|
๏ เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา |
รับกฐินภิญโญโมทนา |
ชุลีลาลงเรือเหลืออาไลย |
ออกจากวัดทัศนาดูอาวาศ |
เมื่อตรุษสารทพระวสาได้อาไศรย |
สามระดูอยู่ดีไม่มีไภย |
มาจำไกลอารามเมื่อยามเย็น |
โอ้อาวาศราชบุรณะพระวิหาร |
แต่นี้นานนับทิวาจะมาเห็น |
เหลือรำฦกนึกน่าน้ำตากระเด็น |
เพราะขุกเข็ญคนพาลมารานทาง |
จะยกหยิบธิบดีเปนที่ตั้ง |
ก็ใช้ถังแทนสัดเห็นขัดขวาง |
จึ่งจำลาอาวาศนิราศร้าง |
มาอ้างว้างวิญญาในสาคร |
ถึงน่าวังดังหนึ่งใจจะขาด |
คิดถึงบาทบพิตรอดิศร |
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร |
แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น |
พระนิพพานปานประหนึ่งศีศะขาด |
ด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ |
ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเปน |
ไม่เลงเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา |
จะสร้างพรตอดส่าห์ส่งบุญถวาย |
ประพฤฒิฝ่ายสมถะทั้งวสา |
เปนสิ่งของฉลองคุณมุลิกา |
ขอเปนข้าเคียงพระบาททุกชาติไป |
ถึงน่าแพแลเห็นเรือที่นั่ง |
คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล |
เคยหมอบรับกับพระจมื่นไวย |
แล้วลงในเรือที่นั่งบัลลังก์ทอง |
เคยทรงแต่งแปลงบทพจนาดถ์ |
เคยรับราชโองการอ่านฉลอง |
จนกฐินสิ้นแม่น้ำในลำคลอง |
มิได้ข้องเคืองขัดหัทยา |
เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตระหลบ |
ลอองอบรศรื่นชื่นนาสา |
สิ้นแผ่นดินสิ้นรศสุคนธา |
วาศนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์ |
ดูในวังยังเห็นหอพระอัฐิ |
ตั้งสติเติมถวายฝ่ายกุศล |
ทั้งปิ่นเกล้าเจ้าพิภพจบสกล |
ให้ผ่องพ้นไภยสำราญผ่านบุริน |
ถึงอารามนามวัดประโคนปัก |
ไม่เห็นหลักฦๅเล่าว่าเสาหิน |
เปนสำคัญปันแดนในแผ่นดิน |
มิรู้สิ้นสุดชื่อที่ฦๅชา |
ขอเดชะพระพุทธคุณช่วย |
แม้นมอดม้วยกลับชาติวาศนา |
อายุยืนหมื่นเท่าเสาศิลา |
อยู่คู่ฟ้าดินได้ดังใจปอง |
ไปพ้นวัดทัศนาริมท่าน้ำ |
แพประจำจอดรายเขาขายของ |
มีแพรผ้าสารพัดสีม่วงตอง |
ทั้งสิ่งของขาวเหลืองเครื่องสำเภา |
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง |
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา |
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา |
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเปนน่าอาย |
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ |
สรรเพ็ชญ์โพธิญาณประมาณหมาย |
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย |
ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป |
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก |
สุดจะหักห้ามจิตรจะคิดไฉน |
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป |
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน |
ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้อง |
มามัวหมองม้วนหน้าไม่ฝ่าฝืน |
เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยืดยืน |
จึงต้องขืนใจพรากมาจากเมือง |
ถึงบางพลูคิดถึงคู่เมื่ออยู่ครอง |
เคยใส่ซองส่งให้ล้วนใบเหลือง |
ถึงบางพลัดเหมือนพี่พลัดมาขัดเคือง |
ทั้งพลัดเมืองพลัดสมรมาร้อนรน |
ถึงบางโพธิ์โอ้พระศรีมหาโพธิ์ |
ร่มนิโรธรุกขมูลให้ภูลผล |
ขอเดชะอานุภาพพระทศพล |
ให้ผ่องพ้นไภยพาลสำราญกาย |
ถึงบ้านญวนล้วนแต่โรงแลสพรั่ง |
มีของขังกุ้งปลาไว้ค้าขาย |
ตรงน่าโรงโพงพางเขาวางราย |
พวกหญิงชายพร้อมเพรียงมาเมียงมอง |
จะเหลียวกลับลับเขตรประเทศสถาน |
ทรมานหม่นไหม้ฤไทยหมอง |
ถึงเขมาอารามอร่ามทอง |
พึ่งฉลองเลิกงานเมื่อวานซืน |
โอ้ปางหลังครั้งสมเด็จพระบรมโกษฐ์ |
มาผูกโบสถ์ก็ได้มาบูชาชื่น |
ชมพระพิมพ์ริมผนังยังยั่งยืน |
ทั้งแปดหมื่นสี่พันได้วันทา |
โอ้ครั้งนี้มิได้เห็นเล่นฉลอง |
เพราะตัวต้องตกประดาษวาศนา |
เปนบุญน้อยพลอยนึกโมทนา |
พอนาวาติดชลเข้าวนเวียน |
ดูน้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเปนเกลียวกลอก |
กลับกระฉอกฉาดฉัดฉวัดเฉวียน |
บ้างพลุ่งพลุ่งวุ้งวงเหมือนกงเกวียน |
ดูเปลี่ยนเปลี่ยนคว้างคว้างเปนหว่างวน |
ทั้งหัวท้ายกรายแจวกระชากจ้วง |
ครรไลล่วงเลยทางมากลางหน |
โอ้เรือพ้นวนมาในสาชล |
ใจยังวนหวังสวาดิ์ไม่คลาศคลา |
ตลาดแก้วแล้วไม่เห็นตลาดตั้ง |
สองฟากฝั่งก็แต่ล้วนสวนพฤกษา |
โอ้รินรินกลิ่นดอกไม้ใกล้คงคา |
เหมือนกลิ่นผ้าแพรร่ำดำมะเกลือ |
เห็นโศกใหญ่ใกล้น้ำระกำแฝง |
ทั้งรักแซงแซมสวาดิ์ประหลาดเหลือ |
เหมือนโศกพี่ที่ระกำก็ซ้ำเจือ |
เพราะรักเรื้อแรมสวาดิ์มาคลาศคลาย |
ถึงแขวงนนท์ชลมารถตลาดขวัญ |
มีพ่วงแพแพรพรันเขาค้าขาย |
ทั้งของสวนล้วนแต่เรือเรียงราย |
พวกหญิงชายชุมกันทุกวันคืน |
มาถึงบางธรณีทวีโศก |
ยามวิโยคยากใจให้สอื้น |
โอ้สุธาหนาแน่นเปนแผ่นพื้น |
ถึงสี่หมื่นสองแสนทั้งแดนไตร |
เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ |
ไม่มีที่พสุธาจะอาไศรย |
ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ |
เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา |
ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า |
ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา |
เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา |
ทั้งผัดหน้าจับกระเหม่าเหมือนชาวไทย |
โอ้สามัญผันแปรไม่แท้เที่ยง |
เหมือนอย่างเยี่ยงชายหญิงทิ้งวิไสย |
นี่ฤๅจิตรคิดหมายมีหลายใจ |
ที่จิตรใครจะเปนหนึ่งอย่าพึงคิด |
ถึงบางพูดพูดดีเปนศรีศักดิ์ |
มีคนรักรศถ้อยอร่อยจิตร |
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร |
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา |
ถึงบ้านใหม่ใจจิตรก็คิดอ่าน |
จะหาบ้านใหม่มาดเหมือนปราถนา |
ขอให้สมคะเนเถิดเทวา |
จะได้ผาศุกสวัสดิ์กำจัดไภย |
ถึงบางเดื่อโอ้มะเดื่อเหลือประหลาด |
บังเกิดชาติแมลงหวี่มีในไส้ |
เหมือนคนพาลหวานนอกย่อมขมใน |
อุประมัยเหมือนมะเดื่อเหลือระอา |
ถึงบางหลวงเชิงรากเหมือนจากรัก |
สู้เสียศักดิ์สังวาศพระสาสนา |
เปนล่วงพ้นรนราคราคา |
ถึงนางฟ้าจะมาให้ไม่ไยดี |
ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า |
พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี |
ประทานนามสามโคกเปนเมืองตรี |
ชื่อประทุมธานีเพราะมีบัว |
โอ้พระคุณสูญลับไม่กลับหลัง |
แต่ชื่อตั้งก็ยังอยู่เขารู้ทั่ว |
โอ้เรานี้ที่สุนทรประทานตัว |
ไม่รอดชั่วเช่นสามโคกยิ่งโศกใจ |
สิ้นแผ่นดินสิ้นนามตามเสด็จ |
ต้องเที่ยวเตร็ดเตร่หาที่อาไศรย |
แม้นกำเนิดเกิดชาติใดใด |
ขอให้ได้เปนข้าฝ่าธุลี |
สิ้นแผ่นดินขอให้สิ้นชีวิตรบ้าง |
อย่ารู้ร้างบงกชบทศรี |
เหลืออาไลยใจตรมระทมทวี |
ทุกวันนี้ก็ซังตายทรงกายมา |
ถึงบ้านงิ้วเห็นแต่งิ้วละลิ่วสูง |
ไม่มีฝูงสัตว์สิงกิ่งพฤกษา |
ด้วยหนามดกรกดาษระดะตา |
นึกก็น่ากลัวหนามขามขามใจ |
งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลม |
ดังขวากแซมเซี่ยมแซกแตกไสว |
ใครทำชู้คู่ท่านครั้นบรรไลย |
ก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง |
เราเกิดมาอายุเพียงนี้แล้ว |
ยังคลาศแคล้วครองตัวไม่มัวหมอง |
ทุกวันนี้วิปริตผิดทำนอง |
เจียนจะต้องปีนบ้างฤๅอย่างไร |
โอ้คิดมาสารพัดจะตัดขาด |
ตัดสวาดิ์ตัดรักมิยักไหว |
ถวิลหวังนั่งนึกอนาถใจ |
ถึงเกาะใหญ่ราชครามพอยามเย็น |
ดูห่างย่านบ้านช่องทั้งสองฝั่ง |
ระวังทั้งสัตว์น้ำจะทำเข็ญ |
เปนที่อยู่ผู้ร้ายไม่วายเว้น |
เที่ยวซ่อนเร้นตีเรือเหลือระอา |
พระสุริยงลงลับพยับฝน |
ดูมัวมนมืดมิดทุกทิศา |
ถึงทางลัดตัดทางมากลางนา |
ทั้งแฝกคาแขมกกขึ้นรกเรี้ยว |
เปนเงาง้ำน้ำเจิ่งดูเวิ้งว้าง |
ทั้งกว้างขวางขวัญหายไม่วายเหลียว |
เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรียว |
ล้วนเรือเพรียวพร้อมหน้าพวกปลาเลย |
เขาถ่อคล่องว่องไวไปเปนยืด |
เรือเราฝืดเฝือมานิจาเอ๋ย |
ต้องถ่อค้ำร่ำไปทั้งไม่เคย |
ประเดี๋ยวเสยสวบตรงเข้าพงรก |
กลับถอยหลังรั้งรอเฝ้าถ่อถอน |
เรือขย่อนโยกโยนกะโถนหก |
เงียบสงัดสัตว์ป่าคณานก |
น้ำค้างตกพร่างพรายพระพายพัด |
ไม่เห็นคลองต้องค้างอยู่กลางทุ่ง |
พอหยุดยุงฉูชุมมารุมกัด |
เปนกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัด |
ต้องนั่งปัดแปะไปมิได้นอน |
แสนวิตกอกเอ๋ยมาอ้างว้าง |
ในทุ่งกว้างเห็นแต่แขมแซมสลอน |
จนดึกดาวพราวพร่างกลางอัมพร |
กะเรียนร่อนร้องก้องเมื่อสองยาม |
ทั้งกบเขียดเกรียดกรีดจังหรีดเรื่อย |
พระพายเฉื่อยฉิวฉิววะหวิวหวาม |
