นๆ ให้สั้นเพียงคอ และประทานเสื้อผ้าอย่างชาย จนงามราวกับบะตาระลงมาจากฟากฟ้ากะยาหงัน แล้วก็ให้แปลงนามทุกๆ คน จึงก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาได้นามว่า กำบู วาระคะ อัสมาหรา และนางบุษบาชูวิต ชื่อกำบู มะลาหรี นางบุษบาส้าหรี ชื่อกำบู อันจิ อัสมาหรา เกนบาหยันชื่อ กำบู สะการ์ส้าหรี เกนส้าหงิด ชื่อกำบู มะลาหงี เกนปะมอหนัง ชื่อกำบู ผิงคะ ปังราสา และเกน ปะสีเหรียน ชื่อกำบู อัสมาหรา ดันตะ แต่ผู้ที่สวยงามเปนเยี่ยมในหมู่นั้น คือ กำบูวาระคะ อัสมาหรา

ครั้นแล้วบีกู คันฑะส้าหรีก็ตรัสว่า “แน่ะหลาน จะให้ดีแล้วจงลงเขาไปแต่ณบัดนี้ เดิรบ่ายหน้าสู่ทิศที่ตั้งกรุงกากะหลัง”

แล้วบีกู คันฑะส้าหรีก็จุมพิตที่เศียรเกล้าของนางนั้นๆ ทุกนางพลางร่ายมนต์บูชาเทพเจ้าสังหยัง ผู้ทรงมเหศรศักดานุภาพ อวยพรให้เดิรทางโดยสวัสดี จบคาถาแล้วเป่าไปที่ขนองนางนั้นๆ

ทันใดนั้นกำบูทั้งเจ็ดก็ก้มลงบังคมคัลแล้วก็ลงกุหนุงวิลิสนั้นไปเดิรตามทางแคบเรียงตัวตามกัน ประดุจดอกบุษบันต้องแสงตวันอันเพิ่งจะไขดวง ฝ่ายนางอิหนังทั้งหลายก็ตามไปส่ง

พอไปถึงเชิงเขา พวกอิหนังนั้นๆ ก็กลับคืนขึ้นเขาไป กำบูทั้งเจ็ดก็ออกเดิรแปรพักตร์สู่นครกากะหลัง ผ่านลุยรั้วแขวงหมู่บ้านร้านถิ่นนาๆ พวกชาวบ้านก็ยินดีปรีดาพากันเดิรตามกำบูนั้นๆ ไม่ว่าจะไปไหน พวกเด็กรุ่นดรุณวัยมีใจติดพันพวกกำบู ก็ทิ้งบ้านทิ้งเรือนไม่คิดถึงบิดามารดาอีกต่อไป แล้วก็เดิรตามพวกกำบูไป บ้างก็ทำความคุ้นเคยรู้จักกัน บ้างก็สิ้นกระดากกระเดื่องยอมเปนข้าเข้าหาบหามสิ่งของเสื้อผ้าเครื่องแต่งของพวกกำบูนั้น

ก็และกำบูนั้นๆ มีพฤติการณ์ดีมาก การเล่นก็เปนที่สนุกสนานเบิกบานบันเทิงใจแก่คนทั้งหลาย จนมีพ่อค้าและเศรษฐีคหบดีชอบเรียกหาไปเล่นที่เคหะสถานบ้านเรือนเนืองๆ คนที่มีใจรักติดพันกำบูนั้นก็มีมาก ถึงแก่ขอเข้าเปนคนตีเครื่องดนตรี ยิ่งเด็กๆ ด้วยแล้วอดใจไม่ได้ และคอยแต่ตามใจสนุกของตนเท่านั้น ก็มีเปนอันมากที่ลืมถิ่นฐานครอบครัว และหากลอุบายที่จะได้เข้าเปนผู้ช่วยตีฆ้องกลองดนตรีของกำบูนั้นๆ๒๕

และสินจ้างการเล่นของพวกกำบูนั้น ราคาสิบสองสุกู ค่าจ้างคนดนตรีแปดสุกู๒๖ ต่อเพลง๒๗ ถ้าและเล่นเรื่องลคอน๒๘ อย่างที่เปนเรื่องราวดีๆ เช่นลคอนระเด่น เจเก็ลวาเน็ง ปาตี รักกับ เกน ลิละ บะรังตี เปนต้น บรรดาคนที่ฟังและดูลคอนนั้นก็มีใจกระศัลย์เพลิดเพลินลืมตัวดังคนมัวเมา

แล้วพวกกำบูก็เดิรต่อไป ปีนเขาลุยป่าฝ่าดง ผ่านตรอกซอกทางใหญ่น้อยหมู่บ้านร้านถิ่นตลอดทางที่เดิรไปสู่นครกากะหลังนั้น

ไม่ช้านานนักก็ไปถึงย่านตลาดอันหนึ่ง ขึ้นพักแรมบนร้านๆ หนึ่งแล้ววันก็ดับ ถึงเพลาราตรียามดึกสงัดเงียบเสียง ผู้คนเข้านอนหมดแล้ว กำบู วาระคะ อัสมาหราก็ตื่นขึ้นด้วยอาการคล้ายคนวิกลจริต แล้วก็หยิบตุ๊กตาทองคำนั้นมากอดจูบแกว่งไกวพลางว่า “นี่แน่ะเธอ แม่นี้เข้าตาจนแล้ว เพราะมีลูกนี้เท่านั้นแม่จึงยังอยู่ได้ดังนี้”

แล้วก็จูบแก้มตุ๊กตาและเจรจาประการอื่นอีก กำบู วาระคะ อัสมาหรา มีอันเปนดังกล่าวมานี้ ครั้นรุ่งเช้าก็ตื่นและเดิรทางต่อไปมุ่งมาตรสู่นครกากะหลังนั้น

ต่อไปท่านเล่าแถลงถึงสะมาร์ กับทั้งกาลัง วิรุน และอันดากาว่า ณกาลนั้น แต่งกายโอ่อ่าหลายสี เพราะได้รับประทานเนืองๆ จากราชบุตรีซึ่งมีนามว่าสิงหมนตรีนั้น กาลัง และอันดากา กับทั้งวิรุนและสะมาร์นั้น ย่อมเดิรเที่ยวเล่นไปมาโดยรอบนครกากะหลังนั้น มาวันหนึ่งไปถึงตลาดอันหนึ่งก็เห็นประจักษ ซึ่งกำบูทั้งเจ็ดคนนั้นแล้วจึงเข้าไปใกล้ ครั้นเห็นแล้วก็ใจเต้น ด้วยรูปร่างกำบูทั้งหมดนั้นราวกับนางฟ้าลงมาจากสวรรค์ แล้วก็พากันคิดว่า “กำบูสามคนนั้นรู้สึกว่าได้เคยพบแล้ว น่าเสียดายจริงหนอสามคนนั้นกลายเปนกำบูนักฟ้อนรำไปเสียแล้ว มิฉนั้นก็อาจเปนแม่ทัพได้ดังเช่นกะละหนาปันหยีสะมิหรัง”

วิรุน ว่า “แน่ะ พี่สะมาร์ พี่กาลัง มาเถอะเราไปทูลเจ้านายเรา เพื่อจะโปรดทอดพระเนตรและทรงฟังลคอนนี้บ้าง ฉันเองยังไม่เคยเห็นการเล่นอย่างนี้ จะให้ดีแล้วเราไปทูลขออนุญาตเจ้านายของเรา เรียกเอาไปเล่นถวาย ด้วยการเล่นอย่างใหม่นี้ในกรุงของเราก็ยังไม่มี เราเพิ่งจะเคยมาเห็นที่นี่และ”

กาลังตอบว่า “แกว่าถูกแล้ว”

สะมาร์ ตะโกนถามว่า “เฮ้ย ช่างฟ้อนช่างรำ การเล่นอย่างนี้เรียกว่าอะไร”

หัวหน้ากำบูก็ตอบว่า “การเล่นนี้เรียกว่า กำบู และเล่นฟ้อนรำทำเพลงกับแสดงเรื่องละคอน”

สะมาร์ว่า “ฉันอยากจะหาเล่น จะเอาสักเท่าไร”

กำบู วาระคะ อัสมาหราตอบว่า “ค่าจ้างคนดนตรี แปดสุกู ค่าจ้างกำบูสิบสองสุกู”

สะมาร์ว่า “เรียกแพงอย่างนั้นฉันจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ได้ ฉันเปนแต่คนเล็กคนน้อยไม่มีทรัพย์มีสิน”

พวกนักดนตรีทั้งปวงก็ตอบว่า “การเล่นอย่างนี้จะลดราคาให้ไม่ได้ เพราะเปนการเล่นอย่างใหม่ ยังไม่เคยมีที่นี่ แต่ฉันอยากจะเล่นแต่ที่วังเจ้านาย กับที่ตามจวนมนตรี นายทหาร และประธานมนตรีกับตำมะหงงเท่านั้น”

แล้ววิรุนและกาลังก็ตบศีรษะสะมาร์ บรรดาคนที่อยู่ที่นั่นเห็นกิริยาอาการของสี่เกลอนั้นก็หัวเราะก๊ากๆ ขึ้นทั่วกัน วิรุนว่า “ดีแล้วเราไปทูลขอเจ้านายของเรา ให้รับสั่งให้หาไปเล่นก็แล้วกัน ปันหยียาเหย็งกะสุมา คือเจ้านายของเรานั้น คงจะโปรดทอดพระเนตรเหมือนกัน ครั้นแล้ววิรุนและกาลัง ทั้งสะมาร์และอันดากานั้นก็กลับเข้าวังที่ตำบลบ้านปะสันตะเหร็นอันเปนที่ประทับนั้น วิ่งแข่งแย่งขึ้นหน้ากันไป

จะกล่าวถึงปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ในกาลหนึ่งกำลังประทับอยู่กับก้าหลุ นาหวังจันตะหรากับนางนิลวาตี จึงนางทั้งสองนั้นอัศจรรย์ใจในอันเห็นอากัปกิริยาของกะกันดาปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น ไปๆ ก็ไม่ทำอะไร นั่งแต่จูบผ้าแพรคาดองค์เท่านั้น

นางบุตรีนิลวาดีจึงทูลถามว่า “กะกันดาปันหยี ทำไมเล่าไปๆ จึงเฝ้าแต่จูบผ้าคาดองค์นั้น ผ้านั้นศักสิทธิ์มีฤทธิขลังอไรหรือ”

ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็ยิ้มลไมอยู่ในที พลางซับและถูพักตร์ถึงสองสาม

ครั้งด้วยผ้าคาดองค์นั้น แล้วก็ตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนหวานไพเราะดุจเสียงขลุ่ยว่า “กะกันดานี้มิได้จูบผ้าคาดดอก จูบคุณความดีของคนๆ หนึ่ง เพื่อมิให้ลืมกลิ่นเขา ด้วยก่อนนี้กะกันดามีสหายคนหนึ่ง ซึ่งเปนคนกว้างขวางและคนดีมาก ชื่อว่ากะละหนา ปันหยี สะมิหรัง ใจคอซื่อตรง และมีปกติพุฒิ๒๙ดีมาก อันพี่จะลืมเสียมิได้เลย พี่ยกย่องเขาไว้ในฐานเปนพี่น้องกัน เมื่อถึงเวลาเขาจะจากไปเขาให้ผ้าแพรคาดเอวผืนนี้ซึ่งเขากำลังใช้อยู่เองแก่พี่ เพื่อเปนที่ระลึก”

จึงนางบุตรีนิลวาตีโต้ว่า “เปนไปไม่ได้เลย สหายของกะกันดานั้นเปนผู้ชาย จะมารักใคร่ถึงแก่คลึงเคล้าผ้าคาดเอวอย่างนั้นได้อย่างไร ชะรอยกะกันดาจะมีสหายเปนหญิงด้วยเหมือนกันจึงทำดังนั้น ชายคบเพื่อนชายและทำบุญคุณต่อกันนั้นมีถมไป แต่คุณความดีก็ย่อมพึงตอบแทนกันด้วยคุณความดี ไม่ใช่อย่างกะกันดาทรงกระทำนั้น”

ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็ยิ้มละไม พลางตรัสว่า “เออ อะดินดาคนที่ชื่อว่าปันหยีสะมิหรังนั้นเปนแม่ทัพนักรบอย่างเก่งกาจกล้าหาญมาก ตัวเขาสูงใหญ่ผิวหนังดำ และมีหนวดมีเคราแก้มเคราคาง ตาแดง แต่ก็จะว่าอย่างไรได้ กะกันดาเปนหนี้บุญคุณเขาอยู่ ถึงแม้กะกันดาจะไม่อยากพบตัวของบุคคลนั้นก็ควรที่จะระลึกถึงคุณความดีของเขา”

ในเวลาที่กำลังตรัสสนทนากันอยู่นี้ สะมาร์ วิรุน กับกาลัง ก็กระหืดกระหอบเข้ามา หายใจยาวสั้น ท้องแขม่ว ไหล่สูงทีตำที คิ้วยักขึ้นยักลง ทูลว่า “ขอประทานอภัยตวนกู นับพันอภัย เมื่อกี้นี้หม่อมฉันทั้งสามได้ไปเห็นกำบู ซึ่งหน้าตาสวยงามดีนัก เที่ยวเร่เล่นไปทั่วทุกแห่ง การเล่นของเขาก็ดี สนุก คิดค่าจ้างสิบสองสุกูสำหรับพวกกำบู กับแปดสุกูสำหรับพวกดนตรี กำบูนั้นมีอยู่เจ็ดคนแต่ล้วนหน้าตาสวยงามยากที่จะหาที่เปรียบได้ เขาเล่นและเล่าเรื่องลคอนต่างๆ กับฟ้อนรำเปนเพลงๆ ประณีตและไพเราะนัก มือและนิ้วเขาเคลื่อนไหวน่าดูสุดจะพรรณนา หม่อมฉันทั้งสามนี้ดูเสียเปนที่พิศวง และคลั่งไคล้ไปทีเดียวในวิธีการและท่าฟ้อนรำของเขา”

