เมื่อคืนฝนตกหนัก ตกจนแทบท้องฟ้าจะถล่มทลาย ผืนนาอิ่มน้ำ ดินแห้งระแหงก็ลบรอยหมดท้องฟ้าขาวได้อรุณ ทุ่งบางเขนก็เวิ้งว้างปลอดโปร่ง ควายคู่ซึ่งเดินกรำฝนมาจากกูบแดงเมื่อตี ๕ ซึ่งเจ้าบัวลอยน้องสุดท้องของบัวเผื่อนต้อนมาให้ก็เข้านอนคอกคอยเวลาไถ

จนเจ้าลอยกลับไปแล้ว สีหน้าเจ้าลอยบอกบุญไม่รับและไม่ค่อยจะพูดจากับพี่สาวเหมือนเคย เจ้าลือนั้นยืนแลน้องเมียที่เดินตัดทุ่งเห็นอยู่ลิบๆ พอลับตาก็หวนกลับจากประตูโรงนามาหาเผื่อน

นั่งลงเคียงและพูดจายิ้มแย้ม “ไถเสียวันนี้แหละนะเผื่อนนะ”

“ตามใจพี่ลือเถอะ” เผื่อนตอบก้มๆ หน้า แล้วหวนคิดถึงเพลาดึก เมื่อคืนที่เจ้าลุกไถลเข้าไปกินข้าวแล้วแอบอ่านหนังสือที่ซุกไว้ก็เกิดสลดในหัวใจ จนอดถามไม่ได้ “เมื่อวานพี่ลือกินข้าวหรือเปล่า?“

“เอ๊ะ แม่เผื่อน” เจ้าผัวทำหน้าฉงน ไม่เคยเลยที่เผื่อนจะปรานีไต่ถามเอาเป็นธุระถึงเรื่องการกิน “พี่กินอิ่มหนำแล้วยังแบ่งไว้ให้เผื่อนอีกครึ่งหม้อ”

“พี่บอกว่ามีปลาอยู่ตัวเดียว แต่เมื่อฉันไปกินตอนดึกปลาก็ยังอยู่เต็มตัวตลอดหาง”

“อ๋อ เท่านั้นเอง” ลือหัวเราะร่วน “พี่กลัวเผื่อนจะหิวลุกขึ้นกินเมื่อดึกถึงได้ไม่กินปลา”

“แล้วกินกะอะไร?”

“ข้าวเปล่า” ลือตอบหน้าสลด หัวใจนั้นบอกไม่ถูกเป็นประการไร “แต่พี่ก็กินจนอิ่ม น้ำคำเผื่อนที่เตือนให้พี่กินข้าวนั่นแหละ อร่อยเกินกับแกล้มอื่นๆ เสียอีก”

เมียน้ำตาคลอ ถึงจะรู้ว่าคำผัวนั้นประจบประแจง แต่น้ำใจผัวที่ห่วงหิวของเมียก็ทำให้เผื่อนใจแห้งเพราะเจ้าไปกินทีหลังพร้อมด้วยกับที่ผัวหวงไว้ให้ แม้แต่ท้องมันเองเจ้ากินพร้อมด้วยคำหวานของชู้รักที่เขียนบอกเป็นตัวหนังสือจาระไนทรัพย์สมบัติและความสุข ที่จะโอบอุ้มเจ้าตลอดจนแม่และน้องๆ อ้อนวอนที่จะให้เผื่อนหนีเคราะห์และความยากแค้นอดอยาก แต่แล้วเผื่อนก็ต้องอิ่มท้องด้วยข้าวกับปลาที่ผัวเจ้าหวงไว้ให้เท่านั้นหาใช่ทรัพย์สมบัติในหนังสือไม่

ลือมันแสนจะประหลาดใจ ที่ในหมู่สองวันนี้เผื่อนช่างเป็นคนขี้ร้องไห้นัก ค่อยๆ ถามเอาใจว่า

“แม่เผื่อน พี่ไม่อยากจะกวนถามให้รำคาญใจหรอก แต่เห็นเผื่อนร้องไห้แล้ว หัวใจฉันสั่นไปหมดเรื่องอะไรรึ!”

เผื่อนส่ายหน้า น้ำตาคลอก็หยดลงต้องอ้ายแดงตอบได้เพียงคำเดียวว่า

“สงสารพี่ลือ”

“ก็เรื่องราวไปมายังไง?”

“พี่อุตส่าห์กินข้าวเปล่า”

ลือถอนหายใจเฮือก “เราจนนี่เผื่อนเอย ปากท้องของพี่น่ะจะอดสัก ๔-๕ มื้อก็ไม่เป็นไร แต่เผื่อนต้องให้ลูกกินนม ไม่ใช่อิ่มท้องแต่คนเดียวอย่าคิดมันเลยเผื่อน มันชั่วของฉันเอง ฉันเองที่ลืมคิด เมื่อพอจะมีหยิบมีฉวยกับเขามั่ง ใจมันอยากชั่ว ก็ต้องทรมานมันเสียให้เข็ด”

“แต่พี่ต้องใช้แรงทำงาน”

