- คำนำ
- ตอนที่ ๑
- ตอนที่ ๒
- ตอนที่ ๓
- ตอนที่ ๔
- ตอนที่ ๕
- ตอนที่ ๖
- ตอนที่ ๗
- ตอนที่ ๘
- ตอนที่ ๙
- ตอนที่ ๑๐
- ตอนที่ ๑๑
- ตอนที่ ๑๒
- ตอนที่ ๑๓
- ตอนที่ ๑๔
- ตอนที่ ๑๕
- ตอนที่ ๑๖
- ตอนที่ ๑๗
- ตอนที่ ๑๘
- ตอนที่ ๑๙
- ตอนที่ ๒๐
- ตอนที่ ๒๑
- ตอนที่ ๒๒
- ตอนที่ ๒๓
- ตอนที่ ๒๔
- ตอนที่ ๒๕
- ตอนที่ ๒๖
- ตอนที่ ๒๗
- ตอนที่ ๒๘
- ตอนที่ ๒๙
- ตอนที่ ๓๐
- ตอนที่ ๓๑
- ตอนที่ ๓๒
- ตอนที่ ๓๓
- ตอนที่ ๓๔
- ตอนที่ ๓๕
- ตอนที่ ๓๖
- ตอนที่ ๓๗
- ตอนที่ ๓๘
- ตอนที่ ๓๙
- ตอนที่ ๔๐
- ตอนที่ ๔๑
- ตอนที่ ๔๒
- ตอนที่ ๔๓
- ตอนที่ ๔๔
- ตอนที่ ๔๕
- ตอนที่ ๔๖
- ตอนที่ ๔๗
- ตอนที่ ๔๘
- ตอนที่ ๔๙
- ตอนที่ ๕๐
- ตอนที่ ๕๑
- ตอนที่ ๕๒
- ตอนที่ ๕๓
- ตอนที่ ๕๔
- ตอนที่ ๕๕
- ตอนที่ ๕๖
- ตอนที่ ๕๗
- ตอนที่ ๕๘
- ตอนที่ ๕๙
- ตอนที่ ๖๐
- ตอนที่ ๖๑
- ตอนที่ ๖๒
- ตอนที่ ๖๓
- ตอนที่ ๖๔
- ตอนที่ ๖๕
- ตอนที่ ๖๖
- ตอนที่ ๖๗
- ตอนที่ ๖๘
- ตอนที่ ๖๙
- ตอนที่ ๗๐
- ตอนที่ ๗๑
- ตอนที่ ๗๒
- ตอนที่ ๗๓
- ตอนที่ ๗๔
- ตอนที่ ๗๕
- ตอนที่ ๗๖
- ตอนที่ ๗๗
- ตอนที่ ๗๘
- ตอนที่ ๗๙
- ตอนที่ ๘๐
- ตอนที่ ๘๑
- ตอนที่ ๘๒
- ตอนที่ ๘๓
- ตอนที่ ๘๔
- ตอนที่ ๘๕
- ตอนที่ ๘๖
- ตอนที่ ๘๗
ตอนที่ ๓๓
ฝ่ายโจหยินกับลิเตียนไปถึงเมืองฮูโต๋ จึงเข้าไปหาโจโฉแจ้งเนื้อความทั้งปวง แล้วก็ร้องไห้วิงวอนขอโทษ โจโฉจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย อันธรรมดาว่าสงครามจะหมายชนะฝ่ายเดียวนั้นไม่ได้ ย่อมแพ้บ้างชนะบ้าง แต่เราคิดสงสัยว่า เล่าปี่ทำการได้ถึงเพียงนี้เห็นเกินนัก ชรอยจะมีผู้ใดคิดอ่านให้ โจหยินจึงว่าข้าพเจ้าแจ้งเนื้อความว่า ที่ปรึกษาคิดการทั้งปวงให้เล่าปี่นั้นชื่อว่าตันฮก โจโฉจึงถามว่า ตันฮกคนนี้จะเปนผู้ใด เหตุไฉนแต่ก่อนชื่อเสียงจึงไม่ปรากฎ เทียหยกได้ยินก็หัวเราะแล้วจึงว่า ตันฮกคนนี้เดิมชื่อชีซีอยู่เมืองเองจิ๋ว เมื่อหนุ่มนั้นเปนคนมีเพื่อนมากเที่ยวเรียนวิชา ครั้นอยู่มาไปฆ่าเขาตายแล้วแกล้งทำอาการเปนบ้า ครั้นเขาจับได้เอาตัวไปโบยตีไต่ถาม ก็มิได้บอกชื่อเสียงแลเหตุผลทั้งปวงโดยจริงแกล้งนิ่งเสีย ผู้พิจารณาจึงเอาตัวมัดใส่เกวียนไปเที่ยวตะเวนตีฆ้องร้องป่าวว่าผู้ใดยังรู้จักชื่อคนนี้บ้าง บันดาชาวบ้านร้านตลาดทั้งปวงซึ่งรู้จักกันนั้น ก็กลัวชีซีจะซัดเอามิอาจที่จะบอกได้ ครั้นตะเวนไปปะพวกเพื่อนชีซีเข้าชิงเอาตัวไปได้ ชีซีจึงหนีไปเรียนวิชาอยู่กับสุมาเต๊กโช เปลี่ยนชื่อว่าตันฮกตราบเท่าทุกวันนี้
โจโฉแจ้งดังนั้นจึงถามว่า ชีซีมีปัญญาความคิดเสมอกับท่านหรือ เทียหยกจึงบอกว่า อันปัญญาความคิดชีซีนี้ดีกว่าข้าพเจ้ามากนัก โจโฉจึงว่า เล่าปี่ได้ผู้มีปัญญาความคิดไปไว้ เห็นจะมีใจกำเริบใหญ่หลวง ทำไฉนเราจึงจะได้ตัวชีซีมาไว้ อย่าให้เล่าปี่กำเริบไปได้ เทียหยกจึงว่า ถ้าท่านมีความปราถนาจะใคร่ได้ชีซีมาไว้นั้นจะยากอะไรมี ถึงมาทว่าชีซีไปอยู่กับเล่าปี่แล้วก็ดี ข้าพเจ้าจะคิดอ่านแก้ไขเอาตัวมาให้ท่านจงได้ โจโฉจึงถามว่าท่านจะคิดอ่านประการใด เทียหยกจึงบอกว่า ซึ่งข้าพเจ้าจะเอาชีซีมานั้น เพราะข้าพเจ้าแจ้งเค้ามูลอยู่ว่า ตัวชีซีนี้เปนคนกตัญญู แลบิดาตายแล้ว ยังแต่มารดาเปนคนชรา ขณะเมื่อชีซีจะจากมานั้น ชีของผู้น้องปฏิบัติมารดาอยู่ บัดนี้ชีของนั้นก็ถึงแก่ความตายแล้ว มารดาเปนคนอนาถาหาผู้ปฏิบัติมิได้ ขอท่านให้ไปรับเอามารดาชีซีมาเลี้ยงไว้ แล้วว่ากล่าวเอาเนื้อเอาใจให้มีหนังสือไปถึงชีซีผู้บุตร เห็นว่าชีซีมีกตัญญูต่อมารดาอยู่ จะทิ้งเสียมิได้ก็จะมา
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงแต่งคนให้รีบไปรับมารดาชีซีมาเลี้ยงเปนปรกติ แล้วโจโฉจึงปลอบโยนว่า บัดนี้เราแจ้งว่าบุตรของท่านคนหนึ่งดีมีสติปัญญา ไปอยู่ด้วยเล่าปี่อันเปนขบถต่อแผ่นดินหาควรไม่ ประดุจหนึ่งเอาแก้วไปทิ้งไว้ที่ตม สำหรับแต่จะอับไป ทุกวันนี้เราคิดเสียดายมิรู้แล้ว อนึ่งก็มีใจเอ็นดูแก่ท่านนัก จึงให้ไปรับมาหวังจะให้มีหนังสือไปถึงชีซีบุตรท่าน ให้มาอยู่ทำราชการด้วยเราในเมืองหลวง จะช่วยเพททูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เปนขุนางสืบไป แล้วโจโฉจึงให้เอาศิลาฝนหมึกกับกระดาษแลพู่กรรณ์มาส่งให้เขียนหนังสือ มารดาชีซีจึงแกล้งถามโจโฉว่า ซึ่งชื่อว่าเล่าปี่นั้นเปนบุตรผู้ใดท่านยังรู้จักหรือ
โจโฉจึงว่า เล่าปี่นั้นเปนชาวเมืองตุ้นก้วน เปนคนอนาถาหาตระกูลมิได้ โกหกเจรจาล่อลวงให้คนทั้งปวงเชื่อว่าเปนเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แกล้งทำอาการให้เห็นว่าอารีรอบคอบ ปรากฎแต่ภายนอก น้ำใจมิได้ซื่อตรงต่อผู้ใด มารดาชีซีได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงตวาดเอาโจโฉว่า มึงเปนคนชั่วหาความอายมิได้ แสร้งใส่โทษเล่าปี่ว่าเปนคนมิดี อันเล่าปี่นี้กูรู้มาแต่เดิมว่า เปนเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วมีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน โอบอ้อมอารีแก่อาณาประชาราษฎร แต่เด็กอมมือก็รู้ว่าเล่าปี่เปนคนดี บัดนี้ลูกกูไปอยู่ด้วยเล่าปี่ ก็เปนที่สำนักอันใหญ่หลวงอยู่แล้ว แลตัวมึงซึ่งว่ามีความสัตย์ซื่อจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้น ก็เห็นว่ามึงเปนศัตรูแผ่นดินอีก ซึ่งให้ลูกกูปราศจากเล่าปี่มาอยู่ทำราชการด้วยตัวมึงนั้น ก็เหมือนออกจากที่สว่างมาเข้าที่มืดหาควรไม่ ว่าแล้วก็ฉวยเอาศิลาฝนหมึกทิ้งเอาโจโฉ ๆ เห็นทำหยาบช้าก็โกรธนัก จึงสั่งให้ทหารเอาตัวมารดาชีซีไปฆ่าเสีย เทียหยกเห็นทหารเอามารดาชีซีไปจะฆ่าเสียดังนั้นก็ห้ามไว้ จึงเข้าไปว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งมารดาชีซีหยาบช้าแก่ท่านทั้งนี้ เพราะปราถนาจะใคร่ตายเสีย ให้ปรากฎชื่อไว้ว่าเปนหญิงสามารถได้ว่ากล่าวหยาบช้าต่อมหาอุปราชมิได้ยำเกรง ถ้าแลท่านจะฆ่าเสียบัดนี้ ก็จะมีความคระหานินทาเปนอันมาก ว่าฆ่าหญิงเสียหาต้องการไม่ อนึ่งแม้มารดาชีซีตายแล้ว รู้ไปถึงชีซีก็จะมีความโกรธท่านมากขึ้น จะช่วยเล่าปี่คิดอ่านกระทำการเปนกวดขันหวังจะแก้แค้น ขออย่าให้ฆ่าเสียเลย เอาเลี้ยงไว้ก่อน ถึงชีซีจะทำการกับเล่าปี่ไปเบื้องหน้าก็คงจะเปนห่วงอยู่ด้วยมารดาเห็นจะไม่คิดทำการเต็มมือ ภายหลังข้าพเจ้าจะคิดอ่านทำอุบายเอาตัวชีซีมาให้จงได้ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย มิได้ให้ฆ่ามารดาชีซีเสีย จึงจัดแจงที่อยู่ให้โดยสมควร แล้วก็เลี้ยงดูไว้เปนปรกติดี
อยู่มาวันหนึ่งเทียหยกจึงไปเยียนมารดาชีซีแล้วบอกว่า บุตรท่านกับข้าพเจ้าก็เปนมิตรรักใคร่กันมาแต่ก่อน ท่านเปนมารดาของชีซีก็เหมือนเปนมารดาของข้าพเจ้า มารดาชีซีได้ฟังดังนั้นก็สำคัญว่าจริงมีความยินดีนัก ตั้งแต่วันนั้นมาเทียหยกก็ให้เอาของไปให้เนืองๆ แล้วเขียนหนังสือไปคำนับทุกครั้ง มารดาชีซีก็เขียนหนังสือรับคำนับตามประเพณีตอบไปทุกที ครั้นเทียหยกได้หนังสือดังนั้น ก็หัดเขียนให้ชำนาญเหมือนลายมือมารดาชีซีแล้ว จึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งเปนใจความว่า เราผู้เปนมารดาบอกมาถึงชีซีผู้บุตรให้รู้ ด้วยชีของผู้น้องเจ้านั้นถึงแก่ความตายแล้ว ตัวแม่เปนคนชราหาผู้ใดจะเลี้ยงรักษาพยาบาลมิได้ โจโฉจับเอาแม่มาทำโทษแล้วจะให้เอาไปฆ่าเสีย เพราะเหตุเจ้ามาอยู่ด้วยเล่าปี่คิดจะทำร้ายโจโฉ หากเทียหยกเมตตาแม่เห็นว่าเปนคนชรา ช่วยว่ากล่าวให้งดไว้จึงมิตาย แม้ว่าเจ้ามีความกตัญญูเอนดูแม่มาหาโจโฉแล้ว ชีวิตแม่ก็จะไม่มีอันตราย แม้เจ้าไม่อาลัยถึงแม่ มิได้มาตามหนังสือนี้เมื่อใด แม่ก็จะตายเพราะอาญาโจโฉเปนมั่นคง เมื่อเทียหยกแต่งหนังสือแล้ว ก็ใช้ให้คนสนิธถือไปให้ชีซีณเมืองซินเอี๋ย บอกว่ามารดาจ้างถือหนังสือมาถึงท่าน
ชีซีก็รับเอาหนังสือคลี่ออกอ่าน พิเคราะห์ดูเปนลายมือของมารดาจำได้ถนัดดังนั้นก็ร้องไห้ จึงพาเอาหนังสือเข้าไปหาเล่าปี่แล้วบอกว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้าตั้งใจภักดีมาทำราชการอยู่ด้วยท่านก็นานแล้ว ข้าพเจ้ายังมิได้เล่าเนื้อความแต่หลังแก่ท่าน แล้วชีซีก็เล่าเนื้อความแต่หลังให้ฟังทุกประการ ข้าพเจ้าได้มาทำราชการด้วยท่าน ๆ ก็มีความกรุณาแก่ข้าพเจ้า ๆ คิดว่าจะสนองคุณท่านให้ถึงขนาด บัดนี้มีกรรมมาถึง โจโฉรู้ว่าข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยท่านก็โกรธ จับเอามารดาข้าพเจ้าไปทำโทษแล้วจะให้ฆ่าเสีย มารดาข้าพเจ้าจ้างคนถือหนังสือมาถึงข้าพเจ้าให้ไปหาโจโฉ ถ้าข้าพเจ้ามิไปบัดนี้ น่าที่โจโฉก็จะฆ่ามารดาเสีย โทษก็จะมีแก่ตัวข้าพเจ้าไปภายหน้าเปนอันมาก มารดาเลี้ยงมายังมิได้แทนคุณ แล้วมิหนำจะซ้ำทำโทษให้เล่ามิควรนัก ขอท่านได้กรุณาข้าพเจ้าให้ไปหาโจโฉเถิด เหมือนได้แทนคุณมารดาอย่าให้ตายเสีย ข้าพเจ้าไปแล้วจึงจะคิดแก้ไขกลับมาสนองคุณท่านให้จงได้
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็สงสารร้องไห้รักชีซีแล้วจึงว่า อันธรรมดาแม่ลูกกันนี้ก็เหมือนชีวิตเดียวกัน เมื่อมีเหตุฉนี้ก็เปนประเพณีบุตรจะสงเคราะห์แก่มารดา ใครห่อนจะอาจทิ้งมารดาเสียได้ ซึ่งท่านจะไปหาโจโฉก็ตามเถิด เมื่อมารดาท่านพ้นภัยแล้ว จึงคิดอ่านกลับมาช่วยสั่งสอนเราสืบไป แต่ทว่าบัดนี้ตัวท่านกับเราจะจากกันไปแล้ว จงยับยั้งอยู่สักราตรีหนึ่งก่อน เวลาพรุ่งนี้เราจะแต่งโต๊ะเลี้ยงท่านให้สบายใจแล้วจึงค่อยไป ชีซีรับคำแล้วก็ลามาที่อยู่ ภายหลังซุนเขียนจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า อันชีซีเปนคนมีสติปัญญามากนัก แล้วก็ได้มาอยู่ด้วยในเมืองซินเอี๋ย รู้จักตื้นลึกหนักเบาทุกประการ แม้ท่านจะปล่อยให้ไปอยู่ด้วยโจโฉบัดนี้ โจโฉก็จะมีความยินดี เลี้ยงดูทำนุบำรุงให้ถึงขนาด อันตื้นลึกหนักเบาสิ่งใดนั้นชีซีก็จะแจ้งแก่โจโฉสิ้น นานไปภายหน้าก็จะมีภัยมาถึงเราเปนมั่นคง ขอให้ท่านเอาตัวชีซีไว้อย่าปล่อยไป ฝ่ายโจโฉเห็นว่าชีซีไม่ไปแล้วก็จะฆ่ามารดาเสีย ชีซีก็จะมีความพยาบาท ก็จะช่วยทำการกำจัดโจโฉโดยการสุจริต เล่าปี่จึงตอบว่า ท่านว่าทั้งนี้เราไม่เห็นด้วย อันจะให้พรากแม่กับลูกไว้มิให้ไปหากัน ให้มารดาจำตายเพราะลูกนั้น ก็จะเปนบาปกรรมไปภายหน้า อนึ่งเราก็ได้ลั่นวาจาอนุญาตแก่ชีซีแล้ว ถึงมาทว่าตัวเราจะตายก็จะรักษาความสัตย์ไว้ เรามิปราถนาถ้อยคำของท่านอันมิได้เปนสัตย์ ทหารทั้งปวงได้ฟังเล่าปี่ว่าดังนั้นก็ชื่นชมยินดีชวนกันสรรเสริญ ว่าเล่าปี่มีความสัตย์ซื่อมั่นคงนัก
ครั้นเวลารุ่งเช้าเล่าปี่ก็ให้ไปเชิญชีซีมากินโต๊ะ ขณะเมื่อชีซีหยิบจอกสุราขึ้นจะดื่มนั้นจึงว่ากับเล่าปี่ว่า ข้าพเจ้ารู้ว่าโจโฉจับมารดาไปทำโทษจองจำไว้ฉนี้ หัวใจข้าพเจ้าร้อนดุจเพลิงสุมอยู่ในอก ถึงมาทว่าท่านจะเอาของอันมีโอชารสมาให้กินก็มิลงฅอเลย เล่าปี่ถึงตอบว่า อันท่านทุกข์ถึงมารดาก็เปนประเพณีอยู่แล้ว แต่ทุกข์ของเราซึ่งท่านจะจากไปบัดนี้ก็ร้อนอยู่ในอกเหมือนกัน ถึงจะเอาตับหงส์แลตับมังกรอันมีรสดุจหนึ่งว่าเปนทิพย์นั้นมากิน ก็หารู้จักว่าเปนรสอันใดไม่
