- คำนำ
- ตอนที่ ๑
- ตอนที่ ๒
- ตอนที่ ๓
- ตอนที่ ๔
- ตอนที่ ๕
- ตอนที่ ๖
- ตอนที่ ๗
- ตอนที่ ๘
- ตอนที่ ๙
- ตอนที่ ๑๐
- ตอนที่ ๑๑
- ตอนที่ ๑๒
- ตอนที่ ๑๓
- ตอนที่ ๑๔
- ตอนที่ ๑๕
- ตอนที่ ๑๖
- ตอนที่ ๑๗
- ตอนที่ ๑๘
- ตอนที่ ๑๙
- ตอนที่ ๒๐
- ตอนที่ ๒๑
- ตอนที่ ๒๒
- ตอนที่ ๒๓
- ตอนที่ ๒๔
- ตอนที่ ๒๕
- ตอนที่ ๒๖
- ตอนที่ ๒๗
- ตอนที่ ๒๘
- ตอนที่ ๒๙
- ตอนที่ ๓๐
- ตอนที่ ๓๑
- ตอนที่ ๓๒
- ตอนที่ ๓๓
- ตอนที่ ๓๔
- ตอนที่ ๓๕
- ตอนที่ ๓๖
- ตอนที่ ๓๗
- ตอนที่ ๓๘
- ตอนที่ ๓๙
- ตอนที่ ๔๐
- ตอนที่ ๔๑
- ตอนที่ ๔๒
- ตอนที่ ๔๓
- ตอนที่ ๔๔
- ตอนที่ ๔๕
- ตอนที่ ๔๖
- ตอนที่ ๔๗
- ตอนที่ ๔๘
- ตอนที่ ๔๙
- ตอนที่ ๕๐
- ตอนที่ ๕๑
- ตอนที่ ๕๒
- ตอนที่ ๕๓
- ตอนที่ ๕๔
- ตอนที่ ๕๕
- ตอนที่ ๕๖
- ตอนที่ ๕๗
- ตอนที่ ๕๘
- ตอนที่ ๕๙
- ตอนที่ ๖๐
- ตอนที่ ๖๑
- ตอนที่ ๖๒
- ตอนที่ ๖๓
- ตอนที่ ๖๔
- ตอนที่ ๖๕
- ตอนที่ ๖๖
- ตอนที่ ๖๗
- ตอนที่ ๖๘
- ตอนที่ ๖๙
- ตอนที่ ๗๐
- ตอนที่ ๗๑
- ตอนที่ ๗๒
- ตอนที่ ๗๓
- ตอนที่ ๗๔
- ตอนที่ ๗๕
- ตอนที่ ๗๖
- ตอนที่ ๗๗
- ตอนที่ ๗๘
- ตอนที่ ๗๙
- ตอนที่ ๘๐
- ตอนที่ ๘๑
- ตอนที่ ๘๒
- ตอนที่ ๘๓
- ตอนที่ ๘๔
- ตอนที่ ๘๕
- ตอนที่ ๘๖
- ตอนที่ ๘๗
ตอนที่ ๒๑
โจโฉจึงถามซุนฮิวว่า ท่านเห็นผู้ใดมีสติปัญญาที่จะให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวได้ ซุนฮิวจึงตอบว่า ซึ่งจะไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวนั้นข้าพเจ้าเห็นแต่ขงหยงคนเดียว โจโฉเห็นชอบด้วย ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงต่างคนต่างก็ลาโจโฉไปบ้าน ซุนฮิวก็ไปหาขงหยงแล้วว่า บัดนี้โจโฉหาผู้มีสติปัญญาจะให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว ข้าพเจ้าจึงว่าแก่โจโฉว่า เห็นแต่ท่านผู้เดียวจะไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวได้ ขงหยงได้ยินดังนั้นจึงตอบว่าเราเปนคนรู้น้อย เหตุไฉนท่านจึงว่าดังนี้ แม้เราไปไม่สำเร็จการของโจโฉ ท่านกับเราก็จะไม่พ้นโทษ
ซุนฮิวจึงถามว่า ท่านเห็นผู้ใดมีสติปัญญากว่าท่านเล่า ขงหยงจึงบอกว่าเพื่อนรักของเราคนหนึ่งชื่อยีเอ๋ง มีสติปัญญารู้หลักกว่าเราสิบส่วน อย่าว่าแต่จะไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเลย ถึงจะเปนขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ได้ เราจะคิดอ่านทำเรื่องราวกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้ตั้งยีเอ๋งเปนขุนนาง แล้วจะได้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว ซุนฮิวเห็นชอบด้วย ขงหยงจึงแต่งเรื่องราวเปนใจความว่า ข้าพเจ้าขงหยงขอกราบทูลให้ทราบ ด้วยยีเอ๋งคนหนึ่งอายุยี่สิบปี อยู่ในเมืองหล่อ มีสติปัญญารู้หลักมาก จักษุแลไปเห็นสิ่งใด แลหูได้ยินเสียงอันใด ใจนั้นก็คิดตลอดไม่ขัดขวาง ประมาณการถูกทุกประการ ขอให้เอายีเอ๋งมาใช้ราชการแต่งให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเห็นจะได้โดยง่าย
ครั้นเวลาเช้าขุนนางขึ้นเฝ้าพร้อมกัน ขงหยงจึงเอาเรื่องราวนั้นถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ๆ ทรงหนังสือแล้วมิได้ตรัสประการใด จึงเอาหนังสือนั้นให้โจโฉ แล้วตรัสว่าการทั้งนี้ตามแต่มหาอุปราชจะคิดอ่านจัดแจงเถิด โจโฉได้รับสั่งดังนั้นแล้ว ครั้นกลับมาบ้านจึงให้ทหารไปหาตัวยีเอ๋ง ๆ มาถึงก็คำนับโจโฉ ๆ มิได้รับคำนับ แล้วไม่ปราไสย์ตามอย่างตามธรรมเนียม ยีเอ๋งมีความน้อยใจก็นิ่งอยู่ จึงทอดใจใหญ่แล้วว่าด้วยกำลังโวหารว่า แผ่นดินนี้กว้างขวางนัก ถ้าจะขาดคนๆ หนึ่งก็จะเปนไรนักหนา
โจโฉได้ยินยีเอ๋งว่าเปรียบเทียบดังนั้น ไม่ทันได้ยินถนัด สังเกตผิดไปจึงถามว่า แผ่นดินเรานี้ที่ปรึกษาแลทหารที่มีฝีมือก็มีเปนอันมาก เหตุไฉนตัวจึงว่าไม่มีคนดี ยีเอ๋งได้ฟังดังนั้นเห็นว่าโจโฉไม่รู้เท่าจึงตอบว่า มหาอุปราชว่าที่ปรึกษาแลทหารซึ่งมีสติปัญญามีฝีมือนั้น คือผู้ใดข้าพเจ้ามิได้แจ้ง โจโฉจึงว่าซุนฮกซุนฮิวกุยแกเทียหยก ที่ปรึกษาของเราสี่คนนี้มีปัญญาฦกซึ้ง ถึงเสียวโหกับตันเผง ซึ่งเปนนักปราชญ์ของพระเจ้าฮั่นโกโจนั้น ก็ไม่เสมอที่ปรึกษาของเรา แลทหารเอกของเราที่มีฝีมือนั้น คือเตียวเลี้ยวเคาทูลิเตียนงักจิ้น สี่คนนี้มีฝีมือกล้าแขงชำนาญในการสงคราม ยิ่งกว่าเงียมเหงกับม้าบู๊ ซึ่งเปนทหารของพระเจ้าฮั่นกองบู๊ แลลิยอยหมันทอง สองคนนี้เปนที่ปรึกษารองของเรา กับแฮหัวตุ้นอิกิ๋มซีหลง เปนทหารเช่นนี้ก็นับร้อย เหตุใดตัวจึงว่าแผ่นดินหาผู้มีสติปัญญากล้าหาญไม่
