|
๏ เณรหนูพัดหัดประดิษฐคิดอักษร |
เปนเรื่องความตามติดท่านบิดร |
กำจัดจรจากนิเวศเชตุพน |
พอออกเรือเมื่อตวันสายัณห์ย่ำ |
ลอองน้ำค้างย้อยเปนฝอยฝน |
ตลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าเมื่อคราวจน |
ไม่มีคนเกื้อหนุนกรุณา |
โอ้ธานีศรีอยุธมนุษย์แน่น |
นับโกฏิแสนสาวแก่แซ่ภาษา |
จะหารักสักคนพอปนยา |
ไม่เห็นหน้านึกสอื้นฝืนฤทัย |
เสียแรงมีพี่ป้าหม่อมน้าสาว |
ล้วนขาวขาวคำหวานน้ำตาลใส |
มายามยืดจืดเปรี้ยวไปเจียวใจ |
เหลืออาไลยลมปากจะจากจร |
ถึงวัดระฆังบังคมบรมธาตุ |
แทบพระบาทบุษบงสุ์องค์อัปศร |
ไม่ทันลับกัปกัลป์พุทธันดร |
พระด่วนจรสู่สวรรค์ครรไล |
ละสมบัติขัติยาทั้งข้าบาท |
โอ้อนาถนึกน่าน้ำตาไหล |
เปนสูญลับนับปีแต่นี้ไป |
เหลืออาไลยแล้วที่พระมีคุณ |
ถึงจนยากบากมาเปนข้าบาท |
ไม่ขัดขาดเข้าเกลือช่วยเกื้อหนุน |
ทรงศรัทธากล้าหาญในการบุญ |
โอ้พระคุณขาดยศทั้งงดงาม |
แม้นตกยากพรากพลัดไปขัดข้อง |
พัดกับน้องหนูตาบจะหาบหาม |
นี่จนใจไปป่าช้าพนาราม |
สุดจะตามเสด็จได้ดังใจจง |
ขออยู่บวชกรวดน้ำสุรามฤตย์ |
อวยอุทิศผลผลาอานิสงษ์ |
สนองคุณภูลสวัสดิ์ขัติยวงศ์ |
เปนรถทรงสู่สถานวิมานแมน |
มีสุรางค์นางขับสำหรับกล่อม |
ล้วนเนื้อหอมน้อมเกล้าอยู่เฝ้าแหน |
เสวยรมย์โสมนัศไม่ขัดแคลน |
เปนของแทนทานาฝ่าลออง |
พระคุณเอ๋ยเคยทำนุบอุปถัมภ์ |
ได้อิ่มหนำค่ำเช้าไม่เศร้าหมอง |
แม้นทูลลามากระนี้ทั้งพี่น้อง |
ไหนจะต้องตกยากลำบากกาย |
นี่สิ้นบุญทูลกระหม่อมจึงตรอมอก |
ต้องระหกระเหินไปน่าใจหาย |
เห็นที่ปลงทรงสูญยังมูนทราย |
แสนเสียดายดังจะดิ้นสิ้นชีวัน |
ทั้งหนูตาบกราบไหว้ร้องไห้ว่า |
จะคมลาลับไปในไพรสัณฑ์ |
เคยเวียนเฝ้าเกล้าจุกให้ทุกวัน |
สารพรรณพึ่งพาไม่อนาทร |
ถึงปากง่ามบอกนามบางกอกน้อย |
ยิ่งเศร้าสร้อยทรวงน้องดังต้องศร |
เหมือนน้อยทรัพย์ลับหน้านิราวรณ์ |
ไปแรมรอนราวไพรใจรัญจวน |
เคยชมเมืองเรืองระยับจะลับแล้ว |
ไปชมแถวทุ่งนาล้วนป่าสวน |
เคยดูดีพี่ป้าหน้านวลนวล |
จะว่างเว้นเห็นล้วนแต่มอมแมม |
เคยชมชื่นรื่นรศแป้งสดสอาด |
จะชมหาดเห็นแต่จอกกับดอกแขม |
โอ้ใจจืดมืดเหมือนเมื่อเดือนแรม |
ไม่เยื้อนแย้มกลีบกลิ่นให้ดิ้นโดย |
เสียดายดวงพวงผกามณฑาทิพ |
เห็นลิบลิบแลชวนให้หวนโหย |
เพราะห่วงพุ่มภุมรินไม่บินโบย |
จะร่วงโรยรศสิ้นกลิ่นผกา |
ถึงบางพรมพรหมมีอยู่สี่ภักตร์ |
คนรู้จักแจ้งจิตรทุกทิศา |
ทุกวันนี้มีมนุษย์อยุธยา |
เปนร้อยหน้าพันหน้ายิ่งกว่าพรหม |
โอ้คิดไปใจหายเสียดายรัก |
เหมือนเกรียกจักแจกซีกกระผีกผม |
จึงเจ็บอกฟกช้ำระกำตรม |
เพราะลิ้นลมล่อลวงจะช่วงใช้ |
ถึงบางจากน้องไม่มีที่จะจาก |
โอ้วิบากกรรมสร้างแต่ปางไหน |
พเอิญหญิงชิงชังน่าคลั่งใจ |
จะรักใคร่เขาไม่มีปรานีเลย |
ถึงบางพลูพลูใบใส่ตะบะ |
ถวายพระเพราะกำพร้านิจาเอ๋ย |
แม้นมีใครใจบุญที่คุ้นเคย |
จะได้เชยพลูจีบหมากดิบเจียน |
นี่จนใจได้แต่ลมมาชมเล่น |
เปรียบเหมือนเช่นฉากฉายพอหายเหียน |
แม้นเห็นรักจักได้ตามด้วยความเพียร |
ฉีกทุเรียนหนามหนักดูสักคราว |
ถึงบางอ้อคิดจะใคร่ได้ไม้อ้อ |
ทำแพนซอเสียงแจ้วเที่ยวแอ่วสาว |
แต่ยังไม่เคยเชยโฉมประโลมลาว |
สุดจะกล่าวกล่อมปลอบให้ชอบใจ |
ถึงบางซ่อนซ่อนเงื่อนไม่เยื้อนแย้ม |
ถึงหนามแหลมเหลือจะบ่งที่ตรงไหน |
โอ้บางเขนเวรสร้างไว้ปางใด |
จึงเข็ญใจจนไม่มีที่จะรัก |
เมื่อชาติน่ามาเกิดให้เลิศโลก |
ประสิทธิโชคชอบฤไทยทั้งไตรจักร |
กระจ้อยร่อยกลอยใจวิไลยลักษณ์ |
ให้สาวรักสาวกอดตลอดไป |
ตลาดแก้วแล้วแต่ล้วนสวนสล้าง |
เปนชื่ออ้างออกนามตามวิไสย |
แม้นขายแก้วแววฟ้าที่อาไลย |
จะซื้อใส่บนสำลีประชีรอง |
ประดับเรือนเหมือนหนึ่งเพ็ชรสำเร็จแล้ว |
ถนอมแก้วกลอยใจมิให้หมอง |
ไม่เหมือนนึกตรึกตราน้ำตานอง |
เห็นแต่น้องหนูแนบแอบอุรา |
ถึงวัดตั้งฝั่งสมุทพระพุทธร้าง |
ว่าท่านวางไว้ให้คิดปฤษณา |
แม้นแก้ไขไม่ออกเอาที่ตอกตา |
นึกก็น่าหัวเราะจำเภาะเปน |
จะคิดมั่งยังคำที่ร่ำบอก |
จะไปตอกที่ตรงไหนก็ไม่เห็น |
ดูลึกซึ้งถึงจะคิดก็มิดเม้น |
พอยามเย็นยอแสงแฝงพโยม |
ถึงวัดเขียนเหมือนหนึ่งเพียรเขียนอักษร |
กลกลอนกล่าวกล่อมถนอมโฉม |
เดชะชักรักลักลอบปลอบประโลม |
ขอให้โน้มน้อมจิตรสนิทใน |