เล่าปี่กับชีซีพูดกันพลาง ต่างคนต่างก็ร้องไห้รักกัน ครั้นกินโต๊ะแล้วชีซีก็ลาเล่าปี่ ๆ ก็ให้ผูกม้าจัดแจงสำเร็จแล้ว ก็ขึ้นขี่ม้าเดิรเคียงกันไปกับชีซีออกไปส่งถึงประตูเมือง ชีซีลงจากม้าคำนับเล่าปี่แล้วว่า ท่านออกมาส่งถึงนี่คุณนักหนา เชิญท่านไปอยู่ให้เปนสุขเถิด เล่าปี่ก็ลงจากม้ารับคำนับชีซียุดมือไว้แล้วจึงว่า ตัวข้าพเจ้านี้เปนคนวาสนาน้อย จึงมิได้ท่านไว้อยู่ช่วยสั่งสอนสืบไป ชีซีร้องไห้ตอบว่า ข้าพเจ้านี้เปนคนมีกรรมตามมาทันทำให้พลัดพรากกันที่กลางคัน เหตุด้วยมารดาเปนข้อใหญ่ ถึงมาทว่าโจโฉจะได้ข้าพเจ้าไปไว้ก็ดี ข้าพเจ้าจะขอสาบาลไว้ต่อท่านว่า ซึ่งจะทำการไปเบื้องหน้า ข้าพเจ้าจะไม่คิดกลอุบายสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้โจโฉทำร้ายแก่ท่านเลย
เล่าปี่จึงว่า ตัวท่านมีสติปัญญา ได้ช่วยสั่งสอนเรามาก่อน บัดนี้จะไปจากเราแล้ว แต่ตัวเราผู้เดียวหาผู้จะทำนุบำรุงมิได้ ก็จะเที่ยวซุ่มซ่อนอยู่ในป่า มิได้คิดอ่านที่จะทำการสืบไป ชีซีจึงตอบว่า ท่านจะมาเสียใจละความเพียรนั้นหาควรไม่ ถึงว่าตัวข้าพเจ้าจะไปจากท่าน ใช่จะสิ้นผู้มีสติปัญญานั้นหาไม่ จงอุตส่าห์สืบเสาะหาผู้มีปัญญาก็จะได้อยู่ แล้วชีซีจึงเหลียวหลังมาสั่งทหารทั้งปวงว่า ท่านทั้งหลายอยู่ทำราชการไปภายหลังจงอุตส่าห์ตั้งใจจงรักภักดีโดยสุจริต แม้สำเร็จการที่คิดสมเหมือนความปราถนา ก็จะได้ตั้งตัวเปนที่พำนักแก่คนทั้งปวง อย่าดูเยี่ยงอย่างเราซึ่งทำราชการมิได้ตลอด ทหารทั้งปวงได้ยินชีซีว่ากล่าวสั่งสอนดังนั้นก็พากันร้องไห้ทั้งสิ้น
เล่าปี่ก็มิอาจกลับเข้าเมืองได้ ให้มีใจลห้อยลเหี่ยนัก ก็ขี่ม้าไปส่งชีซีอีกพักหนึ่ง ชีซีจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านอุตส่าห์มาส่งก็ไกลนักแล้ว จงพาทหารกลับเข้าไปเถิด ข้าพเจ้าจะลาแล้ว เล่าปี่จึงชักม้าเคียงเข้าจับเอาข้อมือชีซีแล้วว่า ตัวท่านกับข้าพเจ้าแต่นี้นับวันจะไกลกันแล้ว เมื่อไรเลยจะได้กลับมาเห็นกัน ว่าแล้วก็ร้องซบลงกับหลังม้า ชีซีเห็นเล่าปี่ร้องไห้ซบอยู่ดังนั้นก็กลั้นน้ำตามิได้ ชักม้าคำนับแล้วก็ควบไป เล่าปี่เห็นชีซีควบม้าเลี้ยวลับพุ่มไม้ แลมิได้เห็นตัวแล้ว จึงเอาแซ่ชี้สั่งให้ทหารตัดพุ่มไม้เสีย ทหารทั้งปวงจึงถามว่า ท่านจะให้ตัดรานไม้เสียทั้งนี้ด้วยเหตุอันใด เล่าปี่จึงบอกว่า เราดูชีซีมิได้เห็นบังตาอยู่
ขณะเมื่อเล่าปี่สั่งให้ทหารตัดไม้นั้น พอเห็นชีซีควบม้ากลับมา เล่าปี่มีความยินดีจึงคิดว่า ชรอยชีซีมีความอาลัยรักใคร่เรา จะไม่ไปแล้วกระมังจึงกลับมา ครั้นชีซีมาใกล้จึงร้องถามว่า ท่านกลับมานี้จะว่าสิ่งใด ชีซีเทียบม้าเข้าแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าจะบอกเนื้อความแก่ท่าน ก็ยังมิทันที่จะเจรจาเลย ด้วยจะจากกันกับท่าน หัวใจข้าพเจ้าประดุจขั้วเข้าตอกเพราะความทุกข์มิทันคิด บัดนี้พอรำลึกได้ข้าพเจ้าจึงกลับมา หวังจะบอกเนื้อความแก่ท่าน คือมีคนผู้หนึ่งอยู่นอกเมืองซงหยง มีปัญญาความคิดหลักแหลม ขอให้ท่านไปเชิญตัวผู้นั้นมา จะได้ช่วยคิดอ่านทำการสืบไป
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงเอ็นดูพาไปให้รู้จักตัวหน่อยหนึ่งเถิด ชีซีจึงตอบว่า ซึ่งท่านจะให้พาไปนั้นก็จะได้อยู่ แต่ทว่าที่จะไปหาเล้าลุมนั้นมิได้ ตัวท่านไปคำนับโดยสุจริตจึงจะควร ถ้าได้คนนี้มาแล้วก็เหมือนพระเจ้าฮั่นโกโจได้เตียงเหลียงผู้มีปัญญามาไว้เปนที่ปรึกษา เล่าปี่จึงถามว่า ซึ่งว่าคนดีนั้นยังจะมีสติปัญญาเสมอกับท่านกระนั้นแลหรือ ชีซีจึงตอบว่า ซึ่งจะเอาความคิดแลปัญญาข้าพเจ้าไปเปรียบนั้นไกลกันนัก ตัวข้าพเจ้าอุปมาเหมือนหนึ่งกา จะมาเปรียบพระยาหงส์นั้นไม่ควร อนึ่งม้าอาชามีกำลังอันน้อย หรือจะมาเปรียบพระยาราชสีห์ได้ อันคนๆนี้มีปัญญาลึกซึ้งกว้างขวางนัก อาจสามารถที่จะหยั่งรู้การในแผ่นดินแลอากาศเปนเอกอยู่แต่ผู้เดียว ซึ่งจะหาผู้ใดเปรียบเสมอถึงสองนั้นมิได้ เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงถามว่าผู้นั้นชื่อใด ชีซีจึงบอกว่าชื่อขงเบ้ง แซ่จูกัด บัดนี้หาบิดามารดาไม่ อยู่กับจูกัดกี๋นซึ่งเปนน้องชาย ทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิตอยู่บนเขาโงลังกั๋งณตำบลลงเสีย ชาวบ้านทั้งปวงเรียกชื่อขงเบ้งนั้นว่าอาจารย์ฮกหลง แม้ท่านอุตส่าห์ไปเชิญขงเบ้งมาไว้ช่วยคิดอ่านทำการ ท่านจะปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวงให้ราบคาบเปนสุขได้
เล่าปี่จึงว่า เมื่อเราไปอาศรัยสุมาเต๊กโชอยู่นั้น สุมาเต๊กโชบอกเราว่า ฮกหลงห้องซูสองคนนี้มีสติปัญญาหลักแหลมนัก แม้ได้แต่คนใดคนหนึ่งมาช่วยทำราชการ ก็จะปราบปรามให้บ้านเมืองเปนสุขได้ ซึ่งท่านว่านี้จะเปนฮกหลงหรือห้องซูที่สุมาเต๊กโชบอกเราหรือมิใช่ ชีซีจึงว่าคนนี้ชื่อฮกหลง ห้องซูนั้นคือบังทอง อยู่ณเมืองซงหยง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ตบมือหัวเราะแล้วว่า คนดีอยู่ในที่ใกล้ เหมือนจะปรากฎอยู่กับตาของเราหารู้ไม่ หากตัวท่านมาชี้แจงบอกให้เราจึงรู้แจ้งว่า ฮกหลงห้องซูอยู่ตำบลอันนี้ ชีซีแจ้เนื้อความแก่เล่าปี่ดังนี้แล้วก็คำนับเล่าปี่ควบม้ารีบไป
ฝ่ายเล่าปี่ได้ฟังถ้อยคำชีซีบอกต้องกันกับคำสุมาเต๊กโช ก็มีความยินดีสว่างในอารมณ์ ดุจหนึ่งบุทคลหลับตาอยู่แลลืมขึ้น ก็พาทหารทั้งปวงกลับมาเมืองซินเอี๋ย ฝ่ายชีซีลาเล่าปี่ไปแล้ว คิดถึงคุณเล่าปี่ซึ่งเอ็นดูกรุณาแล้วคิดวิตกว่าเล่าปี่จะไปเชิญขงเบ้ง ๆ จะไม่มาทำราชการด้วย จึงควบม้าแวะไปเขาโงลังกั๋ง เข้าไปคำนับขงเบ้ง ๆ จึงถามว่าท่านมาด้วยธุระสิ่งใด ชีซีจึงบอกความหลังให้ฟังทุกประการ แล้วว่าเมื่อข้าพเจ้าลาเล่าปี่มานั้นได้บอกไว้ว่าท่านเปนคนมีสติปัญญาอยู่ในที่นี่ เล่าปี่มีความยินดีนัก แม้เล่าปี่จะมาเชิญท่าน ๆ อย่าได้บิดพลิ้ว จงไปช่วยเล่าปี่คิดอ่านปราบปรามแผ่นดินให้ราบคาบเปนสุขด้วย อย่าให้เสียทีซึ่งได้เรียนความรู้นั้นไว้เลย ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่าแก่ชีซีว่า ท่านจะไปจากเล่าปี่นั้นไม่มีสิ่งใดจะให้แก่เล่าปี่หรือ จึงจะมาเอาเราไปเปนเครื่องเส้น ขงเบ้งว่าเท่านั้นแล้วก็กอดมือกลับเข้าไปในเรือน ชีซีเห็นขงเบ้งขัดเคือง คิดละอายใจก็ขึ้นม้ารีบไปยังเมืองฮูโต๋
