ประเพณีแต่งงานบ่าวสาวของจีน

รองอำมาตย์เอก (ง่วนติด บุญถี) เรียบเรียง

ประเพณีการแต่งงานเป็นสามีภรรยากันในประเทศจีนนั้น มีกล่าวไว้ในหนังสืองี่เล้ยเล่ม ๒ ว่า เริ่มมีงานพิธีขึ้นเมื่อครั้งราชวงศ์จิว ในรัชชสมัยพระเจ้าจิวเซ่งอ๋อง เมื่อพระเจ้าจิวเซ่งอ๋องได้เสวยราชสมบัตินั้นมีพระชันษาเพียง ๑๒ ปี จึงตั้ให้จิวกงตั้นผู้เป็นพระเจ้าอาว์เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ จิวกงตั้นได้ตั้งลัทธิธรรมเนียมสำหรับอบรมจริยาประชาชนพลเมืองขึ้นไว้หลายประเภท มีพิธีสวมหมวกเครื่องแต่งตัว พิธีแต่งงานบ่าวสาว พิธีปลงศพ พิธีเยี่ยมเยือน พิธีประชุมเลี้ยงดูผู้ใหญ่ พิธีฝึกซ้อมเพลงเกาทัณฑ์ พิธีเลี้ยงแขก พิธีเชิญผู้ใหญ่ พิธีราชประเพณีเหล่านี้เป็นต้น ในที่นี้จะกล่าวประเพณีการแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน ซึ่งไต้ตั้งขึ้นก่อนพุทธศักราช ๕๗๒ ปี ดังต่อไปนี้

ชาวประเทศจีนถือว่าการแต่งงานเป็นสามีภรรยากันนั้น เป็นการสำคัญยิ่งกว่าเรื่องใด ๆ จึงนับถือและประพฤติตามบัญญัติอย่างเคร่งครัด เช่นห้ามมิให้มีการแต่งงานในวงศ์แซ่อันเดียวกัน เพราะฉะนั้นการจะสู่ขอหญิงมาเป็นภรรยา จึงจำต้องซักไซ้ไล่เลียงวงศ์ตระกูลกันอย่างระมัดระวัง ถ้าพลาดพลั้งลงไปแล้วเปนเหตุให้เสื่อมเสียวงศ์แซ่และชื่อเสียง เพื่อจะวางพิธีการแต่งงานเป็นระยะถ่วงเวลาให้ช้าวัน จึงมีกำหนดลัทธิตั้งแต่เริ่มสู่ขอจนถึงวันแต่งงานเป็น ๖ ตอนด้วยกัน คำจีนเรียกว่า “ลักเล้ย” แต่ลัทธิลักเล้ยนี้นิยมใช้กันแต่ครั้งโบราณ ตกมาถึงสมัยราชวงศ์เชงเฉียวความนิยมได้เปลี่ยนแปลงไป จึงย่อลัทธิบางประเภทเสียบ้าง เพื่อสะดวกแก่พิธี แม้กระนั้นก็ยังถือว่าเปืนขนบธรรมเนียมอย่างโบราณอยู่ตลอดมา จนถึงสมัยเก็กเหม็งล้มราชวงศ์เชงเฉียวเปลี่ยนวิธีการปกครองเป็นประชาธิปไตย ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๕ มาจนปรัตยุบันนี้ ความนิยมค่อยเปลี่ยนไปในความเจริญของชาวตะวันตก เอาธรรมเนียมการแต่งงานอย่างฝรั่งมาใช้ แต่ก็ยังเป็นส่วนน้อยไม่แพร่หลาย มักมีแต่ฉะเพาะพวกนักเรียนกับพลเมืองในท้องที่ที่มีความเจริญแล้วเท่านั้น

การแต่งงานเป็นสามีภรรยากันนั้น ตามหนังสือชื่อฮุนอินงี่เล้ยบัญญัติไว้ว่า หญิงต้องมีอายุพ้น ๑๕ ปี ชายต้องมีอายุพ้น ๒๐ ปี จึงควรแต่งงานมีเย่าเรือนได้ หญิงชายที่จะแต่งงานกันกำหนดระยะเวลาตั้งแต่เริ่มสู่ขอจนกว่าจะถึงวันแต่งงานเป็นชั้น ๆ ดังนี้ คือเจ้าแผ่นดินภายในปีหนึ่ง เจ้าประเทศราชภายใน ๖ เดือน เสนาอำมาตย์ภายใน ๓ เดือน ราษฎรสามัญภายใน ๑ เดือน การกำหนดเขตต์แต่งงานนี้ จะได้เลิกล้มเสียเมื่อครั้งราชวงศ์เชงเฉียวหรือแผ่นดินใดก่อนราชวงศ์นี้ยังไม่พบหลักฐาน ด้วยปรากฎว่าประเพณีของชาวเตี้ยจิวมณฑลกวางตุ้งไม่มีกำหนดกัน แล้วแต่ความสะดวก จะแต่งงานกันช้าวันหรือเร็ววันก็ได้ ไม่มีกฎห้ามอย่างใด มีหลักเกณฑ์แต่เพียงต้องเป็นฤกษ์ยามวันคืนที่โหรดูว่าดีทั้งหญิงและชาย ด้วยถือกันว่าในชีวิตของมนุษย์จะมีความพูมใจในความสุขอันแท้จริงก็คือวันแต่งงานเท่านั้น จึงถือประเพณีฤกษ์ดีนี้เป็นหลัก ในวันแต่งงานนั้นถือเป็นเกียรติยศเท่ากับผู้ที่ได้รับยศศักดิ์ จนมีคำจีนใช้เรียกคู่กันอยู่ ๒ คำ คือการสอบไล่ได้เป็นขุนนางเรียกว่า “ใต้เต็งกวย” และการได้แต่งงานเรียกว่า “เซี้ยเต็งกวย” พิธีแต่งงานคำจีนเรียกเป็น ๒ อย่างคือเรียกว่า “ฮุนอิน” อย่างหนึ่ง และ “เก่ชู้” อย่างหนึ่ง ฮุน นั้นแปลว่าการกระทำพิธีกันในยามค่ำมืด อิน แปลว่าโดยสื่อสารให้เป็นสามีภรรยากัน รวมความว่าแต่งงานโดยเหตุที่สื่อช่วยกระทำการจึงได้เป็นสามีภรรยากันในราตรีกาล ส่วนคำว่า “เก่ชู้” นั้นเป็นภาษาเตี้ยจิว เก่ แปลว่า วิวาหะ ชู้ แปลว่า อาวาหะ จะเทียบอาวาหะวิวาหะของไทยดูไม่สู้ตรงกัน

ประเพณีการแต่งงานตามที่กล่าวมานี้ มีเหตุผลต่างกันตามสมัยนิยม จะแยกอธิบายลัทธิธรรมเนียมครั้งโบราณและลัทธิธรรมเนียมชาวเตี้ยจิว ในแผ่นดินเชงเฉียวเป็น ๒ ตอนดังต่อไปนี้

พิธีแต่งงานบ่าวสาวอย่างโบราณ

พิธีแต่งงานของจีนในสมัยโบราณที่กำหนดเป็น ๖ ระยะด้วยกันนั้น คือ พิธีระยะแรกเรียกว่า “นับใช้” แปลว่าสู่ขอ คือ ว่าถ้าบิดามารดามีความพอใจจะ สู่ขอหญิงใดให้เป็นภรรยาลูกชายของตน ก็จัดผู้ที่คุ้นเคยเป็นสื่อไปพูดจาสู่ขอต่อผู้ปกครองของหญิงนั้น (การที่ต้องมีสื่อนั้นจะได้เป็นคนกลาง สะดวกแก่การพูดจา ถ้าผู้ปกครองฝ่ายหญิงยินยอมตกลงด้วยแล้ว ผู้เป็นสื่อก็กลับมาบอกแก่ผู้ปกครองฝ่ายชาย ๆ ก็ให้ผู้แทนของตนไปกับสื่อ นำเอา “นกหงัน” เป็นของหมั้นไปให้แก่ผู้ปกครองฝ่ายหญิง (นกหงันรูปคล้ายห่าน นกชะนิดนี้ไปไหนไม่ทิ้งกัน มีตามภาคเหนือของจีน ทางภาคใต้ไม่มี ชาวเตี้ยจิวจึงทำตัวนกหงันด้วยทองคำสำหรับได้ใช้ในการหมั้น) ผู้ปกครองฝ่ายหญิงก็เตรียมโต๊ะจัดตั้งไว้ทางทิศตะวันตกในบ้านโต๊ะหนึ่ง และจัดกี๋ไว้ทางขวามืออีกที่หนึ่ง แล้วให้ผู้แทนของตนออกไปรับแขก คือผู้แทนและสื่อของฝ่ายชายที่มา เมื่อได้ไต่ถามความประสงค์จากแขกและสื่อแล้ว จึงนำความกลับเข้าไปบอกแก่ผู้ปกครองฝ่ายหญิง ผู้ปกครองฝ่ายหญิงจึงเดิรออกมารับหน้าบ้านและคำนับแสดงความเคารพผู้แทนฝ่ายชายและสื่อต้องแสดงความเคารพถ่อมตน แล้วผู้ปกครองฝ่ายหญิงก็เชื้อเชิญแขกให้เข้าเรือน ผู้แทนและสื่อของฝ่ายชายจึงเดิรเข้าทางทิศตะวันตกของฐานบัทม์ เมือถึงหน้าห้องบูชานั้น ผู้ปกครองฝ่ายหญิงก็เชื้อเชิญให้เข้าประตูอีกหนหนึ่ง ผู้แทนและสื่อของฝ่ายชายก็แสดงความถ่อมตนเช่นเดิม และเดิรถอยหลังเป็นพิธีธรรมเนียมครบ ๓ คราแล้วจึงได้พากันเดิรตามเข้าไป ครั้นถึงสถานที่บูชา ผู้แทนและสื่อของฝ่ายชายยืนหันหน้าไปทางทิศตะวันออกและแวดงความประสงค์ที่ตนมานั้น ขณะนั้นผู้ปกครองฝ่ายหญิงหันหน้ามาทางทิศเหนือรับคำนับแล้ว ผู้แทนฝ่ายชายจึงส่งนกหงันมอบให้และผินหน้าคำนับมาทางใต้แล้วจึงออกเดิรจากห้องบูชา ส่วนผู้ปกครองฝ่ายหญิงก็ตามออกมาเชิญไปนั่งณห้องรับแขก ซึ่งได้จัดโต๊ะรับรองไว้แล้ว