ถึงคลองบางขวางบางศรีทองมองเขม้น |
ไม่แลเห็นศรีทองที่ผ่องใส |
แม้นทองคำธรรมดาจะพาไป |
นี่มิใช่ศรีทองเปนคลองบาง |
พอลมโบกโศกสวนมาหวนหอม |
เหมือนโศกตรอมตรึกตรองมาหมองหมาง |
ถึงบางแวกแยกคลองเปนสองทาง |
เหมือนจืดจางใจแยกไปแตกกัน |
ตลาดขวัญขวัญฉันนี้ขวัญหาย |
ใครเขาขายขวัญฤๅจะซื้อขวัญ |
แม้นขวัญฟ้าหน้าอ่อนเหมือนท่อนจันทร์ |
จะรับขวัญเช้าเย็นไม่เว้นวาง |
ถึงบางขวางขวางอื่นสักหมื่นแสน |
ถึงต่างแดนดงดอนศิงขรขวาง |
จะตามไปให้ถึงห้องประคองคาง |
แต่ขัดขวางขวัญความขามระคาย |
เห็นสวาดขาดทิ้งกิ่งสนัด |
เปนรอยตัดต้นสวาดให้ขาดสาย |
สวาดิ์พี่นี้ก็ขาดสวาดิ์วาย |
แสนเสียดายสายสวาดิ์ที่ขาดลอย |
เห็นรักน้ำพร่ำออกทั้งดอกผล |
ไม่มีคนรักรักมาหักสอย |
เปนรักเปล่าเศร้าหมองเหมือนน้องน้อย |
เที่ยวล่องลอยเรือรักจนหนักเรือ |
ถึงบ้านบางธรณีแล้วพี่จ๋า |
แผ่นสุธาก็ไม่ไร้ไม้มะเขือ |
เขากินหมูหนูพัดจะกัดเกลือ |
ไม่ถ่อเรือแหหาปลาตำแบ |
ถึงปากเกร็ดเตร็จเตร่มาเร่ร่อน |
เที่ยวสัญจรตามละลอกเหมือนจอกแหน |
มาถึงเกร็ดเขตรมอญสลอนแล |
ลูกอ่อนแออุ้มจูงพะรุงพะรัง |
ดูเรือนไหนไม่เว้นเห็นลูกอ่อน |
ไม่หยุดหย่อนอยู่ไฟจนไหม้หลัง |
ไม่ยิ่งยอดปลอดเปล่าเหมือนชาววัง |
ล้วนเปล่งปลั่งปลื้มใจมาไกลตา |
พอออกคลองล่องลำแม่น้ำวก |
เห็นนกหกเหินร่อนว่อนเวหา |
กระทุงทองล่องเลื่อนค่อยเคลื่อนคลา |
ดาษดาดอกบัวขาวคลัวเคลีย |
นกกาน้ำดำปลากระสาสูง |
เปนฝูงฝูงเข้าใกล้มันไปเสีย |
นกยางขาวเหล่านกยางมีหางเปีย |
ล้วนตัวเมียหมดสิ้นทั้งดินแดน |
ถึงเดือนไข่ไปลับแลเมืองแม่หม้าย |
ขึ้นไข่ชายเขาโขดนับโกฏิแสน |
พอบินได้ไปประเทศทุกเขตรแคว้น |
คนทั้งแผ่นดินมิได้ไข่นกยาง |
โอ้นึกหวังสังเวชประเภทสัตว์ |
ต้องขาดขัดคู่ครองจึงหมองหมาง |
เหมือนอกชายหมายมิตรคิดระคาง |
มาอ้างว้างอาทวาเอกากาย |
ถึงบ้านลาวเห็นแต่ลาวพวกชาวบ้าน |
ล้วนหูยานอย่างบ่วงเหมือนห่วงหวาย |
ไม่เหมือนลาวชาวกรุงที่นุ่งลาย |
ล้วนกรีดกรายหยิบหย่งทรงสำอาง |
ถึงบางพูดพูดมากคนปากหมด |
มีแต่ปดเปนอันมากเขาถากถาง |
ที่พูดน้อยค่อยประคิ่นลิ้นลูกคาง |
เหมือนหญิงช่างฉอเลาะปะเหลาะชาย |
ถึงบางกระไนได้เห็นหน้าบรรดาพี่ |
พวกนารีเรืออ้อยเที่ยวลอยขาย |
ดูจริตติดจะงอนเปนมอญกลาย |
ล้วนแต่งกายกันไรเหมือนไทยทำ |
แต่ไม่มีกิริยาด้วยผ้าห่ม |
กระพือลมแล้วไม่ป้องปิดของขำ |
ฉันเตือนว่าผ้าแพรลงแช่น้ำ |
อ้อยสองลำนั้นจะเอาสักเท่าไร |
เขารู้ตัวหัวร่อว่าพ่อน้อย |
มากินอ้อยแอบแฝงแถลงไข |
รู้กระนี้มิอยากบอกมิออกไย |
น่าเจ็บใจจะต้องจำเปนตำรา |
ถึงไผ่รอบขอบเขื่อนดูเหมือนเขียน |
ชื่อวัดเทียนถวายอยู่ฝ่ายขวา |
ข้างซ้ายมือชื่อบ้านใหม่ทำไร่นา |
นางแม่ค้าขายเต่าสาวทำทึก |
ปิดกระหมับจับกระเหม่าเข้ามินหม้อ |
ดูมอซอสีสันเปนมันหมึก |
ไม่เหมือนเหล่าชาวสวนหวนรำฦก |
เมื่อไม่นึกแล้วก็ใจมิใครฟัง |
พอฟ้าคล้ำค่ำพลบเสียงกบเขียด |
ร้องกรีดเกรียดเกรียวแซ่ดังแตรสังข์ |
เหมือนเสียงฆ้องกลองโหมประโคมวัง |
ไม่เห็นฝั่งฟั่นเฟือนด้วยเดือนแรม |
ลำภูรายชายตลิ่งล้วนหิ่งห้อย |
สว่างพรอยแพร่งพรายขึ้นปลายแขม |
อร่ามเรืองเหลืองงามวามวามแวม |
กระจ่างแจ่มจับน้ำเห็นลำเรือ |
ถึงย่านขวางบางทะแยงเปนแขวงทุ่ง |
ดูเวิ้งวุ้งหว่างละแวกล้วนแฝกเฝือ |
เห็นไรไรไม้พุ่มครุมครุมเครือ |
เหมือนรูปเสือสิงโตรูปโคควาย |
ท่านบิดรสอนหนูให้รู้ว่า |
มันผินหน้าออกนั้นกันฉิบหาย |
แม้นปากมันผันเข้าข้างเจ้านาย |
จะล้มตายพรายพลัดเร่งตัดรอน |
จารึกไว้ให้เปนทานทุกบ้านช่อง |
ฉันกับน้องนี้ได้จำเอาคำสอน |
ดึกกำดัดสัตว์หลับประทับนอน |
ที่วัดมอญเชิงรากริมปากคลอง |
ต้นไทรครึ้มงึ้มเงียบเซียบสงัด |
พระพายพัดแผ้วผ่าวหนาวสยอง |
เปนป่าช้าอาวาศปีศาจคนอง |
ฉันพี่น้องมิได้คลาศบาทบิดา |
ท่านนอนหลับตรับเสียงสำเนียงเงียบ |
เย็นยะเยียบเยือกสยองพองเกษา |
เสียงผีผิวหวิวโหวยโหยวิญญา |
ภาวนาหนาวนิ่งไม่ติงกาย |
บรรดาศิษย์บิดรที่นอนนอก |
ผีมันหลอกลากปล้ำพลิกคว่ำหงาย |
ลุกขึ้นบอกกลอกกลัวทุกตัวนาย |
มันสาดทรายกรวดโปรยเสียงโกรยกราว |
ขึ้นสั่นไทรไหวยวบเสียงสวบสาบ |
เปนเงาวาบหัวหกเห็นอกขาว |
หนูกลั่นกล้าคว้าได้รากไทรยาว |
หมายว่าสาวผมผีร้องนี่แน่ |