โจโฉรู้ว่าชีซีมาถึงก็มีความยินดี จึงให้ซุนฮกกับเทียหยกออกไปรับถึงนอกเมือง ซุนฮกกับเทียหยกก็พาชีซีเข้ามาหาโจโฉ ๆ จึงว่า ตัวท่านเปนคนมีสติปัญญาอยู่ เหตุไฉนจึงไปอยู่กับเล่าปี่ซึ่งเปนคนหาบันดาศักดิ์มิได้ ชีซีจึงตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้าไปอยู่กับเล่าปี่นั้น เพราะแต่ก่อนข้าพเจ้าทำความผิดเปนข้อใหญ่กลับเขาจะจับได้จึงเปลี่ยนชื่อเสีย แล้วเที่ยวหนีซอกซอนไปถึงเมืองซินเอี๋ย พอพบเล่าปี่ได้พูดจาเปนมิตรรักใคร่กัน ข้าพเจ้าจึงอยู่ด้วย บัดนี้ข้าพเจ้ารู้ว่ามหาอุปราชเอามารดาข้าพเจ้ามาไว้ ข้าพเจ้าก็มีความยินดีนัก ข้าพเจ้าจึงมาหา โจโฉจึงว่า เราขอบใจท่านซึ่งมีความกตัญญู แลมาบัดนี้ก็ดีแล้ว จะได้ปฏิบัติมารดาท่านตามประเพณี เราก็จะช่วยทำนุบำรุงสืบไป ชีซีคำนับแล้วลาโจโฉออกมาหามารดา ครั้นมาถึงก็ร้องไห้คุกเข่าคำนับหมอบอยู่ตรงหน้า
ฝ่ายมารดาครั้นเห็นชีซีมาก็ตกใจ จึงถามว่าเหตุใดจึงมาดังนี้ ชีซีได้ฟังมารดาถามดังนั้น จึงเล่าความซึ่งอยู่กับเล่าปี่จนกลับมาให้มารดาฟังทุกประการ มารดาได้ฟังดังนั้นก็โกรธ เอามือตบเก้าอี้ลงแล้วก็ด่าว่า อ้ายจัญไรโฉดเขลาหาปัญญามิได้ ธรรมเนียมมีหรือเกิดมาเปนชายมิได้พินิจพิเคราะห์ ได้แต่หนังสือแล้วก็เชื่อฟังเอา เสียแรงเที่ยวเรียนวิชามาแต่น้อยคุ้มใหญ่ คิดว่าจะดีเทียมคน มิรู้เลยว่าจะกลับซ้ำร้ายไปอีก กูจะอยู่ให้คนเห็นหน้าก็จะพลอยอายด้วย ด่าดังนั้นแล้วก็ลุกเข้าไปผูกฅอตายเสียในห้อง ชีซีหมอบก้มหน้าอยู่หาทันรู้ไม่ คนใช้จึงวิ่งออกไปบอกชีซีว่ามารดาท่านเข้าไปผูกฅอตาย ชีซีตกใจวิ่งเข้าไปจะแก้มารดาก็มิทันพอขาดใจตาย ชีซีก็ร้องไห้สลบอยู่ ครั้นชีซีฟื้นขึ้นแล้วก็จัดแจงการศพซึ่งจะฝังมารดา
ฝ่ายโจโฉรู้ว่ามารดาชีซีถึงแก่ความตายแล้ว ก็แต่งเข้าของให้คนเอามาช่วย ชีซีก็มิรับให้คืนเอาเข้าของให้แก่โจโฉ ด้วยมิได้มีใจภักดีที่จะอยู่ด้วยโดยสุจริต ชีซีจึงเอาศพมารดาไปฝังไว้ข้างทิศใต้นอกเมืองฮูโต๋ แล้วก็ไปรักษาศพมารดาอยู่ที่นั้น ครั้นอยู่มาโจโฉจะยกกองทัพไปตีหัวเมืองฝ่ายใต้ ซุนฮกรู้จึงเข้าไปว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งท่านจะยกกองทัพไปครั้งนี้เปนเทศกาลหนาว ทหารทั้งปวงจะได้ความลำบากนัก ขอท่านได้งดกองทัพไว้ก่อน เมื่อถึงฤดูร้อนจึงค่อยไปเห็นจะดี โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยจึงให้งดกองทัพไว้ ก็ให้หัดปรือพลทหารทั้งปวงให้สันทัดไว้ในขบวรทัพเรือ
ฝ่ายเล่าปี่ครั้นส่งชีซีไปแล้ว กลับเข้ามาถึงเมืองก็จัดแจงสิ่งของซึ่งจะไปหาขงเบ้ง พอนายประตูเข้ามาบอกว่า บัดนี้อาจารย์ผู้หนึ่งเปนคนผู้ใหญ่รูปร่างงาม แต่งตัวเปนคนสุภาพมาหาท่าน เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นสำคัญว่าขงเบ้งมาก็ดีใจ จึงขมีขมันออกมารับ ก็เห็นสุมาเต๊กโช เล่าปี่มีความยินดีหาที่สุดมิได้ จึงเชิญเข้าไปนั่งแล้วคำนับว่า แต่ข้าพเจ้ามาจากท่านวันนั้น ก็มีใจรำลึกถึงอยู่คิดจะไปเยือน ท่านมาบัดนี้มีกิจธุระสิ่งใดหรือ สุมาเต๊กโชจึงบอกว่า เรามาบัดนี้จะมีธุระก็หาไม่ ด้วยรู้ว่าชีซีมาทำราชการอยู่ด้วยท่าน มีใจรำลึกถึงก็มาเยือน เล่าปี่จึงบอกเนื้อความซึ่งชีซีจากไปนั้นให้สุมาเต๊กโชฟังทุกประการ
สุมาเต๊กโชแจ้งดังนั้นจึงว่า ชีซีไปหามารดาณเมืองฮูโต๋บัดนี้เพราะรู้มิเท่ากลของโจโฉ แลมารดาชีซีนั้นเปนคนสัตย์ซื่อหนักแน่นมั่นคงนัก ถึงมาทว่าโจโฉจะจับเอาไปจองจำทำโทษประการใดก็เห็นจะไม่ให้แจ้งมาถึงบุตร จะสู้ตายแต่ผู้เดียว ซึ่งมีหนังสือมานั้นเห็นจะเปนอุบายของโจโฉ อันชีซีไปบัดนี้เหมือนฆ่ามารดาเสีย ถ้าชีซีมิไปเมืองฮูโต๋ตามหนังสือมารดานั้น มารดาชีซีก็จะมีชีวิตอยู่ เล่าปี่ฟังสุมาเต๊กโชว่าดังนั้นก็ตกใจ จึงถามว่าเหตุใดท่านจึงว่าดังนี้
สุมาเต๊กโชจึงบอกว่า เราว่าทั้งนี้เพราะเล็งเห็นน้ำใจมารดาชีซีว่า รักจะใคร่ให้บุตรอยู่กับท่าน ซึ่งจะไปอยู่กับโจโฉนั้นมิเต็มใจ ก็จะฆ่าตัวเสีย เล่าปี่จึงว่าท่านว่าทั้งนี้ก็ควรอยู่ ครั้นข้าพเจ้าจะมิให้ชีซีไปเล่าก็มิควรนัก แลเมื่อชีซีจะไปนั้นได้บอกไว้แก่ข้าพเจ้าว่า มีคนหนึ่งชื่อว่าอาจารย์ขงเบ้ง อยู่นอกเมืองซงหยง มีสติปัญญาหลักแหลมนั้น ท่านยังรู้จักบ้างหรือ สุมาเต๊กโชได้ฟังเล่าปี่ถามดังนั้นจึงว่า ชีซีจะไปแต่ตัวนั้นไม่ได้ จะให้ขงเบ้งได้ความระกำใจรากโลหิตออกเมื่อภายหลังนี้หาควรไม่ เล่าปี่จึงถามว่าเหตุใดท่านจึงว่าดังนี้
สุมาเต๊กโชจึงตอบว่า เราเห็นขงเบ้งจะมาอยู่ทำราชการด้วยท่านนี้เปนการใหญ่หลวงนัก เห็นจะต้องคิดอ่านผ่อนผันทุกเวลา ก็จะช้ำอกหนักใจจึงว่าทั้งนี้ อันขงเบ้งมีสติปัญญาเปนอันมาก เหมือนกับขวันต๋งงักเยซึ่งได้ทำนุบำรุงแผ่นดินครั้งซุนสิวนั้น[๑]
กวนอูได้ยินสุมาเต๊กโชสรรเสริญขงเบ้งดังนั้นจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้ข้าพเจ้าเจ้ายังมิเห็นสมด้วย ขวันต๋งงักเยสองคนนี้มีสติปัญญาหาผู้ใดจะเสมอมิได้ แลจะเอาขงเบ้งมาเปรียบนั้นเห็นเกินนัก สุมาเต๊กโชหัวเราะแล้วจึงตอบว่า เราว่าแต่เพียงนี้เปนประมาณดอก พิเคราะห์ดูสติปัญญาของขงเบ้งนั้นจะเปรียบได้ถึงเก่งสง ผู้เปนที่ทำนุบำรุงแผ่นพระเจ้าจิ๋วบุนอ๋อง ซึ่งได้เสวยราชสมบัติสืบมาได้ถึงแปดร้อยปีนั้นอีก สุมาเต๊กโชว่าเท่านั้นแล้วก็ลาเล่าปี่ ๆ จะห้ามเท่าใดก็มิอยู่ สุมาเต๊กโชลุกออกไปถึงประตูบ้านจึงแหงนหน้าขึ้นหัวเราะ ว่าฮกหลงจะได้นายบัดนี้ก็สมควรอยู่แล้ว แต่เราคิดเสียดายด้วยเปนคนอาภัพหาบุญมิได้ ว่าแล้วก็รีบไปที่อยู่