“ก็ถูก” ลือตอบเสียงสั่น เศร้าหัวใจเมื่อนึกถึงปากท้องตัวเอง และลูกเมีย “แต่อย่าห่วงพี่เลยไม่เป็นไรหรอก พี่จะไถดะให้สิ้นในเร็ววัน แล้วก็ไถแปรและหว่านให้เสร็จ เพลาที่เหลือนอกนั้นจะไปรับจ้างเขานาอื่น ถึงไม่ได้เงินจะเป็นกับหรือข้าวก็ยังดี พี่ไม่อายหรอกถึงเราเคยมั่งมีศรีสุข แต่ปากท้องของเผื่อนกะอ้ายแดงมันสำคัญ”

เผื่อนคงยากใจจะโต้ตอบหรือเชื่อคำผัว เพราะฤทธิ์เหลวของมันที่เห็นๆ มาแล้ว ก็สบถสาบานทุกครั้งและก็ต้องทะเลาะวิวาทกันเพราะเรื่องนี้มานักต่อนัก หากมาหวนคิดถึงเวลาเหลืออีกชั่วไม่กี่วัน ก็ควรจะถนอมน้ำใจมันพอเป็นเครื่องตอบแทน

ไม่ทันสาย แต่เพื่อนนาใกล้นาเคียง นาทุ่งหมดแล้วเจ้าลือที่เพิ่งจะเป็นคนเริ่มขยันงาน ก็ปลดไถมาปัดเขม่าคว้าสายแอกหางถือขึ้นบ่าตรงไปคอก พอเปิดก็นึกหลากใจนัก นึควายอ้ายอ่อนทั้งคู่ ที่จำได้ว่าเป็นควายเจ้าอ่อนก็เพราะเคยเป็นควายมันอยู่ก่อน แล้วขายไปแต่ปีกลายแต่มานึกอีกว่า บางทีแม่ยายจะรับซื้อต่อหรือยืมมาก่อนก็แล้วกันไป เพราะในชั่วตะวันสายนั้น หญ้ารกและนาร้างของเจ้าลือก็ไถดะเป็นทางอย่างรีบร้อน

เลยพลบมาจนเข้าไต้เข้าไฟ เรือนฝากระดานท้ายทุ่งกูบแดง จุดตะเกียงแสงโพลงอยู่กลางนอกชานสำรับกับข้าวนั้นยกพ้นไปแล้ว ยังเหลือแต่ขวดเหล้าตั้งเรียงอยู่กลางวง ผู้คนนั่งล้อมรอบจิบเล็กจิบน้อยเพิ่มไปอีก คนนั่งขัดสมาธิสองชั้นผู้เป็นเจ้าของเรือน พูดกับคนนั่งตรงข้ามข้างหน้าว่า

“ฉันน่ะ รำคาญหรอกพ่อแปลกที่จะเอาแม่เผื่อนมาไว้บ้านนี้ก็เพราะว่าอยู่มั่งไม่อยู่มั่งเท่านั้น ลางทีก็ขึ้นบางกอกตั้งคืนสองคืนก็มี หน่อยอ้ายลือจะตามมาอาละวาดฉุดคร่า ก็ไม่มีใครจะรับหน้ามัน เพราะเจ้าเปลี่ยนก็ยังเยาว์นักข้าก็กลัวมันเสียยังหนูกับแมว

๓-๔ คน มองไปยังเจ้าเปลี่ยนคนเฝ้าเรือนและแจวเรือไปเมื่อวานซืน พี่ชายนายเปลี่ยนจึงต้องแก้แทน

“อ้ายเปลี่ยนมันเด็กกว่าอ้ายลือนักพ่ออ่อน อีกประการหนทางนักเลงก็ไม่ค่อยจะเคย อ้ายลือมันต้องกะฉันถึงจะได้เถอะน่ะ ส่งแม่เผื่อนไปอยู่กะฉันที่เรือนลุงแล้วก็เป็นอันนอนตาหลับไม่ต้องห่วงใยอะไรทั้งสิ้น”

คนนั่งข้างพ่อแปลก ซึ่งเป็นลูกน้องมาด้วยค้านตามรู้ตามเห็นว่า

“เอ๊ะ พี่แปลก ก็เผื่อว่ามันจะอ้างว่าเป็นลูกเป็นเมียมันหนีมาแล้วเราจะทำไงล่ะ?”

นายอ่อนพอจะเห็นคล้อยตามจึงจ้องหน้านายแปลก นักเลงบ้านกูบแดงจึงพูดเสียงดุๆ เจ้าคนถาม

“เซ่อบัดซบเทียวมึง อ้ายแอบ เมื่อมันมาตีอ้างว่าเป็นเมียก็ให้มันไปฟ้องเอาซี กว่าจะไปถึงโรงพักเอาหมายอำเภอมาก็พาแม่เผื่อนยักย้ายไปอื่นเสียแล้ว ข้าว่าหนีไปจะเอาอะไรกะข้า แต่ทว่าจะมาฉุดน่ะไม่สำเร็จหรอกกูให้ ๑๐๐ อ้ายลือก็ต้องฝัง” แล้วลดเสียงกระซิบถามนายอ่อนดูอีกให้แน่ใจ “ว่าแต่แม่เผื่อนน่ะเขาตกลงปลงใจกับพ่ออ่อนแน่ล่ะรึ?”