ก้าหลุ นาหวัง จันตะหรา ได้ฟังคำพี่เลี้ยงสามนายนั้นก็แย้มสรวล

ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ตรัสว่า “ดีละไปเรียกมาเล่นที่นี่”

วิรุนกับสะมาร์ก็วิ่งรีบไปด้วยยินดีปรีเปรม

ก็และกำบูทั้งหลายนั้น ไปถึงจวนประธานมนตรีแล้วก็เล่นที่นั่น ใช้เรื่องลคอนเกนสะมิปุรี ซึ่งเปนคู่ตุนาหงันกับมะงุนส้าหรี แต่ไปรักเสียกับปันหยี ลิลา ผู้ที่เล่นเปนตัวสะมิปุรีนั้นคือ กำบูมะลาหรี ที่เปนตัวมะงุนส้าหรีนั้น อันจิ อัสมาหรา และที่เปนตัวปันหยีลิลา คือกำบู วาระคะ อัสมาหรา ซึ่งงามรูปงามโฉมอย่างยิ่งยวด แล้วก็ออกร้องรำทำเพลงและฟ้อนด้วยกันทั้งหมด แถลงเรื่องและทำท่าเล่นไปตามบทแห่งเรื่องลคอนนั้น จนถึงตอนปันหยีลิลา ได้เสวยรมย์ชมชื่นอยู่กับเกนสะมิปุรีในสวนดอกไม้อันหนึ่งเกนสะมิปุรีนอนอยู่บนตักปันหยีลิลา

ถึงเวลานี้ที่ทั้งสองนั้นกำลังเชยชมสมสุขกันอยู่นั้น มะงุนส้าหรีก็มา พากริสมาด้วยเข้าไปในสวนนั้น พอเห็นคู่ตูนาหงันของตนอยู่กับปันหยีลิลา ก็โกรธสุดที่จะอดทนได้ จึงชักกริสจากฝักแล้วก็แทงคู่ตุนาหงันนั้นตายในบัดดลนั้น

บรรดาคนทั้งหลายที่ดูอยู่นั้นก็พากันชอบและใจประหวั่นไปหมดด้วยกัน ในอันเห็นท่าทางและฟังเสียงของพวกกำบูนั้น

ฝ่ายวิรุนกับสะมาร์ บัดดลก็ไปถึงที่นั้นเห็นพวกกำบูกำลังเล่นอยู่ทั้งสองนั้นก็เลยดูและฟังเรื่องลคอนด้วยความต้องติดใจ

ครั้นกำบูนั้นเล่าจบลงก็ถูกเรียกหาไปเล่นที่บ้านตำมะหงงอีก ณที่นั้นพวกนางสาวบุตรีดรุณีสาวพรหมจารี บริวารทั้งหลายออกมาดูแล้วก็ตกตลึงจังงังไปทั่วกัน ประดุจบุถุชนสิ้นสมฤดี

เล่นที่นั่นเสร็จแล้ว วิรุน และสะมาร์ก็พาพวกกำบูไปบ้านการัง ปะสันตะเหร็น เข้าในวังของนางนาหวัง จันตะหรา และนางนิลวาตี ก็และนางนิลวาตีนั้น ก็เกิดสิเนหาขึ้นในกำบูวาระคะ อัสมาหรา เพราะดูท่าทางและท่วงทีที่เล่นนั้นเปนที่ต้องใจ บัดนั้นวันก็ค่ำคืนลง จึงระเด่นปันหยี กะสุมาเข้าต้อนรับจับมือกำบู วาระคะ อัสมาหรา เพื่อจะจูงพาไปยังที่นอน กำบู วาระคะ อัสมาหรานั้นก็ใจเต้นชักมือหลุดออกมาเสีย แล้วระเด่น ปันหยีก็ทำซื่อ ไต่ถามข่าวคราวถึงปันหยี สะมิหรังว่า “อ้อ กำบู วาระคะ อัสมาหรา ท่านเดิรเวียนวนจากเมืองหนึ่งไปเมืองหนึ่งมาช้านานแล้วท่าน ได้ไปถึงไหนบ้าง ได้ประสบพบปะกับปันหยี สะมิหรังบ้างหรือเปล่า”

พวกกำบูได้ฟังดังนั้นก็นั่งลงชิดกับนางทั้งหลาย ซึ่งประทับอยู่ตรงหน้าระเด่นปันหยี พลางพูดว่า “อ้า ตวนกู กระหม่อมฉันทั้งปวงนี้ได้ไปเล่นในที่ต่างๆ ผ่านบ้านเมืองมาแล้วประมาณ สี่สิบหัวเมืองในดินแดนชวานี้ แต่ชื่อและเรื่องของปันหยีสะมิหรังนั้นยังไม่เคยได้ยินเลย ถิ่นฐานที่อยู่ของเขาจะชื่อว่าเมืองอะไรก็ไม่ทราบ เพราะพวกหม่อมฉันนี้เปนคนหลงทางถูกทิ้งขว้างออกมะงุมบาหราไปมา ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ และไม่ทราบว่ามีเชื้อวงศ์เผ่าพันธุ์มาอย่างไร”

สะมาร์ วิรุน และอันดากา พิศดู วาระคะ อัสมาหราก็เกิดความพิศวงงงงวยด้วยไม่เห็นผิดแผกกับเจ้านายของตน คือว่ามีรูปร่างก็สูงพอทัดเทียมกัน จะเทียบท่วงทีกิริยาก็ไม่เห็นผิดกัน จะยิ้มแย้มก็เหมือนกัน แต่ทว่าผิวของพวกกำบูนั้นขาวเหลืองนวล ประดุจผิวลางสาด๓๐ หรือขมิ้นหัวเมื่อหัก แต่ฉวีวรรณของเจ้านายตนนั้นคล้ามดำประดุจเปลือกมังคุด เมื่อเพ่งพิศหนักเข้าแล้วดูประหนึ่งดังว่าทั้งสองนั้นได้เคยพบปะรู้จักกันแล้ว แม้วิรุนก็รู้สึกว่าได้พบมาแล้ว แต่จำได้เพียงเลือน ๆ

แล้วระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็คลั่งใคล้ใหลหลงในกำบูอัศมาหรานั้น แต่ด้วยเหตุสำคัญว่าเปนชายจึงรับรองเอาเปนสหายคนหนึ่งเท่านั้น ตามความรู้สึกในหทัยไม่อยากจะจากพรากกันไปอีกเลย เวลาขึ้นเฝ้าสังระตูกากะหลัง ก็ชวนกำบูวาระคะอัสมาหรานั้นไปด้วย ทั้งกำบูคนอื่นๆ ก็ตามไป เมื่อสังระตูมีราชกระทู้ถามก็ทูลสนองด้วยเคารพว่า “นี่เปนสหายของข้าพระองค์” ฝ่ายสังระตูก็ทรงพิศวงยิ่งนักในอันเห็นรูปและท่วงทีกิริยาของกำบูนั้น ดูราวกับว่าเปนพี่น้องกับระเด่นปันหยี ก็และในที่เฝ้าสังระตูนั้นก็นั่งอยู่ใกล้เคียงกัน และวิรุนกับสะมาร์ และกาลัง คือพี่เลี้ยงทั้งสามนั้นนั่งเปนแถวอยู่ข้างหลัง

บัดนี้จะกล่าวถึงระตูล่าสำ กับสังระตู ปูดัก สะตะคัล ทั้งสองนี้เปนพี่น้องกับระตูจกรกา๓๑

ครั้นทั้งสององค์ได้ทรงฟังข่าวพี่น้องเธอ คือระตูจกรกาถูกปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ฆ่าเสียในที่รบแล้ว สององค์ก็พิโรธโกรธกริ้วกิริยาอาการดังพยัคฆชาติคำรามจะตะครุบ ทันใดนั้นจึงชุมนุมพลเสนาโยธาทัพทั้งสองกรุง แล้วออกยาตราเพื่อจะเสาะหาตัวปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะจับตัวฆ่าเสียให้อื่มหนำใจ เดิรทัพไปแซ่เสียงอึกทึกพรรฤกกำปนาท ผ่านบ้านเมืองหลายแห่งแต่ก็ยังหาพบไม่ จนกระทั่งวันหนึ่งไปถึงนครสะดายุ

ถึงที่นั้นก็ได้ทราบข่าวว่า ท้าวสะดายุได้ยอมออกและอยู่ใต้ปกครองของปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาแล้ว

ท้าวสะดายุแจ้งว่า “เวลานี้คงจะไปถึงและอยู่ที่เมืองจกรกาแล้วกระมัง”

สองระตูนั้นก็เร่งทัพรีบไปยังที่นั้น

ก็และผู้ปกครองสะดายุเวลานั้น คือผู้สำเร็จราชการแทนราชาที่วายชนม์ กล่าวคือมนตรีผู้ชราภาพนั้น

จึงผู้แทนราชานั้นว่า “ถูกแล้ว ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาผู้ซึ่งฆ่าระตูจกรกานั้น ได้ปราบเอาเมืองนี้เปนเมืองขึ้นแล้วแต่บัดนี้ไป จากเมืองนี้แล้ว จะไปไหนไม่ทราบ อาจไปเมืองกากะหลัง เพื่อจะตีเอาเมืองนั้นก็ได้”

ทันใดนั้นระตูปูดัก สะตะคัล กับระตูล่าสำ ก็รีบยกไปยังเมืองกากะหลัง ไม่ช้าก็ไปถึงยับยั้งอยู่นอกนครกากะหลัง ตรัสสั่งให้ยกประสังคราหันขึ้นหลังหนึ่ง ครั้นเสร็จสร้างประสังคราหันแล้วราชาทั้งสองนั้นก็ชื่นชมสโมสร ให้เลี้ยงดูด้วยอาหารเครื่องดื่มสนุกสนานส่งเสียงสำเริงสำราญอึงมี่อยู่

ถึงวันรุ่งขึ้น ดวงตะวันยังมิทันจะยอแสง และดาวเดือนมิทันดับ รี้พลพหลโยธาสองกรุงนั้นก็ถืออาวุธคุมเชิงอยู่พร้อมสรรพ กล่าวคือปืนใหญ่ปืนเล็ก ทั้งศรธนูและหอกกริสกับอาวุธอย่างอื่นๆ อีก พร้อมเพรียงกันดีแล้วก็ออกเดิรไปสู่สนามรบสมรภูมิชัย

แล้วระตูล่าสำกับระตูปูดัก สะตะคัลก็ส่งทูตสองนายซึ่งเปนผู้กล้าหาญ สั่งให้ถือหนังสือข่าวสารเข้าไปยังในพระราชวังกรุงกากะหลังนั้น ก็และทูตนั้น นายหนึ่งชื่อคังคะ สุหรา อีกนายหนึ่งชื่อคชเมตา สองนายนี้ก็รีบเดิรเข้าไปสู่วังกากะหลังนั้นส่งเสียงตะโกนว่า “อยู่ไหนเล่า ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา กูใคร่จะประลองฤทธิกับมึง และจับเหนี่ยวเอามึงดึงไปดึงมาที่สนามรบ ด้วยกูนี้และคือศัตรูของมึง”

ไม่ช้าทูตทั้งสองนั้นก็ไปถึงวังและเข้าเฝ้าท้าวกากะหลัง ก็และท้าวกากะหลังขณนั้นกำลังประทับอยู่กับปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา กับบรรดากำบูทั้งหมดนั้น สังระตูทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ตกพระหทัย ฝ่ายระเด่นปันหยี ก็โกรธแสนสาหัสแล้วทูลสังระตูว่า “ดีแล้ว หม่อมฉันจะไปต่อสู้กับข้าศึกศัตรูนั้นและจับตัวมันให้ได้”

ฝ่ายอันดากากับวิรุนและกาลังก็โกรธทูตนั้นมากดุจกัน ทันใดนั้นก็เข้าตบและเตะและพูดว่า “เราแลจะเปนผู้ต่อสู้กับราชาของมึง”

ทูตทั้งสองนั้นก็เฉยไม่เอาธุระ แล้วก็กลับไปเฝ้าราชาของตนขณนั้นก็เกิดการโกลาหลในนครกากะหลัง ด้วยจะถูกระตูสองตนเข้าตีเมือง

