|
๏ นิราสเรียมริเรื่องเมืองตังเกี๋ย |
จำจากน้องห้องหอเคยคลอเคลีย |
ลห้อยละเหี่ยห่วงรักพักตร์ยุพา |
พี่หน่ายนุชสุดไกลแต่ใจจิตร |
เหมือนกายสิทธิ์สิงเสน่ห์อยู่เคหา |
ส่วนตัวน้องของที่ห่วงเหมือนดวงตา |
จงรักษาไว้เถิดเจ้าอย่าเศร้าใจ |
ด้วยมีช่องโอกาศราชกิจ |
จึ่งขอคิดหน่ายรักสักไสมย |
แม้นบุญรอดปลอดอาพาธนิราสไภย |
คงมาได้คลึงเคล้าเสาวคนธ์ |
ใช่จะร้างห่างน้องไปท่องเที่ยว |
อย่าเฉลียวคิดเห็นไม่เปนผล |
ถึงรักใครไม่เท่ารักพักตร์วิมล |
เมื่อได้ยลแล้วยิ่งยวนชวนเสียดาย |
ขอฝากสัตย์มัธุรสพจนารถ |
ที่สวาทเนื้อถนอมหอมไม่หาย |
จึงขอลาหน้าแฉล้มทั้งแก้มกาย |
ไม่แกล้งหน่ายรูปสงวนนวนลออง |
ณวันศุกรเดือนอ้ายขึ้นสามค่ำ |
พิไรร่ำรักแรกจะแตกสอง |
ปีกุญจุลศักราชรอง |
ในพันสองสี่สิบเก้าจากเย่าเรือน |
ต้องหน่วงจิตรถึงจะคิดก็สู้นิ่ง |
ด้วยเปนสิ่งจำใจใครจะเหมือน |
ได้ทราบข่าวว่าจะไปนั้นหลายเดือน |
แต่พวกเพื่อนเขาว่าจรเกือบข้อนปี |
แล้วก็ลงเคหามาวันนั้น |
ขึ้นกำปั่นเมล์หน้าโรงภาษี |
พร้อมกับพระไพรัชจัดคดี |
ท่านเปนที่ข้าหลวงกระทรวงนาย |
กับท่านหลวงคำณวนควรขนาน |
นายบรรหารภูมเพิ่มเฉลิมฉาย |
พนักงานแผนที่มีอุบาย |
รู้แยบคายวัดประเทศเขตรนคร |
ท่านขุนปราบปราชญ์ญวนเปนส่วนล่าม |
รู้ข้อความพจนาอุทาหรณ์ |
อีกตัวเราเปนเสมียนเขียนสุนทร |
เรียงอักษรส่งรีโปตโปรดประจำ |
ท่านทั้งหลายสบายอยู่มีผู้ส่ง |
เวลาลงกำปั่นวันยังค่ำ |
ได้ยลนุชบุตรหลานออกพล่านลำ |
ยังสั่งซ้ำสุขเกษมอิ่มเอมใจ |
แต่ตัวเรากับสหายนายบรรหาร |
ไม่พบพานเยาวมิตรพิสมัย |
ทั้งสองคนทนระกำซ้ำอาไลย |
ถอนฤไทยทุกข์เหลืออยู่เรือเมล์ |
นิจาเอ๋ยเคยอุ่นแม่นุ่นเนื้อ |
ไม่รู้เบื่อชมขวัญมาหันเห |
จะเปล่าเปลี่ยวเที่ยวไปในทเล |
สุดคะเนที่จะนับวันกลับมา |
เปนเวรกรรมจำร้างให้ห่างน้อง |
เคยร่วมห้องศรวลเสอยู่เคหา |
ยิ่งลำฦกนึกคิดก็ติดตา |
มาจำลาจำไกลอาไลยวรณ์ |
เรือสะท้านกว้านสมอยิ่งท้อถอย |
สลดผอยอยู่บนฟูกเหมือนถูกศร |
จนออกเรือเหลือระอานาวาจร |
เปนสิ้นตอนภคินีเมื่อตรียาม |
จึ่งจบหัดถ์ตัดวิตกอกอนาถ |
บังคมบาทธิบดินทร์ปิ่นสยาม |
จงคุ้มไภยไปเปนสุขทั่วทุกนาม |
ให้มีความพูลสวัสดิ์พัฒนา |
เรือกำปั่นขันจักร์ออกพักใหญ่ |
แสงอุไทยรุ่งรางสว่างหล้า |
ถึงสมุทเจดีย์มีสมญา |
ไหว้วันทาขอพรเมื่อจรทาง |
เห็นป้อมผีเสื้อสมุทสุดสง่า |
มีปืนผาสารพัดไม่ขัดขวาง |
แม้นศัตรูคิดร้ายคงวายวาง |
ยิงหักกลางจมยับไม่กลับคืน |
ทุกวันนี้บ้านเมืองรุ่งเรืองมาก |
ปราศจากข้าศึกไม่คึกขืน |
แต่สร้างไว้ให้จิรังอยู่ยั่งยืน |
ตั้งบอกปืนเรียงรายใบเสมา |
เห็นหน้าเมืองสมุทด่านชาญสนาม |
ดูงดงามสมอำนาจวาสนา |
ตัวเจ้าเมืองเรืองบุรีมีปัญญา |
รู้ภาษาหลายชนิดทั้งกิจการ |
จึงโปรดเกล้าให้บำรุงผดุงราษฎร์ |
ทั้งอำนาจยศถามหาศาล |
เปนเศรษฐีมีสัตย์ชัชวาลย์ |
สุขสำราญยุติธรรมสัมคี |
พอถึงแหลมฟ้าผ่าน่าอนาถ |
นึกขยาดเต็มตัวเหมือนกลัวผี |
รามสูรอยู่ที่ไหนขอไปที |
ยกชีวีไว้สักครั้งพอบังตาย |
อย่าเพ่อผ่าข้านิราสสวาทนุช |
แม้นม้วยมุดเนื้อเย็นจะเปนหม้าย |
มองไม่เห็นฟ้าแลบมีแยบคาย |
ค่อยสบายแล่นมาตามสาชล |
พอเรือออกปากอ่าวยิ่งเปล่าหวิว |
พระพายฉิวเย็นฉ่ำเหมือนน้ำฝน |
นั่งชะแง้แลดูฝั่งยิ่งกังวล |
ไกลตำบลแหลมฉะวากปากทเล |
เห็นเรือโคมกระโจมไฟอยู่ในน้ำ |
ลอยประจำคลื่นซัดตุปัดตุเป๋ |
อยู่ตามร่องน้ำไหลให้คะเน |
ถ้าเรือเหเข้าไปติดผิดลำราง |
ด้วยทรงพระกรุณาเรือค้าขาย |
สู้จ้างจ่ายราชทรัพย์นับกระถาง |
ทำให้แจ้งแห่งหนชลทาง |
เวลากลางคืนค่ำจึ่งตามไฟ |
พอพ้นนั้นกัปตันให้รอจักร |
เราเห็นพักจึ่งได้ถามตามสงไสย |
ทราบว่าจะส่งคนนำร่องไป |
เพราะมาใกล้เรือของเขาที่เฝ้าคอย ฯ |
๏ ฝ่ายฝรั่งในเรือเชื้อนำร่อง |
นั่งส่องกล้องเห็นพวกเปิดหมวกหยอย |
ดูเกศาฤๅออกโทรมเหมือนโคมลอย |
อยู่เรือน้อยประมาณยาวสักเก้าวา |
พอส่งนำร่องไปก็ใช้จักร |
เสียงวิดวักสินธูออกซู่ซ่า |
อุโฆษก้องท้องกำปั่นสนั่นมา |
ดูนาวาอ้างว้างห่างสันดอน |
ไม่แล่นลัดตัดคลื่นฝืนสมุท |
ดังมารุดรีบร้นชลกระฉ่อน |
ดูไกลเกาะละเมาะผาตามสาคร |
กำปั่นจรถึงที่ท้ายสีชัง |
เจ้าพวกบ๋อยอานำที่ทำกุ๊ก |
หุงข้าวสุกซุปกระหลี่มีโต๊ะตั้ง |
เล่าแกแรตกล้วยซ่มขนมปัง |
เชิญให้นั่งกินสดวกแต่พวกเรา |
พอระฆังบาหลีสี่โมงสาย |
อิ่มสบายเข้ากับเปนอับเฉา |
ขึ้นมานั่งดาษฟ้าทำน่าเซา |
แต่พวกเราเห็นกันเท่านั้นเอง |
ฝรั่งเดินไปมาพูดจาพล่ำ |
ฟังยังค่ำไม่รู้จักว่ากั๊กเหมง |
จะส่งภาษาสักคำก็ยำเกรง |
อายกังเกงที่เราใส่ไว้กับตัว |
ใครไม่รู้ดูเหมือนชาวยุรป |
แต่งเครื่องครบขัดฟันนั่งสั่นหัว |
ถึงอย่างนั้นเราใจยังไม่กลัว |
ถ้าจวนตัวทำใบ้พอได้การ |
แต่คุณพระทราบชัดสนัดคิด |
พูดอังกฤษเจนภาษาอาวสาน |
แต่กัปตันต้นหนล้วนคนงาน |
เปนชาติชาญฝรั่งเศสผิดเพษกัน |
ท่านยังพูดรู้ภาษาอัชฌาไศรย |
เหมือนรักใคร่กันสนิทไม่บิดผัน |
จนพวกเราค่อยสบายนายกัปตัน |
เขาจัดสรรค์กินอยู่คอยดูการ ฯ |
๏ เห็นเกาะสามมือยื้อชื่อพิฦก |
จดบันทึกเวให้แจ้งแสดงสาร |
นี่ใครหนอช่างมายื้อมือบุราณ |
มันเกิดการแสนตะกลามถึงสามมือ |
คิดถึงนุชสุดวิตกหัวอกหญิง |
ถูกมือติ่งมันมาฉุดคงหลุดปรื๋อ |
เราจะต้องกำหมัดอยู่ฮัดฮือ |
เขาสามมือจะต้องได้เอาไปครอง ฯ |
๏ เห็นเกาะขามนามดีค่อยมีจิตร |
คงจะคิดกลัวเราเปนเจ้าของ |
ขอให้ขามเหมือนเกาะเหมาะทำนอง |
อย่าหมายปองสีนวนที่ชวนแล ฯ |
๏ เห็นเกาะล้านแลออกลิบสักสิบเส้น |
มองไม่เห็นบ้านที่ไหนไกลกระแส |
เออใครหนอน่าขันมาผันแปร |
ฤๅเรียกแก้เกาะเรื่องให้เปลื้องตัว |
แต่ที่จริงยอดเขาเปนเงาล้าน |
ดูแดงด้านเลี่ยนโล้นเหมือนโกนหัว |
ทั้งพฤกษาไม่งอกดังหนอกวัว |
แต่ไม่ทั่วไปทั้งภูดูเปนวง |
เออแต่เขายังล้านกระบานหิน |
มันไม่สิ้นหลากจิตรพิศวง |
ฤๅมีของกายสิทธิ์ฤทธิรงค์ |
จำเพาะลงมากินดินคิรี |
เขาจึงเรียกเกาะล้านนานตั้งกัป |
ช่างอาภัพหมดชะตาแลราษี |
แม้นผู้คนอาไศรยใจไม่ดี |
ต้องทิ้งที่เกาะล้านประจานตน ฯ |
๏ ถึงเกาะริ้นจินตนาภาษาสัตว์ |
มันเที่ยวกัดมังสาเหมือนห่าฝน |
ข้าขอแต่น้องรักเสียสักคน |
อย่าบินวนไปกัดให้ขัดใจ |
เห็นหินผาหน้าเกาะคลื่นเซาะแซะ |
ที่แง้มแยะน้ำกระฉอกเข้าออกได้ |
ที่ขาววาบกาบลอกเปนปลอกไคร |
เหมือนเขาไม้ทำเล่นไม่เห็นดิน |
ที่น้ำเค็มท่วมไม่ถึงมันจึ่งรก |
กิ่งไม้ปกปิดแจคลุมแง่หิน |
ข้างล่างเตียนเลี่ยนตาด้วยวาริน |
มันชะหินถูกคลื่นทุกคืนวัน ฯ |
๏ ถึงเกาะไผ่ไม่เห็นมีกอสีสุก |
แลสนุกล้วนพฤกษาพนาสัณฑ์ |
ต้นไม้ใหญ่คล้ายผักเบี้ยดูเตี้ยครัน |
ก็เพราะมันบังหมอกแลออกไกล ฯ |
๏ เห็นเกาะครามตามภาษาเวลายาก |
น่าซื้อฝากครามดิบสักสิบไห |
เผื่อเนื้อหอมย้อมผ้าชุบสะไบ |
ให้สะใจนุ่งห่มสมอินทรีย์ |
แต่ทราบจิตรว่าเจ้าคิดเกลียดผ้าเขียว |
ชอบนุ่งเกี้ยวนุ่งลายระบายสี |
ถึงตัวแก่แลยังกำลังดี |
ทั้งตาปีนวนเหลือเหมือนเนื้อทิพ ฯ |
๏ ถึงเกาะยออ้อไฉนอย่างไรหนอ |
ฤๅผลยอมีชุกทั้งสุกดิบ |
นึกอยากกินลิ้นกับฟันคันยิบยิบ |
ได้สักสิบคำก็คงพอการ |
อันผลยอพอใจทั้งชายหญิง |
มันดีจริงจับจิตรสนิทหวาน |
รู้ว่ายอก็ยิ่งชอบสู้หมอบกราน |
เหมือนน้ำตาลทาปากอยากใช้ยอ |
อย่าว่าแต่เขาเลยฉันเคยถูก |
จูงจมูกได้เหมือนควายน้ำลายสอ |
แต่เรามาครั้งนี้เหมือนขี่วอ |
มีทั้งยอทั้งยกชื่นอกใจ ฯ |
๏ ถึงเกาะเสือเหลือกลัวตัวพยัคฆ์ |
หมอบประจักษ์นอนเห็นเปนไศล |
ดูรูปร่างโตถนัดไม่กัดใคร |
เปนเสือใหญ่จำศิลคอยกินลม ฯ |
๏ แลเห็นเกาะจรเข้เหศีร์ษะ |
ดูเกะกะมองเขม้นยิ่งเห็นสม |
เขาว่าหางสำคัญที่มันจม |
ให้เรือล่มแตกไปก็หลายลำ |
ถ้าเกยเข้าทีไรมักไม่รอด |
ยาวตลอดแหลมเปลือยเลื้อยถลำ |
เปนหินล้วนบังอยู่ดูประจำ |
มันจมน้ำนอนซุ่มชุ่มตะไคร ฯ |
๏ ถึงเกาะพระระยะทางมากลางคลื่น |
แลทะมื่นเรียงเปนแถวแนวไศล |
ไม่สู้เห็นบ้านช่องมองแต่ไกล |
เพราะเรือไฟแล่นลัดตัดออกฦก |
แต่สังเกตเห็นตลอดบนยอดเขา |
เปนปุ่มเปาเหมือนภิกขูไม่รู้สึก |
คนจึ่งเรียกเกาะพระให้อธึก |
ดูพิฦกอัศจรรย์ขันจริงจริง |
เมื่อมองเห็นเช่นนั้นจึ่งวันทิต |
คงสฤษฎิ์ที่สมมุตพุทธสิง |
ขอให้คุ้มข้าหลวงคอยท้วงติง |
บำบัดสิ่งสรรพไภยอย่าได้พาน |
ทั้งเย่าเรือนเพื่อนอุราของข้าเจ้า |
ที่โศกเศร้าคอยหาน่าสงสาร |
จงคุ้มไภยพาธาสาธุการ |
สุขสำราญพูลพิพัฒน์สวัสดี ฯ |
๏ ครั้นมาถึงที่เขาเกาะเจ้าจุ่น |
ดูเหมือนทุ่นอยู่ในน้ำจำมะหรี |
ทั้งต้นหมากรากไม้ก็ไม่มี |
สัณฐานสีปูนแห้งแดงมอซอ |
ชั่งเกิดอยู่ในน้ำเหมือนทำเล่น |
ได้มาเห็นอัศจรรย์ขันจริงหนอ |
ไฉนจึ่งชื่อเขาเปนเหล่ากอ |
เรียกกันจ้อไม่ว่าใครในชลา ฯ |
๏ เห็นเกาะหลักปักอยู่ดูเปนหย่อม |
รูปเหมือนพ้อมอย่างดีที่มีฝา |
ดูด้านแดงแห้งผึงถลึงตา |
ไม่มีหญ้าสักเส้นเห็นวิกล |
แลแต่ไกลคล้ายดอกบัวฤๅหัวเต่า |
มันน่าเอาไปไว้ปลูกไผ่สน |
ได้ชมเล่นเปนสง่าในสาชล |
เหมือนกับคนกลั่นแกล้งมาแส้งทำ |
ในหมู่นี้มีละเมาะเกาะต่างๆ |
จะต้องอ้างให้จิรังตั้งฉนำ |
เห็นเกาะจวงเกาะจันทน์คั่นเปนลำ |
ใหญ่กำยำซ้อนซับสลับดี |
คิดถึงจันทน์กระแจะจวงดวงสมร |
ปรุงขจรเจิมพักตร์เปนศักดิ์ศรี |
หอมตระหลบอบหน้าทุกราตรี |
ชื่นฤดีดับร้อนที่นอนเนา |
พี่ลำบากจากนุชสุดวิโยค |
ไม่วายโคกเสียดทรวงนั่งง่วงเหงา |
สักเมื่อไรจะได้กลิ่นยุพินเรา |
มาไกลเจ้าทรามสงวนนวลลออง ฯ |
๏ เห็นโรงโขนโรงหนังนั่งพินิจ |
ยิงเพ่งพิศดูเหมือนเขามีเจ้าของ |
นี่หนังใครหนอมาเล่นเต้นคนอง |
ฟังเสียงกลองเงียบสงัดอัศจรรย์ |
ทั้งโรงโขนก็ไม่มีตัวที่ไหน |
นี่งานใครหามามันน่าขัน |
ฤๅหลบเจ๊กเจ้าภาษีมามีกัน |
เห็นสำคัญแต่ป่านกกาบิน |
แต่รูปนั้นลม้ายคล้ายโรงหนัง |
เหมือนจอตั้งโอโถงเปนโรงหิน |
เขาจึ่งเรียกชื่อมาอยู่อาจิณ |
เมื่อได้ยินแล้วมายลต้องจนใจ ฯ |
๏ เห็นฉางเกลือเหลือสนุกกระจุกกระจิก |
ช่างซุกซิกเรียงเปนตับสลับไศล |
แต่เค้าเงื่อนเหมือนฉางมาวางไว้ |
เขาจึ่งใส่ฉายาน่าพิฦก ฯ |
๏ เกาะอ้ายแรดรูปรีไม่มีผิด |
ทั้งจริตกิริยาท่าสอึก |
เหมือนเดินด่องท่องน้ำตามจะนึก |
ถ้ารู้สึกก็ว่าเขาเรานี่นะ ฯ |
๏ เห็นเกาะฉลามแลล้วนกระบวนป่า |
ทัศนาทิวไม้คล้ายสวะ |
ที่แห้งตายใบโกร๋นโคนครุคระ |
ที่แหว่งหวะเปนช่องมองเห็นภู |
แต่ว่านกนางนวนมีล้วนหลาย |
มันสบายชอบเกาะจำเพาะอยู่ |
บ้างลอยน้ำหากินตามสินธู |
บ้างบินพรูเวียนว่อนจรจรัล |
โอ้นางนวนนวนน้องมาพ้องนก |
แลดูอกฤๅออกขาวเหมือนจาวถัน |
สีเจ้าเหมือนเพื่อนยากที่จากกัน |
จะนับวันว่างเว้นไม่เห็นนวน ฯ |
๏ ถึงเกาะทรายออกมาเด่นเห็นแต่หิน |
อีแอ่นบินเวียนจับนับไม่ถ้วน |
สันฐานเหมือนกระด้งเท่าวงอวน |
เปนทรายร่วนกรวดปนชอบกลดี |
แต่ช้างน้ำชอบนอนบนก้อนผา |
ขึ้นถอดงาออกสบัดตัวหัดถี |
มักร่วงตกอยู่บ้างเปนลางปี |