“อ๋อ! ข้อนั้นเรียบร้อย”

“สำคัญ” นายแปลกพยักหน้าชมเชยเชิงเจ้าชู้ของนายอ่อน แล้วก็พูดลามปามไปด้วยฤทธิ์สุรา “ว่าแต่อย่าลืมแบ่งนังผันให้มั่งก็แล้วกัน ซักหน่อยสำเร็จแล้วจะเทครัวเสียคนเดียว”

นายอ่อนหัวเราะ พยักมาทางเจ้าเปลี่ยน “เขาก็เก็งยายบัวไว้แล้ว”

“ตายโหงเชียวฉัน” เจ้าคนขลาดเชิงนักเลงร้อยเอ็ด “แกก็ยังไม่แก่เฒ่านักหรอกพี่ แต่ว่าปากยายบัวนี่แหละฉันกลัวยิ่งกว่าหมากัดไปอีก”

ฮากันตึงใหญ่ อีกคนหนึ่งกำลังคะนองรุ่นเจ้าเปลี่ยนนั่งติดแจอยู่ข้างนายแปลกเอ่ยขึ้นมั่งเพราะเห็นสนุก

“เอ้อะ! มึง อ้ายเปลี่ยน ทำพูดตะโกนดังไปเหอะหน่อยอ้ายลอยมันย่องมาฟังจะถูกเหยียบหน้าพรุ่งนี้”

เจ้าเปลี่ยนสีหน้าสลด รู้สึกว่าคำเตือนของเจ้าหนุ่มแฉล้มมีประโยชน์ แต่ยังแก้อายไปว่า

“ข้าไม่ผิดก็ลองดูซี”

“สันดานคน” พี่ชายด่าโขมง “จะกลัวทำเจ้าอะไร้วะคนเหมือนกัน และเอ็งกะอ้ายลอยก็ล่ำสันพอฟัดพอเหวี่ยงดูเหมือนจะมีภาษีกว่ามันเสียอีก”

“มันเล่นมีดนี่พี่” เสียงแก้อ่อยๆ ของเจ้าเปลี่ยนเลยทำให้คนอื่นขัน แต่นายแปลกเพิ่มฉุนขึ้นอีกมาก

“แล้วมีดมึงไม่มี ถุย! อ้ายสันดาน ไปใส่งอบพายเรือขายของเถอะวะอ้ายเปลี่ยน เดี๋ยวปั้ด โธ่ อ้ายนี่”

เจ้าเปลี่ยนยกมือปิดแล้วหลบวูบ นายอ่อนเห็นจะไปกันใหญ่ เพราะนายแปลกเป็นคนเมาดุร้ายจึงพูดจาห้ามปราม

“ขอทีพ่อแปลก ที่จริงก็ไม่ใช่คนไกลหรอก อีกสักหน่อยเจ้าลอยมันก็จะตกมาเป็นน้องเมียฉันแล้ว เด็กมันก็รักใคร่กันไปเอง” แล้วหันไปดูเจ้าหนุ่มแฉล้มผู้ก่อความแล้วรินเหล้าแจกจ่ายกันไปอีกจนทั่วตลอดจนปรึกษาข้อความนัดแนะกันเป็นที่แน่ถึงเรื่องจะทำการให้สำเร็จต่อไป

ใต้ถุนเรือนสูง ระหว่างคนบนเรือนนั่งคุยปรึกษากันตลอดเวลามีคนยืนอิงเสาซุ่มฟังความ แม้คำสนทนาของคนเหล่านั้นจะได้ยินบ้างไม่ชัดบ้าง แต่เจ้าคนที่แอบเสาฟัง ก็ฉุนเฉียวเจ้าเปลี่ยนที่พูดชะล่าเอ่ยไปถึงแม่มันกับพี่สาว และแค้นไปถึงนายแปลกนักเลงบ้านกูบแดงพี่เจ้าเปลี่ยนต่างๆ นานา กระทั่งได้ยินคนเหล่านั้นบอกลาจะกลับ จึงรีบหลบจากใต้ถุนเข้าเงามืดมุ่งเข้าไผ่กอคู่ข้างหน้าที่อยู่ถัดไปโน้น

พออ้อมท้ายคอก ก็เห็นคนที่นั่งชานห้างสำหรับนอนเฝ้าควายของมัน พอก้าวไปใกล้เห็นถนัดก็ถูกถามว่า

“อ้ายลอยรึ เอ็งไปไหนมา?”

เจ้าบัวลอยรุ่นหนุ่มเกิดพิรุธ จะตอบตามจริงก็ยังหารู้ไม่ว่าพี่สาวจะเป็นพวกพ้องข้าใครแน่เลยปฏิเสธ

“เปล่า”

“เปล่า หนอยโกหก ก็ข้าลงมาสุมยุงควายเป็นนานสองนานทำไมไม่เห็น แล้วเพิ่งจะมาเห็นเดี๋ยวนี้เอง”

“ฉันมาจากนาทางโน้นจ้ะ พี่ผัน” บัวลอยแบ่งรับอ้อมแอ้ม “เพิ่งไปล่ะย่ะ ไม่พบอ้ายเปลี่ยนเลยกลับ”

ได้ยินถึงชื่อเจ้าเปลี่ยน บัวผันก็หลับตานึกถึงเรื่องราวเมื่อเย็นวานซืนที่เจ้าเปลี่ยนแจวเรือไปส่งนายอ่อนและนึกย้อนไปถึงคำกล่อมอ้ายแดงของเจ้าเอง ดูช่างเป็นลางประหลาดสังหรณ์ใจนึกถึงเจ้าลือพี่เขยที่มาพูดจาล้อเลียนอย่างหลับตาไม่รู้เวลาเคราะห์แล้วผันก็พลอยสลดใจแทน

“เอ็งไปจนถึงเรือนรึ?” บัวผันถามตรงๆ อย่างเจ้าลอยไม่คาด “ใครอยู่มั่งที่เรือน?”