ยีเอ๋งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า ท่านว่านี้เราไม่เห็นด้วย คนทั้งปวงนั้นเรารู้จักความคิดเห็นฝีมืออยู่ทุกคน อันซุนฮกนั้นหน้าเหมือนหนึ่งจะร้องไห้ ชอบแต่ให้เยี่ยมไข้ส่งสักการศพ ซุนฮิวนั้นชอบแต่ให้เปนสัปเหร่อรักษาศพ เทียหยกนั้นชอบแต่ใช้ให้เฝ้าจำหล่อ กุยแกนั้นชอบแต่ให้แต่งโคลงแลอ่านบัตรหมาย เตียวเลี้ยวนั้นชอบแต่ให้ตีกลองแลระฆัง เคาทูนั้นชอบแต่ให้เลี้ยงวัวแลม้า ลิเตียนนั้นชอบแต่ให้อ่านฟ้อง งักจิ้นนั้นชอบแต่ให้เดิรหมาย ลิยอยนั้นชอบแต่ใช้ให้ชำระอาวุธ หมันทองนั้นชอบแต่ให้เสพย์สุรากับกระดูกสุกร อิกิ๋มนั้นชอบแต่ให้แบบกระดานไปทำค่าย ซีหลงนั้นชอบแต่ให้ฆ่าสุกรขาย แฮหัวตุ้นนั้นชอบแต่ให้คอยรักษาตัว อย่าให้ข้าศึกตัดเอาสีสะแลแขนซ้ายแขนขวาไปได้ อันที่ปรึกษาแลทหารนอกนั้น ชอบแต่ให้หาบสะเบียงส่งกองทัพ ซึ่งท่านนับถือว่ามีสติปัญญากล้าหาญนั้นไม่เห็นด้วย
โจโฉได้ฟังดังนั้นนั้นก็โกรธจึงถามว่า ตัวมาติเตียนที่ปรึกษาแลทหารของเรา ตัวรู้สิ่งใดบ้าง ยีเอ๋งจึงตอบว่า เรารู้ดูดาวในอากาศ ฝ่ายข้างแผ่นดินนั้น เราก็ชำนาญรู้ดูในภูมิฐานว่าดีแลร้าย อนึ่งเราจะพิททูลตักเตือนพระมหากษัตริย์ให้ตั้งอยู่ในยุติธรรม เหมือนพระเจ้าเงียวซุนนั้นก็ได้ ประการหนึ่งเราจะชักชวนสั่งสอนอาณาประชาราษฎรให้มีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน เหมือนครั้งขงจู๊กับงันเอี๋ยน ซึ่งเปนครูสั่งสอนคนทั้งปวงให้สัตย์ซื่อก็ได้ ซึ่งเราสนทนาแก่ท่านบัดนี้ อุปมาเหมือนพูดกับคนบ้าอันมิได้รู้ภาษาคน
เตียวเลี้ยวได้ยินดังนั้นก็โกรธ ถอดกระบี่ออกจะฟันยีเอ๋งเสีย โจโฉจึงห้ามว่าอย่าทำวุ่นวายเลย ทุกวันนี้เรายังขาดอยู่แต่คนที่ตีกลองรับแขก ครั้นจะฆ่ายีเอ๋งเสียก็จะตายเสียเปล่า จงเอามันไปไว้ให้ตีกลองรับแขกดีกว่า เตียวเลี้ยวก็ฟังคำโจโฉ ๆ จึงให้ยีเอ๋งไปเปนที่คนตีกลองสำหรับรับแขกนั้น เตียวเลี้ยวจึงว่า ยีเอ๋งนั้นว่ากล่าวหยาบช้าแก่ท่าน เหตุใดท่านจึงอดได้มิได้ฆ่าเสีย
โจโฉจึงตอบว่า เราได้ยินกิตติศัพท์ลืออยู่ว่า ยีเอ๋งคนนี้มีสติปัญญากล้าหาญมิได้ยำเกรงผู้ใด ซึ่งมันมาว่าหยาบช้าแก่เรานั้น ครั้นเราจะให้ฆ่าเสียคนทั้งปวงก็จะคระหานินทา ว่ามีผู้รู้เท่าสิฆ่าเสีย ประการหนึ่งผู้มีสติปัญญาจะเข้ามาอยู่ด้วยเรา ก็จะคิดท้อใจว่าเรามิได้เลี้ยงคนดี แลยีเอ๋งเปนคนอวดรู้ เราจึงเอามันไว้ให้เปนคนตีกลอง
ครั้งอยู่มาวันหนึ่งโจโฉให้เชิญขุนนางมากินโต๊ะ ยีเอ๋งใส่เสื้อขาดออกมาตีกลองรับแขก ขุนนางทั้งปวงได้ยินเสียงกลองซึ่งยีเอ๋งตีนั้นเพราะก็บังเกิดพิศวง ทหารซึ่งคอยรับใช้เห็นยีเอ๋งทำดังนั้นจึงว่า วันนี้มหาอุปราชรับแขกเมือง เหตุใดตัวจึงใส่เสื้อขาด ยีเอ๋งได้ยินทหารร้องว่ามา ก็ถอดเสื้อแลกางเกงออกเสีย แกล้งตีกลองอยู่แต่ตัวเปล่า ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้น ก็ลอายใจเอามือปิดหน้าเสียสิ้น โจโฉเห็นยีเอ๋งทำดังนั้นก็โกรธจึงร้องว่า มึงทำหยาบช้าทั้งนี้แกล้งจะให้กูขายหน้าหรือ
ยีเอ๋งจึงตอบว่า กูถอดเสื้อแลกังเกงเสียอยู่แต่ตัวเปล่านี้ ด้วยเปนการออกหน้า เพราะเหตุว่ากายนี้เปนที่สอาด บิดามารดาให้กูเกิดมา โจโฉจึงว่า มึงเห็นว่ากายผู้ใดโสโครกเล่า ยีเอ๋งจึงตอบว่า ตัวไม่เข้าใจหรือ เราจะพรรณนาการโสโครกของตัวให้ฟัง ประการหนึ่งตัวไม่รู้จักคนดีแลชั่ว จักษุของตัวนั้นเปนที่โสโครก ประการหนึ่งซึ่งผู้ใดมีใจสัตย์ซื่อ เห็นว่าตัวทำการหยาบช้า ห้ามปรามตัวโดยสุจริตตัวมิได้ฟัง หูของตัวเปนที่โสโครก ประการหนึ่งตัวมิได้โอบอ้อมอารีต่อขุนนางแลหัวเมืองทั้งปวง แล้วตัวคิดอ่านทำการหยาบช้า ให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ความเดือดร้อน ใจของตัวก็เปนการโสโครก ทุกวันนี้คนทั้งแผ่นดินนับถือว่าเรามีสติปัญญา แลตัวมาดูหมิ่นให้เราเปนคนตีกลอง เพราะมิได้รู้จักคนดีแลชั่ว ครั้งนี้ตัวก็คิดการใหญ่หลวง ซึ่งจะไม่นับถือเราผู้มีสติปัญญานั้นไม่ควร
ขงหยงได้ยินยีเอ๋งว่าหยาบช้าดังนั้น กลัวโจโฉจะโกรธให้ฆ่ายีเอ๋งเสีย ขงหยงจึงคำนับแล้วว่า เดิมข้าพเจ้าเห็นยีเอ๋งมีสติปัญญา จึงชักชวนมาหวังจะให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว บัดนี้ยีเอ๋งว่ากล่าวหยาบช้าแก่ท่านเปนอันมาก โทษนั้นถึงตาย ข้าพเจ้าขอชีวิตไว้ครั้งหนึ่ง โจโฉได้ฟังขงหยงว่าดังนั้นจึงว่าแก่ยีเอ๋งว่า โทษซึ่งตัวหยาบช้าแก่เรานั้นเราจะยกเสียแล้ว แลตัวอวดว่ามีสติปัญญาดี เราจะให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ถ้าได้ราชการจะปูนบำเหน็จ แล้วจะตั้งให้ตัวเปนขุนนาง ยีเอ๋งมิได้รับคำโจโฉ ๆ เห็นยีเอ๋งบิดพลิ้วอยู่ จึงค่อยกระซิบสั่งซุนฮกกับขุนนางทั้งปวง ให้แต่งโต๊ะไปคอยอยู่ประตูเมืองทิศตวันออก ถ้ายีเอ๋งออกไปถึงประตูเมืองแล้วจึงทำการเส้นวักไปเสียให้พ้นจากเมือง