ชาวบุรีญวนชอบลอบเอาไป |
อันนาวามายากลำบากเหลือ |
หนทางเรือสองคืนคลื่นก็ใหญ่ |
แต่นำลึกสองเส้นเด่นอยู่ไกล |
ได้มาไปทุกวันนั้นก็นก ฯ |
๏ เกาะที่ฉันพรรณามาทั้งหลาย |
มีนิยายเรื่องโตไม่โกหก |
จะว่าไปไหลเล่อเหนือนเพ้อพก |
จึ่งหยิบยกเอาแต่เกาะจำเพาะการ |
ถึงอย่างนั้นท่านทั้งหลายมีชายหญิง |
จะค้อนติงตัดพ้อข้อบรรหาร |
พอเปนเลาเอาเปนหลักสักนิทาน |
ว่านมนานแต่ครั้งไหนตามใจกลอน |
ตาบ้องไล่ยายรำพึงซึ่งมีบุตร |
บริสุทธิ์งามพริ้งยิ่งสมร |
เรียกนางโดยได้ชื่อฦๅขจร |
ถึงนครกรุงจีนแสนยินดี |
ให้ไทยจือมาขอต่อตาบ้อง |
แก่ยกย่องให้เปนพระมเหษี |
จึ่งเตรียมขันหมากมาจากธานี |
ถึงวันดีจะสมานการมงคล ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าลายชายข้างตวันตก |
ก็เพ้อพกรักรุ่มทุกขุมขน |
ขอนางโดยต่อยายแม่พอแก้จน |
แก่ยกตนบุตรสาวให้เจ้าลาย |
แห่ขันหมากมากระไรดูไม่น้อย |
ถึงสามร้อยสิ่งของกองถวาย |
เขยทั้งสองพ้องกันเข้าทั้งบ่าวนาย |
ก็นัดหมายขอให้ส่งองค์บุตรี |
แต่ตายายไม่รู้กันช่างขันนัก |
ทำงกงักอิ่มเอมเกษมศรี |
ไม่ไต่ถามเหตุผลต้นคดี |
เพราะอยากมีลูกเขยไว้เชยชม |
ก็ต่างคนต่างกริ่มขยิ่มเหงือก |
ไม่ต้องเลือกให้ลำบากยากขนม |
เขาเปนเชื้อธิบดีบุรีรมย์ |
เกิดนิยมเห็นงามไม่ถามกัน |
ตาบ้องไล่จะส่งกับองค์เจ๊ก |
หางเปียเล็กรวยอู๋กินหมูหัน |
ยายรำพึงก็จะให้เจ้าลายพลัน |
จำเพาะวันเดียวพ้องถึงสองคน |
ไม่ตกลงงงอยู่จึ่งรู้เรื่อง |
ตาก็เคืองยายก็แค้นกว่าแสนหน |
ต้องค้างค้านการวิวาห์เข้าตาจน |
ลงนั่งบ่นพึมพำกรรมของกู ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าจีนเจ้าลายโดนรายนึก |
พอรู้สึกกำสรดแสนอดสู |
เมื่อดักลันปลาไหลมาได้งู |
มีศัตรูเพราะผู้หญิงต้องชิงนาง |
ก็ต่างคนต่างเหี้ยมเตรียมทหาร |
จะรบราญเจ้าบุรีที่มีหาง |
ตาบ้องไล่ให้ขยั้นเข้ากั้นกลาง |
พูดเปนกลางว่าอย่าแย่งจะแบ่งปัน |
ฉวยลูกสาวฉีกกลางขว้างให้เขย |
มันตกเลยอยู่เปนเกาะจำเพาะขัน |
เรียกว่าเกาะนมสาวเท่าทุกวัน |
อยู่ฟากจันทบุรีมีพยาน |
อีกซีกหนึ่งไปถึงตวันตก |
อดห่อหมกบ่าวสาวทั้งคาวหวาน |
เจ้าลายเห็นศพโศกโรคบันดาล |
ไม่กลับบ้านเลยตายในสายชล |
เดียวนี้ยังเปนเขานอนยาวเหยียด |
ไม่น่าเกลียดเหมือนมนุษย์สุดฉงน |
โต๊ะฝาชีพานกระจับกลับวิกล |
ตั้งอยู่จนทุกวันไม่อันตราย |
เขาเรียกสามร้อยยอดตลอดหมด |
ฉันไม่ปดพูดเพ้อละเมอหมาย |
แต่ทองมั่นนั้นถมลงจมทราย |
ตกอยู่ฝ่ายนครังบางตพาน |
เปนกำเนิดเกิดประจำธรรมชาติ |
สุกสอาดสืบมาอาวสาน |
เปนทองของเจ้าลายที่วายปราณ |
อยู่นมนานตั้งกัปไม่นับปี ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าจีนสิ้นอาไลยก็ให้โหย |
เห็นนางโดยซีกเดียวเขียวเปนผี |
ก็ทำศพกว่าจะเสร็จเจ็ดราตรี |
กับสิ่งที่เปนขันหมากไม่อยากเอา |
ทั้งโรงโขนโรงหนังคลังใส่ของ |
ก็เลยกองอยู่เหมาะเปนเกาะเขา |
สารพัดสัตว์สิงห์กลิ้งเปนเลา |
เรื่องตาเถ้าบ้องไล่ยายรำพึง |
แสนสงสารเจ้าจีนแผ่นดินเผง |
ถอดกางเกงค้างเปล่าเข้าไม่ถึง |
ต้องกลับไปภาราทำหน้าตึง |
สิ้นความหึงหม้ายหอเพราะพ่อตา ฯ |
๏ เรือกลไฟใช้จักรไม่พักผ่อน |
ตวันรอนล่วงลับพยับหล้า |
แล่นโขยดโดดคลื่นฝืนชลา |
ข้ามอ่าวสาครขั้นจันทบูร |
ทเลลึกนึกอนาถให้หวาดหวาม |
เสียงโครมครามดังสนั่นแทบขวัญสูญ |
ดูน้ำเค็มเปนประกายเหมือนไพฑูรย์ |
แสนอาดูรเหลียวแลเห็นแต่ดาว |
พวกข้าหลวงง่วงเหงาเศร้าสลด |
แต่งเครื่องยศเหมือนกันยิงฟันขาว |
แขงกมลทนประทังนั่งเปนราว |
พูดเกรียวกราวเฮฮาคลายอาวรณ์ |
มิศเตอร์กาดูผู้โดยสาน |
เขามีการกิจไปเมืองไซ่ง่อน |
แต่พูดไทยได้ชัดไม่ขัดกลอน |
ชอบสุนทรทางนิยายใจอารี |
มานั่งเล่นเห็นสนุกทั่วทุกท่าน |
ให้เปนการชอบหูกระจู๋กระจี๋ |
จนคุ้นเคยเลยรักสามัคคี |
ใจเขาดีโอบอ้อมละม่อมละมุน |
อันเรือไฟเจ้ากรรมเมล์ลำนี้ |
เมื่อราตรีเข้าห้องแล้วต้องหมุน |
เพราะร้อนไอไกล้สติมริมเปนจุณ |
ต้องว้าวุ่นเข้าออกบอกระอา |
พอเช้าตรู่สุริยันขึ้นดั้นเด่น |
มองไม่เห็นทิวไม้ใกล้ฝั่งฝา |
ถึงเกาะช้างรูปลม้ายคลายคชา |
ยืนจังง่าหูผึ่งเหมือนหนึ่งเปน |
ทั้งเกาะขี้มีอยู่กองมองไม่หาย |
แต่ว่ากลายเปนหินก็สิ้นเหม็น |
ล้วนแต่สิ่งสำคัญปันประเด็น |
ยังคิดเห็นถูกต้องของประจำ ฯ |
๏ ถึงเกาะกูฏแล่นครรไลไกลเปนหมอก |
จะพิศออกเหลือตาไม่น่าขำ |
แล่นมาถึงเกาะกงนี่กงกำ |
ใครมาทำเรือแพแต่เมื่อไร |
คือตาบ้องลากกงวงมันกว้าง |
บรรทุกช้างหนักจี๋จนขี้ไหล |
ต้องทิ้งอยู่เปนเขาไม่เอาไป |
เปนกงใหญ่แลหลามสิ้นความเพียร |
แต่เขมรเขาประสงค์กงคือเกาะ |
เรียกกันเพราะเขตรสมุทสุดเกษียร |
เปนแว่นแคว้นฝ่ายสยามอยู่จำเนียร |
มีทะเบียนเขตรขั้นจันทบูร ฯ |
๏ ถึงเกาะรงตรงอ่าวกระพงโสม |
ละลอกโครมคลื่นประดังกำบังสูรย์ |
มืดพยับลับฟ้ายิ่งอาดูร |
รุ่งจำรูญเข้าละเมาะช่องเกาะโกรง ฯ |
๏ ถึงหน้าเมืองกำปอดทอดสมอ |
ยิงปืนพอเปนสำคัญควันโขมง |
ไม่มีคนโดยสานลงกันโคลง |
พอรุ่งโมงเช้ากัปตันให้ครรไล |
แล่นตะบึงมาถึงเกาะมันน้อย |
จนบ่ายคล้อยคลื่นจัดลมพัดใหญ่ |
คืนยังรุ่งวันยังค่ำกระหน่ำไป |
เรือกลไฟโคลงคลอนเหมือนนอนเปล |
เพราะเที่ยวนี้มีสินค้ามาไม่มาก |
จึ่งลำบากคลื่นซัดอยู่ปัดเป๋ |
ซ้ำไม่แล่นแสนเคืองเรื่องเรือเมล์ |
แทบจะเทข้าหลวงให้ร่วงชล |
หากเปนข้าบาทบงสุ์พระทรงเดช |
ไม่มีเหตุอับปางลงกลางหน |
พอสองยามถึงที่เกาะมีคน |
แจงตำบลตามแผนให้แล่นรอ |
ต้องราไฟไขจักรพักสู้คลื่น |
ไม่อาจขืนเข้าไปจอดทอดสมอ |
เพราะช่องแคบหินขวางเหมือนอย่างตอ |
กลัวคลื่นยอเรือแตกกระแทกชล |
พอรุ่งเช้าเข้าไปทอดกลางชะวาก |
ไกลแต่ฟากร้อยเส้นเห็นถนน |
มีฝรั่งรักษาว่าตำบล |
ให้คุมคนโทษอานามอยู่สามพัน |
มีตึกอยู่หมู่หนึ่งซึ่งได้เห็น |
ยกธงเปนฝรั่งเศสคุมเขตรขันธ์ |
กับนาวาเล็กน้อยลอยจรัล |
พยุนั้นหอบสาดขึ้นหาดทราย |
เพราะคืนนี้ลมจัดปัดตะโพก |
เหมือนกระโหลกลอยน้ำบ้างคว่ำหงาย |
แต่เรือเรารอดจมไม่ล่มตาย |
พ้นจากฝ่ายแอกซิแดนแสนยินดี |
อันเกาะนี้รูปผงกเหมือนนกใหญ่ |
แปลเปนไทยคงประจักษ์ว่าปักษี |
ฝรั่งเศสเรียกมาทั้งตาปี |
ชื่อเกาะนี้ตามกลอนลิคอนโด |
สำหรับปล่อยคนผิดคิดขบถ |
ทรยศจับได้เหมือนใส่โหล |
เอามาไว้ใช้งานทำการโต |
ไม่ร้อยโซ่กรวนซ่นเหมือนคนพาล |
บนตลิ่งวิ่งออกไขว่ใช้คนคุก |
ตัวเท่าตุ๊กตาตามน่าศาล |
ในเรือบตหัวออกดำนั่งทำการ |
มีทหารถือท้ายบันทัด |
ให้ฟั่นเชือกผูกตลิ่งทิ้งออกหย่อน |
ได้ยาวผ่อนเรือไปไกลถนัด |
อยู่กลางอ่าวแลเปนหมอกละลอกซัด |
ลมสบัดโต้คลื่นคืนกับวัน |
มีแพโคมทอดขวางอยู่กลางอ่าว |
ให้รู้ด้าวแดนน้ำทางกำปั่น |
ทั้งเข้าออกจะได้เห็นเปนสำคัญ |
ด้วยเกาะนั้นทางยากลำบากตา |
เมื่อเรือไฟทอดคอยก็ลอยอยู่ |
ไม่มีผู้โดยสานนานหนักหนา |
ก็ถอนสมอชักธงว่าคงลา |
ใช้จักรมาตามทางในกลางชล |
ครั้นพลบค่ำน้ำละลอกกระฉอกซ่า |
พยับฟ้ามืดเม้นไม่เห็นหน |
นอนสดุ้งพลุ่งพลั่งยิ่งกังวล |
ขอให้พ้นคลื่นลมที่ซมซาน |
ยังไม่เหนโคมฟากปากสมุท |
ยิ่งไกลสุดเหลือตาอาวสาน |
เหมือนอยู่ในกรงขังนั่งรำคาญ |
จนเห็นย่านปากอ่าวบันเทาครัน ฯ |
๏ ครั้นถึงโคกคะนัดเบเวลาเช้า |
คือเปนอ่าวไซ่ง่อนหยุดผ่อนผัน |
ยิงปืนจอดทอดสมอพอสำคัญ |
แต่กัปตันคุณพระได้ขึ้นไปดู |
อันแหลมนี้ได้เหนเปนชะวาก |
คล้ายกับปากชะนางฤๅคางหมู |
มีตึกกว้านบ้านฝรั่งบ้างตามภู |
กับที่อยู่เตลิคราฟทาบไปเมือง |
บนยอดเขาปักเสาธงลงริมป้อม |
มีตึกย่อมสอาดตาหลังคาเหลือง |
ไม่กี่ปีก็จะฟุ้งแทบรุ่งเรือง |
น่าเปนเมืองปากน้ำทำปราการ |
เมื่อเข้าจอดทอดที่มีฝรั่ง |
กับญวนทั้งแหม่มอนงค์ลงโดยสาน |
แล้วออกเรือใช้จักรไม่พักนาน |
แล่นเข้าย่านแม่น้ำเปนลำราง |
มีเรือนโคมกระโจมไฟไว้ตามตื้น |
ถ้าค่ำคืนจุดแดงแสงสว่าง |
บนฝั่งฝามาเปนแถวแนวโกงกาง |
ทำขาอย่างเรือนไฟปักไว้รับ |
ได้พบเรืออุบลบูรทิศ |
ที่มากิจไซ่ง่อนแล่นย้อนกลับ |
หลวงนายฤทธิ์หลวงวิชิตเปิดหมวกรับ |
คุณพระกับหลวงคำณวนควรยินดี |
ด้วยร่วมข้าราชการมาพานพบ |
จึ่งนอบนบรอบรักเปนศักดิ์ศรี |
แต่มิได้สนทนาหยุดพาที |
กำปั่นรี่เร็วจริงจนวิงตา ฯ |
๏ ครั้นถึงเมืองไซ่ง่อนหย่อนสมอ |
เรือจ้างสอแจวก่ายทั้งซ้ายขวา |
แต่คุณพระไพรัชขึ้นทัศนา |
เที่ยวสืบหาที่อยู่บนบุรี |
แล้วลงมาชวนข้าราชกิจ |
ขึ้นสถิตย์โฮเตลเปนสุขี |
ชื่อลูนิวแวส์แลล้วนสมควรดี |
ด้วยเปนที่โอชาสารพัน |
ระยะทางตั้งแต่กรุงสยาม |
นับเรียงตามเขตรสมุทสุดกระสัน |
ทั้งแล่นจอดทอดเสร็จได้เจ็ดวัน |
ก็พร้อมกันหมดทุกข์สุขสบาย |
มีคนใช้เกาวนาให้มาเยี่ยม |
ดูเสงี่ยมงามเงื่อนเหมือนสหาย |
ได้ไต่ถามปราไสยทั้งไพร่นาย |
แล้วผันผายกลับหลังไปฟังการ ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าเกาวนาจัดม้ารถ |
กับล่ามพจน์พูดอังกฤษสนิทหวาน |
รับคุณพระไพรัชชัชวาลย์ |
กับตัวท่านหลวงคำณวนควรไปเยือน |
ได้สนทนาปราไสยกันในกิจ |
เขาสุจริตอารีไม่มีเหมือน |
แล้วลามาโฮเตลอยู่เปนเรือน |
สบายเหมือนบ้านเราแต่เช่ากัน |
ทั้งเข้ากับรับประทานมันหวานเจื้อย |
อร่อยเรื่อยรสอะไรชอบใจฉัน |
ด้วยเดชะจักรพงศพระทรงธรรม์ |
จึ่งได้ครรไลอยู่ลูนิวแวส์ ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าพวกไทยฝ่ายสยาม |
แต่งตัวงามดูละม้ายคล้ายจีนแส |
มองสิเออก็ไม่ใช่ไทยก็แปร |
ฝรั่งแลดูไม่ออกบอกตรงๆ |
พากันไปชักรูปสูบกระจก |
เปนที่ยกไว้ระฦกนึกประสงค์ |
ครั้นถึงบ้านฝรั่งช่างบรรจง |
ก็ชักลงเสร็จสรรพแล้วกลับมา |
ครบอาทิตย์มิศมารตินช่าง |
เขาแต่งสร้างสวยศรีดีนักหนา |
รูปใครๆเขาชัดสนัดตา |
แต่อาตมาแสนละเหี่ยต้องเสียเงา |
เพราะเวลาที่ชักมักจะไหว |
น่าแค้นใจเห็นรูปซูบกว่าเขา |
มาสิ้นสวยที่จะส่งให้นงเยาว์ |
จะพลอยเศร้าเสียเพราะรูปไม่ลูบแล ฯ |
๏ ครั้นสองทุ่มเกาวนาเชิญข้าหลวง |
เปนกระทรวงจงเจาะตามเบาะแส |
ไปนั่งโต๊ะที่วังแล้วฟังแตร |
อารีแท้เช้าให้ไปมิโต |
ได้ขึ้นรถจักรกลทุกคนสิ้น |
มีญวนจีนนั่งไปก็หลายโหล |
ไม่เทียมด้วยอูฐลาฤๅม้าโค |
มันแล่นโร่ไปบนรางทางเหล็กราว |
มีสะเตช์เคหาพักห้าแห่ง |
เปนตึกแต่งบริบูรณโบกปูนขาว |
กับตพานข้ามน้ำวัดตามยาว |
ประมาณราวห้าเส้นได้เห็นมา |
ทั้งสองแห่งแท่งเหล็กหล่อเปนเนื้อ |
มีไม้เจือทำรอดสอดบ้างหนา |
หนทางรถบทจรตามดอนนา |
วิ่งจนตาลานดีขี่สบาย |
ได้พบหญิงเลดีมีในรถ |
ดูสวยสดยังไม่ยุบบุบถลาย |
นั่งพูดจากลมเกลี้ยงเข้าเคียงชาย |
เปนแยบคายเต็มตัวเหมือนผัวเมีย |
ฟันก็ขาวราวกับงาหน้าเหมือนหยก |
แต่ที่อกของน้องใส่ลองเสีย |
ช่างสวมหมวกสมพักตร์ถักหางเปีย |
นั่งคลอเคลียพูดชะม้อยลอยลูกคาง |
แต่ผู้ชายหนวดเคราราวกับยักษ์ |
แลดูพักตร์แดงก่ำเหมือนน้ำฝาง |
จมูกโด่งโง้งงอทำข้อกาง |
นั่งพูดพลางออกท่ายิ่งหน้าแดง |
ผู้หญิงเขาสนัดชอบผัดพักตร์ |