ครั้นเวลาเช้าเล่าปี่จึงพากวนอูเตียวหุยออกจากเมืองซินเอี๋ย จะไปหาขงเบ้งณเขาโงลังกั๋ง ไปพบคนห้าคนทำไร่อยู่ที่เชิงเขาแห่งหนึ่ง เล่าปี่จึงถามว่า มีอาจารย์คนหนึ่งชื่อว่าฮกหลงอยู่ตำบลใดท่านรู้บ้างหรือ ชาวไร่นั้นจึงบอกว่า อาจารย์ฮกหลงอยู่เงื้อมเขาข้างทิศใต้ มีพุ่มไม้เปนสำคัญอยู่หน้าเรือน เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี พากวนอูเตียวหุยรีบอ้อมเขาไป ทางประมาณสามสิบเส้นถึงพุ่มไม้ตรงหน้าเรือนขงเบ้ง ฝ่ายขงเบ้งรู้ว่าเล่าปี่จะมาหาก็คิดในใจว่า เขาเล่าลืออยู่ว่าเล่าปี่มีสติปัญญาประกอบด้วยอัธยาศัยแลความเพียรเปนอันมากนั้นจะจริงหรือประการใด ครั้นจะอยู่ให้พบตัวบัดนี้ ก็จะไม่แจ้งว่าเล่าปี่มีความเพียรแลหาเพียรไม่ ซึ่งเราจะไปอยู่ด้วยนั้นใหญ่หลวงนัก ยังจะเปนประโยชน์หรือมิเปนประโยชน์ จะลองดูให้รู้จักน้ำใจเล่าปี่ก่อน แล้วสั่งเด็กไว้ว่า ถ้าผู้ใดมาหาเราจงบอกว่าเราไม่อยู่ สั่งแล้วขงเบ้งก็เข้าไปซ่อนอยู่ที่ข้างใน
ฝ่ายเล่าปี่กวนอูเตียวหุย ก็ลงจากม้าเดิรเข้าไปถึงประตูบ้าน เล่าปี่จึงพิเคราะห์ดูภูมิฐานบ้านเรือนเห็นสอาดสอ้านชอบมาพากล แม้เทศกาลร้อนก็มิได้ร้อน เพราะลมพัดมาได้ เมื่อถึงฤดูฝนก็เปนที่ร่มปิดหยาดฝนมิได้ถูกต้อง หน้าฤดูหนาวเล่าก็มิได้เย็นด้วยลอองน้ำค้าง สมควรเปนที่อยู่ผู้มีสติปัญญาจริง
เล่าปี่เห็นดังนั้นก็ยิ่งมีความยินดีเปนอันมาก แล้วก็เดิรเข้าไปถึงประตูเรือน เด็กน้อยคนใช้จึงถามว่าท่านชื่อใดมาแต่ไหน เล่าปี่จึงบอกว่าเราชื่อห้วนจงกุ๋นยี่เซงเตงเฮาเล่าปี่ เปนเชื้อวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะมาคำนับอาจารย์ของท่าน เด็กนั้นจึงบอกว่า ท่านบอกชื่อมากนักเราจำมิได้ เล่าปี่จึงว่า ถ้าจำชื่อเรามิได้จงเข้าไปบอกแก่อาจารย์ว่าแต่เล่าปี่มาหาเถิด เด็กนั้นจึงว่า บัดนี้อาจารย์ข้าพเจ้าไม่อยู่ จะไปตำบลใดมิได้แจ้ง เล่าปี่จึงว่าเมื่อไรจะกลับมาเล่า เด็กนั้นจึงบอกว่า อันอาจารย์ข้าพเจ้าไปนี้จะกำหนดว่ามาช้าแลเร็วนั้นไม่ได้ บางทีสามวันบ้างห้าวันบ้างสิบวันบ้างจึงจะกลับมา
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็คิดเสียใจ กวนอูเตียวหุยจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า บัดนี้อาจารย์ใหญ่ไม่อยู่แล้ว เรากลับไปก่อนเถิด แล้วจึงใช้ให้คนมาสอดแนมดู แม้รู้ว่าอยู่มั่นคงแล้ววันอื่นเราจึงค่อยมาหา เล่าปี่เห็นชอบด้วยจึงสั่งเด็กนั้นไว้ว่า แม้อาจารย์ท่านมาจงบอกว่าเราชื่อเล่าปี่มาคำนับก็ไม่พบ บัดนี้เราจะกลับไปก่อน แล้วเล่าปี่ก็พากันกลับมาขึ้นม้าเดิรออกมาทางประมาณสามสิบเส้น พอพบซุยเป๋งเดิรมา เล่าปี่เห็นรูปร่างกิริยาสมควรเปนอาจารย์ก็สำคัญว่าขงเบ้ง จึงลงจากม้าคำนับแล้วถามว่า ท่านนี้ชื่ออาจารย์ฮกหลงหรือ ซุยเป๋งจึงบอกว่า เรานี้มิใช่ฮกหลงดอก ชื่อซุยเป๋งเปนเพื่อนของขงเบ้ง ท่านนี้มาแต่ไหน ชื่อใดเล่า เล่าปี่จึงบอกว่าข้าพเจ้าชื่อเล่าปี่ จะมาหาขงเบ้งก็ไม่พบ ซึ่งปะท่านวันนี้ก็เปนบุญนักหนา เชิญท่านขึ้นนั่งบนที่สมควรจะได้สนทนาด้วย ซุยเป๋งนั่งลงแล้วจึงถามว่า ท่านจะมาหาขงเบ้งนี้ด้วยธุระกังวลสิ่งใด เล่าปี่จึงบอกว่า ข้าพเจ้ามาบัดนี้ด้วยแผ่นดินเกิดจลาจลมิได้เปนปรกติ หวังจะเชิญขงเบ้งไปอยู่ทำราชการด้วยข้าพเจ้า จะได้ช่วยปราบปรามแผ่นดินให้เปนสุขสืบไป ซุยเป๋งหัวเราะแล้วจึงตอบว่า ซึ่งแผ่นดินเปนจลาจลจะมาหาขงเบ้งไปช่วยทำนุบำรุงให้เปนสุขนั้น ก็เห็นว่าท่านมีน้ำใจสัตย์ซื่อรอบคอบดีแล้ว แต่ว่าประเพณีแผ่นดินนี้ เกิดจลาจลแล้วก็เปนสุขเล่า เปนสุขแล้วก็เกิดจลาจลเล่า เปนธรรมดามาแต่ก่อน แลซึ่งท่านจะคิดอ่านปราบปรามแผ่นดิน อันถึงกำหนดจลาจลแล้วให้กลับเปนสุขนั้น เกลือกจะไม่สมความปราถนาก็จะป่วยการเสียเปล่า อันเกิดมาเปนคนทุกวันนี้ก็สุดแต่บุญแลกรรม จะหักวาสนานั้นไม่ได้
เล่าปี่จึงตอบว่า ท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่ว่าตัวข้าพเจ้านื้ ได้เปนเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะนิ่งเสียมิช่วยทำนุบำรุงนั้นก็หากตัญญูมิได้ ถึงวาสนาน้อยก็จำจะเพียรพยายามสนองคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้ตามสติกำลัง ซุยเป๋งจึงตอบว่า จงไปคิดอ่านด้วยท่านเถิด เล่าปี่จึงตอบว่า ซึ่งท่านเตือนสติสั่งสอนทั้งนี้ ใช่จะลบหลู่คุณเสียนั้นก็หาไม่ แต่ว่าข้าพเจ้ามาบัดนี้จะใคร่พบขงเบ้ง ท่านช่วยอนุเคราะห์บอกให้ด้วย ซุยเป๋งบอกว่า ขงเบ้งจะไปแห่งใดมิได้รู้ ข้าพเจ้ามาบัดนี้ก็ตั้งใจจะพบขงเบ้งอีก เล่าปี่จึงว่า ถ้าฉนั้นเชิญท่านไปอยู่กับข้าพเจ้าณเมืองซินเอี๋ยเถิด ซุยเป๋งจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเปนคนบ้านนอก ปราถนาแต่ความสบาย ซึ่งจะไปอยู่ทำราชการด้วยท่านจะเอายศฐาศักดิ์นั้นมิได้ยินดี ถ้าว่างเปล่าเมื่อใดจึงจะเข้าไปสนทนาด้วย แล้วซุยเป๋งก็ลาไป
