สว่าง-เจ้าลอยที่ขึ้นมานอนเป็นเพื่อนพี่สาวบนเรือนได้สบายกว่าที่ห้างเฝ้าควายจึงยังไม่ตื่น กระทั่งบัวผันเข้าครัวหุงข้าวสุกออกมานั่งพักที่ชานเรือน ฉงนใจสุนัขเห่าก็พอได้ยินเสียงตะโกนเรียก

“แม่-แม่อยู่ไม๊?”

ผันจำเสียงได้หน้าสลดไม่ทันลุกไปดู เจ้าพ่อลูกอ่อนก็อุ้มอ้ายแดงมาทั้งเมาะและผ้าอ้อมห่ม มีข้าวของใส่ย่ามทั้งสะพายดาบมารุงรัง

“แม่ไปไหนล่ะผัน?” ลือถามกวาดตามองไปทั่ว “รึยังไม่ตื่น เอ้อ แม่เผื่อนเขามานี่หรือเปล่า?”

ผันรู้สีหน้าและสายตามอง จึงอึกอักที่จะตอบความจริงเลยเลี่ยงไปว่า

“ไม่มีใครอยู่หรอก แม่ไปธุระ”

“แม่เผื่อนมานี่รึเปล่า?“

ผันสั่นหัวแล้วหลบตาไปที่อื่น ถามไถลว่า “พี่ลือหอบอ้ายแดงจะไปไหน?”

พี่เขยมิได้ตอบ วางอ้ายแดงลงข้างน้าสาวปลดดาบปลดย่าม แล้วก็ทรุดนั่งกอดเข่าที่ตรงหน้า

“ผัน พี่ถามจริงๆ เถอะ เอ็งไม่รู้เรื่องกะเขาเลยเร๊อะ!”

เจ้าแข็งใจปดมัน “เปล่าจริงๆ ฉันไม่รู้เขาหรอก”

มันชี้ลูกชาย “นี่-อ้ายแดง โธ่เอ๋ย! อดนมมาแต่วานนี้แล้ว เมื่อคืนต้องเอาน้ำข้าวต้มป้อน เผื่อนเขาทิ้งข้าไปเสียแล้วเอ็งรู้ไม๊”

ผันสะอื้นขึ้นมาติดๆ เจ้ารู้ความดีและเห็นเรื่องตลอดจึงยากจะกลั้นน้ำตาได้ แต่ก็ต้องปดมันอีก

“ฉันไม่รู้เลย”

“ข้าพูดก็ยอมบาปปากละ ว่าแม่แกเสือกไสให้อ้ายอ่อน” พูดแล้วมันเองก็น้ำตาไหล “ข้าจน ผันเอ๋ย แต่เผื่อนจะทิ้งข้าก็ควรเอาลูกไปด้วย เพราะมันยังไม่อดนม เขาเพทุบายรื้อหลังโรงให้ข้าขึ้นแซม แล้วเขาออกมาทุ่งรับจะไถแปรแล้วหนีเปิดมา ควายก็ลากไปตามเรื่องมันจนไถหักหัวผาลฝังดินอยู่ลึกโน่น

ผันก้มมองหลานชาย แล้วช้อนเบาะขึ้นวางตักนึกถึงคำฝากพี่สาวได้ จึงตอบเปรยๆ ว่า

“อ้ายแดงฉันจะรับเลี้ยงเอง”

“เอ็งรับปากงั้นได้ก็ดีหละ ถึงข้าจะไปตายก็พอจะสิ้นห่วงตายตาหลับ”

“พี่ลือจะไปไหนอีก?”

“ทุกแห่งหละที่ข้าสงสัยว่าเผื่อนจะอยู่ พูดก็พูดเสียเถอะวะผัน เอ็งก็เป็นน้องแท้เขา ข้าก็รักเอ็งเหมือนน้องถึงได้บอก ข้ารักเผื่อนมากแต่เผื่อนทำข้าแค้นมาก น้ำตาข้าตกแล้วก็ขอให้ดูข้าไป”

“พี่อย่าอาฆาตเขาเลย” ผันห้ามใจคอไม่ดี “เขาไม่รักพี่แล้วก็ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า”

“เผื่อนยังรักข้ามาก-ข้ารู้ เผื่อนร้องไห้มาก่อน ๓-๔ วัน เผื่อนของข้าถึงจะชั่วไปข้าก็ไม่ทำหรอก แต่อ้ายอ่อนต้องฟันให้ละเอียด” มันพูดถ้อยเน้นคำ “อ้ายพวกกูบแดงลบหน้าข้านัก ข้าเลิกนักเลงโยนดาบเข้าครัวไฟเพราะข้ารักแม่เผื่อน ไม่ใช่กลัวนักเลง นี่ข้าก็เสียเผื่อนแล้ว ข้าก็จะหันเข้าเป็นนักเลงล้างมันให้สิ้น ขอเป็นเสือละบอกกรงๆ”

ผันสังหรณ์ใจและเรียกมัน “พี่ ต้องเป็นห่วงอ้ายแดงมั่ง”

“ก็เอ็งรับเลี้ยง”

“จริงหละ แต่ฉันเป็นผู้หญิงจะเลี้ยงตลอดไปยังไง แล้วเผื่อพี่เผื่อนมาขอคืน”