ถึงเกลียดรักใจชื้นไม่ขึ้นแสง |
แต่ผู้ชายไม่อุทัจคิดดัดแปลง |
ปล่อยให้แดงดูเล่นหน้าเปนมัน |
เห็นเขาพูดจับคู่อยู่ในเก๋ง |
มาหย่อนเตงแสนวิตกแต่อกฉัน |
มิได้พาหน้าแฉล้มแก้มอำพัน |
มาด้วยกันพอเปนยศขึ้นรถไฟ |
รถก็แสนแล่นจี๋เหมือนขี่สิงห์ |
มันช่างวิ่งไม่รู้ว่ามาถึงไหน |
แต่มีหลักตามจังหวะกะเปนไมล์ |
เมื่อแล่นไปคอยนับไม่ลับตา |
สามชั่วโมงถึงมิโตสโมสร |
เปนทางจรเส้นนั้นสองพันห้า |
หยุดอยู่ริมฝั่งน้ำตามเวลา |
สิ้นมรรคาทางรถกำหนดชัด |
พวกข้าหลวงเดินลงตรงมาเห็น |
เรซิเดนคอยรับคำนับหัดถ์ |
แล้วเจริญเชิญคุณพระไพรัช |
กับที่ถัดหลวงคำณวนควรคำนับ |
ให้ไปตึกที่พักด้วยรักใคร่ |
แล้วจัดให้รับประทานทั้งหวานกับ |
พร้อมทั้งญวนผู้ใหญ่คือนายทัพ |
นั่งคำนับเปนอันดีมีประมาณ |
แล้วท่านองค์เลวังขุนนางสุภาพ |
เชิญขุนปราบชลไชยนายบรรหาร |
กับตัวเราเปนสามตามนักการ |
ไปรับประทานโฮเตลพูดเล่นกัน |
เมื่อนั่งโต๊ะสนทนาชวนปราไสย |
เราพุดไทยเขาพูดญวนนั่งสรวลสันต์ |
ไม่ถูกหูดูปากช่างยากครัน |
ได้สำคัญที่ขุนปราบทราบแล้วแปล |
เขาสี่คนเราสามถามกันวุ่น |
ชุลมุนโต้เถียงเสียงออกแซ่ |
ท่านขุนปราบปากเดียวเหนี่ยวกันแจ |
ดูเต็มแย่เพราะเปนล่ามรู้คำญวน |
ยังไม่ทันสิ้นความเราถามติด |
มือสกิดว่าอะไรคอยไต่สวน |
เพราะอยากรู้ถ้อยคำตามสมควร |
ต้องรบกวนท่านขุนวุ่นเต็มที |
พอเสร็จเลี้ยงพาไทยให้ไปบ้าน |
รับประทานหมากพลูสูบบุหรี่ |
เหมือนหนึ่งชอบกันมาสักห้าปี |
ดูอารีต้อนรับคำนับไทย |
แล้วเขาเชิญมารดามาให้พบ |
ได้นอบนบตามฉันท่านผู้ใหญ่ |
อยู่บ้านตึกเหมือนเจ้าสัวไม่กลัวใคร |
ถือเพทไสยคฤศเตพระเยซู |
อันเมืองนี้ไม่สู้ใหญ่เดินได้จบ |
ชาวยุรปมีบ้างมาตั้งอยู่ |
ถนนปราบราบตาทำน่าดู |
สองฟากผลูปลูกมะพร้าวราวระเนน |
มีเรือเมล์มาจอดทอดเทียบท่า |
ใส่สินค้าขึ้นไปขายฝ่ายเขมร |
แล่นวันหนึ่งถึงนิคมพนมเพญ |
ด้วยทางเปนแม่น้ำตามสบาย |
ครั้นยามเย็นถึงบทกำหนดกลับ |
ต่างคำนับลากันแล้วผันผาย |
ขึ้นรถรีบเร็วจริงทั้งหญิงชาย |
แสนสบายมาในรถบทจร |
ครั้นเวลาย่ำค่ำถึงสำนัก |
อยู่ที่พักอาไศรยเมืองไซ่ง่อน |
สุขสบายพร้อมหน้าไม่อาวรณ์ |
ครั้นทินกรรุ่งอุไทยไปชะลัน |
ทางรถไฟนั้นน้อยร้อยเส้นกว่า |
แล่นสิบห้ามินิตคิดถึงนั่น |
ได้ชมบ้านร้านตลาดสอาดครัน |
แต่จีนนั้นมีดื่นแปดหมื่นคน |
เปนเมืองเล็กแต่เจ๊กดูแทบล้วน |
มากกว่าญวนอยู่หลามตามถนน |
ตั้งตึกใหญ่ขายสินค้าไม่น่าจน |
มีผู้คนซื้อขอต่อราคา |
แต่เมืองนี้มีญวนนักเลงได้ |
มันเล่นไม้สามอันยืนคันขา |
แต่สังเกตเห็นสกนธ์เปนคนยา |
คอยสอดตาแลโปลิศทุกทิศทาง |
ได้เที่ยวดูอยู่สองชั่วโมงเศษ |
จึ่งจำเหตุได้ชัดไม่ขัดขวาง |
แล้วกลับมาไซ่ง่อนเหมือนก่อนปาง |
เปนที่ทางสำหรับเคยหลับนอน |
คืนวันหนึ่งคุณพระสละทรัพย์ |
เชิญแม่ทัพเมืองมิโตสโมสร |
ชื่อท่านเต็งบาลกเคยยกนิกร |
ฐานันดรปับลิกันได้ชั้นตรา |
สำหรับปราบเขมรญวนชวนขบถ |
จนมียศส่งอำนาจวาสนา |
นับถือพระเยซูรู้ตำรา |
จนเบื่อฆ่าคนญวนที่ลวนลาม |
มานั่งโต๊ะโฮเตลเปนคำนับ |
เขาก็รับรักใคร่ฝ่ายสยาม |
ได้สนทนาปราไสยเปนใจความ |
อารีตามเต็มใจในดิเนอ |
พอเสร็จเลี้ยงลาลับคำนับน้อม |
ต่างพรักพร้อมยินดีไม่มีเสมอ |
ดูเอื้อเฟื้อรักกันสมันเกลอ |
เสร็จดิเนอโภชนาก็ลาไป |
คืนวันนั้นได้ดูลครเล่น |
เพราะจำเปนเดินพบสบไสมย |
เขาดูล้นคนฝรั่งช่างเปนไร |
เราก็ใส่เสื้อกางเกงไม่เกรงกัน |
ซื้อติเก็ตเสร็จนั่งยังเก้าอี้ |
ดูเปนที่ขวยเขินเหมือนเชิญฉัน |
ต้องเสียเงินให้เปนค่านัยตามัน |
แต่พอกันหาวนอนสัญจรมา |
ฝรั่งตบมือสนั่นออกลั่นห้อง |
แต่เรามองไม่เห็นเปนภาษา |
เหมือนดูหนังยังรุ่งพระสุริยา |
ไม่ทราบว่าลักษมณ์รามสิ้นความคิด |
พวกฝรั่งหัวร่อเราก็เฉย |
ประเดี๋ยวเลยเลิกพักชักม่านปิด |
อันลครโรงนี้มีชนิด |
มาสถิตย์ให้เล่นเปนสัญญา |
ในหกเดือนคอเวอนเมนต์ต้องเซ็นรับ |
เรียกว่าซับซิดีพอมีหน้า |
เสียเงินให้ลครซ้อนราคา |
สองร้อยห้าสิบชั่งกำลังสบาย ฯ |
๏ อยู่วันหนึ่งเรือเมล์ฝรั่งเศส |
ที่ประเวศส่งกำลังเครื่องทั้งหลาย |
สำหรับยุทธอุดหนุนการวุ่นวาย |
มาจอดท้ายเมืองเรียบเทียบตพาน |
เราได้ลงไปดูจึ่งรู้เห็น |
ยาวสามเส้นคล้ายแผ่นดินถิ่นสถาน |
ทั้งขัดถูดูดีไม่มีปาน |
สอาดสอ้านแลไหนใสเปนเงา |
กว้างหกวาดาษฟ้ามีสองชั้น |
ปล่องสองอันงดงามทำสามเสา |
มีคอกขังเป็ดไก่อ้ายตะเภา |
แพะแกะเอาไว้ออกยั้วข้างหัวเรือ |
ทั้งคอกโคลูกอ่อนนอนกินหญ้า |
สำหรับฆ่าแล่ชิ้นกินเหมือนเสือ |
แต่หนังพับผึ่งไว้ใช้เปนเบือ |
ที่กลางเรือมีหีบเพลงบันเลงลม |
สำหรับผู้โดยสารรำคาญเข็ญ |
มีห้องเต้นรำสนุกแก้ทุกข์ถม |
ดาษฟ้าล่างทางสอาดลาดด้วยพรม |
ปลูกต้นส้มไว้ต่างๆกระถางลาย |
มีโต๊ะตั้งระหว่างห้องเฟิศคลาก |
งดงามมากเหมือนตึกพิฦกหลาย |
จุดไฟทุกห้องส่องสบาย |
ทั้งที่ถ่ายทุกข์อาบน้ำตามทั้งนั้น |
เขาปล่อยให้ชมเล่นเปนสง่า |
เหลือปัญญาที่จะร่ำทำขยัน |
เห็นยี่ปุ่นดรุณีศรีลูกจันทน์ |
สบเนตรกันในห้องท้องนาวา |
ช่างขาวนวนควรถนอมหน้าแฉล้ม |
แต่งเหมือนแหม่มเหมาะงามตามภาษา |
เขาเลื่องฦๅชื่อเจ้าดังยังสีดา |
พึงได้มาเห็นนุชเมื่อสุดจน |
ถ้าแม้นได้ไว้ประโลมโฉมยี่ปุ่น |
แต่พออุ่นที่มาเห็นเปนกุศล |
แต่แปลกชนิดผิดชาติประหลาดคน |
เหมือนเดินหนกินน้ำค้างต่างน้ำเคย |
ไม่เหมือนแหม่มของเราชาวสยาม |
ชะอ้อนตามร่วมเตียงเคียงเขนย |
เห็นคนอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนคนเคย |
โอ้อกเอ๋ยนึกขึ้นมายิ่งอาวรณ์ |
ครั้นมาถึงโฮเต็ลไม่เปนสุข |
ก็เลยทุกข์พาลคนึงถึงสมร |
เพราะไปยลคนยี่ปุ่นเปนทุนรอน |
แล้วนั่งนอนล่องเวลาก็ซาไป ฯ |
๏ อยู่วันหนึ่งจึ่งเดินเที่ยวซื้อของ |
ยืนจดจ้องอยู่ไม่กล้าจะปราไสย |
ล้วนฝรั่งตั้งห้างไม่อย่างไทย |
ถ้าชอบใจหยิบดูไม่รู้ราคา |
แม้นมีญวนจีนลูกจ้างค่อยยังชั่ว |
ได้รอดตัวที่ขุนปราบทราบภาษา |
ซื้อกันได้ไม่ขัดอัธยา |
แต่ราคามักจะแพงเรี่ยวแรงครัน |
ชื่อถนนบูละวาน่าประพาส |
เขาแผ้วกวาดไม่รังเกียจคิดเดียดฉันท์ |
มีน้ำรดชุ่มไปไม่เปนควัน |
เหมือนวัสสันตฤดูบูละวา |
ที่หน้าห้างหว่างถนนคนเดินเลียบ |
ปูอิฐเรียบฝนไม่ขังเหมือนฝั่งฝา |
แต่รถนั้นเดินกลางหว่างมรรคา |
ปลูกพฤกษาเรียงรื่นครึกครื้นดี |
มีตึกรามงามคล้ายกรุงปารีศ |
ที่เขาขีดเขียนถ่ายระบายสี |
แล้วแยกตรอกออกไปหลายในบุรี |
น่ายินดีเดินแลพอแก้ทุกข์ |
ถึงถนนทางไกลชายป่าสวน |
เปนดินร่วนปนทรายไม่สนุก |
กุลีกวาดลาดถมกระลมพุก |
ทุบไปทุกทางให้รถบทจร |
มีถนนนามท้าวเจ้าเขมร |
ตั้งชื่อเปนนโรดมสมอักษร |
ที่ไปวังเกาวนาอยู่ถาวร |
เจ้านครสิทธิ์ขาดราชการ |
มีประตูเหล็กงามอยู่สามช่อง |
แล้วมีห้องยามสำหรับกับทหาร |
ถนนเดินสองข้างกลางเปนลาน |
ปลูกพุดตานยี่สุ่นไม้หลายชนิด |
บนตึกโตระโหฐานสำราญเรี่ยม |
ปูพรมเจียมอย่างดีสีวิจิตร |
ทั้งโต๊ะฉากโคมระย้าชวลิต |
ของอังกฤษยี่ปุ่นแซมตั้งแกมกัน |
ที่หลังวังร่มรื่นเปนพื้นสวน |
ตามกระบวรแบบฝรั่งเขารังสรรค์ |
ทำสระสีมีชุดบุษบัน |
บนขอบคันที่เปนวงทำโรงแตร |
ถึงวันศุกรสนุกสนานชาวบ้านช่อง |
มาเที่ยวท่องเดินกรอประจ๋อประแจ๋ |
รถเข้าได้ในประตูดูเปนแพ |
มาฟังแตรตามสบายคลายกังวล |
รวมสถานเกาวนาราคาตั้ง |
แปดพันชั่งที่บุรณะสละผล |
จึงได้งามตามทรัพย์สำหรับตน |
ไม่กลัวจนสร้างอยู่ดูสำราญ |
อันชื่อท่านเกาวนาสมญาเสนอ |
มองซิเออคองสตอนพูดอ่อนหวาน |
ทั้งโกชินไชนาสาธุการ |
บังคับค้านสิทธิ์ขาดราษฎร |
ในเมืองนี้มีเรศเตอรองรับ |
เปนห้องหับตึกโตสโมสร |
สำหรับขายเล่ายาอยู่ถาวร |
ในนครมีกว่าห้าสิบโรง |
คนฝรั่งนั่งกินวันละหลาย |
ที่เมามายพูดเล่นเปนโขยง |
แต่ไม่ริวิวาทเหมือนชาติโกง |
ที่โอ่โถงบ้างก็มีกิริยา |
ถ้ายามเย็นนายห้างทั้งเศรษฐี |
ล้วนผู้ดีมียศขึ้นรถา |
เรียกชื่ออินสะเปกเช่นเปนเวลา |
เที่ยวตรวจตรารอบบุรีที่สบาย |
มีโรงหมอรักษายายุรป |
ทั้งเครื่องครบทำได้เหมือนใจหมาย |
เปนบ้านช่องขบขันพรรณราย |
มีตึกหลายหลังสำหรับกับนคร |
กับโรงแพทย์รักษาธารณะ |
เขาไม่กะคนเจ็บเหมือนเก็บขนอน |
มีห้องหับเตียงตั้งให้นั่งนอน |
ราษฎรมารักษาพยาบาล ฯ |
๏ ตลาดจีนอยู่ฝ่ายท้ายเมืองหน่อย |
เขาไม่ปล่อยเกลื่อนกลาดให้อาจหาญ |
ผู้คนคึกตึกใหญ่ขายชามจาน |
แลดูร้านเรียงสลับเหมือนตับพลุ |
มีพวกแขกแปลกมาเที่ยวค้าขาย |
แต่เรียงรายร้านดูไม่สู้จุ |
ขายกล้องยาผ้าไหมเทียนไขคุ |
แต่พอจุกำลังตั้งหากิน |
สงสารญวนพลเมืองเรื่องค้าขาย |
น่าเสียดายมีปัญญาไม่หาสิน |
ขายแต่ของทรามราคาเปนอาจิณ |
มีเครื่องกินเปรี้ยวเคมแต่เต็มกลืน |
มีตลาดขายปลาอยู่ห้าหลัง |
เอาแผงตั้งเรียงกันสักพันผืน |
เปนตึกดินใหญ่โล่งเท่าโรงปืน |
น่าครึกครื้นเดินเล่นไม่เหม็นคาว |
เพราะมีตรอกซอกน้ำล่ามมาถึง |
ไม่เปรอะปรึงล้างราดสอาดขาว |
แต่กลางกันนั้นวายขายหมดคราว |
คนเกรียวกราวแต่สว่างจนกลางเพล |
เวลาค่ำตามถนนทุกหนแห่ง |
ตะเกียงแดงดูดีดังสีเสน |
ทั้งร้านฝรั่งห้างโตตึกโฮเตล |
ไม่ว่างเว้นโคมสว่างเหมือนกลางวัน |
เพราะชาวร้านทำงานกลางคืนด้วย |
น่าจะรวยเปนเศรษฐีที่ขยัน |
เหมือนเห็นได้ไม่อุส่าห์หาไม่ทัน |
จึงต้องหมั่นทำกินเปนถิ่นดี ฯ |
๏ ที่หน้าเมืองมีรูปแม่ทัพทหาร |
นามขนานริโกชกาจดังราชสีห์ |
เอาเหล็กหล่อไว้ให้เห็นพอเปนที |
ตามฐานมีรูปพลรณณรงค์ |
ท่านผู้นี้คือตีไซ่ง่อนได้ |
จึงทำไว้รฦกตามความประสงค์ |
จะได้ฦๅชื่อเสียงสำเนียงคง |
ให้ยรรยงอยู่กับริปับลิก |
ดีไม่สูญพูลเพิ่มเฉลิมญาติ |
ใครทำราชการได้มีไชยอิก |
คงกระเดื่องเนื่องสุขไปทุกวิก |
ยศไม่พลิกยิ่งเจริญเกินนิรันดร์ |
ที่ในลำคงคาหน้าไซ่ง่อน |
มีเมล์จรค้าขายหลายกำปั่น |
ทั้งเรือไฟใหญ่น้อยลอยจรัล |
หมดด้วยกันสามสิบหยิบประมาณ |
อิกเรือรบสองสามลำประจำท่า |
ไม่ยาวกว่าเส้นดีมีทหาร |
บนเสาใส่ฮอศกิ๊ดติดปราการ |
สำหรับราญรบตัดดัสกร |
ทั้งสองเสาเค้าเหมือนฝนแสนห่า |
พื้นหลังคาเหล็กล้วนญวนขยอน |
สัณฐานเท่ากับวงกระด้งมอญ |
เมื่อปีก่อนรบตังเกี๋ยเสียบุรี |
มีทั้งอู่ทำเผื่อให้เรือเข้า |
สำหรับเช่าเยียวยาแล้วทาสี |
ยังอิกอู่ทำขันขยันดี |
จนเกือบปียังไม่เสร็จสำเร็จการ |
กำปั่นตามนคราที่ว่าใหญ่ |
มาเข้าได้ทั้งลำทำวิดถาร |
เหมือนเรือโล้เหล็กแทนแผ่นกระดาน |
ทำท่าธารสูบได้อย่างใจจง ฯ |
๏ อันไซ่ง่อนนครญวนสมควรเหตุ |
ฝรั่งเศสเอาเปนของต้องประสงค์ |
แต่ก่อนนี้ภาราเหมือนป่าดง |
ไม่มั่นคงปกครองเปนของญวน |
เมื่อเสียกับฝรั่งเศสตามเหตุผล |
จึ่งได้ปรนปรือปรุงบำรุงสงวน |
ยี่สิบปีกว่าเท่านั้นปันจำนวน |
เดี๋ยวนี้ล้วนตึกรามงามวิไลย |
เปนกอลอนีของฝรั่งไม่อย่างเก่า |
บังคับเชาอานามตามวิไสย |
พื้นบ้านเมืองนี้ดูไม่สู้ไกล |
กว้างยาวไมล์ครึ่งวัดตามอัตรา ฯ |
๏ ฝ่ายพวกข้าฝ่าธุลีบดีสูรย์ |
ก็เพิ่มพูลหยุดพักนานนักหนา |
นับวันได้สิบสามตามเวลา |
ครบทั้งห้านายสุขสนุกสบาย |
แล้วคุณพระไพรัชนัดคำนับ |
ไปพบกันเกาวนาลาถวาย |
ด้วยจะขึ้นตังเกี๋ยคิดเสียดาย |
ขอผันผายจากเจ้าเกาวนา |
เขาแสดงน้ำใจว่าไปนี้ |
คงไม่มีขัดขวางอย่ากังขา |
ต้องสำเร็จราชกิจที่คิดมา |
ตามเวลารับรองข้างต้องกิน |
แล้วมาลงเรือเมล์ฝรั่งเศส |
เดินถึงเขตรไฮฟองท้องกระสินธุ |
พอรุ่งออกนาวาจากธานินทร์ |
แสนถวิลถึงที่อยู่ลูนิวแวส์ |
สบายดีมีสง่าเปนข้าบาท |
มาจากอาสน์ลอยล่องท้องกระแส |
ทั้งฟูกเมาะเบาะหมอนที่นอนแพร |
เขาดูแลจัดบ๋อยคอยประจำ |
เรือจะเรตเจ็ดชั่วโมงออกปากอ่าว |
ลลอกขาวน้ำเขียวเปนเกลียวสำ |
แล่นเลียบฝั่งข้างโขดสันโดษลำ |
เสียงจักรจ้ำน้ำนองฟองกระจาย ฯ |
๏ คืนกับวันบัลลุถึงเขตรแขวง |
เรียกเนียแตรงทอดสมอก็พอสาย |
แต่ญวนเรียกถั่นว่าน่าสบาย |
ภูเขารายช่องทางเหมือนอ่างปลา |
ประเดี๋ยวมีฝรั่งนั่งเรือบต |
แล่นเลี้ยวลดลอยป่องออกช่องผา |
มาโดยสานขึ้นเมล์ตามเวลา |
ไม่รอท่าแล้วกัปตันให้ครรไล |
แล่นมาตามคงคาสาคเรศ |
มีแต่เขตรเหล่าละเมาะเกาะไศล |
ไม่เห็นมีบ้านช่องของผู้ใด |
ล้วนแต่ไพรพฤกษาเปนอาเกียรณ์ ฯ |
๏ ครั้นถึงสุวันไดพอบ่ายคล้อย |
ญวนผู้น้อยเรียกจำเพาะเกาะภูเอี๋ยน |
บนยอดเขาแลลาดสอาดเตียน |
เขาตั้งเพียรทำได้ทั้งไร่นา |
ราวกับเรื่องบุราณนิทานเด็ก |
ฉันเล็กเล็กจำได้ไม่มุสา |
ตบมือก้องร้องสบายยายกะตา |
แกทำนาบนเขาเย้าคนฟัง |
พอค่อนคืนถอนสมอไม่รอรุ่ง |
ก็แล่นมุ่งมาทีเดียวไม่เหลียวหลัง |
ทั้งคลื่นลมมิได้หยุดสุดกำลัง |
หวาดระวังอยากจะไปถึงไฮฟอง |
เห็นฉลามตามเรือมันเหลือร้าย |
มาแหวกว่ายตำมุดผุดผยอง |
ปลาฉนากจากคู่ดูลำพอง |
เที่ยวขึ้นล่องเล่นคลื่นฝืนชลา |
เห็นเอียวเซียวเลี้ยวหลีกพยุนโลด |
ว่ายกระโดดดำหนีทีถลา |
บ้างก็มุดผลุดโผล่พบโลมา |
ก็จมสาครเร้นไม่เห็นตัว |
เจ้าปลาสากรูปละม้ายคล้ายกับสาก |
แลดูปากฤๅออกขาวยาวกว่าหัว |
ลอยเปนหมู่ดูขันว่ายพันพัว |
แต่เนื้อตัวน่าชังตังกะตอย |
เจ้าปลาหมอรอฝูงพยุงลูก |
แต่พอถูกคลื่นขยับก็กลับถอย |
แลเห็นปลาโทงแทงขึ้นแซงลอย |
ดูจะงอยปากยาวราวกับทวน |
แม้นตกใจว่ายปรูดพุ่งฉูดฉาด |
ไม่คัดวาดตรงใส่เหมือนไม้สวน |
ถ้าปลาอื่นไม่หนีซี่โครงรวน |
ถูกอ้ายทวนปากแขงมันแทงตาย |
พวกชาวโป๊ะปะโมงเบ็ดเข็ดขยาด |
จนไม่อาจออกชื่อเลื่องฦๅหลาย |
สำหรับแช่งสาปกันอันตราย |
ออกชื่ออ้ายโทงแทงแรงกว่ามนต์ |
ครั้นสูญสิ้นทินกรลงนอนตรึก |
อนาถนึกหนาวเย็นทุกเส้นขน |
ทั้งคิดถึงครอบครัวของตัวตน |
แต่สู้ทนกัดฟันค่อยบันเทา |
ด้วยยังไม่เสร็จมาดราชกิจ |
จะต้องคิดมานะบ้างเหมือนอย่างเขา |
จะเปนสิ่งดีชั่วก็ตัวเรา |
ต้องดึงเดาดั้นดงเข้าพงพี ฯ |
๏ ครั้นถึงถิ่นควินนอนพอตอนเช้า |
มีแต่เขาโขดเขินเนินวิถี |
ญวนเขาเรียกบิ้นดิ่นถิ่นคิรี |
เข้าจอดที่ในนั้นตามสัญญา |
มีเรือจ้างมากมายที่ในน้ำ |
แจกประจำเกาะกำปั่นด้วยหรรษา |
เปนคนญวนล้วนหลายทั้งยายตา |
อนาถาลงประจำลำละครัว |
เมืองเหล่านี้ดีเหลือใช้เรือสาาน |
ฤๅกันดารยากไร้น่าใคร่หัว |
ล้วนไม้ไผ่ไม่พังแผ่นทั้งตัว |
บรรทุกวัวควายได้ในทเล |
มีทั้งเรือเล็กใหญ่สานลายสอง |
ยาที่ท้องข้างในทำไพล่เผล |
เอาขึ้นบกยกครอบหัวตัวไม่เซ |
ลงทเลนั่งพายได้หลายคน |
ครั้นเวลาทุ่มจรถอนสมอ |
เปิดหลอดหวอแล่นคว้างมากลางหน |
มืดพยับลับฟ้าทั่วสากล |
ในกลางชลคลื่นลมเสียงโครมคราม |
เรือโขยดโดดเหยงโงงเงงหงาย |
ที่เมามายนอนซบสลบหลาม |
ทั้งเข้าปลาพากันเหมนไม่เห็นชาม |
เดินงุ่มง่ามเงอะงะศีร์ษะเวียน |
นอนคุดคู้อยู่ในห้องท้องกำปั่น |
จะให้มันหายมึนที่คลื่นเหียน |
คนอื่นเขาหลับไหลกันได้เตียน |
เราต้องเวียนขึ้นดาษฟ้าทาระกำ |
พอรุ่งโรจโชตนานภาขาว |
แลเห็นอ่าวเกาะขวางเมืองกวางหนำ |
ฝรั่งเรียกตุเรนประเดนคำ |
ก็หยั่งน้ำเรียบเลาะเข้าเกาะกง ฯ |
๏ ถึงกลางอ่าวเป่าหลอดทอดสมอ |
เพราะจะรอถ่ายของต้องประสงค์ |
เปิดระวางกางบาญชีให้คลี่ธง |
ของขึ้นลงเสียงรอกออกระเบง |
มีเกาะเล็กเกิดขวางอยู่กลางอ่าว |
ก่อตึกขาวคนฝรั่งนั่งในเก๋ง |
ทั้งเรือบตกลไฟที่ใช้เอง |
ผู้คนเซงแซ่เกาะละเมาะลอย |
กับเรือรบสามลำประจำจอด |
สำหรับทอดระวังไว้ได้ใช้สอย |
กำปั่นญวนเสาคอดทอดตองตอย |
ไม่ใช้สอยยังแต่ก่อนเกือบนอนโคลน |
ที่บนบกชายผาตรงหน้าเขา |
มีศาลเจ้าเกรงโกรงเท่าโรงโขน |
กิ่งไม้ปกปิดศาลดังบ้านโจร |
ฝรั่งไม่โยนเครื่องเส้นเหมือนเช่นญวน |
อ่าวตุเรนนี้เปนเหมือนเมืองท่า |
รับสินค้าขึ้นเว้ไม่เหหวน |
มีบ้านช่องกร่องกร๋อยน้อยจำนวน |
แต่พวกญวนในสำนักนั้นมักจน |
ทั้งแร่ถ่านที่ดีก็มีมาก |
ญวนไม่อยากให้ฝรั่งมาตั้งขน |
เพราะยังเปนเจ้าของท้องตำบล |
สู้อดทนหวงไว้ใต้แผ่นดิน |
เมื่อไรจะเปนประโยชน์โภชนา |
มีสินค้าไม่รู้ทำนั่งจำศิล |
แขงแต่ใจได้ยศสู้อดกิน |
เพราะถือถิ่นที่เกิดกำเนิดญวน |
แต่ไม่รู้ดูกำลังชั่งน้ำหนัก |
ว่ายศศักดิ์ฤๅอำนาจจะขาดด้วน |
เมื่อคบคนเจ้าปัญญาเข้ามากวน |
ต้องชักชวนชาวนครให้ผ่อนปรน |
แต่เดี๋ยวนี้ก็ขยับจะคับแคบ |
เหมือนเจ็บแสบอยู่ในกายทุกปลายขน |
หย่อนอำนาจวาสนาว่าตำบล |
ต้องแบ่งผลยอมให้ไว้อาชา |
เมื่อทำศึกคึกสู้ฝรั่งเศส |
ปัติเหตุเห็นผิดกับมิจฉา |
เสียหหารลูกดินสิ้นปัญญา |
ยกภาราให้ฝรั่งมาตั้งครอง |
ได้ทราบข่าวว่าเจ้าแผ่นดินเว้ |
เสด็จเกร่ไม่เอาเปนเจ้าของ |
ละบุรีหนีสมบัติขัดทำนอง |
ไม่อยากครองที่รับด้วยคับใจ |
เสียดายหนอเมืองเว้เคหสถาน |
ไม่ได้พานพบเห็นเปนไฉน |
ด้วยจะต้องรีบร้อนสัญจรไกล |
ยังจะไปต่อเว้หลายเวลา |
พอสองยามกัปตันให้ขันสมอ |
แล่นชะลอเลียบเกาะละเมาะผา |
ถึงทเลลึกทางกลางชลา |
ใช้จักรมาจนแจ้งแสงหิรัญ |
ไม่หยุดพักจักรพุ้ยตะลุยคลื่น |
แลทมื่นล้วนคิรีเปนศรีสรร |
ที่สูงเยี่ยมเทียมเมฆอเนกอนันต์ |
แลเปนควันสุดเนตรเขตรอานำ |
ถึงสองวันสองคืนคลื่นก็เงียบ |
ทเลเรียบแล่นเลาะเกาะไหหลำ |
แต่ยังไกลเทียมหมอกดูออกดำ |
ข้ามปากน้ำตังเกี๋ยไม่เสียแรง |
ครั้นจวนสางรางตาท้องฟ้าใส |
เห็นเรือนไฟริบหรี่มีแต่แสง |
ทราบว่าถึงปากน้ำที่สำแดง |
ให้รู้แจ้งว่าอ่าวเข้าไฮฟอง |
พอสว่างแลล้วนสวนสลา |
ขึ้นเปนป่ารอบบุรีมีเจ้าของ |
มีป้อมดินเปนหลักยักทำนอง |
ฝรั่งครองครอบงำแต่ลำพัง |
ฟากข้างขวาแลเห็นแต่เลนตื้น |
ไม่ครึกครื้นราบแม้นกับแผ่นหนัง |
ดูไกลลิบมีเขาราวกับวัง |
บ้านสพรั่งตึกรามอยู่ตามบาง |
ถึงไฮฟองเข้าจอดทอดสมอ |
เวลาพอสุริฉายขึ้นสายสาง |
แต่ไซ่ง่อนจรเมล์ทเลทาง |
ก็พอย่างนับยกได้หกวัน |
เมื่อเรือพักมีพนักงานฝรั่ง |
ลงมายังฮานอยคอยพวกฉัน |
ตามคำสั่งเรซิเดนเปนสำคัญ |
ดูคมสันให้มารับคำนับแทน |
ชื่อเซนเยมลุดเตอแนนต์แขวนกระบี่ |
เสื้อยันต์มียศตั้งบั้งที่แขน |
กับล่ามพูดช่างแผดชื่อแบตแวล |
เยนตะละแมนต์ทั้งคู่เชื้อผู้ดี |
มาคำนับรับรองพวกข้าหลวง |
ตามกระทรวงกำหนดบทวิถี |
แล้วแจ้งความขอบใจตามไมตรี |
ว่าเขานี้จะพาไปฮานอย |
แต่เห็นว่าข้าหลวงลำบากเหลือ |
มาในเรือบอบนักดูพักตร์จ๋อย |
ให้ยั้งเสียพอบันเทาเขาจะคอย |
ต่างรับถ้อยตามบทกำหนดวัน |
แล้วคุณพระไพรัชพิพัฒน์ภาพ |
ไม่จ้วงจาบมุ่งหมายจึ่งผายผัน |
ทั้งคุณหลวงคำณวนควรจรัล |
ขึ้นตูคัลเยี่ยมท้าวเกาวนา |
ชื่อมองซิเออคับเปเซมเหศร |
เขาก็ต้อนรับอารีดีนักหนา |
ได้พบพูดสมคะเนกับเวลา |
ตามอัชฌานอบน้อมด้วยพร้อมใจ |
แล้วเลยเยี่ยมเยเนราลว่าการทัพ |
เขาก็รับโดยสนิทพิสมัย |
สมกับยศข้าหลวงกระทรวงไทย |
ดูเต็มใจโอบอ้อมพร้อมอินทรีย์ |
แล้วหยิบแผนนครังเมืองตังเกี๋ย |
เหมือนสั่งเสียชี้แจงตำแหน่งที่ |
มาให้ดูรู้พอจรลี |
กับวิถีจะขึ้นมาเมืองฮานอย |
ท่านข้าหลวงทราบตามเนื้อความชัด |
แจ้งระหัสเต็มสุนทรอักษรฝอย |
แล้วก็ลามาลงกำปั่นลอย |
ดูเรียบร้อยนอนเรือเหลือสบาย |
แต่ต้องกินโฮเตลของกวางตุ้ง |
มีเนื้อกุ้งปลาผักยักกระสาย |
ด้วยกับเข้าชาวยุโรปกระทบกาย |
ทั้งสี่นายเบื่อท้องจึ่งลองจีน |
คุณพระนั้นกัปตันเขาต้อนรับ |
ขอคำนับเวลาพักเปนศักดิ์ศิล |
ให้นั่งโต๊ะตามเวลาเปนอาจิณ |
จนเสร็จสิ้นเชิญกันถึงวันลา |
แล้วได้ขึ้นเดินดูบนบุรี |
ตำบลที่ทำเลแลเคหา |
ตึกเปนแถวแนวฝั่งสพรั่งตา |
ดูหลังคาขาวลออพึ่งก่อทำ |
มีโฮเตลโรงหมอก่อเปนแถว |
แต่พึ่งแล้วดูยังกำลังขำ |
ตึกตลาดรายทางห้างประจำ |
มีของชำเสื้อผ้าสารพรรณ |
พื้นแผ่นดินลุ่มดอนสัญจรยาก |
จ้างคนถากถมล้วนญวนขยัน |
ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่เปนรายวัน |
แต่พอทันซื้อกินสิ้นปัญญา |
พลเมืองบอบบางเปนอย่างไพร่ |
ไม่สดใสแสนขัดสหัสสา |
เพราะบุรีย่อยยับอัปรา |
ในสี่ห้าปีปลายทำลายญวน |
ฝรั่งเปนผู้จัดสนัดแต่ง |
คิดซ่อมแปลงตามใจไม่ไต่สวน |
แต่ต้องหว่านทรัพย์ทำจึ่งน้ำนวน |
แปลงกระบวนแบบเก่าชาวนคร |
เด็กประจำเรือจ้างได้สังเกต |
พูดฝรั่งเศสคล่องไม่ต้องสอน |
ที่คอยรับไปมานาวาจร |
ยืนสลอนตามตลิ่งวิ่งออกพรู |
เห็นคนไทยใส่กางเกงแกมเสื้อหมวก |
นึกว่าพวกฝรั่งชั่งอดสู |
มาพูดจาเรียกร้องแล้วจ้องดู |
แต่ไม่รู้ภาษากันว่าอันใด |
มีหอคอยลอยลิ่วอยู่ริมฝั่ง |
แล้วก็ตั้งข้ามแม่น้ำตามไศล |
วางจังหวะกะห่างหนทางไกล |
สำหรับใช้สังเกตบอกเหตุการ |
กลางวันเอากระจกส่องมองแต่แสง |
ก็รู้แจ้งเหมือนได้รับฉบับสาร |
กลางคืนใช้แสงอัคคีมีประมาณ |
ดูวิดถารชื่อซิกแนนแดนสัญญา |
ในลำน้ำหน้าบุรีมีเรือรบ |
ประจำครบเครื่องทหารการรักษา |
มีทั้งปืนฮอศกิ๊ดติดนาวา |
ทอดอยู่กว่าสิบลำประจำซอง |
กับเรือเมล์ไปมาเที่ยวค้าขาย |
สำหรับถ่ายรับเช่าส่งเข้าของ |
มีสามลำตามชะไลหน้าไฮฟอง |
ทั้งขึ้นล่องสติมลอนจรนที ฯ |
๏ อยู่ไฮฟองสองวันตามกำหนด |
พร้อมกันหมดอิ่มเอมเกษมศรี |
กับฝรั่งสองนายใจอารี |
นำวิถีพวกไทยไปฮานอย |
มาขึ้นเมล์ฟิกนิกอิกลำหนึ่ง |
เช้าโมงกึ่งถอนสมอไม่รอถอย |
ใช้จักรเดินตามลำน้ำซองคอย |
ฤๅอิกถ้อยเรียกว่าลำแม่น้ำแดง |
มันคดเคี้ยวเลี้ยวงอเหมือนคอกล้อง |
มีแต่ท้องนาลุ่มชุ่มระแหง |
ทำนาได้ทั้งปีมิเสียแรง |
ไยจึ่งแพงถังละเหรียญแทบเจียนตาย |
เด็กเด็กเดินแก้ผ้าอนาโถ |
ต้องซูโลมือพนมวิ่งก้มหงาย |
เคยได้เซ็นเห็นกำปั่นขอทานดาย |
บ้างเลี้ยงควายก็ต้องทิ้งวิ่งทะยาน |
ถ้าโยนอัฐทองแดงแย่งกันกลุ่ม |
เที่ยวแหวกพุ่มรกหาน่าสงสาร |
ปากก็ร้องมองตกายแม้นได้การ |
ตลีตลานวิ่งตามหลามคันนา |
กว่าจะได้แต่ละเซ็นเหมือนเขนขอน |
ไส้กระฉ่อนแทบชีวังจะสังขาร์ |
เอามือตบปากท้องของอาตมา |
ที่เมื่อยขานั่งจ๋อลงก็มี |
เรือก็แล่นเดินตามแม่น้ำน้อย |
ไม่ตะบอยหยุดพักเปิดจักรจี๋ |
โคลนพอครือท้องมาในวารี |
บ้านช่องมีเปนระยะออกระทาง |
ผ่านแม่น้ำตามสบายไปหลายแห่ง |
ค่อยชื่นแฉ่งศรีหน้าเหมือนทาฝาง |
ไม่คลื่นเหียนเวียนหัวกลัวอับปาง |
มืดนภางค์เรือจรนอนสบาย ฯ |
๏ ครั้นสี่ทุ่มถึงฮานอยค่อยสว่าง |
หนาวน้ำค้างห่มผ้าไม่น่าหาย |
เย็นเปนเหน็บเนื้อหนังทั่วทั้งกาย |
จนสางสายรุ่งรางสว่างวัน |
พนักงานสองนายชายฝรั่ง |
ก็พร้อมพรั่งแต่งกายจะผายผัน |
นำข้าหลวงพวกไทยขึ้นไปพลัน |
ให้อยู่ชั้นตึกหอคอเวอนเมนต์ |
ที่สำหรับรับแขกมาแปลกบ้าน |
สอาดสอ้านแสนสุขไม่ขุกเข็ญ |
แล้วว่าท่านแบรเยเรซิเดน |
จัดให้เปนที่พักกว่าจักไป |
แต่ที่จะรับประทานอาหารนั้น |
จงผายผันทุกเวลาอัชฌาไศรย |
ให้นั่งโต๊ะแคฟเฟทำเลไกล |
จะเรียกให้หมดแอลเด็กแซนดา |
แล้วคุณพระไพรัชพิพัฒน์ภาพ |
ไม่จ้วงจาบตามบทซึ่งยศถา |
ไปเยี่ยมที่สองเจ้าเกาวนา |
นามสมญาแบรเยเรซิเดน |
เขาต้อนรับจับหัดถ์จัดเก้าอี้ |
ด้วยยินดีได้ประสบมาพบเห็น |
แล้วไต่ถามความลำบากที่ยากเย็น |
ฤๅว่าเปนสุขทั่วทุกตัวนาย |
มองซิเออแบตแวลผู้แก่นล่าม |
พูดมาตามอังกฤษสนิทหลาย |
ให้คุณพระทราบชัดอธิบาย |
ดูแยบคายเต็มตามความอัชฌา |
แล้วว่าการเลี้ยงรักษาพวกข้าหลวง |
ตกกระทรวงคอเวอนเมนต์เปนผู้หา |
ทั้งรับส่งคงจัดเปนอัตรา |
ตามทางข้าหลวงไทยเปนไมตรี |
อิกบ้านช่องเกาวนาเวลาไหน |
จงมาไปตามสนุกเปนสุขี |
อนุญาตขาดเหลือเผื่อทวี |
อย่าได้มีความแหนงระแวงใคร |
ทั้งรถม้าสารพัดจัดสำหรับ |
ให้ขี่ขับตามภาษาอัชฌาไศรย |
คุณพระท่านจึ่งตอบว่าขอบใจ |
ที่มาได้รับรองกว่าต้องการ |
แล้วลามาที่พักสำนักตึก |
ต่างคนนึกปรีเปรมเกษมสานต์ |
ครั้นสิ้นแสงส่องหลักจักรวาฬ |
อยู่สำราญห้องหับไม่คับกาย |
พอรุ่งเช้าเกาวนามาเยี่ยมตอบ |
ตามระบอบราชกิจสนิทหลาย |
ดูเอื้อเฟื้อโอบอ้อมน้อมทุกนาย |
แล้วผันผายกลับบ้านสถานตน |
เมื่อพวกไทยไปโฮเตลก็เปนยศ |
ได้ขึ้นรถเทียมคนบนถนน |
ฝรั่งเรียกปู๊สปูดพูดพิกล |
คือเหมือนคนเรียกวิฬามาเปนนาม |
น่าสงสารญวนคนพลไพร่ |
ดูเหมือนไม่เหนื่อยเหน็จคิดเข็ดขาม |
กับคนท้ายคอยจุนวิ่งรุนตาม |
เหมือนสยามเรานี้ที่ขี่กัน |
มีสำหรับฮานอยคอยรับจ้าง |
พวกขุนนางชอบขี่ดีขยัน |
ลากเลี้ยวล้มลุกวิ่งไม่ทิ้งคัน |
ดูผ้าพันหัวปลิวเหมือนทิวธง |
พวกฝรั่งนั่งไปแล้วให้อัฐ |
ไม่ต้องขัดรับเอาตามความประสงค์ |
ถ้าสมเหนื่อยหน้าชื่นค่อยคืนคง |
แม้นน้อยลงก็อย่าร้องไม่ต้องทวง |
ยังกุลีมีหลายทั้งชายหญิง |
พอเช้าวิ่งเหมือนเขาขับไปทัพหลวง |
ถือเชือกคานแบกหามตามกระทรวง |
คอยรับช่วงขนของเที่ยวมองเมียง |
เสื้อกังเกงขาดวิ่นช่างสิ้นคิด |
แต่สุจริตซื่อมากปากไม่เถียง |
จ้างแต่พอได้เซ็นเปนเสบียง |
เอามาเลี้ยงปากท้องรองไปวัน |
ที่รุ่นสาวน้อยน้อยค่อยดูได้ |
ก็ต้องไปตามจนทนขยัน |
สักว่าได้ไม่ว่าเอาบ่าดัน |
ไม่เปนอันออกสนุกขมุกขะมอม |
น่าสงสารทรามเชยไม่เคยเห็น |
ต้องยากเย็นฝ่ากายจนผ่ายผอม |
ถึงหนักเหลือเหงื่อหยดสู้อดออม |
ช่างมายอมแบกหามนามกุลี |
อันตัวเราทุกข์เทื้อเหลือลำบาก |
มาพลัดพรากความรักยิ่งหนักจี๋ |
เข้าสองเดือนเหมือนจะดิ้นสิ้นชีวี |
ร้อนฤดีเหลือหนักด้วยรักรึง |
อยากจะจ้างนางญวนสมควรแบก |
ขึ้นแสรกพอผ่อนหย่อนสลึง |
ถ้าแม้นได้ไม่ว่าห้าตำลึง |
ขอแต่ทึ้งทุกข์ออกเสียนอกกาย |
กลัวเขาจะไม่แบกด้วยแปลกเพษ |
สุดสังเกตในอารมณ์ไม่สมหมาย |
อันการจะปลดเปลื้องเรื่องในกาย |
เหลือขยายที่จะจ้างกับนางญวน |
แต่เดือนอ้ายให้คนึงจบถึงนี่ |
เข้าเดือนยี่อยู่ฮานอยละห้อยหวน |
มาหยุดยั้งตังเกี๋ยจนเสียนวน |
กำลังอ้วนจะต้องผอมออมกมล |
พอพลบค่ำสุริยาเวลาดึก |
อนาถนึกหนาวเย็นทุกเส้นขน |
ต้องติดไฟในผนังประทังตน |
ยังไม่พ้นหนาวกายในอุรา |
ทั้งหนาวเนื้อที่มาหน่ายคลายสวาท |
หนาวนิราสศรีสวัสดิ์สหัสา |
หนาวในอกมิได้อุ่นทุ่นวิญญา |
หนาวที่มาไกลคู่ข้ามบุรี |
ได้อังไฟไม่เหมือนอุ่นหนุนเขนย |
มาจากเชยจากชมระบมฉวี |
โอ้หนาวเนื้อหนอจะได้สิ่งใดดี |
เพราะอัคคีไฟธาตุขาดอยู่ดวง |
ถึงมีเสื้อกางเกงผ้ามาพออุ่น |
ถ้านึกฉุนถึงมิตรยิ่งคิดห่วง |
มองไม่เห็นเย็นปลาบก็ทราบทรวง |
จะห้ามดวงใจได้ฤๅไรเรา |
ครั้นเดือนยี่วันศุกร์ขึ้นสองค่ำ |
เวลาย่ำมืดพยับลงลับเขา |
กับสี่สิบมินิตไม่คิดเดา |
พร้อมพวกเราทุกคนสนทนา |
แผ่นดินไหวในฮานอยคอยสังเกต |
ไม่เห็นเหตุอัศจรรย์ขันหนักหนา |
พอรู้ตัวเงงโงงโคลงกายา |
สามสิบห้าวินาทีแล้วดีไป |
ฝ่ายบุรำตำหรับฉบับชี้ |
ว่าเกิดมีแปดประการบันดาลไหว |
เกิดด้วยผู้เรืองอิทธิ์ฤทธิไกร |
เปนอยู่ในหกอย่างวางคัมภีร์ |
ไหวด้วยปลาอานนต์ตนขยับ |
ตามฉบับภูมภาคเปนสากษี |
ข้างญวนจีนก็ว่าตำรามี |
อึ่งอ่างที่หนุนโลกมักโยกกาย |
ไม่รู้ว่าจะตัดสินดินอากาศ |
เหลืออำนาจจะนิยมให้สมหมาย |
คงจะไม่เห็นจริงทั้งหญิงชาย |
แล้วแต่ฝ่ายนัคเรศมีเหตุการ |
ได้เห็นชัดอัศจรรย์ในวันนี้ |
ใคร่คดีดูอานามตามสัณฐาน |
เห็นจะสิ้นเสื่อมสิ่งศฤงคาร |
เทวดาลดลทวีบุรีญวน |
ด้วยเข้าในปกครองของฝรั่ง |
แต่ลำพังตามไสมยต้องไต่สวน |
เหมือนหุ่นยนต์คนไม่ชักยักกระบวร |
ก็แลล้วนตั้งจมปุกเหมือนตุ๊กตา |
แมมดรีนกินตะกางสำอางโอ่ |
เคยตั้งโตเต็มอำนาจวาสนา |
ได้บีบคั้นกันตามความอาญา |
ไม่มองหน้าพลไพร่ใจทมิฬ |
ทั้งกะเกณฑ์กดกันคั้นเอาทรัพย์ |
ราษฎร์ก็คับแค้นจิตรนิจสิน |
ครั้นมีผู้ปกครองข้างตองกิน |
ก็เหมือนสิ้นดวงชะตาเมืองฮานอย |
เขามาหัดจัดธรรมเนียมไม่เจียมทรัพย์ |
ข้อบังคับเสริมใสให้ใช้สอย |
ต้องเดินตามความเห็นเขม้นรอย |
เปนผู้น้อยเขาทั้งรู้ต้องดูดาย |
อันอำนาจฝรั่งเศสทั้งเดชฤทธิ |
เหมือนอาทิตย์เที่ยงเปล่งเมื่อเบ่งฉาย |
ถ้าใครดูสุริยาแก้วตาพราย |
ไม่อาจกรายเกริ่นแลแพ้ตวัน |
ถึงอย่างไรใจญวนเมื่อจวนอับ |
ได้เตรียมทัพรบเร่งเก่งขยัน |
เห็นว่าเสือก็ต้องสู้คู่ประชัน |
เมื่อโรมรันแพ้สงครามก็ตามการ |
แต่อาวุธยุทธนาเวลานั้น |
มีกั้นหยั่นทวนภูธนูขวาน |
ด้วยนึกเห็นว่างามตามโบราณ |
ไม่คิดอ่านหากำลังยังเสียดาย |
เก็บสินทรัพย์รับไว้ใส่กระเป๋า |
ที่หนักเบาไม่กลัวตัวฉิบหาย |
ทั้งปืนผาออกกลาดตลาดราย |
เขาทำขายกันอื้อไปซื้อมา |
ในสิบคนจะมีสักกระบอก |
ก็ต้องออกไปประชิตกับมิจฉา |
จนป้อมใหญ่ยับย่อยถอยศักดา |
หมดปัญญาชาวบุรินทร์สิ้นอาไลย |
ครั้นรุ่งเช้าแบตแวลผู้แก่นล่าม |
มาไต่ถามพูดจาอัชฌาไศรย |
ว่ากินอยู่ชอบปากอยากอันใด |
จงบอกไปจะหามาทุกวัน |
อันแบตแวลคนนี้ดีด้วยปาก |
พูดได้มากหลายชาติฉลาดขัน |
ฝรั่งเศสอังกฤษก็ผิดกัน |
โปรตุคันเจ๊กไทยเข้าใจฟัง |
ครั้นกลางคืนพาไปดูรำร้อง |
ที่ตึกของญวนสง่ามีหน้าถัง |
ล้วนรุ่นสาวขาวขำแต่ลำพัง |
ดูกำลังน่าเชยไม่เคยชาย |
เจ้าโพกหัวผ้าแดงแต่งเหมือนงิ้ว |
ช่างผ่องผิวพักตร์เหมือนกับเดือนหงาย |
โคมกระดาษพาดคานปานกระทาย |
ดูแยบคายผูกบ่ามีท่าทาง |
ยืนขึ้นรำทำมือกะดิกกะดุก |
แล้วนั่งคุกเข่าร้องให้ต้องอย่าง |
วนเปนคู่ดูดีทั้งสี่นาง |
จังหวะวางขับร้องเข้ากลองซอ |
แปลกกับรำโคมเราชาวสยาม |
เมืองอานามอย่างดีเท่านี้หนอ |
ไม่เห็นมีกี่ท่าหน้าลออ |
วิธีก็มอญรำตามระทา |
แต่ยังชวนยวนยีทีจริต |
ด้วยนั่งชิดลูบคลำได้ตามภาษา |
แม้นจะให้ปรองดองต้องวิวาห์ |
เรียกราคาพอสมควรญวนฮานอย |
มีหัวหน้าถ้าจะดูไม่ใช่ง่าย |
ต้องใช้สายคนสนิทให้ติดสอย |
ด้วยกลัวฝรั่งรังแกมาแส่รอย |
เปนผู้น้อยพูดไม่ออกเขาบอกตรง |
หากินตามความสำรวยทั้งสวยสาว |
อยู่ตึกราวนางนาฎราชหงส์ |
แต่เขาว่าสุจริตจิตรมั่นคง |
ไม่น่าปลงใจเชื่อเหลือประมาณ ฯ |
๏ วันหนึ่งได้ไปดูเทพารักษ์ |
ที่เปนหลักบุรีมีเปนศาล |
อยู่ตึกตั้งครั้งปฐมบุรมบุราณ |
ทางประมาณชั่วโมงดูโล่งตา |
มีประตูเปนช่องอยู่สองชั้น |
ถัดไปนั้นตึกว่างทั้งซ้ายขวา |
กลางเปนลายปูหินล้วนศิลา |
แล้วถึงหน้าศาลเจ้าเข้าข้างใน |
มีรูปเซียนเปนสง่าท่าต่างๆ |
ยืนเงื้อง้างทวนหอกออกไสว |
ที่เปนหลวงจีนนั่งอย่างพระไทย |
ครองผ้าไตรเหลืองเรื่อเสื้อกางเกง |
ข้างหลังมีรูปใหญ่กายมหันต์ |
ดูมั่นตั้นโตทลึ่งบึ้งเขมง |
นั่งบนแท่นห้อยขากายาเกรง |
ลืมตาเป๋งดังเปนเขม้นมอง |
สูงเจ็ดศอกออกดำเหมือนสำฤทธิ์ |
ว่าศักดิ์สิทธิสุรพลคนสยอง |
มือซ้ายถือกฤชยาวเท่ากระบอง |
ปักขนองหลังเต่าริมเท้ายัน |
แต่มือขวาทอดศอกบอกนิ้วชี้ |
ในวิธีเหมือนให้ยลบนสวรรค์ |
ห่มภูษาย้อมสิ้นขมิ้นชัน |
ทั้งมีพันโพกเศียรคาดเคียนกาย |
ได้ถามญวนผู้เถ้าที่เฝ้าศาล |
ว่านมนานครั้งไหนน่าใจหาย |
แกแจ้งว่าตาหล่อขอบรรยาย |
อธิบายแรกเริ่มแต่เดิมที |
เมื่อจีนมาสร้างกรุงให้ฟุ้งเฟื่อง |
เปนบ้านเมืองโอ่โถ่งทั้งโกงษี |
เวลานั้นหลวงจีนนึกยินดี |
จะให้มีของบูชาสาธุชน |
จึ่งหล่อรูปสำฤทธิสถิตย์ไว้ |
แต่พอให้เข้าเส้นเปนกุศล |
ให้ชื่อถั่นจิ้นผูดูวิกล |
เปนที่คนมัสการนมนานมา |
เขากำหนดจดฉนำจำกันได้ |
นับมาได้พันปีเข้านี่หนา |
แล้วแจ้งความตามฤทธิอิศรา |
ใครไม่ปรามาทกลัวทั่วนคร |
เมื่อปีกลายมีฝรั่งหวังจะผลาญ |
ขนเอาถ่านกองหุ้มเหมือนสุมขอน |
แล้วติดไฟใส่สูบจนรูปปอน |
หมายว่าร้อนคงละลายต้องคายทอง |
อัศจรรย์บันดาลการประหลาด |
มีน้ำหยาดซึมออกมาน่าสยอง |
อัคคีดับทั้งสุมจนชุ่มกอง |
ไม่ได้ทองต่อยหูชูไปอัน |
ได้ทราบคำอำลาจากตาเถ้า |
แล้วเลยเข้าป้อมสังเกตทั่วเขตรขันธ์ |
ขุดคูรอบขอบปราการตระหง่านครัน |
กำแพงนั้นสูงทำถึงสามวา |
สร้างแต่ครั้งบุรียังมีสุข |
ครั้นเกิดยุคเแพ้ริปูหมู่มิจฉา |
ทวารที่เข้าไปในชะลา |
มีอยู่ห้าแห่งทำประจำการ |
ประเดี๋ยวนี้ฝรั่งพังเสียสอง |
ก่อจำลองเปนกำแพงแปลงสถาน |
แล้วมีตึกยาวขวางอยู่กลางลาน |
วัดประมาณสี่เส้นดูเปนแนว |
สำหรับฝรั่งตั้งทหารการรักษา |
ทุกเวลาฝึกหัดจัดเข้าแถว |
ไม่ไว้ใจชาวบุรีจะวี่แวว |
ให้คล่องแคล่วอยู่สำหรับกับนคร |
มีโรงหมอก่อตึกอยู่ในป้อม |
ตั้งเปนหย่อมรีขวางเหมือนวางขอน |
หลังละสามเส้นกว่าสถาวร |
น่านั่งนอนแลหลามงามลออ |
ด้านหนึ่งออฟฟิเซอกับไปรเวต |
ปันเปนเขตรห้องสลับกันกับหมอ |
ด้านหนึ่งมีคนเจ็บเก็บชะลอ |
นั่งงอนหง่อนอนเตียงออกเรียงราย |
แต่คนญวนสามร้อยก็พลอยป่วย |
มีหมอช่วยรักษามันน่าหาย |
พวกฝรั่งแปดสิบหยิบบรรยาย |
ทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกันปันเปนตอน |
เห็นคนเจ็บอนิจจังน่าสังเวช |
ลืมตาเนตรนอนหงายเหมือนไม้ขอน |
ที่แขนขาดเพียงข้อก็ต้องทอน |
ที่เนื้อล่อนเห็นกระดูกเพราะถูกปืน |
ที่หักพอต่อได้ก็ใส่เฝือก |
สำลีเกลือกน้ำมันเย็นไม่เหม็นหืน |
ที่ตัดโคนแขนทิ้งต้องนิ่งกลืน |
ช่างข่มขืนทำกันน่าบรรไลย |
บางคนผ่าหน้าแข้งแคะกระดูก |
ควักเอาลูกปืนที่ยิงออกทิ้งได้ |
ที่เย็บผ่ายาปิดสนิทใน |
ที่ขาดไปเพียงเข่าไม่เท่ากัน |
ที่กระหม่อมหลุดเหลือแต่เยื่อเผยิบ |
ไม่กำเริบแทบชีวาจะอาสัญ |
ลุกขึ้นนั่งพูดพลอดหยอดน้ำมัน |
หมอก็ผันแปรรักษาพยาบาล |
หนังสือพิมพ์มีวางข้างเฉลียง |
เปนของเคียงเหมือนหนึ่งว่ายาสมาน |
ได้พลิกดูรู้คำแก้รำคาญ |
พอเบิกบานใจเจ็บที่เหน็บชา |
อิกด้านหนึ่งเครื่องมือที่ถือใช้ |
มีดตะไกรเหล็กงัดตัดมังสา |
มีหลายอย่างต่างพรรณอนันตา |
จะพรรณนาไม่หมดเหลือจดจำ |
อีกด้านหนึ่งเก็บยาสารพัด |
ที่เขาจัดมาไว้ใช้ออกสำ |
ใส่ขวดมิดปิดผนึกจาฤกคำ |
สำหรับนำแนะฉบับสรรพยา |
ที่ทหารพลอยป่วยด้วยเหล่านี้ |
เพราะราวีพวกขบถถือยศถา |
ที่ลุกลามตามหักด้วยศักดา |
ให้ภาราราบเตียนเสี้ยนอานาม |
อันป้อมใหญ่นี้ตั้งอยู่ข้างเผิน |
วิถีเดินได้รอบขอบสนาม |
หนทางชั่วโมงเศษสังเกตตาม |
ได้ทาบทามออกเดินประเมินดู |
ถนนนั้นใหญ่กว้างหนทางเหยียด |
เปนแนวเรียดจดแม่น้ำตามผลู |
กว้างสักสี่วามองลอองฟู |
มีตึกอยู่ห้างโฮเตลยังเปนตอน |
ชื่อถนนปอรแบแลสอ้าน |
ปลูกโรงร้านแซกซอกออกสลอน |
คอเวอนเมนต์เซนประกาศราษฎร |
ให้รื้อถอนเรือนกระบุงที่รุงรัง |
เพราะกลัวไฟไหม้ฝอยพลอยเอาตึก |
สินค้าคึกเงินทองของฝรั่ง |
จะได้ให้อินชุรันกันระวัง |
เปนผู้รั้งเรียกราคาสัญญากัน |
มีถนนแยกไปก็หลายสิบ |
แลออกลิบญวนอยู่ดูคับขัน |
เปนเรือนแตะฝาจากมากอนันต์ |
ถ้านานวันก็คงอยู่ไม่สู้สบาย |
มีสระใหญ่ยาวได้สักแปดเส้น |
มองกันเห็นไม่รู้ว่าหน้าสหาย |
กว้างสี่เส้นเปนเกาะละเมาะทราย |
ก่อเก๋งลายเขียนทาน้ำยาญวน |
ข้างด้านเหนือมีตลาดออกกลาดกลุ้ม |
ผู้คนชุมเดินสลับออกสับสวน |
มีทางแยกหลายสิบหยิบประมวญ |
เปนตึกล้วนอยู่มากสองฟากทาง |
ในแถวนี้ไม่มีฝรั่งเศส |
ด้วยเปนเขตรของเก่าที่เขาสร้าง |
นั่งร้านขายภูษาผ้าแพรบาง |
สีต่างๆออกดื่นกว่าหมื่นพัน |
เห็นสีโศกสิ้นสติดำริห์คิด |
มาจนจิตรเสียเพราะแพรแลกระสัน |
ทั้งเจ้าของฤๅก็สวยไปด้วยกัน |
ให้หวาดหวั่นคิดถึงแพรแล้วแลคน |
น่าจะซื้อทำสะไบไปให้น้อง |
ฤๅจะหมองวรกายระคายขน |
แต่ให้เห็นเปนพยานเหมือนทานบน |
ว่าทุกข์ทนโศกถึงคนึงนาง |
ด้วยจากไปไกลบุรีทวีรัก |
ถึงเห็นพักตร์เจ้าของแพรก็แลหมาง |
จะว่าพี่นี้กระไรน้ำใจจาง |
ไปแรมร้างตังเกี๋ยให้เสียที |
แล้วเลยเมินเดินดูไปตามร้าน |
ออกรำคาญเพราะนัยตาน่าบัดสี |
แต่ใจจิตรตั้งมั่นเหมือนขันตี |
นัยตามีชวนแลชะแง้มอง |
ที่ลางนางน่าคิดพิสมัย |
นึกอยากได้เนื้อเย็นเปนเจ้าของ |
แม้นมีผู้หยิบยกให้ปกครอง |
จะหาช้องเกล้ามวยไม่ขวยใจ |
เอาใบคล้อมาสานบานบ้าร่า |
ครอบเกศาทั้งพวกเปนหมวกใหญ่ |
สัณฐานเท่ากระด้งเปนวงใน |
เวลาใส่ทวนลมต้องก้มเดิน |
เห็นคนไทยใช้ตามาออกปราด |
น่าสวาทฤๅเจ้าอายระคายเขิน |
เหมือนเคร่งครัดทัศนาในตาเมิน |
น่าจะเชิญก่องก๊ายด้วยรายงาม |
มีเกือกใส่ปลายงอนค่อนหน้าแข้ง |
ช่างคิดแผลงกว่าของเราชาวสยาม |
แต่ผิวเนื้อเหลือสอาดชาติอานาม |
ดูนวนงามทีท่าน่านิยม |
ฟันก็ดำเหมือนนิลชอบกินหมาก |
น่ากระชากเชือดแก้มแกล้มขนม |
ยอมให้เชยแล้วจะเสยลูกคางชม |
มิให้ระบมบิดเบือนกระเทือนปราง |
แต่ขยาดโฉมตรูเมื่อดูเห็น |
กลัวจะเหม็นสาบสวยมวยที่หาง |
ไม่เหมือนญวนเมืองเราชาวโพงพาง |
เจ้าเคียนอย่างเจ๊กจีนสิ้นทุกคน |
รวบกะบิดยาวเลื้อยเปลือยตลอด |
เอาผ้าสอดต่อซ้ำร่ำอีกหน |
พันกระหม่อมเปนกระบังตั้งอยู่บน |
ผู้ดีจนเหมือนกันดูขันตา |
เสื้อกางเกงรุ่มร่ามว่างามยศ |
รัดประคตพันพุงยุ่งนักหนา |
ชมผู้หญิงตังเกี๋ยเสียเวลา |
ก็รีบมาตามทางกลางนคร |
มีของขายหลายถนนไม่ปนสิ่ง |
ช่างดีจริงดูเปนตับสลับสลอน |
เครื่องลายครามชามกระถางอ่างมังกร |
เย็บที่นอนฟูกนวมรวมตำบล |
ฆ้องระฆังช่างเหล็กหล่อทองเหลือง |
ทองเดงเครื่องหม้อไหไขว่ถนน |
ทำกระดาษพัดพับสัปทน |
ไม่ปะปนเปนแผนกแยกหนทาง |
ที่ทำหีบตั้งโครงต่อโลงผี |
ทอมู่ลี่ตามถนัดไม่ขัดขวาง |
พวกสดึงขึงผังตั้งอยู่กลาง |
ล้วนแต่นางรุ่นสาวชาวนคร |
ที่ช่างมุกฝังไม้ได้หลายอย่าง |
มีลูกจ้างทำคล่องไม่ต้องสอน |
ที่ช่างกลึงนั่งดึงแต่ภมร |
ถักเปลนอนฟั่นเชือกเลือกซื้อปอ |
ร้านขายยาสารพัดกำจัดโรค |
เมื่อลมโบกหอมระรื่นไม่ขื่นสอ |
ขายปลาเค็มหอมกะเทียมเปี่ยมกะทอ |
อีกทั้งหม้อน้ำปลาตำราแกง |
กะปิญวนกลิ่นร้ายมิใช่เล่น |
เดินมาเห็นแต่กระถางก็คางแขง |
แมงดานาเมืองนี้มิเสียแรง |
ไม่สู้แพงสามสิบหยิบให้ไพ |
ที่ทำตู้ต่อเตียงเสียงแต่ขวาน |
ขยันงานที่จะหามาใส่ไส้ |
มีกังวลเต็มตัวทั่วกันไป |
ชั้นไม้ไผ่ก็เจ้ากำไม่ทำแพ |
เอาขึ้นบกยกตั้งเหมือนนั่งร้าน |
แผ่นกระดานท่อนยางวางบนแคร่ |
ใส่ตะเฆ่ลากดังฟังเหมือนแตร |
เสียงเซงแซ่เดินไขว่อยู่ไปมา |
ที่จักสานก็เปนพวกยิ่งหนวกหู |
เอารักถูชุบคลุกสมุกฝา |
ทั้งห้างจีนก็หลายได้ภรรยา |
เหมือนเขาว่าเจ๊กเข้าต้มผสมญวน ฯ |
๏ ขอหยุดยั้งฟังจะรกหนกหูเหือง |
ในราวเรื่องภาชนะเขาจะสรวล |
ที่ขาดเหลือเจือกันปันจำนวน |
เอาเปนถ้วนพอดีอย่ามีไภย |
แต่เมืองนี้มีขุนพัฒนนัดบ่อนเบี้ย |
เล่นได้เสียตามสัญญาน่าสงไสย |
มีกั๊กเดียวเท่านั้นขันเหลือใจ |
วัดยาวได้สามวาเขียนตาโต |
ออกแต่หน่วยกับสองของคู่ขี้ |
เจ้ามือมีแจงมาครอบฝาโถ |
ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนทำที่กำโป |
เจ๊กญวนโซเพราะเล่นเห็นทยาน |
ขอเสมอถือพลองยืนมองกั๊ก |
สำหรับทักถามไถ่จะได้ขาน |
ออกหน่วยสองร้องดังมี่กังวาล |
หัวเบี้ยขานเสียงใสอยูไกลวง |
คอยจับปิดคิดบาญชีมีห้องหับ |
ฟังเหมือนกับสวดมนตร์บนอาก๋ง |
แทงกับเขาไม่เปนเล่นเอางง |
เหมือนกับลงคู่ขี้มีอากร |
อีกทั้งฝิ่นโรงจำนำตามบังคับ |
ฝรั่งรับเก็บภาษีมีขนอน |
ที่กินโดยสุจริตติดจนพลอน |
มีทุนรอนไม่คะนองถึงย่องเบา |
ธรรมเนียมเก็บภาษีมีขึ้นใหม่ |
แต่ชักใจลูกค้าให้หน้าเหงา |
เมื่อจีนกับฝรั่งกำลังเมา |
ต่างรบเร้าคักคึกเปนศึกกัน |
พวกเจ๊กในตังเกี๋ยไม่เสียหาย |
ก็ค้าขายเต็มที่ดีขยัน |
จนสิ้นศึกมีสุขถึงทุกวัน |
พวกจีนนั้นยิ่งเพิ่มเติมเข้ามา |
แต่เดี๋ยวนี้คับใจไปเสียมาก |
กลัวจะยากด้วยพิกัดขัดหนักหนา |
ทั้งภาษีปากลำธรรมดา |
ถ้าแม้นขาจะเข้าเรียกเอาแรง |
เหมือนตัดการค้าขายลงหลายร้อย |
เปนที่พลอยกดจีนให้กินแหนง |
ทั้งภาษีมนุษย์ก็สุดแรง |
เรียกแฟรงก์ต่อเจ๊กเหมือนเก๊กกัน |
ถ้าอย่างน้อยเพียงปีละสี่พวด |
กระทั่งรวดสามตำลึงถึงสวรรค์ |
พวกเจ๊กออกกลอกหางเปียละเหี่ยครัน |
ทุกคืนวันบนซ้ำอยู่ร่ำไป |
แต่เงินค่าตัวจีนเปนสินทรัพย์ |
ผู้กำกับตังเกี๋ยไม่เกลี่ยไกล่ |
เก็บเอามาตวงถังเข้าคลังใน |
ถ้านานไปเจ๊กจีนคงสิ้นเมือง |
จนสำเภาเข้ามาต้องล่าหนี |
เห็นภาษีร้ายเหลือเหมือนเสือเหลือง |
ถึงจะเปนเจ้าสัวก็กลัวเปลือง |
มันเข้าเรื่องเสียเปรียบเหยียบนคร |
ฝรั่งเศสแสนฉลาดคนชาติเขา |
ก็ผ่อนเบาภิญโญสโมสร |
แต่ชาติอื่นตามถนัดคิดตัดทอน |
ยิ่งเดือดร้อนกับจีนสิ้นปัญญา |
อันเมืองนี้ก็ใหญ่ไม่มีเจ้า |
ตั้งแต่ท้าวตามบทสืบยศถา |
แต่ไปขออนุญาตอำนาจตรา |
ยังภารากรุงเว้เอกะนาม |
อันที่ตั้งก็ฝรั่งเขาตบแต่ง |
เลือกตำแหน่งแต่พอทั่วเปนรั้วหนาม |
หวังจะให้เปนสุขไม่ลุกลาม |
พองดงามมีประจำเหมือนค้ำชู |
ได้มาเห็นญวนขุนนางกลางถนน |
ขึ้นนอนบนเปลงามเหมือนหามหมู |
เอาเสื้อผ้าคลุมมิดปิดประตู |
เราแลดูนึกว่าศพเมื่อพบพาน |
ได้ไต่ถามขุนปราบที่ทราบพจน์ |
แกรู้หมดบอกแจ้งแถลงสาร |
ว่าเปนยศของขุนนางครั้งบุราณ |
คือองค์กวานนอนไปที่ในเปล |
ตัวเจ้าเมืองฮานอยค่อยสง่า |
เมื่อยาตรางามดีไม่ขี้เหร่ |
ทำหลังคาเหมือนชิ้นลิ้นทเล |
คลุมหลังเปลมีม่านคานเขียนลาย |
เปนยอดยศกลดมีถึงสี่เล่ม |
คนกางเต็มข้อล้าจนหน้าหงาย |
มีคนถือม่อละกู่ดูแยบคาย |
แต่งตัวคล้ายพวกกุลีที่นคร |
ตำรวจถือดาบแดงแซงไปหน้า |
เสื้อคร่ำคร่าเดินถนนคนขยอน |
มองไม่เห็นตัวท้าวเจ้านคร |
เหมือนหนึ่งซ่อนอยู่ในเปลเอ้เตตน |
แต่ไม่สู้ไปไหนให้ใครเห็น |
ต่อเมื่อเปนราชการนานๆหน |
ฝรั่งเชิญมาเปนหุ่นพอทุ่นคน |
ในกังวลคอเวอนเมนต์เปนประธาน |
นั่นแหละจึ่งได้พบประสบปะ |
ด้วยธุระสำคัญสันนิษฐาน |
ไม่ให้เสียแบบอย่างทางบุราณ |
แต่กิจการแล้วแต่เขาพวกเคาน์ซิล ฯ |
๏ ฝรั่งเศสนั้นอยู่เขตรข้างทิศใต้ |
สบไถงทุกตำบลถนนหิน |
ไม่ปนเปกับเหล่าชาวบุรินทร์ |
แล้วเปนถิ่นริมน้ำตามสบาย |
อันตึกท่านเกาวนาพออาไศรย |
ไม่สู้ใหญ่โตเหมือนเรือนทั้งหลาย |
ที่พื้นบ้านลานถนนกรวดปนทราย |
พอสบายตัวท้าวเกาวนา |
เมืองฮานอยนี้ประเสริฐน่าเกิดผล |
อยู่ตำบลแม่น้ำตามภาษา |
ที่เขาเรียกน้ำแดงแปลงวาจา |
มีพงศาดารกล่าวยืดยาวความ |
ว่าเดิมราชธานีมีกระษัตร |
ครองสมบัติเรืองเดชทุกเขตรขาม |
คือเคโซกรุงใหญ่ในอานาม |
มีใจความว่าพระโอษฐโชตนา |
ตรัสสิ่งใดเปนนั่นพลันเหมือนตรัส |
จึงดำรัสปราบแม่น้ำตามภาษา |
เพราะมีแก่งเกาะดินทั้งศิลา |
เหลือปัญญาแลอำนาจราษฎร |
นิมิตรเปนดินประสิวกำมะถัน |
ใช้ให้มันไประเบิดเปิดสิงขร |
แต่ว่าเลยรับสั่งถูกมังกร |
ที่ขดนอนอยู่ในวนชลธี |
อุทรแตกทำลายวายชีวิต |
จนโลหิตมันไหลไปเปนสี |
กับน้ำท่าปนกันตั้งพันปี |
ถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่หายเปนสายจาง |
คนจึงเรียกน้ำแดงให้แจ้งอรรถ |
มาทราบชัดจำเพาะได้เสาะสาง |
ดินประสิวกำมะถันนั้นเปนกลาง |
มีตัวอย่างมาทุกวันนั่นเปนไร |
จะจริงเท็จเด็ดศกศักราช |
ที่จะอาจรับประกันนั้นไปไหว |
ขอตัดทอนแต่ย่อพอเข้าใจ |
จะกล่าวในประจุบันสู่กันฟัง |
เมื่อเจ็ดสิบปีกว่ามาแล้วนั้น |
ญวนแยกกันสองฝ่ายเมื่อภายหลัง |
ข้างใต้เรียกอานัมแต่ลำพัง |
ข้างเหนือตังเกี๋ยเมืองรุ่งเรืองครัน |
เจ้างูเยนเปนกระษัตรอานัมใต้ |
เกิดมีใจมานะโลภมหันต์ |
อยากรวบรวมตังเกี๋ยเสียด้วยกัน |
ให้เปนคันปัถพินแผ่นดินเดียว |
จึงยกโยธีคณมารณยุทธ |
ได้ไว้ดุจดังอำนาจฉลาดเฉลียว |
แล้วแตกแยกอีกเล่าไม่เข้าเกลียว |
เพราะจะเรียวหมดอำนาจขาดชะตา |
จนกระทั่งฝรั่งเศสได้เขตรใต้ |
แล้วอยากได้ตังเกี๋ยเสียด้วยหนา |
ด้วยทวีปไม่พอต่อปัญญา |
จึงเอื้อมมาเอาบุรินทร์ถิ่นฮานอย |
หมายจะเปิดน้ำแดงกับแขวงฮ่อ |
เปนทางพอค้าขายได้ใช้สอย |
จึงยกเรือรบนิกรกลับคอนวอย |
ตีฮานอยไฮฟองสองนคร |
ในสี่ห้าพรรษากาลไม่นานเนื่อง |
เมื่อเสียเมืองหมดอำนาจราษฎร์ขยอน |
ฝรั่งตั้งรักษาส่วยอากร |
ว่าดับร้อนช่วยยกมาปกครอง |
จึ่งจัดการตามชอบครอบเอาหมด |
อำนาจยศฝ่ายเขาเปนเจ้าของ |
ต้องเพิ่มทรัพย์คอเวอนเมนต์ลงเปนกอง |
จ่ายเงินทองเลี้ยงทหารการทั้งปวง ฯ |
๏ ครั้นรุ่งขึ้นจะไปเมืองไลเจา |
ตัวท่านเกาวนาเชิญข้าหลวง |
ไปนั่งโต๊ะที่บ้านพอบานทรวง |
เปนที่หน่วงจิตรสบายข้างฝ่ายไทย |
พอสองทุ่มถึงพร้อมน้อมคำนับ |
เขาก็รับถ้วนหน้าอัชฌาไศรย |
กับออฟฟิเซอมีชื่อที่ซื่อใจ |
ถัดลงไปนงเยาวเกาวนา |
เมื่อนั่งโต๊ะรับประทานอาหารนั้น |
ต่างจำนรรไต่ถามตามภาษา |
แต่คุณพระขุนปราบทราบสารา |
อาตมาสามคนนั่งจนกลอน |
แลดูตาเขาปริบๆแล้วหยิบกับ |
พยักรับพูดไม่ออกเหมือนหลอกหลอน |
เสื้อกางเกงที่เราใส่มิใช่ปอน |
เหมือนอาภรณ์ของพวกมองซิเออ |
แต่ต้องเปนมองซิอำพนำอยู่ |
มีแต่หูก็ได้ยินกินเสมอ |
เขาพูดจาตามชอบออฟฟิเซอ |
เมื่อดิเนอกับท้าวเกาวนา |
เราจะพูดออกไปข้างไทยบ้าง |
อ้าปากค้างตามกันขันนักหนา |
ช่างหนักอกหนักใจในปัญญา |
สักแต่ว่าอิ่มท้องไม่ต้องฟัง |
พอเสร็จเลี้ยงในกมลว่าพ้นทุกข์ |
มีความสุขด้วยสมอารมณ์หวัง |
แล้วท่านเกาวนาเชิญตรามัง |
กรของตังเกี๋ยท้าวเจ้าอานาม |
ดวงหนึ่งนั้นยื่นให้พระไพรัช |
ท่านน้อมหัดถรับตำแหน่งแห่งสยาม |
แล้วกล่าวคำปราไสยเปนใจงาม |
ว่าตรานามนี้ชั้นคอมมันเดอ |
แล้วยื่นให้หลวงคำณวนควรขนาน |
น้อมประสานมือรับคำนับเสมอ |
ในตรานั้นชื่อชั้นออฟฟิเซอ |
ได้เสมอกับขุนปราบเปนลาภยศ |
แต่ตัวเรากับฝ่ายนายบรรหาร |
ก็เทียมฐานศักดิ์ศรีมีกำหนด |
ในชั้นเชอวะเลียตังเกี๋ยลด |
น้อมประนตเปนคำนับลำดับกัน |
เขาปราไสยว่าฝ่ายเขตรสยาม |
กับอานามให้เปนเฉกเอกฉันท์ |
จงตั้งอยู่ตามฉบับชั่วกัปกัลป์ |
ทั้งสัมพันธมิตรสนิทเนา |
ยังซ้ำว่าถ้าขึ้นไปปลายตังเกี๋ย |
การส่งเสียขัดขวางทางอับเฉา |
จงบอกมาให้ประจักษ์สำนักเรา |
ด้วยมีเสาสายลิขิตทุกทิคทาง |
แล้วต่างคนต่างลาด้วยปรารภ |
ข้าหลวงครบพร้อมหน้าเวลาสาง |
กับเซนเยมแบตแวลแสนสำอาง |
ผู้นำทางขึ้นป่ามหาวัน |
ลงเรือรบมาตามแม่น้ำใหญ่ |
ดูทิวไม้สองฝั่งเหมือนรังสรรค์ |
ล้วนทุ่งนาเตียนลาดสอาดครัน |
ทางจรัลริมแม่น้ำตามสบาย |
ทั้งเรือกสวนลิ้นจี่มีเหมือนป่า |
เข้าโภชสาลีก็ถูกเขาปลูกขาย |
มีตึกเทพารักษ์หักทำลาย |
บ้างจมทรายพังลงในคงคา ฯ |
๏ ครั้นถึงเมืองซองไทพอบ่ายบด |
ตามกำหนดจอดพักสำนักท่า |
ได้ขึ้นเยี่ยมเรซิเดนเปนเวลา |
กำลังอาพาธอยู่ไม่สู้สบาย |
เขาก็รับเปนแพนกแขกมาถึง |
ไม่มึนตึงบิดเยือนเหมือนสหาย |
ทั้งเหล้าเบียชาถ้ำน้ำตาลทราย |
ตั้งโต๊ะลายเชิญคำนับรับประทาน |
ในตึกท่านเรซิเดนเปนสง่า |
มีปืนผาสำหรับเมืองเครื่องทหาร |
กับของจีนครั้งปฐมบุรมบุราณ |
เกาทัณฑ์ขวานหอกง้าวเหลาฉะโอน |
ทั้งหน้าไม้ปืนยาสารพัด |
เขาตั้งจัดโอ่โถงเหมือนโรงโขน |
เปนของพวกธงดำที่ทำโจร |
ไม่อ่อนโอนกับอาวุธต้องยุทธนา |
เมื่อในสองสามปีกลียุค |
ฝรั่งรุกขึ้นมาราญหาญนักหนา |
ทั้งเจ๊กญวนพร้อมพรักมีศักดา |
มรณาลงด้วยกันอนันตัง |
แต่พวกจีนบรรไลยลงไปมาก |
ถึงแก่ลากเอาศพไปกลบฝัง |
ครั้นจะอยู่สู้เสือเหลือกำลัง |
หนีฝรั่งออกวิ่งทิ้งนคร |
เรซิเดนจึ่งเอาเปนโรงทหาร |
สร้างตึกบ้านอยู่สบายไม่ถ่ายถอน |
กว้างยาวสักสี่เส้นเปนที่ดอน |
ถางหญ้าบอนเตียนดีไม่มีรก |
มีหอคอยเปนหลักสูงสักเส้น |
สำหรับเห็นคาดคะเนทำเลบก |
เปนของเก่าเกือบจะพังเหมือนรังนก |
กิ่งไม้ปกปิดคลุมชุ่มตะไคร |
อันป้อมนี้แข็งแรงหินแลงล้วน |
ก่อประมวญหนาแน่นแผ่นก็ใหญ่ |
ทั้งเชิงเทินถมซ้อนอยู่ตอนใน |
ขุดคูไว้จนขอบรอบปราการ |
ไม่น่าจะพ่ายแพ้แก่ข้าศึก |
ช่างมานึกหมดมานะของทหาร |
ฤๅเหลือจะประทังกำลังทาน |
ไม่เชี่ยวชาญปืนผาสิ้นท่าทาง |
ข้างนอกป้อมมีถนนผู้คนน้อย |
เครื่องใช้สอยทั้งหลายมีขายบ้าง |
หากินตามชาวบ้านเปนปานกลาง |
มีหอห้างนิดหน่อยค่อยเจริญ |
โรงทหารตึกตั้งสิบหลังกว่า |
คอยรักษากลียุคเมื่อฉุกเฉิน |
ดินขึ้นเปนถนนบนเชิงเทิน |
ผู้คนเดินไม่สู้ต่ำเหมือนกำแพง |
ได้พักอยู่พอรุ่งอรุณไข |
แล่นต่อไปตามย่านเปนบ้านแขวง |
พอถึงแม่น้ำดำคำแสดง |
เปนที่แห่งพวกจีนถิ่นอุดร |
ยังตั้งอยู่มากมายกว่าหลายหมื่น |
ไกลลูกปืนฝรั่งเศสเขตรสิงขร |
หนทางเรือเหลือยากลำบากจร |
เปนแก่งก้อนหินซัดเหมือนอัฒจันท์ |
แต่น้ำนั้นดำขลับเหมือนกับกล่าว |
สืบเรื่องราวไม่รู้ดูก็ขัน |
เห็นจะมีของประจำอยู่สำคัญ |
เขาพูดกันแร่เหล็กข้างเจ๊กชุม ฯ |
๏ ครั้นมาถึงสำนักเรียกบักหาก |
บ้านช่องมากมีฝรั่งมาตั้งขลุม |
โจรผู้ร้ายไม่ระงับต้องจับกุม |
ฤๅที่ซุ่มซ่อนกันอันธพาล |
ประเดี๋ยวเรือติดหาดฉาดกระโชก |
เก้าอี้โยกหน้าแหงนแสนสงสาร |
กลาสีไม่เปนสุขลุกลนลาน |
หยั่งน้ำขานร้องว่าปาป็อกปลอ |
กัปตันดูแผนที่คลี่กระดาษ |
จะคัดวาดก็ไม่รอดทอดสมอ |
เอาเชือกขึงขึ้นฝั่งรั้งหัวตอ |
ต้องหยุดรอหาร่องไม่คล่องใจ |
เรือถอยหน้าถอยหลังอยู่อย่างนั้น |
หมวกกัปตันเหมือนลูกข่างไม่ว่างได้ |
ญวนนำร่องก็มีที่เอาไป |
ต้องจนใจว่าทางกลางทเล |
จักร์ก็พุ้ยตะบันหันหัวท้าย |
ทั้งกรวดทรายรู่ท้องลอยป่องเป๋ |
ถ้าถึงน้ำลึกกะเหมือนคะเน |
ถูกทำเลทางจรนอนสบาย |
อันเรือชนิดนี้ดีนักหนา |
จุคนกว่าสองร้อยยังลอยหลาย |
กินน้ำสองศอกแบบเขาแยบคาย |
ถึงหาดทรายเพียงสะดือครืออุทร |
มีห้องหับสำหรับขังน้ำได้ |
สูบไว้ใต้ท้องเรือเผื่อไว้ก่อน |
ศีร์ษะติดวิดไปท้ายได้ทั้งตอน |
ต้องสูบผ่อนสู้หาดไม่ขาดวัน |
มีปืนฮอสกิดติดเจ็ดบอก |
อยู่ตามซอกดาดฟ้าตั้งท่าหัน |
สร้างสำหรับนครจรจรัล |
เพื่อป้องกันตรวจตราจลาจล ฯ |
๏ ครั้นถึงเมืองฮองฮัวพอมัวหน้า |
ทอดนาวาลอยคว้างอยู่กลางหน |
พักหลับนอนผ่อนกายสบายตน |
พอสุริยนเยี่ยมฟ้าก็คลาไคล ฯ |
๏ ครั้นถึงป้อมตูมีที่เปนด่าน |
พวกทหารอยู่บนเนินเดินไสว |
ด้วยเปนแหลมยื่นงอกออกมาไกล |
ฝรั่งได้รักษาว่าตำบล ฯ |
๏ ถึงคำเข้เคหาประดาดาษ |
หญิงชายกลาดเดินสลับคับถนน |
มีตึกร้านบ้านญวนสมควรยล |
เปนตำบลเตียนลาดสอาดดี |
สุดจะร่ำทำเลสะเตชั่น |
เรือกำปั่นไม่พักเปิดจักร์จี๋ |
แต่ว่าตามแบบบทกำหนดมี |
สักสิบสี่แห่งลำแม่น้ำแดง |
คนที่ไหนมีมากไม่อยากว่าง |
ตั้งขุนนางญวนสำหรับกำกับแขวง |
ทั้งทหารยุโรปเปียนไม่เปลี่ยนแปลง |
ล้วนแขงแรงครอบงำธรรมดา |
แล่นบ้างจอดบ้างมากลางน้ำ |
หัวเรือตำแต่ละครั้งโดนฝั่งฝา |
จนบุบบู้ดูไม่งามอร่ามตา |
เพราะเปนท่าหลีกหาดอนาถใจ |
กัปตันว่าทางเหนือนี้เหงื่อหยด |
มันไม่หมดหาดลงที่ตรงไหน |
ต้องติดค้างคืนวันแทบบรรไลย |
คอยแก้ไขเปนกังวลทนรำคาญ ฯ |
๏ ครั้นถึงเมืองทันควันหกวันหย่อน |
ขึ้นพักผ่อนบนสะเตช์เคหฐาน |
ด้วยต่อนั้นขึ้นไปไม่ได้การ |
มีแต่ย่านเกาะแก่งแท่งโตๆ |
ได้พักอยู่บนค่ายฝ่ายฝรั่ง |
ดูรุงรังแฝกหญ้าหลังคาโบ๋ |
พื้นเปนดินเลี่ยนโถงเหมือนโรงโป |
เคร่เย้โย้นอนนั่งดังออกกราว |
เสร็จไปด้วยไม้เฮี้ยเสียทั้งหมด |
ช่างเต็มยศอาตมาเมื่อหน้าหนาว |
โต๊ะเก้าอี้รัปทานทั้งหวานคาว |
เอามือเท้าดังกระเทือนเหมือนลูกพรวน |
มีโรงกว่าสิบหลังทั้งตลาด |
ขายผักกาดถั่วงาแม่ค้าสวน |
ตามประเภทตำบลของคนญวน |
พอสมควรบ้านเมืองเครื่องกันดาร |
ทั้งพวกเจ๊กก็อุส่าห์ขึ้นมาตั้ง |
ขนมปังเครื่องกระป๋องและของหวาน |
เหล้าบ้าหรั่นเบียดำกับน้ำตาล |
มีสองร้านตามภาษาข้างป่าดง |
มีตึกจีนอยู่บนเนินสูงเติ่นเต่อ |
ออฟฟิเซอเอาเปนของต้องประสงค์ |
ถัดขึ้นไปเปนเขายกเสาธง |
ทางขึ้นลงมีทหารอยู่งานยาม |
ราษฎรนั้นตั้งอยู่ฝั่งหนึ่ง |
ผู้คนอึงออกระเบงไม่เกรงขาม |
เลี้ยงหมูไก่ขายกินถิ่นอานาม |
มีถ้อยความฟ้องลงแก่องค์กราน ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าถึงคราวจะเดินบก |
แสนวิตกไม่มีสุขสนุกสนาน |
ทั้งเซนเยมแบตแวลแสนชำนาญ |
ผู้จัดการขนของมากองวาง |
กุลีที่เอามายังว่าน้อย |
บรรจบร้อยทันควันเปนการจ้าง |
ให้แบกหีบหาบหามไปตามทาง |
นายระวางถือไม้มีหลายคน |
คอยว่ากล่าวเตือนตีไม่มีสุข |
ดูคนคุกดีกว่าเวลาขน |
มีทหารญวนระวังเปนกังวล |
ถือปืนกลหกสิบพอดิบดี |
แต่แต่งตัวลม้ายคล้ายกับเจ๊ก |
ใส่หมวกเล็กครอบเย้บนเกศี |
รูปเหมือนกับจานแบนช่างแสนดี |
ผ้าแดงมีพันมวยดูสวยตา |
แล้วออกจากทันควันตวันเที่ยง |
แซ่แต่เสียงฝุ่นกลบลบพฤกษา |
ไม่เห็นมีผู้ใดทำไร่นา |
ขี่อาชาเดินหลามตามอรัญ |
ม้าเซนเยมขาวปลอดตาบอดข้าง |
สบัดย่างเหยาะเยิ่นเดินขยัน |
แต่คุณพระแบตแวลมีแม้นกัน |
กับนายบรรหารขี่สีน้ำตาล |
หลวงคำณวนนั้นแซมม้าแกมแก่ |
ไม่ต้องแซ่เดินชนก้นทหาร |
ท่านขุนปราบชลไชยผู้ใจอารย์ |
โดนสันดานอัศวาม้าคะนอง |
เขาเรียกมันปะตินัวตัวเหมือนหมึก |
หกพิลึกเผ่นโผนโจนผยอง |
แกพลัดตกแต่ละทีเหมือนตีกลอง |
อายุของแกก็มากแทบลากโครง |
แต่ตัวเราม้าด่างรูปร่างเล็ก |
เดินกะเผล็กผอมผ่ายเกือบตายโหง |
เปนม้าอย่างตังเกี๋ยเสียเคราะห์โรง |
ต้องเข้าโลงสักวันเปนมั่นคง |
เดินไปสามชั่วโมงก็มีด่าน |
แต่น้อยบ้านเคหาป่าระหง |
ฝรั่งทำตึกพักปักเสาธง |
พึ่งสร้างลงยังไม่เสร็จสำเร็จดี |
บนโขดเขาปราบเตียนเหมือนเจียนเล่น |
แล้วก่อเปนตึกทาน้ำยาสี |
ในหุบห้วยลึกชันนั้นก็มี |
คุมกุลีให้ทำกระหน่ำไป |
เราแลเห็นเปนเหมือนก้นกะทะ |
ชั่งมานะลงไปสร้างหว่างไศล |
เขาคิดอยู่เหมือนพยัคฆสำนักไพร |
ทั้งท่าไล่หนีสู้ไม่ดูเบา |
ฝังเหล็กรางทางแต่ยอดภูผา |
จนถึงท่าหาดทรายตกชายเขา |
มีรถลากขนลงส่งปูนเตา |
ทั้งอิฐเผาตัวไม้ขึ้นไปทำ |
ได้พักอยู่ดูเล่นเห็นสิงขร |
แล้วลาจรเข้าดงเปนพงต่ำ |
ไปตามสายเตลิคราฟทาบประจำ |
ริมแม่น้ำเดินง่ายสบายดี |
ทั้งผู้คนม้าฬามาเปนสาย |
เสียงเวยวายกลางกระบวรว่าญวนหนี |
ทหารยิงตามหลังปังไปที |
ถูกกุลีบ้างฤๅไรไม่ได้ความ |
หายไปสี่ห้าคนค้นไม่พบ |
เพราะมันหลบกลัวจะแหลกด้วยแบกหาม |
ก็พ้นทุกข์กันไปเขาไม่ตาม |
พลถึงยามเย็นนอนที่ดอนดิน |
เอาเคาชูปูหลังคาในป่าชัฎ |
ต้องเยียดยัดหลังโค้งเหมือนโก่งศิลป |
นอนแต่พอหลับตาเอนกายิน |
ที่พื้นดินแล้วไปด้วยใบตอง |
ครั้นรุ่งเช้าแบตแวลแสนฉลาด |
ลงไปหาดหาเรือจะเผื่อของ |
บังเอินเจ๊กเจ้ากรรมมาตำซอง |
เอาหมูล่องเรือไปขายทันควัน |
แบตแวลเรียกตามภาษาของตาแปะ |
มันไม่แวะกลัวตายรีบผายผัน |
ยกปืนโกโย้ไกเรียกไปพลัน |
จึ่งได้หันเข้ามาทำหน้าเซียว |
ว่าเรือเจ้าจะเอาบรรทุกของ |
ไม่ให้ลองดูซิหวาอย่าตาเขียว |
ขนหีบใส่ให้ตามไปลำเดียว |
น้ำก็เชี่ยวดักดานทหารคุม |
แล้วพากันครรไลยขึ้นไหล่เขา |
เปนปุ่มเปาสูงดาดทั้งลาดหลุม |
กับสัตว์ร้ายในคิรีก็มีชุม |
อีกโจรซุ่มซ่อนกันอันธพาล |
ทั้งสองฝั่งแม่น้ำตามวิถี |
ล้วนคิรีเปนกำแพงแซงประสาน |
หยุดนอนไปตามอรัญที่กันดาร |
จนตรีวารเดินตบึงมาถึงลำ |
ตั้งเปนค่ายไม้เฮี้ยเกลี่ยดินเรียบ |
มีทำเนียบพื้นแคร่แลไม่ขำ |
กับทหารซ้อมหัดจัดประจำ |
ที่ด่านลำหกสิบหยิบบรรยาย |
แล้วจัดให้หลวงคำณวนควรสงสาร |
นายบรรหารขุนปราบหลาบมาหลาย |
เพราะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยคร้ามทั้งสามนาย |
ให้ลงฝ่ายเรือแหวดกับแบตแวล |
แต่ตัวเราคุณพระไม่ละลด |
ต้องเดินหมดความยากลำบากแสน |
ฝนก็ตกยุงริ้นกินเปนแดน |
ใส่คะแนนทากไม่ทันเกาะกันนุง |
ยังต้องเปนมองซิเออเสมอยศ |
มันเกาะหมดไม่ว่าใครจนในถุง |
ทั้งเสื้อผ้าหน้าหนาวคราวบำรุง |
เล่นกันยุ่งเหลือใจด้วยไทยแปลง |
มีห้วยหนึ่งทางม้ามาไม่ได้ |
เขาเกณฑ์ให้ทหารแซะแกะระแหง |
จนเปนที่ลาดไถลไปด้วยแรง |
มีหลายแห่งเดินต้องมองระวัง ฯ |
๏ ครั้นรุ่งขึ้นถึงบาวาเวลาสาย |
ค่อยสบายหนทางแต่ป่างหลัง |
นอนบนโรงโคกเขาเสาไม้รัง |
พอประทังหยุดพักสำนักทาง |
อันค่ายนี้มีทหารอยู่ร้อยกว่า |
ตั้งรักษาตามถนัดไม่ขัดขวาง |
ทั้งสองฟากน้ำแดงเปนแขวงบาง |
ด้วยมีทางเข้าเขตรประเทศจีน |
ค่ายบนยอดคิรีเปนสี่แห่ง |
ไม่แสยงปรปักษเหมือนหลักหิน |
มีโคสักร้อยกว่าไว้ฆ่ากิน |