พิธีระยะที่ ๒ เรียกว่า “มึ่งเมี้ย” แปลว่า ถามถึงวันเดือนปีที่เกิดและชื่อ ครั้งนี้ฝ่ายชายให้ผู้แทนไปขอจดเวลา วัน เดือน ปี ของหญิง ผู้ปกครองฝ่ายหญิงก็แสดงความยินดี เมื่อได้จดลงเทียบเรียบร้อยแล้วผู้แทนฝ่ายชายก็ลาจะกลับ ผู้ปกครองฝ่ายหญิงให้คนออกมาเชิญรับประทานอาหาร ผู้แทนฝ่ายชายแสดงความขอบใจ ผู้ปกครองสั่งคนใช้ให้ถอนกี๋ไปเสียแล้วจัดโต๊ะที่ห้องทางทิศตะวันออก เสร็จแล้วจึงออกมาเชิญผู้เทนฝ่ายชายและต่างคำนับต่อกัน คนใช้จัดถ้วยสุราส่งให้ผู้ปกครองๆรับเอามาแล้วยืนขึ้นทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่หน้าโต๊ะ ส่งถ้วยสุราเชิญผู้แทนเข้านั่งโต๊ะ ผู้แทนก็รับเอาถ้วยสุราไว้ คนใช้ยกอาหารแห้งมาส่งให้ผู้แทน ผู้แทนจึงใช้มือซ้ายถือถ้วย มือขวารับอาหารแห้งนั้นแล้วยืนขึ้นกระทำพิธีเส้นไหว้ เอาสุรารินใส่ถ้วยเทสาดไป ๓ ถ้วยแล้ว จึงเข้านั่งหันหน้าไปทางทิศเหนือที่ฐานบัทม์ทางทิศตะวันตก ยกถ้วยสุราขึ้นคำนับแล้วก็ดื่มเป็นพิธีเพื่อแสดงความขอบใจต่อเจ้าของบ้าน เมื่อวางคณโฑและถ้วยลงแล้วก็ยกมือขึ้นคำนับเจ้าของบ้าน ๆ ก็คำนับตอบ ผู้แทนจึงเข้านั่งโต๊ะทางซ้าย เมื่อเครื่องอาหารบริบูรณ์พร้อมแล้ว ผู้แทนก็หยิบอาหารแห้งบางสิ่งรวมไว้แล้วแจ้งให้เจ้าของบ้านทราบว่า จะนำเอาอาหารแห้งนั้นไปให้แก่ผู้ปกครองฝ่ายชาย เพื่อแถลงกิจการที่ได้กระทำไปแล้ว ผู้แทนจึงคำนับลาออกจากโต๊ะมาที่ชานชาลาส่งอาหารแห้งนั้นให้คนใช้ที่มาด้วยกันแล้วจึงคำนับลาเจ้าของบ้าน ๆ เดิรมาส่งถึงนอกประตูบ้าน และแสดงคำนับกันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อผู้แทนกลับไปถึงบ้านแล้วก็เอาเทียบและอาหารแห้งไปให้แก่ผู้ปกครองฝ่ายชาย ๆ รับได้แล้วจึงเอา วัน เดือน ปี ของชายและหญิงไปเสี่ยงทายณที่บูชาบรรพบุรษ

พิธีระยะที่ ๓ เรียกว่า “นับกิ้ด” แปลว่า หารือฤกษ์ยามกำหนดวันแต่งงาน ผู้ปกครองฝ่ายชายให้ผู้แทนนำเอานกหงันไปให้แก่ผู้ปกครองฝ่ายหญิงอีกครั้งหนึ่ง เมื่อผู้แทนไปถึงบ้านฝ่ายหญิงแล้วผู้ปกครองฝ่ายหญิงจึงออกมารับและเชิญเข้าไปในบ้าน ต่างแสดงคำนับกัน ผู้แทนฝ่ายชายส่งนกหงันและเทียบนัดวันศุภมงคลให้แก่ผู้ปกครองฝ่ายหญิง ๆ รับเทียบกับนกหงันไว้แล้ว ก็แสดงความยินดี และกล่าวคำรับรองตามฤกษ์ยามในเทียบที่ส่งมานั้น ผู้แทนฝ่ายชายเมื่อได้รับคำมั่นสัญญาเป็นที่ตกลงแล้ว ก็คำนับลากลับไปแจ้งให้ผู้ปกครองฝ่ายชายทราบ

พิธีระยะที่ ๔ เรียกว่า “นับเต็ง” แปลว่า รับสินสอด ผู้ปกครองฝ่ายชายจัดสินสอด ผ้าแพรพื้นสีดำและสีตากุ้ง ๑๐ ม้วน หนังกวาง ๒ ผืน ถ้าไม่มีให้เอาหนังแพะหรือหนังแกะแทนก็ได้ แล้วมอบให้ผู้แทนเอาไปให้แก่ผู้ปกครองฝ่ายหญิง เมื่อผู้แทนไปถึงผู้ปกครองฝ่ายหญิงก็ออกมาเชิญเข้าไปในบ้าน ผู้แทนส่งเทียบและรายการสินสอดและสิ่งของให้ผู้ปกครองฝ่ายหญิงรับมาตรวจสินสอดและสิ่งของตามรายการในเทียบนั้นแล้ว ผู้แทนฝ่ายชายก็คำนับลากลับไป

พิธีระยะที่ ๕ เรียกว่า “เชี้ยคี้” แปลว่า กำหนดวันแต่งงาน ผู้ปกครองฝ่ายชายให้ผู้แทนนำเอาฤกษ์ยามวันกำหนดการแต่งงานไปบอกแก่ผู้ปกครองฝ่ายหญิง เมื่อผู้แทนไปถึงแล้วผู้ปกครองฝ่ายหญิงก็ออกมาเชิญให้เข้าไปในบ้าน ต่างกระทำคำนับกันแล้ว ผู้แทนจึงส่งเทียบกับนกหงันให้แก่ผู้ปกครองฝ่ายหญิง ๆ รับเอาเทียบและนกหงันไว้แล้ว ก็กล่าวคำยินดีรับรองจะปฏิบัติตามวันนัดแต่งงานที่กำหนดนั้น