ซุนฮกกับขุนนางทั้งปวง ก็รีบไปทำการเตรียมไว้ตามคำโจโฉสั่ง แล้วซุนฮกจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เมื่อเราเส้นแล้วท่านทั้งปวงอย่าได้พูดจากับยีเอ๋งประการใด โจโฉจึงว่าแก่ยีเอ๋งว่า ถ้าตัวไม่ไปเราจะฆ่าบุตรภรรยาเสีย ยีเอ๋งก็รับคำว่าจะไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว โจโฉจึงให้เอาม้ามาให้ยีเอ๋งขี่ แล้วให้ทหารสองคนกำกับไปด้วย แลยีเอ๋งกับทหารทั้งสองคนก็ขี่ม้าพากันมาถึงนอกประตูเมืองฝ่ายทิศตวันออก มิได้เห็นขุนนางทั้งปวงทักทายประการใด ยีเอ๋งจึงลงจากม้าก็เข้ามากลางชุมนุมขุนนางทั้งปวง แล้วยีเอ๋งก็ทำเปนร้องไห้ ซุนฮกมิได้รู้กลยีเอ๋งจึงถามว่า มหาอุปราชให้ตัวไปราชการ เหตุใดจึงมาร้องไห้ดังนี้ ยีเอ๋งจึงตอบว่า เราเห็นท่านทั้งปวงอุปมาเหมือนหนึ่งศพ เราเดิรเข้ามาในหว่างศพก็มีความสงสารเราจึงร้องไห้
ซุนฮกแลขุนนางทั้งปวงได้ฟังยีเอ๋งว่าดังนั้นจึงตอบว่า ซึ่งตัวเราเปนศพนั้นฝ่ายตัวก็จะเปนผีหาสีสะมิได้ ขุนนางทั้งปวงต่างคนก็โกรธชักกระบี่ออกจะฆ่ายีเอ๋งเสีย ซุนฮกจึงห้ามว่า ยีเอ๋งนี้อุปมาเหมือนสัตว์เดียรัจฉาน แลท่านทั้งปวงจะมาถือโทษฆ่ามันเสียนั้นไม่ควร กระบี่จะติดโลหิตเปล่า ยีเอ๋งจึงตอบซุนฮกว่า ตัวเรายังมีความโกรธแลยินดีทั้งรู้เจรจาอยู่ เหตุใดท่านจึงว่าเราเปนสัตว์เดียรัจฉาน ท่านทั้งปวงอีกอุปมาเหมือนแมลงเม่าอันมิได้กลัวเพลิง พากันบินโถมเข้าไปในกองเพลิงก็จะถึงแก่ความตาย ขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ต่างคนต่างห้ามกัน จึงชวนกันจุดธูปเทียนเส้นยีเอ๋ง แล้วชวนกันกลับมา
ยีเอ๋งกับทหารสองคนก็พากันไปถึงเมืองเกงจิ๋ว จึงเข้าไปว่าแก่เล่าเปียวตามซึ่งโจโฉให้ไปเกลี้ยกล่อม แล้วยีเอ๋งพูดจาอวดรู้ยกตนข่มท่านทำทีดูหมิ่นเล่าเปียวว่าหาความคิดไม่ เล่าเปียวเห็นกิริยายีเอ๋งเจรจาหยาบช้าดังนั้นก็โกรธ แต่คิดยั้งหยุดไว้ ด้วยน้ำใจเล่าเปียวนั้นก็อารีอยู่ แล้วว่าแก่ยีเอ๋งว่า ซึ่งโจโฉใช้ให้ท่านมาเกลี้ยกล่อมเรา ๆ ยังมิปลงใจก่อน เมื่อใดท่านไปเกลี้ยกล่อมหองจอเจ้าเมืองกังแฮปลงใจไปด้วยโจโฉแล้วเราก็จะปลงใจด้วย ยีเอ๋งก็ลาเล่าเปียวไปเมืองกังแฮ
ฝ่ายที่ปรึกษาทั้งปวงจึงว่าแก่เล่าเปียวว่า ยีเอ๋งว่ากล่าวหยาบช้าดูหมิ่นท่าน เหตุใดท่านจึงมิได้ฆ่าเสีย เล่าเปียวจึงตอบว่า เรารู้กิตติศัพท์ว่ายีเอ๋งคนนี้มีสติปัญญา แต่เปนคนหามีอัชฌาสัยไม่ เมื่ออยู่ในเมืองฮูโต๋นั้น ก็ว่ากล่าวหยาบช้าแก่โจโฉเปนหลายครั้ง โจโฉอุตส่าห์อดใจมิได้ให้ฆ่าเสีย เพราะเกรงว่าคนทั้งปวงจะนินทา ประการหนึ่งผู้จะเข้ามาอาสาทำการนั้นจะท้อใจว่าฆ่าคนดีเสีย ซึ่งแกล้งใช้ยีเอ๋งมาเกลี้ยกล่อมเรานี้หวังจะยืมมือเราให้ฆ่ายีเอ๋งเสีย จะให้ความชั่วนั้นอยู่แก่เรา ๆ จึงแกล้งให้ยีเอ๋งไปเกลี้ยกล่อมหองจอ ด้วยหองจอใจร้ายมิยั้งหยุด ถ้ายีเอ๋งไปว่ากล่าวหยาบช้าประการใด หองจอก็จะฆ่ายีเอ๋งเสีย แม้กิตติศัพท์นี้รู้ไปถึงโจโฉ เห็นโจโฉจะเกรงเรา อันความคิดโจโฉนั้นเราล่วงรู้เท่าอยู่ ที่ปรึกษาทั้งปวงก็สรรเสริญเล่าเปียวว่า ท่านคิดทั้งนี้ดีนัก
ขณะนั้นพอทหารอ้วนเสี้ยว เอาหนังสือมาให้เล่าเปียวเปนใจความว่า ให้เล่าเปียวคิดการบำรุงแผ่นดิน เล่าเปียวจึงปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวงว่า โจโฉกับอ้วนเสี้ยวเปนศัตรูกันอยู่ บัดนี้โจโฉกับอ้วนเสี้ยวให้มาเกลี้ยกล่อมเราทั้งสองฝ่าย ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ฮันสงจึงว่า ครั้งนี้โจโฉกับอ้วนเสี้ยวก็คิดจะทำร้ายกัน ถ้าท่านไม่เข้าด้วยผู้ใด จะคิดให้เปนประโยชน์จงดูท่วงที แม้เห็นข้างไหนเพลี่ยงพล้ำ ท่านจงยกกองทัพไปตีเอาเมืองผู้นั้น แต่ข้าพเจ้าเกรงอยู่ข้อหนึ่งว่า โจโฉนั้นมีสติปัญญาเปนอันมาก ทั้งการสงครามก็ชำนาญกว่าอ้วนเสี้ยว แล้วรู้จักเลี้ยงคนดีมีลักษณตามวิชาแลฝีมือ คนทั้งปวงเข้าด้วยโจโฉอยู่มิได้ขาด ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉจะทำการศึกนั้นจะชนะอ้วนเสี้ยวฝ่ายเดียว ถ้าโจโฉได้เมืองกิจิ๋วแล้ว เห็นจะยกกองทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายตวันออกจนถึงเมืองกังตั๋ง ข้าพเจ้าเห็นว่าจะต้านทานโจโฉมิได้ ขอให้ท่านสมัคเข้าทำการด้วยโจโฉ เห็นโจโฉจะเลี้ยงท่านโดยปรกติ
เล่าเปียวจึงว่า ท่านจงขึ้นไปฟังกิตติศัพท์ข้อราชการณเมืองฮูโต๋ ถ้าแจ้งประการใดแล้วท่านจงกลับมา เราจะได้คิดอ่านกันต่อไป ฮันสงจึงว่าซึ่งท่านจะใช้อย่างไรนั้นข้าพเจ้าไม่ขัด กลัวแต่พระเจ้าเหี้ยนเต้จะชุบเลี้ยงข้าพเจ้าเปนขุนนาง จะมิได้กลับมาเปนเพื่อนตายด้วยท่าน เห็นท่านจะมีความสงสัยข้าพเจ้า เล่าเปียวจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่านั้นก็ควรอยู่ ถึงมาทว่าจะอยู่ไกลกันก็ดี แต่ให้มีใจรักกันยั่งยืนไว้เถิด ซึ่งท่านจะไปนั้น ถ้าแจ้งข้อราชการสิ่งใด ถึงมิได้กลับมาก็บอกมาให้เราแจ้งด้วย เราจะได้คิดการต่อไป
