อธิบายเรื่อง พระสี่เสาร์กลอนสวด
เรื่องพระสี่เสาร์ที่โบราณกวีนำมาแต่งเป็นกลอนสวดนี้ มีที่มาจาก “สิโสรชาดก” ในปัญญาสชาดก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ไว้ในคำนำหนังสือปัญญาสชาดก ภาค ๑ ฉบับพิมพ์พุทธศักราช ๒๔๗๓ ว่า
“หนังสือปัญญาสชาดกนี้คือ ประชุมนิทานเก่าแก่ที่เล่ากันในเมืองไทยแต่โบราณ ๕๐ เรื่อง พระสงฆ์ชาวเชียงใหม่รวบรวมแต่งเป็นชาดกไว้ในภาษามคธ เมื่อพุทธศักราช ประมาณราวในระหว่าง ๒๐๐๐ จน ๒๒๐๐ ปี อันเป็นสมัยเมื่อพระสงฆ์ชาวประเทศนี้พากันไปเล่าเรียนมาแต่ลังกาทวีป มีความรู้ภาษามคธแตกฉาน เอาแบบอย่างของพระภิกษุสงฆ์ในลังกาทวีป มาแต่งหนังสือเป็นภาษามคธขึ้นในบ้านเมืองของตน แต่งเป็นอย่างอรรถกถาธรรมาธิบายเช่นมงคลทีปนีเป็นต้นบ้าง แต่งเป็นเรื่องศาสนประวัติเช่นคัมภีร์ชินกาลมาลินีเป็นต้น ตามอย่างเรื่องมหาวงศพงศาวดารลังกาบ้าง แต่งเป็นชาดกเช่นเรื่องปัญญาสชาดกนี้เอาอย่างนิบาตชาดกบ้าง โดยเจตนาจะบำรุงพระศาสนาให้ถาวรและจะให้หนังสือซึ่งแต่งนั้นเป็นหลักฐานมั่นคง ด้วยเป็นภาษาเดียวกับพระไตรปิฎก แต่หนังสือปัญญาสชาดกนี้เห็นจะแต่งในตอนปลายสมัยที่กล่าวมา เพราะความรู้ภาษามคธทรามลง ไม่ถึงหนังสือชั้นก่อน”
เรื่องราวในปัญญาสชาดกนับว่ามีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการสร้างสรรค์วรรณกรรมร้อยกรองไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเช่นเรื่องสมุทรโฆษ เรื่องพระรถเสน เรื่องพระสุธน เป็นต้น สำหรับเรื่องพระสี่เสาร์นี้ หมื่นพรหมสมพัตสร (มี) กวีสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นกล่าวถึงใน “นิราศเดือน” ซึ่งสันนิษฐานว่าแต่งขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า
พี่เป็นทุกข์ทุกเดือนเหมือนจะม้วย | ใครจะช่วยทุกข์ได้ไม่ประจักษ์ |
ให้คับแค้นวิญญาณ์นักหนานัก | จนสุดรักสุดฤทธิ์จะคิดการ |
ให้สุดแค้นแสนวิตกในอกพี่ | เหมือนพระสี่เสาร์กระษัตริย์พลัดสถาน |
พระเสาร์ทับชันษาอยู่ช้านาน | พระภูบาลเป็นบ้าเข้าป่าไป |
ถึงกระนั้นพระองค์ก็คงหาย | กคับสบายคืนมาพาราได้ |
แต่ทุกข์พี่นี้ยิ่งกว่านั้นไป | ทำกระไรจะได้ชื่นทุกคืนมา |
เรื่องพระสี่เสาร์ที่กรมศิลปากรตรวจชำระและพิมพ์อยู่ในหนังสือนี้แต่งเป็น “คำกาพย์” หรือ “กลอนสวด” ไม่ปรากฏหลักฐานว่าแต่งเมื่อใดและใครเป็นผู้แต่ง เรื่องย่อในกลอนสวดมีดังนี้