พอพระตื่นฟื้นกายค่อยคลายจิตร |
บรรดาศิษย์ล้อมข้างไม่ห่างแห |
ท่านห่มดองครองเคร่งไม่เล็งแล |
ขึ้นบกแต่องค์เดียวดูเปลี่ยวใจ |
สำรวมเรียบเลียบรอบขอบป่าช้า |
ภาวนาตามสงฆ์ไม่หลงใหล |
เห็นศพฝังบังสุกุลส่งบุญไป |
เห็นแสงไฟรางรางสว่างเวียน |
ระงับเงียบเซียบเสียงสำเนียงสงัด |
ประฏิพัทธพุทธคุณค่อยอุ่นเศียร |
บรรดาศิษย์คิดกล้าต่างหาเทียน |
จำเริญเรียนรุกขมูลพูลศรัทธา |
อศุภธรรมกรรมฐานประหารเหตุ |
หวนสังเวชว่าชีวังจะสังขาร์ |
อันอินทรีย์วิบัติอนัตตา |
ที่ป่าช้านี่แลเหมือนกับเรือนตาย |
กลับหายกลัวมัวเมาไม่เข้าบ้าน |
พระนิพานเพิ่มพูลเพียงสูญหาย |
อันรูปเหมือนเรือนโรคให้โศกสบาย |
แล้วต่างตายตามกันไปมั่นคง |
ค่อยคิดเห็นเย็นเยียบไม่เกรียบกริบ |
ประสานสิบนิ้วนั่งดังประสงค์ |
พยายามตามจริตท่านบิตุรงค์ |
สำรวมทรงศีลธรรมที่จำเจน |
ประจงจดบทบาทค่อยยาตรย่าง |
ประพฤติอย่างโยคามหาเถร |
ประทับทุกรุกรอบขอบพระเมรุ |
จนพระเณรในอารามตื่นจามไอ |
ออกจงกรมสมณาษมาโทษ |
ร่มนิโรธน้องไม่เสื่อมที่เลื่อมใส |
แผ่กุศลจนจบทั้งภพไตร |
จากพระไทรแสงทองผ่องพะโยม |
เลยบางหลวงล่วงทางมากลางแจ้ง |
ถึงบ้านกระแชงหุงจังหันฉันผักโหม |
ยังถือมั่นขันตีนี้ประโลม |
ถึงรูปโฉมพาหลงไม่งงงวย |
พอเสียงฆ้องกองแซ่เขาแห่นาค |
ผู้หญิงมากมอญเก่าสาวสาวสวย |
ร้องลำนำรำฟ้อนอ่อนระทวย |
พากันช่วยเขาแห่ได้แลดู |
ถือขันตีทีนั้นก็ขันแตก |
ทั้งศิลแซกสูดออกกระบอกหู |
ฉันนี้เคราะห์เพราะนางห่มสีชมพู |
พาความรู้แพ้รักประจักษ์จริง |
แค้นด้วยใจไนยนานิจาเอ๋ย |
กระไรเลยแล่นไปอยู่กับผู้หญิง |
ท่านบิดาว่ามันติดกว่าปลิดปลิง |
ถูกจริงจริงจึงจดเปนบทกลอน |
ถึงต้องง้าวหลาวแหลนสักแสนเล่ม |
ให้ติดเต็มตัวฉุดพอหลุดถอน |
แต่ต้องตาพาใจอาไลยวรณ์ |
สุดจะถอนทิ้งขว้างเสียกลางคัน |
ทั้งหนูกลั่นนั้นคนองจะลองทิ้ง |
บอกให้หญิงรำรับขยับหัน |
ถ้าทิ้งถูกลูกละบาทประกาศกัน |
เขารับทันเราก็ให้ใบละเฟื้อง |
นางน้อยน้อยพลอยสนุกลุกขึ้นพร้อม |
งามละม่อมมีแต่สาวล้วนขาวเหลือง |
ใส่จริตกรีดกรายชายชำเลือง |
ขยับเยื้องยิ้มแย้มแฉล้มลอย |
ต่างหมายมุ่งตุ้งติ้งทิ้งหมากดิบ |
เขาฉวยฉิบเฉยหน้าไม่ราถอย |
ไม่มีถูกลูกดิ่งทั้งทิ้งทอย |
พวกเพื่อนพลอยทิ้งบ้างห่างเปนวา |
ฉันลอบลองสองลูกถูกจำนับ |
ถูกปุ่มปับปากกรีดหวีดผวา |
ร้องอยู่แล้วแก้วพี่มานี่นา |
พวกมอญฮาโห่แห่ออกแซ่ไป |
พอเลยนาคบากข้ามถึงสามโคก |
เปนคำโลกสมมุติสุดสงไสย |
ถามบิดาว่าผู้เถ้าท่านกล่าวไว้ |
ว่าท้าวไทพระอู่ทองเธอกองทรัพย์ |
หวังจะไว้ให้ประชาเปนค่าจ้าง |
ด้วยจะสร้างบ้านเมืองเครื่องประดับ |
พอห่ากินสิ้นบุญไปสูญลับ |
ทองก็กลับกลายสิ้นเปนดินแดง |
จึงที่นี้มีนามชื่อสามโคก |
เปนคำโลกสมมุติสุดแถลง |
ครั้งพระโกษฐโปรดปรานประทานแปลง |
ที่ตำแหน่งมอญมาสามิภักดิ์ |
ชื่อประทุมธานีที่เสด็จ |
เดือนสิบเบ็ดบัวออกทั้งดอกฝัก |
มารับส่งตรงนี้ที่สำนัก |
พระยาพิทักษ์ทวยหาญผ่านภารา |
ได้รู้เรื่องเมืองประทุมค่อยชุ่มชื่น |
ดูภูมิ์พื้นวัดบ้านขนานน่า |
เห็นพวกชายฝ่ายมอญแต่ก่อนมา |
ล้วนสักขาเขียนหมึกจารึกพุง |
ฝ่ายสาวสาวกล้าวมวยสวยสอาด |
แต่ขยาดอยู่ว่านุ่งผ้าถุง |
ทั้งห่มผ้าตาหรี่เหมือนสีรุ้ง |
ทั้งผ้านุ่งนั้นก็อ้อมลงกรอมตีน |
เมื่อยกเท้าก้าวย่างสว่างแวบ |
เหมือนฟ้าแลบแลผาดแทบขาดศีล |
นี่หากเห็นเปนเด็กแม้นเจ๊กจีน |
เจียนจะปีนซุ่มซ่ามไปตามนาง |
ชาวบ้านนั้นปั้นอีเลิ้งใส่เพิงพะ |
กระโถนกระทะอ่างโอ่งกระโถงกระถาง |
เขาวานน้องร้องถามไปตามทาง |
ว่าบางขวางฤๅไม่ขวางพี่นางมอญ |
เขาเบือนหน้าว่าไม่รู้ดูเถิดเจ้า |
จงถามเขาคนข้างหลังที่นั่งสลอน |
ไม่ตอบปากบากน่านาวาจร |
คารมมอญมิใช่เบาเหมือนชาวเมือง |
ถึงบ้านงิ้วงิ้วต้นแต่พ้นหนาม |
ไม่งอนงามเหมือนแม่งิ้วที่ผิวเหลือง |
เมื่อแลพบหลบภักตร์ลักชำเลือง |
ดูปลดเปลื้องเปล่งปลั่งกำลังโลม |
มาลับนวลหวนให้เห็นไม้งิ้ว |
เสียดายผิวภักตร์ผ่องจะหมองโฉม |
เพราะเสียรักหนักหน่วงน่าทรวงโทรม |
ใครจะโลมเลียมรศช่วยชดเจือ |
ถึงโพแตงคิดถึงแตงที่แจ้งจัก |
ดูน่ารักรศชาติประหลาดเหลือ |
แม้นลอยฟ้ามาเดี๋ยวนี้ที่ในเรือ |
จะฉีกเนื้อนั่งกลืนให้ชื่นใจ |