ฝ่ายระเด่น ปันหยี ก็แต่งองค์ทรงเครื่องทัดดอกไม้สวมมาลัย๓๒ เหน็บกริสซึ่งมีนามว่ากาละมิตานีจับเลื่อนไปเลื่อนมา และขึ้นทรงอาชาอันมีชื่อว่ารังคะรังคิตนั้น แล้วก็ประทับเหนืออัศวพาหนะเสด็จออกงามดังสังหยัง บะตาระเทวราช วิรุน กาลัง และรี้พลสกลไกรทั้งมวลก็ตามเสด็จไปสู่สมรภูมิชัย ต่างโห่ร้องก้องกัมปนาทอึงมี่ไม่ขาดเสียงเพื่อจะต่อสู้กับข้าศึกนั้น วิรุนเข้ากระทบกับทูตผู้มีนามคังคะสุหรา และกาลังผจญกับคชเมตา แล้วก็ต่อสู้รบกันเปนสามารถต่างคว้าเอวกันและยกตัวขึ้นลงส่งเสียงอึกทึกครึกโครม เมื่อใดมีทหารเอก หรือตำมะหงงตายลง พวกไพร่พลก็โห่ร้องสนั่น ทั้งตีฆ้องหม่ง ฆ้องตับ ฆ้องหมุ่ยและกลองยุทธเภรีไม่มีหยุดยั้ง

การเล่าแถลงถึงผู้ซึ่งกำลังทำสงครามอยู่นั้น บัดนี้จะหยุดยั้งไว้ก่อน จะย้อนกล่าวถึงพวกกำบู ซึ่งกำลังอยู่ในที่เฝ้าองค์สังระตูนั้น

นางนิลวาตีตรัสว่า “นี่แนะ กำบู วาระคะ อัสมาหรา บัดนี้เราพากันกลับไปตำหนักฉันเถิด ด้วยกะกันดาระเด่นปันหยีก็กำลังไปรบพุ่งอยู่กับข้าศึก”

กำบูทั้งปวงก็น้อมเกล้าถวายบังคมลาองค์สังระตู แล้วก็เดิรไปกับสองนางบุตรีนั้น พอไปถึงจึงพาพวกกำบูไปตำหนักก้าหลุนาหวัง จันตะหราก่อน ล่วงไปไม่ช้าก็พาไปตำหนักนางนิลวาตี ก็และนางนิลวาตีนั้นมีความรักใคร่สิเนหาในกำบูวาระคะ อัสมาหรา กาลนั้นจึงสั่งให้กำบูวาระคะ อัสมาหราเล่นเรื่องละคอนปันหยี สะมิหรัง แล้วนางนิลวาตีก็ยิ่งทวีความสิเนหารักใคร่ขึ้นในหทัย จึงให้เสื้อผ้าและบุหงาต่างๆ แก่กำบูวาระคะ อัสมาหรานั้น

ก็และขณนั้นระเด่นปันหยี ยังไม่กลับจากสงคราม และยิ่งนานไปนางนิลวาตีก็ยิ่งทวีมัวเมาความรักใคร่ในกำบูนั้นยิ่งขึ้น ถึงแก่พาเอาเข้าห้องที่ไสยา

กำบูวาระคะ อัสมาหราก็ทูลว่า “โอ้ ตวนกู หม่อมฉันขอประทานอภัยนับพันอภัย ด้วยหม่อมฉันนี้เปนเพียงคนหลงทางมา ที่มาถึงนี่ก็หวังจะถวายตัวเปนข้า ควรตวนกูจะอดพระหทัยไว้ก่อน เพราะการเรื่องนั้นเปนสิ่งไม่ดี และเปนที่หวงห้ามแม้ทางโลก วันอื่นบางทีจะได้สมประสงค์ของตวนกูได้”

แล้วพวกกำบูก็ค้างแรมอยู่ ณที่นั้น

จะกล่าวถึงระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ซึ่งเวลานั้นกำลังรบอยู่กับระตูล่าสำ และระตูปูดัก สะตะคัลนั้น ระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาต่อสู้กับระตูล่าสำ ทั้งสององค์ต่างก็ตีฟัน แทงพุ่ง แทงทิ่ม และแทงหอก ส่วนระตูปูดัก สะตะคัลไม่อยากรบกับสะมาร์ ด้วยเหตุว่าจะหนีไปทางไหน สะมาร์ก็ไล่ติดตามไป ก็และการรบและท่วงทีของปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้นว่องไวรวดเร็วมาก จนข้าศึกต่อสู้ต้านทานไม่ไหว ไพร่พลล้มตายไปเปนอันมาก ฝ่ายวิรุนกับกาลังก็ไล่ต้อนข้าศึกกระหน่ำไปไม่หยุดหย่อน และเมื่อจับได้ตัวนายทหารเอกหรือมนตรีก็ขึ้นขี่หลังเอาทำม้า ฝ่ายปาติ๊ของระตูล่าสำนั้นเห็นรูปร่างปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็ตกตะลึงจังงัง ด้วยเห็นราวกับองค์สังหยังบะตาราเพิ่งลงมาจากกะยาหงันชั้นฟ้า จนรู้สึกเสียใจและลอายใจ ส่วนระตูปูดัก สะตะคัลยังวิ่งหนีสะมาร์ไล่อยู่ ไม่ช้าก็พบกันเข้ากับระตูล่าสำ ซึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น แล้ววิรุนก็เข้าผจญกับคังคะสุหรา ซึ่งดูท่าทางจะทนสู้ไปอีกไม่ไหว เพราะวิรุนจับตัวโยนขึ้นไปเบื้องบนไปลอยอยู่แล้วก็ม้วนตกลงมา การสู้รบของกาลังกับคชเมตาก็เปนอย่างว่านี้ดุจกัน

ครั้นแล้วคังคะสุหรา กับคชเมตานั้นก็วิ่งหนีไปเฝ้าราชาแห่งตนซึ่งกำลังผจญอยู่กับกะละหนาปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น พอไปถึงจึงคังคะสุหราตั้งท่าจะเข้าคว้าบั้นเอวกะละหนานั้นจากข้างหลัง แต่ทันใดนั้นกะละหนาก็ชักม้าซึ่งชื่อรังคะรังคิตนั้นกลับหลังและกระโดดไปข้างขวา และม้านั้นก็เตะและชนเอาคชเมตา ๆ ก็ล้มกลิ้งลงยังพื้นปถพี ส่วนคังคะสุหราก็ล้มคว่ำแต่ว่ากลับลุกขึ้นได้

กะละหนา ยาเหย็ง กะสุมานั้นก็ชักกริชซึ่งมีนามว่า กาละมิตานีนั้นออกจากฝักแล้วแทงเอาคังคะสุหรา ถูกที่ใต้อุระประเทศถึงทะลุโลหิตไหลใส้ทะลักออกมาข้างนอก คังคะสุหราก็ม้วยมรณ์ ฝ่ายพหลพลนิกรกากะหลังก็โห่ร้องขึ้นพร้อมกัน

ฝ่ายคชเมตาเห็นคังคะสุหราเสียทีตายลงดังนั้น ก็โกรธ และโดดเข้าแทงสีข้างกะละหนา

ก็แต่ม้าของกะละหนานั้นโดดถอยหลังไปข้างขวาและร้อง ระเด่นปันหยีก็กะระตะอาชานั้น จึงม้ารังคะรังคิตเข้าชนทางโน้นทางนี้ จนรี้พลข้าศึกระส่ำระสาย ใครถูกเตะหรือเหยียบย่ำ ก็ล้มเหยียดลงแทบพื้นดิน หมดกำลังสิ้นสมฤดี ฝ่ายคชเมตานั้นก็โดดเข้ามาหมายจะคว้าคอม้ารังคะรังคิต จึงกะละหนาปันหยีแทงเข้าให้ถูกที่สีข้าง คชเมตาถูกแทงถนัดดังนั้นแล้วก็ร้อง และโลหิตไหลใส้ทะลัก แล้วก็ตายในกาลนั้นดุจกัน ฝ่ายระตูล่าสำเห็นทูตทั้งสองถูกฆ่าตาย ก็พิโรธโกรธกริ้วสาหัศ วิ่งเข้าประจัญบานจะจับตัวระเด่นปันหยี ยาเหย็งกะสุมานั้นแล้วก็สู้รบกันเปนสามารถ

ก็และท่านผู้เจ้าของเรื่องนี้ ท่านเล่าแถลงต่อไปว่า เมื่อได้รบพุ่งชิงชัยกันอยู่นานแล้ว ในที่สุดระตูล่าสำกับระตูปูดักสะตะคัลนั้นก็ยอมแพ้ และการสงครามก็สุดสิ้นยุติลงเพียงนั้น องค์ท้าวกากะหลังก็ยิ่งเพิ่มพูนสิเนหาอาลัยในระเด่นปันหยีนั้นขึ้นอีกเปนอันมาก แล้วระเด่นปันหยีนั้น ก็มีนามกรเลื่องชื่อฤๅชาไปทั่วถิ่นทิศานุทิศโดยรอบกรุงกากะหลังนั้น.

จะกล่าวถึงระเด่นวิรันตะกะ ซึ่งตามระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมามาด้วยนั้น ขณนั้นก็ได้ประสบกับบิตุลา คือระตูล่าสำ กับระตูสะตะคัล จึงเข้าสวมกอดกันและกรรแสง ก็และระตูปูดักสะตะคัลนั้นมีราชบุตรีองค์หนึ่ง ซึ่งวงพักตรงามยิ่งนัก ทรงนามว่านางบุตรีกะสุมะวาตี ครั้นได้ยอมแพ้เปนเมืองออกแล้ว จึงถวายธิดานั้นแก่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ฝ่ายระตูล่าสำ ก็มีราชบุตรีองค์หนึ่งเหมือนกัน ซึ่งโฉมงาม ทรงนามว่านางบุตรีสุมบะส้าหรี นางนี้ก็ถวายแด่ระเด่นปันหยีดุจกัน แล้วก็ชื่นชมสมสมรกษมสำราญเปนสุขทุกทิพาราตรีกาล ก็และนางซึ่งถวายและรับไว้แล้วนั้น ต่างองค์ก็ได้รับประทานที่อยู่จากระเด่นปันหยีต่างๆ แห่งกันไปในตำบลนั้น เรื่องมีมาด้วยเดชเทวานุภาพบรรดาล มีประการดังกล่าวมานี้แล

ในระวางเวลาที่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาไปสมสู่อยู่กับนางนิลวาตีนั้น ฝ่ายก้าหลุ นาหวัง จันตะหราก็เรียกกำบูวาระคะอัสมาหราไปนอนค้าง และสั่งให้เอาเรื่องละคอนปันหยีสะมิหรังออกเล่น เพราะฉลาดสามารถเล่นเรื่องนี้ได้ดีมาก กำบูก็เล่นณที่นั้น การที่กำบูวาระคะอัสมาหราไปอยู่ที่ตำหนักก้าหลุ นาหวัง จันตะหรานี้ทราบถึงนางนิลวาตี นางก็เศร้าใจและขุ่นเคือง จึงคิดจะทูลฟ้องต่อระเด่นปันหยีว่าก้าหลุ นาหวัง จันตะหรารักกับกำบู วาระคะ อัสมาหรา

ครั้นปันหยีเสด็จกลับมายังตำหนักนางนิลวาตี นางก็ทูลฟ้องว่า “กะกันดา นางนาหวังจันตะหรานั้นกำลังรักใคร่ใหลหลงกับกำบู วาระคะ อัสมาหรา”

ระเด่นปันหยีได้ฟังนางนิลวาตีทูลดังนั้นก็พิโรธแรงกล้า จึงเสด็จไปยังที่นางนาหวังจันตะหรา ด้วยจำนงว่าจะฆ่านางเสียเทียว พอไปถึงตำหนักนางนาหวัง จันตะหรา ก็ตั้งกระทู้ถามแก่นางนั้น

นางจึงทูลว่า “จะเปนไปได้อย่างไรที่หม่อมฉันจะไปรักกับกำบู วาระคะ อัสมาหรานั้น หม่อมฉันสั่งให้เขามาเล่นที่นี่ ก็เพราะอยากจะฟังเรื่องปันหยี สะมิหรัง ด้วยตามที่เขาว่ากันนั้นละคอนเรื่องนี้ดีและเปนเรื่องที่สนุกสนานไพเราะมาก”

หฤทัยปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็อ่อนลง แล้วก็เสด็จกลับคืนยังตำหนักนางนิลวาตี

นางนิลวาตีว่า “กะกันดานี้ชรอยจะหลงรักกำบู วาระคะ อัสมาหราเสียด้วยแล้ว ด้วยตามความคิดเห็นของหม่อมฉันนั้น กำบูนี้น่าจะเปนผู้หญิง และเปนตัวปันหยีสะมิหรังนั้นเองทีเดียวและ ควรกะกันดาจะทรงตรวจตราสอบสวนความประพฤติและความเปนไปของเขาทุกอย่างไป หม่อมฉันจะเรียกเขามานี่ แล้วจะขอให้เล่นที่นี่ เพราะเขาชอบนอนค้างที่ตำหนักหม่อมฉัน”

จึงปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ยิ้มและตอบว่า “จะอย่างไรก็ตามใจอะดินดาเถิด”

กาลล่วงไปอีกสองวัน ก็ให้คนไปเรียกและพากำบูนั้นมายังตำหนักนางนิลวาตี และสั่งให้เล่นละคอนปันหยีสะมิหรัง กำบูนั้นก็เล่นแสดงเรื่องด้วยฟ้อนรำบิดตัวไปมา ขณนั้นตัวปันหยีสะมิหรัง กับกุดาปะรันจาและกุดาประวีระก็ออกโรง แสดงตอนท้าวกุรีปั่นสั่งให้นำเงินไปกรุงดาหา คือต่อเรื่องตอนที่เล่นค้างไว้วันก่อน ทูตกุรีปันจะไปดาหา ถูกกุดาปะรันจากับกุดาประวีระเข้าตีชิง แล้วก็สู้รบกันเปนสามารถไม่ช้าทูตก็แตกทัพหนีกลับไปทูลความแก่ระเด่นอินู บัดดลระเด่นอินูกะระตะปาตีนั้นก็มา (ผู้ที่เล่นเปนตัวระเด่นอินูนั้นคือ กำบู วาระคะ อัสมาหรา) แล้วก็เข้าไปในตำหนักพบกับปันหยีสะมิหรัง เลยนั่งสนทนากันอยู่จนเวลาค่ำคืน แล้วก็เลยบรรธมอยู่ที่ตำหนักนั้น