“ให้ผัวใหม่มันมาเอาชีวิตข้าเสียก่อนซีว๊ะผัน” เสียงพูดมันหนัก เลือดหัวอกเหมือนจะเดือดทีละปุดจนพล่าน “ข้าให้เอ็งเป็นลูก ข้าจน ข้าสิ้นปัญญาแล้ว ที่จะอุปถัมภ์อ้ายแดง แต่อ้ายแดงมันคนโง่เง่าบัดซบเหมือนพ่อมัน มันโตขึ้นมันคงจะไม่เนรคุณเอ็งแน่”

“ถึงงั้นพี่ก็อย่าเตลิดไปนัก ห่วงหลังมั่ง”

มันหัวเราะอย่างช้ำใจ “ไม่มีใครนี่ผันที่ข้าจะเป็นห่วง”

เจ้าผันจนปัญญาที่จะห้ามปรามมันอีก ทั้งเห็นเจ้าพี่เขยกำลังทุกข์ร้อนและใจมุทะลุก็เลยต้องนิ่ง พอดีเจ้าลอยที่ตื่นมาเงอะงะไม่รู้เรื่อง พี่สาวจึงใช้ให้เข้าครัวยกสำรับกับข้าวที่หาไว้มาให้พี่เขย

“กินข้าวเถอะพี่ลือ” ผันวางเจ้าแดงแล้วเลื่อนสำรับไปตรงหน้า “กินพร้อมๆ กันอร่อยดี”

“ข้าไม่อร่อยหรอก จะกินไม่ลงเสียด้วยซ้ำ เอ็งเรียกอ้ายลอยมันกินเถอะ”

“มาเถอะนะ” ผันคะยั้นคะยอแล้วตะโกนเรียกน้องชาย “ลอยมากินข้าว”

เสียงตอบมาจากข้างล่าง “เดี๋ยว เก็บผ้านุ่งก่อน”

“ผ้าใครกันอีกล่ะ?”

“พี่” แล้วเจ้าลอยก็เอาสองนิ้วคืบผ้านุ่งมาอย่างเป็นคนถือ พอผ่านหน้าพี่เขยก็ถูกตะโกนเรียกจนตกใจ

“หยุด อ้ายลอย ผ้าแม่เผื่อนใช่ไม๊นั่นกูจำสีจำขาดได้”

ผันหน้าซีดใจหายสิ้นสติหมด พอมันเหลียวมาก็รีบหลบตาแล้วก็ถูกถาม

“ไง อีผัน โกหกข้าสดๆ ว่าแม่เผื่อนไม่ได้มาอยู่ไหนบอกมาเดี๋ยวนี้”

ผันตัวสั่น เจ้าลอยทิ้งผ้านุ่งวิ่งเปิดลงจากเรือน เจ้าคนตามหาเมียโดดเข้ารวบผ้ากำไว้

“ข้าถามว่าเดี๋ยวนี้เผื่อนอยู่ที่ไหน?”

ผันแสนกลัวจนเผลอยกมือไหว้ “ฉันไม่รู้เลยจริงๆ”

“ตอแหล ทำไมมานี่แล้วไม่รู้ว่าไปไหนกะใคร”

“รู้แต่ว่าไปบางกอกกะพี่อ่อน”

มันตบมือกระทืบพื้นเรือนสนั่น “เอาละ กูจะควานหามันทั้งบางกอก”

แล้วมันก็ถลันยืน คว้าดาบสะพายผลุนผลันจะไป

ผันรู้อยู่เต็มใจว่า มันจะเดินเก้อสว่างเปล่าและเจ้าพี่เขยยังไม่ได้กินข้าวเลย ทั้งอัฐพลไม่มีติดตัวจึงโดดยุดเสื้อมันไว้

“อย่าไปเลยพี่ โธ่ ห้ามไม่เชื่อ”

“ตอแหลแล้วยังจะมาห้ามอีก เอ็งสมคบเป็นพวกอ้ายอ่อนงั้นรึ?”

“เปล่าเลย สงสารพี่จริงๆ ข้าวปลายังไม่ได้กิน”

“ตายไหนก็ช่างข้า” มันแกะมือเจ้าผันพอจ้องหน้ามันก็แปลกใจ “มาร้องไห้เรื่องข้าทำไม?”

“บางกอกกว้างนัก” เจ้าตอบเมินๆ “ฉันเคยไปหลายหนแล้ว เชื่อเถอะพี่ เดิน ๓ วันก็ไม่จบ ทั้งผู้คนบ้านช่องมากมายจะพบเขายังไง?”