ถึงเกาะหาดราชครามรำรามรก |
เห็นนกหกหากินบินไสว |
เขาถากถางกว้างยาวทั้งลาวไทย |
ทำนาไร่ร้านผักรั้วฟักแฟง |
สุดละเมาะเกาะกว้างสว่างโว่ง |
แลตะโล่งลิบเนตรทุกเขตรแขวง |
เห็นควันไฟไหม้ป่าจับฟ้าแดง |
ฝูงนกแร้งร่อนตัวเท่าถั่วดำ |
โอ้เช่นนี้มีคู่มาดูด้วย |
จะชื่นช่วยชมชิมได้อิ่มหนำ |
มายามเย็นเห็นแต่ของที่น้องทำ |
เหลือจะรำฦกโฉมประโลมลาน |
ถึงด่านทางบางไทรไขว่เฉลว |
เห็นไพร่เลวหลายคนอยู่บนด่าน |
ตุ้งก่าตั้งนั่งชักควักน้ำตาล |
คอยว่าขานขู่คนลงค้นเรือ |
ไม่เห็นของต้องห้ามก็ลามขอ |
มละกอกุ้งแห้งแตงมะเขือ |
ขอส้มสุกจุกจิกทั้งพริกเกลือ |
จนชาวเรือเหลือระอาด่าในใจ |
แต่ลำเราเขาไม่ค้นมาพ้นด่าน |
ดูภูมิฐานทิวชลาพฤกษาไสว |
ถึงอารามนามอ้างวัดบางไทร |
ต้นไทรใหญ่อยู่ที่นั่นน้องวันทา |
เทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตย์พุ่ม |
เพราะเคยอุ้มอุณรุทสมอุษา |
ใคร่น่าจูบรูปร่างเหมือนนางฟ้า |
ช่วยอุ้มพามาให้เถิดจะเชิดชม |
ถนอมแนบแอบอุ้มนุ่มนุ่มนิ่ม |
ได้แย้มยิ้มจวนจิตรสนิทสนม |
นอนเอนหลังนั่งเล่นเย็นเย็นลม |
ชมพนมแนวไม้รำไรราย |
ดูเย่าเรือนเหมือนเขียนเตียนตลิบ |
เห็นลิบลิบแลไปจิตรไจหาย |
เขาปลูกฟักผักถั่วจูงวัวควาย |
ชมสบายบอกแจ้งตำแหน่งนาม |
ถึงเกาะเกิดเกิดสวัสดิ์พิพัฒน์ผล |
อย่าเกิดคนติเตียนเปนเสี้ยนหนาม |
ให้เกิดลาภราบเรียบเงียบเงียบงาม |
เหมือนหนึ่งนามเกาะเกิดประเสริฐทรง |
ถึงเกาะพระไม่เห็นพระปะแต่เกาะ |
แต่ชื่อเพราะชื่อพระสละหลง |
พระของน้องนี้ก็นั่งมาทั้งองค์ |
ทั้งพระสงฆ์เกาะพระมาประชุม |
ขอคุณพระอนุเคราะห์ทั้งเกาะพระ |
ให้เปิดปะตรุทองสักสองขุม |
คงจะมีพี่ป้ามาชุมนุม |
ชอ้อนอุ้มแอบอุราเปนอาจินต์ |
ถึงเกาะเรียงเคียงคลองเปนสองแยก |
ป่าละแวกวังราชประพาศสินธุ์ |
ได้นางห้ามงามพร้อมชื่อหม่อมอิน |
จึงตั้งถิ่นที่เพราะเสนาะนาม |
หวังถวิลอินน้องลอองเอี่ยม |
แสนเสงี่ยมงามพร้อมเหมือนหม่อมห้าม |
จะหายศอุส่าห์พยายาม |
คงจะงามภักตร์พร้อมเหมือนหม่อมอิน |
อาไลยน้องตรองตรึกรำฦกถึง |
หวังจะพึ่งผูกจิตรคิดถวิล |
เวลาเย็นเห็นนกวิหคบิน |
ไปที่ถิ่นทำรังประนังนอน |
บ้างแนบคู่ชูคอเข้าซ้อแซ้ |
เสียงจอแจโจนจับสลับสลอน |
บ้างคลอเข้าเคล้าเคียงประเอียงอร |
เอาปากป้อนปีกปกอกประคอง |
ที่ไร้คู่อยู่เปลี่ยวเที่ยวเดี่ยวโดด |
ไม่เต้นโลดแลเหงาเหมือนเศร้าหมอง |
ลูกน้อยน้อยคอยแม่ชแง้มอง |
เหมือนอกน้องตามน้อยกลอยฤไทย |
มาตามติดบิดากำพร้าแม่ |
สุดจะแลเหลียวหาที่อาไศรย |
เห็นลูกนกอกน้องนี้หมองใจ |
ที่ฝากไข้ฝากผีไม่มีเลย |
ถึกเกาะเรียนเรียนรักก็หนักอก |
แสนวิตกเต็มตรองเจียวน้องเอ๋ย |
เมื่อเรียนกนจนจบถึงกบเกย |
ไม่ยากเลยเรียนได้ดังใจจง |
แต่เรียนรักรักนักก็มักหน่าย |
รักละม้ายมิได้ชมสมประสงค์ |
ยิ่งรักมากพากเพียรยิ่งเวียนวง |
มีแต่หลงลมลวงน่าทรวงโทรม |
มาถึงวัดพนังเชิงเทิงถนัด |
ว่าเปนวัดเจ้าฟ้าพระกลาโหม |
ผนังก่อย่อมุมเปนซุ้มโคม |
ลอยโพยมเยี่ยมฟ้านภาไลย |
มีศาลาท่าน้ำดูฉ่ำชื่น |
ร่มระรื่นรุกขาน่าอาไศรย |
บิดาพร่ำร่ำเล่าให้เข้าใจ |
ว่าพระใหญ่อย่างเยี่ยงที่เสี่ยงทาย |
ถ้าบ้านเมืองเคืองเข็ญจะเปนเหตุ |
ก็อาเพศพังหลุดทรุดสลาย |
แม้ภาราผาศุกสนุกสบาย |
พระภักตร์พรายเพราพริ้มดูอิ่มองค์ |
แต่เจ็ดย่านบ้านนั้นก็นับถือ |
ร้องเรียกชื่อว่าพระเจ้าปูนเถาก๋ง |
ด้วยบนบานการได้ดังใจจง |
ฉลององค์พุทธคุณกรุณัง |
แล้วก็ว่าถ้าใครน้ำใจบาป |
จะเข้ากราบเกรงจะทับต้องกลับหลัง |
ตรงหน้าท่าสาชลเปนวนวัง |
ดูพลั่งพลั่งพลุ่งเชี่ยวน่าเสียวใจ |
เข้าจอดเรือเหนือน่าศาลาวัด |
โสมนัศน้องไม่เสื่อมที่เลื่อมใส |
ขึ้นเดินเดียวเที่ยวหาสุมาไลย |
จำเภาะได้ดอกโศกที่โคกนา |
กับดอกรักหักเด็ดได้เจ็ดดอก |
พอใส่จอกจัดแจงแบ่งบุบผา |
ให้กลั่นมั่งทั้งบุนนาคเพื่อนยากมา |
ท่านบิดาดีใจกะไรเลย |
ว่าโศกรักมักร้ายต้องพรายพลัด |
ถวายวัดเสียถูกแล้วลูกเอ๋ย |
แล้วห่มดองครองงามเหมือนตามเคย |
ลีลาเลยเลียบตะพานขึ้นลานทราย |
โอ้รินรินกลิ่นพิกุลมาฉุนชื่น |
หอมแก้วรื่นเรณูไม่รู้หาย |
หอมจำปาน่าโบสถ์สาโรชราย |
ดอกกระจายแจ่มกลีบดังจีบเจียน |
ดูกุฎีวิหารสอ้านสอาด |
รุกขชาติพุ่มไสวเหมือนไม้เขียน |
