พิธีการราชาภิเศกสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ กระษัตริย์ประเทศเขมร
พิธีวันต้น วันจันทร์
ที่ ๒๓ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๔๙
ในวันนี้ ที่ท้องพระโรงพระที่นั่งเทวาวินิจฉัย เจ้าพนักงานได้จัด คือ ตั้งแท่นพระราชอาศน์อย่างแบบของพราหมณ์แต่โบราณ ประกอบด้วยเครื่องสูง, มีเสวตฉัตร์ ๗ ชั้นอย่างใหญ่ ปักอยู่กลาง ๑ ฉัตร์ และมีเสวตฉัตร์อย่างขนาดเล็ก ๗ ชั้นเหมือนกัน เปนบริวาร ปักอยู่ ๔ มุม เสวตฉัตร์นี้ พื้นขาวขอบขลิบทอง ที่น่าพระแท่นราชอาศน์เจ้าพนักงานได้ตั้งพระเก้าอี้อันงามวิจิตร์อิก ๑ เก้าอี้ และมีโต๊ะตั้งเครื่องต้น ๑ โต๊ะ ตามมุมท้องพระโรงจัดตั้งศาลเทพารักษ์ ในศาลนั้นตั้งเทวรูป มีรูปพระนารายน์ พระอิศวร และพระลักษมีเปนต้น ในศาล ๑ ๆ มีพราหมณ์กำกับอยู่ศาลละ ๔ นาย มีหัวน่า ๑ แต่ศาลใหญ่ศาล ๑ นั้น มีพราหมณ์กำกับอยู่ ๘ นาย ทั้งหัวน่าด้วย ๑ นาย มีเครื่องสังเวยและเครื่องบูชาเทวดาด้วยพร้อมสรรพ.
ที่ชลาน่าพระลานภายในพระราชวังนั้น เสนาบดีและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ได้นำโต๊ะเครื่องบูชาเข้าไปตั้งหลายโต๊ะจนเต็มสนามน่าพระลาน.
ภายในพระราชวัง เจ้าพนักงานได้ตกแต่งประดับประดาไปด้วยราชวัตร์ฉัตร์ธงตามประทีปโคมไฟ และภายนอกพระราชวัง ตามบ้านเรือนข้าราชการและราษฎรพ่อค้าวานิช ก็ได้ตกแต่งประดับประดาบ้านเรือนด้วยธงและตามประทีปโคมไฟสว่างไสวทั่วไปทั้งพระนคร.
ฝูงนิกรชนทั้งหลาย ก็ตกแต่งตัวประดับประดาอาภรณ์อันมีค่า พากันเดินเที่ยวไปมาดูงานนี้ด้วยความรื่นเริงบรรเทิงใจ.
ในเวลาที่ราษฎรกำลังมีความเบิกบานสำราญใจท่องเที่บวชมงานนี้ ภายในพระราชวังก็มีพิธีการอัญเชิญเสด็จขึ้นพระมณเฑียรไชยในพระราชวังหลวง (ที่มีการเชิญเสด็จขึ้นพระมณเฑียรนั้น เพราะเมื่อก่อนมีงานราชาภิเศก สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ได้ประทับอยู่วังน่า ครั้นราชาภิเศกเปนกระษัตริย์ครองเมือง จึงได้ย้ายจากวังน่ามาประทับยังวังหลวง) ในการพิธีวันนี้ ออกญาอรรคมหาเสนาและเสนาบดีกระทรวงวัง ได้เชิญ เรซีด็องต์ ซุเปริเยอร์ ฝรั่งเศสผู้สำเร็จราชการประเทศเขมรไปในงานพิธีนี้ด้วย แต่เฉพาะเชิญท่านผู้นี้คนเดียวเท่านั้นให้เข้าไปในพระที่นั่งมหามณเฑียร ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าศรีสวัสดิ์ซึ่งประทับรอคอยอยู่ ครั้นเวลา ๓ นาฬิกาหลังเที่ยง ได้พระฤกษ์ปลัดทูลฉลองกระทรวงวัง เข้าไปกราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินไปสู่พระมหาปราสาทอันจะเปนที่ประทับต่อไปในพระราชวังหลวง ทางที่เสด็จพระราชดำเนิน ปูลาดด้วยผ้าขาว มีขบวนแห่นำตามเสด็จ คือ
ออกญาวัง เสนาบดีกระทรวงวัง เดินนำเสด็จอยู่ข้างน่าขบวน ถัดมาออกญาวงษาสรรเพ็ชร์ และออกญาสุนทรปรีชา ซึ่งเปนหัวน่าราชบัณฑิตย์ แลเลขาธิการในพระองค์ ประคองถือพานประดิษฐานพระพุทธรูป ซึ่งมีพระกลดขาวกั้นอยู่เบื้องบน (ที่มีพระพุทธรูปนำน่า เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระมหามณเฑียรทจะประทับอยู่ใหม่ด้วยนั้น ก็เพื่อขออำนาจพระบาระมีของพระพุทธเจ้าที่เคารพนับถือนั้น ให้ช่วยคุ้มครองรักษาให้พ้นจากอุปัทวอันตราย ให้มีแต่ความศุขสบายในพระสถานที่ ซึ่งจะได้เสด็จขึ้นไปประทับอยู่ใหม่นี้ เพราะตามธรรมเนียมชาวเขมรเวลาขึ้นเรือนใหม่ เขาต้องมีพระพุทธรูปนำไปประดิษฐานที่บ้านใหม่อย่างน้อยองค์ ๑ เสมอ เพื่อช่วยคุ้มครองเขาโดยความเคารพนับถือ เปนลัทธิธรรมเนียมมาแต่โบราณกาล) ต่อผู้เชิญพานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปมา มีสมเด็จพระอิสีพัฒนธิบดี เจ้ากรมและพระพรหมาธิราช หัวน่าของพราหมณ์ กับออกญาโหราธิบดี เจ้ากรมโหร เดินเปนขบวนตามพระพุทธรูปนั้น ถัดต่อมามี ออกญากาสาธิบดี และพระคลังอธิบดี อธิบดีและเจ้ากรมพระคลังมหาสมบัติ ประคองถือถาดคนละถาด บนถาดนั้นมิงาช้างถาดละ ๑ คู่ ถัดต่อมามี ออกญาบวรธิบดีนายก และออกญาราชานายก หัวน่าในกรมพระคลัง ประคองถือถาดคนละถาด บนถาดนั้นมีนอแรดถาดละ ๑ คู่ บรรดาสิ่งของที่นำเข้ามาในขบวนแห่ด้วยนี้ ก็เพื่อแสดงเปนเครื่องหมายให้มีความอยู่เย็นเปนศุขและมีความเจริญ ต่อจากนี้ก็ถึงพระองค์สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ เสด็จทรงพระราชดำเนินอยู่กลาง
ขบวนโดยทางลาดพระบาท ต่อจากพระองค์มีขบวนข้าราชการฝ่ายในตามเสด็จ คือ
(๑) นางในคน ๑ แต่งตัวนุ่งผ้าเยียรบับ ห่มผ้าต่วนสีขาวขอบขลิบไหมทอง เชิญพระแสงดาบ ชื่อ พระธำมรงค์ อัสสลัย เดินตามเสด็จ.
(๒) นางในอิก ๔ คน แต่งตัวนุ่งผ้าเยียรบับ คนหนึ่งห่มผ้าแพรสีเหลือง อิกคนหนึ่งห่มแพรสีขาว และอีก ๒ คนห่มแพรสีนวน ถือช่อดอกไม้ทอง นางใน ๔ คนนี้เปนเครื่องหมายแสดงถึงทิศทั้ง ๔ และนางในเหล่านี้เลือกสรรล้วนแต่เปนบุตรีผู้ดีมีบันดาศักดิ์ทั้งนั้น.
(๓) นางในคนหนึ่ง แต่งตัวนุ่งผ้าเยียรบับ ห่มตาด ถือถาด ในถาดมีทองคำถุง ๑ เปนเครื่องหมายถึงพระคลังทอง.
(๔) นางในคน ๑ แต่งตัวนุ่งห่มเหมือนคนก่อน ถือถาด ในถาดมีเงินถุง ๑ เปนเครื่องพระคลังเงิน.
(๕) นางในคน ๑ แต่งตัวเหมือนคนก่อน ถือถาด ในถาดมีหิน (บด) ปิดทอง เปนเครื่องหมายความศุขสำราญยั่งยืนถาวรแห่งพระราชมณเฑียรสถาน.
(๖) นางในคน ๑ แต่งตัวเช่นเดียวกัน ถือถาด ในถาดมีฟักเขียว ๑ ผลปิดทอง เปนเครื่องหมายความอยู่เย็นเปนศุขสมบูรณ์ุประดุจผลฟัก.
(๗) นางในคน ๑ แต่งตัวเช่นเดียวกัน ถือถาด ในถาดมีถุงบรรจุครั่ง ๑ ถุงปิดทอง เปนเครื่องหมายพระบุญญาภินิหารแห่งพระมหากระษัตริย์เจ้า.
(๘) นางในคน ๑ แต่งตัวเหมือนคนก่อน อุ้มแมว ๑ ตัว ที่คอแมวมีเหรียญประดับเพ็ชร์ พลอย ผูกคอด้วย ๑ เหรียญ เปนเครื่องหมายราชเสวิกาในพระราชฐาน.
(๙) นางในอิก ๑๒ คน แต่งตัวเหมือนที่กล่าวมาแล้วข้างบน เชิญเครื่องตามเสด็จ.
ต่อจากนี้ มีเจ้านายฝ่ายในกับเจ้าจอม พนักงานและท่านผู้หญิงภรรยาข้าราชการทุกชั้น เข้าในขบวนตามเสด็จด้วย.
ถัดต่อจากนี้ มีออกญามหามนตรี และออกญามหาเทพ หัวน่ากรมในกรมพระอาลักษณ์ แต่งตัวนุ่งผ้าเยียรบับ สวมเสื้อครุยและสวมตะลอมพอกที่ศีร์ษะ ตามขบวนเสด็จอยู่สุดท้าย.
ที่บันไดพระราชมณเฑียรที่จะเสด็จไปประทับนั้น มีหัวน่าพราหมณ์พิธี ๒ นาย คือพระประการและพระพรหมาธิราช แต่งตัวนุ่งผ้าและสวมเสื้อขาว เปนเครื่องหมายแสดงว่า เปนผู้แทนเทพารักษ์ คอยรับขบวนเสด็จพระราชดำเนินที่น่าพระบันไดนั้น กับมีถาดเครื่องสังเวยเทวดาอยู่ด้วยทั้งคาวหวาน, และมีศีร์ษะสุกร ๒ ศีร์ษะ ถวายแก่เทพารักษ์ซึ่งทรงสถิตย์พิทักษ์รักษาพระบันไดแห่งพระมณเฑียรนั้น,
เมื่อขบวนเสด็จพระราชดำเนินไปถึงน่าพระบันได เจ้ากรมพราหมณ์พิธีและเจ้ากรมโหร ได้กล่าวคาถาอัญเชิญเทวดาเสร็จแล้ว ได้ร้องถามว่า “เทวะ ดูกรท่านเทพยดาเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ ท่านได้มาสิงสถิตย์อยู่ณที่นี้หรือไม่” หัวน่าพราหมณ์ ๒ นายซึ่งทำน่าที่เปนผู้แทนเทวดา ตอบว่า “เราได้มาอยู่ณะที่นี้แล้วเสมอเปนนิจ เราได้มาสิงสถิตย์เพื่อพิทักษ์รักษาพระมหาเสวตฉัตร์และพระมหามณเฑียรซึ่งอยู่ในพระราชวังนี้ มิได้ละหนีไปณะที่ใดเลย บัดนี้ท่านมีความประสงค์สิ่งใดฤา” เจ้ากรมโหรและเจ้ากรมพราหมณ์พิธี จึงกล่าวคำตอบกับเทวดาว่า “เทวะ ข้าแต่ท่านผู้เปนเทวดา ข้าเจ้าทั้งหลายนี้ได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ซึ่งได้ทรงราชย์ อันทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ จอมจักรพงศ์หริรักษ์ ปรมินทรภูวนารถ ไกรแก้วฟ้าสุลาลัย กระษัตริย์ผู้ครองกรุงกัมพูชาธิบดี พร้อมด้วยเครื่องรัตนมณีสำหรับพระเกียรติยศ ซึ่งได้จัดตามแบบบทธรรมเนียมประเพณี อันมีมาแต่โบราณโดยครบสรรพ์ ในการที่จะเชิญเสด็จผายผันขึ้นสู่ยังพระมหามณเฑียรไชย ประทับบนพระราชอาศน์ภายใต้พระมหาเสวตฉัตร์ อันควรแด่กระษัตริย์ประทับในพระราชวัง เพื่อครองราชบัลลังก์เปนพระเจ้าอยู่หัวแห่งเรา ขอบรรดาเทพยดาเจ้าจงช่วยอำนวยพระพรไชยให้พระองค์มีพระชนมายุยืนยงคงนานถึง ๑๐๐ พระพรรษา ปราศจากโรคาอย่าให้กล้ำกราย ทรงสำราญพระวรกายในราชสมบัติทุกทิวาราตรี ทั้งในเวลานี้และต่อไปภายน่า ถ้าหากว่าเวลานี้เปนเวลาที่ได้ฤกษ์งามยามดีมีศิริมงคลแล้ว ก็ขอท่านได้โปรดแถลงบอกให้ข้าพเจ้าได้ทราบณะบัดนี้เทอญ.” เทวดาจึงแถลงว่า “เราเทวดาทั้งหลายซึ่งเปนผู้พิทักษ์รักษาพระมหาเสวตฉัตร์ และพระราชมณเฑียรในพระราชวังนี้ มีความโสมนัสยินดี ขอเชิญเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เปนกระษัตราธิบดีในกรุงกัมพูชามหานครนี้ต่อไป บัดนี้ก็ถึงเวลาฤกษ์งามยามดีแล้ว เราขอถวายสรรพสิ่งทั้งปวงซึ่งมีอยู่ในเวลานี้ แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และอัญเชิญเสด็จเข้าสู่พระมหามณเฑียรไชย ประทับภายใต้พระมหาเสวตฉัตร์ ทั้งเราขอตั้งความสัตย์ถวายพระพรไชย, ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนมายุยืนยาวถึง ๑๐๐ พระพรรษา และทรงศุขาในราชสมบัติจนตลอดชั่วกาลนาน ทรงพระเกษมสำราญทุกทิวา เพื่อจะได้ทรงอุปถัมภ์พระวรพุทธสาสนา ให้เจริญวัฒนารุ่งเรือง และทรงทำนุบำรุงพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายน่าฝ่ายใน เสนาอำมาตย์ราชบริพารใกล้ไกลทุกเหล่าทุกชั้น ตลอดถึงอาณาประชาราษฎรสามัญ ซึ่งเปนไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ให้อยู่เย็นเปนศุขถ้วนทั่วทุกผู้ทุกตน ในรัชกาลอันเปนมงคลของพระองค์นี้เทอญ.”
ในทันใดนี้ เจ้ากรมโหรและเจ้ากรมพราหมณ์พิธี น้อมศีร์ษะกระทำคำนับรับพร แล้วนำพระพรไชยนี้ถวายแด่สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ในขณะนี้พราหมณ์ก็ลั่นฆ้องไชย เจ้าพนักงานก็เป่าสังข์กระทั่งแตรรัวมโหรทึกและบรรเลงดุริยะดนตรีเสียงเอิกเริกดังกึกก้องขึ้น จึงออกญาวัง เสนาบดีกระทรวงวัง เข้าไปกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จขึ้นสู่พระราชมณเฑียร ประทับภายใต้พระมหาเสวตฉัตร์ เพื่อเปนพระฤกษ์ ในเวลานี้พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดีข้าราชการทุกชั้น ได้เข้ามาเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทอยู่พร้อมกัน และเสด็จมาทรงฟังพระสวดมนต์ที่พระสงฆ์ราชาคณะเจริญถวายให้เปนศิริมงคลตามธรรมเนียมเสร็จแล้ว
สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ เสด็จไปที่หอพระอัฐิ ถวายบังคมพระบรมอัฐิสมเด็จพระราชบิดามารดา และพระญาติกาผู้ใหญ่ในพระบรมวงศ์เสร็จแล้ว เสด็จไปประทับณะพระที่นั่งพระมหามณเฑียร ซึ่งอยู่ตวันตกท้องพระโรง พระที่นั่งนี้มีห้องติดต่อข้างในไปที่พระที่นั่งทักษิณและพระที่นั่งอัมรินทร์ ซึ่งอยู่ข้างทิศใต้เดินตลอดถึงได้ แล้วเสด็จออกจากพระที่นั่งมหามณเฑียร ไปพร้อมกับขบวนข้าราชการแห่นำตามเสด็จ ได้เสด็จผ่านพระตำหนักจันทร์ ไปตามทางซึ่งปูด้วยเสื่อและผ้าขาว โดยทางลาดพระบาท เสนาบดีกระทรวงวัง เปนผู้นำและอัญเชิญเสด็จขึ้นประทับบนพระราชฐาน ณะที่ซึ่งเสด็จประทับอยู่นี้ มีข้าราชการเฝ้า คือ บรรดาเจ้านายฝ่ายใน ภรรยาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เข้าเฝ้าที่ห้องพระที่นั่งจักรพรรดิ์ และห้องพระที่นั่งนารีรัตนโสภา บรรดาเจ้านายฝ่ายน่า เสนาบดีข้าราชการทุกชั้น, เฝ้าที่พระที่นั่งอัมรินทร์ พระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์ ๑๘ องค์ มีสมเด็จพระมหาสังฆราช คณาธิบดีฝ่ายมหานิกาย เปนอาทิ กับพระสงฆ์ราชาคณะทั้งปวง ได้เริ่มเจริญพระพุทธมนต์ เวลา ๖ นาฬิกาหลังเที่ยง ที่ห้องซึ่งอยู่ตวันออกพระที่นั่งจักรพรรดิ์ในพระราชฐานนั้น.
ในงานนี้มีลครรำผู้ชาย ๑ โรง เล่นฉลอง เพื่อให้มหาชนดูจนถึงเวลา ๒ ยาม.
เมื่อเสร็จการพระราชพิธีการขึ้นพระราชฐานถึงเวลาอันสมควรแล้ว สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ เสด็จขึ้นทางพระที่นั่งจันทร์ ตามทางที่เสด็จกลับ มีเจ้านายฝ่ายใน ภรรยาข้าราชการ และเสนาบดี ข้าราชการทุกชั้น เฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทอยู่พร้อมหน้า เปนอันเสร็จงานวันต้นแต่เพียงเท่านี้.
พิธีวันที่ ๒ วันอังคาร
ที่ ๒๔ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๔๙
วันนี้เวลาบ่าย ๕ นาฬิกาหลังเที่ยง ออกญาโหราธิบดี เจ้ากรมโหรพิธี แต่งตัวนุ่งขาวห่มขาวแล้วไปตั้งพิธีบวงสรวงเทวดาที่น่าพระที่นั่งพรหม อยู่ทิศตวันตกเฉียงใต้ จนเวลาย่ำค่ำจึงเสร็จพิธี.
ในเวลานี้ในพระราชวังสว่างไสวไปด้วยประทีปโคมไฟ ฝูงคนพากันเดินไปมาอยู่ขวักไขว่ เพื่อชมโต๊ะเครื่องบูชาที่ตั้งเปนหมู่ ๆ และดูการมโหรศพต่าง ๆ ซึ่งมีสมโภชในพระราชวังนั้น.
ครั้นได้เวลา ๖ นาฬิกาหลังเที่ยง สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์เสด็จออกจากข้างใน ทรงแต่งพระองค์ด้วยภูษาม่วงและฉลองพระองค์ขลิบริมทอง มีหญิงนางในแต่งตัวอย่างประณีตตามเสด็จ ถือช่อดอกไม้เงินทอง ๘ คน และเชิญเครื่องตามเสด็จอีก ๑๖ คน รวม ๒๔ คน เสด็จออกยังท้องพระโรง ทรงพระดำเนินตรงไปยังหัวน่าพราหมณ์พิธี จึงสมเด็จพระอิสีพฤฒาธิบดี หัวน่าพราหมณ์พิธี นำเทวรูปพระวิศณุมาตั้งเฉพาะพระภักตร์สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ๆ ทรงกระทำการสักการะบูชาเทวรูปนั้นแล้ว จึงเสด็จไปยังราชอาศน์ที่ประทับ ทรงนมัสการพระพุทธรูปซึ่งประดิษฐานบนม้าหมู่เครื่องบูชาเสร็จแล้ว จึงสมเด็จพระมหาสังฆราชาคณาธิบดี ฝ่ายพระมหานิกาย เข้ามาเชิญเสด็จให้ทรงจุดเทียนไชย (เทียนไชยนี้ต้องจุดไม่ให้ไฟดับต่อไปมีกำหนด ๑ เดือน) ครั้นทรงจุดเทียนไชยแล้ว ทรงประเคนผ้าไตรแก่พระสงฆ์ที่จะได้เจริญพระพุทธมนต์ ๑๖ รูป ครั้นพระสงฆ์ครองผ้าเสร็จแล้วกลับมานั่งที่ตามเดิม และเจริญพระพุทธมนต์อำนวยพระพรไชยให้แด่สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ และทำน้ำพระพุทธมนต์สำหรับที่จะได้ถวายให้สรงในการพิธีมุรธาภิเศกในวันต่อไปด้วย.
ครั้นพระสงฆ์สวดมนต์จบแล้ว เวลา ๑๐ นาฬิกาหลังเที่ยง๑ เสด็จไปประทับที่พระตำหนักข้างในให้ฝ่ายในเฝ้าอยู่จนเวลา ๑๑ นาฬิกาหลังเที่ยง จึงเสด็จขึ้น.
งานวันที่ ๒ มีพิธีเพียงเท่านี้.
พิธีวันที่ ๓ วันพุฒ
ที่ ๒๕ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๔๙
วันนี้เวลา ๙ นาฬิกาก่อนเที่ยง สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์เสด็จออกยังท้องพระโรง ทรงพระภูษาสีเหลืองแก่ เวลานั้นมีพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดีข้าราชการทุกชั้น คอยเฝ้าเสด็จอยู่ตามตำแหน่ง สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ทรงตักบาตร์ถวายพระสงฆ์และถวายโภชนาหารแก่พระสงฆ์, ครั้นพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้ว ได้ทรงถวายเครื่องทัยทานและผ้าไตรแก่พระสงฆ์ที่ฉันนั้นทุก ๆ รูป แล้วทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานเหรียญที่รฦก คือเหรียญราชาภิเศกแก่พระบรมวงศานุวงศ์เสนาบดีข้าราชการทุกชั้นบันดาศักดิ์ ในระหว่างเวลาที่พระราชทานเหรียญที่รฦกนี้ มีพระสงฆ์ ๖ รูปสวดประกาศอัญเชิญเทวดาซึ่งสถิตย์อยู่ทั้ง ๖ ชั้นกามาวจร๒ ขอให้มาช่วยอำนวยพระพรถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้เสวยราชสมบัติใหม่ ให้ทรงมีความศุขเกษมสำราญนิราศจากภัยอันตราย ขอให้ทรงสบายในราชสมบัติ ทรงมีพระชนมายุยืนยาว และความในประกาศเทวดานั้นว่าด้วยสมเด็จพระเจ้านโรดม พระบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าหลวง ซึ่งเปนพระมหากระษัตราธิราช พระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสู่สวรรคตล่วงลับไปแล้ว จึงพร้อมใจกันอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ จอมจักรพงศ์ อันเปนองค์สมเด็จพระอนุชาธิราช ผู้ซึ่งได้ทรงให้กระทำพระเมรุมาศถวายพระเพลิงและบำเพ็ญพระกุศลถวายแด่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ให้ขึ้นครองราชสมบัติ สนองพระองค์สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเจ้าตามพระราชประเพณีอันมีสืบมาแต่ปางก่อน และท่านผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจีน และท่านผู้สำเร็จราชการประเทศกัมพูชา ซึ่งเปนผู้แทนท่านประธานาธิบดีประเทศผรั่งเศส อันเปนมหาประเทศและเปนประเทศพี่เลี้ยงผู้คุ้มครองแห่งประเทศกัมพูชา ก็จะได้มาประชุมพร้อมกันกับพระบรมวงศานุวงศ์เสนาบดีมุขมนตรีข้าราชการทุกชั้นณะที่นี้ โดยความโสมนัสยินดีพร้อมใจกันถวายพระมหามงกุฎและราชสมบัติแห่งอาณาจักร์กัมพูชาแด่สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ จอมจักรพงศ์ ซึ่งเปนองค์พระอนุชาธิราช แห่งสมเด็จพระเจ้านโรดม ซึ่งเคยดำรงพระอิศริยยศเปนสมเด็จพระมหาอุปราชมาแล้วตามราชประเพณีซึ่งมีสืบมา ต้องรับราชสมบัติสนองพระองค์สมเด็จพระเชษฐาธิราชโดยพระองค์เปนผู้ทรงทศพิธราชธรรม มีพระปรีชาสามารถในราชกิจน้อยใหญ่ โดยตั้งพระราชหฤทัยทนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเปนศุข ทรงปราบปรามผู้คิคคดเปนขบถประทุษร้ายกระทำจลาจลแก่บ้านเมืองให้สงบราบคาบ พระราชกิจที่ได้ทรงปฏิบัติมาแล้ว กับที่ได้ทรงอยู่ในเวลานี้ ล้วนแต่โดยทรงพระกรุณาที่จะทนุบำรุงยกย่องพระวรพุทธสาสนา, กฎหมายแบบธรรมเนียม พระบรมวงศานุวงศ์ทุกชั้น เสนาบดี มุขมนตรีน้อยใหญ่ ตลอดจนถึงสมณะชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎรให้มีความเจริญรุ่งเรืองและอยู่เย็นเปนศุขโดยทั่วหน้า ทั้งในเวลาปัตยุบันนี้และต่อไปในอนาคตด้วย.
อนึ่ง วันนี้ก็เปนวันพุฒ แรม ๒ ค่ำ, เดือน ๖ ปีมะเมียอัฐศก จุลศักราช ๑๒๖๘ ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๕ เมษายน คฤษตศักราช ๑๙๐๖ (พ.ศ.๒๔๔๙) อันเปนวันฤกษ์งามยามดี เราทั้งหลายจงมีความยินดีมาพร้อมเพรียงกันอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระจอมจักรพงศ์หริรักษ์ปรมินทรภูวนารถไกรแก้วฟ้าสุลาลัย พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี ซึ่งเปนพระเจ้าชีวิตร์แห่งเรา, ขออัญเชิญเสด็จสู่ยังท้องพระโรง ประทับบนพระราชบัลลังก์ฉเพาะพระภักตร์พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า และพระเทวรูปอันศักดิ์สิทธิ์ กับฉเพาะพระภักตร์เทวดาอันประกอบด้วยบุญญฤทธิ์ ซึ่งได้มาสิงสถิตย์อยู่ในเวลาสรงน้ำมุรธาภิเศก ขอให้พระองค์ทรงมีพระชนมายุยืนนาน ประกอบด้วยพระบารมีบุญญาธิการ มโหฬารตลอดชั่วดินฟ้า และโดยอำนาจกฤษดาภินิหารของเทพยเจ้าทั้งหลายจงบันดาลให้งานพระราชพิธีราชาภิเศก ซึ่งเราทั้งหลายได้พร้อมเพรียงกันจัดกระทำขึ้นนี้ให้ได้สำเร็จกิจไปโดยสวัสดิภาพเรียบร้อยปราศจากอุปสัคทั้งหลาย ให้มีแต่ความศุขความสบายเจริญยิ่ง ๆ เปนลำดับไปเทอญ.
ครั้นพระสงฆ์สวดประกาศนี้จบแล้ว ได้เวลา ๑๑ นาฬิกาก่อนเที่ยง สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ เสด็จขึ้น.
ในเวลานี้ข้างภายนอกก็มีการมโหรศพ โขน ลคร ของข้าราชการและของหลวงทั้งผู้หญิงและผู้ชายหลายโรง เล่นสมโภชทั้งกลางวันและกลางคืน อาณาประชาราษฎรก็มีความรื่นเริงพากันมาเที่ยวดูงานมโหรศพมากมายหลายตาเบียดเสียดกันแน่นไปทุกหนทุกแห่ง เปนที่เพลิดเพลินเจริญใจสนุกสำราญทั่วไปทั้งพระนคร ครั้นในเวลากลางคืนก็มีการจุดดอกไม้ไฟ ซึ่งสั่งมาจากกรุงปารีศ เวลาจุดดอกไม้ไฟมีสีต่าง ๆ ประชาชนทั้งหลายผู้มาดูได้ร้องชมเชยว่า งามนักงามหนา งามเหลือเกิน งามจริง ๆ.
งานวันที่ ๓ มีพิธีเพียงนี้.
พิธีวันที่ ๔ วันพฤหัศบดี
ที่ ๒๖ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๔๙
เมื่อเวลาเช้าวันนี้มองซิเออร์ โบ ผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจีน พร้อมด้วยหัวน่าเจ้าน่าที่ชั้นผู้ใหญ่ และนายพลเรือตรี เดอมาโรลซ์ ได้มาถึงโดยเรือกลไฟ ชื่อ นัมยาง มีเรือพิฆาฏตอปิโดร์ตามมาด้วย ๒ ลำ ชื่อ ตากู และ มุสเกต์.
ในการที่ท่านผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจีนและเจ้าน่าที่ชั้นผู้ใหญ่มาช่วยในงานราชาภิเศกคราวนี้ ก็เพราะเรปับลิกประเทศฝรั่งเศส มีความประสงค์จำนงหมายจะให้การราชาภิเศกใหญ่โตสมกับพระเกียรติยศของสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ เมื่อผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจีนมาถึง ได้มีการยิงปืนใหญ่คำนับเปนหลายนัด ไม่ฉเพาะแต่คำนับท่านผู้สำเร็จราชการคนเดียว คือถวายคำนับแด่สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ด้วย มีข้าราชการเขมรชั้นผู้ใหญ่ได้มาคอยรับรองท่านผู้สำเร็จราชการ มองซิเออร์ ลุซ เรซิด็องต์ สุเปริเยอร์ ประเทศเขมร เปนผู้นำบรรดาเจ้าน่าที่และข้าราชการไปคำนับต้อนรับท่านผู้สำเร็จราชการ เสร็จแล้วได้พากันเข้าไปในพระราชวัง เพื่อเฝ้าสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ณะท้องพระโรง ครั้นได้เวลาเสด็จออก ท่านผู้สำเร็จราชการพร้อมด้วยเจ้าน่าที่ข้าราชการทั้งปวงก็เข้าไปเฝ้าถวายคำนับ สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ เสด็จมาต้อนรับท่านผู้สำเร็จราชการ แล้วมีระราชดำรัสปราสัยพอสมควรแล้วจึงทรงแสดงความขอบใจฝากไปยังท่าน ประธานาธิบดีประเทศฝรั่งเศส ท่านเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ พร้อมด้วยความเคารพนับถือของพระองค์ด้วย ครั้นได้เวลาก็เสด็จขึ้น.
ท่านผู้สำเร็จราชการและขุนนางข้าราชการ ก็พากันออกมาแล้วต่างก็กลับไปยังที่พัก.
วันนี้มีงานมโหรศพ โขน ลคร ตามเคย และเวลาค่ำก็มีการจุดดอกไม้ไฟ ประชาชนทั้งหลายก็พากันมาเที่ยวดูงานมากมายตามเคย.
พิธีเศกน้ำพระพุทธมนต์ ก็ได้กระทำต่อไปอีก เพื่อสำหรับการสรงน้ำมุรธาภิเศกในวันพรุ่งนี้.
น้ำพระพุทธมนต์ได้จัดใส่ในคนโทเงินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนพระที่นั่งที่จะสรงน้ำมุรธาภิเศกอยู่ตรงกันข้ามกับท้องพระโรง.
พิธีการรดน้ำพระพุทธมนต์ถวายนี้ แต่ก่อนครั้งเมื่อสมเด็จพระนโรดมสรงน้ำมุรธาภิเศกที่กรงอุดง, เมื่อ ค.ศ. ๑๘๖๖ (พ.ศ. ๒๔๐๙) นั้น เจ้าพนักงานได้จัดทำเปนรางแล้วเทน้ำพระพุทธมนต์บนรางให้ไหลลงไปสู่พระเศียรของพระเจ้าแผ่นดิน แต่สมัยนี้เจ้าพนักงานได้แก้ไขจัดทำเปนก๊อกมีท่อและบัวอย่างขนาดใหญ่พอสมควร เวลาได้ฤกษ์จะถวายน้ำพระพุทธมนต์ เจ้าพนักงานก็ไขก๊อก น้ำก็ไหลออกไปตามท่อตกที่บัว โปรยลงมาสู่พระเศียรของพระเจ้าแผ่นดินพอสมควร.
งานวันที่ ๔ มีวิธีเพียงนี้.
พิธีวันที่ ๕ วันศุกร์
ที่ ๒๗ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๔๙
วันนี้ คือเปนวันพิธีใหญ่ สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ได้ทรงเครื่องขาว เวลา ๗ นาฬิกา ๓๐ นาทีก่อนเที่ยง เสด็จออกประทับบนพระโทรนณะท้องพระโรง มีข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยคอยเฝ้าเสด็จอยู่พร้อมหน้า ในเวลาเสด็จออก เจ้าพนักงานได้เป่าแตรสังข์กระทั่งมโหรทึกและลั่นฆ้องไชยประโคมเครื่องดุริยะดนตรีเสียงสนั่นหวันไหวกึกก้อง ครั้นสุดเสียงดนตรีแล้ว สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ได้เสด็จจากพระที่นั่งโทรน เสด็จไปทรงกระทำนมัสการพระสงฆ์ ทรงถวายเบ็ญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้งแล้ว ทรงอาราธนาขอศีลพระต่อสมเด็จพระมหาสมณะสังฆราชเจ้า ครั้นแล้วพระสงฆ์ก็เจริญพระพุทธมนต์มงคลและไชยคาถาต่อไป แล้วสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ได้เสด็จออกมาประทับที่พระชลาน่าท้องพระโรงข้างซ้ายพระทวารใหญ่ เพื่อทรงคอยรับท่านผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจีน.
ณะที่นี้ มีกองร้อยทหารรายหัวเมืองประเทศราช (ทหารฝรั่งเศสล้วน) ๑ กอง มาตั้งแถวถวายคำนับเปนกองเกียรติยศแทนในนามของรัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งเปนผู้อารักขาประเทศเขมร กับมีหัวน่าพระสงฆ์ ๒ องค์ นั่งอยู่ใกล้ ๆ กับที่ประทับ พระองค์หนึ่งเปนสมเด็จพระมหาสังฆราช สังฆนายกฝ่ายพระมหานิกาย และพระอีกองค์หนึ่งเปนสมเด็จพระวันรัตน์ สังฆนายกฝ่ายพระธรรมยุติกนิกาย นอกจากนี้มีเสนาบดีทั้ง ๕ และเจ้ากรมพราหมณ์โหร ยืนเฝ้าอยู่ในระยะอันสมควรพร้อมด้วยบรรดาข้าราชการทั้งปวง.
เวลา ๗ นาฬิกาก่อนเที่ยง ท่านผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจึนได้มาถึงโดยรถเทียมม้า ๔ มีนายนาวาตรี ก๊อสตัง มาในรถด้วย ๑ นาย และมีหมวดทหารมาแห่นำเปนเกียรติยศด้วย ๑ หมวด ต่อจากรถผู้สำเร็จราชการ มีรถของท่าน คัวเวรเนอร์ (เจ้าเมือง) กัวร์เบย และท่านนายพลเรือตรี มาโรลซ์กับนายทหารคนสนิทตามมาข้างหลังอีก ๑ คัน เมื่อท่านผู้สำเร็จราชการมาถึง แตรเดี่ยวได้เป่าคำนับและแตรวงได้บรรเลงเพลงมาร์เซยเยศ กับพิณพาทย์ระนาดฆ้อง ก็ได้บรรเลงขึ้นพร้อมกัน ในทันใดนั้น เสนาบดีกระทรวงวังและหัวน่ารับแขกคือ ออกญามหามนตรีฝ่ายขวา กับออกญามหาเทพฝ่ายซ้าย ได้ไปรับท่านผู้สำเร็จราชการและผู้ที่มาด้วย นำเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ๆ ได้เสด็จออก มีนางในตามเสด็จข้างขวา ๘ คน ข้างซ้าย ๘ คน นางทั้ง ๑๖ คนนี้นุ่งห่มด้วยผ้าเยียรบับ แต่งเครื่องประกอบด้วยอาภรณ์อันวิจิตร์ และสวมชฎาคล้ายอย่างนางลคร มือข้างขวาของนางในเหล่านั้นถือดอกบัวคนละดอก สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ได้เสด็จตรงไปยังพระที่นั่งโทรน มีพระภักตร์ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วประทับลงบพระเก้าอี้โทรน ซึ่งมีเบาะรอง ทรงวางพระบาทบนเบาะรองพระธาท และทรงอิงพระองค์บนพระเขนยขาว รองพระปฤษฎางค์อันตั้งอยู่ภายใต้เสวตฉัตร์ ๗ ชั้น ครั้นทรงประทับต้อนรับท่านผู้สำเร็จราชการและมีพระราชดำรัสปราสัยพอสมควรแล้ว เสด็จออกยังพระทวารที่จะไปพระที่นั่งทรงมุรธาภิเศก ครั้นเสด็จออกไปถึงน่าพระทวาร ทรงหยุดอยู่ครู่หนึ่ง เจ้ากรมพราหมณ์พิธีได้นำเทวรูปพระนารายน์ พระอิศวร พระวิศณุ มาถวายฉเพาะพระภักตร์พระองค์ เสด็จตรงกระทำกางสักการะแล้ว พราหมณ์นำเทวรูปกลับไปตั้งยังที่บูชา ในเวลานี้ได้ทรงเปลี่ยนเครื่องพระองค์ เพื่อสำหรับสรงน้ำ มีทรงแต่พระภูษาขาวเท่านั้น หาได้มีฉลองพระบาทไม่ ขณะที่ออกญาโหราธิบดีได้สวดคาถาอัญเชิญเทวดาให้มาอำนวยพรไชยในการราชาภิเศก และได้กล่าวต่อจากคาถาต่อไปอีกว่า เวลานี้ผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจีน ผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้มาประชุมอยู่พร้อมกันในงานพระราชพิธีนี้ด้วยแล้ว, ขอให้เทวดาทุก ๆ ชั้นทุกสถานวิมานมาศ ได้ช่วยประสิทธิประสาทพรให้สำเร็จดังความปราถนาทุกประการด้วยเทอญ, ครั้นสวดคาถาจบแล้ว สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ได้เสด็จขึ้นสู่พระที่นั่งจะสรงน้ำมุรธาภิเศก พระที่นั่งนี้ยกพื้นทำเปนชั้น ๆ ชั้นล่างปิดด้วยเงิน ชั้นบนทำด้วยไม้มะเดื่อปิดด้วยทอง (คือชั้นเงิน ชั้นทอง) ทรงประทับบนพระที่นั่งพื้นทองภายใต้สุหร่ายหรือบัว ซึ่งได้กล่าวมาแล้วข้างบน ครั้นได้พระฤกษ์ลั่นฆ้อง พราหมณ์เป่าสังข์กระทั่งมโหรทึกบรรเลงดุริยะดนตรี ปืนใหญ่ยิงถวายคำนับ ๒๑ นัด เสียงสนั่นหวั่นไหว เจ้าพนักงานก็ไขสหัสธารา น้ำพระพุทธมนต์ก็ไหลออกโปรยรดลงบนพระเศียรและพระวรกายสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์จนทั่วพระองค์แล้วจึงหยุด เจ้ากรมพราหมณ์ได้นำช่อใบไทรเข้าไปถวาย ๑ ช่อ เปนเครื่องหมายแสดงความเคารพต่อผู้มีบุญญาบารมีภินิหารอย่างสูงสุด และเพื่ออำนวยถวายพระพรไชย ขอให้เทวบุตร์เทวดา ช่วยพิทักษ์รักษาพระองค์และราชสมบัติต่อไป ครั้นทรงผลัดพระภูษาทรงฉลองพระองค์แล้ว เสด็จลงจากพระที่นั่งสรงมุรธาภิเศกมายังพื้นล่าง ในทันใดนั้นพระรามราชาธิบดี ซึ่งเปนผู้รับฉันทะเปนหัวน่าแทนพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เข้าไปกราบถวายบังคมแทบพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณ, ยอมเปนข้าในใต้ฝ่าพระบาทยุคล โดยความเคารพและซื่อสัตย์สุจริต นี่เปนธรรมเนียมคือพระบรมวงศานุวงศ์ ต้องถวายสัตย์ ปฏิญาณก่อนคนอื่น ๆ ในเวลาที่พระเจ้าแผ่นดินเสวยราชสมบัติ แล้วสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ เสด็จไปในห้องพระที่นั่งจักรพรรดิ ทรงเครื่องประดับสำหรับกระษัตริย์ล้วนเปนทองคำทั้งนั้น เสร็จแล้วเสด็จออกยังท้องพระโรง มีนางใน ๑๖ คนตามเสด็จเช่นเคย และอธิบดีพราหมณ์พิธีเปนผู้นำหน้าเสด็จออกมา เสด็จประทับบนพระราชอาศน์ ท่านผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจีน พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี มุขมนตรี เสนาอำมาตย์ เฝ้าถวายคำนับแสดงความเคารพและยินดีอยู่พร้อมกันเสร็จแล้ว เสด็จไปแสดงความเคารพและถวายเครื่องสังเวยแก่เทพารักษ์ แล้วเสด็จไปตักบาตรถวายอาหารแก่พระสงฆ์ แล้วเสด็จไปเข้าพิธีบวงสรวง คือเสด็จประทับบนพรมมีผ้าขาวปูลาดอยู่ข้างบน หันพระภักตร์ไปทางทิศตวันออก ประนมพระหัดถ์ไปสู่ขอบฟ้าที่พระอาทิตย์เคยขึ้นในเวลาย่ำรุ่ง และรอบ ๆ พระองค์นั้นมีหัวน่าพราหมณ์ ๘ นาย นั่งที่พื้นดินประจำทิศทั้ง ๘ ในจำพวกพราหมณ์ทั้ง ๘ นี้ ๔ คน เปนผู้ตีกลองประโคม และอีก ๔ คนเปนผู้เป่าสังข์ ท่านพระอิสิพัฒนธิบดี เจ้ากรมพราหมณ์พิธีได้นำพระรูปพระอิศวร ไปถวายวางบนพระหัดถ์เบื้องขวา และพระรูปพระนารายน์ วางบนพระหัดถ์เบื้องซ้าย แล้วหัวน่าพราหมณ์ทั้ง ๘ ซึ่งนั่งประจำอยู่ตามทิศนั้น ต่างก็สวดคาถาบวงสรวงคนละหน เมื่อเสด็จหันพระภักตร์ไปทางทิศใด พราหมณ์ที่ประจำอยู่ทิศนั้น ก็สวดคาถาบวงสรวงขึ้น กระทำดังนี้ทุก ๆ คน และทุก ๆ ทิศไปจนครบรอบทั้ง ๘ ทิศ แล้วเจ้ากรมพราหมณ์มารับพระรูปพระผู้เปนเจ้าทั้ง ๒ องค์ไปจากพระหัดถ์นำไปตั้งบนที่แล้ว นำขันทองคำ ซึ่งมีน้ำพระมนต์มาถวายทรงเสวยแล้วทรงล้างพระภักตร์ ขณะนี้ ออกญาอิศราอักขระ เจ้ากรมอาลักษณ์ เชิญแผ่นพระสุพรรณบัตร์ซึ่งจารึกพระบรมนามาภิธัยมาฉเพาะพระภักตร์สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ อ่านพระบรมนามาภิธัยในพระสุพรรณบัตร์ ตามซึ่งอาณาประชาราษฎรและขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่ได้ยินยอมพร้อมกัน เฉลิมพระบรมนามาภิธัยถวาย ครั้นอ่านจบแล้วส่งแผ่นพระสุพรรณบัตร์นั้นให้แก่หัวน่าพราหมณ์ ค่อย ๆ ม้วนบรรจุลงในกลักเงินซึ่งมีลวดลายเปนทองคำ แล้วนำไปทูลเกล้าถวายต่อพระราชหัดถ์สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ เมื่อทรงบยไว้แล้ว ออกญามหามนตรี ซึ่งเปนผู้รับฉันทะในนามของพระราชอาณาจักร เข้าไปกราบถวายบังคมทูลแถลงข้อความน้อมเกล้าถวายราชสมบัติ และได้นำเครื่องสำหรับประดับพระเกียรติยศมาน้อมเกล้าถวายด้วยทีละสิ่ง คือพระที่นั่งโทรน ซึ่งเปนที่นั่งพระราชอาศน์ พระเสวตฉัตร์ ๗ ชั้น พระขรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเปนพระแสงราชาวุธสำหรับกระษัตริย์ พระราชลัญจกร พระมหามงกุฎ พระมาลาทรงประพาศ และฉลองพระบาท สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ทรงรับ ประทานพระหัดถ์แตะต้องสิ่งของเหล่านั้นทุก ๆ อย่างแล้ว เจ้าพนักงานก็รับเครื่องเหล่านั้นไปตั้งลำดับถวายอยู่ฉเพาะพระภักตร์ เมื่อเสร็จการทรงรับพระราชอาณาจักร์และเครื่องประดับสำหรับกระษัตริย์แล้ว เจ้ากรมพราหมณ์พิธี ก็เข้ามายกมือขึ้นประนมสวดคาถาหันหน้าเวียนไปทั้ง ๘ ทิศ ส่วนสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ก็ยกพระหัดถ์ขึ้นประนมและหันพระภักตร์ ตามเจ้ากรมพราหมณ์ไปด้วยพร้อมกันทั้ง ๘ ทิศ เสร็จพิธีนี้แล้ว เจ้ากรมพราหมณ์อ่านคำประกาศอัญเชิญเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ รับฉันทะในนามพระบรมวงศานุวงศ์ และในนามของข้าราชการอาณาประชาราษฎรทั่วไป ดังมีข้อความต่อไปนี้.
ขอเดชะใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี ข้าราชการทุกชั้นบันดาศักดิ์ ซึ่งได้เข้ามาประชุมเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทอยู่พร้อมหน้ากัน ณะพระที่นั่งเทวาวินิจฉัยนี้ ขอพระราชทานกราบบังคมทูล แด่สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ จอมจักรพงษ์หริรักษ์ ปรมินทร ภูวไนยไกรแก้วฟ้า สุลาลัย พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี พระเจ้าอยู่หัว ทรงทราบ.
ด้วยตามที่ได้ตกลงกันกับรัฐบาลฝรั่งเศส ผู้ปกปักอารักขาประเทศเขมรแล้วทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอพระราชทานกราบบังคมทูลขออัญเชิญเสด็จใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ เปนพระมหากระษัตริย์พระเจ้าอยู่หัว สืบสนองพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้านโรดมบรมรามาเทวาวตาร พระพุทธเจ้าหลวงพระบรมเชษฐาธิราชของพระองค์ต่อไป.
การที่ประกาศถวายราชสมบัติครั้งนี้ อาณาประชาราษฎรมีความปีติยินดีทั่วไป โดยพระองค์ทรงพระกำเนิดในพระบรมราชตระกูลอันสูงศักดิ์ ทรงเปนสมเด็จพระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระเจ้านโรดม และทรงเปนพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าหริรักษ์รามาอิศราธิบดีพระเจ้าอยู่หัว และใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทก็ได้โดยทรงดำรงพระตำแหน่งเปนสมเด็จพระมหาอุปราชมาแล้ว ทรงมีพระทัยโอยอ้อมอารี ทรงทศพิธราชธรรม ประกอบด้วยพระปรีชาสามารถสอดส่องดูแลศุขทุกข์ของราษฎร และทรงเปนพระธุระในการปราบปรามผู้ประพฤติทุจริตเสี้ยนหนามแผ่นดิน ซึ่งเปนข้าศึกสัตรูในการสงครามให้ราบคาบ และทรงถือแบบธรรมเนียมอันเปนยุติธรรมโดยเคร่งครัด ทรงทนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเปนศุขทั่วน่าจนถึงกาละเวลานี้.
อีกข้อหนึ่งพระองค์เปนผู้ได้ทรงให้จัดสร้างพระเมรุมาศและถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเชษฐาธิราชเจ้า ถูกต้องตามพระราชประเพณี ซึ่งเปนการสมควรยิ่งที่พระองค์จะได้ทรงสืบสันตติวงศ์ สนองพระองค์พระเชษฐาธิราชเจ้าต่อไป.
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงได้รับพระมหากรุณาให้จัดทำงานพระราชพิธีนี้ โดยการทำบุญบำเพ็ญกุศลเปนพุทธบูชาและบวงสรวงถวายเครื่องสังเวยแก่เทพยดาทั่วทุกสถานทั้งร้อยพันล้านองค์ ขออัญเชิญให้เสด็จมาประชุมพร้อมกันณะท้องพระโรงนี้ เพื่อช่วยอำนวยพระพรไชยถวายแด่พระองค์ผู้เปนพระเจ้าชีวิตรในการพระราชพิธีราชาภิเศก ซึ่งได้กระทำในกาลวันนี้ คือวันศุกร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมียอัฐศก ซึ่งยกเปนวันฤกษ์งามยามดี อันมีศิริมงคล เปนผลสำเร็จถึงซึ่งโชคชัย ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขออัญเชิญเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ โดยทรงผาศุกสำราญ เปนพระมหากระษัตราธิราชเจ้า, แห่งกรุงกัมพูชาธิบดี ทรงมีพระบรมนามาภิธัยว่า สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ จอมจักรพงษ์ หริรักษ์ปรมินทร ภูวไนยไกรแก้วฟ้า สุลาลัย พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี เปนเจ้าชิวิตร์แห่งข้าพระพุทธเจ้า ขออัญเชิญเสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่งราชอาศน์ ซึ่งตั้งอยู่ภายใต้พระมหาเสวตฉัตร์ เปนกระษัตริย์ผู้ทรงเดชานุภาพแผ่ไปทั่วพระราชอาณาจักร์และทรงเปนพระเจ้าอยู่หัว.
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้พร้อมกันเข้ามาเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชอาณาจักร์ประเทศกัมพูชากับตราพระราชลัญจกร และเครื่องทรงสำหรับพระมหากระษัตริย์ แด่ใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทแล้ว ฉนั้นข้าพระพุทธเจ้า พระบรมวงศานุวงศ์ อรรคมหาเสนาบดี เสนาบดี ออกญาข้าราชการทุกชั้น ทุกตำแหน่งในพระนครนี้ ขอพระราชทานถวายสัตย์ปฏิญาณความซื่อตรงต่อน่าที่ราชการ และต่อใต้ฝ่าพระบาทยุคล ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้นำตราประจำตำแหน่งน่าที่ราชการของตนพร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียน มาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย โดยความนับถืออันซื่อสัตย์สุจริต เพื่อเปนสักขีพยานในความรู้สึก ด้วยเกล้าถึงพระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งมีอยู่แก่ข้าพระพุทธเจ้าล้นเกล้าล้นกระหม่อม.
ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานน้อมเกล้าถวายสรรพสิ่งทั้งปวงสำหรับใช้ในราชการ ทั้งส่วยสาอากร ไร่นา แม่น้ำคงคา พสุธา ปรัถพี ป่าไม้ คิรี สิ่งซึ่งมี สิ่งซึ่งเกิดอยู่ในพระราชอาณาจักร์ของพระองค์ทุกสิ่งทุกอย่าง.
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอถวายพระพรไชย ขอให้ทรงพระเกษมสำราญ มีพระชนมายุยืนยงคงนานถึง ๑๐๐ พระพรรษา เพื่อจะได้ทรงสถาปนาทนุบำรุงบ้านเมืองให้มีความเจริญภิญโญยิ่ง, และทรงเปนประมุขที่พึ่งพาแก่พระบรมวงศานุวงศ์ กับทรงเปนพระอุปถัมภกยกย่องพระวรพุทธสาสนา ทั้งทรงรักษากฎหมายแบบธรรมเนียมซึ่งใช้อยู่ในพระราชอาณาจักร์สำหรับให้ความยุติธรรมแก่ข้าพระพุทธเจ้า และอาณาประชาราษฎรทุกคน.
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม.
ขอเดชะ.
เมื่อจบคำกราบบังคมทูลนี้แล้ว สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ทรงยืนขึ้น มีพระราชดำรัสตอบ ดังมีข้อความต่อไปนี้.
ดูกร ท่านทั้งหลาย
ด้วยตามที่ท่านได้นำพระมหามงกุฎและเครื่องราชกกุธภัณฑ์สำหรับอาณาจักร์กัมพูชามาให้แก่เรา โดยแสดงว่าเราสมควรได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์แห่งบุรพบุรษของเราต่อไป ซึ่งเปนการถูกต้องตามขนบธรรมเนียมนั้น เรายินดีรับไว้ เพื่อจะได้ช่วยทนุบำรงพระวรพุทธสาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรือง และทนุบำรุงพระบรมวงศานุวงศ์ อรรคมหาเสนาบดี เสนาบดี ออกญาข้าราชการผู้ใหญ่น้อยทุกชนทุกตำแหน่ง ตลอดถึงอาณาประชาราษฎร และรักษากฎหมายแบบธรรมเนียมให้ถูกต้องตามประเพณีซึ่งมีสืบมานั้นต่อไป
เราขอมอบตราตำแหน่งซึ่งสำหรับใช้ในราชการคืนให้แก่ท่านทั้งหลาย เพื่อจะได้ไปใชปฏิบัติราชการในน่าที่ของตนต่อไป ทั้งอนุญาตให้ที่ดินไร่นา ป่าไม้ แม่น้ำ ลำคลอง แลภูเขา ซึ่งเปนทำเลสำหรับประกอบการหาเลี้ยงชีพนั้นให้แก่ท่านและอาณาประชาราษฎรทั้งปวง เพื่อจะได้ประกอบกิจการให้เปนคุณเปนประโยชน์สำหรับความเจริญแห่งตนและความเจริญแห่งประเทศ เพื่อเปนพยานแห่งความจงรักภักดีของท่านซึ่งมีต่อเราอันเปนเจ้าชีวิตร์ และต่อประเทศฝรั่งเศสผู้ปกปักอารักขาประเทศเขมรของเราต่อไป.
เพื่อให้เห็นปรากฎและเปนพยานแน่ชัดว่า เราเปนผู้มีความตั้งใจโดยแท้จริง ที่จะทนุบำรุงผลประโยชน์ของแผ่นดินและของบรรดาอาณาประชาราษฎร เราได้ตกลงยอมอนุญาตให้บรรดาประชาราษฎรทั้งปวงจับจองที่ดินซึ่งเปนที่รกร้างว่างเปล่าหรือผู้ซึ่งมีที่ดินไร่นาแล้ว ประกอบกิจการทำประโยชน์ให้ที่ดินเหล่านั้นโดยไม่ต้องเสียค่าภาษีอากรค่าธรรมเนียมแต่อย่างใดในปีที่เราได้เสวยราชสมบัตินี้ เพื่อทนุบำรุงให้บ้านเมืองถาวรมีความเจริญวัฒนายิ่ง ๆ ขึ้น.
โอกาศนี้เราขอแสดงความขอบใจในคำอำนวยพรให้แก่เราโดยความจงรักภักดีต่อเรานั้นด้วยทุก ๆ คน.
ครั้นมีพระราชดำรัสจบแล้ว ในทันใดนั้น ผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจีน (กูเวร์เนอร์ เยเนราล) และผู้สำเร็จราชการประเทศเขมร (เรซีด็องต์ ซุเปริเยอร์) ได้พร้อมกันนำตราและสายสพาย เล ย็อง ดอน เนอร์ เข้าไปถวายแด่สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ในนามของประธานาธิบดีเรปับลิก ประเทศฝรั่งเศส พระเจ้าศรีสวัสดิ์ทรงรับและทรงเสวยน้ำพระพุทธมนต์ในพระมหาสังข์เลี่ยมทองคำเสร็จแล้ว เสนาบดีได้เข้าไปประดับตราแลพาดสายสพายบนฉลองพระองค์สีแดงขลิบทอง ถวายเสร็จแล้ว ผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจีน ทูลอัญเชิญเสด็จให้ทรงขึ้นประทับบนพระบัลลังก์โทรน แล้วออกญาอิสีพัฒน์ ผู้เปนอธิบดี กรมพราหมณ์พิธี ได้นำพระมหามงกุฎมาส่งให้ผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจีน ๆ รับแล้วนำไปสวมพระเศียรถวายแด่ สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ พราหมณ์ช่วยติดพระกรรเจียกที่พระกรรณขวาซ้ายถวาย แล้วพราหมณ์อิกคนหนึ่งก็นำพระขรรค์มาให้ผู้สำเร็จราชการ ๆ ก็นำพระขรรค์ไปถวายต่อพระหัดถ์พระเจ้าศรีสวัสดิ์ ๆ ทรงขอบใจผู้สำเร็จราชการ เสร็จแล้วทันใดนั้นได้เสด็จลงจากที่ประทับ ซึ่งเรียกว่า เขาพระสุเมรุ ทรงพระดำเนินขึ้นไปสู่พระที่นั่งราชอาศน์ ทรงประทับขัดสมาธิภายใต้พระมหาเสวตฉัตร์ ทรงทอดพระเนตร์ดูบรรดาเสนาอำมาตย์ข้าราชบริพาร ซึ่งคุกเข่าเฝ้าอยู่ต่อน่าพระที่นั่งโดยพร้อมเพรียง ทันใดนั้นพราหมณ์ก็เป่าสังข์และกระทั่งมโหรทึกลั่นฆ้องไชย ปืนใหญ่ก็ยิงเสียงสนั่นหวั่นไหว ครั้นสิ้นเสียงแล้ว ผู้สำเร็จราชการพร้อมด้วยข้าราชการก็แสดงความยินดี ถวายพระพรไชยในการราชาภิเศกโดยสวัสดิภาพ แล้วเสด็จลงจากพระบัลลังก์โทรน จะเสด็จต่อไปที่พระที่นั่งทักษิณ แต่ก่อนที่จะเสด็จไปได้ประทับที่พระเก้าอี้ มีพระราชดำรัสกับผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจีนว่า.
“ท่านต้องได้รับความลำบากเหน็จเหนื่อยสำหรับตัวข้าพเจ้ามาก ถึงกับอุส่าห์มาโดยตนเองในการพิธีราชาภิเศกของข้าพเจ้า กระทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกปลาบปลื้มและให้เปนที่มั่นใจ หวังว่าท่านมีความยินดีพอใจที่จะทนุบำรุงส่วนตัวข้าพเจ้าและบ้านเมืองของข้าพเจ้าด้วย เมื่อเปนดังนี้ ข้าพเจ้าก็ต้องกระทำกรณีกิจย์กิจตามน่าที่โดยมิความยินดีอย่างเบิกบานใจที่จะอำนวยพรให้แก่ท่าน ขอให้ท่านจงมีความศุขกายศุขใจ ขอให้เปนใหญ่เปนประธาน, ประกอบด้วยยศถาบันดาศักดิ์ทุกสิ่งทุกอย่าง และขอขอบใจท่านด้วยอย่างสนิทสนมโดยไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งขอแสดงความยินดีและขอบใจสำหรับท่านผู้สำเร็จราชการประเทศเขมร (เรซีด็องต์ ซุเปริเยอร์) ด้วย.
เมื่อกี้นี้ ท่านได้อำนวยพรให้แก่ข้าพเจ้าในนามของท่านและในนามของรัฐบาลฝรั่งเศส พร้อมด้วยเจ้าน่าที่ฝ่ายหหารพลเรือน ซึ่งได้มาพร้อมกันณะที่นี้นั้น ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านทั้งหลายเปนอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่ง.
ข้าพเจ้าขอท่านได้ช่วยเรียนประธานาธิบดีและท่านเสนาบดีหัวเมืองประเทศราชด้วย ว่าข้าพเจ้ามีความยินดีขอบใจท่านเปนอันมาก โดยความสุจริตแท้ ข้าพเจ้ามีความตั้งใจปราถนาดีอยู่เสมอ ขอให้ท่านและประเทศฝรั่งเศสมีความเจริญศุขใหญ่ยิ่ง ๆ ขึ้น เพราะประเทศฝรั่งเศสเปนประเทศที่ข้าพเจ้ามีความรู้สึกถึงบุญคุณอยู่เสมอ และข้าพเจ้ายินดียอมรับอาสาที่จะกระทำในกิจการทั้งปวงอย่างเต็มใจโดยข้าพเจ้ามีความปราถนาตั้งใจอยู่เสมอที่จะได้เห็นประเทศฝรั่งเศสเปนประเทศชั้นที่ ๑ ในจำพวกนานาชาติโดยทั่วไป.
ในการที่ข้าพเจ้าได้ครองราชสมบัติสืบสนองกระษัตริย์ ซึ่งเปนบุรพบุรุษของข้าพเจ้าโดยความยินยอมพร้อมใจของเจ้านายและข้าราชการทั้งปวง โดยความเจตนาเห็นชอบของรัฐบาลของท่านนี้ ข้าพเจ้าจะได้ตั้งใจคอยเปนธุระที่จะปฏิบัติกิจการของประเทศเขมรในระหว่างผู้อารักขา (โปรเต๊กโตราต์ ฝรั่งเศส) ให้เปนที่ตกลงโดยความปรองดองกันกับรัฐบาลของข้าพเจ้าอยู่เสมอ สรรพกิจทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในเกณฑ์ซึ่งเห็นว่า เปนสิ่งนำมาซึ่งความเจริญแผ่ไพศาล สำหรับประเทศและชาติเขมรแล้ว ข้าพเจ้าได้เตรียมพร้อมแล้วทั้งในเวลานี้และเวลาต่อไปภายน่า ที่จะกระทำกิจการเหล่านั้นให้บรรลุถึงซึ่งผลสำเร็จ โดยความพยายามจนสุดกำลัง เพราะเราทั้งหลายย่อมนับถือว่าประเทศฝรั่งเศสเปนเหมือนดังเมืองแม่ของประเทศเขมรเรา.
เมื่อได้มีพระราชดำรัสจบลง ท่านผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจีนได้ทูลตอบแสดงความยินดีและชมเชยในกรณีย์กิจ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ได้ทรงกระทำมาแต่เดิมจนตลอดถึงการราชาภิเศกนี้ ได้ทรงเปนพระธุระใฝ่พระทัยในการที่จะทนุบำรุงบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น รัฐบาลฝรั่งเศสได้มีความไว้วางใจเชื่อถือในพระองค์ท่านโดยแน่แท้ ดังมีพยานปรากฎ ที่ยอมให้พระองค์ท่านจัดตั้งกองทหารสำหรับชาติประเทศเขมรขึ้นกองหนึ่งได้โดยปราศจากการขัดข้อง จึงขอให้พระองค์ท่านทรงมีความมั่นพระทัยในรัฐบาลเถิด ในโอกาศนี้ขอพระองค์จงทรงพระเจริญและทรงมีความศุขสำราญตลอดถึงอาณาประชาราษฎรของพระองค์ท่านด้วยทุก ๆ คน.
เมื่อท่านผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจีน ทูลตอบพระราชดำรัสแล้วก็ลากลับ เวลาจวน ๑๑ นาฬิกา สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ได้เสด็จขึ้นเข้าไปประทับยังพระที่นั่งข้างใน ซึ่งเรียกว่า “พระแท่นบรรธม” ในพระที่นั่งนี้มีพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน เจ้าจอม พนักงาน นางกำนัล คอยเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทถวายตัวตามลำดับพระชนมายุและอายุผู้ใหญ่ผู้น้อย พร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียน พระบาทสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ได้ทรงต้อนรับโดยพระภักตร์ยิ้มแย้ม และในทันใดนั้น มีเจ้านายฝ่ายในชั้นผู้ใหญ่องค์หนึ่งรับฉันทะเจ้านายฝ่ายในและเจ้าจอมทั้งปวง อ่านคำถวายไชยมงคลกราบบังคมทูล ดังมีข้อความดังนี้.
ขอเดชะใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม.
ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน พร้อมด้วยเจ้าจอม พนักงาน นางกำนัล ทั้งปวงในพระราชสำนัก ขอพระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณา ทราบใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท. ด้วยข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งได้พร้อมกันมาเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทณะที่นี้ ล้วนมีจิตร์โสมนัสยินดีในพิธีราชาภิเศกของใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท ทั้งได้นำดอกไม้ธูปเทียนมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพื่อเปนเครื่องหมายแห่งความเคารพโดยความจงรักภักดี และขอถวายตัวเปนข้าในใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท จนตราบตลอดชีวิตร์หาไม่ โดยความซื่อสัตย์กตัญญูกตะเวทีของข้าพระพุทธเจ้า ขอให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญมีพระชนมายุยืนยาวยิ่ง ๑๐๐ พระพรรษา เพื่อจะได้เปนที่อารักขา แห่งเหล่าข้าพระพุทธเจ้า ซึ่งเปนข้าในใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทยุคล ขอบันดาลดลให้พระองค์ทรงพระเดชานุภาพภินิหารภิโยยิ่ง ๆ ขึ้นเทอญ.
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม.
ขอเดชะ.
ลำดับนี้ท่านผู้หญิง ออกญามนตรี ซึ่งเปนผู้รับฉันทะแทนบรรดาท่านผู้หญิง คุณหญิง ภรรยาข้าราชการทั้งปวง ซึ่งเฝ้าอยู่แถวข้างซ้ายนั้น ก็อ่านคำถวายไชยมงคลกราบบังคมทูล ดังมีข้อความต่อไปนี้.
ขอเดชะ ใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม.
ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าบรรดา ภรรยาข้าราชการใหญ่น้อยทุก ๆ ชั้น ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาศ กราบบังคมทูลพระกรุณาทราบใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท.
ด้วยข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีความปีติยินดียิ่งนัก ในการที่ใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท ได้ทรงขึ้นครองราชสมบัติและมีการราชาภิเศกนี้ จึงได้พากันนำดอกไม้ธูปเทียนมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย โดยความจงรักภักดี ซึ่งรู้สึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเปนล้นเกล้าล้นกระหม่อมอยู่เนืองนิจ ข้าพระพุทธเจ้าขอให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญในราชสมบัติและมีพระชนมายุยืนนาน เพื่อพระบารมีจะได้ปกเกล้าอารักขาให้ข้าพระพุทธเจ้าได้รับความร่มเย็นเปนศุขต่อไป. ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานถวายความซื่อสัตย์ในใต้ฝ่าพระบาทยุคล ขอให้ทรงพระเจริญยิ่ง ๆ เทอญ.
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม.
ขอเดชะ.
สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ทรงมีพระราชดำรัสตอบสั้น ๆ ดังต่อไปนี้.
(พระราชดำรัสตอบพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน)
ดูกร พระบรมวงศานุวงศ์และเจ้าจอมฝ่ายใน.
เรามีความพอใจยิ่งนักที่ท่านทั้งหลายได้มาแสดงความยินดีให้พรในวันราชาภิเศกของเรา ทั้งนี้เราขอแสดงความขอบใจด้วยทุกคน.