“เปล่า ฉันไม่ได้ขึ้นเรือนหรอก”

“งั้นไปอยู่ที่ไหน?”

“ใต้ถุน”

“เอ๊ะ! อ้ายลอย” พี่สาวฉงน “เอ็งไปทำไมใต้ถุนซุ่มขโมยเขารึ พูดมาตามตรงเดี๋ยวนี้แหละ”

ถึงเจ้าลอยจะย่างเป็นหนุ่ม และอ่อนกว่าบัวผันเพียง ๒-๓ ปี แต่ก็เกรงพี่สาวมากเพราะยายบัวให้อำนาจและตั้งแต่คบกับเจ้าเปลี่ยน นิสัยขโมยที่ติดมาบ้างเล็กๆ น้อยๆ เมื่อถูกซักไซ้จะเอาความก็เลยเล่าให้ฟังหมดถึงความจริง ที่แอบได้ยินมาเพื่อเป็นการแก้ตัว

ข้างนอกหน้าของบัวผันนั้น ก็มักจะไม่ค่อยลงรอยกับเจ้าลือเลย จนใครๆ เห็นแต่การไปมาเยี่ยมพี่สาวและหลานชายบ่อยๆ เจ้าผันที่เคยเกลียดหน้าพี่เขยว่าเป็นคนเหลวไหลเกเรก็ออกสมเพชหน้า ที่เจ้าลือกลัวเกรงและรักลูกเมียอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ยิ่งรู้ว่าเจ้าลือจะต้องเคราะห์โดยไม่รู้ตัว ก็อดจะเกิดสงสารไม่ได้

แต่ด้วยความกลัวแม่เจ้า จะพลอยเป็นคนเสียก็ห้ามน้องชายว่า

“แล้วเอ็งอย่าเที่ยวพูดไปล่ะ แม่รู้แกเป็นตีเอ็งหัวแตกทีเดียว”

“ฉันไม่พูดหรอก แต่แหม เกลียดหน้าอ้ายแปลกเหลือเกิน”

“เขาทำไมให้เอ็ง?”

“จะเอาพี่เป็นเมียซีล่ะ” เจ้าลอยไขหมดแล้วชี้มาทางพี่สาว “มันพูดนัดกะพี่อ่อน จะขอแบ่งพี่เป็นเมียมันแล้วอ้ายหมาเปลี่ยนก็พูดล้ำมาถึงแม่”

บัวผันไม่เอาเป็นอารมณ์ในคำท้าย แต่นึกฉิวที่นายแปลกพูดจาไว้อำนาจ

“พี่แปลกน่ะรึพูดอวดวิเศษถึงปานนั้น” เมื่อเห็นน้องชายนิ่งเป็นแต่พยักหน้ารับ บัวผันเจ้าพูดไปตามใจแค้น “ทำฝีปากดีเดี๋ยวแม่ไขเปิงหมด ก็ลองเข้าหูพี่ลือซีมันจะได้รู้ว่าใครดีกว่าใคร”

เจ้าลอยขยับปากจะรับอาสาอยู่แล้ว ที่จะเก็บความนี้ข้ามไปทุ่งสองห้องบอกพี่เขย ถึงเดี๋ยวนี้จะอย่างไร แต่เสียงเลื่องลือเมื่อก่อนเชิงนักเลงของพี่เขยมันยังคงกึกก้องรู้จักกันอยู่ตลอดบางเขน แต่ไม่กล้าพูดพล่อย ก็เพราะยังไม่รู้ความแน่ว่า พี่สาวคนเล็กกับเจ้าลือจะมีนิสัยต้องกันหรือไม่ ส่วนเจ้าผันด่าแช่งปากนายแปลก ที่พูดจาเราะรานไว้อำนาจไม่หยุดกระทั่งขึ้นเรือน เจ้าลอยก็เพิ่มฟืนสุมยุงแล้วหลบเข้าห้องนอน

แสงแดดกล้า เหนือทุ่งสองห้องในรุ่งขึ้นหากจะเป็นเวลาเพิ่งบ่าย เพื่อนนาอื่นยังทิ้งทุ่งกลับเรือน แต่เนื้อนาตามกำหนดของเจ้าลือที่เช่าไว้ ก็ไถดะเป็นทางยาวสำเร็จแล้ว มันเร่งงานจนแทบควายคู่จะหมดแรงล้มลง เพราะไม่มีเวลาพักเลยกระทั่งเสร็จมองนาโล่งลิบๆที่หัวผาลชำแรกเดินเป็นรอยไถดะเพราะฝีมือมันแล้วปลื้มใจ