ฮันสงก็ลาเล่าเปียวไปเมืองหลวง จึงเข้าไปคำนับโจโฉ ๆ เห็นฮันสงก็มีความยินดี จึงพูดจาปราสัยกัน แล้วตั้งให้เปนขุนนางอยู่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลเมืองเลงเหลงนั้นให้ขึ้นแก่ฮันสง ซุนฮกจึงค่อยกระซิบถามโจโฉว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าเปียวใช้ฮันสงมาฟังกิตติศัพท์ดู ฮันสงก็ยังมิได้มีความชอบต่อท่าน เหตุใดท่านจึงตั้งฮันสงให้เปนขุนนางบังคับเมืองเลงเหลง ประการหนึ่งยีเอ๋งซึ่งไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวนั้น ก็ยังมิได้เนื้อความประการใด ท่านยังมิได้ไต่ถามฮันสง
โจโฉจึงตอบว่า ยีเอ๋งนั้นหยาบช้าต่อเราเปนอันมาก เรามีความแค้นมันอยู่ ครั้นจะฆ่ามันเสียคนทั้งปวงก็จะคระหานินทา ว่ามีวาสนาแล้วข่มเหงผู้น้อย เราจึงให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว หวังจะยืมมือเล่าเปียวฆ่ายีเอ๋งเสีย ซึ่งจะให้ถามข่าวถึงมันนั้นจะต้องการสิ่งใด แล้วโจโฉจึงสั่งฮันสงให้กลับไปเมืองเกงจิ๋ว ให้เกลี้ยกล่อมเล่าเปียวมาทำราชการกับเราจงได้
ฮันสงรับคำโจโฉ แล้วลากลับไปเมืองเกงจิ๋ว จึงเล่าเนื้อความทั้งปวงซึ่งโจโฉว่า แลตั้งตัวให้เปนขุนนางนั้นให้เล่าเปียวฟังทุกประการ แล้วว่าโจโฉนั้นมีใจโอบอ้อมอารีกว้างขวาง ควรที่ท่านจะทำราชการด้วย ขอให้ท่านแต่งบุตรขึ้นไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะได้ทำราชการเปนที่ขุนนาง เล่าเปียวแจ้งดังนั้นก็โกรธจึงว่า ตัวมิเอาความลับของเราไปบอกแก่โจโฉแล้วหรือ โจโฉจึงตั้งให้ตัวเปนขุนนาง แลตัวคิดทำการครั้งนี้ก็เห็นว่าทรยศแก่เรา แล้วสั่งให้เอาฮันสงไปฆ่าเสีย ฮันสงจึงตอบว่า ข้าพเจ้าจะได้คิดร้ายเอาใจออกหากแลทิ้งท่านเสียนั้นหามิได้ ท่านมิได้มีความเอนดูทิ้งข้าพเจ้าเสียอีก
เกงเหลียงได้ยินดังนั้นจึงว่าแก่เล่าเปียวว่า เมื่อท่านจะให้ฮันสงไปนั้น ฮันสงก็ได้ว่าไว้แก่ท่านว่า ซึ่งจะให้ไปเมืองฮูโต๋นั้นเกรงอยู่ว่าท่านจะมีความสงสัย ท่านก็ว่าไม่แคลงแล้วจึงให้ฮันสงไป บัดนี้ฮันสงกลับมาแจ้งราชการแก่ท่านตามจริง ซึ่งท่านจะให้ฆ่าฮันสงเสียนั้นไม่ควร เล่าเปียวเห็นชอบด้วย ก็มิได้ฆ่าฮันสง
ขณะนั้นพอทหารมาบอกกับเล่าเปียวว่า ยีเอ๋งซึ่งไปเกลี้ยกล่อมหองจอเจ้าเมืองกังแฮนั้น หองจอแต่งโต๊ะเลี้ยงดูตามธรรมเนียม ครั้นเวลาเสพย์สุราเมาด้วยกัน หองจอจึงถามยีเอ๋งว่า ในเมืองฮูโต๋นั้น ยังเห็นขุนนางผู้ใดมีสติปัญญาหลักแหลมบ้าง ยีเอ๋งนั้นบอกว่า ขงหยงกับเอียวปิ๋วสองคนนี้ค่อยมีความคิดอยู่ นอกนั้นไม่เห็นผู้ใด หองจอจึงว่าความคิดขงหยงเอียวปิ๋วกับเรานี้ ท่านจะเห็นเปนกระไรกัน ยีเอ๋งจึงว่า อันตัวหองจอนั้น อุปมาเหมือนเตว็ดอยู่บนศาล ถึงจะมีผู้เส้นวักประการใด เตว็ดนั้นมิได้พูดจาด้วย ผู้ซึ่งนับถือบวงสรวงนั้น อุปมาเหมือนไหว้ขอนไม้ หองจอได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงถอดกระบี่ออกฟันยีเอ๋ง ๆ ด่าหองจอจนสิ้นใจ เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็สงสารยีเอ๋ง จึงให้คนไปแต่งการศพฝังไว้ตำบลเอ๋งบูจิ๋ว แลเล่าเปียวนั้นมิได้คิดอ่านที่จะเข้าด้วยโจโฉ
ฝ่ายโจโฉครั้นรู้กิตติศัพท์ว่ายีเอ๋งตายแล้วก็หัวเราะ จึงว่ายีเอ๋งนั้นเปนคนหยาบช้า ปากของมันเปนอาวุธฆ่าตัวมันเสียเอง ขณะนั้นโจโฉคอยข่าวเล่าเปียวก็มิได้แจ้งเหตุประการใด จึงกะเกณฑ์ทหารทั้งปวงจะยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋ว ซุนฮกจึงห้ามโจโฉว่า อ้วนเสี้ยวมีกำลังเปนอันมาก แล้วเล่าปี่เอาใจออกหากไปร่วมคิดกันกับอ้วนเสี้ยว จำจะปราบอ้วนเสี้ยวเล่าปี่ให้ราบคาบเสียก่อน จึงค่อยยกกองทัพไปปราบปรามเล่าเปียวก็จะได้โดยง่าย โจโฉเห็นชอบด้วย แล้วคิดว่าจะยกกองทัพไปรบอ้วนเสี้ยวกับเล่าปี่ เนื้อความทั้งนี้โจโฉยังมิได้ปรึกษาผู้ใดจึงงดรออยู่จนพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จมาอยู่เมืองฮูโต๋ได้ห้าปีแล้ว
ขณะนั้นเปนเทศกาลเดือนสามตรุษจีน โจโฉกับขุนนางทั้งปวงแต่งธูปเทียนดอกไม้เข้าไปกราบถวายบังคมพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตามอย่างตามธรรมเนียม ตังสินกับขุนนางทั้งปวงเห็นโจโฉทำการหยาบช้า มิใคร่จะถวายบังคมพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลขุนนางซึ่งมีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ก็คิดแค้นโจโฉเปนอันมาก ครั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จขึ้น โจโฉแลขุนนางทั้งปวงกลับออกไปบ้าน
ฝ่ายตังสินตั้งแต่เล่าปี่ยกกองทัพไป แลม้าเท้งก็ยกไปเมืองเสเหลียงแล้ว ตังสินกับจูฮกจูลันตันอิบโงห้วนลอบคิดอ่านกันทุกวันมิได้ขาด จะกำจัดโจโฉเสียก็ไม่สมความคิด ต่างคนต่างทุกข์ร้อนไม่เปนกินเปนนอน แต่ตังสินนั้นเปนไข้ใจอยู่