พิธีระยะที่ ๖ เรียกว่า “ชินเง้ง” แปลว่า รับมอบตัวเจ้าสาว คือเจ้าบ่าวรับมอบตัวเจ้าสาว ฝ่ายชายต้องจัดสุกรสุกทั้งตัว ตัดเล็บออกเสียแล้วบรรจุลงในเตี๊ย (คล้ายหม้อ) ใบ ๑ และปลาสุก ๑๔ ตัว บรรจุลงในเตี๊ยอีกใบ ๑ กระต่ายทั้งตัวทำเป็นเนื้อสุกแห้งบรรจุลงในเตี๊ยอีกใบ ๑ ทั้ง ๓ สิ่งนี้จัดยกไปวางไว้นอกประตูห้องของเจ้าบ่าวที่ตรงทิศตะวันออกทางศีร์ษะ แล้วจัดที่น้ำสำหรับชำระกายบนฐานบัทม์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และจัดโต๊ะเลี้ยงอาหารกลางเรือน เอาเต้าเจี้ยวเครื่องหมัก ๒ โถ กะปิเนื้อ ๔ โถ เข้าเปลือกถั่วงารวม ๕ อย่าง ๔ โถ โถเหล่านี้ต้องเอาผ้าปิดคลุมทุกโถ และน้ำแกงร้อนอีก ๑ หม้อ ครั้นจัดเสร็จแล้วจึงตั้งขวดและถ้วยสุราทางเหนือริมฝาผนังห้อง ตั้งที่น้ำเย็นพร้อมทั้งกระบวยตักน้ำทางตะวันตกและมีผ้าคลุมไว้ด้วย จัดเครื่องอาหารบรรจุลงในชั้นลังไม้ไผ่วางไว้ทางทิศใต้ เอาผลน้ำเต้าที่แก่จนเปลือกแข็งผ่าออกเป็นสองซีกใช้ต่างถ้วยสุรา ๖ ใบ เมื่อเตรียมสิ่งของต่าง ๆ ไว้เสร็จแล้ว ผู้ปกครองก็ให้ชายผู้เป็นเจ้าบ่าวออกจากบ้านไปรับเจ้าสาว เจ้าบ่าวถ้ามียศศักดิ์ก็แต่งเครื่องเต็มยศ ถ้าไม่มียศศักดิ์ก็แต่งเครื่องยศได้ แต่หมวกยศต้องเอายอดออกเสีย เครื่องที่แต่งนั้นใช้สีดำนั่งรถหรือเกี้ยวสีดำ เพื่อนเจ้าบ่าวก็แต่งดำเช่นเดียวกัน เครื่องพิธีของเจ้าบ่าวที่เป็นขุนนางก็แต่งกระบวนแห่อย่างขุนนาง ถ้าเป็นราษฎรก็แต่งตามปกติ ในลัทธิ “งี้เล้ย” กล่าวไว้แต่ย่อ ๆ มิได้กล่าวถึงสิ่งของอย่างใดในกระบวนพิธีที่ไปรับเจ้าสาว กล่าวแต่ว่ารถหรือเกี้ยวที่สำหรับเจ้าสาวนั้น จะต้องมีม่านกำบัง เมื่อเวลาออกเดิรจะต้องมีคนถือไฟนำหน้า เมื่อเจ้าบ่าวถึงบ้านเจ้าสาวแล้ว จึงหยุดกระบวนอยู่นอกประตูบ้านจนเจ้าของบ้านออกมาเชิญ แสดงคำนับหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เจ้าบ่าวแสดงคำนับและหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เจ้าของบ้านนำเจ้าบ่าวเข้าไปในบ้าน ต่างแสดงกิริยาเชื้อเชิญกันครบ ๓ หน เจ้าบ่าวถือนกหงันเข้าไปจนถึงประตูห้องบูชาเกซี้นเซยโจ้ว (บรรพบุรษ) แล้ว เจ้าของบ้านจึงเชิญให้เข้าประตู และนำเจ้าบ่าวเดิรเข้าทางตะวันตก เจ้าบ่าวก็ตามเข้าไปจนถึงที่บูชา แล้วผินหน้าไปทางเหนือวางนกหงันลง แล้วเจ้าของบ้านจึงนำเจ้าสาวไปยืนอยู่ทางใต้ กระทำพิธีกราบไหว้พร้อมกันทั้ง ๒ คน แล้วจึงลุกขึ้นพากันออกจากห้องบูชาเดิรไปทางตะวันตก แต่เจ้าของบ้านไม่ต้องตามไปด้วย ครั้นออกมาจากห้องบูชาแล้ว เจ้าของบ้านก็เชิญเจ้าบ่าวเข้านั่งโต๊ะที่ตั้งไว้ทางตะวันตกและจัดแจงเลี้ยงดูกัน ครั้นเจ้าสาวแต่งตัวเสร็จแล้วมีแม่นมคอยนำพาอยู่ข้างเคียง แล้วจึงออกมายืนอยู่ที่กลางห้องโถง แม่นมยืนข้างขวามือ เพื่อนเจ้าสาวติดตามมาข้างหลัง แล้วเจ้าสาวก็หันหน้าไปทางใต้แสดงความเคารพลาผู้ปกครอง ๆ ก็กล่าวคำสั่งสอนเจ้าสาวว่า เจ้าจงปฏิบัติบิดามารดาของสามีในสิ่งที่ควรจะปฏิบัติ อย่ามีความประมาทและเกียจคร้าน อย่ามีความดื้อดึงขัดขืนต่อผู้ใหญ่และสามีของตน ส่วนมารดาเจ้าสาวก็มาสวมเสื้อและคลุมผ้าให้ เมื่อเสร็จแล้วมีการสั่งสอนตักเตือนเช่นเดียวกัน เถ้าแก่จึงนำเจ้าบ่าวเจ้าสาวออกจากบ้าน ให้เจ้าบ่าวพะยุงเจ้าสาวขึ้นนั่งรถเรียบร้อยแล้ว เจ้าบ่าวก็ขึ้นนั่งขับรถนั้นด้วยตนเอง จนล้อรถหมุนได้สามรอบแล้วจึงมอบหน้าที่ให้คนขับรถ ตัวเจ้าบ่าวไปนั่งบนรถของตนอีกคันหนึ่งขับนำหน้าไป เมื่อถึงบ้านแล้วเจ้าบ่าวจึงลงจากรถมารับเจ้าสาวที่หน้าประตูบ้าน เมื่อรถเจ้าสาวมาถึงแล้ว ผู้ปกครองก็ออกมาต้อนรับเข้าไปข้างในบ้าน เมื่อเดิรไปถึงประตูห้องนอน เจ้าสาวเดิรเข้าทางทิศตะวันตก สาวใช้จึงมาจัดแจงปูเสื่อให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้านั่งพัก ชายนั่งทางทิศใต้ หญิงนั่งทางทิศเหนือ เจ้าบ่าวเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก สาวใช้ยกที่ชำระล้างหน้ามาตั้งไว้ตรงหน้า ครั้นเจ้าบ่าวเจ้าสาวชำระกายเสร็จแล้ว จึงให้คนยกเอาหม้อและถาดที่บรรจุเครื่องคาวมี หมู เป็ด ไก่ มาตั้ง เมื่อเรียบร้อยแล้วพนักงานเหล่านั้นก็ถอยออกไปอยู่ที่ประตูทางทิศตะวันออก ผู้นำก็เชิญเจ้าบ่าวเข้านั่งทางทิศใต้ เจ้าสาวนั่งทางทิศเหนือหันหน้าเข้าหากัน ผู้นำรินสุราลงในถ้วยสำหรับพิธีและจัดอาหารใส่ในภาชนะส่งให้แก่เจ้าบ่าวเจ้าสาว ๆ รับเอาไว้แล้วก็แสดงคำนับ แล้วเอาสุรานั้นดื่มคนละ ๓ ถ้วย ผู้นำยืนคอยปฏิบัติแนะนำให้รับประทานอาหารและตักเข้าให้ ๓ หน ครั้นรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ผู้นำเอาถ้วยน้ำส่งให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว ๆ รับเอาไว้แล้วแสดงคำนับ แล้วจึงลุกขินเดิรออกจากโต๊ะไปนั่งณที่เดิม ผู้นำจึงจัดอาหารอีกโต๊ะ ๑ แต่ไม่มีสุรา แล้วเชิญให้เพื่อนเจ้าสาวรับประทาน ส่วนเพื่อนเจ้าบ่าวและคนรถจัดเลี้ยงที่กลางเรือน ให้เจ้าบ่าวเชิญฝ่ายเพื่อนเจ้าสาวและเจ้าสาวเชิญฝ่ายเพื่อนเจ้าบ่าวและคนรถ แม่สื่อที่เป็นผู้ใหญ่จัดผ้าเช็ดหน้าให้แก่คนทั้งหลาย เมื่อรับประทานกันเสร็จแล้ว เพื่อนเจ้าสาวจึงเข้าไปในห้องจัดแจงปูเสื่อจัดทื่นอนให้เจ้าบ่าวอยู่ข้างตะวันออก เจ้าสาวอยู่ข้างตะวันตก แล้วออกมาเชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าห้อง แล้วเพื่อนเจ้าสาวนำประทีปออกจากห้องไปคอยอยู่ภายนอก ครั้นเวลาเช้ารุ่งขึ้นเจ้าสาวชำระกายแล้วแต่งตัวเกล้าผม เอาผ้าคลุมผม สวมเสื้อเครื่องสำหรับพิธี แล้วออกจากห้องไปคอยปฏิบัติบิดามารดาของสามีที่หน้าประตูห้อง เมื่อบิดามารดาของสามีตื่นขึ้นออกจากห้อง เจ้าสาวก็เข้าไปกราบไหวแล้วจัดตั้งโต๊ะที่ชานหน้าห้องทางทิศใต้ และเชิญบิดามารดาของสามีเข้านั่ง เจ้าสาวยกตะกร้าผลจ๊อ (พุทรา) ผลเลี๊ยก (เกาลัก) เดิรข้างชานตะวันตกเข้าไปวางไว้ที่โต๊ะแล้วกราบไหว้บิดามารดาของสามี ๆ ลุกขึ้นรับไหว้แล้วทักทายปราศรัย แล้วบิดาของสามีจึงหยิบเอาตะกร้าผลไม้ส่งให้มารดาของสามีรับไป เจ้าสาวกราบไหว้อีกครั้งหนึ่งแล้วถอยกลับออกไป เป็นธรรมเนียมที่บิดามารดาของสามีจะต้องประพฤติกิริยาวาจาแสดงความสนิทสนมรักใคร่ เพื่อชักนำให้เจ้าสาวคุ้นเคย จึงได้เรียกมารับประทานอาหารที่จัดไว้นอกห้อง เจ้าสาวเข้ามายืนข้างโต๊ะทางทิศตะวันตก พนักงานจึงรินสุราลงในถ้วยสี่เหลี่ยมที่จัดไว้บนโต๊ะทางเหนือแล้ว เจ้าสาวเดิรมายืนทางทิศตะวันออกคำนับไหว้แล้วคอยรับถ้วยสุรา พนักงานส่งถ้วยสุราให้เจ้าสาวแล้วเดิรออกไปที่ชานทางทิศตะวันตก หันหน้าไปทางเหนือแสดงคำนับตอบ เจ้าสาวรับคำนับอีกครั้งหนึ่ง พนักงานนำอาหารแห้งอาหารหมักดองที่บรรจุในโถออกมาวาง เจ้าสาวจึงเข้านั่ง มือซ้ายถือถ้วยสุรา มือขวาถืออาหารแห้งและอาหารหมักดอง กระทำพิธีเส้นไว้ครบ ๓ หน แล้วจึงนั่งลงทางทิศตะวันออกของโต๊ะ รับประทานอาหารที่เหลือนั้นแล้วลุกขึ้นคำนับ พนักงานรับคำนับแล้วเจ้าสาวยกอาหารและแสดงความเคารพไปทางทิศตะวันออกแล้วนั่งลงหยิบเอาเนื้อแห้งออกมาแจกแก่ญาติ และจัดโต๊ะสำหรับบิดามารดาของสามีอยู่ภายใน เจ้าสาวเข้าไปจัดที่ล้างหน้าและคอยปฏิบัติการรับประทาน เมื่อบิดามารดาของสามีอนุญาตให้เข้านั่งรับประทานด้วย เจ้าสาวได้แต่เอาอาหารที่บิดามารดาของสามีรับประทานแล้วมารับประทาน ถ้ามารดาให้สุราแก่เจ้าสาว ๆ คำนับไหว้แล้วรับประทานจนหมดถ้วย ครั้นการรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เจ้าสาวจึงลาไปยังห้องของตน และมีการเลี้ยงบรรดาวงศ์ญาติในวันนั้น ถ้าเป็นผู้น้อยและเด็กให้เลี้ยงอาหารที่เหลือจากผู้ใหญ่รับประทานแล้ว บิดามารดาของสามีจัดการเลี้ยงเจ้าสาวซึ่งมาเป็นสะใภ้ในวันนั้น ให้ตั้งที่ชำระความสอาดสำหรับบิดาของสามีที่หนึ่งทางทิศใต้ และจัดสำหรับมารดาของสามีอีกที่หนึ่งทางทิศเหนือ บิดามารดาของสามีเดิรมาทางตะวันตก ลูกสะใภ้เดิรทางตะวันออกแล้วบิดามารดาของสามีพาไปดูกิจการในเรือน และสั่งเสียมอบให้ลูกสะใก้เสร็จแล้ว จึงสั่งให้จัดอาหารสิ่งของให้แก่พนักงานนำเอาไปให้บิดามารดาของเจ้าสาว ส่วนพนักงานของเจ้าสาวเมื่อได้รับการเลี้ยงดูเสร็จแล้วก็ลากลับ บิดาของเจ้าบ่าวก็แจกของชำร่วยให้แก่พนักงานเหล่านั้น กิ้มทำด้วยใหมทองม้วนหนึ่ง บางทีก็เป็นผ้าหรือแพรต่าง ๆ ก็มี ส่วนมารดาของเจ้าบ่าวแจกผ้าแพรให้แก่วงศ์ญาติเจ้าสาว เป็นอันเสร็จพิธีลักเล้ยครั้งโบราณแต่เท่านี้ ถ้าผะเอิญภายในระวางการมงคลนี้มีญาติที่เป็นผู้ใหญ่อันสนิท เช่น บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ทวด หรือลุง ป้า น้า อาว์ พี่ เป็นต้น ถึงมรณกรรมลง ก็ต้องงดการแต่งงานนั้นทันที จนกว่าจะเสร็จการไว้ทุกข์และการปลงศพ จึงจะกระทำพิธีต่อไปได้