ฝ่ายเล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็ขึ้นม้าพากันไปณเมืองซินเอี๋ย อยู่สี่ห้าวันเล่าปี่จึงแต่งให้คนใช้ไปซับทราบดูขงเบ้ง ครั้นคนใช้กลับมาบอกว่าขงเบ้งกลับมาที่อยู่แล้ว เล่าปี่จึงจัดแจงสิ่งของจะไปหาขงเบ้ง เตียวหุยจึงว่าท่านจะมาหลงนับถือว่าขงเบ้งเปนคนมีสติปัญญา จะอุตส่าห์ทรมานกายไปหาให้ลำบากนั้นหาต้องการไม่ จะนับถืออะไรกับขงเบ้งเปนคนบ้านนอก ข้าพเจ้าจะให้แต่ทหารไปเอามาก็จะได้ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ขงเบ้งเปนคนมีสติปัญญาเหตุใดท่านมาประมาทหยาบช้าดังนี้ ว่าแล้วก็ขึ้นม้าออกไปกับคนใช้ กวนอูเตียวหุยเห็นดังนั้นก็ขึ้นม้าตามออกไปทางประมาณสามสิบเส้น พอน้ำค้างตกลงหนาวเปนกำลัง เตียวหุยจึงว่าเทศกาลนี้เปนฤดูหนาว อันยามหนาวเช่นนี้แม้จะคิดอ่านทำการสงครามเอาบ้านเมืองนั้นก็ยังต้องงดไว้ ควรแล้วหรือมานับถือขงเบ้งซึ่งเปนชาวบ้านนอกนี้หาเปนประโยชน์ไม่ ขอท่านกลับไปเมืองก่อนเถิด
เล่าปี่จึงตอบว่า อันธรรมดาจะปราถนาของดี ก็ย่อมประกอบด้วยความอุตส่าห์จึงจะได้ ซึ่งเราทรมานกายมาทั้งนี้ ก็ปราถนาจะให้ได้ขงเบ้ง อนึ่งจะให้ขงเบ้งรู้ว่าเรามีความรักแลเพียรเปนอันมาก ซึ่งตัวท่านกลัวแต่ความลำบากทนหนาวมิได้ก็ให้เร่งกลับไปในเมืองเถิด เตียวหุยจึงว่า ข้าพเจ้าคิดว่าท่านจะลำบากจึงทัดทาน เล่าปี่จึงห้ามว่า แต่นี้ไปท่านอย่าว่าฉนี้เลย แล้วก็ขับม้าไป
ครั้นมาถึงร้านสุราแห่งหนึ่ง ใกล้กันกับที่อยู่ขงเบ้ง จึงได้ยินเสียงคนเสพย์สุราอยู่ในบ้านนั้นพูดจาโต้ตอบกันสองคน เล่าปี่ชักม้าหยุดฟังอยู่ได้ยินถ้อยคำหลักแหลมนักก็สำคัญว่าขงเบ้ง จึงลงจากม้าเดิรแอบเข้าไปฟังดูที่ประตู เห็นคนหนึ่งหน้าขาวหนวดยาว คนหนึ่งหน้าตาเข้มขัน รูปร่างล่ำสันโตใหญ่ ก็เข้าไปคำนับแล้วว่า ท่านทั้งสองนี้เปนอาจารย์ฮกหลงหรือ โจ๊ะก๋งหงวนจึงบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่ขงเบ้ง ข้าพเจ้าชื่อโจ๊ะก๋งหงวนต่างหาก คนนั้นชื่อเบงคงอุย เราสองคนนี้เปนเพื่อนรักกับขงเบ้ง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นลอายแก่ใจก็ลาไป ครั้นถึงบ้านขงเบ้งแล้วก็ลงจากม้าเดิรเข้าไปถามเด็กว่า วันนี้อาจารย์ท่านอยู่หรือไม่ เด็กจึงบอกว่า อาจารย์ข้าพเจ้านอนดูหนังสืออยู่ เล่าปี่จึงให้เด็กน้อยนั้นพาเข้าไป พอเห็นคนหนึ่งหนุ่มน้อยเดิรออกมาแต่ข้างใน เล่าปี่สำคัญว่าขงเบ้งมีความยินดีนักจึงเข้าไปคำนับแล้วบอกว่า ข้าพเจ้านี้ชื่อว่าเล่าปี่ แต่ได้ยินเขาเล่าลือไปก็ช้านานแล้ว ข้าพเจ้าเปนคนวาสนาน้อย ตั้งใจจะมาคำนับท่านก็มิรู้แห่งเลย ต่อชีซีบอกสำคัญให้ ข้าพเจ้าเสาะมาหาท่านครั้งหนึ่งแล้วก็มิพบ วันนี้มิเสียทีข้าพเจ้าตรำน้ำค้างทรมานกายมา ได้พบท่านเปนบุญตัวนักหนา
จูกัดกิ๋นได้ยินดังนั้นจึงว่า ท่านนี้หรือชื่อเล่าปี่ เปนเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตัวข้าพเจ้านี้ชื่อจูกัดกิ๋น เปนน้องของขงเบ้งดอก พี่น้องสามคนด้วยกัน คนหนึ่งก็ชื่อจูกัดกิ๋น เปนพี่ผู้ใหญ่ ไปทำราชการอยู่ด้วยซุนกวนณเมืองกังตั๋ง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ลอายใจ จึงถามว่า บัดนี้พี่ท่านอยู่แห่งใดเล่า จูกัดกิ๋นจึงบอกว่า พี่ข้าพเจ้าไม่อยู่ เพื่อนมาชวนไปเที่ยวเล่นแต่เวลาเช้าแล้ว เล่าปี่จึงถามว่า พี่ท่านไปเล่นแห่งใด จูกัดกิ๋นจึงบอกว่า บางทีก็ไปเรือ บางทีก็ไปบก แลจะกำหนดว่าไปหาผู้ใดที่ตำบลใดมิได้แจ้ง เล่าปี่จึงว่า เรานี้วาสนาน้อยเปนนักหนา มาหาพี่ท่านถึงสองครั้งแล้วก็มิได้พบ เปนคนอาภัพนัก
เตียวหุยจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านอุตส่าห์พยายามมาหาขงเบ้งก็มิพบ จะอยู่ช้าไปใยเล่า เวลาก็เย็นลงจวนฝนจะตกพายุพัดหนาวหนัก จงรีบกลับไปเถิด เล่าปี่จึงว่ากับเตียวหุยว่า เรามายังมิทันเจรจาได้สักสองคำเลย ท่านมาด่วนรบให้รีบกลับไปจะประโยชน์สิ่งใด แล้วจึงถามจูกัดกิ๋นว่า เราได้ยินเขาเลื่องลือว่า พี่ท่านมีสติปัญญา ร่ำเรียนวิชารู้หลักแหลมเปนอันมาก ตัวท่านเปนน้องยังแจ้งว่าทุกวันนี้ยังเรียนสิ่งใดอยู่ จูกัดกิ๋นจึงว่า พี่ข้าพเจ้ามีสติปัญญาก็จริงอยู่ แต่ซึ่งจะร่ำเรียนวิชาสิ่งใดนั้นข้าพเจ้าหาล่วงรู้ไม่
เล่าปี่จึงว่า เรามาถึงสองครั้งแล้วก็มิพบ ครั้นจะอยู่ท่าเวลาก็เย็นลงแล้วจะลาไปก่อน เราจะขอกระดาษกับพู่กรรณ์มาเขียนเปนอักษรคำนับพี่ท่านไว้แต่พอให้รู้ว่าเราอุตส่าห์มาหา จูกัดกิ๋นก็เอากระดาษกับพู่กรรณ์มาให้ เล่าปี่จึงเขียนอักษรไว้เปนใจความว่า ข้าพเจ้าชื่อเล่าปี่ มีความอุตส่าห์มาหาอาจารย์ฮกหลง ด้วยข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์เลื่องลือไปว่า ท่านมีปัญญาวิชาคุณอันประเสริฐหาผู้เสมอมิได้ ข้าพเจ้ามีความยินดีนัก อุตส่าห์ทรมานมาหาท่านถึงสองครั้งแล้วก็มิพบ เปนคนบุญน้อยอาภัพนัก ขอท่านได้กรุณาแก่ข้าพเจ้าอย่าให้สูญความปราถนาเลย ถ้าจะเมตตาแก่ข้าพเจ้า ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้พบสักครั้งหนึ่งเถิด แลมาบัดนี้ก็หวังจะพึ่งปัญญาวิชาคุณของท่าน เชิญไปทำราชการช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินอันเกิดจลาจลให้เปนสุขสืบไป จะได้ปรากฎกำลังปัญญาแลความคิดของท่าน ครั้นเขียนแล้วจึงส่งให้จูกัดกิ๋น แล้วก็คำนับลาออกมา พอขึ้นถึงหลังม้าได้ยินเสียงเด็กร้องว่า อาจารย์ผู้เถ้ามาโน่นแล้ว เล่าปี่แลไปพอเห็นพ่อตาขงเบ้งขี่อูฐมีเด็กน้อยคนหนึ่งเดิรตามข้ามสะพานมาก็ดีใจ สำคัญว่าขงเบ้ง เล่าปี่จึงลงจากม้าก็คำนับแล้วว่า อาจารย์อุตส่าห์ทรมานตรำน้ำค้างไปแห่งใดมา ข้าพเจ้าอุตส่าห์มาหาพึ่งได้พบวันนี้ จูกัดกิ๋นแลเห็นเล่าปี่คำนับดังนั้น ก็ร้องบอกมาข้างหลังว่าคนนั้นมิใช่ขงเบ้ง ชื่อว่าอุยสิง่านเปนพ่อตาขงเบ้งต่างหาก