มันต้อนควายกลับคอกก่อนเวลาอย่างสบายใจ ทั้งผิวปากร้องเพลง บางครั้งหัวใจอุตริระแวงไปไม่รู้ตัว จำเอาเพลงกล่อมของอีผันขึ้นมาร้องจนสะดุดใจ แต่ก็ช่างหัวมันคิดอยู่แต่ว่ากลับไปนี่จะอวดเจ้าเผื่อนชี้ให้ดู ฝีมือมันที่พลิกแผ่นดินสำเร็จเป็นผืนนาไถดะแล้วลิบๆ

ปลดแอกปล่อยควายตะเพิดไปที่ลำกระโดง แล้วก็ย่างเข้าประตูโรง แม่เอ๋ย เผื่อนหลับสนิททอดกายอยู่เหนือแคร่นอนเคียงลูก ผ้าผืนเดียวที่เผื่อนเจ้านุ่ง ทั้งรอยปะรอยขาด แต่ตลอดร่างแม่เผื่อนที่พันกายด้วยผ้าขาดนั้นงามมีค่าเกินสมบัติอื่น

มันหมุนเข้าครัวไฟ ล้างหน้าให้มันหมดเหงื่อแล้วเช็ดจนแห้ง ย่องมาที่แคร่นอน แม่คุณของพี่หลับสนิท เอ๋! คราบน้ำตาและเผื่อนเจ้าถอนสะอื้นทั้งๆ หลับ เผื่อนคงทุกข์ว่าเรายากจน ผ้านุ่งก็ปลีกไปผูกทำเปลอ้ายแดงเสียแล้วคงเหลือนุ่งแต่ผืนเดียว แล้วมันก็ซบหน้าลงแอบอกเมียกอดรัดด้วยความสงสาร

เผื่อนกำลังหลับสนิท ถอนสะอื้นของเผื่อนก็เรื่องในฝันนั้นวิปลาสน่ากลัว เจ้าเห็นอ้ายแดงพลัดจากอุ้มตกน้ำ ในฝันพ่อมันโดดตามเล่า ก็จมหายสูญหน้าไม่โผลอีก กระทั่งตกใจตื่นเพราะผัวก้มกอด

“ตื่นแล้ว” ลือทักเมื่อเผื่อนลืมตา แล้วช้อนเมียขึ้นมากอดดังเด็กอ่อน “ชั่วไปนาเท่านั้น ก็คิดถึงเผื่อนเหลือหลาย อะไรยังไม่สิ้นง่วงอีกหรือ?”

เผื่อนหลับตาอีก กระทั่งถูกจูบแก้มก็ทำเสียงเอ็ดแสนงอน “ไม่อิ่มมั่งเลย จนอ้ายแดงโตแล้ว พี่ลือก็ยังกวนให้รำคาญอยู่อีก”

มันหัวเราะ ลืมเหน็ดเหนื่อยสละทุกข์ยากอื่นใดหมด แก้มเรื่อผิวมะปรางของเผื่อนยั่วเย้าหัวใจรักให้เหิม

“ไม่รู้อิ่ม” มันย้ำคำเมียและก้มหน้าแนบ “เอ้า จูบอีกจะว่าไร โธ่เอ๋ย! จะบังคับให้พี่เบื่อ ที่รักนี่น่ะยังคิดอยากจะตะโกนให้ใครๆ มันรู้เสียอีกล่ะนา ว่ายังน้อยกว่าหัวใจอีกหลายร้อยนัก ถ้าหากว่ามั่งมีศรีสุขอย่างเขาละก้อพี่อยากจะให้แม่เผื่อนมีลูกช้อนกันทุกๆ ปีไปกระทั่งครบโหลด้วยซ้ำไป”

“เอา บ้าน้ำลาย” เผื่อนดุและถึงจะเป็นผัวแท้ก็เกิดอายที่ฟังมันพูด “แกล้งรักไปงั้นแหละ พอพบเขาอื่นก็ลืมเราหรอก”

“ลืม” เจ้าลือทำเสียงอ่อย “ตลอดทุ่งสองห้องจนจบบางเขนนี่แหละเอ้าแม่เผื่อน ไม่ใช่ว่าจะมายกยอพูดประจบเลย ใครล่ะมันจะมางามเกินเผื่อนของพี่เพียงชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าบัวเผื่อน มันงามลบบัวอื่นหมด ถ้าน้ำหลากไม่มาบัวเผื่อนก็หายากไม่มีเสียด้วยเอ้า....”

“เออ! สวยเหมือนจะตายหละ”

มันหัวเราะสนุกสนาน รัดเผื่อนเต็มแรงทั้งจูบฟอดใหญ่ “ผ่าเถอะนาแม่เผื่อน ไม่ใช่จะเอาลมปากมาทำหวานล่อให้เกินเลย ไม่เชื่อก็คอยดูไปซีล่ะ ตลอดบางเขนนี่แหละให้ใครมาลองเกี้ยวลองรักเมียอ้ายลือดูสักทีเหอะ เผื่อนเอ๋ย ฉันจะตามไปให้ถึงบ้าน ถึงจะหลับจะตื่นก็ต้องฆ่ามันเสียทีเดียว”

เผื่อนสะดุ้งใจหาย หากเป็นคำพูดคำเย้ากันก็จริงแต่คำเดาของผัวลือนั้นแทงถูกตลอดหัวใจ เผื่อนเบนหน้าซ่อนพิรุธแล้วก็เย้ากลบเกลื่อนว่า

“เผื่อฉันตามเขาไปแล้ว พี่ลือมิฆ่าเผื่อนด้วยรึ?”