เล่นยังค้างอยู่ไม่ทันจบ แต่เพราะเหตุค่ำคืนลงแล้ว จึงหยุดยั้งไว้ก่อน แล้วพวกกำบูทั้งนั้นก็เลยนอนค้างอยู่ ณ ที่นั้น

ปันหยียาเหย็งกะสุมาก็คอยสอบสวนตรวจตราอยู่เสมอทุกอิริยาบถและกิริยาอาการของกำบูวาระคะอัสมาหรานั้น ถึงเพลาราตรีจึงเห็นกำบูวาระคะอัสมาหรากำลังร่อนแกว่งไกวตุ๊กตาทองคำภายในม่านกั้นที่นอนนั้น เพลานั้นดึกสงัดเงียบเสียงผู้คนกำลังหลับสนิธ ก็พูดกับตุ๊กตาทองคำนั้นด้วยเสียงเบาๆ กระเส่ากระซิบ ระเด่นปันหยียาเหย็งกะสุมาเห็นการณ์ทั้งนี้ด้วยแอบมองที่ช่องประตูห้องนอน หฤทัยเต้นสุดที่จะทนสิเนหาเสียวกระศัลย์ได้ต่อไป จึงค่อยๆ ย่องเข้าไปในห้องที่ไสยาของกำบูวาระคะอัสมาหรานั้น ฝ่ายกำบู วาระคะอัสมาหราก็ยังพูดกับตุ๊กตาทองคำนั้นเรื่อยไปว่า “ลูกเอ๋ย ดวงยิหวาของแม่ บัดนี้พระบิดาของเธออยู่ในนครนี้แล้ว ลูกแม่คงจะได้ประสบพบกับเธอเปนแม่นมั่น”

แล้วก็กอดจูบตุ๊กตานั้น และพูดพร่ำต่อไปเปนคำกลอนว่า

โอ้อะนะกันดายอดดวงจิตต์

จงรู้เถิดเจ้าเปนกมลสิทธิ์๓๓

ของชนกระเด่นอินูทรงฤทธิ์

มารดาก้าหลุแน่ไม่ผิด

นามเธอจันตะหรากิระหนา

ก่นแต่ถูกปองร้ายนานา

ชีพนี้ไร้ประโยชน์ไร้พาศนา

ตกเปนกำบูให้คนทัศนา๓๔

ชีพสนุกสุขเกษมไม่เคย

มีแต่กำศรดโศกไร้เสบย

เห็นสิ้นมานะ๓๕แล้วลูกเอ๋ย

ดังฤทัยท่วมน้ำจมเลย

ถ้ายังยืดเยื้อไปอย่างนี้

มัจจุราชจงคร่าห์พาหนี

รักษาใจบริสุทธิ์ดุจมณี

พร้อมแล้วยอมม้วยด้วยดุษณี

ขณนั้นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็สิ้นสติลืมองค์ โดดเข้าเปิดม่านที่ไสยานั้นแล้วจับมือกำบูวาระคะอัสมาหรานั้นไว้ ฝ่ายกำบูอื่นๆ ก็วิ่งหนีไปซ่อนตัวสิ้น เพราะคาดว่าครั้งนี้ระหัสความลับของกำบู วาระคะ อัสมาหรานั้นจะต้องเปิดเผยขึ้น เพราะระเด่นปันหยีนั้นมาล่วงรู้แล้ว ต่างก็รู้สึกมีความอาย จึงพากันวิ่งไปซ่อนตัว แต่ก่อนนี้เมื่อระเด่นปันหยีนังเฝ้าสังระตูกากะหลังอยู่พร้อมด้วยชายา ก็ได้เคยรับเอากำบูทั้งเจ็ดเปนสหาย เพราะสำคัญว่าเปนชาย แต่บัดนี้ย่อมประจักษ์แจ้งแล้ว ว่าพวกกำบูนั้นเปนหญิงทั้งสิ้น

ระเด่นปันหยีจับมือกำบูวาระคะอัสมาหราไว้ แล้วก็จุมพิต

ฝ่ายกำบู วาระคะ อัสมาหรา เห็นระเด่นปันหยีจับหัตถ์ดังนั้น นางก็ขว้างตุ๊กตาทองคำนั้นไปเสีย แต่ระเด่นปันหยีก็เก็บตุ๊กตานั้นขึ้น พลางตรัสว่า “ทำไมเล่าจึงโยนทิ้งตุ๊กตานั้น มันไม่มีความผิด ผู้ที่ผิดนั้นคือบิดาของมันต่างหาก”

แล้วก็ปลอบโยนด้วยสุนทรพจน์นานาว่า “ถ้าเธอเปนปันหยี สะมิหรังแล้ว กระไรเลยช่างมีแก่ใจสละละทิ้งกะกันดาไปเสียได้ จนพี่นี้เที่ยวหาอะดินดาทั่วตลาดทั่วย่านบ้านเมือง บุกป่าฝ่าดงไปหลายประเทศเขตต์ขันธ์ ถ้าไม่ใช่เพราะน้องแล้วพี่ก็จะมิได้มาถึงที่นี้เลยและจะมิได้ไปดาหา แล้วก็จะมิต้องถูกหลอกลวงให้สมรสกับก้าหลุ อาหยัง หากพี่นี้สมสู่อยู่ด้วยกับก้าหลุ อาหยัง นั้นแล้ว จักไม่เปนการชอบธรรมเลย”

ครั้นแล้วก็ช้อนเศียรก้าหลุ วางลงข้างเบื้องซ้ายองค์ พลางตรัสปิยะวาจาปลอบโยนเรื่อยไป

ฝ่ายกำบูวาระคะ อัสมาหรา กล่าวคือก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้น คิดใคร่จะกลิ้งให้หลุดพ้น แต่ก็สิ้นกำลัง เพราะกรของระเด่นปันหยีสวมสอดกอดรัดอุระไว้แน่นดังเล็บเหยี่ยว และมิได้หยุดหย่อนในอันกล่าวคำวิงวอนปลอบโยนด้วยมธุรสวาจาอันไพเราะเสนาะโสตร์

ฝ่ายว่านิลวาตีกับก้าหลุนาหวังจันตะหรา ครั้นทราบข่าวว่าระหัสของกำบูวาระคะอัสมาหราได้เปิดเผยแล้ว และระเด่นปันหยีก็ทราบแจ้งแล้วฉนั้น สองนางก็มีความลอาย ด้วยมิได้สงสัยเลย นึกว่ากำบูเหล่านั้นเปนชาย ยิ่งนางนิลวาตีด้วยแล้วยิ่งอายมาก เพราะได้ไปประดิพัทธผูกรักใคร่ในกำบูวาระคะอัสมาหรานั้น และได้เคยชวนให้นอนในที่ไสยาของนาง มิหนำซ้ำนางนิลวาตีนั้นได้เคยส่งของดอกไม้เครื่องกินไปให้กำบูนั้น เพราะสำคัญว่าเปนชาย ด้วยในเวลาเล่นละคอนปันหยีสะมิหรังกำบูวาระคะ อัสมาหรา ซึ่งเปนตัวปันหยีสะมิหรังนั้นก็แต่งเปนเยี่ยงบุรุษเพศ

ด้วยเหตุดังกล่าวนั้น ทุกๆ นางที่มีใจกำหนัดรักใคร่กำบูนั้นจึงบังเกิดความลอายใจทั่วกัน

ฝ่ายระเด่นปันหยี ปลอบโยนเล้าโลมกำบูวาระคะอัสมาหราหรือก้าหลุจันตะหรากิระหนานั้นแล้ว ก็เสวยรมย์สมสมรทุกทิวาราตรีมิได้เว้นว่างสิเนหา จนลืมอะไรๆ หมดในโลก ทั้งลืมนางอื่นๆ หมดสิ้น พอระเด่นปันหยีกลับสู่ตำหนักที่ตำบลบ้านปะสันตะเหร็นนั้น นวลนางทั้งหลายก็วิ่งตรูมาเฝ้า พลางว่า “บัดนี้กะกันดากำลังสิเนหาอาลัยในกำบูนั้น จนลืมพวกหม่อมฉันเสียสิ้น”

จึงระเด่นปันหยีก็ปลอบโยนเล้าโลมนางนั้นๆ และณกาลนั้นก็ไม่มีกิจใดอื่นนอกจากเสด็จไปทางโน้นทางนี้ปลอบโยนเล้าโลมนางต่างๆ จนเหน็ดเหนื่อยบอบช้ำกาย และด้วยเหตุที่เธอมีปรีชาและวาจาอ่อนหวาน จึงสามารถปลอบนางทั้งหลายให้ใจอ่อนน้อมตามความประสงค์ของเธอสิ้น

ส่วนพวกกำบูทั้งหลายซึ่งไปซ่อนตัวอยู่นั้นถึงกาลนั้นก็เลยใช้เครื่องแต่งกายเปนสตรีดังเช่นเคยมาแต่ก่อน เพื่อจะได้มิต้องอายอีกสืบไป

มาวันหนึ่ง จึงระเด่นปันหยีตรัสแก่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาว่า “เออ แน่ะอะดินดา พี่นี้อยู่ในเมืองกากะหลังนี้ก็นานแล้ว เหตุเพราะเที่ยวค้นคว้าหาน้อง บัดนี้กะกันดาใคร่จะเข้าเฝ้าสังระตูเพื่อทูลลากลับคืนบ้านเมืองของกะกันดา”

ตรัสดังนั้นแล้ว ทันใดนั้นก็ออกบทจรไปข้างนอก ไปได้แต่เพียงสี่ห้าก้าวก็ย้อนกลับมาใหม่แล้วจุมพิตสูดกลิ่นและกัดเหน็บไรโอษฐนวลนางนั้น ประหนึ่งไม่สามารถจะนิราศคลาดคลาแม้แต่เพียงสักครู่เดียว ตรัสว่า “อะดินดาเปนคู่สวาทยอดชีวิตของกะกันดาแล้ว”

ครั้นแล้วก็แข็งหทัยดำเนินไปสู่วังองค์สังระตู มีระเด่นวิรันตะกะตามไปด้วย ครั้นถึงจึงก้มศิรเกล้าบังคมลาฝ่าธุลีภคินทะสองสวามีภริยานั้น พลางทูลถวายบังคมกลับคืนบ้านเมืองและจะขอพาเอาสหายคือกำบูทั้งเจ็ดคนนั้นไปด้วย ฝ่ายองค์สังระตูก็เสียพระหฤทัยอาลัยนัก ทรงจุมพิตระเด่นปันหยีที่ศิระประเทศ ด้วยรู้สึกสำนึกเสมือนดังว่าเปนราชโอรสเลือดเนื้อเดียวกัน ฝ่ายระเด่นสิงหมนตรีก็อาลัยสะมาร์กับวิรุน ขณนั้นสะมาร์และวิรุนก็ประนตน้อมทูลว่า “เชิญเสด็จอยู่สวัสดีเถิด” ระเด่นสิงหมนตรีนั้นก็ถอดธำมรงค์ และสายรัดองค์ประทานแก่สะมาร์และวิรุนด้วยความยินดี พลางตรัสว่า “เราจะต้องจากกันในวันนี้ แล้วจะไม่ได้กินข้าว ร่วมจานกันอีกต่อไป” บรรดาชาววังเวลานั้นก็มีใจประหวั่นอาลัยทั่วทุกคน

ครั้นแล้วระเด่นปันหยีก็เสด็จกลับคืนสู่ตำหนักณตำบลปะสันตะเหร็น พอไปถึงจึงเข้าหาก้าหลุจันตะหรา กิระหนา พลางตรัสว่า “อะดินดาของพี่มีความปรารถนาจะไปไหน จะไปดาหาหรือนครกุรีปั่น น้องอยากไปไหนพี่ก็จะตามใจและไปด้วยทุกแห่ง”

ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานบนิ้วทูลว่า “หม่อมฉันไปดาหาจะมีคุณประโยชน์อันใด พระมารดาก็หาไม่แล้ว ถ้าพระพี่ยาอยากจะเสด็จไปพบกับชายา ซึ่งมีนามว่าก้าหลุ อาหยังนั้นแล้ว ก็เชิญเสด็จไปแต่องค์เดียวเถิด”

ระเด่นปันหยีก็กอดศอและจุมพิตที่ปรางก้าหลุพลางตรัส “ที่พี่จะไปร่วมที่นอนกับนางนั้นไม่ชอบธรรมทีเดียว และพี่ก็ได้เขียนหนังสือบอกหย่าให้แล้ว”

จึงก้าหลุตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปกุรีปั่นกันเถิด ด้วยที่ดาหานั้นหม่อมฉันมีแต่เรื่องเจ็บใจเท่านั้นเอง”