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบว่าตังสินป่วย จึงสั่งเกียดเป๋งหมอหลวงให้ไปอยู่รักษาตังสิน เกียดเป๋งก็ไปพยาบาลทั้งกลางวันกลางคืน เห็นตังสินทอดใจใหญ่อยู่เนืองๆ ก็รู้ว่าไม่ป่วยเพื่อโรคแต่เปนไข้ใจ เกียดเป๋งมิอาจไต่ถามประการใด ครั้นรุ่งขึ้นวันหนึ่งเกียดเป๋งจึงว่าแก่ตังสินว่า วันนี้ข้าพเจ้าจะลาไป พรุ่งนี้จึงจะกลับมา ตังสินจึงว่าวันนี้อย่าเพ่อไปเลย อยู่นอนด้วยเราสักคืนหนึ่ง ตังสินก็ให้แต่งโต๊ะชวนเกียดเป๋งมากินสุรา ตังสินกินโต๊ะพลางคิดถึงความทุกข์พลางก็เหนื่อยใจ เอนตัวนอนลงหลับไป ฝันเห็นว่าจูฮกจูลันตันอิบโงห้วนสี่คน มาหาตังสินที่บ้านแล้วบอกว่า บัดนี้อ้วนเสี้ยวกับเล่าปี่คุมทหารสิบหมื่นยกมาเมืองฝ่ายใต้ ม้าเท้งกับหันซุยคุมทหารเจ็ดสิบสองหมื่นยกมาข้างเหนือ จะมาตีเมืองฮูโต๋ ฝ่ายโจโฉก็เกณฑ์ทหารใหญ่น้อยทั้งปวงให้ออกไปต้านทานกองทัพอยู่นอกเมืองทั้งสองตำบล ในเมืองนั้นอยู่แต่โจโฉกับทหารเลวประมาณเก้าคนสิบคน ตังสินมีความยินดีก็ซ่อมสุมทหารทั้งสี่นายได้ทหารประมาณพันเศษ ตังสินกับขุนนางสี่คนก็ใส่เกราะขี่ม้าถืออาวุธต่างๆ แล้วคุมทหารไปถึงหน้าบ้านโจโฉ เห็นโจโฉนั่งเสพย์สุราอยู่ ตังสินก็ขับม้าตรงเข้าไปเอากระบี่ฟันโจโฉสีสะขาดออกจากกายตาย แล้วตังสินด่าโจโฉว่าอ้ายขบถ ขณะนั้นตังสินมีใจยินดีจนตื่นขึ้นมาก็ยังด่าโจโฉอยู่มิได้ขาดคำ
เกียดเป๋งได้ยินตังสินละเมอด่าโจโฉดังนั้น ก็รู้ว่าตังสินจะทำร้ายโจโฉ เกียดเป๋งจึงกระโชกถามตังสินว่า ตัวท่านจะทำร้ายมหาอุปราช เราจะเอาเนื้อความไปบอกแก่ท่านให้แจ้ง ตังสินได้ยินเกียดเป๋งว่าดังนั้นก็ตกใจ มิได้ตอบประการใด เกียดเป๋งเห็นตังสินกลัวดังนั้น จึงว่าท่านอย่ากลัวเลย ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้จะลองใจท่านดู ทุกวันนี้ข้าพเจ้าเปนแต่หมอ น้ำใจยังคิดสนองคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่ แต่ข้าพเจ้ามาพยาบาลท่านอยู่เปนหลายวันก็ไม่ปรากฎว่าโรคท่านเปนประการใด เห็นแต่ทอดใจใหญ่เนือง ๆ อยู่ก็ไม่อาจไต่ถาม บัดนี้ข้าพเจ้าได้ยินท่านละเมอด่าโจโฉก็ยุติกันกับทอดใจใหญ่ แลการซึ่งท่านคิดไว้ประการใดนั้นอย่าพรางเลยจงบอกให้แจ้งเถิด พอข้าพเจ้าจะทำได้ก็จะรับอาสา
ตังสินได้ยินเกียดเป๋งว่าดังนั้นก็ร้องไห้ แล้วว่าเกรงอยู่แต่ใจท่านจะไม่เหมือนปากว่า การเราซึ่งคิดไว้ก็จะเสียไป เกียดเป๋งจึงตอบว่า ท่านสงสัยอยู่ข้าพเจ้าจะทำให้เห็นประจักษ์ แล้วเกียดเป๋งจึงตัดนิ้วมือเอาโลหิตปนกับสุราแล้วสาบาลว่า ถ้าข้าพเจ้าแกล้งล่อลวงท่าน ก็ให้ชีวิตข้าพเจ้าเปนอันตรายด้วยอาวุธต่างๆ เถิด แล้วเกียดเป๋งก็กินเข้าไป ตังสินได้ยินเกียดเป๋งสบถดังนั้นก็สิ้นความสงสัย จึงเอาพระอักษรออกให้เกียดเป๋งดูแล้วว่า ซึ่งเราร่วมคิดกันจะกำจัดโจโฉเสียนั้นมีเจ็ดคนทั้งตัวเรา บัดนี้เล่าปี่กับม้าเท้งก็ไปจากเมืองหลวงแล้ว ยังแต่เรากับขุนนางมีชื่อสี่คนคิดการไปมิตลอด เราจึงเปนไข้ใจเพราะเหตุดังนี้
เกียดเป๋งเห็นพระอักษรลายพระหัตถ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วได้ฟังตังสินบอกดังนั้นจึงตอบว่า การซึ่งจะทำร้ายโจโฉนั้น ไว้เปนธุระข้าพเจ้าจะอาสา ตังสินถามว่าท่านจะทำประการใด เกียดเป๋งจึงบอกว่า โจโฉนั้นมักปวดสีสะ หาข้าพเจ้าไปรักษาหายเนืองๆ อยู่ ถ้าโจโฉป่วยอิกครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะไปรักษาแล้วประกอบยาใส่ยาพิษประสมลงให้โจโฉกิน โจโฉก็จะตาย การซึ่งข้าพเจ้าคิดนี้เห็นจะไม่ยากแก่ทแกล้วทหาร ตังสินได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าถ้าท่านมีใจสัตย์ซื่อ ก็เห็นว่าราชสมบัติจะไม่เปนอันตราย ความชอบก็จะปรากฎไปภายหน้า ครั้นเวลารุ่งเช้าเกียดเป๋งก็ลาไปบ้าน
ขณะนั้นตังสินก็มีความยินดี ซึ่งเปนไข้นั้นก็คลาย จึงเดิรลงไปชมสวนดอกไม้ พอเห็นเคงต๋องบ่าวสนิธนั้น พูดกันอยู่กับอินเอ๋งซึ่งเปนภรรยาในที่ลับ ตังสินโกรธเรียกคนใช้ให้จับตัวเคงต๋องได้แล้ว ถอดกระบี่ออกจะฆ่าเคงต๋องเสีย ภรรยาใหญ่ตังสินเห็นวุ่นวายจึงลงไปห้ามขอชีวิตเคงต๋องไว้ ตังสินจึงให้ตีหนักหนาแล้วให้จำไว้ ในเวลาเที่ยงคืนเคงต๋องหักโซ่ออกได้ จึงลอบหนีไปถึงโจโฉ เอาความลับซึ่งตังสินคบคิดกันกับผู้มีชื่อห้าคนนั้น บอกแก่โจโฉทุกประการ โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงให้เอาตัวเคงต๋องซ่อนไว้ในบ้าน
ฝ่ายตังสินเมื่อเวลารุ่งเช้าคิดว่า เคงต๋องหนีไปอยู่หัวเมือง ก็หาให้ตามเอาตัวไม่ ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง โจโฉจึงคิดกลอุบายทำปวดสีสะ จึงให้คนใช้ไปหาเกียดเป๋งมาจะให้รักษาโรค คนใช้ก็ไปบอกเกียดเป๋ง ๆ ก็คิดว่าอ้ายศัตรูราชสมบัติจะตายครั้งนี้ แล้วเกียดเป๋งเข้าไปในเรือนเอายาพิษนั้นซ่อนมาด้วย โจโฉเห็นเกียดเป๋งมา ก็พิเคราะห์ดูเห็นนิ้วมือเกียดเป๋งขาดอยู่หนึ่ง สมคำเคงต๋องว่า ก็ยังมิได้ไต่ถามประการใด
