คำชี้แจง
ลำอีสานหรือนิทานของชาวอีสาน เรื่อง พระยาคันคาก นี้เป็นวรรณคดีที่แพร่หลายมากเรื่องหนึ่งในอดีต ทั้งในภาคอีสานและภาคเหนือของประเทศไทย ทั้งนี้เพราะวรรณคดีเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับฝนฟ้าอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของชาวไทยซึ่งอาศัยการเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ ปีใดฝนแล้ง ผู้คนก็จะอดอยากยากแค้น บางทีถึงขนาดต้องเข้าป่าหาขุดเผือกขุดมันมากินแทนข้าวเพื่อประทังความหิวโหย ฉะนั้นน้ำฝนจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของชีวิตชาวไร่ชาวนาทั้งในอดีตและปัจจุบัน
วรรณกรรมเรื่องนี้อ่านสนุกให้ทั้งความรู้และความบันเทิง โดยเฉพาะตอนว่าด้วยมหาสงครามระหว่างราชาคันคากและพระยาแถนฟ้า ประพันธ์ได้สนุกเร้าใจ นอกจากนั้นยังให้ความรู้ด้านคติธรรม เช่น ความสามัคคี ประเพณี ความเชื่อ ศิลปะการดนตรี สถาปัตยกรรม วิจิตรศิลป์ และอีกหลาย ๆ ประการที่ผู้ประพันธ์ได้สอดแทรกไว้ในเนื้อเรื่อง
เรื่องพระยาคันคากนี้ จัดเป็นวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาได้ เพราะผู้ประพันธ์ได้ยกให้ตัวเอกของเรื่องเป็นพระโพธิสัตว์ผู้มากด้วยบุญบารมี อีกทั้งวรรณกรรมเรื่องนี้ชาวอีสานจะใช้ในพิธีกรรมขอฝนโดยจะจัดให้เป็นพิธีใหญ่เช่นเดียวกับบุญพระเวส คือเริ่มต้นด้วยการจัดหาสถานที่แล้วปลูกปะรำหรือผามขึ้น แล้วขุดสระลึกกว้างพอประมาณ เสร็จแล้วนำน้ำมาเทใส่ เอาจอกแหน เต่า หอย ปลา ปู กุ้ง ปล่อยลงไป ที่ขอบสระปั้นรูปสัตว์ต่าง ๆ มี ช้าง ม้า วัว ควาย กบ เขียด อึ่ง ต่อ แตน เป็นต้น ไว้ และจัดเครื่องบูชาอย่างละร้อย ข้าวตอกหนึ่งถ้วย ดอกไม้หนึ่งถ้วย น้ำส้มป่อยหนึ่งขัน ดอกไม้ธูปเทียนอย่างละห้าคู่และแปดคู่ใส่พานอย่างละหนึ่งพาน แล้วนิมนต์พระมาสวดคาถาปลาค่อวันละ ๑๐๘ จบ เป็นเวลา ๓ วัน จากนั้นนิมนต์พระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงมาเทศน์เรื่อง พระยาคันคาก ๒ ธรรมาสน์ ชาวบ้านที่มาร่วมพิธีจะพากันนุ่งขาวห่มขาว สมาทานศีลห้า ศีลแปด แล้วอธิษฐานขอให้ฝนตก ตลอดเวลา ๓ วัน จึงเสร็จพิธี
วรรณกรรมเรื่องนี้ ต้นฉบับเดิมเป็นคัมภีร์ใบลานจำนวน ๘๖ ลาน คิดเป็นผูกประมาณ ๔ ผูก ได้มาจากวัดโจดนาห่อม ต. คลีกลิ้ง อ. ราษีไศล จ. ศรีสะเกษ ท่านพระครูสุพจน์วรนาถ เจ้าคณะตำบลคลีกลิ้ง เจ้าอาวาสวัดโจดนาห่อม เป็นผู้มอบให้ในคราวที่ผู้ถ่ายถอดออกสำรวจตามโครงการสำรวจเอกสารโบราณในท้องที่จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๓๕ ผู้ถ่ายถอดเห็นว่าจักเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจวรรณกรรมอีสาน จึงได้ทำการถ่ายถอดไว้