“ให้ ๑๐ วันข้าก็จะเดินหา”

“แต่พี่ต้องกินข้าวกะผันก่อน”

เห็นน้ำตาเจ้าผันและคำวอนต่างๆ มันก็ใจอ่อนหวนเข้าหยิบผ้านุ่งเมียดูอีก เผื่อนผลัดมาไถแปร หัวใจเผื่อนแปรเหมือนรอยไถของเจ้าแล้ว เผื่อนเอ๋ย ค่ำเมื่อคืนเจ้าคงจะเสียตัวมันแล้วเป็นแน่ ลูกคนผ้านุ่งผลัดสองผืนกับรอยฝีมือไถเท่านั้นที่ทิ้งไว้ต่างหน้าให้ดู

มันกินข้าวเพราะเสียงวอนเจ้าผันไม่ได้ แต่ข้าวสุกก็บาดสะดุดไปทุกๆ เม็ด เมื่ออยู่ทุ่งสองห้องกินข้าวกับเผื่อนอร่อยจนข้าวเปล่า แล้วมันก็ต้องอิ่มในครึ่งชามนั้น พอเสร็จก็บอกลาน้องเมีย

“พี่ไปละผัน ถ้าไม่กลับก็ขอให้ผันนึกว่าอ้ายแดงมันเป็นลูกแท้ช่วยเลี้ยงให้มันโตไปด้วย”

ผันรีบอิ่ม พอล้างชามเช็ดมือเสร็จก็ตรงไปหามัน

“ถ้าพี่กลับจากบางกอกแวะมาพักที่นี่ก็ได้”

“เผื่อแม่แกมาจะทำไง?”

“คงยังไม่มา เดี๋ยวก่อนคอยเดี๋ยว” แล้วผันก็วิ่งเข้าเรือนกลับออกมา “เอ้าเงิน ๓๐ บาทไปเถอะ”

มันรีรอคิดกลุ้มไปต่างๆ อีผันให้เงินพอเป็นกำลังเมื่ออยากพอจะซื้อกิน เมื่อขอบบุญคุณมันแล้วก็ก้มจูบอ้ายแดงลงเรือนไป หากมันย้อนมาเหลียวหลังเห็นคงจะหลากใจที่เจ้าบัวผันยืนอิงประตูร้องไห้มองดูมัน

ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๖

บ้านท่าแร้งท้ายทุ่งโน้น ที่บ้านผู้ใหญ่ทิมลุงนายแปลกกำลังกะเกณฑ์ผู้คนตักน้ำล้างพื้นกระดานเรือนตั้งแต่เช้า เพราะเย็นนี้นายอ่อนซึ่งเป็นเจ้าของผืนนาใหญ่เช่าถือ จะยืมทำเรือนหอพอรดน้ำแต่งเมียเป็นพิธีแล้วจะขึ้นบางกอกไปอยู่อื่น พอตะวันสายบ้านช่องก็ปูเสื่อสาดเรียบร้อย บ้านช่องสะอาดทั้งแม่ครัวฝีมือกับข้าว และเพื่อนเจ้าบ่าวก็พากันมาช่วยเรื่อยๆ

ห้องในเรือนเล็กที่กั้นไว้ต่างหาก หญิงกลางคนนั่งสอนลูกที่จะเป็นเจ้าสาว กำลังนั่งร้องไห้

“เอ็งมันควรจะดีใจนะเผื่อน เอ็งพ้นจากอ้ายลือมาเสียได้น่ะ ควรจะดีใจให้มากเท่ากะหนีนรก”

ลูกสาวตอบไปทางอื่น “ฉันคิดสงสารเขา พี่ลือรักฉันมาก ใครๆ ก็รู้ แต่ฉันทิ้งเขาทิ้งลูกมาทำชั่วหาสุขคนเดียวถึงอดคิดไม่ได้”

ยายบัวถอนฉุน “แล้วเมื่อแรกมึงตกลงทำไม ฮึเมื่อแรกที่ชอบกะพ่ออ่อนเข้าก็เห็นดี แต่แล้วพอเห็นอ้ายลือสวยกว่าเก่งทางนักเลงก็เอ็งก็หลงคำมัน มึงกลับไปอยู่อีกซีจะได้นุ่งใบไม้”

“ไม่นุ่งอะไรเลยก็ยังดีกว่า แต่ฉันผิดไปแล้ว ถึงกลับไปไม่มีพะยิงพยานแน่ เขาก็คงจะฆ่าฉันตาย”

“นั่นแหละ ผัวดีของมึง” แกประชด “มึงไม่ชั่วแต่ตายคนเดียว ซ้ำจะพลอยกูเข้าคุกไปด้วย”

เผื่อนสิ้นเกรงจึงย้อนให้ “ก็แม่ขี้โกงให้เชาจับมือมัดได้ทำไมล่ะ และพ่ออ่อนหากเป็นคนดีก็คงจะไม่บังคับทำนองนี้”

แกเถียงไม่ออก ด้วยความจริงที่ปลอมหนังสือพ่ออ่อนไปทวงเงิน แล้วเขาจับได้ และนอกจากโมโหโทโสแล้วยายบัวก็หมดแต้มอื่นที่จะดีไปกว่านี้ จึงกรากเข้าจิกหัวตบ

“มึงไม่รักแม่” ยายบัวรามือพักเหนื่อย “นี่ดีแต่บ้านคนอื่นเขาหรอก มึงหาไม่จะต้องโดนมากกว่านี้”

“ฆ่าเสียเถอะ” เผื่อนเถียงสิ้นกลัว “ฉันหักหัวใจมาเพราะเห็นแก่แม่ แล้วกลับมาทำยังงี้ห้ามจนร้องไห้น่ะไม่เคยเห็น”