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็อดสูแก่ใจ คำนับแล้วก็ขึ้นม้าลาไป ครั้นมาถึงเมืองซินเอี๋ย เล่าปี่มีความทุกข์ซึ่งจะไปหาขงเบ้งนั้นมิได้วาย พอเข้าปีใหม่จึงอาบน้ำชำระกายนุ่งห่มเปนปรกติโดยสมควร สำรวมกายถ้วนสามวันแล้วก็จัดแจงสิ่งของซึ่งจะไปคำนับขงเบ้ง กวนอูเห็นดังนั้นจึงว่าแก่เตียวหุยว่า พี่ท่านนี้มีความนับถือขงเบ้งดังหนึ่งอาจารย์ผู้เถ้าอันใหญ่หลวง อุตส่าห์ทรมานไปถึงสองครั้งแล้วก็ไม่พบ บัดนี้จะไปอีกเล่าหาต้องการไม่ แลขงเบ้งนั้นถ้ามีปัญญาจริงเหมือนเขาเล่าลือก็จะหลบเสียใย ดีร้ายจะให้พบสักครั้งหนึ่ง นี่ชรอยเขาเล่าลือเปล่าๆ จะเชื่อถือว่าจริงดังนั้นก็ดูมิสมควร เตียวหุยได้ยินกวนอูว่าดังนั้นก็ซ้ำแก่เล่าปี่ว่า อันกวนอูว่าดังนี้ก็เหมือนน้ำใจของข้าพเจ้าคิด ถ้าจะปราถนาพบขงเบ้งให้ได้แล้ว ข้าพเจ้าจะรับเปนธุระเอง จะใช้ให้คนไปหาตัวมาจงได้ มาทว่าขงเบ้งจะมิมา ข้าพเจ้าจะเอาแต่เชือกเส้นเดียวไปผูกจูงเอามาให้แก่ท่าน พี่อย่าไปเลย
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ตวาดเอาเตียวหุยว่า เจ้าเจรจาหาอัธยาศัยไม่ ลบหลู่ขงเบ้งดังคนไม่มีปัญญา เจ้าไม่รู้หรือสำมหาแต่พระเจ้าจิ๋วบุนอ๋องเปนกษัตริย์อันประเสริฐ ยังทรงพระอุตส่าห์เสด็จออกไปรับเกงสงถึงนอกพระนคร แลตัวเราแต่เพียงนี้ก็ควรที่จะไปรับขงเบ้งอยู่ แม้ตัวท่านเห็นว่ามิสมควรก็อยู่ตามอัธยาศัยเถิด แต่ตัวเรากับกวนอูสองคนจะอุตส่าห์ไป เตียวหุยจึงว่า จะทิ้งพี่เสียกะไรได้จะไปด้วย เล่าปี่จึงว่า ถ้าจะไปกับเราก็ตามเถิด ครั้นใกล้จะถึงที่ขงเบ้งอยู่ประมาณยี่สิบเส้นพบจูกัดกิ๋นเดิรมา เล่าปี่คำนับแล้วถามว่า พี่ท่านอยู่หรือ จูกัดกิ๋นคำนับแล้วบอกว่า พี่ข้าพเจ้ากลับมาแต่เวลาวานนี้แล้ว วันนี้เห็นจะพบ ท่านเข้าไปเถิด ว่าเท่านั้นแล้วเดิรพ้นไป เล่าปี่มีความยินดีก็รีบไป ครั้นถึงประตูบ้านจึงว่ากับเด็กน้อยให้ช่วยเข้าไปบอกแก่ขงเบ้งว่าบัดนี้เล่าปี่มาหา เด็กน้อยจึงว่า บัดนี้อาจารย์ข้าพเจ้าอยู่บ้านก็จริง แต่ว่านอนหลับอยู่มิรู้ที่จะปลุกได้ เล่าปี่จึงว่า อาจารย์ท่านหลับอยู่ก็อย่าวุ่นวายเลย แล้วจึงสั่งให้กวนอูเตียวหุยอยู่แต่นอกประตู เล่าปี่จึงค่อยย่องเดิรเข้าไปถึงข้างใน เห็นขงเบ้งนอนผินหลังอยู่ เล่าปี่ก็ยืนอยู่แต่เบื้องต่ำ เตียวหุยเห็นเล่าปี่เข้าไปช้านาน มิได้ยินเสียงพูดจาประการใดสงบอยู่ จึงเดิรย่องเข้าไปดู เห็นเล่าปี่ยืนทรมานกายอยู่ที่ต่ำดังนั้นก็โกรธ กลับออกมาบอกแก่กวนอูว่า ขงเบ้งคนนี้หยาบช้านัก มิได้มีคารวะแก่พี่เรา แสร้งทำนอนหลับเสีย ข้าพเจ้าจะเอาเพลิงไปจุดข้างหลังบ้านให้ตกใจตื่นขึ้นจงได้ กวนอูคิดเห็นมิชอบก็ห้ามเสีย
ฝ่ายขงเบ้งแสร้งทำหลับอยู่ช้านานประมาณสี่โมงแล้ว ก็พลิกตัวขึ้นทำอาการดังหนึ่งจะตื่นแล้วก็กลับนอนเสีย เด็กคนใช้เห็นเล่าปี่ยืนทรมานอยู่ช้านานดังนั้น ก็เวทนาจะไปปลุกขงเบ้งให้ตื่นขึ้น เล่าปี่จึงห้ามว่า ท่านอย่าทำวุ่นวายเลย ให้อาจารย์นอนให้สบายเถิด แลขงเบ้งแสร้งทำนอนเสียวันนั้นช้านาน จนบ่ายห้าโมงแล้วจึงพลิกตัวตื่นขึ้น ว่าโคลงสี่บทเปนใจความว่า ผู้ใดนอนหลับใจก็มิรู้สัญญา จักษุอันหลับอยู่นั้น จะดูสิ่งใดก็มิได้เห็น หอน้อยเรานี้ก็เปนที่สำราญ ถึงเทศกาลฝนก็นอนอุ่น พระอาทิตย์เจ้าเอ๋ย อย่าเพ่อคล้อยคลับให้ลับหน้าต่าง หยุดส่องแสงอยู่ก่อนจะได้นอนให้สบาย ครั้นว่าโคลงแล้วจึงเรียกเด็กน้อยเข้าไปถามว่า ใครมาหาเราบ้างหรือไม่ เด็กน้อยจึงบอกว่า บัดนี้เล่าปี่มาหาท่านยืนคอยท่าอยู่ช้านานแล้ว ขงเบ้งก็ทำเปนโกรธรุกเอาเด็ก ว่าเหตุใดจึงไม่บอกแต่เดิมที นิ่งเสียจนป่านนี้ ว่าดังนั้นแล้วก็ลุกเดิรเข้าไปในห้อง หวีผมใส่เสื้อแต่งตัวแล้วกลับออกมา
เล่าปี่แลเห็นขงเบ้งรูปร่างใหญ่โต สูงถึงหกศอก สีหน้าขาวเหมือนหยวก แต่งตัวโอ่โถง ท่วงทีเปนอาจารย์ผู้ใหญ่ จึงเข้าไปคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าตั้งใจมาหาท่านบัดนี้ เพราะมีความปราถนาจะขอสติปัญญาท่าน ด้วยแผ่นดินทุกวันนี้เปนจลาจลจวนจะสาบสูญอยู่แล้ว ตัวข้าพเจ้านี้เปนเชื้อวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่ทว่ามีสติปัญญาน้อย แล้วก็เปนชาวบ้านนอกอยู่เมืองตุ้นก้วน แจ้งว่าท่านเปนคนดีมีสติปัญญาปรากฎเอิกเกริกเสมือนเสียงฟ้า ข้าพเจ้ามีความยินดี มาคำนับท่านถึงสองครั้งแล้วก็มิได้พบ จึงเขียนหนังสือฝากไว้หวังจะให้ท่านแจ้ง ขงเบ้งจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเห็นในหนังสือนั้นก็แจ้งอยู่ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าตัวยังหนุ่มนัก ทั้งสติปัญญาความคิดก็อ่อน ครั้นจะไปทำราชการด้วยท่านก็จะเสียการของท่านไป เล่าปี่ได้ฟังขงเบ้งเจรจาถ่อมตัวดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านว่าสติปัญญาอ่อนนั้นข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่แล้ว ด้วยสุมาเต๊กโชแลชีซีได้บอกให้รู้ทุกประการ ขอท่านได้เมตตาอย่าบิดพลิ้วเลย จงช่วยข้าพเจ้าบำรุงแผ่นดินด้วยเถิด ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้าไปช่วยคิดอ่านทำราชการนั้น ความคิดท่านจะทำประการใด จงชี้แจงให้ข้าพเจ้าแจ้งก่อน เล่าปี่ขยับเข้าไปใกล้ขงเบ้งแล้วว่า ทุกวันนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ครองราชสมบัติ มีศัตรูทำหยาบช้าต่างๆ ข้าพเจ้ามีใจเจ็บร้อนด้วยการแผ่นดินนัก จึงไปเที่ยวแสวงหาผู้มีสติปัญญาซึ่งจะช่วยคิดอ่านกำจัดศัตรูราชสมบัติเสียก็ยังมิสำเร็จ แต่ผู้คนทั้งปวงนั้นก็ซ่องสุมไว้ได้พร้อมอยู่แล้ว ซึ่งมาหาท่านทั้งนี้หวังจะให้ช่วยทำนุบำรุง จงเอนดูข้าพเจ้าด้วย