“ฮึ!” เจ้าผัวขี้หึงพูดใจผิดปกติ “อย่าพูดงั้นนะแม่เผื่อนน่ะ?”

“จะถือสาอะไรกะอีปากพูด” เมียว่า “แต่ฉันน่ะถ้าว่าลงผิดไปงั้นจริงๆ ก็ก้มคอให้พี่ฆ่าเหมือนกัน”

“ป้ะโธ่!” ลือร้องเอ็ด “บอกว่าเลิกพูดเรื่องนั้นเสียทีก็ไม่ฟังเลย ใครนะจะไปฆ่าแกงเผื่อนได้ลงคอ มีอยู่อย่างก็ว่าถ้าเผื่อนสิ้นรักฉันตามไปอยู่กะเขาอื่นแล้ว อ้ายทุ่งบางเขนพี่ก็อยู่อีกไม่ได้ กระท่อมนี่ก็ต้องเผามันทิ้ง แล้วขอเตลิดเปิดเปิงร้องไห้คิดถึงเผื่อนไปกว่ามันจะสิ้นกรรมฉันให้มันตายเอง”

เผื่อนตันหัวใจ ทั้งคำจริงคำเล่นของผัวล้วนแต่ชวนร้องไห้ทั้งสิ้น ลือเอ๋ย โง่นักหนาหากจะตื่นก็เหมือนหลับไหลไม่รู้เรื่อง นักเลงลือกระฉ่อนตลอดบางเขนเมื่อก่อนโง่เง่าก็เพราะรัก

ไม่ทันตอบ เจ้าลือก็นึกได้เมื่อเหลือบแลเห็นเปลอ้ายแดง

“เอ้อ! แม่เผื่อน ผ้านุ่งที่ทำเปลอ้ายแดงน่ะแก้มานุ่งเสียปะไร แล้วผลัดเอาผืนนี้ไปผูกแทนจะดีกว่า เพราะขาดจนจะรอบอยู่แล้ว

เผื่อนก็เพิ่งนึกออก แต่นึกของเผื่อนแล่นเลยไปถึงว่าเจ้าผลัดผ้าใหม่ ก็เหมือนจะเปลี่ยนชู้ใหม่มาเป็นผัว-ผัวเก่าและอ้ายลือ ก็นับแต่จะหมกไหม้ขาดวิ่นวินาศไปกับกระท่อมเก่านี้

ตะวันบ่ายหนีทุ่งสองห้องไปแล้ว แดดออกและลมตกทุ่งยิ่งพัดกระพือ ควายคู่ขึ้นจากลำกระโดงนอนเอื้องหญ้าเพลินเห็นกระท่อมเจ้าลือโดดอยู่ลิบๆ เมื่อใกล้เข้าอีกจนเกือบถึงประตูนา หญิงแก่กลางคนที่มาจากกูบแดงก็หันมาพูดกับลูกสาวว่า

“เอ็งไถลคอยข้าอยู่ข้างนอกนะ ผัน”

ลูกสาวมองแม่แปลกๆ “ฉันไม่ต้องเข้าไปด้วยงั้นเร๊อะ?”

“เออ-ไม่ต้องหรอก เพราะข้าจะให้เจ้าลือเขามาข้างนอกแล้วจะพูดธุระกับพี่เอ็งสัก ๒-๓ คำ เอ้อ! เหมาะทีเดียว” ยายบัวชี้มือไปฟากลำกระโดง “ควายยังนอนอยู่โน่น”

แล้วสองแม่ลูกก็มาถึงประตูโรงนา ยายบัวเดินลับหายเข้าไปแล้ว แต่ผันเจ้านั่งแอบอยู่บนขอนไม้ข้างประตูและชั่วบัดเดี๋ยวใจนั้นก็ได้ยินเสียงแม่เจ้าเอ็ดตะโรเจ้าพี่เขยว่า ปล่อยควายคู่ที่แกให้ยืมไว้ตามลำพังไม่นอนคอก และน้ำหน้าเจ้าลือจะเอาที่ไหนมาใช้ ในเมื่อควายคู่นั้นถูกคนต้อนเปิดไปอื่น

ไม่ทันเงียบเสียงยายบัว เจ้าลือก็ลนลานออกมาข้างนอก มันหัวเราะอารมณ์ดีไม่โกรธเคืองในคำด่าของแม่ยาย เพราะสำนึกว่าตัวผิดและก็เพื่อซื้อรำคาญมิให้เมียต้องร้อนหูถูกด่าร้องไห้อีก ครั้นเหลียวเห็นผันนั่งแอบหลบอยู่ก็นึกหลากใจ

“ผัน” เจ้าพี่เขยเรียกแล้วจับไหล่เขย่าจนผันตกใจ “เอ็งมานั่งอยู่ว่าไรถึงไม่ขึ้นบ้านรึเห็นเข้าจน?”

“พิลึก เล่นผีๆ อะไรพันนี้”

“อ้าว ข้าพูดจริงๆ เกิดหาว่าเล่นเสียอีกก็เอ็งมากะแม่ไม่ใช่เร๊อะ?”