ดูภูมิพื้นรื่นราบด้วยปราบเตียน |
แล้วเดินเวียนทักษิณพระชินวร |
ได้สามรอบชอบธรรมท่านนำน้อง |
เข้าในห้องเห็นพระเจ้าเท่าศิงขร |
ต่างจุดธูปเทียนถวายขจายจร |
ท่านบิดรได้ประกาศว่าชาตินี้ |
ทั้งรูปชั่วตัวดำทั้งต่ำศักดิ์ |
ถวายรักไว้กับศีลพระชินสีห์ |
ต่อเมื่อไรใครรักมาภักดี |
จะอารีรักตอบด้วยขอบคุณ |
แต่หนูกลั่นนั้นว่าจะหาสาว |
ที่เล็บยาวโง้งโง้งเหมือนโก่งกระสุน |
ทั้งเนื้อหอมกล่อมเกลี้ยงเพียงพิกุล |
กอดให้อุ่นอ่อนก็ว่าไม่น่าฟัง |
ฉันกับน้องมองแลดูแต่พระ |
สาธุสะสูงกว่าฝาผนัง |
แต่พระเพลาเท่าป้อมที่ล้อมวัง |
สำรวมนั่งปลั่งเปล่งเพ่งพินิจ |
ตัวของหนูดูจิ๋วเท่านิ้วพระหัดถ์ |
โตถนัดหนักนักจึงศักดิ์สิทธิ์ |
ศิโรราบกราบก้มบังคมคิด |
รำพึงพิศถานในใจจินดา |
ขอเดชะพระกุศลที่ปรนนิบัติ |
ที่หนูพัดพิศวาศพระศาสนา |
มาเคารพพบพุทธปฏิมา |
เปนมหาอัศจรรย์ในสันดาน |
ขอผลาอานิสงส์จงสำเร็จ |
สรรเพ็ชญ์พ้นหลงในสงสาร |
แม้นยังไปไม่ถึงที่พระนิฤพาน |
ขอสำราญราคีอย่าบีฑา |
จะพากเพียรเรียนวิไสยแต่ไตรเพท |
ให้วิเศษแสนเอกทั้งเลขผา |
แม้นรักใครให้คนนั้นกรุณา |
ชนมายืนเท่าเขาพระเมรุ |
ขอรู้ทำคำแปลแก้วิมุติ |
เหมือนพระพุทธโฆษามหาเถร |
มีกำลังดังมาฆสามเณร |
รู้จัดเจนแจ้งจบทั้งภพไตร |
อนึ่งเล่าเจ้านายที่หมายพึ่ง |
ให้ทราบซึ่งสุจริตพิศมัย |
อย่าหลงลิ้นหินชาติขาดอาไลย |
น้ำพระไทยทูลเกล้าให้ยาวยืน |
แล้วลาพระปฏิมาลีลาล่อง |
เข้าในคลองสวนพลูค่อยชูชื่น |
ชมแต่ไม้ไผ่พุ่มดูชุ่มชื้น |
หอมระรื่นลำดวนรัญจวนใจ |
โอ้ยามนี้มิได้พบน้ำอบสด |
มาเชยรศบุบผาน้ำตาไหล |
ยิ่งเสียวทรวงง่วงเหงาเศร้าฤไทย |
มาเหงื่อไคลคล่ำตัวต้องมัวมอม |
นิจาเอ๋ยเคยบำรุงผ้านุ่งห่ม |
เคยอบรมร่ำกลิ่นไม่สิ้นหอม |
เหมือนหายยศหมดรักมาปลักปลอม |
จนซูบผอมผิวคล้ำระกำใจ |
จึงมาหายาอายุวัฒนะ |
ตามได้ปะลายแทงแถลงไข |
เข้าลำคลองล่องเรือมาเหลือไกล |
ถึงวัดใหญ่ชายทุ่งดูวุ้งเวิ้ง |
พระเจดีย์ที่ยังอยู่ดูตระหง่าน |
เปนประธานทิวทุ่งดูสูงเทิ่ง |
ต้นโพธิ์ไทรไผ่พุ่มเปนซุ้มเซิง |
ขึ้นรอบเชิงชั้นล่างข้างเจดีย์ |
เสียดายนักหักทรุดชำรุดร้าง |
ใครจะสร้างสูงเกินจำเริญศรี |
ท่านบิดาว่าถึงให้ใหญ่กว่านี้ |
ก็ไม่มีผู้ใดว่าใหญ่โต |
ผู้หญิงย่านบ้านเราชาวบางกอก |
เขาอมกลอกกลืนพระเสียอโข |
แต่พระเจ้าเสาชิงช้าที่ท่าโพธิ์ |
ก็เต็มโตชาววังเขายังกลืน |
ฉันกลัวบาปกราบพระอย่าปะพบ |
ไม่ขอคบคนโขมดที่โหดหืน |
พอฟ้าคลุ้มพุ่มพฤกษ์ดูครึกครื้น |
เงาทมื่นมืดพยับอับพโยม |
พยุฝนอนธการสท้านทุ่ง |
เปนฝุ่นฟุ้งฟ้าฮือกระพือโหม |
น้ำค้างชะประเปรยเชยชโลม |
ท่านจุดโคมขึ้นอารามต้องตามไป |
เที่ยวหลีกรกวกวนอยู่จนดึก |
เห็นพุ่มพฤกษ์โพธิ์ทองที่ผ่องใส |
ตักน้ำผึ้งครึ่งจอกกับดอกไม้ |
จุดเทียนใหญ่อย่างตำราบูชาเชิญ |
หวังจะปะพระปรอทที่ยอดยิ่ง |
คนึงนิ่งนึกรำพรรณสรรเสริญ |
สำรวมเรียนเทียนอร่ามงามจำเริญ |
จนดึกเกินไก่ขันหวั่นวิญญา |
ทั้งเทียนดับศัพท์เสียงสำเนียงเงียบ |
เย็นยะเยียบน้ำค่างพร่างพฤกษา |
เห็นแวววับลับลงตรงไนยนา |
ปรอทมาสูบซึ่งน้ำผึ้งรวง |
ครั้นคลำได้ในกลางคืนก็ลื่นหลุด |
ต้องจัดจุดธูปเทียนเวียนบวงสรวง |
ประกายพฤกษ์ดึกเด่นขึ้นเห็นดวง |
ดังโคมช่วงโชติกว่าบรรดาดาว |
จักรจั่นแจ้วแว่วหวีดจังหรีดหริ่ง |
ปี่แก้วตริ่งตรับเสียงสำเนียงหนาว |
ยิ่งเย็นฉ่ำน้ำค้างลงพร่างพราว |
พระพายผ่าวพัดไหวทุกใบโพธิ์ |
พอรุ่งแรกแปลกกลิ่นระรินรื่น |
โอ้หอมชื่นช่อมะกอกดอกโสน |
เหมือนอบน้ำร่ำผ้าประสาโซ |
สอื้นโอ้อารมณ์ระทมทวี |
หวังจะปะพระปรอทที่ปลอดปร่ง |
ทั้งสามองค์เอามาไว้ก็ไผล่หนี |
เชิญพระธาตุราธนาทุกราตรี |
อาบวารีทิพรศหมดมลทิน |
ที่ธุระปรอทเปนปลอดเปล่า |
ยังดูเลาลายแทงแสวงถวิล |
ท่านนอนอ่านลานใหญ่ฉันได้ยิน |
ว่ายากินรูปงามอร่ามเรือง |
แม้นฟันหักจักงอกผมหงอกหาย |
แก่กลับกลายหนุ่มเนื้อนั้นเรื่อเหลือง |
ตวันออกบอกแจ้งเปนแขวงเมือง |
ท่านจัดเครื่องครบครันทั้งจันท์จวง |
กับหนูกลั่นจันมากบุนนากหนุ่ม |
สักสิบทุ่มเดินมุ่งออกทุ่งหลวง |
มาตาลายปลายคลองถึงหนองพลวง |
แต่ล้วนสวงสาหร่ายเห็นควายนอน |
นึกว่าผีตีฆ้องป่องป่องโห่ |
มันผลุดโผล่พลุ่งโครมถีบโถมถอน |