เราหวังว่าท่านทั้งหลายควรจะตั้งใจปฏิบัติกรณียกิจตามน่าที่ของตน เพื่อรักษาเกียรติยศเกียรติศักดิ์โดยความจงรักภักดี เพื่อเปนพยานแห่งความสามัคคีและความซื่อสัตย์ ซึ่งได้รู้สึกถึงบุญคุณของพระมหากระษัตริย์ของตน อันมีความปราถนาดีต่อท่านอยู่เสมอ ขอท่านทั้งหลายจงมีความศุขศิริสวัสดิ์พิพัฒน์มงคลเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปทั่วทุกคนเทอญ.
(พระราชดำรัสตอบ ท่านผู้หญิงภรรยาข้าราชการ)
ดูกร ท่านผู้หญิงและภรรยาข้าราชการทั้งหลาย.
เรามีความขอบใจท่านเปนอันมากในการที่ได้มาประชุมแสดงความยินดีให้พรในวันราชาภิเศกของเรานี้ เปนที่พอใจเรายิ่งนัก.
เราหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะตั้งใจปฏิบัติกรณียกิจของตน โดยความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวของตัวโดยความซื่อสัตย์กตัญญู ขอท่านทั้งหลายจงมีความเจริญ อายุ วรรณะ ศุขะ พละ ทั่วทุกคนเทอญ,
ครั้นมีพระราชดำรัสตอบเสร็จแล้ว เสด็จขึ้น.
บ่ายวันนี้จะได้มีการพิธีเวียนเทียนสมโภช สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ เจ้าพนักงานได้จัดการสำหรับพิธีคอยรับเสด็จโดยพร้อมสรรพ ครั้นถึงเวลาบ่าย ๔ นาฬิกาหลังเที่ยง สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ทรงพระภูษาสำหรับวันศุกร์ เสด็จออกประทับบนอาศนะที่ปูด้วยผ้าขาวกลางท้องพระโรง มีเจ้านายข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายองค์ หลายนาย นั่งเฝ้าเปนวงล้อมพระองค์ แล้วเจ้ากรมพราหมณ์พิธีจุดเทียนติดบนแว่น ๗ แว่น แล้วจัดการเวียนเทียนสมโภช ๑๙ รอบ แล้วดับเทียนด้วยใบพลู โบกควันไปถวายเฉพาะพระภักตร์สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ให้เปนศิริมงคล เสร็จแล้วเสด็จลุกขึ้นไปประทับบนพระที่นั่งโทรน เจ้านายข้าราชการทุกช้นเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทอยู่ตามตำแหน่งเปนลำดับ จึงมีพระราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ปล่อยนักโทษออกจากที่คุมขัง ตามบาญชีรายชื่อซึ่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมนำทูลเกล้าถวายมานั้น เสร็จแล้วเสด็จขึ้น.
ในค่ำวันนี้มีมโหรศพ โขน ลคร จุดดอกไม้ไฟ และมีฝูงประชาชนเข้ามาชมงานในพระราชวังตามเคย.
พิธีวันที่ ๕ มีเพียงเท่านี้.
พิธีวันที่ ๖ วันเสาร์
ที่ ๒๘ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๔๙
วันนี้เปนวันเสด็จเลียบพระนคร เพราะตามประเพณีอันมีมาแต่เดิมนั้น เมื่อพระเจ้าแผ่นดินได้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติแล้ว ต้องมีการเสด็จเลียบพระนคร เสนาบดีกระทรวงวังและเจ้าน่าที่ทั้งปวง จึงได้จัดขบวนแห่ในการเสด็จเลียบพระนคร คอยรับเสด็จที่น่าพระบรมมหาราชวัง ดังมีรายการต่อไปนี้.
ลำดับขบวนแห่
(๑) คนถือธงไชยขนาดใหญ่มีรูปอัศวราชขลิบชายด้วยไหมทอง ๑ ธง.
(๒) คนตีกลองฝรั่ง ๑ กลอง.
(๓) คนถือธงรูปปราสาท ๒ ธง
(๔) คนตีกลองฝรั่ง ๑ กลอง
(๕) ทหารฝรั่งเศส ๑ หมู่ มีนายทหารกำกับ ๑ นาย
(๖) คนตีกลองยาว ๑ กลอง
(๗) ทหารฝรั่งเศส ๑ หมู่ มีนายทหารกำกับ ๑ นาย
(๘) ทหารแม่นปืนเขมร ๑ หมู่ มีนายกำกับ ๑ นาย
(๙) พิณพาทย์เขมร ๑ วง
(๑๐) ทหารปืนใหญ่ ๑ หมู่ มีนายกำกับ ๑ นาย
(๑๑) ทหารเขมร ๑ หมู่ มีนายกำกับ ๑ นาย
(๑๒) คนตีกลองแขกอินเดีย ๑ กลอง
(๑๓) ทหารเขมร ๑ หมู่ มีนายกำกับ ๑ นาย
(๑๔) คนถือฉัตร ๓๐ คน มีหัวน่ากำกับ ๑ นาย
(๑๕) คนตีกลองแขกอินเดีย ๑ กลอง
(๑๖) คนถือธงมังกร ๓๐ คน มีหัวน่ากำกับ ๑ นาย
(๑๗) ทหารมิลีเชียงสะเปญ ๑ หมู่ มีนายกำกับ ๑ นาย
(ทหารสะเปญนี้ พระเจ้านโรดมได้จ้างมาเปนทหารแตรและรักษาวังมีมาตั้งแต่นานแล้ว)
(๑๘) คนตีกลองแขกชะวา ๑ กลอง
(๑๙) ทหารสะเปญ ๑ หมู่ มีนายกำกับ ๑ นาย
(๒๐) เพลงจีน ๑ วง มีนายกำกับ ๑ นาย
(๒๑) คนถือธงตะขาบ ๓๐ คน มีนายกำกับ ๑ นาย
(๒๒) ทหารม้า ๒๕ คน มีนายกำกับ ๑ นาย
(๒๓) ขุนนางแขกมลายู ๒๐ คน
(๒๔) ทหารม้า ๒๕ คน
(๒๕) คนถือดาบและโล่ห์ ๕๐ คน
(๒๖) ขุนนางญวน ๑ หมู่
(๒๗) กลองแขกมลายู ๑ วง
(๒๘) หมู่ขุนนางญวน ๑ หมู่
(๒๙) คนถือดาบและโล่ห์ ๕๐ คน
(๓๐) ออกญาเทพอรชุน ขุนนางฝ่ายทหารเรือขี่ม้า ๑ นาย
(๓๑) ขุนนางจีน ๑ หมู่
(๓๒) ออกญา ราชวรินทร์ ขุนนางฝ่ายทหารบกขี่ม้า ๑ นาย
(๓๓) คนถือหางนกยูง ๓ หมู่
(๓๔) หมู่ขุนนางผู้น้อยตามหัวเมืองตำแหน่งยกรบัตร ๑ หมู่
(๓๕) ตำรวจถือมัดหวาย ๓๐ คน
(๓๖) หมู่ขุนนางตามหัวเมืองตำแหน่งแพ่งสุภาตระลาการ ๑ หมู่
(๓๗) คนตีกลองชัย ๑ คน
(๓๘) ขุนนางตามหัวเมืองตำแหน่งแพ่งสุภาตระลาการ ๑ หมู่
(๓๙) คนถือมัดหวาย ๓๐ คน
(๔๐) ขุนนางตามหัวเมืองตำแหน่งชั้นปลัดจังหวัด ๒ หมู่
(๔๑) คนถือธงมังกร ๓๐ คน
(๔๒) คนตีฆ้องไชย ๑ คน
(๔๓) ขุนนางหัวเมืองตำแหน่งชั้นผู้ว่าราชการจังหวัด ๑ หมู่
(๔๔) คนถือธงมังกร ๑ หมู่
(๔๕) ตำรวจถือหอก ๔๐ คน
(๔๖) คนถือจามร ๕ คน
(๔๗) คนตีกลองชะนะทาสีแดงชาด ๑๐ คน
(๔๘) คนตีกลองชะนะปิดเงิน ๑๘ คน
(๔๙) คนตีกลองชะนะปิดทอง ๑๐ คน
(๕๐) คนถือจามรขนาดสูง ๕ คน
(๕๑) พราหมณ์ตีบัณเฑาะว์ ๒๐ คน
(๕๒) พราหมณ์เป่าสังข์ ๔ คน
(๕๓) หมู่คนตีมโหรทึก ๑ หมู่
(๕๔) พราหมณ์เป่าสังข์ ๔ คน
(๕๕) หมู่เป่าปี่หรือเป่าแตร ๒ หมู่
(๕๖) พราหมณ์โหรา ๒ คน
(๕๗) คนถือพัดพุดตาล ๔ คน
(๕๘) ขุนนางซึ่งสมมุติเปนเท้ามาฆะ ๒๐ คน
(๕๙) คนถือพัดพุดตาล ๕ คน
(๖๐) เจ้าราชวงศ์และราชนิกุล ๒๐ คน
(๖๑) หมู่ขุนนางซึ่งถือศักดินา ๙๐๐๐ ขี่ม้า ๒ หมู่
(๖๒) คนถืออภิรุมชุมสาย (ฉัตร์เปนชั้นๆ) ๔ คน
(๖๓) ออกญามหามนตรี เจ้ากรมกรมท่าขวาขี่ม้า ๑
(๖๔) ออกญาอรรคมหาเสนา เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย อรรคมหาเสนาบดี ขี่เสลี่ยง ๑
(๖๕) ออกญามหาเทพ เจ้ากรมกรมท่าซ้ายขี่ม้า ๑
(๖๖) ออกญายมราช เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม และกระทรวงศึกษาธิการ ขี่เสลี่ยง ๑
(๖๗) คนถือบังตวัน อยู่ข้างขวาพระเสลี่ยง ๑ คน
(๖๘) พระเสลี่ยง
(๖๙) รถพระที่นั่ง
(๗๐) เจ้าพนักงานพระคลัง ถือขันทองคำ ซึ่งบรรจุดอก(พิกุล) เงิน (พิกุล) ทอง สำหรับถวายให้ทรงโปรยพระราชทานให้แก่ประชาชนทั่วไป ๑ คน
(๗๑) คนถือพระกลดอยู่ข้างซ้าย ขวา พระเสลี่ยงและรถพระที่นั่ง ๒ คน.
(๗๒) ออกญาวัง เสนาบดีกระทรวงวัง กระทรวงคลัง และกรมศิลปากร ขี่เสลี่ยงเปนคู่เคียงข้างแถวซ้าย ๑.
(๗๓) ออกญากระลาโหม เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ กระทรวงพานิชการ และกระทรวงเกษตราธิการ ขี่เสลี่ยงเปนคู่เคียงข้างแถวขวา ๑.
(๗๔) คนถือบังตวัน ๑ คน
(๗๕) ออกญา จักรี เสนาบดีกระทรวงทหารบก และกระทรวงโยธาธิการ ขี่เสลี่ยง ๑.