ยายบัวค่อยได้สติ เพราะหากขืนทำเอาแต่ใจแล้วหากเผื่อนหวนกลับไม่ยินยอม จะยากแก่การ และก็นึกเห็นใจว่าเผื่อนเพิ่งจะจากลูกจากผัวมาใหม่ๆ แกจึงค่อยผ่อนตามอารมณ์

นายอ่อนซึ่งเพิ่งมาจากบางกอกเมื่อเช้า เมื่อเข้ามาในเรือนเห็นแม่ลูกทะเลาะกัน จึงห้ามปรามแล้วก็เปิดกระเป๋าหิ้วใหญ่ชูข้าวของอวด

“นี่แม่เผื่อน นาฬิกาเล็กผูกข้อมือ ผู้หญิงบางกอกเขาใช้ผูกกัน เอ้า เก็บไว้ผูกรดน้ำและแต่งเข้าบางกอก นี่แหวนใส่เสียอีกวงเถอะ”

เผื่อนมองเครื่องแต่งตัว นิสัยเผื่อนเป็นคนเปลี่ยนอะไรง่ายดาย เมื่อแรกก็นึกเห็นคล้อยตามแม่ ครั้นใกล้จะถึงวันก็สงสาร และเพิ่มรักเจ้าลือขึ้นที่เห็นมันแสนซื่อจนจะหวนคิดกลับใจ แต่เมื่อนึกถึงความทุกข์ยากลำบากแล้ว และความใจดีนักเลงไม่เสียดายของนายอ่อนก็เกิดความเรรวน

ผลักของนั้นคืนไปแล้วว่า “พี่เก็บไว้เสียก่อนเถอะ เมื่อถึงคราวค่อยแต่ง”

พอนายอ่อนบุ้ยปาก ยายบัวก็หลบออกข้างนอก จึงเป็นช่องทางของนายอ่อน แล้วก็รวบตัวกอดอย่างแสนรัก

“แม่เผื่อนยังไม่เห็นหัวใจอีกรึ โธ่! ตั้งแต่มาด้วยกันวานซืนแล้ว ฉันแยกขึ้นบางกอก คิดถึงเหลือเกินกินอะไรเห็นอะไรก็คิดถึงแม่เผื่อนหมด ทีนี้อย่าร้องไห้ถึงมันอีกเลยนะ”

เผื่อนสั่นหัว “อย่างอื่นพอจะคล้อยตามได้แต่ถึงฉันจะมาจากเขาแล้วก็ต้องขอสรรเสริญเขา พี่ลือดีทุกอย่างเสียแต่จน”

“แล้วฉันล่ะ แม่เผื่อน?” นายอ่อนเอียงหน้าจนจมูกสูดแก้ม “ฉันรักเกินเจ้าลืออีกแล้วจะว่าไร เพียงนาฬิกาที่ซื้อมาให้นั่นน่ะ ฉันให้อ้ายลือไถนาจนตายก็หาให้เมียแต่งไม่ได้”

“ก็เขาจนมากจะเอาอะไร?”

“ทีแรกเมื่อมันยังพอมีหยิบมีฉวยอยู่น่ะหาให้รึเปล่าล่ะ? ก็เปล่าอีก เล่นไปเลี้ยงเหล้าเพื่อนหมด”

เผื่อนแพ้สนิท ที่จริงเมื่อพูดถึงปากคำเจ้าชู้แล้วนายอ่อนก็มีภาษีเกินเจ้าลือ หากแต่รูปโฉมและสง่านักเลงมันมีเสน่ห์เกินกว่า และหัวใจเจ้าบัวเผื่อนก็เยี่ยงเดียวกับบัวน้ำ ซึ่งคอยจะกระเพื่อมไปตามระลอกลม เมื่อใกล้นายอ่อนแล้วสิ่งอื่นที่เศร้าในใจก็พอจะหักไปชั่วคราวได้ เมื่อลองผูกนาฬิกาและสวมแหวนแล้วนายอ่อนก็เรียกร้องรางวัลจูบกระทั่งยายบัวแอบเห็น และแอบยิ้มขึ้นอย่างโล่งหัวใจแก

ก่อนบ่าย

เรือนใกล้คลองชายทุ่งกูบแดงที่เงียบเหงา บัวผันนั่งไกวเปลเจ้าหลานชายที่ตกมาเป็นลูกบุญธรรม แม้แต่เช้าวานซืนที่พ่อมันมามอบให้แล้วก็หายหน้าไป จนบัดนี้ปากกล่อมและใจคิดของเจ้าผันต่างๆ นานา บนเรือนก็เงียบสงัด ท้องฟ้าครึ้มเหมือนฝนตกแล้วไกลๆ ยิ่งเพิ่มเหงาให้ผันขึ้นอีกมากเจ้าบัวลอยก็หายไปตั้งแต่กินข้าวเช้า

กระทั่งเจ้าแดงหลับ ผันก็นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วหยิบย่ามกับผ้าห่อของเจ้าลือที่ทิ้งไว้มาแก้ดู โธ่! ผ้านุ่งพี่เผื่อนขาดรวมกับผ้าอ้อมเจ้าแดงอีก ๒-๓ ผืนกำลังค้นและคิดไปเพลินเสียงฝีเท้าคนย่างขึ้นเรือนมาคาดว่าบัวลอยมันกลับจากนาก็เหลียวไป