อักษรที่ใช้จาร เป็นอักษรไทยน้อย ลายมือผู้จารจัดว่าสวยพอประมาณ อ่านง่าย เพียงแต่ไม่มีวรรคตอน ซึ่งเป็นธรรมดาของการจารใบลาน ส่วนใหญ่จะจารติดต่อกันไปเรื่อย ๆ บรรทัดต่อบรรทัดจนจบเรื่อง ผู้อ่านต้องจัดวรรคตอนเอง สำหรับเรื่องนี้ผู้ถ่ายถอดได้จัดวรรคตอนใหม่ให้ถูกต้องตามรูปแบบคำประพันธ์ซึ่งผู้ประพันธ์ใช้ฉันทลักษณ์แบบโคลงสาร โคลงสารนี้เป็นคำโคลงโบราณ มีบทบัญญัติเช่นเดียวกับโคลงวิชชุมาลี
กฎเกณฑ์ของโคลงสาร มีดังนี้
๑. คณะ บทหนึ่งมีสองบาท บาทหนึ่งมี ๗ คำ จะรวมเป็นวรรคเดียวหรือแบ่งเป็น ๒ วรรค คือ วรรคหน้า ๓ คำ วรรคหลัง ๔ คำก็ได้ นอกจากนี้อาจมีสร้อยคำเพิ่มได้อีกทั้งข้างหน้าและข้างหลัง
๒. กำหนดเอก โท บทเอก กำหนดเอก ๓ ตำแหน่ง โท ๒ ตำแหน่ง ส่วนบทโท กำหนดเอก ๓ ตำแหน่ง และโท ๓ ตำแหน่ง นอกจากนี้ ยังมีคำสร้อยได้ทุกวรรค ข้างหน้า ๒ - ๔ คำ ข้างหลังอีก ๒ คำ ดังนี้
บทเอก | ..๐๐่๐้ | ๐๐่๐๐.. |
..๐๐๐ | ๐่๐้๐๐. | |
บทโท | ..๐๐๐้ | ๐๐๐๐่.. |
..๐๐่๐้ | ๐๐้๐่๐.. |
ตัวอย่าง
(บทเอก) | บัดนี้ จักกล่าวเถิง ราชาไท้ | นามมะหน่อโพธิสัตว์ |
พระก็ ทรงวิมาน | อยู่สวรรค์เมืองฟ้า | |
(บทโท) | มีหมู่ นารีแก้ว | สาวสนมสามหมื่น |
งามยิ่งย้อย | แฝงเฝ้าแก่บา. |
(พระยาคันคาก)
อย่างไรก็ดี จากการอ่านวรรณกรรมอีสานหลาย ๆ เรื่องพบว่า กวีโบราณท่านไม่ได้เคร่งครัดกับกฎเกณฑ์ของฉันทลักษณ์มากนัก เพราะฉะนั้น จะพบว่าในการแต่งวรรณกรรมเรื่องต่าง ๆ บางบาทจะน้อยกว่าหรือมากกว่า ๗ คำ ก็มี แม้บทเอกโท คำที่เป็นเสียงเอกและเสียงโทก็ไม่ตรงตามกฎเกณฑ์ไปทั้งหมด
อักษรที่จารนั้นไม่มีวรรณยุกต์ จึงต้องอ่านหาระดับเสียงให้ได้ความการสะกดการันต์ จะเขียนแบบง่ายๆ อักษร ล, ร กล้ำ มีบ้างแต่ไม่มาทมักตัดให้สั้นลง เช่น ไกล - ไก, เครื่อง - เคื่อง, เปลื้อง - เปื้อง อักษร ร จะหาใช้ได้ยากแทบไม่มีเลย ส่วน ว กล้ำมีบ้างในบางคำ เช่น ไกว คำศัพท์พูดก็สั้น เช่น
คำพูด | วรรณคดี |
กวง | กวาง |
ก้วง | กว้าง |
ขวง | ขวาง |
ส่วง | สว่าง |
อักษรไทยน้อย และอักษรธรรมอีสาน มีอักษรอยู่ตัวหนึ่งที่ไม่มีใช้ในอักษรไทย อักษรตัวนั้น คือ ຢ ตัวหยอ หรือหยอหยาดน้ำ บางท่านเติมหางให้ยาวเป็น ย่ แต่บางท่านก็เขียนเป็น อฺย ที่เขียนเป็น อฺย ก็เพื่อให้เข้ากับอักษรกลาง จะผันได้ว่า อยา อย่า อย้า อย๊า อย๋า อฺย หรือ ย มี อ นำนี้ทางภาคกลางมีใช้เขียนอยู่ ๔ คำ คือ อย่า อยู่ อย่าง อยาก ซึ่งเป็นคำออกเสียงทางเพดานปาก ตัวหยอหยาดน้ำนี้ก็เช่นเดียวกัน ออกเสียงทางเพดานปาก จัดอยู่ในหมู่อักษรกลาง ในหนังสือเล่มนี้ผู้ปริวรรตใช้ อฺย แทนตัวหยอหยาดน้ำ เพื่อจะได้เป็นที่สะดุดตาของนักอักษรศาสตร์ ขอให้ท่านผู้อ่านอย่าได้สับสน หากสงสัย กรุณาเปิดดูศัพทานุกรมท้ายเล่มก็จะเข้าใจความหมายได้ดี
ภาษาที่ใช้เป็นภาษาไทยอีสาน รูปแบบคำประพันธ์เป็นแบบร้อยกรองประเภทโคลงสาร จัดเป็นวรรณกรรมประเภทนิทานอิงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยยกให้ตัวเอกเป็นพระโพธิสัตว์