แล้วก้าหลุก็ก้มพักตร ชลเนตรไหลหลั่งด้วยคนึงถึงองค์พระบิดา ระเด่นปันหยีก็เช็ดน้ำเนตรด้วยชายฉลององค์ ซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยชลนัยของพระองค์เองอยู่แล้ว พลางตรัสว่า “ดีแล้ว เธออยากไปกุรีปั่นก็เปนบุญของพี่นักหนา๓๖ จงมาไปด้วยกันกับพี่เถิด”

ครั้นแล้วระเด่นปันหยีก็ตรัสสั่งให้หาตัวสะมาร์กับกาลัง ทั้งสองนายนั้นก็มาเฝ้า ปันหยีตรัสว่า “จงไปเรียกชุมนุมรี้พลเสนาทะแกล้วทหาร ด้วยบัดนี้ข้าจะกลับคืนกรุงกุรีปั่น”

จึ่งสะมาร์ไปเรียกชุมพล และระเด่นวิรันตะกะก็แต่งกายอย่างโอ่อ่า ครั้นพรักพร้อมทั่วกันแล้วในเช้าวันนั้นก็ออกยาตราสู่ทิศกรุงกุรีปั่น ประชาชนพลเมืองกากะหลัง เห็นระเด่นปันหยี ยาเหย็งกะสุมายกไปดังนั้นก็สอื้นไห้ใจสั่นระริกรัวทั่วกัน ทั้งอาลัยในกำบูทั้งเจ็ดนั้นด้วย ฝ่ายสังระตูคู่สวามีชายาก็ไม่สามารถตรัสประพาศอไรอีก เพราะทั้งสององค์เปียกชุ่มไปด้วยชลเนตรราวกับสรงน้ำ

แล้วระเด่นปันหยี ยาเหย็งกะสุมาก็เดิรทางไปพร้อมด้วยนวลนางทั้งปวง สะมาร์และวิรุนเดิรไปหน้าจูงม้าพระที่นั่งซึ่งมีนามว่ารังคะรังคิตนั้น รี้พลเสนาเดิรตามไปข้างหลังพร้อมด้วยฆ้องกลอง ฆ้องตับ ฆ้องโข่ง และดุริยดนตรีอย่างอื่น ตีประโคมไปตลอดทางไม่หยุดย่อน ส่วนระเด่นวิรันตะกะก็เดิรไปกับกนิษฐาคือ นางนิลวาตี กับทั้งระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ไม่อยากจะห่างไกลแต่สักขณเดียว และช่วยกล่าวคำปลอบนางก้าหลุจันตะหรากิระหนาเรื่อยไป แล้วก็พากันเดิรทางเข้าป่าออกป่า เข้าทุ่งออกทุ่ง ขึ้นเขาลงเขา เมื่อค่ำลงก็ค้างแรมที่พื้นปถพี รุ่งเช้าวันพรุ่งก็เดิรต่อไปบ่ายหน้าสู่กรุงกุรีปั่น

ไม่ช้านานก็ไปถึงยังที่มีรอยเมืองของปันหยีสะมิหรังนั้นก่อน จึ่งระเด่นปันหยีตรัสแก่ก้าหลุจันตะหรากิระหนาว่า “นี่แหละเมืองของอะดินดาปันหยีสะมิหรัง ซึ่งยับยั้งอยู่ที่นี่เมื่อรบกับระเด่นอินู”

ก้าหลุเห็นเมืองนั้น พลันชลเนตรก็ไหลหลั่ง ด้วยระลึกถึงเคราะห์กรรมอันวิบากวิบัติเปนนักหนานั้น จนต้องกลายเปนคนกลาหนา ได้รบพุ่งตีชิงผู้คนเปนอันมาก ทั้งคนึงถึงยามสนทนาสมาคมกับระเด่นอินูกะระตะปาตีนั้นด้วย ครั้นแล้วก็เหลือบเห็นต้นไทรซึ่งอยู่ใกล้ประตูเมืองนั้นอันเปนที่กุดาปะรันจาและกุดาประวีระตีชิงทูตกุรีปันเมื่อก่อนกี้นั้น พลันอสุชลก็กบเนตรแล้วเช็ดด้วยหัตถ์พลางตรัสว่า “หม่อมฉันคิดว่ากะกันดาตรัสสั่งให้ทำลายเมืองนี้เสียให้พินาศจะดี จะได้ลืมกันเสียที ไม่ต้องเห็นต่อไป”

จึงระเด่นปันหยีทันใดนั้นตรัสสั่งให้ระเด่นวิรันตะกะกับทั้งวิรุนและสะมาร์จัดการทำลายเมืองนั้น เมืองก็ถูกทำลาย และต้นไทรสองต้นนั้นก็ถูกตัดไปด้วย ไม่ช้าเลย เมืองก็หายกลายเปนทุ่งเช่นในกาลก่อน

ครั้นแล้วก็พากันเดิรทางต่อไปอีก ระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ตรัสแก่วิรุน สะมาร์ และกาลังว่า “แน่ะเพื่อนเกลอทั้งหลาย สมควรแล้วที่เราเปลี่ยนชื่อกลับใช้ชื่อเดิมของเรา และแต่กาลบัดนี้ไปพวกเราอย่าออกชื่อเรียกกาลัง วิรุนและสะมาร์อีก จงเรียกชื่ออย่างในกาลก่อนว่า ยะรุเดะ และปูนตา การะตาหลา และประสันตา ส่วนตัวเราก็เรียกว่าระเด่นอินู กะระตะปาตีเหมือนกัน”

ครั้นไปใกล้ขอบนครกุรีปั่น จึงตรัสสั่งให้หยุดยับยั้งพักพหลพลนิกร ณ ที่นั้น และให้ยะรุเดะกับการะตาหลาเข้าไปในเมืองแพร่ข่าวการที่เสด็จมานั้นเพื่อมิให้ประชาชนพลเมืองตื่นเต้นตกใจ

ยะรุเดะกับการะตาหลาก็ขี่ม้าวิ่งอย่างเร็วเข้าไปในเมือง ตรงไปสู่พระราชวังทูลให้ทราบฝ่าธุลีภคินทะว่าระเด่นอินูเสด็จกลับจากสงครามปราบเมืองต่างๆ แล้ว จะเสด็จเข้าเมือง

ไพร่บ้านพลเมืองทั่วไปต่างก็ตระหนกตกใจเปนโกลาหลไต่ถามอึงมี่ ด้วยสำคัญว่ามีข้าศึกมาติดพระนคร

จึ่งยะรุเดะตอบว่า “มิใช่ข้าศึกดอก ผู้ที่มานี้คือพระราชโอรสสังระตูกุรีปั่น เพิ่งเสด็จมาถึง และจะเข้าเมือง”

บรรดาประชาชนพลเมืองที่ตกใจอลหม่านนั้นก็เปลี่ยนกิริยาเปนยินดีปรีดาร่าเริงทั่วกัน

และยะรุเดะกับเพื่อนก็จะไปเฝ้าสังระตู ไปไม่ไกลกี่มากน้อยก็พบกับท่านมนตรีผู้เฒ่า จำได้ว่าเปนยะรุเดะกับการะตาหลา จึงพานำเข้าเฝ้าธุลีองค์สังระตู ครั้นไปถึง สองนายนั้นก็ก้มลงถวายบังคมธุลีภคินทะ จึงพระราชามีราชกระทู้โดยสุรศัพท์ว่า “ระเด่นอินู ลูกเราอยู่ที่ไหนวะ”

ยะรุเดะทูลว่า “ตวนกู ประทับอยู่ที่นอกนครตวนกูนี้เอง พร้อมด้วยนางบุตรีหลายองค์และรี้พลจำนวนหนึ่ง”

ระตูตรัสว่า “คนทั้งหมดนั้นไปได้มาจากไหน”

ยะรุเดะทูลว่า ด้วยระเด่นอินูนั้นได้เสด็จไปตีเอาเมืองหลายเมืองเปนเมืองขึ้นเมืองออก จึงได้นางบุตรีหลายนางเปนเชลย และเปนชายานางห้าม ก็และพระบุตรีก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาก็อยู่ด้วยแล้วเหมือนกัน”

สังระตูได้ทรงฟังยะรุเดะทูลแถลงดังนั้นก็ทรงสุขจิตต์โสมนัศยิ่งนัก จึงตรัสสั่งให้จัดรี้พลออกไปรับเสด็จ ให้นำม้ารถคชพาหนทั้งดุริยดนตรีทั้งหลายไปด้วย ในเวลากำลังตรัสอยู่นั้น บัดดลระเด่นอินูก็เข้าไปหน้าพระที่นั่ง น้อมเศียรบังคมธุลีบาทบงกชถึงเจ็ดคาบ องค์สังระตูก็ทรงกอดและจุมพิตพระราชโอรสพลางตรัสว่า “ใครนี่ที่มากับอะนะกันดานี้”

ระเด่นอินูทูลว่า “นี้คือบุตรระตูจกรกา มีนามว่าระเด่นวิรันตะกะบิดาของเธอกลับคืนไปสู่สวรรค์แล้ว”

แล้วก็นำนางทั้งหลายเข้าเฝ้าสังระตู ฝ่ายสังระตูกับประไหมสุหรีสององค์ด้วยกันนั้น ก็ทรงสุขจิตต์ปรีดิ์เปรมยิ่งนัก ในอันเห็นราชบุตรรอดกลับมาโดยสวัสดี จึงให้เลี้ยงสมโภชด้วยอาหารเครื่องดื่ม และเครื่องสนุกสนานนาๆ

ครั้นแล้วสังระตูก็ทรงการุณ๓๗ เกื้อกูลรี้พลทะแกล้วทหารซึ่งยอมตนเปนข้าตามมาด้วยนั้นด้วยเสื้อผ้าเปนต้น และทุกๆคนให้ได้มีที่อยู่พักอาศรัย ส่วนนางทั้งหลายนั้นก็เช่นกัน บ้างก็ประทานตำหนักให้อยู่ในตาหมัน บันยาหรัน ส้าหรี บ้างก็ให้อยู่ที่ตำบลการังส้าหรี และที่ให้อยู่ที่ตำบลดูกาก็มี ส่วนก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้นโปรดให้ประทับในวังระเด่นอินู กะระตะปาตี

อยู่มาวันหนึ่งก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ตรัสแก่ระเด่นอินู กะระตะปาตีว่า “พระคุณของกะกันดานั้นใหญ่หลวงนัก ไม่อาจตอบแทนสนองพระคุณให้เพียงพอได้ ด้วยกะกันดาได้ประทานตุ๊กตาทองคำตาเพชรแก่หม่อมฉัน และด้วยเหตุว่ายังมิได้ตอบแทนพระคุณนั้น บัดนี้หม่อมฉันจะขอสนองพระคุณ คือหม่อมฉันมีราชบุตรีมันตาหวันมาด้วยสองคน ซึ่งยอมตนเปนข้าครั้งหม่อมฉันไปตีเมืองนั้น นั่นแหละหม่อมฉันขอถวายใช้หนี้พระคุณกะกันดา และนางบุตรีนั้น คนหนึ่งมีนามว่าบุษบาส้าหรี อีกนางหนึ่งบุษบาชูวิต ตั้งแต่นี้ไปกะกันดาแหละเปนเจ้าของนางทั้งสองนั้น”

ระเด่นอินูได้ฟังคำตรัสทั้งมวญนั้นก็ยิ้มและสรวล แล้วก็สวมสอดกอดจูบนางก้าหลุจันตะหรา กิระหนา พาสู่ที่บรรจถรณ์ ตระกองกรหยอกเย้าเล้าโลม ดังแมลงผึ้งยังมธุให้สุกใสชุ่มหวาน ทั้งนี้ด้วยเทวานุภาพบันดาลนั้นแล

จะกล่าวถึงองค์ระตูดาหา ณกาลนั้นท้าวเธอก็ทรงทราบข่าวราชธิดาก้าหลุจันตะหรา กิระหนานั้นว่าได้ไปถึงยังนครกุรีปั่นพร้อมด้วยระเด่นอินู กะระตะปาตีแล้ว

จึ่งตรัสสั่งให้เรียกชุมนุมตระเตรียมรี้พลสกลไกร ครั้นมาพร้อมสรรพทั่วกันแล้วท้าวเธอกับมหาเดหวีก็เสด็จยาตรา มีพหลโยธาแห่นำตามเสด็จแปรทิศสู่นครกุรีปั่น

มิช้านานศรีภคินทะก็เสด็จไปถึงยังที่นั้น มีการรับรองตามสมควร แล้วต่างฝ่ายก็กอดและจุมพิตซึ่งกันและกัน เชิญให้เสวยโภชนาหารเครื่องดื่มแล้วมหาเดหวีก็เข้าเฝ้าประไหมสุหรี จึงประไหมสุหรีตรัสว่า “ฉันได้ยินข่าวเลื่องฤๅโด่งดังว่า ระตูดาหานั้นมักทรงคล้อยตามความประสงค์ของชายาคนหนึ่ง ถ้าไม่มีมนตรีผู้ใหญ่แล้วแน่เทียวบ้านเมืองดาหาจะต้องพินาศ เพราะท้าวเธอสิเนหาอาลัยหลงใหลในท่านลิกูนัก ไม่ว่าอไรก็ทรงตามใจไปเสียสิ้น อันการอย่างนี้ถ้าเปนระตูกุรีปั่นแล้ว แน่เทียวปลายแหลมพระแสงกริสของระตูจะต้องเสียบหน้าอกท่านลิกูนั้น”