ว่าด้วยการแต่งงานบ่าวสาว

ของชาวเมืองเตี้ยจิวในแผ่นดินใต้เช็ง

ประเพณีอาวาหะและวิวาหมงคลของจีนต่อมาในแผ่นดินใต้เช็งค้นหาตำราไม่พบ ทราบว่ามีอยู่แต่ที่จดจำกันไว้ หาได้พิมพ์ออกเป็นตำราให้แพร่หลายไม่ จึงเป็นการยากที่จะถือเป็นยุตติว่า จะใช้กันอย่างไรเป็นสามัญทั่วไป จะขอกล่าวแต่ประเพณีการแต่งงานของจีนชาวเมืองเตี้ยจิว มณฑลกกว้างตุ้ง ที่ยังนิยมใช้กันอยู่สืบมาจนบัดนี้ ตามที่สืบทราบจากจีนผู้หลักผู้ใหญ่ ดังจะกล่าวต่อไปนี้

ประเพณีการแต่งงานของชาวเมืองเตี้ยจิว มณฑลกว้างตุ้ง มีต่างกันเป็น ๒ พวก พวก ๑ นิยมตามแบบอย่างเก่า อีกพวก ๑ นิยมตามแบบอย่างใหม่ ในที่นี้จะกล่าวแต่ประเพณีของพวกที่นิยมแบบแผนอย่างเก่าเท่านั้น

ลักษณการพิธีแต่งงานบ่าวสาวของชาวเมืองเตี้ยจิวนั้น ความนิยมต่างกันตามเพศตามภาษา การสู่ขอหญิงเข้ามาเป็นสะใภ้นั้นมีข้อสำคัญอยู่ที่จะต้องสืบสวนให้แน่นอนว่า สกุลวงศ์แซ่และความประพฤติของฝ่ายหญิงเป็นอย่างใด จะสมควรเป็นสามีภริยากันหรือไม่ ข้อนี้เป็นส่วนสำคัญ ไม่ว่าชาติใดภาษาใด แต่ฝ่ายจีนยังมีแปลกออกไปอีกด้วย จำกัดหญิงที่จะขอสู่มาเป็นสะใภ้ จนถือเป็นสุภาษิต ดังในภาษิตของจีนแสฮู่อันเต๋งกล่าวไว้ว่า “ปลูกลูกสาวให้มีสามี ๆ จะต้องมีฐานะดีกว่าหญิงที่มาเป็นภรรยา หญิงสะใภ้นั้นจะได้ตั้งใจปฏิบัติสามีด้วยความยำเกรง หาบุตรสะใภ้อย่าได้หาผู้ที่มีฐานะดีกว่าลูกชายลูกสะใภ้คนนั้นจะได้มีใจปฏิบัติผู้ใหญ่ด้วยความเคารพ” และยังมีภาษิตชาวเมืองเตี้ยจิวอีกบทหนึ่งว่า “มึงฮวงเชียงตุ่ย” แปลว่ามีเคหสถานพอสมคู่กัน หรือแปลว่ามีเกียรติศักดิ์ มียศ มีทรัพย์ สมควรแก่กัน เมื่อความนิยมแตกต่างกันดังนี้ บิดามารดาจึงต้องเลือกหาลูกเขยลูกสะใภ้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ถ้าบิดามารดาทั้งสองฝ่ายมีความสนิทชิดชอบกัน ฝ่ายหนึ่งมีลูกเป็นชาย อีกฝ่ายหนึ่งมีลูกเป็นหญิง ก็พูดจาสัญญาสู่ขอให้เป็นสามีภรรยากันไว้ตั้งแต่บุตรธิดายังเป็นเด็กก็มีบางคนถึงสู่ขอบุตรธิดากันเมื่อยังอยู่ในครรภ์ก็มี บางคนก็สู่ขอเด็กหญิงด้วยทำนองซื้อขายกัน คือผู้ปกครองฝ่ายชายให้เงินแก่ผู้ปกครองเด็กหญิง แล้วก็รับเอาเด็กหญิงนั้นมาเลี้ยงดูจนเติบโตเป็นสาวมีอายุพอสมควรแต่งงานได้แล้ว บิดามารดาก็จัดแจงทำพิธีแต่งงานให้อยู่กินเป็นสามีภรรยากัน ที่ซื้อมาเลี้ยงไว้เป็นภรรยานั้นคำจีนเรียกว่า “ท่งเอี๋ยงเซ็ก” แปลว่าเลี้ยงสะใภ้เล็ก

ส่วนอายุของบุตรธิดาที่จะแต่งงานเป็นสามีภรรยาได้นั้น ก็มีกำหนดว่า ฝ่ายชายต้องมีอายุตั้งแต่ ๑๕ ปีขึ้นไป ฝ่ายหญิงก็ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๕ ปี แต่ธรรมเนียมเก่าถือกันว่าชายต้องมีอายุถึง ๒๐ ปีขึ้นไป หญิงต้องมีอายุ ๑๗-๑๘ ปีเป็นเกณฑ์ บุตรธิดาที่มีผู้ใหญ่ปกครองอยู่ จะผูกสมัครรักใคร่กันเองโดยไม่มีผู้ใหญ่จัดแจงแต่งงานให้เป็นสามีภรรยากันนั้นไม่ได้เป็นอันขาด