ยุคสมัยที่ประพันธ์ ไม่ปรากฏหลักฐานว่า ใครเป็นผู้ประพันธ์เรื่องนี้ขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ปรากฏเพียงชื่อผู้คัดลอก บางฉบับก็จะบอกวันเดือนปีที่คัดลอกไว้ด้วย แต่ก็มีบ้างที่นักประวัติศาสตร์และวรรณคดีหลายท่านลงความเห็นว่าน่าจะแต่งในสมัยอาณาจักรเชียงใหม่กำลังรุ่งเรือง คือสมัยที่นำเอานิทานพื้นบ้านมาแต่งแล้วจัดไว้ในหมวดนิบาตชาดก ซึ่งเรียกกันต่อมาว่า ปัญญาสชาดก เรื่องพระยาคันคากนี้ก็เช่นกัน คงแต่งในสมัยเดียวกันนี้ แล้วตกทอดมายังอาณาจักรลานช้างในสมัยพระเจ้าชัยเชฏฐาธิราช (พ.ศ. ๒๐๙๓ - ๒๑๑๔) พร้อมกับวรรณกรรมอื่น ๆ เช่น จำปาสี่ต้น ลิ้นทอง สุพรหมโมกข์ เป็นต้น
ตั้งแต่ภาคคำอ่านปัจจุบันไปจนจบเล่ม ผู้ถ่ายถอดได้ชำระให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทย-ไทยอีสานปัจจุบัน โดยยึดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน และพจนานุกรมภาษาไทยอีสานฉบับต่าง ๆ เป็นหลัก ถ้าต้นฉบับผิดหรือตก ผู้ถ่ายถอดจะทำเชิงอรรถไว้ให้เป็นที่สังเกต การที่ผู้ถ่ายถอดชำระให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทยปัจจุบันเช่นนี้ เพราะมีเจตนามุ่งไปที่ผู้อ่านเป็นหลัก หวังจะให้ผู้อ่านเข้าใจได้โดยง่าย อย่างไรก็ดี ผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับผู้ถ่ายถอด ถ้าท่านพอใจจะคงไว้ตามต้นฉบับเดิมโปรดยึดภาคถ่ายถอดเป็นหลัก
อีกประการหนึ่ง การที่ผู้ถ่ายถอดใส่ชื่อบทหรือตอนต่าง ๆ เช่น บทไหว้ครู เป็นต้น ไว้ ก็เพื่อประโยชน์แก่ผู้อ่านที่ยังเป็นเด็กระดับประถมและมัธยมเป็นต้น จะกำหนดเรื่องได้โดยง่ายเพราะหนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกเพศทุกวัย
ภาคถอดความเป็นภาษาไทยนั้น ผู้ถ่ายถอดพยายามถอดให้ได้ใกล้ความเดิมมากที่สุด ยกเว้นบางประโยคที่มีเนื้อความซ้ำกันจึงจะตัดออก และมีบางคำบางประโยคเติมเข้ามาเพื่อให้เนื้อความเชื่อมต่อกันไม่ขาดห้วนแต่ก็มีน้อยมาก ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านภาคภาษาไทยและเพื่ออนุรักษ์ไม่ให้เนื้อความต่างไปจากต้นฉบับ ฉะนั้นผู้อ่านอาจพบว่าถ้อยคำสำนวนภาษาไทยอ่านแล้วไม่ลื่น
ในการตรวจทานชำระให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทยอีสานปัจจุบัน ในภาคคำอ่านปัจจุบัน ผู้ถ่ายถอดได้อาศัยหนังสือดังมีรายชื่อต่อไปนี้เป็นหลัก คือ
๑. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕
๒. พจนานุกรม ภาคอีสาน - ภาคกลาง ฉบับปณิธานสมเด็จพระมหาวีรวงศ์
๓. พจนานุกรมภาษาถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
๔. สารานุกรมภาษาอีสาน - ไทย - อังกฤษ โดย ดร.ปรีชา พิณทอง
ท้ายเล่มผู้ถ่ายถอดได้รวบรวมคำศัพท์ที่เห็นว่าค่อนข้างจะเข้าใจยากจัดทำเป็นศัพทานุกรมให้ความหมายเป็นภาษาไทยกลางไว้
นายสมชัย ฟักสุวรรณ์
นักภาษาโบราณชำนาญการ
งานภาษาโบราณ หอสมุดแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา