๕
จนรุ่งขึ้นเวลาสาย
เจ้าบัวลอยมิได้หลับนอนด้วยใจกังวล เพราะแน่ใจแล้วว่าทำอย่างไรเสียบ้านท่าแร้งคงลื่นเลือดและเสือลือก็น่าจะสิ้นชีวิตสูญแล้ว หน้าซ้ำพลอยเรือเล็กมันไปถูกยึดสูญด้วยอีกทั้งลำ
ผันเจ้าเพิ่งตื่น เพราะตอนแบ่งกับข้าวตั้งตาคอยมัน เจ้าแดงก็ร่ำร้องกวนไม่หยุดกระทั่งเจ้าลอยเดินหน้าสลดเข้ามา
เจ้าผันถามน้องชายทบทวนดูอีก “พี่ลือกลับรึเปล่าเมื่อคืน”
ลอยหน้าเผือดลงอีกถนัด “เปล่า” แล้วก็ถอนใจใหญ่ และด้วยความห่วงเป็นทุกข์ที่เก็บไว้นั้น เจ้าลอยก็คายหมด
“ฉันหนักใจว่าพี่ลือจะตาย”
“ฮะ-อ้ายลอย” พี่สาวชะโงกถามเสียงสั่น “เอ็งว่าพี่ลือตายรู้ได้ยังไง เรื่องอะไรจะตาย”
เจ้าลอยเริ่มเล่า “พี่ลือยืมเรือฉันนี้ขึ้นท่าแร้งแต่เย็นวันวานไม่ได้ไปทุ่งสองห้องหรอก”
“ต๊าย” ผันเจ้าร้องเอ็ด “ทำไมถึงรู้ทำไมถึงไปที่นั่น เอ็งซีเอ็งปากบอนซี”
เจ้าลอยต้องปิดป้องเพราะพี่สาวตบ แล้วผันมันร้องไห้โฮ พี่ลือต้องสิ้นชีพแน่ไหนเลยเขาจะละไว้ เจ้าลอยนั้นเมื่อหลบจากพี่สาวก็หนีลงข้างล่างเปิดออกทุ่ง แต่เจ้าเปลี่ยนซึ่งถูกใช้ให้แจวเรือมาส่งเมื่อคืนก็อดปากจะคุยกับเพื่อนหนุ่มถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้ และพอเจ้าเปลี่ยนไปแล้วลอยก็วิ่งตึงตังขึ้นเรือนเรียกพี่สาว
“พี่ผันไปสองห้องกันเถอะ”
ผันหน้าตื่น “ทำไม?”
“พี่ลืออยู่นั่น อ้ายเปลี่ยนบอกว่าเมื่อคืนถูกฟันยับเพราะเขาชิงพี่เผื่อนขึ้นถึงเรือน”
ผันหัวใจสั่น ผู้ชายแท้ของทุ่งบางเขนที่หายากก็เพราะรักเมียแท้ก็สู้ติดตามไป
ถามน้องชายเสียงพาลจะร้องไห้ “เป็นไงมั่ง เขาบอกหรือเปล่า?”
“ยังไม่ฟื้น ไปกันเร็วเถอะฉันจะไปยืมเรือบ้านโน้น ประทุนก็มีเสร็จ”
“แล้วบ้านล่ะ จะทิ้งไปไง เผื่อแม่แกจะมาวันนี้เดี๋ยวเกิดความอีก”
“โอ้ย แม่ไม่กล้ามาอีกแล้ว” เจ้าลอยทั้งโบกมือและสั่นหน้า “ทุกคนขึ้นบางกอกหนีหมด เพราะพี่ลืออาการหนักแล้วจะตายเสียมากกว่าอยู่”
ผันใจหายสลดลงไปอีก มองอ้ายแดงแล้วแสนสมเพชหน้า และยิ่งคิดว่าแม่เจ้าไม่กล้ากลับแล้ว บ้านนี้ก็ยากจะอยู่ปกครองได้ ทั้งข้าวของในเรือนก็ดูเหมือนจะรู้จึงขนไปเกลี้ยงหมด บอกว่าจะให้พี่เผื่อนตัววันนั้น
ด้วยหัวใจร้อนกังวล บัวผันจึงให้น้องชายนำควายในคอกไปฝากแล้วยืมเรือประทุนแจวมา ขนเสื้อผ้าและของเล็กน้อยอื่นๆ ลงเรือแล้วสิ้นกุญแจเรือนหมดทุกห้องอุ้มเจ้าแดงลงมือเร่งให้น้องชายเบนหัวเรือออกจากฝั่งล่องตามน้ำลิ่ว
กระท่อมเก่าทุ่งสองห้องบางเขนทั้งไถหักและหัวผาลยังคงจมดินอยู่เช่นแรก ตั้งแต่ฟากตลิ่งกระทั่งเข้าเนื้อนาตามรอยไถแปรของเผื่อน มีรอยเลือดหยดเป็นทางกระทั่งถึงแคร่นอนในกระท่อม
ลือมันนอนลืมตา ฟื้นได้สักครู่ บนหัวแผลยับทั้งไหล่จนพลิกตัวไม่ไหว แต่รอยแผลที่เจ็บยังไม่ช้ำเท่าชิงเผื่อนมาไม่ได้ เผื่อนของพี่หลุดมือไปแล้วเหมือนว่าวขาดลมลอย ยิ่งคิดยิ่งช้ำหัวใจ ยิ่งคิดยิ่งฉงน นี่ใครพามาไว้นี่ แคร่ที่เคยนอนเคียงเผื่อนหยอกเย้ากันตามประสา แต่พี่จะต้องนอนตายที่แคร่เล็กนี่คนเดียว
คนโผล่ประตูพ้นมาแต่ยังหารู้ไม่ว่าเป็นใคร จนกระทั่งมายืนอยู่สองข้างแคร่
“ผันรึ?”
“จ้ะ” ผันร้องไห้ กอดรัดอ้ายแดงที่อุ้มไว้แน่นเลือดนอง แคร่ของเจ้าลือคนเคราะห์แดงฉาน ทั้งแห้งติดแผลและปรี่ๆ เพิ่งจะหยุด
“ทำไมรู้ว่าพี่อยู่นี่?”
เจ้าลอยรีบเล่า “อ้ายเปลี่ยนบอกฉันเมื่อสายนี่เอง”
“อ้อ!” มันพยักหน้าเข้าใจความ “ข้าคงสิ้นสติมันหามมาแต่ก็คงไม่รอด”
“โธ่-พี่ลือ อย่าพูดเป็นลางปากหน่อยเลย” ผันอ้อนวอน “ฉันขนของมาจากเรือนหมด จะอยู่เป็นเพื่อนรักษากว่าจะถึงวันพี่หาย”
มันเหลือบมามองเพียงน้ำคำผัน ก็พอจะรักษาแผลเจ็บได้มั่ง แต่หัวใจนั้นเผื่อนควักไปเสียแล้ว
ยิ้มกับผัน “ขอบใจเอ็งเหลือหลาย ผันเอ๋ย ทั้งบางเขนก็เห็นหน้าเอ็งเท่านั้น แหมข้าเหนื่อย ขอนอนสักงีบเถอะ”
ผันไม่ซักไซ้อีก และห้ามเจ้าลอยชวนพูด สักครู่ลือก็หลับสนิท เมื่อผูกเปลให้อ้ายแดงนอนแล้ว ผันก็ต้มน้ำช่วยกับเจ้าลอยชำระเลือดด้วยน้ำอุ่น และส่งเงินให้เจ้าลอยเอาเรือไปตลาดซื้อทั้งยาแผลและกับข้าวของกิน
เรือนปลูกในบางกอก หญิงแม่เรือนหากจะมีชาวบ้านใกล้รู้ว่าเป็นหญิงชนบทบ้านกูบแดงบางเขนแต่ชื่อบัวเผื่อนเพราะหู และทรวดทรงและผิวคล้ำขำๆ ก็งามพอตาผู้มอง ผัวรักมากไปไหนไปด้วย แต่สีหน้าหญิงนั้นคงแลเศร้าๆ เมื่อลับหลังผัว
บัวเผื่อนนั่งอยู่หน้าประตูห้องแม่ คอยผัวที่ไปรับหมอ เพราะยายบัวเจ็บมาเกือบเดือนยังไม่หายต้องเปลี่ยนหมอ เมื่อเห็นลูกเขยยังไม่กลับมาแกจึงเรียกบัวเผื่อน
“ข้าหนักใจอยู่อีกอย่างเผื่อน” แกเพิ่งจะพูดเรื่องนี้เป็นหนแรก “นึกห่วงนางผันกับเจ้าลอยเพราะสองเดือนมาแล้วไม่ได้ข่าวกันเลย ครั้นจะย้อนไปก็เผื่ออ้ายลือมันตายก็จะเกิดยุ่งกันหมด”
เหมือนสะกิดถูกแผลเก่าในใจเผื่อน ผู้ชายรักเมียแท้คงหาไม่ได้อีกเช่นนั้น ถึงนายอ่อนจะว่ารักก็เพราะมีเงินนอนกินสบายจึงพอหาสุขได้
“พี่อ่อนให้คนไปฟังข่าวแล้ว” เผื่อนเล่าเปรยๆ “เมื่อมาก็ผลุนผลันตกใจกันหมดถึงลืมมัน แต่-โธ่เอ๋ย! อ้ายแดง”
ข้าก็คิดถึงมันนัก แต่เจ็บอยู่อย่างนี้จะไปยังไง ข้าน่ะคิดถึงบ้านอยากกลับอยู่ทุกวัน ถึงยังไงไปตายบ้านช่องเราพวกพ้องก็ยังพอมีเป็นตีนมือช่วยวิ่งเต้นมั่ง”
เผื่อนรีบห้าม เพราะไข้ยายบัวนอกจากกระเสาะกระและทรุดลงทุกวันแล้ว ตัวแกยังกลัวตายอีกมาก
“อย่าพูดงั้นซีแม่ พี่อ่อนว่าหมอบางกอกเก่งๆ มีมากคงไม่เป็นไร”
“มันแล้วแต่กรรมเราหรอกลูกเอ๋ย” แกแข็งใจพูดไปอย่างท้อแท้ ลูกสาวนั้นชะเง้อมองที่รั้วประตูเพราะเสียงรถจอด
สามีบัวเผื่อนนำหมอขึ้นเรือนเมื่อชี้แจงเล่าอาการเจ็บของยายบัวให้ฟังแล้วก็ชวนภรรยาออกมาข้างนอกปล่อยให้หมอตรวจอาการอยู่ตามลำพัง
“แม่เผื่อนอย่าทุกข์ร้อนไปนักซีนะ” นายอ่อนปลอบภรรยาเมื่ออยู่เพียงสองต่อสองข้างในห้อง “จริงหรอกอาการเจ็บของแม่น่ะหนักอยู่เหมือนกัน หมอก็บอกว่าพื้นเดิมต้องตกใจมาก ฉันก็นึกว่าเห็นจะเป็นคืนนั้นเองแต่โรคพันนี้ต้องทำใจดีๆ และค่อยหายค่อยไปถึงจะได้”
ฟังสามีพูดถึงความคืนนั้น สะกิดใจเผื่อนขึ้นมาอีก หน้าเศร้าอยู่แล้วก็เศร้าหนักไปอีก และตอบไถลไปเสียเรื่องอื่น
“แม่แกอยากกลับบ้าน เพราะเป็นห่วงเจ้าผันและข่าวคราวก็ไม่รู้เรื่องกันเลย”
“อ๋อ! มะรืนนี้เจ้าเปลี่ยนจะมา เพราะฉันจ้างคนไปส่งข่าวบอกตำแหน่งแห่งที่เรียบร้อยแล้ว อย่าเป็นทุกข์ไปเลย เจ้าเปลี่ยนมามะรืนนี้ก็คงรู้ข่าวทางบ้านหมดหรอก”
เมียร้องไห้ เมื่อปลอบถามเซ้าซี้หนักเข้าเผื่อนจึงบอกความจริง
“ฉันเป็นห่วงเจ้าแดง เพราะพ่อเชื้อมันก็...”
“คงไม่ตายหรอกแม่เผื่อน” นายอ่อนรีบบอก “แต่พ่อแปลกนั่นตายแล้วเมื่อสัก ๗ วัน เห็นจะได้ เพราะเจ็บมากแต่คืนนั้นแล้วก็เสาะแสะเรื่อยมาและรักษากันเอาเอง”
เผื่อนกลับใจหายหนัก เพราะนายแปลกกับเจ้าลือก็เจ็บมากพอๆ กันและก็กลับถามไปอีกอย่างหนึ่ง
“หากเรื่องราวมันเงียบ และพี่ลือก็ตายแล้ว ฉันจะรับเจ้าแดงมา พี่อ่อนจะเห็นประการไร?”
“ได้ซีแม่เผื่อน” สามีรับรองแน่นหนา “ฉันก็ได้สัญญาไว้แล้วว่า จะรับอุปการะเลี้ยงดูตลอดอย่าเป็นทุกข์เลยข้อนั้น”
เผื่อนมองสามีอย่างขอบบุญขอบคุณ นึกหักหัวใจว่าหากพี่ลือจะสิ้นสูญไปแล้วจากทุ่งสองห้อง ก็ยังได้เจ้าแดงไว้ดูต่างหน้าเตือนให้ระลึกถึงความรักครั้งหลัง
หมอกลับออกมา สีหน้าหมอนั้นแบ่งรับแบ่งสู้ และเรียกนายอ่อนไปกระซิบสั่ง ทั้งกำหนดเวลาการรับประทานยาแล้วก็กลับเผื่อนกับสามีจึงเข้าไปในห้องของคนป่วยเพื่อพูดจาปลอบโยน
ย่างเดือน ๙ ฝนท้ายฤดูตกกระหน่ำเหมือนจะสั่งฟ้า ข้าวงอกที่หว่านกำลังตั้งห้อง และที่งอกรวงไปแล้วของนาอื่นก็มีมากที่แก่คอยฤดูเก็บเกี่ยวเจ้าของมันก็อิ่มเอมหัวใจ ส่วนผืนนามิได้หว่านก็เป็นนาอิ่มน้ำและโล่งเขียวไปด้วยพันธุ์หญ้างอกและพืชอื่น
ทุ่งสองห้องกำลังเป็นทุ่งข้าวที่ชูยอดไสวคอยอาบฝนและตากแสงตะวัน แต่เนื้อนาที่มิได้หว่านหน้ากระท่อมเก่าเล็กและหงอยเหงา เหมือนจะบอกแร้นแค้นยากจนแก่เจ้าของกระท่อมที่เพิ่งจะฟื้นตัวหายจากเจ็บเป็นปกติทรงชีวิตอยู่คร่ำครวญต่อไปกับทุ่งสองห้องเมื่อก่อนโน้น
ค่อนเพล ฝนขาดเม็ดสนิทแต่ฟ้ายังแลบไกลๆ ทางทิศบางกอก เจ้าผู้ชายที่นั่นนึกอะไรเพลินอยู่บนแคร่นอน ร่างกายมีแผลเป็นเลอะเทอะนวลอยู่แต่หน้า มองแสงแดดส่องทางช่องลมหน้าต่างแล้วก็รำลึกได้ว่า เมื่อต้นฝนมันยืนอิงขอบหน้าต่างลูกเมียนั้นหลับไหล อีกหญิงหนึ่งมันกล่อมเด็กเพลงวัดโบสถ์จนต้องห้ามปราม
และชั่วครู่ที่คิดนั่นเอง ถัดแคร่นอนไปทางเสากลางกระท่อม เพลงวัดโบสถ์ก็กล่อมลอยมาอีก อีคนกล่อมนั้นหัวเราะสีหน้าทะเล้น กวนตบ แต่ไม่อยากจะห้ามมัน ปล่อยไปจนจบ-ป่านฉะนี้จะโรยรา และเมื่อทอดเสียงสุดแล้วก็เจอตากัน
“ผันแกล้งข้าเร๊อะ” เจ้าคนฟังถามยิ้มๆ “ข้านะไม่ชั่วแต่โรยราอย่างข้าวโพดสาลีหรอก หัวใจมันถึงแห้งกรอบทีเดียว”
นังคนกล่อมเมินยิ้มแล้วหันมาเปรยให้ฟังว่า “นี่มันทุ่งสองห้องไม่ใช่วัดโบสถ์ แล้วจะเก็บมาคิดทำไมรึพี่ลือ จะนึกให้มันเป็นวัดโบสถ์เหมือนกล่อมเมื่อครั้งก่อนอีก”
มันกลับกวักมือ “มานี่แนะผัน อ้ายแดงหลับแล้วไม่ใช่รึ?”
“ทำไม? หลับแล้ว”
“พยุงข้าลุกให้เดินหน่อยเถอะ อยากยืนที่หน้าต่างจริงๆ”
“ก็ลุกเดินได้แล้วไม่ใช่รึ”
เจ้าลือหน้าเจื่อน ตอบหลบๆ
“พยุงดีกว่า ถ้าปล่อยแล้วเผื่อล้มไปอีกจะลำบากแก่ผันคนเดียว”
ผันลุกมาอย่างซื้อรำคาญ เข้าประคองตัวเจ้าพี่เขย แต่มันกลับยุดข้อมือให้นั่งลงเคียง
“อ้าว-” ผันทำเสียงเอ็ด หัวใจนั้นระแวงไปถึงคำมันที่เปรยอยู่เมื่อคืน “ก็จะลุกเดินไม่ใช่รึ?”
“เปล่าหรอกผัน พี่ลองใจเอ็งเล่นเท่านั้น นั่งคุยกันเถอะ” แล้วก็รั้งตัวผันลงจนได้ และย้อนเอาคำเก่ามาพูดถามอีก “เมื่อตะกี้เอ็งว่า นี่มันทุ่งสองห้องไม่ใช่วัดโบสถ์งั้นเร๊อะ”
ผันพยักหน้า “แล้วทำไม?”
ลืออมยิ้ม “ไม่ทำไมหรอก ข้าเห็นงามด้วยน่ะซี เพราะว่าทุ่งสองห้องก็เหมือนข้าเกิดสองหน บ้านก็มีสอง” มันชูนิ้ว แต่ผันกระเถิบตัวถอยร้อง “ฮึ”
“จะฮึอะไร?” ลือโอบตัวรั้งมาใกล้อีก “สงสัยรึที่ว่าข้ามีสองบ้าน เอ้าอย่าหลบหน้าพี่ซีผัน บ้านแรกก็บ้านนี้กระท่อมนี้แหละผัน แต่แม่เรือนเขาไปอยู่บางกอก แล้วทิ้งอ้ายลือให้เลือดนองอยู่คนเดียว ผันก็มาช่วยรักษาเนรมิตพี่ขึ้น บ้านนี้เป็นบ้านใหม่ ทุ่งมันก็สว่างแปลกตาเพราะบัวผันมาอยู่แทนแม่เผื่อนเมียแรกจะว่าไง?”
ผันหลบ “ไม่รู้” แต่ผันหัวใจสั่น เจ้าพี่เขยลือก็รัดและกอดแน่น หากจะเคยอยู่ร่วมและปฏิบัติรักษาพยาบาลมาใกล้ชิดก็ไม่เคยประหม่าเหมือนหนนี้ “ปล่อยเถอะ เดี๋ยวอ้ายลอยกลับจากตลาด”
“ไล่ให้กลับไปอีกก็ได้ แต่ปล่อยแล้วผันก็จะหนีฉันไปนั่งอยู่ห่างไกลกันนัก”
ผันรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ความขวยอายเมื่อสาวของผันก็จำต้องบ่ายเบี่ยง และหากมันจะเพิ่งรื้อตัวฟื้นจากไข้ ข้อลำก็ยังเป็นชายที่กำลังรัดผันไว้แน่น
มันกอดจูบผันเฉยดื้อๆ อย่างหลบไม่พ้น “ผัน ถ้าพี่ไม่ได้เอ็งก็คงจะตายไปแล้วในกระท่อมคนเดียว แต่ถ้าพี่ไม่ได้เอ็งต่อไปอีกก็คงไม่พ้นตาย เอ็งเคยขี่คอข้ามานะผันนะ”
ผันแอบหน้าซ่อนพูดเสียงเครือ “ก็แล้วมันไปเกี่ยวอะไรเล่า”
“อ้าว บัวผัน” ลือหัวร่อชอบใจ “พี่เป็นคนรักเมียมาก ทั้งกลัวเกรง ขอให้ดูแม่เผื่อนเป็นตัวอย่างเถอะ และเอ็งขี่คอพี่นั่นแหละ นึกไม่หายเชียว ผันเอ๋ย หรือมันจะเป็นลางนึกเมื่อโน้นก็ไม่รู้ ว่าถ้าพี่ได้บัวผันเป็นเมียก็เห็นจะขี่คอเสียอีกคนตลอดชาติ”
ถ้าเป็นปากอื่นพูด ผันจะไม่เชื่อเลย แต่เท่าที่รู้ที่เห็นผู้ชายอย่างเจ้าลือมันพูดจริงทุกอย่าง หากผันแสร้งปักหน้าไปว่า
“มุสา ปากผู้ชายน่ะ ฟันในปากยังมีซี่น้อยกว่าโกหก”
“เอ้อ พี่จะโกหกละว่าเกลียดบัวผันของพี่ เงยหน้าเถอะ ประเดี๋ยวอ้ายแดงตื่นจะให้มันกินนม”
ผันร้องเอ็ด “บ้า ฉันไปตกลงปลงใจเมื่อไหร่?”
“เอ็งน่ะว่าไว้ต่างหาก แต่พี่ตกลงแล้ว อีกประการบัวผันก็รับปากไว้นานแล้ว แต่เมื่อแรกว่าจะรับเลี้ยงอ้ายแดงเป็นลูกใช่ไม๊ล่ะ?”
“แล้วเกี่ยวอะไรกะพี่ลือ ถึงได้ยกเอามาอ้าง”
มันหัวเราะก๊ากที่บัวผันหลวมตัว “ก็ข้าเป็นพ่อมันนี่ผัน และเมื่ออ้ายแดงมันมีแม่ พ่อกะแม่จะเป็นอะไรกัน”
“เป็นผัวเมียกัน แต่แม่อ้ายแดงอยู่บางกอก”
“ซัดไปโน่น” ลือว่า “ก็แม่เลี้ยงกะพ่อตัวน่ะไม่ใช่ผัวเมียกันหรอกรึ”
ผันแพ้ที่จะเถียงต่อไปอีก ร่างสาวของมันก็ถูกกกกอดหัวใจเคลิบเคลิ้ม ลักยิ้มต้องจมูกมันอยู่ไม่ห่าง คนเจ็บที่เพิ่งฟื้นตัวหายใหม่ๆ มันสมนาคุณเจ้าเสียแล้ว คนที่เคยไม่ลงรอยและขี่คอมันได้ เรียกค่าปรับแก่เจ้าทุกข์อย่างมันจูบเสียละเอียดลออกระทั่งนิ้วก็จาระไนไปทั้งสิบ แล้วผันก็เคลิ้มไปว่าทุ่งสองห้องและกระท่อมน้อยนี่เป็นห้องสวรรค์ที่น่าหลับไหลลืมตื่น
กระทั่งเจ้าลอยกระหืดกระหอบเข้ามา เมื่อแรกมันชะงักที่ประตูเพราะเห็นเขากอดกัน พอผละกันเจ้าหนุ่มลอยที่เพิ่งกลับจากตลาดก็กรากมาที่แคร่
“มาแล้ว”
“อะไรมาวะ อ้ายลอย?” ลือหายฉุนที่เจ้าลอยเข้าขัดคอและพูดไม่รู้เรื่อง
“แม่” เจ้าลอยตอบห้วน “แม่มาเจ็บหนักอยู่ตั้งแต่วานซืน พี่อ่อนพี่เผื่อนก็มาด้วย”
ทั้งผันและลือตกใจไม่น้อยกว่ากัน แต่เจ้าลือมันก็คิดว่าแผลหายแล้ว เมื่อจะรบกันอีกเพราะเรื่องบัวผันมันก็เสี่ยงชีพ
“เจ็บเป็นอะไร” ผันถาม “แล้วใครบอกเอ็ง รึไปบ้านมา”
“อ้ายเปลี่ยนบอก มันว่าหนักมาก ร่อแร่อยู่เทียว”
“อือ แม่ผันควรจะไปเยี่ยมด้วยซี” ลือหันมาบอก “ฉันน่ะเห็นจะไปไม่ได้หรอก ถึงจะหายแล้วเดินเหินได้ แต่เมื่อไปพบหน้ากันเข้าก็คงจะบ้านแหลกแน่”
คนล่วงประตูมาก่อนเป็นเจ้าเปลี่ยน ผันและลือก็แปลกใจที่เจ้าเปลี่ยนกลับมา แต่แล้วกลับแปลกใจอีกที หญิงงามนุ่งซิ่นแต่งตัวบางกอก
มันถลันยืนใจเต้นระทึก ที่เห็นหญิงบางกอกคือบัวเผื่อน หลักฐานของเผื่อนที่เคยอยู่ร่วมกระท่อมนุ่งผ้าขาดอดอยากมาด้วยกันนั้นเปลี่ยนไปหมด ทั้งแหวนทองเครื่อง ประดับและผ้าผ่อนสมควรผัดหน้านวลมากกว่าเดินทุ่งมาเยือนกระท่อมเล็ก
เผื่อนสิ้นอายคนอื่น วิ่งผวามาถึงกอดตีนมันร้องไห้ หากผัวเก่าจักมีชีวิตอยู่ แต่ความยากแร้นแค้นก็คงเป็นอยู่เช่นเดิมเหมือนอ้ายลือทุ่งบางเขนเมื่อก่อน
กราบตีนเจ้าลือแล้วก็ลุกนั่งที่แคร่ “พี่ลือ”
เผื่อนเรียกไม่สิ้นสะอื้น “เพิ่งรู้ว่าพี่ไม่ตาย ฉันมารับผิดและสารภาพตลอด”
“แล้วเจ้าอ่อนเขาไปไหน?”
“ไม่กล้ามา” เมียเก่ามันตอบหลบๆ “พี่อ่อนให้ฉันมาลุกะโทษพี่ก่อน แล้วเขาจะมาเองอยากจะมารับพี่กับผันไปเยี่ยมดูใจแม่ เพราะทำไงก็คงไม่รอดไปถึง ๒ คืน อ้ายแดงอยู่ไหน?”
ลือถอนใจใหญ่มองเผื่อนเมียเก่า และน้าเจ้าแดงแล้วชี้ไปในเปล
“หลับอยู่ในเปล”
เผื่อนตรงมาหาลูก จะ ๓ เดือนอยู่แล้วเจ้าแดงเอ๋ยที่แม่ทิ้งไป หน้ามันหลับแก้มเป็นพวง เค้าพ่อเสือบ้านบางเขนถอดไว้เป็นแบบเดียว แล้วเผื่อนก็อุ้มอ้ายแดงขึ้นชมเชยทั้งหลับๆ จูบเจ้าแดงครั้งไร ก็รำลึกจิตผูกไปฝากพ่อมันทุกครั้ง
จนบ่าย เผื่อนเจ้ากลับไปก่อนและขอรับเจ้าแดงไปและความอื่นในกระท่อมเล็กที่อ้ายลอยแอบเห็น เผื่อนก็รู้หมดและก็แสนที่จะดีใจ เพราะผัวเก่าจะได้เพื่อนทุกข์ไว้แทนตัวและก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นน้าแท้ของอ้ายแดง
เจ้าเปลี่ยนเจ้าลอยเดินนำไปลิบๆ ผันชะแง้หน้าต่างกระท่อม แต่หญิงบางกอกกับคนบ้านทุ่งผัวเก่าเมื่อโน้นเดินคู่กันมา เมียอุ้มลูกส่วนเจ้าผัวตั้งใจจะตามส่งจนสุดเขต
พอสุดเขตจะเข้าหมู่นาข้าวของคนอื่น ลือชะงักตะลึง เผื่อนก็หนาวใจ มองหน้ากันเพราะหญ้าเขียวขึ้นเป็นแปลง
มันชี้มือบอกเมียเจ้าอ่อน “รอยไถ”
เผื่อนน้ำตาคลอ สะอื้นแล้วก็ร้องไห้กอดลูก
“นาผืนนี้ ฉันจะขอพี่อ่อนให้แก่พี่ตลอดแต่แปลงนี้ พี่ลือต้องหวงไว้อย่าลงข้าวเลย”
“พี่จะปลูกข้าวโพดสาลีนะ เผื่อน”
ฟังมันพูด เผื่อนก็รำลึกทุกสิ่งทุกอย่างร้องไห้จนแทบจะสิ้นน้ำตา แล้วเจ้าลือก็ชวนเดินต่อไปจนสุดรอยหญ้าเขียว
แล้วสองผัวเมียก็คุกเข่าลง มือหนึ่งของเจ้าผู้ชายสั่นแซะลงไปในดินนุ่ม มือหญิงที่สั่นกว่าหยิบไม้หัวผาลหักดึงขึ้นพ้นดิน
“ขอให้พี่ไปบูชาไว้เถิด แม่เผื่อน”
เจ้าสั่นหน้า “พี่ได้เนื้อนาไว้ปลูกข้าวโพดสาลีแล้ว ฉันขอแต่ผาลหัก จักเลี่ยมไว้บูชา เก็บไว้ให้อ้ายแดงเมื่อโต”
“ถ้างั้น นาข้าวโพดสาลี พี่ก็จะโอนโฉนดให้อ้ายแดงเมื่อโตเป็นหนุ่มเหมือนกัน” แล้วมองหน้าบัวเผื่อนที่นองน้ำตา
“เผื่อน อ้ายแดงคนเดียวแท้ที่มันจะเป็นองค์พยานของเผื่อนและพี่ไปเมื่อหน้า เรามาจูบอ้ายแดงพร้อมๆ กัน”
จมูกพ่ออยู่ซ้ายแก้มอ้ายแดง น้ำตาพ่อมันไหลอาบแม่ที่จูบแก้มขาวเล่าก็สะอื้นไม่ขาดเสียง
ลือขบฟันกรอด สักร้อยแผลที่ถูกฟันยับนั้นเจ็บอยู่แต่ข้างนอกเนื้อ แต่ใจนั้นปวดดังฝีกลัดหนอง
พูดข้ามไปแก้มขวาอ้ายแดง “เผื่อนพี่จะขอจูบเผื่อนตรงรอยไถ”
“เชิญ-และเมื่อเผื่อนจะสิ้นใจตายก็จะขอรำลึกถึงรอยไถนี่ถัดไปจากพระอรหันต์”
แล้วคนบ้านทุ่งสองห้อง ก็ข้ามแก้มอ้ายแดงไปจูบหญิงบางกอก หัวใจก็จดจ่อไปว่าจูบเผื่อนเมื่อโน้น แม่เจ้าแดงนั้นจูบตอบ ไม่นึกรังเกียจว่าเป็นชาวนา นอกจากผัวเก่าพ่อเจ้าแดงแล้วก็ยืนพร้อมกัน
เพราะเจ้าลอยและเจ้าเปลี่ยนเดินย้อนมาอีก เห็นพ้นนาเข้าครึ่งตัวชี้มือชี้ไม้ แต่ก็ว่าประหลาดที่มีคนตามหลังมาอีกคน
พอใกล้ เผื่อนก็บอกแต่เสียงปร่าไม่ปรกติ
“พี่อ่อน”
ลือหัวเราะ “คงจะมาตามเมียเขาเพราะกลัวฉันจะทำชู้”
เผื่อนหยิกมันให้สมกับปากกล้า “อย่าอวดดี อีกหน่อยก็ลืมเก่าหรอกเพราะได้ใหม่”
“เอ๋”
“ไม่ต้องเอ๋ อ้ายลอยบอกว่ากอดเจ้าผันออกกลมดิก”
เจ้าลืออายเมียมันเอง ทำไม่งามให้เด็กเห็นก็เหมือนก่อไฟที่ยากจะห้ามควันได้ ครู่นั้นนายอ่อนก็มาถึงตรงเข้ากอดเจ้าลือ
“ฉันผิดมาก พ่อลือ”
มันกอดตอบศัตรู “ผิดด้วยรักแท้ฉันไม่ว่า เพราะเมื่อเผื่อนอยู่กับพ่ออ่อนรักใคร่กันดีแล้ว ก็ต้องได้จำเริญกว่าฉัน”
ชู้น้ำตาคลอ ลูกผู้ชายที่หายากลำบากตลอดบางเขน มิตรดีที่สุดคือศัตรูเก่าที่หวนมารักกัน
“อย่าว่าดูถูกเลย ฉันโอนนานี่ให้พ่อลือหมดแล้ว เอ้า! โฉนด”
“หือ” ลือจ้องม้วนกระดาษแปลกหัวใจ
“โฉนดนาผืนนี้รึ?”
“ถูกล่ะ” นายอ่อนหัวเราะ “ฉันปรึกษากับแม่เผื่อนตั้งแต่เมื่อคืน ส่วนควายหรือเครื่องทำกินอื่นนั่น แล้วฉันจะส่งมาให้ขอให้เสร็จธุระเสียก่อน เพราะฉันจะเลิกนาขึ้นบางกอกทำมาหากินอย่างอื่น แล้วอยากจะขอเจ้าแดงไปเป็นเพื่อนเหงาแม่เผื่อนทั้งจะได้สิ้นโง่เมื่อโต”
ลือตื้นหัวใจ หากเผื่อนจะผิดไปแล้ว แต่ความดีของเผื่อนและนายอ่อนก็ฝังหัวใจมันไม่หาย เมื่อรับม้วนโฉนดมาแล้วก็ออกปากอนุญาตตามคำขอ
แต่อ้ายลอยเจ้ากี้เจ้าการ ไปตามบัวผันมาอีกคน พอถึงบัวผันก็ถามว่า
“พี่ลือ-พี่เผื่อนเรียกฉันรึ?”
เผื่อนกับลือแปลกใจ “เปล่า” พร้อมๆ กัน
“งั้นอ้ายลอยหลอกข้า” ผันชี้หน้าเจ้าลอยแล้วกรากจะจิกหัว
ลอยหลบแอบเผื่อนหัวเราะลั่น “ก็ไปเหงาอยู่คนเดียวทำไมเล่า ใครๆ เขาก็มาพร้อมกันอยู่นี่ทั้งนั้น”
เจ้าลือห้ามปรามแล้วก็พูดกับนายอ่อนเก้อๆ ชี้มาที่ผัน “ฉันจะแต่งเมียสักคน”
“บ้าแล้ว” ผันอายตะโกนว่า แล้วหลบไปยืนใกล้พี่สาว “ปากบ้าไม่สิ้น”
นายอ่อนเพิ่งทราบเรื่องก็ยินดีออกหน้า “เหมือนยังนึกเทียวพ่อลือ ผ่าเถอะนึกไว้จริงๆ ด้วย เอาแหละฉันช่วยเต็มที่เงินทองเป็นของฉันเอง”
ผันแทบจะแทรกเดินหนี เพราะอ้ายลอยคนเดียวที่มาฉีกหน้า จึงไม่มีอะไรที่จะดีกว่าเขกหัวเจ้าลอยจนเจ็บมือ
ทั้งสองฝ่ายจะแยกกัน เพราะเผื่อนและนายอ่อนห่วงยายบัวที่ฝากเพื่อนบ้านไว้ และหมอกำลังประคับประคอง
“ฉันลาพ่อลือ ถ้าไงพรุ่งนี้จะให้เจ้าลอยมาแต่เช้า”
“เชิญ” ลือรับไหว้แต่เจ้าเผื่อนลาอย่างแสลงหัวใจ
“ลาหละน้องลือ อ้ายแดงจะนอนกับป้าคืนนี้”
ลือตะโกน “แม่เผื่อน-เอ้”
ผันก็ตะโกนตาม “พี่เผื่อนจะบ้ากันยกใหญ่”
“เออ! ข้าบ้า-รีบกลับไปเถอะเดี๋ยวฝนจะลง” แล้วก็ส่งเจ้าแดงให้นายอ่อนอุ้มเดินเลี้ยวหลีกไปตามนาข้าว
เหลือกันเพียงสอง ลือมันก็ชี้เขตให้ดู “นาอันนี้ข้าจะไถไว้ปลูกข้าวโพดสาลีให้ผันกล่อมลูก”
“เห่อสิ้นดี เขายังไม่ทันจะตกลงเลยเดี๋ยวเถอะจะหัน”
“หนีเข้ากระท่อมน่ะ ข้าไม่ว่าอะไรหรอกผัน เอ้อ! ฝน”
ลือชี้เมฆครึ้มและพายุพัดปลายไม้โน้นให้ดู “รีบกลับเถอะหน้าต่างประตูยังไม่ได้ปิดทั้งนั้น”
“จะปิดทำไม-พิลึก”
มันหัวเราะ “อ้าว! พี่พูดเรื่องฝน เอ็งมันระแวงใจไป เอ็งนี่ล่ะ แต่ก็เตือนข้าดี”
ผันหยิกมัน แต่ลือเดินกอดคอประคองบัวผันหัวเราะต่อกระซิก บัวผันที่จะอยู่เป็นเพื่อนทุกข์ค้างกระท่อมมันตลอดคืนนี้แล้ว จะได้ตบแต่งเป็นเมียร่วมกันตลอดไปแทนแม่เผื่อน
พายุมืดพัดไล่หลังมา ทั้งสองที่กอดคอเดินต่างก็เร่งฝีเท้า พอย่างล่วงประตูกระท่อม ฝนก็ปรอยแลเทหนักอย่างสั่งฟ้า เป็นองค์พยานของเจ้ารักงามทุ่งสองห้องบางเขน