“ผันเอ๋ย” เจ้าคนย่างเรือนที่หน้าชูบซีดเรียกเสียงแหบ “พี่หลงอยู่บางกอก ๒ คืนเต็มไม่มีแล้ว ทั้งบางกอกไม่มีแม่เผื่อนเลย”

“โธ่! พี่ลือ” ผันปลงสังขารในรูปร่างมัน “บอกพี่ไม่เชื่อว่าหาอย่างไรก็ยากจะพบ”

มันเดินหงอยกลับนั่งใกล้ๆ “อ้ายแดงหลับแล้วรึ เออ อ้ายแดงมึงต้องกำพร้าแน่”

ผันร้องเต็มเสียง “ฮ๊ะ-พี่ลือ ไงพูดเป็นลางปากงั้นล่ะ”

มันฝืนหัวเราะ “ข้าไม่ตายหรอกผัน ที่ว่าถ้ายแดงจะต้องกำพร้าก็เพราะแม่เผื่อนเขาคงไม่กลับมาอีก นี่แล้วแม่แกยังไม่มาเลยรึตั้งแต่ข้าไป?”

“เปล่าเลย” ผันตอบเศร้าๆ “บ้านช่องไม่มีใครอยู่ ฉันกลัวเหลือเกิน”

“อ้ายลอยก็อยู่ทั้งคน”

“โอย-เอาเป็นที่พึ่งไม่ได้เลยคนอย่างอ้ายลอย”

มันถอนใจยาว “อือ-ลำบากแย่ อ้ายข้าก็อยู่ไหนถึงข้ามคืนไม่ได้เลย บอกกรงๆ วะผันเข้าบ้านใครเห็นหลังคาแล้วช้ำหัวใจนักอยากจะเตลิดไปนอนมันตามหญ้าตามดินเรื่อยๆไปชั่ววันกว่าจะตายเท่านั้น”

“หักคิดเสียมั่งเถอะ พี่ลือ” ผันให้สติและนึกอุ่นใจขึ้นมาที่เจ้าลือมันย่างมาเป็นเพื่อนเรือน เพราะแม่เจ้าคงจะเดาความล่วงหน้ารู้ว่าจะต้องพบมัน จึงหลบไปเสียยังไม่กลับ

เจ้าลือล้วงชายผ้าขอดที่แนบเอวออกมาแก้แล้วส่งคืนให้

“เหลือยี่สิบห้า เอ้า คืนไปเถอะ”

“อ้าว ผันมองตา “ใช้หมดห้าบาทเท่านั้นเอง แล้วไม่ซื้อนมมาให้อ้ายแดงด้วย”

“ข้าไม่นึกว่าจะได้มาละซี จนมาได้ครึ่งทางนึกเกรงฝนถึงได้แวะมา” แล้วมันก็แหงนมองไปบนฟ้าสูง “ครึ้มยังงี้ข้าเกลียดจริงๆ แต่ถ้าเป็นฤกษ์ใครจะแต่งเมียละก็ดี”

หากจะเป็นคำเพ้อเจ้อของคนทุกข์ แต่บัวผันก็สะดุ้งหัวใจ เพราะวันนี้เป็นวันแต่งของพี่เผื่อนตามคำอ้ายลอย เออ-หากแว่วเข้าหูมันสักเพียงคำเดียว พิธีนั้นก็คงจะถูกล้างเสียฤกษ์หมด

บัวผันจัดแจงหาข้าวให้มันกิน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่หลงทางและเดินมาแต่บางกอกเจ้าลือก็หลับไหลสนิท บัวผันซึ่งนั่งไกวเปลอยู่ใกล้ๆ ก็คิดไปต่างๆ นานา กระทั่งเคยขี่คอมันลุยเลนมาลงเรือ และก็วันนั้นเองที่พี่สาวแอบรื้อหลังคาทำอุบาย

จนตะวันเย็น เจ้าลือพลิกตัวตื่นเจ้าบัวผันเจ้าเข้าครัวหุงข้าว จึงย่องออกหลังเรือนไปชายคลองหวังจะอาบน้ำแต่เสียงพายจ่อมน้ำมาใกล้จวนโผล่คุ้งจึงหลบตัวดู ถุยอ้ายลอยผ้าห้อยสองไหล่กินหมากทำกรุ้มกริ่มจึงตะโกนเรียก

“อ้ายลอย”

เจ้าน้องเมียสะดุ้งเรือแทบล่มด้วยยังไม่รู้ว่าเป็นใครกระทั่งเหลือบแลเห็น

“อ้อ พี่ลือ มาเมื่อไหร่เล่านั่น?”

“เพิ่งถึงเมื่อก่อนบ่าย” เจ้าลือตอบแล้วหย่อนตัวลงนั่ง “เอ็งไปไหนมา?”

“กลับจากคุ้งคดโน้น” แล้วก็เหลียวมองไปรอบๆ ความอึดอัดใจที่รู้เรื่องและอยากจะเอาหน้า ก็ยากที่เจ้าลอยจะงำความลับไว้อีก จึงเทียบเรือมาใกล้ๆ และกระซิบข้างหู “ฉันมีเรื่องที่จะบอกพี่ลือ”

“เรื่องอะไร?”

น้องเจ้าผันใจเต้นตึ้ก แต่เมื่อคายไปบ้างแล้วก็จำต้องคายให้หมด

“พี่เผื่อน”

“ฮ่ะ อ้ายลอย อย่าล้อกูนามึงโดนเทียว”

“จริงย่ะ” ลอยรีบรับคำปากสัน “แต่พี่ต้องสาบานว่าอย่าทำแม่กะพี่เผื่อน”

“ลือตะลึง ใจเต้นเกินเจ้าลอยไปอีกเพราะดีใจที่จะได้เค้าเจ้าเผื่อนเมียรัก

“บอกกูเร็วเถอะ อะไรๆ กูสาบานต่อหน้าน้ำไหลทั้งสิ้น”

เจ้าบัวลอยโดดขึ้นฝั่ง เกาะกราบไว้มือหนึ่งแล้วก็เล่าโดยเร็ว

“อ้ายอ่อนจะบังคับแต่งพี่เผื่อนวันนี้”

“ที่ไหนว๊ะ อ้อนี่แม่เผื่อนไม่ได้กะอ้ายอ่อนหรอกรึ?”

บัวลอยสั่นหัว “เพิ่งจะแต่งรดน้ำเย็นนี่แหละที่บ้านผู้ใหญ่ทิมลุงพี่แปลกอยู่ท่าแร้ง”

ลือพยักหน้า “อ้อ-อ้อ-รู้จักแหละ แต่แน่อ้ายลอยมึงอย่าได้เอ็ดให้รู้ไปถึงหูเจ้าผันล่ะ แล้วเรือนี่ข้าต้องขอยืมเพราะเร็วทันใจ หากมัวเดินแล้วเป็นไม่ทันการแน่”

เจ้าลอยพยักหน้ารับรองแล้วเล่าต่อไปอีก “ฉันเคืองตาแปลกจริงเชียว มันพูดกับพี่อ่อนว่าจะขอแบ่งพี่ผันไปเป็นเมียแล้วอวดอภินิหารใหญ่โต”

“เออ! มึงค่อยนิ่งฟังไว้ก่อนเถอะ ไปเอาประแจมาใส่เรือไว้ให้ดีหน่อยใครจะขอยืม แล้วเอาลูกส่งมาให้ข้า”

บัวลอยดีใจจนเนื้อเต้น ที่เจ้าลือจะขึ้นท่าแร้งมันเป็นเด็กชอบนักเลงที่รักทุ่งบ้านเกิดและพวกพ้อง จัดแจงไปเอากุญแจเรือมาใส่แล้วส่งลูกให้เจ้าลือ แล้วก็แยกไปทำไม่รู้ไม่ชี้ เจ้าลือก็รีบร้อนอาบน้ำเสร็จในครู่นั่น

ตะวันโพล้เพล้ ผันเจ้ามัวทำกับข้าวเพลินหารู้ไม่ว่าเจ้าลือมันแต่งตัวแล้ว เสร็จกะทัดรัดดาบนั้นลอบส่งเจ้าลอยทางหน้าต่างให้ไปใส่เรือ แล้วก็ตรงไปบอกน้องเมีย

“พี่จะไปค้างกระท่อมคืนนี้”

“เอ๊ะ ไม่กินข้าวเสียก่อนล่ะ” ผันทำหน้าหงอยมองพี่เขยอย่างเสียดายที่มันไม่กินข้าว “นึกว่าพี่ลือจะค้างเป็นเพื่อนสักคืนก่อน หรือไม่ก็ให้พลบสักหน่อยค่อยไป”

“ไม่ละผัน เอาเถอะ ผันแบ่งมาไว้ให้ข้าก็แล้วกันเพราะเมื่อมากำลังสติเผลอประต่างประตูลืมปิด ควายแม่แก๒ ตัวที่ให้ยืมจะเป็นไงมั่งไม่รู้ ตั้งใจว่าจะไปต้อนมาคืนนี้หละ แบ่งไว้เถอะแล้วข้าคงกลับมากินทัน”

ผันสิ้นศรัทธาจะทำกับข้าวต่อไปอีก แต่ก็คิดจะถนอมน้ำใจมันไว้จึงจำต้องผ่อนตามและครู่นั้นเจ้าลือก็รีบผละไปไขกุญแจโซ่เรือเพราะช้าเกรงจะเสียการต่อไปอีก เจ้าลอยที่ยืนเมียงตลิ่งมองยกมือท่วมหัวภาวนาขอให้พี่ลือมันจงไปชนะ

พลบค่ำ เลยเพลารดน้ำมาแล้วเป็นนาน

พิธีแต่งของนายอ่อนเป็นไปอย่างเงียบๆ ไม่เอิกเกริก ลิเกหรือการเล่นสิ่งไรไม่มีเลย นอกจากเชิญพวกพ้องอยู่เลี้ยงสุราอาหารกันเป็นเพื่อน กว่าจะถึงฤกษ์งามได้ส่งตัวเมื่อค่อนยามสอง

เผื่อนแต่งตัวงามนักหนา ผิวพรรณที่เคยคล้ำหมองและซูบซีดค่อยผ่องตาขึ้นมา เพื่อนเจ้าบ่าวที่รู้ความอย่างนายแปลก เจ้าพลอยและแฉล้มแทบไม่อยากเชื่อว่า เผื่อนมีลูกแล้วคนหนึ่ง ยายบัวนั้นยิ้มแย้มสำราญใจ ต้อนรับแขกเพื่อนบ้านแทนนายอ่อน

ยิ่งดึกล่วงยาม การพูดคุยและเลี้ยงก็เพิ่มสนุกสนานยิ่งขึ้น มิช้าพวกสนุกเหล่านั้นก็คัดตัวพวกกันเองประสมขึ้นเป็นลิเกครบตัวเรื่องแล้วก็โหมโรงกันเองประสาคนเมา

เผื่อนเจ้าหลบเข้าเรือนก่อน เพราะรำคาญคำเคาะและล้อเลียนของเพื่อนเจ้าบ่าวที่เมามายมาก พอหวนมาอยู่คนเดียว และยืนเยี่ยมหน้าต่างเห็นลำน้ำมืดท้ายบ้าน ก็อดนึกถึงกระท่อมเก่าทุ่งสองห้องมิได้ ก้มมองสร้อยแหวนและนาฬิกาที่ตบแต่งแล้วใจแห้ง ในกระท่อมโน้นมีแต่ผ้าขาดเป็นผ้าขี้ริ้ว มืดค่ำผัวมันต้องกินข้าวเปล่าเพราะห่วงเมีย โอ้พี่ลือ

ต้องทรุดกายลงนั่ง เมื่อคิดถึงความหลังป่านนี้คงร้องไห้หาอ้ายแดงจักอ้อนกินนม แล้วพ่อมันกอดคอกันร้องไห้ แล้วเมียที่ปลีกหนีมาจะรับสุขด้วยประการได

เลยซบหน้าลงกับฝ่ามือ หารู้หาเห็นไม่หรอก ว่าเสือทุ่งสองห้องมันกำลังนั่งคร่อมอยู่ขอบหน้าต่างสะพายดาบกำ

“เผื่อนจ๋า”

เจ้าสะดุ้งเฮือก เงยมอง พระกาฬทุ่งสองห้องใช่แล้วหรือ มันยิ้มด้วยร้องไห้ด้วย แล้วก็ก้าวจากขอบหน้าต่าง

“พี่หลงตามอยู่บางกอก ๒ คืน โถ เผื่อนทิ้งพี่ไม่รู้ตัวอ้ายแดงมันอ้อนหา” แล้วเจ้าลือมันก็ตื้นตันพูดไม่ออกอีก มันร้องไห้มองเมียทั้งรักทั้งแค้น

เผื่อนก้มกราบเท้ามัน น้ำตานอง “เผื่อนผิดเสียแล้ว พี่หลบหน้าเอาชีวิตรอดเถอะ พวกเขามากนัก”

“พี่จะล้างให้หมดเรือน” แล้วยุดข้อมือเมียมันให้ยืน “ไปกับพี่เถิด เผื่อนต้องไปอยู่กับพี่อีก หาไม่อ้ายลือจะตายบนเรือนนี่ และจะไล่ฟันมันเดี๋ยวนี้”

มันชักดาบออก ถลันไปถอดกลอนประตู เผื่อนหน้าซีด ชู้เก่าจะมารบชิงเจ้า แต่จะรอดไปไหวหรือ เแล้วเผื่อนก็ปราดเข้ารั้งชายเสื้อ

“โธ่เอ๋ย พี่ลือไม่รักเผื่อน เถอะ จะไปด้วยพี่ถอยมาเถอะ เผื่อนจะตามไปอยู่ทุ่งสองห้องของเราอีกเร็วเข้าซี เดี๋ยวใครจะแอบเห็น”

มันชะงักหน้ามาทางเผื่อน แม่คุณของพี่ตัวเนื้อสั่นดึงกรากเข้าอุ้มส่งทางหน้าต่างไม่ทันลั่นกลอนประตู

ยายบัวเปิดเข้ามา เผื่อนโดดไปแล้ว แต่เห็นอ้ายลือกำลังปีนหน้าต่าง แกก็ร้องขึ้นสุดเสียง

“อ้ายลือเจ้าขา อ้ายลือขึ้นฉุดอีเผื่อนไปแล้ว”

ลิเกกันเองกำลังจะออกตัว จึงไม่มีใครฟังทันได้ศัพท์ ต่อยายบัวโดดไปกลางวงลิเกบอกกล่าวขึ้นเอะอะจึงรู้กัน นายแปลกแสนอับอายที่ถูกมาล้วงคอถึงบ้านก็คว้าดาบวิ่งนำหน้า ผู้ใหญ่บ้านระดมเกราะสนั่นพวกที่เป็นตัวลิเกทั้งคนดูต่างก็วิ่งคว้ามีดไม้และดาบวิ่งตามกันเป็นแถว

ลือมันจูงเมียพาวิ่งผ่านมืดมา อีกครึ่งทางก็จะถึงที่เรือจอดซุ่มไว้ แต่ไม่ทันเสียแล้ว พวกบ้านท่าแร้งวิ่งกระชั้นเข้ามาทุกที เผื่อนก็ตกใจจนสิ้นแรง จะทิ้งเผื่อนเอาตัวรอดหรืออย่าหมาย ทุ่งท่าแร้งพรุ่งนี้จักแร้งลงกินศพนับไม่ถ้วน