(๗๖) หมู่เจ้าพนักงานเชิญเครื่องต้น ๒ หมู่
(๗๗) คนถือธงนกอินทรีย์ ๓๐ คน
(๗๘) เจ้านายทรงพระเสลี่ยงและทรงม้าที่นั่ง ๒ หมู่
(๗๙) หมู่ขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งถือศักดินา ๑๐,๐๐๐ ขี่เสลี่ยง ๒ หมู่
(๘๐) มหาดเล็กเชิญเครื่องราชอิศริยาภรณ์ ๒ หมู่
(๘๑) คนถือธงนกอินทรีย์ ๓๐ คน
(๘๒) ช้างแต่งเครื่องรบ ๒ เชือก
(๘๓) ตำรวจถือมัดหวาย ๑๕ คน
(๘๔) หมู่มหาดเล็กเชิญพระแสงต้นต่าง ๆ ๑ หมู่
(๘๕) ตำรวจถือมัดหวาย ๑๕ คน
(๘๖) หมู่มหาดเล็กเชิญพระแสงต้นต่าง ๆ ๑ หมู่
(๘๗) ช้างแต่งเครื่องรบ ๒ เชือก
(๘๘) ช้างแต่งเครื่องรบเปนช้างน่า ๔ เชือก
(๘๙) ช้างแต่งเครื่องเปนช้างพระที่นั่ง ๑ เชือก
(๙๐) ช้างแต่งเครื่องเปนช่างน่า ๔ เชือก
(๙๑) คนถือไม้พลอง ๕๐ คน มีนายกำกับ ๑ นาย
(๙๒) ช้างแต่งเครื่องมีสับประคับประดิษฐานพระพุทธรูป ๑ เชือก มีคนกำกับ ๑ นาย.
(๙๓) คนถือไม้พลอง ๕๐ คน มีนายกำกับ ๑ นาย
(๙๔) ช้างเผือกแต่งเครื่อง ๓ เชือก กับช้างแต่งเครื่องไชยชนะ ๑ เชือก.
(๙๕) หมู่ตำรวจ (พวกกรมวังหลวง) ๒ หมู่
(๙๖) ช้างแต่งเครื่องมีสับประคับสำหรับเปนช้างพระที่นั่งทรง ๑ เชือก
(๙๗) ช้างแต่งเครื่องมีสับประคับสำหรับเปนช้างพระที่นั่งรอง ๑ เชือก
(๙๘) หมู่พวกกรมวัง ๑ หมู่
(๙๙) ม้าแต่งเครื่องเปนม้าพระที่นั่งทรง ๑ ม้า
(๑๐๐) ม้าแต่งเครื่องเปนม้าพระที่นั่งรอง ๑ ม้า
พระศรีสหเทพ เปนเจ้าพนักงานผู้กำกับม้าพระที่นั่ง. เมื่อได้จัดลำดับขบวนเสร็จแล้ว ครั้นเวลา ๗ นาฬิกาก่อนเที่ยง สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ได้เสด็จออกจากพระทวารพระราชวัง ทรงเครื่องแต่งพระองค์สำหรับวันเสาร์ ทรงพระมหามงกุฎ เสด็จขึ้นประทับบนพระเสลี่ยง มีเจ้าพนักงานกั้นพระกลด และถือเครื่องสูงอยู่ข้างเคียงพระเสลี่ยง ครั้นได้ฤกษ์ปืนใหญ่ก็ยิงถวายคำนับ ๒๑ นัด ฆ้องกลองมโหรทึก แตรสังข์ ดนตรี บันฦๅศัพท์สำเนียงกึกก้องเอิกเริกหวั่นไหว ในทันใดนั้น ขบวนก็เคลื่อนออกเดินจากที่ สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ก็ทรงเริ่มโปรยดอกพิกุลเงิน พิกุลทองไปตามทาง ขบวนได้เดินไปตามถนนน่าพระราชวัง จนไปถึงสพานตาแก้ว แล้วเลี้ยวมาข้างใต้ เดินเลียบตามถนนริมคลองขุดผ่านไปข้างน่าสถาน มาเตรนีเต จนถึงสพานข้ามถนนตาแก้วและถนนโรงเรียน เนติศ แล้วขบวนเดินเลี้ยวมาตามทางถนน บูลเลอวาร์ด ดูดา-เดอ-ลาเคร (ถนนบูลเลอวาร์ดนี้เปนถนนที่ผ่านข้างหลังพระราชวังไม่ไกลนัก) และขบวนได้เดินต่อมาจนถึงสพานนาคา ที่เชิงสพานนาคานี้มีพลับลายก ประดับด้วยเฟื่องดอกไม้ สำหรับเปนที่พักให้พราหมณ์กระทำพิธีถวายน้ำพระมนต์ ท่านเรซีด็องต์ ผู้สำเร็จราชการประเทศเขมร ก็ได้มาอยู่ที่พลับพลานั้นด้วย ครั้นเสลี่ยงพระที่นั่งได้มาถึงน่าพลับพลานี้ ขบวนก็หยุด จึงออกญาอิสีพัฒน์ธิบดี เจ้ากรมพราหมณ์พิธี ได้ลงจากพลับพลาไปกราบถวายบังคม แต่สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ แล้วถวายน้ำพระมนต์ ให้ทรงชำระพระภักตร์เสร็จแล้ว ได้เสด็จออกจากพระที่นั่งเสลี่ยงขึ้นทรงรถพระที่นั่งสำหรับกระษัตริย์ประทับบนบัลลังก์ ๓ ชั้น มีเครื่องประดับอย่างงดงาม มีหลังคา ๕ ยอด เรียกว่า พระมหาชฎาเบ็ญจกุฏ รถพระที่นั่งนี้เทียมด้วยม้า ๖ ม้า ประดับด้วยเครื่องหนังเลี่ยมทองอย่างดี ซึ่งสั่งมาจากประเทศฝรั่งเศส มีสารถี ๒ นายสวมหมวกแฮลเม็ตร์ ถือบังเหียนม้าข้างละคน นอกจากนี้ก็มีเครื่องสูงและแวดล้อมไปด้วยเสนาข้าราชการ ครั้นได้เวลาก็มีเสียงดนตรีพิณพาทย์ระนาดฆ้องและแตรสังข์มโหรทึกบรรเลงขึ้น ขบวนก็เคลื่อนค่อย ๆ เดินออกไป.
ขบวนได้เดินผ่านสพานนาคาไปตามถนนท่าน้ำ ชื่อเวรเนอวีล ไปจนถึงห้างขายน้ำมันก๊าด แล้วเลี้ยวไปข้างเหนือ เดินไปจนถึงเชิงสพานหมู่บ้านกาดโทลิก ครั้นถึงสพานนี้ ขบวนน่าพลับพลา ซึ่งพราหมณ์ได้ทำพิธีคอยท่าอยู่แล้ว และท่านเรซีดองต์ ผู้สำเร็จราชการประเทศเขมร ก็ได้มาอยู่ณะที่นั้นด้วย ครั้นรถพระที่นั่งมาถึงตรงน่าพลับพลา ออกญาอิสีพัฒน์ธิบดี เจ้ากรมพราหมณ์พิธี ก็นำน้ำพระมนต์มาทูลเกล้าถวายให้ทรงชำระพระภักตร์ ดังเช่นคราวก่อน และได้ทรงหลั่งน้ำพระมนต์นั้น รดบนพื้นแผ่นดินด้วยนิดหน่อย เพื่อถวายแก่นางพระธรณีเจ้าให้เปนทิพย์พยานในการที่ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ครอบครองอาณาจักร์กรุงกัมพูชาธิบดีนั้นด้วย ครั้นเสร็จแล้วได้เสด็จลงจากรถพระที่นั่งเปลี่ยนพระมหามงกุฎเปนพระมหามาลา ซึ่งมีขอบใหญ่ (พระมหามาลาเส้าสเทีน) แล้วเสด็จขึ้นทรงม้าพระที่นั่ง เพลงดนตรีบรรเลงตามเคย ขบวนได้เดินกลับมาตามถนนท่าน้ำ ผ่านสุสานที่สำหรับฝังศพชาวยุโรป ผ่านวัดแและผ่านโรงพยาบาล เมื่อขบวนมาถึงน่าสถานที่ทำการของเรซีด็องต์ก็หยุด สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์เสด็จลงจากม้าพระที่นั่ง เสด็พเข้าไปในสถานที่ทำการซึ่งผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจีน และ เรซีด็องต์ ผู้สำเร็จราชการประเทศเขมรได้คอยรับเสด็จณะสถานที่นั้น เมื่อเสด็จออกจากสถานที่ทำการ เรซีด็องต์กลับมายังขบวนแห่แล้ว เจ้ากรมพราหมณ์พิธีได้ถวายน้ำพระมนต์ให้ทรงชำระพระภักตร์อีกครั้งหนึ่ง และได้ทรงหลั่งน้ำพระมนต์นิดหน่อยลงสู่พื้นพระธรณีด้วย เจ้าพนักงานได้นำพระมาลาใหม่มาให้ทรงเปลี่ยนพระมาลาที่ทรงมานั้น พระมาลาที่ทรงใหม่นี้ เรียกว่าพระมาลาทรงประพาศ แล้วเสด็จขึ้นทรงช้างพระที่นั่ง สูง ๓ เมตร์ ๔๐ ประดับด้วยเครื่องทอง ทรงประทับบนบัลลังก์สับประคับ ซึ่งสลักลวดลายปิดทองอันงามวิจิตร มีควาญช้างถือขอแต่งตัวตามแบบขับช้างพระที่นั่ง และแวดล้อมไปด้วยราชบริพารซ้ายขวา ครั้นได้เวลาขบวนก็ออกเดินกลับคืนไปยังพระราชวัง ตั้งแต่ออกขบวนเดินไปจนเวลากลับมาถึงเปนเวลาราว ๒ ชั่วโมง ครั้นถึงประตูพระราชวัง ปืนใหญ่ก็ยิงถวายคำนับอิก ๒๑ นัด ท่านผู้สำเร็จราชการประเทศอินโดจีน และ เรซีด็องต์ผู้สำเร็จราชการประเทศเขมร ได้มาคอยรับเสด็จและแสดงความยินดีถวายพระพรไชยณะที่นั้นด้วย ท่านเรซีด็องต์ ผู้สำเร็จราชการประเทศเขมร เปนผู้รับเสด็จลงจากช้างพระที่นั่ง สมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ได้มีพระดำรัสแสดงความขอบพระทัยต่อท่านผู้สำเร็จราชการทั้ง ๒ ซึ่งได้มีใจช่วยเอื้อเฟื้อกิจการพิธีราชาภิเศกของพระองค์ได้บรรลุถึงผลสำเร็จด้วยความเรียบร้อยดียิ่ง แล้วเสด็จเข้าไปในพระราชวัง เรซีด็องต์ ผู้สำเร็จราชการ ได้ส่งเสด็จไปจนถึงท้องพระโรง แล้วจึงทูลลากลับ.
สมเด็จพระเจ้าซรีสวัสดิ์ ได้ทรงกระทำการเคารพต่อพระเทวรูปเสร็จแล้ว เสด็จเข้าข้างใน.
งานสุดท้ายในวันนี้ ได้มีการเลี้ยงอาหารค่ำณะที่พักเรีซีด็องต์ผู้สำเร็จราชการประเทศเขมร ผู้ที่รับเชิญในการเลี้ยงนี้ ๔๔ คน ครั้นถึงเวลาสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ ได้เสด็จไปประทับโต๊ะเสวยในการเลี้ยงนี้ด้วย ทรงแต่งพระองค์ปรกติสำหรับวันเสาร์ คือทรงพระภูษาดำฉลองพระองค์ขาว เมื่อเสร็จการเลี้ยงและแสดงความยินดีต่อกันแล้ว ได้เสด็จกลับคืนสู่พระราชวัง.
งานพิธีราชาภิเศกของสมเด็จพระเจ้าศรีสวัสดิ์ กระษัตริย์ประเทศเขมร เปนเสร็จสิ้นแต่เพียงนี้.