วังเวงจิตรคิดคนึงรำพึงความ |
ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัศ |
สำรวลกับเพื่อนรักสพรักพร้อม |
อยู่แวดล้อมหลายคนปรนนิบัติ |
โอ้ยามเข็ญเห็นอยู่แต่หนูพัด |
ช่วยนั่งปัดยุงให้ไม่ไกลกาย |
จนเดือนเด่นเห็นนกกระจับจอก |
รดะดอกบัวเผื่อนเมื่อเดือนหงาย |
เห็นร่องน้ำลำคลองทั้งสองฝ่าย |
ข้างน่าท้ายถ่อมาในสาคร |
จนแจ่มแจ้งแสงตวันเห็นพรรณผัก |
ดูน่ารักบรรจงส่งเกสร |
เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจร |
ก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา |
สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่า |
เปนเหล่าเหล่าแลรายทั้งซ้ายขวา |
กระจับจอกดอกบัวบานผกา |
ดาษดาดูขาวดั่งดาวพราย |
โอ้เช่นนี้สีกาได้มาเห็น |
จะลงเล่นกลางทุ่งเหมือนมุ่งหมาย |
ที่มีเรือน้อยน้อยจะลอยพาย |
เที่ยวถอนสายบัวผันสันตวา |
ถึงตัวเราเล่าถ้ายังมีโยมหญิง |
ไหนจะนิ่งดูดายอายบุบผา |
คงจะใช้ให้ศิษย์ที่ติดมา |
อุส่าห์หาเอาไปฝากตามยากจน |
นี่จนใจไม่มีเท่าขี้เล็บ |
ขี้เกียจเก็บเลยทางมากลางหน |
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยน |
ถึงตำบลกรุงเก่ายิ่งเศร้าใจ |
มาทางท่าน่าจวนจอมผู้รั้ง |
คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล |
จะแวะหาถ้าท่านเหมือนเมื่อเปนไวย |
ก็จะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน |
แต่ยามยากหากว่าถ้าท่านแปลก |
อกมิแตกเสียฤๅเราเขาจะสรวล |
เหมือนเข็ญใจใฝ่สูงไม่สมควร |
จะต้องม้วนหน้ากลับอัประมาณ |
มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม |
ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน |
บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่นสำราญ |
ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซง |
บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ |
ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง |
มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสำเพ็ง |
เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู |
อ้ายลำหนึ่งครึ่งท่อนกลอนมันมาก |
ช่างยาวลากเลื้อยเจื้อยจนเหนื่อยหู |
ไม่จบบทลดเลี้ยวเหมือนเงี้ยวงู |
จนลูกคู่ขอทุเลาว่าหาวนอน |
ได้ฟังเล่นต่างต่างที่ข้างวัด |
จนสงัดเงียบหลับลงกับหมอน |
ประมาณสามยามคล้ำในอัมพร |
อ้ายโจรจรจู่จ้วงเข้าล้วงเรือ |
นาวาเอียงเสียงกุกลุกขึ้นร้อง |
มันดำล่องน้ำไปช่างไวเหลือ |
ไม่เห็นหน้าสานุศิษย์ที่ชิดเชื้อ |
เหมือนเนื้อเบื้อบ้าเคอะดูเซอะซะ |
แต่หนูพัดจัดแจงจุดเทียนส่อง |
ไม่เสียของขาวเหลืองเครื่องอัฏฐะ |
ด้วยเดชะตบะบุญกับคุณพระ |
ไชยชนะมารได้ดังใจปอง |
ครั้นรุ่งเช้าเข้าเปนวันอุโบสถ |
เจริญรศธรรมาบูชาฉลอง |
ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทอง |
ดูสูงล่องลอยฟ้านภาไลย |
อยู่กลางทุ่งรุ่งโรจน์สันโดดเด่น |
เปนที่เล่นนาวาคงคาใส |
ที่พื้นลานฐานบัตรถัดบันได |
คงคงไลยล้อมรอบเปนขอบคัน |
มีเจดีย์วิหารเปนลานวัด |
ในจังหวัดวงแขวงกำแพงกั้น |
ที่องค์ก่อย่อเหลี่ยมสลับกัน |
เปนสามชั้นเชิงชานตระหง่านงาม |
บันไดมีสี่ด้านสำราญรื่น |
ต่างชมชื่นชวนกันขึ้นชั้นสาม |
ประทักษิณจินตนาพยายาม |
ได้เสร็จสามรอบคำนับอภิวันท์ |
มีห้องถ้ำสำหรับจุดเทียนถวาย |
ด้วยพระพายพัดเวียนอยู่เหียนหัน |
เปนลมทักขิณาวัตรน่าอัศจรรย์ |
แต่ทุกวันนี้ชราหนักหนานัก |
ทั้งองค์ฐานรานร้าวถึงเก้าแสก |
เผลอแยกยอดสุดก็หลุดหัก |
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก |
เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น |
กระนี้ฤๅชื่อเสียงเกียรติยศ |
จะมิหมดล่วงน่าทันตาเห็น |
เปนผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น |
คิดก็เปนอนิจจังเสียทั้งนั้น |
ขอเดชะพระเจดีย์คิรีมาศ |
บรรจุธาตุที่ตั้งนรังสรรค์ |
ข้าอุส่าห์มาเคารพอภิวันท์ |
เปนอนันต์อานิสงส์ดำรงกาย |
จะเกิดชาติใดใดในมนุษย์ |
ให้บริสุทธสมจิตรที่คิดหมาย |
ทั้งทุกข์โศกโรคไภยอย่าใกล้กราย |
แสนสบายบริบูรณ์ประยูรวงค์ |
ทั้งโลโภโทโสแลโมหะ |
ให้ชนะใจได้อย่าใหลหลง |
ขอฟุ้งเฟื่องเรืองวิชาปัญญายง |
ทั้งให้ทรงศีลขันธ์ในสันดาน |
อีกสองสิ่งหญิงร้ายแลชายชั่ว |
อย่าเมามัวหมายรักสมัคสมาน |
ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ |
ตราบนิพพานภาคน่าให้ถาวร |
พอกราบพระปะดอกประทุมชาต |
พบพระธาตุสถิตย์ในเกสร |
สมถวิลยินดีชุลีกร |
ประคองช้อนเชิญองค์ลงนาวา |
กับหนูพัดมัสการสำเร็จแล้ว |
ใส่ขวดแก้ววางไว้ใกล้เกษา |
มานอนกรุงรุ่งขึ้นจะบูชา |
ไม่ปะตาตันอกยิ่งตกใจ |
แสนเสียดายหมายจะชมบรมธาตุ |
ใจจะขาดคิดมาน้ำตาไหล |
โอ้บุญน้อยลอยลับครรไลไกล |
เสียน้ำใจเจียนจะดิ้นสิ้นชีวัน |
สุดจะอยู่ดูอื่นไม่ฝืนโศก |
กำเริบโรคร้อนฤไทยเฝ้าใฝ่ฝัน |
พอกรู่กรู่สุริฉายขึ้นพรายพรรณ |
ให้ล่องวันหนึ่งมาถึงธานี |
ประทับท่าน่าอรุณอารามหลวง |
ค่อยสร่างทรวงทรงศีลพระชินศรี |
นิราศเรื่องเมืองเก่าของเรานี้ |
ไว้เปนที่โสมนัสทัศนา |
ด้วยได้ไปเคารพพระพุทธรูป |
ทั้งสถูปบรมธาตุพระสาสนา |
เปนนิไสยไว้เหมือนเตือนศรัทธา |
ตามภาษาไม่สบายพอคลายใจ |
ใช่จะมีที่รักสมัคมาด |
แรมนิราศร้างมิตรพิศมัย |
ซึ่งครวญคร่ำทำทีพิรี้พิไร |
ตามนิไสยกาพย์กลอนแต่ก่อนมา |
เหมือนแม่ครัวขั้วแกงแพนงผัด |
สารพัดเพียญฉนังเครื่องมังสา |
อันพริกไทยใบผักชีเหมือนสีกา |
ต้องโรยหน้าเสียสักหน่อยอร่อยใจ |
จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้น |
อย่านึกนินทาแกล้งแหนงไฉน |
นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ |
จึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอย ฯ |