ท้าวสุนทราชกษัตริย์แห่งเมืองอนันตนคร มีมเหสีชื่อนางนพรัตน์ คราวหนึ่งนางนพรัตน์บรรทมหลับทรงสุบินประหลาดว่า พระบาทเบื้องขวาก้าวเหยียบอยู่เหนือยอดเขาพระสุเมรุ พระบาทเบื้องซ้ายเยียบยอดเขาสัตตบริภัณฑ์ และเด็ดได้ดอกมณฑาทองมาชมเชย นางได้นำความฝันทูลแก่พระสามี ท้าวสุนทราชจึงให้โหรทำนาย โหรทูลว่านางจะประสูติโอรสที่มีบุญญาธิการมาก
อยู่มานางนพรัตน์ก็ทรงครรภ์และประสูติโอรสนามว่า พระสี่เสาร์ ครั้นอายุได้ ๑๖ ชันษา ท้าวสุนทราชก็มอบราชสมบัติให้ครอบครอง พร้อมกับอภิเษกนางอนันตเทวีให้เป็นชายา พระสี่เสาร์ปกครองบ้านเมืองด้วยความยุติธรรม ประชาราษฎรต่างมีความสมบูรณ์พูนสุข มีเมืองใหญ่น้อยมาพึ่งโพธิสมภารมากถึงหนึ่งหมื่นสี่พันเมือง ด้วยบุญบารมีของพระสี่เสาร์ บันดาลให้เกิดม้าวิเศษ ๒ ตัว ชื่อว่าไตรจักรกับมหาศักดา ม้าทั้ง ๒ ตัวนี้ สามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้ พระองค์จะทรงม้าท่องเที่ยวไปทั้งโลกมนุษย์ สวรรค์และบาดาล เป็นที่ยำเกรงในภพทั้งสาม
วันหนึ่งพระสี่เสาร์ทรงสุบินว่า ยอดปราสาทที่ประทับหักยับลง จึงรับสั่งให้ขุนโหรทำนายสุบินโหรคำนวณชันษาแล้วทูลว่า อีก ๗ วัน ดวงชะตาของพระสี่เสาร์จะร้ายนัก พระเสาร์จะเข้าทับลัคนาจะทำให้พระองค์ต้องเดือดร้อนลำบากแสนสาหัสและต้องพลัดพรากจากบ้านเมือง ต่อล่วงเวลาสองปีครึ่งจึงพ้นพระเคราะห์ โหรทูลแนะให้ตั้งพิธีบูชาพระเสาร์ เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา พระสี่เสาร์ทะนงพระองค์ว่ามีฤทธิ์เป็นที่เกรงกลัวของเหล่าทวยเทพได้ฟังโหรทูลดังนั้นก็กริ้ว สั่งให้จัดไพร่พลเตรียมการรับมือพระเสาร์ เกณฑ์ทหารฝีมือดีล้อมปราสาทไว้ถึง ๗ ชั้น ครั้นถึงวันที่ดวงชะตากำหนด พระเสาร์ทับลัคนา พระสี่เสาร์ก็มีอาการวิปลาส ฉวยพระขรรค์ไล่ฟันผู้คนวุ่นวายไปทั้งวัง เสนาอำมาตย์ไม่สามารถที่จะยับยั้งไว้ได้ พระองค์ทรงเครื่องกษัตริย์ ถือพระขรรค์ ขึ้นหลังม้าเหาะไปจากเมือง ฝ่ายนางอนันตเทวีผู้เป็นชายาส่งคนออกติดตามด้วยความห่วงใยก็ไม่พบ
พระสี่เสาร์ทรงม้าเหาะไปถึงกลางป่าก็ลงสู่พื้นดิน ด้วยอำนาจเคราะห์กรรมทำให้ม้าไม่สามารถเหาะได้ พระองค์จูงม้าเดินไปด้วยความเหนื่อยอ่อนจนถึงทุ่งนากว้างใหญ่ ขณะนั้นชาวนาผู้หนึ่งออกไปขับไล่ฝูงนกที่ลงมากินข้าวในนา วางกระบายใส่อาหารไว้แล้วมีสุนัขลอบมาคาบกระบายนั้นไป เคราะห์กรรมของพระสี่เสาร์บันดาลให้มงกุฎที่สวมอยู่บนพระเศียรกลับกลายเป็นกระบายไปทันที ชาวนาสำคัญว่าพระสี่เสาร์ขโมยกระบายของตนจึงตรงเข้าทุบตีจนบาดเจ็บสาหัสและชิงเอากระบายที่ครอบพระเศียรไป
พระสี่เสาร์จูงม้าเดินต่อไปถึงทุ่งนาอีกแห่งหนึ่งซึ่งเจ้าของนาถูกขโมยลักลอบเกี่ยวข้าวไปเนือง ๆ แลเห็นพระสี่เสาร์ก็เข้าใจว่าเป็นขโมย บัดดลพระขรรค์ในพระหัตถ์ก็กลับกลายเป็นเคียวไปอีก เจ้าของนาจึงทุบตีและชิงเอาพระขรรค์ที่กลายเป็นเคียวนั้นไป พระองค์จูงม้าเลยไปถึงทุ่งข้าวอีกแห่งหนึ่ง เจ้าของนาผูกวัวไว้แล้วไปเกี่ยวข้าว บังเอิญวันนั้นวัวเกิดเป็นสัด สะบัดจนเชือกที่ผูกอยู่ขาดแล้ววิ่งไปเข้ารวมอยู่ในฝูงวัวตัวเมีย ทันใดนั้นเองม้าของพระสี่เสาร์ก็กลายเป็นวัว เจ้าของนาเข้าใจว่าพระสี่เสาร์ขโมยวัว ก็ตรงเข้าทำร้ายและชิงเอาวัว (ม้า) ไป
พระสี่เสาร์ได้รับความทุกข์เวทนาอย่างสาหัส ทรงดำเนินไปจนถึงเรือนของตายายชาวไร่จึงขออาศัยพักแรม ครั้นรุ่งเช้าสองตายายค้นหาเมล็ดถั่วงาเพื่อจะนำไปปลูก ปรากฏว่าเมล็ดพันธุถั่วงาหายไปทั้งหมด จึงค้นดูที่พระสี่เสาร์ ทันใดนั้นแก้วแหวนต่างๆ ที่ทรงนำติดพระองค์ไปด้วยก็กลายเป็นเมล็ดถั่วงา พระสี่เสาร์ซึ่งทรงบอบชํ้าอยู่แล้ว จึงถูกสองตายายทุบตีแล้วขับไล่เสียจากเรือน
พระองค์ทรงดำเนินไปจนถึงวัดแห่งหนึ่งก็หมดกำลัง ร้องขอความช่วยเหลือจากพระสงฆ์ สามเณรน้อยใจอารีรูปหนึ่งไปบอกให้พระสงฆ์มาช่วย สามเณรน้อยเฝ้าพยาบาลเอาใจใส่ดูแลจนพระสี่เสาร์ค่อยคลายจากอาการบาดเจ็บ พระสี่เสาร์แจ้งต่อท่านสมภารว่าจะขอบวชเป็นพระสงฆ์อยู่ในวัดนั้นด้วย ท่านสมภารไม่ขัดข้อง เตรียมผ้าไตรจีวรให้พระสี่เสาร์นำไปย้อมต้มด้วยน้ำกรัก (แก่นขนุน) พระเคราะห์ยังไม่สิ้น ขณะที่พระองค์กำลังต้มกรักอยู่นั้น มีชายผู้หนึ่งถูกโจรลักวัวไปก็ออกติดตาม แลเห็นพระสี่เสาร์จึงเข้าไปดู ทันใดนั้นกรักก็กลายเป็นเนื้อวัว น้ำกรักกลายเป็นเลือดวัว ผ้าจีวรกลายเป็นหนังวัว เจ้าของวัวเข้าใจว่าพระองค์เป็นขโมยจึงทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสแล้วชิงเอาสิ่งของทั้งหมดไป
พระสงฆ์สามเณรทั้งวัดเห็นประจักษ์แก่ตาว่าทุกอย่างเป็นผลของเคราะห์กรรม เกรงว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะติดตามมาจับกุม จึงขอให้พระสี่เสาร์ออกจากวัดไป
กล่าวถึงท้าวกินนุวัตเจ้าเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง มีชายาชื่อนางสุทธิเทวีและมีธิดารูปงามชื่อนางสุทัตต์ โหรทำนายว่านางสุทัตต์จะทำให้พระองค์ใด้รับความเสื่อมเสีย จึงขับไล่นางออกจากเมือง ให้ปลูกตำหนักอยู่กับเหล่าสาวใช้ นางสุทัตต์มีจิตใจโอบอ้อมอารี ตั้งโรงทานบริจาคอาหารและสิ่งของแก่ผู้ยากไร้เป็นประจำ
พระสี่เสาร์เหลือภูษาติดพระองค์เพียงผืนเดียว ทรงดำเนินระหกระเหินมาจนถึงเมืองกินนุวัต ด้วยบุพเพสันนิวาสจึงได้นางสุทัตต์เป็นชายา อยู่มาจนประสูติโอรสองค์หนึ่งนามว่า สุทัตศรี ท้าวกินนุวัตทรงทราบว่าธิดาได้สวามีเป็นคนเข็ญใจก็กริ้วนัก หาทางที่จะฆ่าพระสี่เสาร์ให้จงได้ วันหนึ่งจึงรับสั่งให้จองจำพระสี่เสาร์ไว้ นางสุทัตต์อ้อนวอนให้มารดาทูลขอโทษ ต่อมาท้าวกินนุวัตได้ทราบว่าชายเข็ญใจสามีของนางสุทัตต์คือพระสี่เสาร์ก็มีความเกรงกลัวยิ่งนัก จึงถวายบ้านเมืองให้ครอบครอง