ขงเบ้งจึงตอบว่า อันแผ่นดินเกิดจลาจลตราบเท่าทุกวันนี้ก็เพราะตั๋งโต๊ะนั้นเปนต้น ฝ่ายโจโฉเล่าที่ซ่องสุมทหารทั้งปวงแล้วยกไปกำจัดอ้วนเสี้ยวได้นั้น ใช่ว่าจะสำเร็จด้วยกำลังทหารมากก็หาไม่ ทหารโจโฉน้อยกว่าทหารอ้วนเสี้ยวอีก แลอาจสามารถทำการใหญ่หลวงสำเร็จได้ทั้งนี้ ก็เพราะปัญญาแลความคิดของตัว ถึงมาทว่าโจโฉเปนคนชั่วมิได้มีความกตัญญูต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ คิดอ่านทำการหยาบช้าถึงเพียงนี้แล้วก็ดี ก็ยากที่จะกำจัดโจโฉได้โดยง่าย
ฝ่ายซุนกวนอันเปนเจ้าเมืองกังตั๋งเล่า ถึงจะมีกำลังน้อยก็เสมือนมีกำลังมาก ด้วยอาณาประชาราษฎรทั้งปวงรักใคร่เปนน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ท่านอย่าพึงประมาทแก่ซุนกวน ควรที่จะรักใคร่เปนไมตรีต่อกัน อันเมืองเกงจิ๋วเล่าก็เปนเมืองหน้าศึก เหมือนศัตรูมีอยู่รอบทั้งสี่ด้าน ถ้าผู้ใดมีสติปัญญาสามารถก็จะรักษาได้ แลเมืองนี้นานไปก็จะได้แก่ท่าน แลเมืองเสฉวนเล่าก็เปนหัวเมืองใหญ่ มั่งคั่งไปด้วยทรัพย์สมบัติเปนอันมาก แลครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจก็ตั้งตัวได้ในเมืองนั้นก่อน บัดนี้เล่าเจี๋ยงเจ้าเมืองเสฉวนก็เปนคนโลเลอยู่หาแน่นอนไม่ แล้วก็มิได้อารีรอบคอบที่จะปลูกเลี้ยงทหาร ถึงจะมีสมบัติดังเมืองฟ้าก็นับวันจะสาบสูญ บัดนี้ทหารทั้งปวงก็คอยทีจะเอาใจออกหากอยู่ ตัวท่านก็เปนเชื้อวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วประกอบไปด้วยสติปัญญาอันรอบคอบ ถ้าจะคิดเอาเมืองเกงจิ๋วแล้ว เมืองเสฉวนก็จะได้โดยง่าย แต่ทว่าได้แล้วจงทำไมตรีให้รอบคอบต่อหัวเมืองทั้งปวง อันซุนกวนนั้นก็จะได้เปนที่พำนักของท่านไป จะได้ตั้งทำนุบำรุงทหารให้พร้อมมูล ถ้าเห็นแผ่นดินระส่ำระสายแล้วเมื่อใดก็จะได้คิดอ่านทำการสืบไปได้สดวก ฝ่ายอาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็จะมีใจรักใคร่ท่านเปนอันมาก ซึ่งท่านมีความปราถนาจะให้ช่วยทำนุบำรุงนั้น ข้าพเจ้าก็สั่งสอนให้ได้ตามสติปัญญาแต่เพียงนี้ แม้ท่านมีความอุตส่าห์กระทำตามถ้อยคำของข้าพเจ้าก็จะสำเร็จความปราถนา
ขงเบ้งสนทนาด้วยเล่าปี่ดังนั้นแล้ว ก็เรียกให้เด็กหยิบแผนที่ตำบลเมืองเสฉวน อันมีหัวเมืองขึ้นห้าสิบหัวเมืองมาแขวนให้ดู แล้วขงเบ้งจึงว่า ถ้าท่านมีความอุตส่าห์พยายามคิดอ่านทำการได้เมืองเสฉวนนี้แล้ว ก็จะได้เปนใหญ่สมความปราถนา เล่าปี่ได้ฟังขงเบ้งบอกดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านมีความเมตตาสั่งสอนแนะนำให้ ข้าพเจ้ามีความยินดีนัก สว่างในดวงใจดุจว่าพระอาทิตย์มีปริมณฑลอันปราศจากเมฆ ส่องสว่างไปทั่วโลก แต่ทว่าเมืองเสฉวนแลเมืองเกงจิ๋วนั้น ก็เปนเชื้อสายญาติวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถ้าข้าพเจ้าจะคิดทำการเอาเมืองทั้งสองนี้ก็เหมือนหนึ่งขบถต่อแผ่นดิน ดังคนหาความกตัญญูมิได้
ขงเบ้งจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่เราพิเคราะห์เห็นว่า เล่าเปียวคนนี้อายุจะไม่ยืดยาวสืบไป ฝ่ายเล่าเจี๋ยงนั้นเล่า ก็เปนคนโลเลหามั่นคงไม่ ทั้งอาณาประชาราษฎรก็มิได้รักใคร่ ถึงว่าท่านมีความกตัญญูต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ มิได้คิดจะทำร้ายคนทั้งสองนี้ก็ดี นานไปก็จะเกิดอันตรายเอง เมืองทั้งสองนี้ก็จะได้แก่ท่านเปนมั่นคง
แลขงเบ้งว่ากล่าวทั้งนี้เหตุพิเคราะห์เห็นโดยตำราว่า ต่อไปภายหน้า เล่าปี่จะได้เปนใหญ่อยู่ก๊กหนึ่ง โจโฉก๊กหนึ่ง ซุนกวนก๊กหนึ่ง เปนสามก๊กฉนี้ แลบันดาคนจีนทั้งปวงจึงพากันนับถือขงเบ้งว่ามีปัญญารู้ตำราดูตลอดไปถึงกาลภายหน้า เปนที่สรรเสริญมาตราบเท่าทุกวันนี้
ฝ่ายเล่าปี่ได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้นก็คำนับแล้วว่า ถ้าดังนั้นขอเชิญท่านไปอยู่ทำราชการช่วยทำนุบำรุงสั่งสอนข้าพเจ้าสืบไป ขงเบ้งจึงว่า ตัวข้าพเจ้าเปนคนชาวบ้านนอกสติปัญญาน้อย เคยแต่ทำการหยาบ ซึ่งจะไปอยู่ทำราชการสั่งสอนท่านนั้นเปนการละเอียดสุขุมนัก เห็นจะทำไปมิได้ก็จะเสียการของท่าน เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็อ้อนวอนว่า ถ้าท่านมิได้ทำนุบำรุงแผ่นดินแล้ว น่าที่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะได้ความเดือดร้อน เล่าปี่ว่าเท่านั้นแล้วก็ร้องไห้สอื้นไม่เงยหน้าขึ้นได้ ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็รู้ว่าเล่าปี่มีความรักโดยสุจริตจึงว่า ถ้าท่านมีความรักใคร่ข้าพเจ้ามั่นคงอยู่แล้วก็อย่าร้องไห้วิตกไปเลย ตัวข้าพเจ้าก็จะไปทำราชการด้วยท่าน ถึงมาทว่าข้าพเจ้าจะเปนประการใดก็ดี ก็จะช่วยทำนุบำรุงตามสติปัญญา เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงเรียกกวนอูเตียวหุยเข้ามาให้คำนับ แล้วเอาแพรแลสิ่งของทั้งปวงซึ่งเอามานั้นให้แก่ขงเบ้งเปนคำนับ
ขงเบ้งรับเอาของทั้งนั้นแล้วจึงชวนเล่าปี่กวนอูเตียวหุย ให้อยู่นอนด้วยคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งเช้าจึงเรียกจูกัดกิ๋นผู้น้องเข้ามาแล้วว่า เล่าปี่มีความอุตส่าห์มาถึงสามครั้ง ว่ากล่าวอ้อนวอนให้ไปอยู่ทำราชการด้วยช่วยทำนุบำรุง ครั้นจะตัดประโยชน์เสียก็เอ็นดูแก่เล่าปี่ ตัวเราจำจะไปด้วยเล่าปี่ เจ้าอยู่ภายหลังจงรักษาโคกระบือไร่นาเข้าของทั้งปวงไว้ อย่าให้เปนอันตรายเสียได้ ถ้าเราไปช่วยเล่าปี่ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เปนสุขสำเร็จแล้ว ก็จะกลับคืนมาทำมาหากินด้วยกันเหมือนดังเก่า ครั้นขงเบ้งสั่งเสียจูกัดกิ๋นผู้น้องเสร็จแล้ว เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็คำนับลาจูกัดกิ๋น พาขงเบ้งมาณเมืองซินเอี๋ย แล้วทำคารวะเลี้ยงดูขงเบ้งตั้งเปนที่อาจารย์ผู้ใหญ่กินเข้าร่วมสำรับกัน เปนที่ปรึกษากิจการทั้งปวง