การแต่งงานบ่าวสาวนี้ จีนถือว่าเป็นการมงคลอันประเสริฐกว่าเรื่องใดๆ ระวางวันเวลาที่กำหนดนัดทำพิธีแต่งงานกันนั้น ถ้ามีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่นบิดามารดาญาติสนิทของชายและหญิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมรณภาพลง ก็ต้องบอกงดการแต่งงานกันชั่วคราว จนกว่าจะทำการปลงศพเสร็จและสิ้นเขตต์ทุกข์แล้ว จึงให้ดูวันคืนนัดแต่งงานกันใหม่ ฉะนั้นจึงมีคนบางคนเมื่อเห็นว่าอาการป่วยของญาติผู้ใหญ่หนักลง ก็รีบฉวยโอกาสจัดแจงรับตัวเจ้าสาวมาทำพิธีแต่งงานในปัจจุบันทันด่วนให้สำเร็จกันไปก็มี และในวันแต่งงานนั้นเขาถือความที่เป็นมงคลสวัสดีทุกสิ่งทุกอย่าง กระทั่งผู้ที่ไปช่วยในงานจะต้องมีความร่าเริงบันเทิงใจ ทั้งกิริยาวาจาก็ต้องเรียบร้อยสละสลวย แม้จะทำสิ่งใดจะต้องระมัดระจังให้ถี่ถ้วนทุกเมื่อ

เรื่องสินสอดขันหมากนั้น จีนชาวเมืองเตี้ยจิวชุดเก่า กะกำหนดสินสอดเพียงเงิน ๒๐ ตำลึงจีนเป็นอย่างมาก ส่วนขันหมากในวันนั้นไม่มี มีแต่ขนมต่าง ๆ จัดเป็นที่ ๆ จนถึงพิธีคุยซียิดตอนที่ ๕ จึงได้จัดหมากพลู ๒ ที่ไปกับสิ่งของต่าง ๆ ในวันนั้น เพราะการกินหมากในเมืองจีนก็มีเหมือนกัน ชากเมืองเตี้ยจิวใช้หมากพลูรับแขกก็มีแต่หมากพลูเขาใช้ปูนขาวกับใส่น้ำตาลกรวด รับประทานแล้วฟันไม่ดำ ฉะนั้นจีนชาวเมืองเตี้ยจิวที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทย จึงชอบรับประทานหมากกันมาก แต่ผู้ที่มาในสมัยนี้รับประทานหมากลดน้อยลง

พิธีแต่งงานจีนยังเรียกตามแบบโบราณสืบเนื่องกันมาจนทุกวันนี้ว่าลักเล้ย (คือแปลว่า พิธีครบ ๖ ประการ) แต่ส่วนที่ทำจริงหาได้ทำตามพิธีโบราณไม่ ชาวเมืองเตี้ยจิวไต้ตั้งชื่อพิธีขึ้นใหม่ คือข้อที่ ๑ นับใช้ เป็น เคียะเตี้ย, ข้อที่ ๒ มึงเมี้ย เป็น กั้วเตี้ย, ข้อที่ ๓ นับกิ้ด เป็น คั่งฮวย, ข้อที่ ๔ นับเต็ง เป็น สั่งเพี่ย, ข้อที่ ๕ เชี้ยคี้ เป็น คุยซี่ยิด, ข้อที่ ๖ ชินเง้ง เป็น ซั่วซินนั้ง, คำซึ่งต่างกันนี้เรียกตามภาษาพื้นเมือง แต่ความหมายอย่างเดียวกัน ต่อมาในปลายแผ่นดินใต้เช็ง ได้ย่นการพิธีลักเล้ยทั้งเก่าและใหม่เข้ารวมกันทำพิธีเพียง ๓ ระยะเท่านั้น เพื่อให้สะดวกแก่กันทั้งสองฝ่าย และไม่ต้องเสียเวลาอันยืดยาด คือเอาพิธีเคียะเตี้ย และ กั้วเตี้ย รวมเป็นระยะแรกตอน ๑ เอาพิธีคั่งฮวย และ สั่งเพี่ย รวมเป็นพิธีระยะที่ ๒ ตอน ๑ เอาพิธีคุยซี่ยิด และซั่วซินนั้ง รวมเป็นระยะที่ ๓ ตอน ๑ เมื่อได้ทำพิธีตลอด ๓ ระยะนี้แล้ว ก็ถือว่าได้ทำพิธีแต่งงานอันถูกต้องแล้ว และไม่เป็นการเยิ่นเย้อดังแบบเก่า จึงพากันนิยมใช้แบบหลังนี้ทั่วไป

ส่วนประเพณีที่กะเกณฑ์เอาสินสอดขันหมากนั้น ไม่มีจำกัดว่าเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใด ต้องแล้วแต่ความมั่งมียากจนของชายหญิงทั้งสองฝ่าย ผู้ปกครองที่คิดจะปลูกฝังบุตรธิดาให้มีหน้ามีตา ก็กะเกณฑ์เอาสิ่งของเงินทองกันให้มากไว้ แต่ถ้าฝ่ายหญิงเป็นผู้มั่งมีด้วยแล้ว กลับจะต้องเสียเปรียบแก่ฝ่ายชาย โดยถูกเกณฑ์หรือโดยความเต็มใจของผู้ปกครองที่อยากให้บุตรสาวมีหน้ามีตา จึงยอมรับจัดเครื่องตกแต่งเป็นอันมากส่งไปพร้อมกันในวันที่ส่งตัวเจ้าสาวไปแต่งงาน ทรัพย์สมบัติของผู้ปกครองฝ่ายหญิงที่จัดให้ไปในวันแต่งงานบ่าวสาวนั้น ตามเกณฑ์มีอยู่ ๓ ชั้น ชั้นที่ ๑ เรียกว่า ช่วนเทียมิ่น (แปลว่า เครื่องเต็มหน้าหอ) ชั้นที่ ๒ เรียกว่า งึ่นเทียมิ่น (แปลว่า เครื่องเงินหน้าหอ) ชั้นที่ ๓ เรียกว่า ปั้งใหลเก้จึง (แปลว่า เครื่องแต่งในห้อง) สิ่งของเหล่านี้จะได้กล่าวรายละเอียดในลักษณทำพิธีระยะที่ ๒

ในเรื่องสู่ขอหญิงมาให้เป็นภรรยาลูกชาย ตามธรรมเนียมของชาวเมืองเตี้ยจิว ไม่เคยมีการกะเกณฑ์และสัญญาเรียกเอาเงินทองกองทุนเป็นการขันต่อซึ่งกันและกันเลย มีแต่เรียกสินสอดตามประเพณีที่กำหนดกันเป็นเงิน ๒๐ ตำลึงจีน นอกจากเงินสินสอดจำนวนนี้แล้ว เลี่ยงไปเกณฑ์เอาขนมกันเป็นจำนวนหลายร้อยชั่ง และตีราคาค่าขนมหนัก ๑๐๐ ชั่ง เป็นเงินตั้ง ๖๐ เหรียญ หรือ ๔๐ เหรียญเป็นอย่างน้อย แต่มาในสมัยนี้ โดยมากฝ่ายหญิงเรียกค่าสินสอดตามชอบใจ จึงต้องพูดจาต่อตามคล้ายกันกับการซื้อขาย เมื่อการเป็นเช่นนี้แล้วลักษณสู่ขอหญิงมาเป็นภรรยาก็ชื่อว่าไม่ใช่ปฏิบัติตามประเพณีเก่า

พิธีแต่งงานบ่าวสาวของชาวเมืองเตี้ยจิว

ได้กล่าวมาแล้วว่าประเพณีแต่งงานบ่าวสาวของจีนสมัยแผ่นดินใต้เช็ง มีการเปลี่ยนแปลงจากแบบเดิมบ้าง แต่อยู่ใน ๖ ระยะนั้นเอง ตกมาตอนปลายแผ่นดินใต้เช็งจึงรวม ๒ ระยะๆเข้าเป็น ๑ คงเหลือแต่ ๓ ระยะ ในที่นี้จะกล่าวด้วยพิธี ๖ ระยะตามเดิมก่อน พิธีระยะแรกที่เรียกว่า เคียะเตี้ย นั้น (แปลกว่าเอามัดจำ เท่ากับคำไทยเรียกว่าหมั้น) บิดามารดาผู้ปกครองจะหาภรรยาให้บุตรตน ก็หาเถ้าแก่แม่สื่อไปเลือกหาบุตรหญิงของวงศ์แซ่ใดแซ่หนึ่ง ไม่ว่าตำบลใกล้หรือไกล เมื่อเถ้าแก่แม่สื่อได้พูดจาแนะนำตกลงกับข้างฝ่ายหญิงแล้วก็กลับไปบอกแก่บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายชาย ผู้ปกครองฝ่ายชายเห็นชอบด้วยแล้วก็เอากระดาษแดงตัดเป็นรูปรองเท้าของลูกชายมอบให้เถ้าแก่แม่สื่อเอาไปให้บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายหญิง ๆ รับเอารูปรองเท้านั้นไว้เป็นของหมั้นสัญญา บางคนใช้แหวนหยกแหวนทองของขวัญเป็นของหมั้นก็มี ของหมั้นจะเป็นราคาเล็กน้อยก็ตาม ถ้าบิดามารดาผู้ปกครองได้รับไว้แล้ว นับว่าเป็นการยินยอมตกลงกัน เมื่อตกลงรับหมั้นกันแล้ว บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายหญิงจึงสัญญากะเกณฑ์เอาขนมต่างๆ แก่ฝ่ายชาย คือเรียกเอาขนมเข่งใหญ่ ขนมฟูเข่งใหญ่ มีน้ำหนักตั้ง ๑๐๐ ชั่ง และซอละเปาลูกใหญ่เท่ากลอง ขนมเข้าพอง ถั่วตัด งาตัดแผ่นใหญ่ ๆ เครื่องจันอับต่าง ๆ บางรายเรียกเอาอย่างละ ๓๐๐ ชั่งก็มี ถ้าเป็นขนมอย่างเอกก็ตีราคากันได้หนัก ๑๐๐ ชั่ง เป็นเงิน ๖๐ เหรียญก็มี ๔๐ เหรียญก็มี และทำเล้ยเทียบ (บัตรธรรมเนียม) บอกวันเดือนปีเกิดของลูกสาวส่งไปให้บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายชาย

ระยะที่ ๒ ซึ่งเรียกว่า กั้วเตี้ย นั้น (แปลว่า หิ้วของไปหมั้นเป็นการแน่นอน) บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายชายจัดของหมั้นไปให้แก่ฝ่ายหญิงอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงจัดแจงเอาโก๋วกี่ (แปลว่า เงินทองรูปพรรณเพ็ชร์พลอยหรือหยกที่เป็นของเก่า) สิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วแต่ความพอใจเอาพรรณธัญญาหาร ๕ อย่าง (คือ เข้าเจ้า, เข้าเหนียว, เข้าฟ่าง, เข้าสาลี, ถั่วเหลือง, ถั่วเขียว) บรรจุลงในภาชนะ แล้วเอาเครื่องรูปพรรณกับเงินสินสอด ๑๐ ตำลึง วางไว้บนธัญญาหาร และเอาใบทับทิมปิดมอบให้เถ้าแก่แม่สื่อนำไปให้บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายหญิง ๆ จัดการรับรองแขกที่ส่งเงินสินสอดมานั้น และตรวจรับตามรายการในเล้ยเทียบถูกต้องแล้วก็จัดแจงขนมและน้ำตาลตังเม คำจีนเรียกว่า จูทึ้ง เป็นน้ำหนัก ๑๐๐ ชั่งบ้าง ๒๐๐ ชั่งบ้าง ตอบแทนให้แก่บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายชาย

ระยะที่ ๓ ซึ่งเรียกว่า พั่งฮวย นั้น (แปลว่า ยกดอกไม้) ต่อจากวันพิธีกั้วเตี้ยแล้ว บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายชายก็ดูวันจัดหาขนมต่าง ๆ ที่ฝ่ายหญิงได้สัญญากะเกณฑ์เอาแก่ฝ่ายชายนั้น ส่งไปให้เสียครึ่งจำนวนก่อน คือเป็นขนมเครื่องจันอับกับขนมเข่งใหญ่ ขนมฟูเข่งใหญ่ ซอละเปาลูกใหญ่ดังได้กล่าวไว้ในลักษณระยะแรกนั้นแล้ว ขนมเหล่านี้จัดลงภาชนะที่จีนเรียกว่า เจี๊ยะเซี่ย (ไทยเรียกว่าลังหรือชั้นตามโรงเกาเหลาเขาใช้ใส่กับเข้าไปส่งในงานต่าง ๆ) พร้อมด้วยเล้ยเทียบฉะบับ ๑ มอบให้เถ้าแก่และลูกหาบ ๆ ไปให้บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายหญิง บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายหญิงเชิญแขกให้เข้าบ้านนั่งพักรับประทานน้ำชา เถ้าแก่ก็ยื่นเทียบที่ฝ่ายชายส่งขนมต่าง ๆ มา เมื่อบิดามารดาฝ่ายหญิงได้ตรวจนับรับได้ถูกต้องแล้ว จึงจัดเอาเข้าพองแผ่นใหญ่ ถั่วตัดแผ่นใหญ่กับขนมอีกหลายสิ่ง และกระเป๋าผ้าใบ ๑ บรรจุเงิน ๒๐ เหรียญแล้วเอาพรรณธัญญาหาร (คำจีนเรียกว่า เจ๋งจี๊) กับกิมยู่อี่ รูปคล้ายช้อนทำด้วยทองคำอีกหนึ่งอัน หมวกใบ ๑ ถุงเท้ารองเท้าอย่างละคู่ บรรจุลงในกระเป๋าใบนั้นด้วย สิ่งของเหล่านี้มอบฝากเถ้าแก่เอาไปให้บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายชาย

ระยะที่ ๔ ซึ่งเรียกว่า สั่งเพีย นั้น (แปลว่า ส่งเงินสินสอด) ในครั้งนี้บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายชาย จัดเงินอีก ๑. ตำลึงให้เถ้าแก่นำไปให้บิดามารดาฝ่ายหญิงอีกครั้งหนึ่ง เงินสินสอดตามประเพณีกำหนดไว้ ๒๐ ตำลึง แต่นำส่งเป็น ๒ คราว คราวละ ๑๐ ตำลึง คือส่งในคราวพิธีระยะที่ ๒ คราวหนึ่ง กับระยะที่ ๔ อีกคราวหนึ่ง หาได้นำส่งในคราวเดียวให้เสร็จไม่ เงินสินสอดที่ส่งไปในครั้งนี้ก็ต้องเอาใบทับทิมและชุนเช้า (คือหญ้าสด) ดอกจือลั้ง ดอกไม้ต่าง ๆ ซึ่งเป็นมงคลเคล้ากับเงินสินสอดและขนมต่าง ๆ อีกจำนวนหนึ่ง มอบให้เถ้าแก่นำไปให้บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายหญิง ถ้าเจ้าสาวมีสาวใช้อยู่ด้วยแล้ว ฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องเพิ่มเงินอีก ๑๐ ตำลึงส่งไปให้ในครั้งนี้ด้วยกัน นอกจากเงินสินสอดกับสิ่งของแล้วจะต้องมีหนังสือฮุนจือ (หนังสือบริคณห์อาวาหะ) ใช้กระดาษแดงเขียนตัวทองลงนามกับวันเดือนปีเกิดของเจ้าบ่าว แล้วส่งไปให้ฝ่ายหญิงลงนามกันเดือนปีเกิดของเจ้าสาว แล้วคืนให้ฝ่ายชายเก็บรักษาไว้เป็นหลักฐาน

ระยะที่ ๒ ซึ่งเรียกว่า คุยซี่ยิด นั้น (แปลว่า รายการนัดวันแต่งงาน) คือบิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายชายเมื่อเลือกได้ฤกษ์ยามวันแต่งงานแน่นอนแล้ว ก็เขียนเทียบบอกวันคืนที่นัดแต่งงานเป็นตัวทอง และส่งรายการจำนวนสิ่งของและเงินอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งสำหรับให้ฝ่ายหญิง เป็นค่าทำของและค่าขนมลงในเทียบอีกฉะบับ ๑ เป็นเงินค่าขนมแช่อิ่ม ๒๐ เหรียญ และ ตั้วทึ้งปัง (เข้าพองแดงแผ่นใหญ่) เท่าหน้าโต๊ะ ๑๐ แผ่น จันอับต่าง ๆ ๒๐๐-๓๐๐ ชั่ง เหล่าตุ่ย (หมากพลูเป็นคู่) อีก ๑ ที่ จำนวนเงินและสิ่งของเหล่านี้จัดลงในลังหรือชั้นขนาดใหญ่นับตั้ง ๒๐ หาบ ให้คนหาบไปกับเถ้าแก่ไปให้บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายหญิง ครั้นเถ้าแก่ถึงบ้านฝ่ายหญิงก็ส่งเทียบและมอบเงินกับสิ่งของแก่บิดามารดาผู้ปกครองของหญิง เมื่อรับไว้ถูกต้องแล้ว ฝ่ายหญิงก็จัดเอาขนมตังเมตัดแผ่นใหญ่ กล้วยหอม ส้ม ลำใย ผลพลับ ผลท้อ ผลสมอ หัวเผือก ถั่วเขียว พรรณธัญญาหารต่าง ๆ เอาผ้าแดงปิดคลุม และมีหมวกรองเท้าถุงเท้าสำหรับกงพั้ว (แปลว่าบิดามารดาของสามี) และกระเป๋าผ้าอีกใบ ๑ มีเงินบรรจุอยู่ด้วย ๑๒ เหรียญ สิ่งของเหล่านี้เขียนลงในเทียบแดงเป็นของตอบแทน มอบให้เถ้าแก่รับเอาไปให้แก่บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายชาย

ระยะที่ ๒ ซึ่งเรียกว่า ซั่วซินนั้ง นั้น (แปลว่า พาคนใหม่) อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ซัวซินเนี้ย (แปลว่า พานางใหม่) เมื่อพ้นจากพิธีระยะที่ ๕ มาแล้ว ก็เป็นวันทำพิธีวิวาหมงคล เป็นการรับตัวเจ้าสาว หรือที่เรียกว่าส่งตัวเจ้าสาว ในวันนั้นบิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายชายได้ทำเทียบออกเชิญญาติผู้ใหญ่ที่สนิทและผู้ดีในตำบลของตนและตำบลที่ใกล้เคียง และเชิญครูที่เคยเป็นจินแสสอนลูกชายตนไปประชุม ผู้ที่ถูกเชิญไปในงานมงคลนี้ก็ต้องจัดหาสิงของไปช่วย คือ เอาเทียนใหญ่ทาสีแดง มีตัวหนังสือลงทองที่ตัวเทียนเป็นคำให้พรคู่ ๑ บ้างก็เป็นสุราบรรจุขวดหรือไหและสัตว์เป็น เช่น เป็ด, ไก่, ห่าน, กับตุ๊ยลิ้นอั้งติ๊ว (ตุ๊ยลิ้น แปลว่า ป้ายคู่, อั้งติ๊ว แปลว่า แพรแดง) อย่างละคู่ มีคำอวยพรเขียนเป็นตัวทองก็มี ตัวหมึกก็มี แต่ต้องใช้กระดาษแดง และยังมีสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งนับถือกันว่าเป็นมงคลอีก ผู้ที่เอาของไปช่วยนั้น ต้องเขียนจำนวนสิ่งของสิ่งละคู่ลงในเทียบกระดาษแดงตามแบบที่นิยมกัน เพราะการเขียนเทียบเชิญแขกก็ดี หรือเอาของไปช่วยงานก็ดี เป็นพิธีถือเปืนธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด แล้วให้คนใช้นำของและเทียบไปให้แก่เจ้าของงาน ๆ รับเทียบของผู้ที่ให้มาช่วยนั้นแล้ว ให้พนักงานเขียนเทียบตอบรับทันที แต่สิ่งของนั้นเจ้าของงานมิได้รับเอาไว้ทุกสิ่ง บางสิ่งก็ส่งคืนกลับไป ที่ไม่ได้รับไว้เลยจนสิ่งเดียวก็มี แต่ก็ไม่ถือกันว่าเป็นการตูถูก เพราะเป็นธรรมเนียมนิยมกันดังนั้น ส่วนคนใช้ที่นำสิ่งของไปนั้น เจ้าของงานต้องแถมพกให้ทุกราย

ต่อนี้ไปก็จัดกระบวนรับตัวเจ้าสาว คือบิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายชาย จัดแจงล์รรพสิ่งของเครื่องใช้ในพิธี แต่การที่ไปรับตัวเจ้าสาวนี้ ตัวเจ้าบ่าวเองหาได้ไปไม่ เป็นแต่เอาเสื้อตัว ๑ ของเจ้าบ่าวบรรจุลงในภาชนะใบ ๑ เอาใบทับทิมกับพรรณธัญญาหารทั้ง ๕ ชะนิดโปรยลงบนเสื้อนั้นส่งไปแทน เรื่องที่เอาเสื้อไปแทนตัวเจ้าบ่าวนั้น เล่ากันสืบ ๆ มาว่า เพราะเคยมีเรื่องที่เจ้าสาวเห็นรูปร่างหน้าตาของเจ้าบ่าวน่าเกลียดก็ไม่ยอมไปเป็นภรรยา ต่อมาคนชั้นหลังจึงคิดจัดเอาเสื้อของเจ้าบ่าวไปแทน และจัดฮวยเกี้ยว (แปดว่า คานหามของจีนอย่างหนึ่งมีเก๋งและเครื่องบัง) สำหรับเจ้าสาวนั่งคัน ๑ สำหรับวางเสื้อเจ้าบ่าวคันหนึ่ง สำหรับเถ้าแก่คัน ๑ สำหรับแชเนี่ยพั้ว (แม่สื่อ) คัน ๑ สำหรับสาวใช้คัน ๑ หรือ ๒ คัน เพราะฮวยเกี้ยวนั้นมีที่นั่งได้คนเดียว กระบวนพิธีนั้น มีคนจุดประทัดออกหน้า ถัดมาคนตีม้าล่อคู่ ๑ คนถือเชี่ยไป๊ (ป้ายประวัติยศศักดิ์ เขียนบอกประวัติเหล่ากอวงศ์สกุลตน เคยมียศศักดิ์อย่างใดสืบมา) หลายคู่ ถัดมาเป็นเครื่องเกียรติยศ เช่น กิมกวยอวดโป๊ว (กิมกวยนั้น ข้างหนึ่งเป็นรูปฟักทองมีด้ามยาว, อวดโป๊วข้างหนึ่งรูปคล้ายขวานด้ามยาว) ถือกันคนละอัน ถัดมามีโคมใหญ่คู่ ๑ เขียนแซ่ของเจ้าบ่าวไว้ที่ตัวโคม เป็นหนังสือเขียนด้วยสีแดงตัวโต ๆ ถัดมาก็เป็นฮวยเกี้ยวและคนถือกลดคัน ๑ คนถือบังแทรกคัน ๑ ถ้าเป็นขุนนางและคนมั่งมีแล้วก็หากองทหารมาเข้ากระบวนด้วย ครั้นกระบวนรับเจ้าสาวจะเคลื่อนจากบ้านเจ้าบ่าว เริ่มยิงปืนไชย ๓ นัดแล้วจึงออกเดิร กระบวนที่จัดไปรับเจ้าสาวนี้เป็นเกียรติยศอย่างแห่เจ้านาย โดยประเพณียกย่องกันว่า มนุษย์เราเกิดมาทั้งทีก็มีโชคลาภอยู่เพียง ๒ ประการ ประการที่ ๑ คือได้เป็นขุนนาง ประการที่ ๒ คือแต่งงานกับภรรยา เพราะฉะนั้นเมื่อมีการแต่งงานบ่าวสาว จึงเป็นประเพณียอมให้ราษฎรทำพิธีดังกล่าวมานี้ในวันนั้น

ครั้นกระบวนเดิรไปถึงบ้านเจ้าสาวแล้ว บิดามารดาผู้ปกครองหญิงจัดให้ญาติมีอายุสูงออกมารับแทน ผู้แทนจึงเชิญเถ้าแก่และพวกที่มารับเจ้าสาวเข้าไปในบ้าน เถ้าแก่ยกเอาเสื้อที่แทนตัวเจ้าบ่าวเข้าไปแสดงคำนับ แล้วบิดามารดาผู้ปกครองเจ้าสาวเชิญเถ้าแก่และคนที่มาด้วยกันนั้นเข้านั่ง จัดขนมทึงอี๊ (ขนมกลมเกลียว) เลี้ยงแขก ครั้นรับประทานเสร็จแล้ว ญาติผู้แทนฝ่ายหญิงจึงนำตัวเจ้าสาวออกมามอบให้เถ้าแก่ เจ้าสาวแต่งตัวสวมเครื่องยศกิ๋มอี่ สวมหมวกหงส์กวน (กิ๋มอี่ แปลว่าเสื้อยศปักใหมทอง, หงส์กวนแปลว่าหมวกยศ มีหงส์ทองสลับอยู่กับพู่ดอกไม้) สวมรองเท้าถุงเท้า มือถือพัดและผ้าเช็ดหน้า เอาแพรแดงคลุมหน้า แต่งอย่างนางงิ้วที่เป็นฮูหยิน และบิดามารดาเจ้าสาวก็จัดแจงหาเครื่องใช้สอยต่าง ๆ ไปกับเจ้าสาวด้วย ถ้าฝ่ายเจ้าสาวเป็นคนมั่งมี ก็จัดหาเครื่องเรือนอย่างเอก คำจีนเรียกว่า ช่วนเทียมิ่น หรือซังหู่เก๊จึง (ซังหู่เก๊จึง แปดว่าเครื่องแต่งงาน ๒ สำรับ) คือหีบบรรจุเครื่องนุ่งห่มเป็นจำนวนหลายสิบหีบ โต๊ะเก้าอี้ชุด ๑ เตียงนอน, โต๊ะล้างหน้า, โต๊ะเครื่องแป้ง, ตู้ไว้เสื้อผ้าใหญ่ ๔ ตู้ เล็ก ๔ ตู้, ถังหาบน้ำ, ถังอาบน้ำ, ถังบรรจุน้ำ ถังอาจม และเครื่องทองรูปพรรณสำหรับแต่งตัวมีพร้อม ส่วนเครื่องที่นอนนั้นเป็นหน้าที่ข้างฝ่ายเจ้าบ่าวต้องจัดหาไว้.

เครื่องเรือนที่เป็นปานกลาง เรียกว่า งึ่นเทียมิ่น อย่างขนาดน้อยที่สุดเรียกว่า ปั้งหลายเก้จึง แม้บิดามารดาผู้ปกครองเจ้าสาวจะจนยากปานใดก็ดี เมื่อแต่งงานสั่งลูกสาวออกจากบ้านแล้ว จำเป็นต้องกระทำไปให้สมกับคตินิยม เพราะฉะนั้นการที่มีลูกเป็นหญิง จึงเป็นเครื่องหนักใจของผู้เปนบิดามารดามาก คือเลี้ยงจนเติบโตขึ้นแล้ว ยังต้องเสียเงินในเมื่อออกเรือนอีก เหตุนี้แหละชาวจีนจึงรักลูกชายมากกว่ารักลูกหญิง

ขณะที่ญาติผู้แทนมอบตักเจ้าสาวนั้น บิดามารดาผู้ปกครองเจ้าสาวหลบหลีกไปเสีย หาได้ออกมาพูดจาปราศรัยกับแขกไม่ ส่วนเข้าของทั้งมวญที่บิดามารดาฝ่ายหญิงให้แก่เจ้าสาว ก็ต้องจัดผู้คนแบกหามตามไปพร้อมกันกับเจ้าสาว พร้อมทั้งบัญชีจำนวนสิ่งของซึ่งเขียนลงได้ในเทียบมอบให้เถ้าแก่ไปด้วย