มันหยุดแล้วกลับหลังคิดสู้ “เผื่อนกอดหลังอย่าห่างพี่ เผื่อนเอ๋ย! ถ้าพี่ตายแล้วถึงยอมเป็นเมียมัน”

“โธ่! เราคงตายแน่” เผื่อนพูดสิ้นสติทอดอาลัย “โธ่เอ๋ย! มาหาที่ตาย”

มันหัวเราะในคอ “ก็ตายล่ะซี กอดคอกันตายไม่ชื่นใจหรือเผื่อน อ๊ะ หลบหลัง มาแล้ว”

พอเผื่อนหลบทลัง นายแปลกก็เข้าใกล้ตัวร้องทัก

“อ๋า! อ้ายลือ”

“เออ! กูมาเยี่ยมท่าแร้ง”

ไม่ได้ตอบกันอีก แล้วต่างก็กรากเข้าฟันกัน นายแปลกเป็นเจ้าบ้านรักษาคม แต่อ้ายลือมันถวายชีวิตจักชิงเมียมันคืนไปสองห้อง เจ้าแร่มเจ้าแอบกรากมาช่วยกันวิงวนไปรอบๆ คอยจ้องจะเอาเหมาะๆ ส่วนเผื่อนมันวิ่งบังหลัง และหลบหลีกคมดาบไปมา แต่วาสนาคงสิ้นแล้วพี่ลือเอ๋ย! ถูกแผลหัวเลือดสาดแล้วเผื่อนก็ผละหนีเลือด

เมื่อรู้ว่าเลือดตกทุ่งท่าแร้ง เจ้าลือก็บ้าเลือดมุทะลุไม่ปิดละฟันรวด และมิช้าเจ้าแปลกนักเลงดังเจ้าทุ่งก็ทรุดไปกับดาบ พอเหลียวหาโน่นเผื่อนเจ้าถูกอ้ายอ่อนและพวกล้อมฉุดไปโน่นแล้ว ก็กวดตามฟันไม่ละไม่เลือก ปากก็ตะโกนหา “เผื่อนเอ๋ย! พี่จะไม่กลับทุ่งสองห้องอีกเผื่อนทำศพพี่ด้วย”

แล้วมันก็ถูกล้อมในไม่ช้า แม้จะหันสู้อย่างทรหดไว้ฝีมืออย่างไร ก็หาหักออกไปถึงเผื่อนเมียรักได้ไม่ ยิ่งสู้ยิ่งถูกเจ็บ และอ่อนแรงล้มลง

ชูกวักมือเรียกเผื่อน “พี่ลาเผื่อนไปก่อนสิ้นชาติพี่แล้ว” สิ้นคำก็สิ้นเสียงสลบพับดินผืนทุ่งท่าแร้งซึ่งด้นดั้นมาตามเมียกลับเป็นแดนพ่ายแพ้ แต่ลายนักเลงจักจารึกตลอดไป

คนหนึ่งจะเข้าซ้ำ เผื่อนร้องหวีดสุดเสียงสลัดหลุดจากนายอ่อนลงกอดกายบังผัว

“อย่าทำ-ผัวฉัน โธ่เอ๋ย! พี่ลืออุตสำห์ตามมาตายต่อหน้าเผื่อน” แล้วเจ้าก็ร้องไห้โฮใหญ่ นายอ่อนกรากเข้ากั้นกลางห้ามคนเหล่านั้น

“แม่เผื่อนลุกก่อนเถอะ บางทีจะไม่ตาย”

“อย่าเลย” เผื่อนโบกมือ “หน่อยก็รุมกันฆ่าผัวฉันเท่านั้น ฉันไม่ลุก พี่ลือจะต้องสิ้นใจในแขนฉันใครอย่ามายุ่ง”

นายอ่อนให้คนไปเอาตะเกียงมาส่อง และค่อยปลอบเผื่อนให้ห่างแล้วจึงช่วยกันตรวจแผลและชีพจร

“สลบเท่านั้น” นายอ่อนบอกกับเผื่อน “ฉันจะให้คนเอาใส่เรือไปส่งจนถึงบ้านมัน”

“ฉันขอไปด้วย โธ่ ขอให้ฉันได้ไปอยู่รักษาเขาสักคืนเท่านั้น”

นายอ่อนสั่นหน้า “ไม่ได้แม่เผือนแต่งกับฉันแล้ว”

“ก็ถูก” เผื่อนรับ คิดแค้นน้ำใจนายอ่อน “ฉันเต็มใจยอมเป็นเมียพี่อ่อน แต่ขอให้ฉันได้ไปอยู่รักษาเขาก่อนสักคืนเถอะ”

นายอ่อนคงไม่ยินยอม สั่งให้คนหามเอาเจ้าลือลงเรือแจวแล้วคุมไปอีก ๒ คน เพื่อไปส่งกระท่อมที่ทุ่งสองห้อง ส่วนนายอ่อนกับเผื่อนและยายบัว ก็ตระเตรียมข้าวของที่จะขนหลบขึ้นบางกอกเช้ามืดก่อนสว่าง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