นางมหาเดหวีก็ทรงกรรแสง ด้วยมาระลึกถึงการที่ก้าหลุจันตะหรากิระหนาถูกตัดเกษาด้วยกรรไกรนั้น แล้วตรัสว่า “ถูกแล้ว ระตูดาหาแพ้อำนาจท่านลิกูจนกระทั่งก้าหลุต้องหนีไปจากนครเที่ยวสู้รบตีชิงทรัพย์สินผู้คน ทั้งแปลงตัวเปนชายเรียกชื่อว่าปันหยีสะมิหรัง แล้วต่อไปก็กลายเปนกำบูเที่ยวร่อนเร่ระเหระหนไปมา” แล้วมหาเดหวี ยังเล่าแถลงประการอื่นๆ อีกต่อไป

สังระตูกุรีปั่นรับสั่งให้หาระเด่นอินู ไม่ช้าระเด่นอินูนั้นก็เข้าสู่ที่เฝ้าพร้อมด้วยก้าหลุจันตะหรา กิระหนา น้อมเศียรถวายบังคมทั้งสององค์

สังระตูทรงจุมพิตพระราชบุตรที่ศิรประเทศแล้วตรัสสั่งให้ทูลแถลงเล่าเรื่องแต่ต้นจนปลายดังเช่นได้เคยทรงฟังจากพระราชโอรสก่อนแล้วนั้น แล้วระตูดาหาจึงตรัสว่า“บัดนี้ควรเราจะจัดการอภิเศกสยุมพรลูกเรา ระเด่นอินูกับก้าหลุจันตะหรากิระหนา”

ณกาลนั้นจึงทรงปรึกษาหารือกับประไหมสุหรื และมหาเดหวี ครั้นแล้วสังระตูกุรีปั่นก็ตรัสสั่งให้ยะรุเดะกับการะตาหลาไปเชิญเสด็จท้าวกากะหลัง

ยะรุเดะก็ขึ้นม้าควบไปอย่างเร็วที่สุด มิได้หยุดยั้งแม้สักครู่ยามเดียว ลืมกินลืมดื่ม ทั้งมิได้อาบน้ำชำระกาย

มิช้าก็ไปถึงกรุงกากะหลัง กราบทูลความตามที่ท้าวกุรีปั่นมีพระบัญชามา ครั้นแล้วก็ทูลลากลับนครกุรีปั่น

ฝ่ายระตูกากะหลังก็ทรงปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ตรัสสั่งให้เตรียมรี้พล ครั้นพร้อมสรรพก็เสด็จยุรยาตรพร้อมทั้งประไหมสุหรี ขึ้นทรงรถพระที่นั่ง ระเด่นสิงหมนตรีกับรี้พลก็ตามเสด็จไป บ่ายหน้าสู่นครกุรีปั่นไม่ช้านาน ศรีภคินทะนั้นก็เสด็จถึงกรุงกุรีปั่น ระตูกุรีปั่นก็ทรงต้อนรับตามสมควร ทรงสวมสอดกอดจูบซึ่งกันและกันแล้วเชิญให้เสด็จเข้าในพระราชฐาน

ระเด่นอินูกับก้าหลุ ก็ก้มเศียรถวายบังคมองค์ท้าวกากะหลังนั้น

ฝ่ายระตูกากะหลัง ก็พิศวงงงงวยมิใช่น้อย ในอันทอดพระเนตรเห็นปันหยียาเหย็งกะสุมา อยู่ที่กรุงกุรีปั่น ด้วยมิได้ทรงทราบว่าเปนราชโอรสกรุงกุรีปั่น ซึ่งแปลงเปนปันหยีเที่ยวตีเอาบ้านเมืองมากมายมาเปนเมืองขึ้นเมืองออก

ระเด่นอินูเห็นพระอิริยาบถของท้าวกากะหลังดังนั้นก็แย้มสรวล

แล้วระตูกากะหลังก็ตรัสถามว่า “พวกกำบูอีกหกคนหายไปไหนเห็นอยู่นี่แต่คนเดียว คือกำบูวาระคะ อัสมาหรา เท่านั้น”

ระเด่นอินูก็ยิ้มและก้าหลุจันตะหรา กิระหนาก็ยิ้มตามด้วย แล้วก็ก้มพักตร เอาผ้าเช็ดขนง

ครั้นแล้วพนักงานก็เชิญเครื่องเสวยมาตั้ง เสร็จเสวยแล้ว ก็ตั้งพานพระศรี๓๘และถวายน้ำหอมต่างๆ

แล้วก็ประทับใกล้เคียงกัน ปรึกษาหารือด้วยเรื่องจะอภิเศกก้าหลุจันตะหรากิระหนา กับระเด่นอินู กะระตะปาตีนั้น

จึ่งระตูกุรีปั่นตรัสสั่งให้จัดตระเตรียมการที่นอกพระราชฐานและสั่งให้แต่งประตูเมืองด้วยเครื่องประดับประดาต่างๆด้วย พระนครก็งดงามวาวแววแพรวพราย ผู้คนก็ไปมาแน่นหนามากขึ้น

แล้วนวลนางก้าหลุ กับระเด่นอินูนั้น ก็ทรงเครื่องเรืองอร่ามด้วยกาญจนาภรณ์นานา จนพระรูปโฉมงามพริ้งยากจะหาที่เปรียบได้ ครั้นเสร็จแล้วจึงองค์สังระตูตรัสสั่งให้กระทั่งเสียงดุริยดนตรี เรียกประชุมชาวนาครไพร่บ้านพลเมือง ด้วยจะเศกให้พระราชโอรสขึ้นครองราชย์ในกุรีปั่นนั้น เพราะองค์ศรีภคินทะจะเสด็จออกผนวชเปนภควัน๓๙ โดยที่ทรงพระชรามากแล้ว จึงมีการเอิกเกริกมโหฬารดิเรก สุดจะคณนา ด้วยเสียงฆ้องตับฆ้องหมุ่ย ฆ้องโข่ง ระนาดทอง กลองและรำมะนา๔๐ตีกระหน่ำไม่หยุดหย่อน และคนที่มาดูงานก็มากมายถึงแก่เบียดเสียดเยียดยัดแน่นไปทั่วเมือง

แล้วองค์ศรีภคินทะกุรีปั่น ตรัสประกาศด้วยสุรศัพท์สิงหนาทอันดังว่า “บัดนี้เราจะให้ราชโอรสของเรา ระเด่นอินูกะระตะปาตี เปนราชาครองเมืองนี้ให้มีนามว่า สังระตู ประบู๔๑ อะโนม”

แต่พอระตูกุรีปั่นตรัสประกาศดังนั้นจบลงแล้ว ราษฎรไพร่บ้านพลเมืองก็เปล่งเสียงเซ็งแซ่รับรอง

ครั้นแล้วก็เชิญคู่สมรสหรือคู่บ่าวสาวนั้น ขึ้นประทับเหนือสุวรรณยานมาศอันวิลาศพรรณรายเดิรแห่ไปรอบพระนคร ครั้นกลับถึงจึงประดิษฐานก้าหลุจันตะหรา กิระหนาไว้ในที่ประไหมสุหรี นางนิลวาตีตั้งเปนมหาเดหวี และก้าหลุนาหวัง จันตะหรา กับทั้งนางบุษบาชูวิต คือราชบุตรีมันตาหวันนั้นตั้งขึ้นไว้ในที่ลิกู ฝ่ายท้าวมันตาหวันซึ่งอยู่ในที่นั้นด้วยก็ยินดีอนุโมทนา และพระราชฐานนั้นก็แน่นหนาไปด้วยราชา ๆ และระตู ๆ ซึ่งได้เชิญมายังที่นั้น เพื่อประกอบความรื่นเริงและเปนเกียรติเปนสง่าแก่วันอภิเศกสมรสระตู ประบู อะโนม นั้น

เสร็จการรื่นเริงนั้นแล้ว จึงท้าวกุรีปั่นกับท้าวกากะหลัง เชิญให้ระตูดาหาตรัสให้หาท่านลิกูกับบุตรี คือก้าหลุ อาหยัง นั้นมา ด้วยระตูกากะหลังทรงพระดำริว่าควรจะเศกให้กับราชบุตร คือระเด่นสิงหมนตรีนั้น

จึงดำรัสสั่งแต่งทูตไปดาหาเพื่อรับนางลิกูกับบุตรีนั้นมา

ท่านลิกูก็มา ดูท่าทางยินดีปรีดา ยิ่งก้าหลุอาหยังด้วยแล้วก็ปลื้มเปรมมาก ด้วยรู้สึกว่าใกล้องค์ระเด่นอินู นาสิกจะจรดปรางอยู่แล้ว

มิช้าก็พากันเข้าพระราชวัง มีดุริยดนตรีบรรเลงต้อนรับ ก็และก้าหลุอาหยังนั้นคาดว่าระเด่นอินูกะระตะปาตีจะมาต้อนรับ ซึ่งแท้จริงเวลานั้นกำลังประทับเสวยสุขารมณ์อยู่กับชายาก้าหลุจันตะหรา กิระหนา ในที่บรรจถรณ์

แล้วท่านลิกูก็เข้าไปข้างในเฝ้าประไหมสุหรี และสังระตู แล้วก็สรวมสอดกอดจูบกันตามประเพณี

กาลนั้นพนักงานก็จัดการแต่งองค์ก้าหลุ อาหยัง กับระเด่นสิงหมนตรี และระเด่นสิงหมนตรีนั้นก็ชื่นชมโสมนัศสรวลเสเฮฮาเบิกบานหฤทัย เพราะยะรุเดะกับประสันตาเฝ้าเยินยออยู่เรื่อย ฝ่ายท่านลิกูก็ยินดีปรีดาในอันเห็นบุตรีวิวาหะเปนครั้งที่คำรบสอง

ถึงเพลารัตติกาลล่วงไปมากแล้ว ระเด่นสิงหมนตรี กับก้าหลุ อาหยังก็รับๆสั่งให้เข้าบรรธมเรียงเขนยในที่บรรจถรณ์ซึ่งมีม่านกั้นบัง

ครั้นก้าหลุ อาหยังไปเข้าที่ไสยาด้วยกันแล้ว เห็นว่าเปนระเด่นสิงหมนตรี มิใช่ระเด่นอินู จึงว่า “ไม่เอาแล้ว ฉันไม่รักแก รูปร่างแกน่าเกลียดน่าชัง คอสั้นทั้งฟันก็เกยก่าย”

ระเด่นสิงหมนตรีก็กล่าวคำปลอบว่า “ฉันนี้ก็สวยงามและหวานเหมือนกันและ หากแต่คอของฉันเท่านั้นแปลกไป แต่รูปร่างก็เกือบจะเหมือนกับรูประเด่นอินูกะระตะปาตี”

ก้าหลุ อาหยังตอบว่า “ไม่ได้ ไม่เอาแล้ว เพราะสวามีของฉันนั้นคือระเด่นอินู ผู้พักตรงาม ฉันนี้มีแต่คิดถึงเธอเท่านั้น ควรแต่เธอเท่านั้นจะมาคลึงเคล้าเล้าโลมฉัน”

สิงหมนตรีก็ปลอบอีกด้วยวาจาอันไพเราะอ่อนหวานว่า “โอ้ ดวงยิหวา ดวงใจของพี่ มาเถอะ พี่จะจูบปรางของเธอ”

ก้าหลุ อาหยังก็เฝ้าแต่กรรแสงเรื่อยไป ทั้งบ่นพร่ำรำพันจนได้ยินถึงภายนอกฝาผนัง ออกแต่นามระเด่นอินูกะระตะปาตีไม่หยุดหย่อน และขอความช่วยเหลือให้ได้ระเด่นอินูมาเคล้าคลึง มีกิริยาราวกับว่าเปนคนวิกลจริต ฝ่ายระตูกากะหลังชรอยก็จะได้ทรงทราบเรื่องของพระสุนิสานั้น ถึงวันรุ่งเช้าจึงตรัสสั่งให้เตรียมรี้พลสกลไกร ด้วยทรงพระดำริว่า รีบพาเอาระเด่นสิงหมนตรีกับก้าหลุอาหยังไปเสียยังกรุงกากะหลังจะดีกว่า

ระตู ๆ ทั้งหลายก็เห็นพระหทัยระตูกากะหลังนั้น จึงสวมกอดและจุมพิตซึ่งกันและกัน

แล้วท่านลิกู ชนนีของก้าหลุอาหยังนั้นก็เข้าไปใกล้ธิดา บอกคาถาอาคมให้บางประการ ทั้งปลอบโยนและให้คำสั่งสอนในเรื่องการทำเสน่ห์ยาแฝดแล้วยังกำชับให้ปฏิบัติตามคำสั่งสอน กล่าวคือว่าให้เลียนอย่างความประพฤติและท่วงทีกิริยาของนางเอง และต่อไปจะหาหมอเสน่ห์ที่ศักดิ์สิทธิ์ให้ เพื่อระเด่นสิงหมนตรีจะได้รักใคร่ใหลหลงถึงไม่อยากจะจากพรากกันเลย แล้วก็บอกสอนอุบายบางอย่างที่จะทำให้ระเด่นสิงหมนตรีนั้นกลัวเกรง จะประสงค์จำนงหมายสิ่งอันใดก็จะต้องตามใจทุกอย่าง และยังสั่งกำชับความอย่างอื่นอีกหลายประการ