เถาสาหร่ายควายกลุ้มตลุมบอน |
ว่าผีหลอนหลบพัลวันเวียน |
พอเสียงร้องมองดูจึงรู้แจ้ง |
เดินแสวงหาวัดฉวัดเฉวียน |
พอเช้าตรู่ดูทางมากลางเตียน |
ถึงป่าเกรียนเกรียวแซ่จอแจจริง |
กระจาบจับนับหมื่นดูดื่นดาษ |
เหมือนตลาดเหลือหูเพราะผู้หญิง |
เหมือนโกรธขึ้งหึงษ์หวงด้วยช่วงชิง |
ชุมจริงจริงจิกโจดกระโดดโจน |
จนต้นไม้ใบงอกออกไม่รอด |
ดูกรองกรอดเกรียนกร่องกรองกรอยโกร๋น |
ลมกระทั่งรังกระจาบระยาบโยน |
ตัวมันโหนหวงคู่คอยขู่คน |
บ้างคาบแขมแซมรังเหมือนดังสาน |
สอดชำนาญเหน็บฝอยเหมือนสร้อยสน |
จิกสบัดจัดแจงสอดแซงซน |
เปรียบเหมือนคนช่างสดึงรู้ตรึงกรอง |
โอ้ว่าอกนกยังมีรังอยู่ |
ได้เคียงคู่คํ่าเช้าไม่เศร้าหมอง |
แม้นร่วมเรือนเหมือนหนึ่งนกกกกระคอง |
แต่สักห้องหนึ่งก็เห็นจะเย็นใจ |
จนพ้นป่ามาถึงโป่งห้วยโข่งคุด |
มันหมกมุดเหมือนเขาแจ้งแถลงไข |
เห็นตาลโดดโขดคุ่มกับพุ่มไม้ |
มีทิวไผ่พงรายเหมือนลายแทง |
ท่านหลีกลัดตัดทางไปกลางทุ่ง |
ตั้งแต่รุ่งมาจนแดดก็แผดแสง |
ได้พักเพนเอนนอนพอผ่อนแรง |
ต่ออ่อนแสงสุริยาจึงคลาไคล |
แต่แรกดูครู่หนึ่งจะถึงที่ |
เหมือนถอยหนีห่างเหินเดินไมไหว |
เหมือนเรื่องรักชักชิดสนิทใน |
มากลับไกลเกรงกระดากต้องลากจูง |
พอเย็นจวนด่วนเดินขึ้นเนินโขด |
ถึงตาลโดดดินพูนเปนมูลสูง |
เที่ยวเลียบชมลมเย็นเห็นนกยูง |
เปนฝูงฝูงฟ้อนหางที่กลางทราย |
ทำกรีดปีกหลีกเลี่ยงเขาเคียงคู่ |
คอยแฝงดูดังระบำรำถวาย |
กระหวัดวาดยาตรเยื้องชำเลืองกราย |
เหมือนละม้ายหม่อมลครเมื่อฟ้อนรำ |
โอ้เคยเห็นเล่นงานสำราญรื่น |
ได้แช่มชื่นเชยชมที่คมขำ |
มาห่างแหแลลับจับระบำ |
เห็นแต่รำแพนนกน่าอกตรม |
ออกตรูไล่ไปสิ้นขึ้นบินว่อน |
แฉลบร่อนเรียงตามดูงามสม |
เห็นเชิงไทรไผ่โพธิ์ตะโกพนม |
ระรื่นร่มรุกขชาติดาษเดียร |
พิกุลออกดอกหอมพยอมย้อย |
นกน้อยน้อยจิกจับเหมือนกับเขียน |
ในเขตรแคว้นแสนสะอาดดังกวาดเตียน |
ตลิบเลี่ยนลมพัดอยู่อัตรา |
สารภีที่ริมโบสถ์สาโรชร่วง |
มีผึ้งรวงรังสิงกิ่งพฤกษา |
รศเร้าเสาวคนธ์สุมณฑา |
ภุมราร่อนร้องลอองนวล |
โอ้บุบผาสารภีสาหรีรื่น |
เปนที่ชื่นเชยถนอมด้วยหอมหวน |
เห็นมาลาอาไลยใจรัญจวน |
เหมือนจะชวนเชษฐาน้ำตากระเด็น |
โอ้ยามนี้ที่ตรงนึกรำฦกถึง |
มาเหมือนหนึ่งใจจิตรที่คิดเห็น |
จะคลอเคียงเรียงตามเมื่อยามเย็น |
เที่ยวเลียบเล่นแลเพลินจำเริญตา |
โบสถ์วิหารฐานบัตร์ยังมีมั่ง |
เชิงผนังหนาแน่นด้วยแผ่นผา |
สงสารสุดพุทธรัตน์ปฏิมา |
พระศิลาแลดูเปนบูราณ |
อุโบสถหมดหลังคาฝาผนัง |
พระเจ้านั่งอยู่แต่องค์น่าสงสาร |
ด้วยเรื้อร้างสร้างสมมานมนาน |
แต่โบราณเรื่องพระเจ้าตะเภาทอง |
มาเที่ยวเล่นเห็นหินบนดินโขด |
เดี่ยวสันโดษดังสำลีไม่มีหมอง |
จึงจัดช่างสร้างอารามตามทำนอง |
ทรงจำลองลายหัดถ์เปนปฏิมา |
รูปพระเจ้าเท่าองค์แล้วทรงสาป |
ให้อยู่ตราบศักราชพระศาสนา |
พอฤๅษีสี่องค์เหาะตรงมา |
ถวายยาอายุวัฒนะ |
เธอไม่อยู่รู้ว่าหลงในสงสาร |
ซ้ำให้ทานแท่งยาอุสาหะ |
ใส่ตุ่มทองรองไว้ที่ใต้พระ |
ใครพบปะเปิดได้เอาไปกิน |
ช่วยสร้างโบสถ์โขดเขื่อนให้เหมือนเก่า |
นามนั้นเขาเขียนแจ้งที่แท่งหิน |
วัดเจ้าฟ้าอากาศนารถนรินทร์ |
ให้ทราบสิ้นสืบสายเพราะลายแทง |
เปนตำรามาแต่เหนือท่านเชื่อถือ |
ดูหนังสือเสาะหาอุส่าห์แสวง |
มาพบปะจะได้ขุดก็สุดแรง |
ด้วยดินแขงเขาประมูลด้วยปูนเพ็ชร |
ถึงสิ่วขวานผลาญพะเนินไม่เยินยู่ |
เห็นเหลือรู้ที่จะทำให้สำเร็จ |
แต่จะต้องลองตำรากาละเม็ด |
เผื่อจะเสร็จสมถวิลได้กินยา |
พอเย็นรอนดอนสูงดูทุ่งกว้าง |
วิเวกวางเวงจิตรทุกทิศา |
ลิงโลดเหลียวเปลี่ยวใจไนยนา |
เห็นแต่ฟ้าแฝกแขมขึ้นแซมแซง |
ดูกว้างขวางว่างโว่งตะโล่งลิ่ว |
ไม่เห็นทิวที่สังเกตในเขตรแขวง |
สุริยนสนธยาท้องฟ้าแดง |
ยิ่งโรยแรงรอนรอนอ่อนกำลัง |
โอ้แลดูสุริยงจะลงลับ |
มิใคร่จะดับดวงได้อาไลยหลัง |
สลดแสงแฝงรถเข้าบดบัง |
เหมือนจะสั่งโลกาให้อาไลย |
แต่คนเราชาววังทั้งทวีป |
มาเร็วรีบร้างมิตรพิศมัย |
ไม่รอรั้งสั่งสวาดิ์ปลาดใจ |
โอ้อาไลยแลลับวับวิญญา |
ยิ่งเย็นฉ่ำน้ำค้างว่างวิเวก |
เปนหมอกเมฆมืดมิดทุกทิศา |
แสนแสบท้องต้องเก็บตะโกนา |
นึกระอาออกนามเมื่อยามโซ |
ทั้งหนูกลั่นจันมากบุนนาคน้อย |
ช่วยกันสอยเก็บหักไว้อักโข |