เมื่อเถ้าแก่รับตัวเจ้าสาวออกจากบ้าน ขณะนั้นมีแช่เนี้ยพั้วข้างฝ่ายเจ้าสาวเป็นผู้ซวยะสี่กู่ (แปลว่าอวยพร ๔ คำ) แล้วก็จัดแจงพะยุงเจ้าสาวเข้านั่งในฮวยเกี้ยว และสาวใช้เถ้าแก่แม่สื่อก็เข้านั่งคนละคัน กระบวนแห่ก็เคลื่อนออกเดิรทันที เวลาที่เจ้าสาวจากบิดามารดาตนมักจะร้องไห้เสียก่อนจึงได้ออกเดิร ครั้นไปถึงบ้านเจ้าบ่าวแล้ว ขณะนั้นเจ้าบ่าวก็จัดแจงแต่งตัวสวมเสื้อผ้าเครื่องยศอย่างขุนนาง ออกมานอกบ้านคอยรับเจ้าสาว เมื่อคนหามวางฮวยเกี้ยวลงแล้ว เจ้าบ่าวก็เดิรเข้าไปที่หน้าฮวยเกี้ยว เอาเท้าเตะคานเกี้ยว ๓ ที เถ้าแก่และแม่สื่อจึงเดิรเข้าไปเปิดประตูฮวยเกี้ยวแล้วกล่าวคำอวยพร นางสาวใช้เข้าไปพะยุงเจ้าสาวออกมา เดิรตามเจ้าบ่าวเข้าประตูบ้าน เถ้าแก่แม่สื่อก็ต้องอวยพรอีก การอวยพรเป็นหลายครั้งตามระยะของพิธีแต่งงาน ตกเป็นหน้าที่ของเถ้าแก่แม่สื่อทั้งสิ้น เช่นเวลาที่ไหว้เจ้าที่ตี้ (เจ้าฟ้าและดิน) เวลาเข้านั่งโต๊ะรับประทาน เวลาจูงนางเข้าห้องเป็นต้น ขณะนั้นมีบรรดาญาติมิตรพากันห้อมล้อมดูตัวเจ้าสาว แต่หาได้กั้นเรียกเอาค่าผ่านประตูไม่ พนักงานที่ติดตามมาก็ช่วยขนเครื่องเข้าของตามเข้าไปในบ้าน บิดามารดาผู้ปกครองฝ่ายชายก็ให้จัดโต๊ะกลางแจ้งสำหรับบูชาที่ตี้ ของที่สำหรับเส้นไหว้มีหัวหมู, ห่าน, เป็ด, ไก่ แพะ, แกะ, กุ้งใหญ่ที่เรียกว่าเล่งแฮ้, ปลาตัวใหญ่นึ่ง รวม ๑๐ สิ่ง เรียกว่าจั๋บแซ (สัตว์ ๑๐ ชะนิด) ขนม ๕ สิ่ง, อาหาร ๑ โต๊ะ, ขนมเข่ง, ขนมฟูขนาดโตเท่ากลองใหญ่ จุดเทียนใหญ่ทาสีแดงคู่ ๑ และธูป กระดาษเงินกระดาษทอง สุราน้ำชามีพร้อม พอจัดเสร็จจึงให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวแสดงพิธีเส้นไหว้พร้อมกัน ขณะนั้น เถ้าแก่แม่สื่อเข้าไปแนะนำให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวแสดงคำปฏิญาณและยืนขึ้นทำความเคารพต่อกันเป็นพิธีแล้ว เถ้าแก่แม่สื่อก็อวยยพรอีกครั้ง ๑ และนำไปนั่งณกลางเรือน ในที่นั้นได้จัดโต๊ะอาหารไว้โต๊ะ ๑ สำหรับให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้านั่งรับประทาน ส่วนการเลี้ยงแขกมิได้เลี้ยงกันในวันนี้ไปเลี้ยงกันในกันรุ่งขึ้น ถ้าเทียบกับพิธีของไทยวันนี้ต้องเป็นวันที่เรียกว่า สุกดิบ เมื่อเถ้าแก่แม่สื่อเชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้านั่งโต๊ะ แม่สื่อต้องอยู่ข้างเคียงคอยปฏิบัติเจ้าสาวคือรินสุรา ๒ ถ้วยและหยิบอาหารวางไว้ที่ภาชนะตรงหน้า เจ้าบ่าวรับประทานสิ่งใดก็หยิบตาม แต่เจ้าสาวเวลานั้นยังมีแพรแดงปิดหน้าอยู่หาได้ปลดออกไม่ เพราะมีความกระดาก ทั้งอาหารที่แม่สื่อหยิบวางไว้ก็หาได้รับประทานไม่ ขณะที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งโต๊ะอยู่นั้น วงศ์ญาติและเพื่อนบ้านพากันมามุงดูจนเต็มที่ ส่วนแม่สื่อก็หยิบกับแกล้มแล้วก็ซวยะสี่กู่เรื่อยไป พอได้เวลาเถ้าแก่ก็นำเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าห้อง เวลาที่เข้าห้องจะต้องรับประทานยิบปั้งอี๊ (ขนมกลมเกลียวเข้าห้องกัน) คนละถ้วย เถ้าแก่แม่สื่อพาเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าไปอยู่ในห้องและให้ศีลให้พรแล้วก็รีบออกจากห้องทันที ส่วนผู้คนที่ฝ่ายหญิงให้แบกหามเข้าของมานั้น ฝ่ายชายจักต้องแจกของชำร่วยให้ทุกคน

คืนที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่ด้วยกันในห้อง ถ้าเป็นคนสามัญมักมีเพื่อนฝูงเข้าไปกระทำการรบกวนอยู่ในห้อง มิให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวหลับนอน คือเข้าไปตั้งวงเล่นไพ่หรือสัพยอกหยอกเย้าต่าง ๆ

วันรุ่งขึ้นเถ้าแก่จัดแจงพาเจ้าบ่าวเจ้าสาวไปไหว้บิดามารดาและญาติอันสนิท แล้วจึงพาไปไหว้ที่บูชาปู่ย่าด้วยเครื่องขนม เรียกว่า ก๋วยเทีย (ห้องบูชาขนม) ครั้นกระทำพิธีไหว้เสร็จแล้วนับว่าเจ้าสาวได้เป็นสะไภ้อันถูกต้อง เวลาเช้าวันนั้นเมื่อจัดอาหารมาตั้งโต๊ะให้บิดามารดาผู้ปกครองรับประทาน เจ้าสาวต้องตักเข้าส่งให้บิดามารดาของสามีรับประทาน จีนเรียกว่า คั่งปึ้ง และคอยปฏิบัติอยู่ข้างเคียง ครั้นรับประทานเสร็จมารดาของสามี ก็พาลูกสะใภ้เข้าห้องน้ำให้ซักเสื้อผ้าที่ลูกสะใภ้สวมนอนในคืนแรก และต้องเอามาพิศูจน์ต่อหน้ามารดาของสามีว่าตนยังเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ และต้องพาเจ้าสาวเข้าครัวมอบธุระหน้าที่แม่เรือนให้ลูกสะใภ้รับการงานต่อไป ในวันนี้เป็นวันทำโต๊ะอาหารเลี้ยงแขกตามที่ได้ออกเทียบเชิญมา เมื่อแขกมาประชุมพร้อมแล้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาวเชิญแขกที่เป็นญาติสนิท และมีอายุสูงหรือมียศศักดิ์ เข้านั่งชั้นพิเศษ ถัดมาเป็นที่สำหรับครูบาอาจารย์เป็นชั้น ๆ ไป ครั้นแขกเข้านั่งที่พร้อมกันแล้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องเข้าไปรินสุราให้แขกคนละถ้วย แล้วคนใช้จึงรับปฏิบัติแทนจนเสร็จ แขกทั้งหลายรับประทานแล้วก็อวยพรให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว เมื่อแขกลากลับไปจะต้องจัดเงินห่อกระดาษแดงไว้ชำร่วยให้เก่คนที่ติดตามหามเกี้ยวนั้นทุกรายไป

ต่อจากวันแต่งงานแล้วในวันที่ ๓ ข้างเจ้าบ่าวจะต้องจัดอาหาร ๑ โต๊ะ ขนม ๕ สิ่งและหัวหมูเป็ดไก่รวม ๑๐ สิ่งไปให้บิดามารดาผู้ปกครองเจ้าสาว

ครั้นถึงกันแซยิดของเจ้าบ่าว บิดามารตดาผู้ปกครองเจ้าสาวจะต้องจัดขนมและสิ่งของต่าง ๆ มาทำขวัญลูกเขยอีก ตั้งแต่วันแต่งงานไปจนครบเดือน ๑ ฝ่ายบิดามารดาผู้ปกครองของหญิง ต้องจัดหาขนมต่าง ๆ ส่งไปให้ลูกเขยอีกครั้งหนึ่ง

อนึ่ง หญิงที่แต่งงานไปอยู่กับสามีจะต้องใช้แซ่ของสามีนำหน้า เช่นแซ่เดิมของหญิงแซ่เตีย ไปได้สามีแซ่ตัน ให้เรียกว่า ตันเตียสี เมื่อแต่งงานล่วงแล้ว ๔ เดือน จึงยอมอนุญาตให้ไปเยี่ยมเยีอนบิดามารดาของหญิงได้

ลักษณะแต่งงานที่กล่าวมาในตอนหลังนี้ กล่าวตามที่สืบทราบจากจีนผู้หลักผู้ใหญ่ อาจพลาดพลั้งและไม่ใช่ประเพณีทั่วไป.

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