โจโฉจึงว่าแก่เกียดเป๋งว่า บัดนี้เราป่วยให้ปวดสีสะนัก ท่านเร่งประกอบยาแก้ให้คลายเราจะปูนบำเหน็จ เกียดเป๋งจึงว่าท่านป่วยครั้งนี้ข้าพเจ้าจะประกอบยาให้ขนานเดียวโรคท่านก็จะคลาย แล้วเกียดเป๋งจึงเอายาใส่จิบเจี๋ยวต้มขึ้นให้งวด ครั้นเห็นโจโฉเมินไปจึงเอายาพิษนั้นใส่ลงแล้วรินออกพอได้ครึ่งถ้วย จึงยกเข้าไปจะให้โจโฉกิน โจโฉรู้กลเกียดเป๋งก็บิดพลิ้วอยู่มิได้กินยา เกียดเป๋งจึงว่า มหาอุปราชจงกินยานี้เข้าไปแต่กำลังยังร้อนอยู่ พอเหื่อออกโรคท่านก็จะคลาย โจโฉจึงตอบว่า ท่านเปนหมอหลวงก็ย่อมรู้ขนบธรรมเนียมอยู่ทุกประการ ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงพระประชวร หมอถวายยา ขุนนางผู้สนิธก็ได้เทียบก่อน แม้บิดาผู้ใดป่วย หมอนั้นประกอบยาให้กิน บุตรนั้นก็ย่อมชิมเสียก่อน บัดนี้ตัวเราเปนมหาอุปราช ตัวท่านเปนหมอสนิธรักใคร่แก่เรา ท่านประกอบยาให้เรากิน ควรที่ท่านกินให้เราเห็นก่อนเราจึงจะกินได้
เกียดเป๋งจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็ควรอยู่ แต่ว่าท่านก็ไว้ใจข้าพเจ้ามาแต่ก่อน บัดนี้ท่านป่วยข้าพเจ้าประกอบยามาให้กิน ท่านจะให้ข้าพเจ้าซึ่งไม่ป่วยกินเสียก่อนนั้น ยาน้อยจะเปลืองไป โรคท่านก็จะไม่หาย โจโฉก็บิดพลิ้วอยู่ไม่กิน เกียดเป๋งเห็นโจโฉรังเกียจอยู่ มิได้กินยาเหมือนทุกครั้ง ก็หมายใจว่าโจโฉรู้การทั้งปวงซึ่งคิดไว้ จึงจับหูโจโฉไว้แล้วเอาถ้วยยาตรอกโจโฉ ๆ ปัดถ้วยยาหกกระเด็นไปถูกอิฐ ด้วยอำนาจพิษยาอิฐนั้นก็แตกไป แลคนใช้ทั้งปวงเห็นดังนั้น ก็ชวนกันเข้าจับตัวเกียดเป๋งไว้ โจโฉเห็นประจักษ์ว่าเกียดเป๋งใส่ยาพิษ จึงว่ากูหาป่วยไม่ดอก กูลองใจมึงดู บัดนี้กูเห็นว่ามึงจะทำร้ายกูเปนมั่นคง จึงสั่งทหารยี่สิบคนให้เอาตัวเกียดเป๋งไปที่สวนดอกไม้ ให้ตีเกียดเป๋งหนักหนา แล้วว่าแก่เกียดเป๋งว่า ตัวเปนแต่หมอ ซึ่งคิดการขึ้นทั้งนี้กูเห็นเกินความคิดมึง ถ้าผู้ใดสั่งสอนให้มึงทำ จงเร่งบอกแต่ตามจริงกูจะยกโทษมึงเสีย
เกียดเป๋งต้องตีเจ็บปวดเปนนักหนา มิได้กลัวความตาย จึงร้องตวาดแล้วตอบว่า ตัวมึงทำการหยาบช้าเปนศัตรูราชสมบัติ ซึ่งกูคิดทำการทั้งนี้ ใช่จะมีผู้ใดสั่งสอนกูหาไม่ ด้วยเหตุว่าแผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า กูจึงคิดจะฆ่ามึงเสีย ถึงคนทั้งปวงก็หมายใจจะล้างชีวิตมึงเสียให้ได้ แต่หากว่าเกรงอยู่ด้วยจะทำการไม่ตลอด ชีวิตกูจะตาย มึงจะมาถามเซ้าซี้ไปใย โจโฉได้ยินดังนั้นก็โกรธ ให้ตีเกียดเป๋งแต่เช้าคุ้งเที่ยงจนหลังนั้นปอกไปโลหิตไหล เกียดเป๋งก็ไม่ซัดพวกเพื่อน โจโฉกลัวเกียดเป๋งจะตายเสียเนื้อความก็จะสูญไป จึงให้เอาตัวเกียดเป๋งไปจำไว้ให้มั่นคง
ครั้นเวลารุ่งเช้าโจโฉจึงให้แต่งโต๊ะ แล้วให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองหลวงมากินโต๊ะ แลจูฮกจูลันตันอิบโงห้วน สี่คนนี้พร้อมใจกันว่าครั้นเราจะมิไปโจโฉจะสงสัย ขุนนางสี่คนจึงไปพร้อมกันกับขุนนางทั้งปวง แต่ตังสินนั้นบอกป่วย
ขณะเมื่อขุนนางทั้งปวงกินโต๊ะอยู่ โจโฉจึงว่าวันนี้ท่านทั้งปวงเสพย์สุราไม่สู้เพลิน เรามีคนประหลาทอยู่คนหนึ่ง จะเอามาให้ท่านดูเล่น แล้วให้ทหารคุมเอาตัวเกียดเป๋งออกมา โจโฉจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า มีพวกขบถคบคิดกันกับอ้ายผู้ร้ายคนนี้ จะทำอันตรายแก่พระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วจะทำร้ายแก่เรา บัดนี้เทพดามิได้เข้าด้วยผู้ผิด จึงผะเอิญให้เราจับตัวได้ เราจะถามเนื้อความมันให้แจ้ง ท่านทั้งปวงจงชวนกันฟัง โจโฉจึงให้ตีเกียดเป๋งอีกเปนหนักหนาจนสลบไป แล้วให้แก้ฟื้นขึ้น เกียดเป๋งมิได้ย่อท้อเคี้ยวฟันถลึงตาด่าโจโฉเปนข้อหยาบช้า แล้วว่าเหตุใดมึงมิฆ่ากูเสียจะเอาไว้ทำไมเล่า โจโฉจึงว่าเดิมมึงคบคิดกันนั้นหกคน ภายหลังมึงไปร่วมคิดด้วยจึงเปนเจ็ดคน ต้นเหตุนั้นคือผู้ใดมึงจึงไม่ชี้ตัวให้ เกียดเป๋งก็มิได้ซัดผู้ใด โจโฉก็โกรธให้ตีพลางถามพลาง เกียดเป๋งก็ไม่บอกตัวผู้ใด
ฝ่ายจูฮกจูลันตันอิบโงห้วนกินโต๊ะอยู่ เห็นโจโฉให้ตีถามเกียดเป๋งทั้งสี่คนนั้นมิได้เปนสุข อุปมาดังนั่งอยู่บนขวากหนาม หน้านั้นซีดไปพิศดูหน้าตากันมิได้ขาด โจโฉเห็นเกียดเป๋งไม่บอกพวกเพื่อนแล้วก็สั่งให้เอาตัวไปจำไว้ดังเก่า
ขุนนางทั้งปวงกินโต๊ะแล้วต่างคนต่างก็ลาโจโฉไป โจโฉจึงว่าท่านทั้งปวงจะไปก็ตามเถิด แต่จูฮกจูลันตันอิบโงห้วนสี่คนนี้เชิญอยู่ก่อน เราจะปรึกษาราชการด้วย ขุนนางสี่คนได้ฟังก็ตกใจขวัญไม่อยู่กับตัว จำใจนั่งอยู่ด้วยกลัวอาญาโจโฉ ๆ จึงถามขุนนางสี่คนว่า ท่านปรึกษาราชการสิ่งใดณบ้านตังสิน ขุนนางสี่คนจึงว่า ข้าพเจ้าจะได้ไปปรึกษาราชการสิ่งใดณบ้านตังสินนั้นหามิได้ โจโฉซักว่า ซึ่งตัวมิได้ไปปรึกษากันกับตังสิน แลแพรขาวซึ่งเขียนหนังสือนั้นว่ากันด้วยข้อความสิ่งใด ขุนนางสี่คนจึงว่า แพรขาวจะเขียนหนังสือไว้ประการใดข้าพเจ้าก็มิได้รู้เห็น