ครั้นแล้วระตูกากะหลังกับสิงหมนตรีก็เสด็จออกยาตรา พาก้าหลุ อาหยังไปด้วย ไม่ช้าก็ไปถึงนครกากะหลังด้วยความชื่นชมโสมนัศ ฝ่ายก้าหลุ อาหยังก็ประพฤติตามคำสอนของชนนีเปนนิรันดร์ มิได้มีอันลืม

จะกล่าวถึงระเด่นวิรันตะกะ ซึ่งมีรับสั่งโปรดให้กลับคืนไปยังเมืองจกรกา และให้ยะรุเดะกับการะตาหลาตามไปด้วยนั้น ได้ประทานนางหนึ่งคือบุตรีบุษบาส้าหรี ธิดาท้าวมันตาหวันนั้นเปนภริยา ครั้นไปถึงเมืองจกรกา จึงการะตาหลา กับยะรุเดะ ส่งเสียงตะโกนเข้าไปว่า “เรานี้คือทูตกรุงกุรีปั่น มาเพื่อประดิษฐานราชาผู้ครองเมืองนี้แทนที่พระชนกของเธอ ซึ่งสิ้นชีพแล้วนั้น”

จึงบรรดาไพร่บ้านพลเมืองก็รับเสด็จและเคารพราชาผู้จะเข้าแทนที่นั้นด้วยชื่นชมยินดีทั่วกัน ฝ่ายยะรุเดะกับการะตาหลาก็กลับคืนกรุงกุรีปั่น และระเด่นวิรันตะกะก็ได้เปนระตูครองเมืองจกรกาแทนที่พระบิดาของเธอโดยผาสุกศิริสวัสดิ์สถาพร ด้วยเดชองค์อมรเทวาธิราชหากบรรดาลดลนั้นแล

จะกล่าวถึงยะรุเดะ การะตาหลา กับประสันตาและปูนตากาลล่วงมาวันหนึ่งซึ่งเปนวันดีศรีพระยาวัน จึงโปรดตั้งยะรุเดะให้เปนดะหมังปกครองจังหวัดการังบันดากา และได้ประทานเกนบาหยันพี่เลี้ยงเปนภริยา การะตาหลาเปนปลัดจังหวัดหนึ่งและได้ประทานพี่เลี้ยงนางหนึ่งซึ่งมีนามว่าเกนส้าหงิดเปนภริยา ประสันตาให้เปนมนตรีได้ประทานเกนปะมอหนังเปนภริยา ปูนตาได้เปนตำมะหงง ได้ประทานเกนปะสีเหรียนเปนภริยา และนครกุรีปั่นนั้นก็ทวีความร่มเย็นเปนสุขสันติภาพ ยิ่งมั่งคั่งแน่นหนาขึ้นโดยอันดับ

ฝ่ายระตูดาหาและระตูกุรีปั่นนั้นก็ทรงเกษมสำราญ แต่ละองค์ใคร่จะออกทรงผนวชเปนภควัน

มาวันหนึ่งจึงระตูดาหาโปรดให้เตรียมรี้พลมนตรี เพื่อจะเสด็จกลับคืนสู่นคร

ครั้นพร้อมสรรพแล้วก็เสด็จยุรยาตรพร้อมพลพยุหบาทแห่นำตามเสด็จ ถึงกรุงดาหาแล้วก็ทรงประดิษฐานมหาเดหวีขึ้นเปนที่ประไหมสุหรี ซึ่งในภายหลังมีนามกรฦๅชา ด้วยคนทั้งหลายพากันสรรเสริญทั่วนครว่าเปนผู้มีจริยามั่นคงสุจริตไพบูลย์ด้วยขันตีธรรม

ฝ่ายท่านลิกูก็เรียกมนตรีน้องชายมา เพื่อจะสั่งให้ไปขอชานหมากจากอาจารย์อย่างครั้งก่อนอีก เพราะชานเก่านั้นหายขลังไปเสียแล้ว ทั้งแห้งและเกือบจะหมด ด้วยนางได้แบ่งเอาไปให้ธิดาเสียส่วนหนึ่งคือก้าหลุอาหยังนั้น เพื่อจะได้เลียนอย่างปฏิบัติตามนางมารดา

น้องชายที่ชื่อมนตรีนั้นก็มา นางจึ่งสั่งว่า “แน่ะมนตรี จงไปขอชานหมากมาให้พี่ใหม่ อย่างเช่นเคยขออาจารย์อะไรครั้งก่อนนั้น”

น้องชายนั้นก็ไปยังกุหนุงอันหนึ่งซึ่งเปนที่อยู่ของอาจารย์นั้น พอไปถึงเชิงเขาฝนก็ตกอย่างใหญ่ และอสนีบาตสายฟ้าฟาดถูกศีรษะมนตรีล้มถลาลงตายอยู่ ณ ที่นั้นเอง

ครั้นท่านลิกูได้ทราบข่าวน้องชายถูกสายฟ้าฟาดตาย ก็หมดหวังจึงร้องไห้ทั้งกลางวันกลางคืนเช้าตรู่จนพลบค่ำ แต่ก็มีเวลาคลายทุกข์บ้างด้วยคาดว่าเพราะมาเสียน้องไปดังนี้ องค์สังระตูจะทรงสงสารและเพิ่มพูนสิเนหาอาลัยในตน หาทราบไม่ว่าศรีภคินทะนั้นทรงสิ้นความอาลัยเพราะชานหมากนั้นสิ้นฤทธิเสียแล้ว ท่านลิกูก็ทุกข์จิตต์เสียใจเปนอันมากยิ่งนานวันก็ยิ่งทวีทุกขาดูร ถึงกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะคิดถึงน้องชาย ซึ่งมีอยู่แต่คนเดียวและไปถูกสายฟ้าตายเสียแล้วกลางทาง มิหนำซ้ำสังระตูก็ไม่ทรงเหลียวแลเอาธุระหรือยกย่องเสียอีก ไม่อยากจะทอดพระเนตรเห็นหน้าเห็นตาเสียทีเดียว

กาลล่วงไปอีกก็ยิ่งทุกขหนักขึ้น ถึงแก่เกิดมีโรคขึ้นอันหนึ่งซึ่งเปนโรคร้ายแรงไม่สามารถเยียวยาได้ ยิ่งนานไปก็ยิ่งซูบผอมเนื้อหมดไป หากไม่มีหนังหุ้มอยู่แล้วจะเห็นกระดูกทีเดียว

เพราะเหตุฉนั้นมาวันหนึ่งท่านลิกูก็กระทำกาลกิริยาวายชนม์ไป

ครั้นสังระตูได้ทรงทราบและตระหนักว่าท่านลิกูชายาสิ้นชีพแล้วโดยที่แม้เมื่อป่วยไข้ก็มิได้ทรงทราบ จึงดำรัสสั่งให้จัดการฝังศพ เจ้าพนักงานก็นำศพไปฝังตามสมควร

บัดนี้จะกล่าวถึงระเด่นวิรันตะกะ ซึ่งขึ้นเปนราชาครองเมืองจกรกาแทนที่ชนกนั้น ก็เสวยสุขเกษมสันต์กันด้วยนางบุษบาส้าหรีเปนนิตย์มา จึงยกย่องประดิษฐานนางไว้ในที่ประไหมสุหรี ประชาชีพลเมืองนั้นก็เกษมสุขสโมสรทั่วกัน ส่วนมนตรีผู้เปนน้า ก็ทรงตั้งให้เปนมหามนตรีผู้เฒ่าผู้ใหญ่ในนครนั้น เรื่องระเด่นวิรันตะกะราชาแห่งกรุงจกรกามีอันเล่าแถลงมาเปนประการดังนี้แล

ก็และราชาๆ และระตูๆ ที่ยังประทับอยู่ ณ กรุงกุรีปั่นนั้น ก็รื่นเริงบันเทิงหทัยเรื่อยไปไม่มีที่สุด ครั้นเสร็จการรื่นเริงเฉลิมฉลองสิ้นแล้ว ต่างองค์ต่างก็กลับคืนสู่นครด้วยความยินดีปรีดา

ในจำนวนนั้นมีระตูมันตาหวัน ซึ่งปรีดิ์เปรมเปนอย่างยิ่ง เพราะได้เขยสององค์ซึ่งปรีชาสามารถและเจริญสวยรูปสมบัติเผ่าพงศและทรัพย์ศฤงฆาร กล่าวคือองค์หนึ่งณกรุงกุรีปั่น อีกองค์หนึ่งณกรุงจกรกา ทั้งสองกรุงนี้ก็จะปรองดองเปนไมตรีกันโดยสงบสันติภาพ ท่านผู้เจ้าของเรื่องท่านเล่าแถลงมีประการดังนี้แล

จะกล่าวถึงสังระตูกุรีปั่น ครั้นได้เห็นพระราชโอรสสังประบูอะโนมประทับเหนือราชบัลลังก์ครองราชย์มาเปนผาสุกสวัสดี เมตตาปราณีสิเนหารักใคร่ปรองดองกับก้าหลุจันตะหรา กิระหนา กับทั้งชายาอื่นๆ คือว่านางนิลวาตีกับก้าหลุนาหวัง จันตะหรานั้นแล้ว ภคินทะทั้งสองสวามีภริยาก็ทรงสุขจิตต์โสมนัศเปนล้นพ้น ทรงดำริว่า “ก็ตัวเรานี้จะอย่างไรต่อไป บัดนี้ก็ชรานักแล้ว ราชสมบัติก็ได้สละให้แก่ลูกเราแล้ว เพราะฉนั้นเราออกไปผนวชเปนภควันอยู่เสียบนกุหนุงจะดี”

มาวันหนึ่งจึงสังระตูนั้นทรงกำชับสั่งสอนและประทานราโชวาทนานัปปการแก่ราชโอรส จะควรประพฤติวางพระองค์เปนอย่างไร ควรว่ากล่าวปกครองบ้านเมืองอาณาประชาราษฎรอย่างไร ด้วยองค์ศรีภคินทะนั้นใคร่จะเสด็จออกไปยังวิลิสคิรี เสร็จกำชับสั่งเมืองดังกล่าวนั้นแล้ว ได้ฤกษงามยามดี จึงระตูกุรีปั่นพร้อมด้วยประไหมสุหรีเสด็จสู่กุหนุงวิลิส อันเปนที่สถิตของพวกนักพรตประตาปา มิช้าศรีภคินทะก็เสด็จไปถึงยังที่นั้น แล้วก็เสด็จขึ้นไปยอดบรรพต เพื่อประสบกับพระกนิฏฐา คือบีกูคันฑะส้าหรีนั้น ฝ่ายบีกูคันฑะส้าหรีกับพราหมณาจารย์ก็ต้อนรับเสด็จ และโดยเสด็จระตูกุรีปั่นขึ้นไปบนกุหนุงวิลิสนั้น ครั้นถึงซึ่งยอดบรรพต องค์นักพรตภควันกุรีปั่นนั้นก็ทรงเครื่องชำระพระศิรเกล้า จุดธูปเนื้อไม้หอมนมัสการแล้วทรงเครื่องเศวตพัตรเยี่ยงผู้ซึ่งจะนั่งบริกรรมสมาธิสละตนถวายแด่องค์สังหยัง มหาเทวราชฉนั้น

เขาวิลิสนั้นก็แน่นหนาฝาคั่งยิ่งขึ้น ด้วยมีพราหมณาจารย์นักพรตประตาปาและบัณฑิตเปนอันมากที่มาเฝ้าพระราชานั้น และระตูกุรีปันซึ่งผนวชเปนภควันแล้วนั้นก็ประทับประตาปาอยู่ในที่นั้นเปนการยืดเยื้อตลอดไป

ฝ่ายสังระตูกากะหลัง ณกาลนั้นใคร่จะประดิษฐานราชบุตรซึ่งมีนามว่าระเด่นสิงหมนตรีกับนางก้าหลุอาหยังนั้นให้เปนฝั่งฝาในกรุงนั้น และให้เปนผู้ปกครองรัชชมีชายาเปนคู่

ครั้นแล้วจึงอภิเศกสมโภชระเด่นสิงหมนตรีจึงขึ้นครองบัลลังก์ราชย์แห่งกรุงกากะหลังนั้น ระเด่นสิงหมนตรีเสวยสุขเกษมสำราญด้วยกันกับประไหมสุหรี แล้วก็ทรงบริจาคทานแก่บรรดายาจกวนิพกยากจนเข็ญใจ ทั้งท้าวไทยยังบำเพ็ญบารมีทานประการอื่น เช่นแจกทรัพย์สินมีค่าต่างๆ คือเพชรพลอยอัญญมณีให้บรรดาประชาชนพลเมืองรับเอาไปได้ตามชอบใจ

จึงนครกากะหลังนั้นก็ยิ่งสนุกสนานแน่นหนาฝาคั่งยิ่งขึ้นอีก มีวานิชและพ่อค้าทางเรือมาซื้อขาย ณ ที่นั้นเปนอันมาก เพราะราชอาณาเขตไพศาลใหญ่โต นอกจากนั้นยังมีบัณฑิตพราหมณาจารย์อีกมากหลายมาตั้งสอนศิลปวิทยาคมอยู่ในนครนั้น บ้านเมืองก็เบียดเสียดไปด้วยผู้คน เสียงเจรจาซื้อขายกันอยู่อึงมี่

ท่านเล่าแถลงถึงสันติสุข และความสมบูรณ์มั่งคั่งของกรุงกากะหลัง มีประการดังกล่าวนี้แล