“ก็แล้วทำไมต้องโฮกฮากจับไหล่เขย่าด้วยล่ะ ตกใจพันนี้มันชักฉุนติดขึ้นมาทีเดียว”

ลือนั่งยองๆ ลงใกล้ขอนไม้ตรงหน้าน้อง “ขวัญอ่อนจริงนะ ข้าถามว่าเอ็งทำไมไม่เข้าบ้าน ไม่ใช่จะปลอบเอ็งให้หายตกใจ”

ผันค้อนขวับ สันดานคนทะเล้นถึงท้องจะแห้งไม่มีกินแต่ปากก็ไม่วายจะกวนโลกอยู่เสมอ

“กงการอะไรจะต้องมาปลอบ” เจ้าทำเสียงฉุนๆ แต่เจ้าพี่เขยกลับหลิ่วตามองแล้วล้อเลียนอีกจึงผลักเข้าให้ “น่ะอยากอวดดีมายักคิ้วเหมือนลิง เกี้ยวเร๊อะ”

ลือหงายหลังมือยันดิน หัวเราะก๊าก “ข้าเผลอไปนึกว่าเป็นเจ้าเผื่อน”

ผันอดหัวเราะไม่ได้ “อ้อ ตั้งแต่เช้ามืดพี่ลือมิยักคิ้วอยู่วันยังค่ำซีล่ะ เพราะพี่เผื่อนเขาอยู่ แต่อย่าทำเผลอบ้าเผลอบอกะข้าบ่อยนักไม่ได้หรอกถ้าลมไม่ดีจะถูก....”

“เผลอหนนี้เท่านั้นหละวะผัน แต่ถ้าเผลออีกเอ็งจะทำไมข้า ฮึ!”

“เผียะซี ทำไม”

“หนอยจะตบ แก้มข้าพี่เอ็งจูบอยู่ทุกๆ วันนะผันนะ”

ผันอายสีหน้าเรื่อ โทโสตามมาติดๆ ทันที “เอาใหญ่แล้วพี่ลือเห็นข้าเป็นคนยังไงถึงได้นั่งเกี้ยวเอาเกี้ยวเอา”

“ข้าจะเกี้ยวเอ็งทำไมวะผัน” ลือตอบไม่ค่อยสนิทปาก แต่ก็แคลงใจในคำพูดของเจ้าผันอยู่นัก “ถามจริงเถอะวะผัน อ้ายที่เอ็งรู้ว่าข้าเกี้ยวน่ะใจเอ็งนึกว่าเช่นไรก่อน?”

ผันสะดุ้งหาทางอื่นใดตอบไม่ได้ดีเท่าโมโห จึงขึ้นเสียง

“แล้วพูดจูบพูดกอดน่ะว่าไรล่ะ”

“อุ๊ อีผัน เดี๋ยวแม่กะแม่เผื่อนได้ยินเข้าจะฉิบหายเถอะ ข้ายอมแพ้เอ็ง ว่าแต่เข้าไปข้างในเสียเถอะคนดีอย่าโกรธพี่เลย โอ้ ไปเถอะ” แล้วเจ้าลือก็เห็นสนุกจับข้อมือผันทำท่าจะประคอง เจ้ายิ่งเกิดโทโสทั้งอับอายเลยส่งเสียงเอ็ดตะโร แล้วก็ชกต่อยเจ้าลือและคว้าไม้ขว้างเมื่อวิ่งหนีหัวเราะร่วนไปทางลำกระโดงพร้อมกับยายบัวตะเพิดเสียงแหวออกมา

จนตะวันโพล้เพล้ใกล้เข้ามา เมื่อทอดหญ้าทอดฟางแล้วสำเร็จ เจ้าลือก็ต้องแบกพายเดินตามอยู่หลังออกจากกระท่อมเพื่อไปส่งแม่ยายกับเจ้าผันที่ชายคลอง หว่างทางเจ้าผันที่เดินตามแม่อยู่กลางก็ถูกเย้าไปตลอด มันปัดขาให้เดินสะดุดและด้ามพายเขี่ยหัว ทั้งแกล้งเดินประชิดจนชนหลัง หากบัวผันจะเคืองมันมากเช่นไรก็ได้แต่หันมาค้อนและชี้หน้าเท่านั้น หาอาจจะส่งเสียงเอ็ดไม่เพราะนึกสงสารหน้าที่จะต้องถูกด่าและก็มองเห็นทุกข์ของมันที่จะต้องกอดหมอนร้องไห้นอนเศร้าไปตลอดชีวิตอยู่ในเวลาเร็วๆ นี่แล้ว

จนถึงตลิ่งชายคลอง เจ้าลือก็จัดแจงไขกุญแจโซ่เรือส่งแม่ยายลงไปก่อน แต่เรือห่างตลิ่งมันจึงย่ำเลนมาอีกแล้วทำปากกระซิบกับเจ้าผัน

“อุ้มไปส่งไม๊ล่ะ?”

“บ้า!”