โจโฉจึงให้เอาตัวเคงต๋อง ซึ่งเปนบ่าวตังสินนั้นออกมาสอบกัน เคงต๋องจึงว่า ขุนนางทั้งสี่คนนี้ได้ไปคิดการณบ้านตังสิน ขุนนางสี่คนนั้นไม่รับ เคงต๋องจึงว่า เดิมจูฮกไปหาตังสินก่อน ครั้นจูลันตันอิบโงห้วนม้าเท้งมา จูฮกกลัวเข้าซ่อนอยู่ในม่าน แต่ตังสินเอาหนังสือในแพรขาวนั้นออกให้ดู แล้วพูดจายอมร่วมคิดกันว่า จะทำร้ายมหาอุปราช จูฮกจึงออกมาเข้าคิดด้วย ตังสินกับขุนนางห้าคนจึงเขียนหนังสือใส่ชื่อไว้ด้วยกัน เหตุใดท่านทั้งสี่คนจึงไม่รับเล่า จูฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า เคงต๋องคนนี้ลอบทำชู้ด้วยภรรยาน้อยตังสิน ครั้นตังสินจับได้ให้ตีโบยแล้วจำไว้ เคงต๋องมีใจพยาบาทตังสินอยู่จึงหนีมา เอาความร้ายนั้นผูกพันใส่โทษตังสินว่าจะทำร้ายแก่มหาอุปราช ขอท่านอย่าเชื่อฟังคนผิด
โจโฉจึงว่า ซึ่งตัวว่ามิได้คบคิดกันกับตังสินนั้นยังไม่เห็นจริง ข้อซึ่งตังสินคิดให้เกียดเป๋งเอายาพิษมาให้เรากิน ตัวทั้งสี่คนนี้รู้หรือไม่ ขุนนางทั้งสี่ก็ว่าข้าพเจ้าไม่แจ้ง โจโฉจึงว่าเนื้อความทั้งนี้ท่านไม่รับ ถ้าเราพิจารณาสืบไปได้เนื้อความออกอีกประการใด เราจะให้ฆ่าตัวทั้งสี่คนเสีย แล้วโจโฉจึงสั่งทหารว่า เวลาวันนี้ค่ำแล้ว ให้เอาขุนนางทั้งสี่คนไปใส่คุกไว้ให้มั่นคง
ครั้นเวลารุ่งเช้า โจโฉจึงพาทหารไปเยือนตังสินณบ้าน ตังสินก็ออกมารับโจโฉเข้าไปนั่งที่สมควร โจโฉจึงว่าแก่ตังสินว่า เวลาวานนี้เราให้มาเชิญท่านไปกินโต๊ะ เหตุใดท่านจึงไม่ไป ตังสินจึงตอบว่า ข้าพเจ้าป่วยอยู่ยังไม่หายสนิธ ครั้นจะไปกลัวโรคนั้นจะกำเริบขึ้น โจโฉจึงว่าซึ่งท่านป่วยนั้นเราแจ้งอยู่ ใช่จะป่วยด้วยโรคก็หาไม่ ท่านเปนไข้ใจเพราะคิดการยังไม่สำเร็จ ตังสินได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ มิได้ตอบประการใด โจโฉจึงถามตังสินว่า เนื้อความซึ่งเกียดเป๋งทำร้ายเรานั้นท่านรู้หรือไม่ ตังสินว่าไม่แจ้ง โจโฉหัวเราะแล้วจึงว่า ตัวไม่รู้ก็ดีแล้ว โจโฉจึงสั่งทหารให้ไปเอาเกียดเป๋งมา เกียดเป๋งครั้นมาเห็นโจโฉก็ด่าว่า อ้ายศัตรูราชสมบัติ มึงให้กูมาจะว่าประการใดอิก
โจโฉจึงว่าแก่ตังสินว่า พวกของตัวซึ่งร่วมคิดจะทำร้ายแก่เรานั้นห้าคน บัดนี้จับได้สี่คนแล้ว เราจำไว้ณคุก แต่คนหนึ่งนั้นยังไม่ได้ตัว ตังสินจึงว่าข้าพเจ้าจะได้คบคิดกับผู้ใดหามิได้ โจโฉจึงถามเกียดเป๋งว่าผู้ใดใช้มึงเอายาพิษมาใส่ให้กูกิน เกียดเป๋งจึงว่า ผู้ใดจะได้ใช้สอยกูก็หาไม่ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้ตีเกียดเป๋งเปนอันมาก ตังสินเห็นโจโฉให้ตีเกียดเป๋งดังนั้น ก็ให้เกิดร้อนใจดังนั่งอยู่ในกลางกองเพลิง โจโฉจึงถามเกียดเป๋งว่า เดิมนิ้วมือของมึงนั้นครบสิบนิ้ว เหตุใดยังอยู่แต่เก้านิ้ว เกียดเป๋งจึงว่า กูตัดนิ้วมือออกสาบาลว่าจะฆ่ามึงเสียให้จงได้
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้ทหารตัดนิ้วมือเกียดเป๋งเสียทั้งเก้านิ้ว แล้วโจโฉจึงว่าแก่เกียดเป๋งว่า มึงตัดนิ้วเสียนิ้วเดียวจึงทำร้ายกูไม่ได้ บัดนี้กูให้ตัดเสียอิกเก้านิ้ว มึงเร่งคิดการทำร้ายกูให้สำเร็จเถิด เกียดเป๋งจึงว่า ปากกูยังมี ลิ้นกูพอจะด่ามึงได้อยู่อีก โจโฉจึงสั่งให้ทหารตัดลิ้นเกียดเป๋งเสีย เกียดเป๋งจึงร้องว่า อย่าทำลำบากแก่เราเลยจงแก้มัดเสียเถิด เราจะบอกเนื้อความแล้ว โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ห้ามทหารไว้ แล้วสั่งให้แก้มัดเสีย เกียดเป๋งลุกขึ้นผินหน้าไปข้างทิศพระราชวังกราบถวายบังคมพระมหากษัตริย์แล้วจึงว่า ตัวข้าพเจ้าเปนข้าราชการในแผ่นดิน บัดนี้มีศัตรูทำจลาจลต่อราชสมบัติ ข้าพเจ้าคิดจะทำนุบำรุงแผ่นดิน บัดนี้ไม่สมความคิด เกียดเป๋งก็เอาสีสะโดนเข้ากับเสาศิลาสีสะนั้นก็แตกตาย โจโฉเห็นดังนั้นก็ให้ทหารเชือดเนื้อเกียดเป๋งออกเปนชิ้นๆ ให้ตัดสีสะนั้นไปตะเวนแล้วเสียบประจานไว้
โจโฉจึงให้ทหารไปเอาตัวเคงต๋องมา แล้วถามตังสินว่า ท่านรู้จักอ้ายคนนี้หรือไม่ ตังสินเห็นเคงต๋องก็โกรธ จึงว่าอ้ายนี่เปนบ่าวของข้าพเจ้า เปนคนทรชนคิดร้ายต่อข้าพเจ้าจะไว้มันมิได้ แล้วตังสินถอดกระบี่ออกจะฆ่าเคงต๋องเสีย โจโฉจึงให้ทหารชิงกระบี่ไว้ แล้วว่าแก่ตังสินว่า เคงต๋องคนนี้เปนโจทย์ไปกล่าวโทษว่า ตัวกับขุนนางมีชื่อห้าคนคบคิดกันจะทำร้ายเรา แลขุนนางซึ่งอยู่ในเมืองหลวงสี่คนนั้นเราจับมาถามก็รับเปนสัตย์แล้ว แลตัวจะมาทำเปนโกรธ จะมาฆ่าโจทย์ของตัวเสียนั้น ตัวคิดจะให้ความสูญไปหรือ ตังสินจึงว่า ข้าพเจ้าจะได้คบคิดกับผู้ใดทำร้ายท่านหามิได้