เวลาล่วงไปสองปีครึ่งพระเสาร์ก็โคจรออกจากลัคนา สิ้นพระเคราะห์ สิ่งของต่างๆที่เคยกลับกลายก็คืนรูปดังเดิม กระบายเป็นมงกุฎ เคียวเป็นพระขรรค์ วัวเป็นม้า ฯลฯ ชาวนาชาวไร่ที่ครอบครองอยู่ต่างก็พากันตกใจ เกรงความผิดจะถึงตัวจึงนำสิ่งของทั้งนั้นไปถวายท้าวกินนุวัต
เมื่อพระสี่เสาร์ได้ของสำคัญทั้งหมดคืนมาแล้ว ทรงคิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นผลของเคราะห์กรรมจึงมิได้พยาบาทจองเวรกับผู้ที่เคยทำร้ายพระองค์ ทั้งยังประทานรางวัลให้อีกมากมาย พระสี่เสาร์รำลึกถึงพระสงฆ์และเจ้าสามเณรน้อยที่เคยช่วยเหลือพระองค์ จึงนิมนต์มาฉันอาหารในวัง แล้วขอสามเณรน้อยไว้เป็นโอรสบุญธรรม ภายหลังนางอนันตเทวีทราบว่าพระสี่เสาร์ทรงพำนักอยู่ที่เมืองกินนุวัต จึงจัดกองทัพใหญ่ไปเชิญเสด็จกลับมาครองเมืองสุนทราชดังเดิม
การชำระต้นฉบับ
เรื่องพระสี่เสาร์กลอนสวดนี้ กรมศิลปากรยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่มาก่อน ต้นฉบับเป็นเอกสารสมุดไทยเก็บรักษาไว้ที่กลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก หอสมุดแห่งชาติ การตรวจสอบชำระครั้งนี้ใช้เอกสารโบราณต้นฉบับตัวเขียน ๒ สำรับ คือ
สำรับที่ ๑ |
เอกสารเลขที่ ๕๖๒ หมวดวรรณคดี หมู่กลอนสวด เรื่องพระสี่เสาร์ ประวัติ นางเครือวัลย์ เทพหัสดินทร์ มอบให้หอพระสมุดฯ เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๗๕ |
สำรับที่ ๒ |
เอกสารเลขที่ ๕๖๓ หมวดวรรณคดี หมู่กลอนสวด เรื่องพระสี่เสาร์ ประวัติ หม่อมเจ้าหญิงทิพา ประทานหอพระสมุด ฯ พุทธศักราช ๒๔๖๐ |
เนื้อหาเรื่องราวในเอกสารทั้ง ๒ สำรับมีลักษณะใกล้เคียงกัน เอกสารสำรับที่ ๑ นั้น ไม่มีบทนมัสการตอนต้น พิจารณาจากสำนวนภาษาที่ปรากฏแล้วเอกสารสำรับนี้น่าจะมีอายุเก่ากว่าเอกสารสำรับที่ ๒ แต่ถ้อยคำหลายแห่งหายไปไม่ครบตามบังคับฉันทลักษณ์ เอกสารสำรับ ที่ ๑ เริ่มต้นว่า
๏ จะกล่าวตำนาน | |
นิยายบูราณ | แต่ก่อนโพ้นมา |
เมื่อพระสรรเพชญ์ | สมเด็จศาสดา |
สร้างสมภารมา | ได้สี่อสงไขย |
๏ ยังมีเมืองหนึ่ง | |
ดังชั้นดาวดึงส์ | ประเสริฐเลิศไกร |
ช้างม้าบริบูรณ์ | เพิ่มพูนพิสมัย |
ชื่อว่าภพไตร | นันทราชพารา |
๏ ท้าวผู้เสวยราชย์ | |
ทรงนามพระบาท | สันณุราชราชา |
บุญหนักศักดิ์ใหญ่ | ที่ในโลกา |
รี้พลโยธา | เสนาเนืองนอง |