พอเคี้ยวฝาดชาติชั่วตัวตะโก |
แต่ยามโซแสบท้องก็ต้องกลืน |
พิกุลต้นผลห่ามอร่ามต้น |
ครั้นกินผลพาเลี่ยนให้เหียนหืน |
ชั่งฝาดเฝื่อนเหมือนจะตายต้องคายคืน |
ทั้งขมขื่นแค้นคอไม่ขอกิน |
ท่านบิดรสอนสั่งให้ตั้งจิตร |
โปรดประสิทธิ์สิกขารักษาศิล |
เข้าร่มพระมหาโพธิ์บนโขดดิน |
ระรื่นกลิ่นกลางคืนค่อยชื่นใจ |
เหมือนกลิ่นกลั่นจันท์เจือในเนื้อหอม |
แนบถนอมสนิทจิตรพิศมัย |
เสมอหมอนอ่อนอุ่นละมุนลไม |
มาจำไกลกลอยสวาดิ์อนาถนอน |
โอ้ยามนี้มิได้เชยเหมือนเคยชื่น |
ทุกค่ำคืนขาดประทิ่นกลิ่นอับศร |
หอมพิกุลฉุนใจอาไลยวอน |
พิกุลร่อนร่วงหล่นลงบนทรวง |
ยิ่งเสียวเสียวเฉียวฉุนพิกุลหอม |
เคยถนอมเสน่ห์หมายไม่หายหวง |
โอ้ดอกแก้วแววฟ้าสุดาดวง |
มิหล่นร่วงลงมาเลยใคร่เชยชิม |
เย็นระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำด้วยน้ำค้าง |
ลงพร่างพร่างพรายพร้อยย้อยหยิมหยิม |
ยิ่งฟั่นเฟือนเหมือนสมรมานอนริม |
ให้เหงาหงิมง่วงเงียบเซียบสำเนียง |
เสนาะดังจังหรีดวะหวีดแว่ว |
เสียงแจ้วแจ้วจักรจั่นสนั่นเสียง |
เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไทรเรไรเรียง |
เสียวสำเนียงนอนแลเห็นแต่ดาว |
จนดึกดื่นรื่นเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิว |
หนาวดอกงิ้วงิ้วต้นให้คนหนาว |
แม้นงิ้วงามนามงิ้วเล็บนิ้วยาว |
จะอุ่นราวนวมแนบนั่งแอบอิง |
ทั้งสี่นายหมายว่ากินยาแล้ว |
จะผ่องแผ้วพากันเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง |
เดชะยาน่ารักประจักษ์จริง |
ขอให้วิ่งตามฉาวทั้งด้าวแดน |
นากนั้นว่าอายุอยู่ร้อยหมื่น |
จะได้ชื่นชมสาวสักราวแสน |
ไม่รู้หมดรศชาติไม่ขาดแคลน |
ฉันอายแทนที่ครวญถึงนวลนาง |
ทั้งหนูกลั่นนั้นว่าเมื่อล่องเรือกลับ |
จะแวะรับนางสิบสองไม่หมองหมาง |
แม่เอวอ่อนมอญรำล้วนสำอาง |
จะขวางขวางไปอย่างไรคงได้ดู |
สมเพชเพื่อนเหมือนหนึ่งบ้าประสาหนุ่ม |
แต่ล้วนลุ่มหลงเหลือจนเบื่อหู |
จนพระเมินเดินเวียนถือเทียนชู |
เที่ยวส่องดูสีมาบรรดามี |
ที่ผุพังยังแต่ตรุบรรจุธาตุ |
ขาวสอาดอรหัตจำรัสศรี |
อาราธนามาไว้สิ้นด้วยยินดี |
อัญชลีแล้วก็นั่งระวังไภย |
น้ำค้างพรมลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิว |
ใบโพธิ์ปลิวแพลงพลิกริกริกไหว |
บ้างร่วงหล่นวนว่อนร่อนไรไร |
ด้วยแสงไฟรางรางสว่างตา |
จนดึกดื่นรื่นรมลมสงัด |
ดึกกำดัดดาวสว่างพร่างพฤกษา |
เหมือนเสียงโห่โร่หูข้างบูระพา |
กฤษฎาได้ฤกษ์เบิกพระไทร |
สายสิญจน์วงลงยันต์กันปีศาจ |
ธงกระดาษปักปลิวหวิวหวิวไหว |
เข้าสานทรายปรายปราบกำราบไป |
ปักเทียนไชยฉัตเฉลิมแล้วเจิมจันทน์ |
จุดเทียนน้อยร้อยแปดนั้นปักรอบ |
ล้อมเปนขอบเขตรเหมือนหนึ่งเขื่อนขันธ์ |
มนต์มหาวาหุดีพิธีกรรม์ |
แก้อาถรรพ์ถอนฤทธิ์ที่ปิดบัง |
แล้วโรยรินดินดำคว่ำหอยโข่ง |
จะเปิดโป่งปูนเพ็ชรเปนเคล็ดขลัง |
พอปักธงลงดินได้ยินดัง |
สำเนียงตังตึงเปรี้ยงแซ่เสียงคน |
ข้างเทียนดับกลับกลัวให้มัวมืด |
พยุหืดฮือมาเปนห่าฝน |
ถูกลูกเห็บเจ็บแสบแปลบสกนธ์ |
เหลือจะทนทานลมลงก้มกราน |
เสียงเกรียวกราววาววามโพลงพลามพลุ่ง |
สเทื้อนทุ่งที่บนโขดโบสถ์วิหาร |
กิ่งโพธิ์โผงโกร่งกร่างลงกลางลาน |
สาดเข้าสานกรากกรากไม่อยากฟัง |
ทั้งฟ้าร้องก้องกึกพิฦกลั่น |
อินทรีย์สั่นซบฟุบเหมือนทุบหลัง |
สติสิ้นวิญญาละล้าละลัง |
สู่ภวังค์วุบวับเหมือนหลับไป |
เปนวิบัติอัศจรรย์มหันต์เหตุ |
ให้อาเพศเพื่อจะห้ามตามวิไสย |
ทั้งพระพลอยม่อยหลับระงับไป |
แสงอุไทยรุ่งขึ้นจึงฟื้นกาย |
เที่ยวหาย่ามตามหาทั้งผ้าห่ม |
มันตามลมลอยไปข้างไหนหาย |
ไม่พบเห็นเปนน่าระอาอาย |
จนเบี่ยงบ่ายบิดาจะคลาไคล |
ท่านห่มดองครองผ้าอุกาพระ |
คาระวะวันทาอัชฌาไศรย |
ถวายวัดตัดตำราไม่อาไลย |
ขออไภยพุทธรัตน์ปฏิมา |
เหมือนรู้ความยามโศกด้วยโรคร้าย |
จึงตามลายลัดแลงแสวงหา |
จะใคร่เห็นเช่นเขาบอกดอกจึงมา |
มีตำราแล้วก็ต้องทดลองดู |
ไม่รื้อร้างง้างงัดไม่คัดขุด |
เปนแต่จุดเทียนเบิกฤกษ์ราหู |
ขอคุณพรตทศธรรมช่วยค้ำชู |
ไม่เรียนรู้รูปงามไม่ตามลาย |
มาเห็นฤทธิ์กฤษณาอานุภาพ |
ก็เข็ดหลาบลมพาตำราหาย |
ได้กรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย |
ให้ภูตพรายไพรโขมดที่โขดดิน |
ทั้งเจ้าทุ่งกรุงทวาเทพารักษ์ |
ซึ่งพิทักษ์ที่พระยาคูหาหิน |
พระเจ้าฟ้าอากาศนาถนรินทร์ |
ซึ่งสร้างถิ่นที่วัดพระปฏิมา |
จงพ้นทุกข์ศุโขอโหสิ |
ไปจุติตามชาติปราถนา |
ทั้งเซิงไทรไผ่โพธิ์ตะโกนา |
ฉันขอลาแล้วเจ้าคะหม่อมตะโก |
ถึงแก่งอมหอมกลิ่นยังกินฝาด |
แต่คราวขาดคิดรักเสียอักโข |
ทั้งพิกุลฉุนกลิ่นจงภิญโญ |
เสียดายโอ้อางขนางจะห่างไกล |
ออกเดินทุ่งมุ่งหมายพอบ่ายคล้อย |
ไม่ตามรอยแรกมาหญ้าไสว |
จนจวนค่ำย่ำเย็นเห็นไรไร |
สังเกตไม้หมายทางมากลางคืน |
ต้องบุกรกวกหลงลุยพงแฝก |
อุส่าห์แหวกแขมคาสู้ฝ่าฝืน |
มาตามลายหมายจะลุอายุยืน |
ผ้าห่มผืนหนึ่งไม่ติดอนิจัง |
เจ้าหนูกลั่นนั้นว่าเคราะห์เสียเพราะหอม |
เหมือนทิ้งหม่อมเสียทีเดียวเดินเหลียวหลัง |
จะรีบไปให้ถึงเรือเหลือกำลัง |
ครั้นหยุดนั่งหนาวใจจำไคลคลา |
จนรุ่งรางทางเฟือนไม่เหมือนเก่า |
ต้องเดินเดาดั้นดัดจนขัดขา |
จนเที่ยงจึงถึงเรือเหลือระอา |
อายตามาตาแก้วที่แจวเรือ |
เขาหัวเราะเยาะว่าสาธุสะ |
เครื่องอัษฐที่เอาไปช่างไม่เหลือ |
พอมืดมนธ์ฝนคลุ้มลงครุมเครือ |
ให้ออกเรือรีบล่องออกท้องคุ้ง |
จะเลยตรงลงไปวัดก็ขัดข้อง |
ไม่มีของขบฉันจังหันหุง |
ไปพึ่งบุญคุณพระยารักษากรุง |
ท่านบำรุงรักพระไม่ละเมิน |
ทั้งเพนเช้าคาวหวานสำราญรื่น |
ต่างชุ่มชื่นชวนกันสรรเสริญ |
ทั้งสูงศักดิ์รักใคร่ให้เจริญ |
อายุเกินกัปกัลป์พุทธันดร |
ให้ครองกรุงฟุ้งเฟื่องเปรื่องปรากฎ |
เกียรติยศอยู่ตลอดอย่าถอดถอน |
ท่านอารีมีใจอาไลยวอน |
ถึงจากจรใจจิตรยังคิดคุณ |
มาทีไรได้นิมนต์ปรนนิบัติ |
สารพัดแผ่เผื่อช่วยเกื้อหนุน |
ต่างชื่นช่วยอวยกุศลผลบุญ |
สนองคุณเจ้าพระยารักษากรุง |
เมื่อกราบลาคลาเคลื่อนออกเลื่อนล่อง |
เห็นหน้าน้องนามหุ่นนั่งชุนถุง |
ทั้งผัดหน้าทาขมิ้นส่งกลิ่นฟุ้ง |
บำรุบำรุงรูปงามอร่ามเรือง |
ที่แพรายหลายนางสำอางโฉม |
งามประโลมเปล่งปลั่งอลั่งเหลือง |
ขมิ้นเอ๋ยเคยใช้แต่ในเมือง |
มาฟุ้งเฟื่องฝ่ายเหนือทั้งเรือแพ |
พวกโพงพางนางแม่ค้าขายปลาเต่า |
จับกระเหม่ามิได้เหลือชั้นเรือแห |
จะล่องลับกลับไปอาไลยแล |
มาถึงแพเสียงนกแก้วแจ้วเจรจา |
เจ้าของขาวสาวสอนชอ้อนพลอด |
แวะมาจอดแพนี้ก่อนพี่จ๋า |
น่ารับขวัญฉันนี่ร้องว่าน้องลา |
ก็เลยว่าสาวกอดฉอดฉอดไป |
โอ้นกเอ๋ยเคยบ้างฤๅอย่างพลอด |
นางสาวสาวเขาจะกอดให้ที่ไหน |
แต่น้องมีพี่ป้าที่อาไลย |
ท่านยังไม่ช่วยกอดแกล้งทอดทิ้ง |
นึกก็พลอยน้อยใจถึงไม่กอด |
หนาวก็ทอดเตาไว้ก่อไฟผิง |
ไม่เรียกเปนเช่นนกแก้วแล้วจริงจริง |
จะสู้นิ่งหนาวทนอยู่คนเดียว |
ได้เด็ดรักหักใจมาในน้ำ |
ถึงพบลำสาวแส้ไม่แลเหลียว |
ปลาดเหลือเรือวิ่งจริงจริงเจียว |
มาคืนเดียวก็ได้หยุดถึงยุธยา |
จึงจดหมายรายเรื่องที่เคืองเข็ญ |
ไปเที่ยวเล่นลายแทงแสวงหา |
เห็นสิ่งไรในจังหวัดรัถยา |
ได้จดมาเหมือนหนึ่งมีแผนที่ไว้ |
ไม่อ่อนหวานขานเพราะเสนาะโสตร |
ด้วยอายโอษฐมิได้อ้างถึงนางไหน |
ที่เขามีที่จากฝากอาไลย |
ได้ร่ำไรเรื่องหญิงจึงพริ้งเพราะ |
นี่กล่าวแกล้งแต่งเล่นเพราะเปนหม้าย |
เที่ยวเร่ขายคอนเรือมะเขือเปราะ |
คิดคนึงถึงตัวน่าหัวเราะ |
เกือบกระเทาะน่าแว่นแสนเสียดาย |
นารีใดไร้รักอย่าหนักหน่วง |
จะโรยร่วงรกเรี้ยวแห้งเหี่ยวหาย |
ที่เมตตาอยู่ก็อยากจะฝากกาย |
อย่าหมิ่นชายเชิญตรึกให้ฦกซึ้ง |
เหมือนภุมรินบินหาซึ่งสาโรช |
ถึงร้อยโยชน์แย้มกลิ่นคงบินถึง |
แต่ดอกไม้ไทท้าวในดาวดึงษ์ |
ไม่พ้นซึ่งพวกหมู่แมลงภู่ชม |
เช่นกระต่ายกายสิทธิ์นั้นผิดเพื่อน |
ขึ้นแต้มเดือนได้จนชิดสนิทสนม |
เสนหาอาไลยใจนิยม |
จะใคร่ชมเช่นกระต่ายไม่วายตรอม |
แต่เกรงเหมือนเดือนแรมไม่แจ่มแจ้ง |
สุดจะแฝงฝากเงาเฝ้าถนอม |
ขอเดชะจะได้พึ่งให้ถึงจอม |
ขอให้น้อมโน้มสวาดิ์อย่าคลาศคลา |
ไม่เคลื่อนคลายหน่ายแหนงจะแฝงเฝ้า |
ให้เหมือนเงาตามติดขนิษฐา |
ทุกค่ำคืนชื่นชุ่มพุ่มผกา |
มิให้แก้วแววตาอนาทร |
มณฑาทิพกลีบบานตระการกลิ่น |
ภุมรินฤๅจะร้างห่างเกษร |
จงทราบความตามใจอาไลยวอน |
เดชะกลอนกล่าวปลอบให้ตอบคำ |
จะคอยฟังดังคอยสอยสวาดิ์ |
แม้นเหมือนมาดหมายจะชิมให้อิ่มหนำ |
ถ้าครั้งนี้มิได้เยื้อนยังเอื้อนอำ |
จะต้องคร่ำคร่าเปล่าแล้วเรา เอย |