“มึงสวยตรงงอนวะ อีผัน”

“บ้า-บ้า” เจ้าผันว่าติดๆ แล้วชี้ที่เรือขึ้นเสียงดังให้แม่ได้ยิน “ฉันจะไปไงล่ะ เลนลึกจนเลยเข่าผ้าเปื้อนหมด”

ยายบัวซึ่งนั่งอยู่หัวเหลียวมา “อ้ายลือเข็นท้ายเข้าไปอีกซี”

มันมองเลนแล้วเท้าสะเอวหอบ “ห่างอีกตั้งเกือบจะ ๒ วา แน่ะย่ะแม่ เลนก็ออกสูงเท่ากะเข็นเรือขึ้นตลิ่งน่ะไม่ไหวหรอก”

“แล้วผันมันจะมาไงล่ะ?”

“ก็เมื่อขามามันขึ้นบกยังไงล่ะ?”

“น้ำยังไม่แห้ง” เจ้าผันตอบแทนแม่ “ลองเข็นดูก่อนเถอะ”

มันมองเจ้าผันชั่วแวบ อีนี่แก้เผ็ดสำคัญคน ยายบัวก็เตือนให้เข็นเลยต้องเข็น แต่จะเอาเขยื้อนอีกสักฝ่ามือก็ทั้งยาก

พอยายบัวเห็นช่องทางก็หัวเราะกิ๊กและก็ชั่วนานๆ จะมีสักครั้งเดียวที่แกหัวเราะด้วยเต็มปาก เจ้าลือก็พลอยอมๆยิ้มผสมตามทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องถามว่า

“หัวร่ออะไรยะ แม่”

แกหัวเราะใหญ่ “อ้าว! ก็เมื่อกี้เข้ามายังไง”

“แม่ขึ้นคอฉันมา”

“ช่วยอีผันมันมั่งซี”

เจ้าลือหน้าเลิกลั่ก “จะให้มันขี่คอฉันงั้นเร๊อะ?”

แกพยักหน้าแล้วว่า “ไม่งั้นแล้วมันจะมาไงได้”

เสียงหัวเราะบนตลิ่ง เหลียวไปเจ้าผันก็ยิ้มฟันขาว อีผันก็เพิ่งหัวเราะวันนี้เอง อีนี่หัวเราะสวยมีลักยิ้มทั้งสองแก้มแล้วก็กวักมือ

“มาเถอะ จะมืดอยู่แล้ว พี่เผื่อนเขาอยู่บ้านคนเดียว”

มันต้องยอมแพ้ ก้มหน้าลุยเลนกลับมาเพราะหางเสียงบ่นของแม่ยายชักจะปร่าหูขึ้นมาอีก พอถึงตลิ่งไม่กล้าแหงนมองเจ้าผันเป็นแต่หันหลังให้

ผันเจ้าก้าวลงนั่ง สองแขนโอบคอมัน ร่างกายพี่ลือมันพอไว้ใจได้ว่าคงไม่พาไปล้ม

“สบายเหมือนขี่ควาย” เจ้ารำพัน “อยากอวดดีปากดีแพ้รึยังล่ะ?”

“เงียบว๊ะ อีผัน เดี๋ยวกูปล่อยตกเลน”

“จะได้ถูกตะพดปะไร” แล้วผันก็หัวเราะคิก กระซิบถามว่า “ลงคุณพระคุณเจ้าไว้มั่งรีเปล่าหรอก?”

“อีเวร?”

“พรุ่งนี้ไปวัดรดน้ำมนต์เสียบ้างเถอะ”

“เสือก” เจ้าลือฉิวจนเกินนึกขันตัวเองที่ซวยสิ้นดี เพราะรักเมียต้องเป็นควาย ถูกขี่ตลอดครัวเรือน ถูกขี่ตลอดครัวเรือนขาดแต่อ้ายลอย เมื่อเห็นเจ้าผันยังยั่วไม่สิ้นก็หันมาพูดให้สะใจมันว่า

“มึงขี่กูแล้วอย่ารักกูนะ”

มันถูกตบหน้าฉาดโดยไม่มีมือจะยกปิด มันถูกหยิกต้นคอได้แต่สูดปากร้อง

“โอ้ย! อีผัน”

“พูดบ้าทำไมล่ะควายตีสีปากมีอย่างเร๊อะ”

“ก็มึงขี่คอกูนี่ล่ะ แหมปีนี้ตัวมึงเพิ่มหนักขึ้นแยะวะผัน”

“พูดอีก” ผันหยิกซ้ำ “เอ้า ถึงแล้ว”

พอก้าวลงท้ายเรือ ผันก็ยกมือไหว้ขอขมาโทษมันลือก็ได้แต่ยิ้มอายแม่ยาย ที่ถูกเจ้าผันตบหัวแล้วลูบหลังเล่น กระทั่งเข็นเรือออกกลางน้ำ อีผันคัดท้ายวาดคอพับคออ่อน พอจะลับคุ้งเหลียวมาชูมือโบกเห็นหัวเราะฟันขาว เออ! สิ้นเคราะห์ไปที แต่นุ่มเนื้ออีผันยังแนบหลังอยู่สนิทจำได้ แล้วผัวเจ้าเผื่อนก็ลุยเลนกลับขึ้นตลิ่ง โฉมหน้ามุ่งไปกระท่อมเห็นที่ตะคุ่มอยู่กลางนามืด ป่านนี้แม่เผื่อนคงจะตั้งตาคอย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