ครั้นสังระตูกากะหลังได้ทอดพระเนตรเห็นพระราชโอรสระเด่นสิงหมนตรีนั้นประทับบัลลังก์ครองราชย์มาด้วยสันติสุขสวัสดิภาพดังนั้นแล้ว ก็ทรงปรีดิ์เปรมปราโมทย์ยิ่งนัก มากาลหนึ่งจึงทรงหารือกับมเหษีว่า “บัดนี้จะว่าอย่างไร ด้วยเราสองคนนี้ก็ชรานักแล้ว เกือบจะหมดกำลังอยู่แล้ว ควรที่เราจะออกประตาปาเปนภควันเสียบ้าง ด้วยพระเชฏฐาระตูกุรีปั่นก็เปนภควันไปประทับอยู่ที่กุหนุงวิลิสตามเยี่ยงปุถุชนผู้ประตาปาแล้ว”

เสร็จปรึกษากันแล้ว จึงสังระตูทรงกำชับสั่งสอนราชโอรสระเด่นสิงหมนตรีนั้นด้วยราโชวาทนานัปการ และชักนำชี้แจงในข้อควรประพฤติปฏิบัติ ครั้นแล้วระตูกากะหลังสององค์คู่สวามีภริยาก็แต่งองค์ชำระพระเศียรแล้ว ทรงจุดธูปและเนื้อไม้หอมบูชา แล้วก็ทรงเครื่องอย่างสูจิ๔๒และสอาดบริสุทธิ์ เสร็จแล้วสังระตูสองสวามีภริยาก็สวมสอดกอดจุมพิตกับราชโอรสและกับก้าหลุอาหยังนั้น แล้วทั้งสององค์เสด็จยุรยาตรไปยังบรรพตอันเปนที่อาศรัยประตาปานั้น เสด็จไปมิช้านานก็ถึงเชิงกุหนุง ก็และในที่นั้นมีประชุมอยู่แล้วซึ่งนักพรตประตาปาและพราหมณาจารย์มากหลาย ซึ่งลงมาจากเขาเอง เพื่อจะต้อนรับเสด็จกษัตริยมหาศาลสองสวามีชายานั้น แล้วองค์ภคินทะก็เสด็จจากที่นั้นขึ้นไปยังยอดเขา บรรดานักบวชประตาปา และพราหมณาจารย์นั้นๆ ก็เดิรตามเสด็จไป ถึงยอดเขาแล้วก็เลยประทับประตาปาเปนภควัน

ก็และพระราชกิจจานุวัตรประจำตัวของภคินทะนั้นก็มิได้มีอื่นใดนอกจากกระทำสักการะบูชาบำเพ็ญบุญ ทั้งสวดสังเวยองค์สังหยัง บะตาระ ชคัต มหาเทวาธิราช และสังหยังอุลุน มิเปนอันพักดื่มเสวย

ท่านผู้เจ้าของเรื่องนี้ ท่านพรรณนาแถลงไว้เปนประการฉนี้แล

จำเดิมแต่กาลนั้นมา กรุงกากะหลัง และกรุงกุรีปั่น ก็ยิ่งแน่นหนาฝาคั่งขึ้นทุกวัน มีพ่อค้ามหาวานิชมายังที่นั้นเปนอันมาก

ก็และพระราชาทั้งสองนครนั้นก็เปนที่สรรเสริญเคารพนับถือของบรรดาประชาชนพลเมืองเปนนิตย์นิรันดร์ ทั้งเปนที่รักของปวงบะตาระเทวัญทั่วไป เหตุเพราะภควันสององค์นั้นทรงสักการะบูชาสวดสังเวยองค์สังหยังผู้ทรงมเหศรศักดานุภาพอยู่โดยจำนง เพื่อโปรดให้ผู้สืบสันติวงศ์ได้เปนมหากษัตริย์ดำรงบัลลังก์รัชชราชสีมาอาณาจักรโดยสันติสุขสิริสวัสดิ์สถาพรเปนนิจกาล

ท่านผู้เจ้าของนิยายได้เล่าแถลงเรื่องปันหยีสะมิหรังอัสมารันตะกะมีข้อความดังกล่าวมาทั้งมวญ ยุติลงเพียงนี้แล.

จบเรื่องปันหยีสะมิหรัง

  1. ๑. ดะตุ๊ หรือดาโต๊ะ เป็นคำยกย่อง ในที่นี้ก็คือว่าท่านอาจารย์หรือท่านกวี ศาลหลวงในมณฑลปัตตานี เคยมีตำแหน่ง ดะโต๊ะยุตติธรรม สำหรับช่วยพิจารณาคดีที่เกี่ยวด้วยศาสนาอิสลาม

  2. ๒. ต้นฉบับว่า “ปูอาเต ปันชี ปันจะ ปรชาดะ” แปลว่าเบญจามีหลังคาเป็นปราสาท ๕ ยอด

  3. ๓. ต้นฉบับใช้คำ “ปรวาระ”

  4. ๔. การกินหมาก ภาษามะลายู เรียกว่ากินพลู

  5. 5. บิบินดา พระเจ้าอาว์ (ผู้หญิง)

  6. 6. ความในต้นฉบับว่า “ครั้นเห็นปันหยี สะมิหรัง ไม่มีอีกแล้ว”

  7. 7. ต้นฉบับใช้คำ “มารคะสัตวะ” ที่ถูกควรจะเปนมริคะสัตวะ

  8. 8. ต้นฉบับใช้คำภาษาอาหรับว่า “อัสตักฟิรุลลาห์” แปลว่า พระเจ้าจงคุ้มกัน

  9. 9. สำนวนมลายูเรียกหมอนข้างว่าหมอนกลิ้ง

  10. ๑๐. พี่

  11. ๑๑. ปุตระ แปลว่า บุตร ปุตะรันดา = พระราชบุตร

  12. ๑๒. ในชวาทุกวันนี้ “ปะเงรัน” เปนยศทำนองเจ้าต่างกรมฝ่ายชาย คือเมื่อยังเยาว์ใช้ยศอุสตี พออายุถึง ๑๐ ปี เข้าพิธีสุหนัด แล้วก็รับยศปะเงรันพร้อมกันไป และเปลี่ยนนามเหมือนระเบียบนามกรมของไทยเรา อนึ่งพระยาเมืองที่รับราชการนานมีความชอบมาก ยกขึ้นเปนปะเงรันก็มี

  13. ๑๓. บรรดาชื่อแปลงเหล่านี้ไม่ตรงกับ พระราชนิพนธ์อิเหนาเลย

  14. ๑๔. มะ ระมีซะ นี้ ว่าเปนพี่เลี้ยงคนหนึ่งของปันหยี สะมิหรัง และเปนที่รักของยะรุเดะซึ่งแปลงชื่อเปนวิรุน แต่ในหนังสือนี้มีออกชื่อแต่ตรงนี้แห่งเดียว

  15. ๑๕. ต้นฉบับใช้คำ “สะตริยะ” ได้แก่กษัตริยะ, ขัติยะ คือนักรบ

  16. ๑๖. ใน พ.ร.น. อิเหนาว่า อุสงหงัน

  17. ๑๗. ต้นฉบับว่า “ชะคะ ระคะ” (อักษร ช ออกเสียงเหมือนตัว j และอักษร ค ออกเสียงเหมือนตัว g ในภาษาอังกฤษ จะเขียนว่า จะกะระกะ ก็พอได้) ชื่อนี้ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่าตรงกับจรกาในพระราชนิพนธ์อิเหนา (เปนแต่เรื่องราวแผกกันไป) จึงเขียนลงในหนังสือนี้ จกรกา ผู้อ่านจะออกเสียงว่าจอกอระกา หรือจะกะระกา ก็ตามแต่ใจชอบ

  18. ๑๘. ต้นฉบับ นิละวาดี คือนิลวดี แต่ในหนังสือนี้เขียน วาตี คล้อยตามทำนองที่มีในพระราชนิพนธ์

  19. ๑๙. สองคนหลังนี้เพิ่งมามีออกชื่อตอนนี้ เมื่อเทียบกับ พ.ร.น. อิเหนา ปะมอหนัง น่าจะตรงกับ ปะราหงัน และปะสีเหรียนน่าจะตรงกับ ประเสหรัน ซึ่งในที่นั้นอยู่ในจำนวนสี่พี่เลี้ยงของบุษบา เมื่อมาออกชื่อในหนังสือนี้ต่อกับ บาหยัน และส้าหงิด ก็ดูเข้าชุดเปนสี่พี่เลี้ยง แต่ความต่อไปทำให้เข้าใจชัดขึ้นว่า เปนพี่เลี้ยงของนางบุษบา ชูวิต และบุษบา ส้าหรี

  20. ๒๐. โดยพยัญชนะสะกด “อินดัง” แต่อ่านควบกล้ำเปน อินัง คำนี้คงจะตรงกับคำ แอหนัง ใน พ.ร.น. อิเหนา

  21. ๒๑. กลอนในต้นฉบับส่งสัมผัส สะ ทุกบันทัด และบันทัดที่ ๑ กับบันทัดที่๒ ส่งสัมผัสท้ายซ้ำกันด้วยคำ บินาซะ จึงใช้คำนั้นซ้ำตามไป

  22. ๒๒. สีโตคก เปนชื่อจำอวด ในที่นี้เรียกสิงหมนตรี สีโตคก เพราะเปนตัวตลกสำหรับล้อกันเล่น

  23. ๒๓. ดูเทียบฟุ้ตโน๊ต ๑๓

  24. ๒๔. โดยพยัญชนะ คัมบุห์เขียนแปลงเปน กำบู ให้เรียกง่ายๆ เปนคำเรียกนักละคอนฟ้อนรำ ซึ่งเที่ยวร่อนเร่เล่นให้คนดูในที่ต่างๆ

  25. ๒๕. ตามที่พรรณนานี้เข้าทำนองความเปนไปของพวกโนรา ที่เที่ยวเร่เล่นตามหัวเมืองปักษ์ใต้ของเรา

  26. ๒๖. สุกู เปนเงินตราเก่า สุกูหนึ่งคิดราคาประมาณ ๓๕ เซนต์เงินชวา ปัจจุบันนี้

  27. ๒๗. คำ “เพลง” นี้คงหมายความว่าเล่นพักหนึ่งๆ มิฉนั้นแล้วดูค่าจ้างแพงมากนัก

  28. ๒๘. ต้นฉบับใช้คำ “ละลาคอน” แปลว่าเรื่องลคอน

  29. ๒๙. ต้นฉบับใช้คำ “บูดิ ปกรติ” แปลว่าคุณวุฒิประจำตัว

  30. ๓๐. ต้นฉบับว่า “ลังชัด”

  31. ๓๑. ตาม พ.ร.น. อิเหนา ระตูล่าสำ เปนพี่จรกา แต่ในฉบับนี้ไม่ชัดว่าใครเปนพี่เปนน้อง และอีกชื่อหนึ่งนั้นไม่ปรากฏมีใน พ.ร.น. ทีเดียว อนึ่งบรรดาเมืองที่ออกชื่อใน พ.ร.น อิเหนาก็ดี ในหนังสือปันหยีสะมิหรังนี้ก็ดี เกือบจะมีแต่ล่าสำเมืองเดียว ที่ยังเปนบ้านเมืองอยู่จนปัจจุบันสมัยนี้ ตั้งอยู่ริมฝั่งเหนือของเกาะชวาภาคกลาง เมืองนอกนั้นสาบสูนย์เสียโดยมาก มีแต่โบราณวัตถุเหลืออยู่บ้าง กลายเปนเพียงชื่อตำบลหมู่บ้านเท่านั้นบ้าง ที่สูญชื่อเลยทีเดียวก็มี

  32. ๓๒. ต้นฉบับว่า “มาลาอิ” แปลว่า ดอกไม้หรือมาลีก็ได้ ว่าพวงมาลัยก็ได้

  33. ๓๓. ต้นฉบับใช้คำ “กะมะละ ลิตติ”

  34. ๓๔. ในต้นฉบับบทนี้ทิ้งสัมผัส “นี” ทั้ง ๔ บาท

  35. ๓๕. ต้นฉบับใช้คำ “มานะห์”

  36. ๓๖. สำนวนในต้นฉบับตรงนี้ว่า “ขอบคุณเทวดานับพันครั้ง” แปลดัดแปลงไปบ้างเพื่อสำนวนไทย

  37. ๓๗. ต้นฉบับใช้คำ “เม็งงารุเนียอิ” ซึ่งผูกมาจากต้นศัพท์ “กะรูนิยะ“ แปลว่าการุณหรือกรุณา

  38. ๓๘. ต้นฉบับว่า “ปูอัน สิริห์” แปลโดยพยัญชนะว่า เชี่ยนพลู ด้วยที่เราเรียกว่ากินหมาก เขาเรียกกินพลู สิริห์ว่าพลู ในที่นี้เรียกว่าพานพระศรีก็ได้สำเนียงคล้ายกันดี

  39. ๓๙. ต้นฉบับใช้คำ “มะคาวัน” แปลว่านักพรต ฤษีปัจจุบันนี้ ภิกษุในพุทธศาสนาก็เรียกมะคาวัน

  40. ๔๐. ต้นฉบับใช้คำ “ระบานา” คือรำมะนา

  41. ๔๑. “ประบู” เปนยศ คำนำหน้าชื่อ ปัจจุบันนี้ก็ยังมีใช้ และในเรื่องละคอนใช้มาก เทียบได้กับคำ “ท้าว” ของเรา

  42. ๔๒. ต้นฉบับใช้คำ “สูจิ”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