๏ เวลาเข้าเฝ้า | |
ทุกวันค่ำเช้า | มากมายก่ายกอง |
โหราพฤฒาจารย์ | ทหารเนืองนอง |
ดาบเงินดาบทอง | เพชฌฆาตซ้ายขวา |
๏ มีพระมเหสี | |
ทรงกัลยาณี | มีศรีโสภา |
ชื่อนางนพรัตน์ | หน่อท้าวกระษัตรา |
งามยิ่งเทวา | ไม่มาเทียมสอง |
๏ นักสนมกรมใน | |
ห้อมล้อมไสว | ล้วนโฉมลำยอง |
ดวงพักตร์ลักขณา | โสภาขาวผ่อง |
ดุจดาวเรืองรอง | แวดล้อมจันทรา |
๏ แสนสนิทพิศวาส | |
ด้วยโฉมนุชนาฏ | ประภาสมุกดา |
นางทรงสุบิน | ว่าบาทเบื้องขวา |
เหยียบยอดสุเมรุรา | เด็ดมณฑาทอง |
๏ ฝันเท่านั้นแล้ว | |
สมเด็จนางแก้ว | เสด็จออกจากห้อง |
ขึ้นเฝ้าเจ้าพี่ | นบบาททูลฉลอง |
แก้ฝันทั้งผอง | ถูกต้องทุกอัน |
๏ เมื่อนั้นราชา | |
ได้ฟังวาจา | กัลยาเมียขวัญ |
ให้หาโหรา | เข้ามาฉับพลัน |
อำมาตย์ผายผัน | ตามมีโองการ |
๏ บัดนั้นอำมาตย์ | |
รับสั่งพระบาท | ลินลาศมินาน |
ครั้นถึงโหรเฒ่า | บอกเล่าอาการ |
ว่าปิ่นจักรพาฬ | หาท่านโหรา |
๏ บัดนั้นโหรเฒ่า | |
แจ้งว่าปิ่นเกล้า | รับสั่งให้หา |
มาถวายบังคม | พระบรมตรัสมา |
นิมิตกัลยา | ดีร้ายเป็นไฉน |
๏ ในฝันนั้นว่า | |
องค์นางกัลยา | บาทขวาอรไท |
เหยียบเมรุมาศ | หัตถ์นาฏยื่นไป |
เด็ดมณฑาได้ | กุมไว้กับกร |
๏ บัดนั้นโหรา | |
พิเคราะห์ลัคนา | สุบินดวงสมร |
ต้องในตำรา | ทายว่าสุนทร |
จักทรงครรภ์อ่อน | แม่นแล้วทูลไป |
๏ ว่าองค์เทวี | |
ทรงสุบินดังนี้ | สวัสดีมีไชย |
จักมีบุตรา | โสภาอำไพ |
บุญหนักศักดิ์ใหญ่ | ใครไม่เทียมทัน |
ฯลฯ
เมื่อเปรียบเทียบเนื้อความจากเอกสารสำรับที่ ๑ ตามที่ยกมา เป็นตัวอย่างกับเนื้อความในเอกสารสำรับที่ ๒ ซึ่งพิมพ์อยู่ในหนังสือนี้ จะเห็นว่า เนื้อความเท่ากันเอกสารสำรับที่ ๑ ใช้คำประพันธ์เพียง ๑๔ บท แต่เอกสารสำรับที่ ๒ ขยายคำประพันธ์ยาวออกไปถึง ๒๔ บท และหากพิจารณาในแง่ของสำนวนโวหารก็จะเห็นว่าความในเอกสารสำรับที่ ๑ รัดกุมไพเราะกว่าแต่ข้อความขาดหายไปหลายแห่ง สันนิษฐานว่า เอกสารสำรับที่ ๒ น่าจะเป็นสำนวนที่มีการแต่งซ่อมในภายหลังและผู้แต่งได้ขยายรายละเอียดบางส่วนออกไปอีกโดยที่เค้าเรื่องไม่เปลี่ยนแปลง
การตรวจชำระเรื่องพระสี่เสาร์กลอนสวดเพื่อจัดพิมพ์เผยแพร่ในครั้งนี้ มุ่งที่จะรักษาเรื่องราวนิทานโบราณของไทยไว้ให้คงอยู่ จึงถือเอาเนื้อความตามเอกสารสำรับที่ ๒ เป็นหลักในการตรวจสอบ ทั้งนี้ได้ปรับอักขรวิธีบางส่วนให้ใกล้เคียงกับปัจจุบัน
อนึ่ง การพิมพ์ครั้งนี้ได้นำสำเนาต้นฉบับเอกสารสำรับที่ ๑ มาพิมพ์ไว้ตอนท้ายของหนังสือนี้ เพื่อให้ผู้สนใจศึกษาพิจารณาเปรียบเทียบความแตกต่างของสำนวนโวหารที่ปรากฏ