โจโฉจึงสั่งให้ทหารทั้งปวงเข้าค้นเรือนตังสิน ได้หนังสือซึ่งเขียนด้วยโลหิตในแพรขาว กับหนังสือซึ่งลงชื่อสบถกันนั้น ออกมาให้โจโฉ ๆ รับเอาหนังสือสองฉบับนั้นมาอ่านดู ก็รู้ว่าหนังสือในแพรขาวนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้คิดอ่านให้ทำ แลหนังสือซึ่งสาบาลนั้นมีชื่อเล่าปี่ด้วย แล้วโจโฉจึงว่า อ้วยพวกนี้อุปมาเหมือนสัตว์เดียรัจฉาน ควรหรือจะคิดทำร้ายกู จึงให้ทหารริบเอาทรัพย์สิ่งสินของตังสิน แล้วก็ให้จับเอาตัวตังสินแลบุตรภรรยาพรรคพวกมาณบ้าน โจโฉจึงเอาหนังสือสองฉบับนั้นให้ที่ปรึกษาทั้งปวงดู แล้วว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้คิดให้ทำร้ายแก่เราผู้มีความชอบ บัดนี้เราจะให้เนรเทศเสียจากราชสมบัติ จะจัดเอาเชื้อพระวงศ์ซึ่งมีสติปัญญาตั้งขึ้นเปนเจ้าแผ่นดินแทน ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
เทียหยกจึงว่า ทุกวันนี้ราชการในเมืองหลวงแลหัวเมืองทั้งปวงก็เปนสิทธิ์อยู่แก่ท่าน เพราะท่านทำการสิ่งใดนั้น ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เปนประมาณ ขุนนางแลหัวเมืองทั้งปวงจึงยำเกรงอยู่ในบังคับบัญชาท่าน ครั้งนี้แผ่นดินก็ยังไม่ราบคาบ ซึ่งท่านจะให้เนรเทศพระเจ้าเหี้ยนเต้เสียจากราชสมบัตินั้น ถ้ารู้ไปถึงหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวง ก็จะยกกองทัพเข้าบัญจบกันมาทำอันตราย เห็นจะได้ความขัดสน ซึ่งข้าพเจ้าห้ามทั้งนี้ขอให้ท่านดำริห์ดูจงควร
โจโฉเห็นชอบด้วย จึงสั่งทหารทั้งปวงให้ไปจับบุตรภรรยาแลพรรคพวกขุนนางสี่คนนั้นมา แล้วเอาตัวตังสินแลขุนนางสี่คน กับบุตรภรรยาพรรคพวกประมาณเจ็ดร้อยเศษ ไปฆ่าเสียนอกกำแพงเมืองฮูโต๋ ขุนนางทั้งปวงแลอาณาประชาราษฎรเห็นดังนั้น ก็มีความสงสารน้ำตาตกไม่เว้นคน ขณะเมื่อโจโฉฆ่าตังสินกับคนทั้งปวงเสียแล้ว ก็ยังไม่หายความแค้น จึงเหน็บกระบี่เข้าไปในพระราชวัง หวังจะฆ่านางตังกุยหุยน้องตังสิน ซึ่งเปนพระสนมพระเจ้าเหี้ยนเต้เสีย
ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตรัสปรึกษาด้วยนางฮกเฮาผู้เปนพระมะเหษีกับนางตังกุยหุยว่า เราให้หนังสือไปกับตังสินก็หลายเดือนแล้ว ยังมิได้เนื้อความประการใด พอแลไปเห็นโจโฉเหน็บกระบี่เดิรเข้ามา พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ตกพระทัยยังมิได้ตรัสประการใด โจโฉก็มิได้ถวายบังคม จึงว่าแก่พระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ตังสินคิดร้ายต่อข้าพเจ้าพระองค์รู้หรือไม่ พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังโจโฉถามดังนั้นจึงแกล้งตรัสว่า ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดินเขาชวนกันฆ่าเสียแล้ว เปนไฉนมหาอุปราชจึงว่าตั๋งโต๊ะจะทำร้ายอีกเล่า โจโฉจึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า ตังสินคิดร้ายต่อข้าพเจ้า เหตุใดจึงเอาเนื้อความตั๋งโต๊ะซึ่งตายแล้วมาตรัสดังนี้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ยินโจโฉร้องว่าดังนั้นก็ตกใจ แล้วตรัสว่าตังสินคิดร้ายประการใดนั้นเราไม่แจ้ง โจโฉจึงว่าพระองค์เขียนพระอักษรด้วยโลหิตให้ตังสินไปนั้นลืมเสียแล้วหรือ พระเจ้าเหี้ยนเต้มิได้ตอบประการใด
โจโฉก็สั่งบู๋ซูให้จับนางตังกุยหุย ซึ่งเปนน้องตังสินมาจะฆ่าเสีย พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงว่าแก่โจโฉว่า นางตังกุยหุยนั้นมีครรภ์อยู่ได้ห้าเดือนแล้ว มหาอุปราชจงเห็นแก่เราอย่าฆ่าเสียเลย โจโฉจึงว่าพระองค์ให้ตังสินทำร้ายข้าพเจ้า หากว่าเทพดาช่วยข้าพเจ้าจึงได้รู้การทั้งปวง หาไม่ข้าพเจ้าก็จะถึงแก่ความตาย แม้พระองค์จะเอาหญิงคนนี้ไว้ ภายหน้าก็จะมีอันตรายแก่ข้าพเจ้า นางฮกเฮาผู้เปนมะเหษีจึงว่าแก่โจโฉว่า มหาอุปราชเอ็นดูเถิด อย่าเพ่อฆ่านางตังกุยหุยเสียก่อนเลย จงเอาไปจำไว้ในตึกเย็น ถ้าคลอดบุตรแล้วจึงฆ่านางเสีย โจโฉจึงตอบว่าจะเอาพันธุ์มันไว้ไย ถ้าบุตรมันใหญ่ขึ้น มันก็จะพยาบาททำร้ายแก่ข้าพเจ้า นางตังกุยหุยจึงอ้อนวอนโจโฉว่า ถ้ามหาอุปราชมิไว้ชีวิตแล้ว อย่าฆ่าด้วยอาวุธให้ลำบากเลย จงเอาแพรขาวมารัดฅอให้ตายโดยปรกติเถิด
โจโฉจึงให้เอาแพรขาวมาจะทำตามคำนางว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงพระกรรแสง แล้วตรัสแก่นางตังกุยหุยว่า ตัวเจ้าจะตายไปนั้นอย่าได้มีความแค้นแก่เราเลย แล้วพเระเจ้าเหี้ยนเต้กับนางฮกเฮา นางตังกุยหุยก็ร้องไห้ร่ำไรรักกัน โจโฉเห็นดังนั้นจึงร้องตวาดว่า คบคิดกันจะทำร้ายเขา ครั้นเขาจับได้สิมาร้องไห้รักกันเล่า แล้วโจโฉก็ให้บู๋ซูคุมเอาตัวนางตังกุยหุยออกไปถึงนอกประตูวัง ให้เอาแพรขาวรัดฅอนางเข้าจนขาดใจตาย โจโฉจึงสั่งขุนนางฝ่ายกรมวังกับขันทีว่า แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า อย่าให้เชื้อพระวงศ์เข้าไปที่ข้างใน ถ้าผู้ใดจะเข้าไปให้เอาเนื้อความมาบอกเราก่อน ต่อเราสั่งจึงให้เข้าไป แม้ผู้ใดมิห้ามปรามเราจะให้ลงโทษถึงสิ้นชีวิต แล้วสั่งโจหองให้คุมทหารสามพัน กำกับตรวจตราพระราชวังแลประตู อย่าให้เชื้อพระวงศ์เข้าไปที่ข้างในได้