ด้วยเปนถิ่นกันดารอาหารญวน |
ครั้นออกจากบาวาเวลาตรู่ |
ถึงภูลูรีบจรัลพอวันถ้วน |
มีทหารครอบงำเปนจำนวน |
ห้าสิบถ้วนรายตั้งตามบังคับ |
เรือนกัปตันที่อยู่ดูไม่ครึ้ม |
เหมือนโรงทึมทำท่าฝาเครื่องสับ |
สนามเพลาะรอบค่ายขุดไว้รับ |
รั้วสลับแล้วไปด้วยไผ่ตง |
เวลารุ่งออกพลันไม่ทันสาย |
ฝนประปรายทั่วฟ้าป่าระหง |
ทั้งเปียกปอนนอนค้างที่กลางดง |
หมอกก็ลงทั่วอรัญตามมรรคา ฯ |
๏ พอสองวันบัลลุลาวกายสถาน |
แสนสำราญสุขสวัสดิ์สหัสา |
มีตึกอยู่เทียมท้าวเจ้าพระยา |
ตามภาษาดงแดนแสนกันดาร |
หลวงคำณวนที่มานาวาแหวด |
กับตัวแบตแวลฝ่ายนายบรรหาร |
ทั้งขุนปราบชลไชยผู้ใจอารย์ |
สามวันวารก็มาพร้อมหน้ากัน |
เมืองลาวกายนี้เปนปลายตังเกี๋ย |
ช่างสูงเสียเหลือเหตุเปนเขตรขันธ์ |
ตั้งอยู่ถิ่นทิศอิสาณฝานตวัน |
ต่อเขื่อนคันกวางตุ้งสุดกรุงญวน |
มีแม่น้ำขั้นกลางกว้างสักเส้น |
มองกันเห็นรู้ว่ามีนาสวน |
ฝรั่งไม่อาจข้ามไปลามลวน |
กลัวมันฮ้วนพาลพาโลเรียกโพเซง |
มีเขารายอยู่รอบขอบแม่น้ำ |
ป้อมประจำตั้งทั่วล้วนตัวเสง |
แต่ผู้คนมากมายคล้ายสำเพ็ง |
ยิงระเบงคุยโผงโมงละครืน |
เขาว่าเจ๊กน้อยใจเมืองไลเสีย |
ทัพตังเกี๋ยเอาขาดไม่อาจขืน |
ต้องแตกไปย่อยยับไม่กลับคืน |
จึ่งยิงปืนโศกให้เมืองไลเจา |
คิดถึงเจ๊กอัศจรรย์ขันหนักหนา |
เมื่อเสียท่าพวกแซ่ไม่แก้เขา |
อำนาจก็โตใหญ่มิใช่เบา |
มายิงเป้าหนวกหูอยู่ทำไม |
ฤๅเหลือจะรักษาอาณาเขตร |
เปนประเทศเล็กน้อยก็ปล่อยให้ |
เปรียบเหมือนเสือเข้าบ้านรำคาญใจ |
ต้องเสียไก่ทุ่นท้องไม่ร้องอึง |
ถ้าป้อมจีนจะทำลายลาวกายป่น |
ไหนจะทนขัดขืนด้วยปืนถึง |
ยิงลงมาจากเขาสักเก้าตึง |
ก็จะถึงแก่พินาศดาษดา |
อันที่จริงก็ยังกริ่งฝรั่งเศส |
ต่างคุมเขตรตั้งมั่นขันรักษา |
แต่ฝรั่งหมายประโยชน์โภชนา |
จะเบิดท่าค้าขายเอาใจจีน |
ลาวกายนี้ก็ของหลียงฟูก่อน |
เปนเจ๊กจรนครังเชื้อกังฉิน |
เดิมอยู่เมืองกวังสีไม่มีกิน |
ใจทมิฬเที่ยวผจญปล้นประชา |
จนมั่วสุมผู้คนได้ล้นหลาย |
เอาลาวกายเปนที่พักนัคหรา |
อยู่ในพวกธงดำทำศักดา |
ถืออาญาสิทธิ์ขาดราษฎร |
มีตึกรามป้อมกำแพงแข็งแรงมาก |
ปิดสลากบอกระยะเก็บขนอน |
จนฦๅนามตามประเทศเขตรนคร |
ได้ตัดตอนครอบงำแต่ลำพัง |
เวลานั้นจอมนรินทร์แผ่นดินเจ๊ก |
คิดจะเก๊กยกทัพมาจับฝั่ง |
แต่หนทางลึกล้ำเหลือกำลัง |
จึ่งยับยั้งขอสงบไม่รบกวน |
ครั้นอยู่มาศึกฝรั่งติดตังเกี๋ย |
จวนจะเสียปั่นเป๋ระเหหวน |
เจ้ากรุงจีนสิ้นปัญญารักษาญวน |
ใช้คนควรเทียมทูตมาพูดจา |
ให้เกลี้ยกล่อมหลียงฟูหางหนูเล็ก |
เปนชาติเจ๊กดุนักเหมือนยักษา |
ให้ว่าที่แม่ทัพรับอาญา |
ในพลากรฝ่ายปลายบุรี |
แม้นฝรั่งยกขึ้นมาเวลาไหน |
จงโต้ให้เต็มอำนาจราชสีห์ |
ถ้าลาวกายปลายตังเกี๋ยนั้นเสียที |
เขตรบุรีจีนคงเปนผงไป |
แต่ว่าหลียงฟูผู้ฉลาด |
มีอำนาจคราวนั้นยิ่งหวั่นไหว |
คุมทหารจีนประจัญแทบบรรไลย |
แต่ว่าไม่ออกหน้าเปนท่าทาง |
ครั้นเหลือสู้รู้ฤทธิจึ่งคิดหนี |
ทิ้งบุรีตามถนัดด้วยขัดขวาง |
ฝรั่งเที่ยวสืบถามเหมือนตามกวาง |
ชั้นรูปร่างไม่รู้จักยักษ์ฤๅคน |
ตึกของหลียงฟูอยู่เดี๋ยวนี้ |
คือเปนที่คอมมันดันแบ่งปันผล |
อยู่ตามชอบครอบครองเปนของตน |
ว่าตำบลลาวกายฝ่ายคอนวอย |
เอาเปนเมืองสำหรับรับอาหาร |
จ่ายตามด่านทั้งหลายให้ใช้สอย |
ที่ขนขึ้นเอามาแต่ฮานอย |
จึ่งเรียบร้อยทุกทำเลสะเตชัน |
มีทหารปกครองอยู่สองร้อย |
ประจำคอยฝึกหัดเขาจัดสรรค์ |
ด้วยเปนเมืองหน้าด่านปราการกัน |
ต้องกวดขันรักษาพยายาม |
มีเรือนโรงชาวบุรีสี่สิบหลัง |
กับห้างตั้งขายของอยู่สองสาม |
น้อยกับโพเซงถิ่นข้างจีนจาม |
มีสักสามร้อยกว่าหลังคาเรือน |
คิดถึงหลียงฟูอากู๋เอ๋ย |
กระไรเลยมักใหญ่ใครจะเหมือน |
ต้องละถิ่นฐานขาดอำนาจเฟือน |
ว่าหลบเลือนไปปักกิ่งทิ้งนคร |
เพราะโภคาพิบัติจึ่งพลัดพราก |
อุปฐากต้นกำเนิดก็เปิดถอน |
ด้วยสันดานเปนพาลพเนจร |
ไม่ถาวรสิ้นคิดหมดฤทธิ์ตน ฯ |
๏ ฝ่ายพวกไทยได้พักอัครฐาน |
แสนสำราญสุขสวัสดิ์ไม่ขัดสน |
นับทางแต่ทันควันขั้นตำบล |
เดินมาจนถึงนี่ยี่สิบวัน |
โอ้อกเอ๋ยยิ่งครรไลยก็ไกลมิตร |
ให้แสนคิดถึงที่รักพักตร์บุหลัน |
ได้ร่วมอาสน์พาสนามาด้วยกัน |
สักกึ่งวันมิได้ไกลสะไบบาง |
มาแรมป่าลาน้องให้หมองพักตร์ |
เริ่มแต่รักอนิจังยังไม่หมาง |
เจ้าจะแสนทุกข์ถึงรำพึงพลาง |
ไม่วายว่างเว้นวันตั้งรัญจวน |
แม้นเห็นพี่บุกป่าเวลายาก |
จะออกปากรบเร้าเฝ้ากำศรวล |
คิดถึงเจ้าเช้าเย็นไม่เว้นครวญ |
หัวอกป่วนปานใครเอาไฟอัง |
อีกจะต้องเดินแพ่นเข้าแดนฮ่อ |
หมดหัวร่อปลงสุขเปนทุกขัง |
ยิ่งท้อถอยผอยผ่อนอ่อนกำลัง |
ต้องขึงขังแขงกล้าไม่อาวรณ์ |
แต่ฝรั่งยังเบื่อเหมือนเสือร้าย |
ไม่อาจกรายเกริ่นกริ่งแต่สิงขร |
ทั้งพวกโจรใจฉกรรจ์เที่ยวสัญจร |
ยังราญรอนไม่เรียบให้เงียบลง |
คอมมันดันนั้นใจกษัยสานต์ |
เพิ่มทหารให้ระวังดังประสงค์ |
กลัวจะเปนอันตรายที่ในดง |
บังคับส่งพวกไทยไปไลเจา ฯ |
๏ ครั้นรุ่งข้ามน้ำแดงแขวงป่าชัฎ |
ฝรั่งจัดเตรียมการเปนด้านเขา |
กับผู้นำข้าหลวงกระทรวงเรา |
พร้อมทั้งเหล่าพวกกุลีที่จะไป |
ออกเดินตรงลงทิศตวันตก |
ไม่แวะวกกว้างขวางเปนทางใหญ่ |
สำหรับฮ่อขายค้ามาแต่ไร |
บ้างถากไถนาอยู่มีผู้คน |
เดินพลางทางคิดอดสูแสน |
ถึงแบตแวลขอบใจเขาหลายหน |
เกาวนาฮานอยใช้สอยตน |
มาเปนคนส่งไทยดูให้ดี |
ครั้นเมื่อถึงลาวกายเปนชายขลาด |
ออกขยาดทางป่าบากหน้าหนี |
ว่าลูกเมียของเขาที่เย่ามี |
ไม่พอที่จะมาตายให้ไกลเมีย |
ทำบิดพลิ้วนิ่วหน้าว่าข้าไข้ |
ขอตัวไว้พอระงับแต่กลับเสีย |
แต่บางคนเรียกว่าเปนซาเวีย |
ในตังเกี๋ยแปลกตนอยู่คนเดียว |
เปนฝรั่งใจเด็กคล้ายเจ๊กจ้อย |
เหมือนรับถ้อยเกาวนาให้มาเที่ยว |
นี่ก็เสียราชการขึ้นผ่านเกลียว |
แต่ไม่เกี่ยวข้องเราข้างชาวไทย |
บางคนว่าเปนชาติโปรตุเกศ |
ละประเทศเปลี่ยนแซ่แก้นิไสย |
มาขอติเกตให้เนตตุราไลย |
เข้าอยู่ในปับลิกันชันสะเลอ |
นิจาเอ๋ยพูดไทยกันได้บ้าง |
ถ้าขัดขวางรับธุระได้เสมอ |
ทั้งกินอยู่สู้ประคองมองซิเออ |
ช่วยบำเรออุดหนุนพอทุ่นแรง |
ถึงเซนเยมที่มาดูท่าเขา |
ไม่อาจเอาเปนประมาณพาลจะแหนง |
พูดก็ไม่รู้ภาษาว่าดำแดง |
หุงเข้าแกงแต่ละครั้งต้องตั้งเอง |
ให้กุลีสี่คนปรนนิบัติ |
ไม่สันทัดต้มหุงดูยุ่งเหยง |
ท่านขุนปราบทราบภาษาว่ามันเกรง |
ตัวเราเองนายบรรหารรับด้านครัว |
เมื่อแรกกินร่วมโต๊ะโละกันหมด |
ก็มีรสโอชามันน่าหัว |
แต่ไม่รู้ธรรมเนียมต้องเจียมตัว |
พากันกลัวต่างแตกขอแยกกิน |
แต่คุณพระไพรัชสันทัดถ้อย |
ร่วมอร่อยยังสถิตยนิจสิน |
กับฝรั่งที่มาอยู่อาจิณ |
เพราะว่าชินเชิงภาษาพูดจากัน ฯ |
๏ ถึงห้วยเลิ้นฦกกว้างเปนทางน้ำ |
เชี่ยวเปนลำไหลปังดังสนั่น |
พวกกุลีแก้ผ้าหน้าเปนมัน |
เอาหัวดันของข้ามน้ำเพียงคอ |
อีกคนหนึ่งเปนเด็กเล็กกว่าเขา |
มันพัดเอาลอยน้ำไปต้ำปร๋อ |
เห็นแต่หัวน่ากลัวจะโดนตอ |
มันช่างฮ่อเต็มกระเหมือบดูเกือบตาย |
ต้องยืนปลงอนิจจังพุทธังเอ๋ย |
แต่พอเกยแง่ขอนก็นอนหงาย |
ค่อยกระเดือกเสือกกระแด่วกระแหม่วกาย |
ของก็หายจมห้วยแทบม้วยมรณ์ |
เปนย่ามเกือกปัศตันนายบรรหาร |
น้ำมันผลาญลอยว่ายเหมือนไม้ขอน |
บ่นพึมพำตามภาษาแสนอาวรณ์ |
ว่าตัดตอนลงนรกหกตำลึง |
แต่พวกเราข้ามม้ามาทีหลัง |
จนขึ้นฝั่งพร้อมกันก็พลันถึง |
พวกกุลีหนีอีกหลีกตะบึง |
เสียงเอ็ดอึงหายฉิบไปลิบตา |
จำเพาะคนที่หามชามหม้อเข้า |
ของพวกเราที่จะหุงบำรุงหา |
จะเยียดยัดฝากใครไม่เอามา |
มันหนักบ่าขอทุเลาเจ้าประคุณ |
ท่านขุนปราบต้องจ้างมันทั้งเรื่อง |
หาไม่เครื่องเหล่านี้ไม่มีถุน |
ก็เพราะเปนวาสนาเวลาบุญ |
พอได้ทุ่นปากท้องรองไปคราว ฯ |
๏ มาถึงทุ่งแห่งหนึ่งซึ่งเปนป่า |
มีหินผาปูลาดสอาดขาว |
ก้อนโตใหญ่เรียงเรียดดูเหยียดยาว |
แต่ครั้งคราวไหนมาฤๅว่าไร |
อันภูเขาเหล่านี้มีแต่ดิน |
ช่างขนหินเอามาแต่ป่าไหน |
คงเปนเมืองเก่าร้างอยู่กลางไพร |
ไม่ทราบในเรื่องตามความนิทาน ฯ |
๏ ตวันบ่ายถึงค่ายชื่อแบกแซด |
ช่างโต้แดดไม่มีบังทั้งสถาน |
พอหมดเขตรเตลิคราฟไม่ทราบการ |
หนังสือสารต้องใช้ไปรสนีย์ |
อันค่ายนี้ตรวจตรากันสาหัส |
ตั้งค่ายขัดไม้บงยกธงสี |
ทั้งขวากปักหลายชั้นกันไพรี |
ในราตรีห้ามชุดไม้จุดไฟ |
มีทหารระแวดอยู่แปดโหล |
ถือปืนโกตรวจรับกลัวหลับไหล |
พอรุ่งเช้าพวกเราก็ครรไลย |
ต่อนี้ไปเดินเขาไม้เท้าจุน |
ถึงขึ้นม้าพาชีก็ขี่ยาก |
แต่ออกปากรำพรรณก็ท่านขุน |
เพราะร่างกายแก่ชรามาด้วยบุญ |
หากถือคุณราชการไม่ปานตาย |
ครั้นถึงเขาแห่งหนึ่งซึ่งทราบว่า |
พวกเจ๊กป่ามันปล้นผู้คนหลาย |
เมื่อกองทัพเคอแนลเปอรโนนาย |
คุมนิกายก่อนเรามาสิบห้าวัน |
มันแอบยิงบนคิรีสักสี่ร้อย |
ทัพฮานอยสู้เค็มเต็มขยัน |
ไล่พวกเจ๊กเก๊กไปใจฉกรรจ์ |
ไม่เปนอันตรายก็ยกต่อไป |
มันคอยซุ่มซ่อนยิงเอาจริงหนอ |
ชาติอ้ายฮ่อเหิมจิตรผิดวิไสย |
พลอยให้เราตัวสั่นคิดหวั่นใจ |
ถ้าบรรไลยลงด้วยปืนชวดคืนชม ฯ |
๏ ครั้นถึงบ้านจีนร้างอยู่กลางป่า |
ถูกโจรามันเผาเปนเท่าถม |
เปล่าอยู่หลังยังเหลือเพราะเหนือลม |
ต่างระดมเข้าไปอาไศรยนอน |
นี่ก็โจรให้คุณทุ่นฟ้าฝน |
ไม่ต้องกรนตากน้ำค้างกลางสิงขร |
แต่ไม่อาจสรรเสริญเจริญพร |
ต้องสังวรกลัวจะมีวจีกรรม |
ครั้นรุ่งเช้าเดินข้ามไปตามเขา |
ทั้งเจ็บเท้าที่ลาดพลาดถลำ |
ต้องพยุงจูงม้าหน้าคะมำ |
เหมือนหนึ่งทำท่าเต้นเล่นสิงห์โต ฯ |
๏ ถึงค่ายงุมมุมคิรีมีทหาร |
เห็นประมาณรักษาอยู่ห้าโหล |
เข้าพักผ่อนพอตรู่สุริโย |
แล้วเดินโร่ต่อไปมีไร่นา |
เห็นบ้านเรือนลับลิบตามกลีบเขา |
มีลูกเต้าสับสนเปนคนป่า |
ไปอยู่ให้พ้นทางพอห่างตา |
กลัวอาญากองเสบียงเลี่ยงตะบัน |
ที่กำลังทำไร่อยู่ชายเขา |
เห็นพวกเราวิ่งหนีขมีขมัน |
ทิ้งกระบุงถุงย่ามไปตามกัน |
เขาชันๆ ห้อจี๋มันดีจริิง |
เปนพวกเจ๊กไทยเหนือเจือกันวุ่น |
ยังซ้ำทุ่นญวนกลายทั้งชายหญิง |
เดินอยู่บนโขดเขาแลเท่าลิง |
บางทีวิ่งมุดรกเหมือนนกยาง |
ผู้หญิงฮ่อหัวแดงช่างแต่งขัน |
เอาผ้าพันโพกมิดปิดจนหาง |
คล้ายกับแขกฮินดูมีรูกลาง |
ได้ชมนางฮ่อเหนือจนเบื่อตา ฯ |
๏ ครั้นขึ้นเขาแห่งหนึ่งกึ่งอากาศ |
ญวนขยาดกลัวนักเหมือนยักษา |
เรียกนุ้ยเกิ๊มเหิมหาญผลาญชีวา |
แปลกันว่าเขาห้ามคร้ามทุกคน |
พวกขึ้นลงส่งเสบียงกลัวเพียงนี้ |
ไม่กุลีก็ทหารผลาญทุกหน |
สูงสักสามสิบเส้นเปนตำบล |
ไกลผู้คนบ้านช่องถึงสองคืน |
เหมือนกำแพงขวางทางอยู่กลางย่าน |
ห้วยลำธารซอกผาเหลือฝ่าฝืน |
จูงอ้ายด่างทางชันขยั้นยืน |
เปนหล่มลื่นเลอะตนฝนประปรอย |
น้ำค้างแขงตกลงมาแต่อากาศ |
เหมือนหนึ่งสาดดินประสิวปลิวออกหยอย |
จนกลบลบทางวิถีไม่มีรอย |
บ้างหยดย้อยร่วงกราวเหมือนเข้าตัง |
จับใบไม้หนาด้วยคล้ายกล้วยฉาบ |
ขาวเปนคราบย้อยแห้งดูแขงปั๋ง |
เอามาเคี้ยวเข็ดฟันเปนชันกรัง |
ต้นเตงรังเปียกชุ่มหุ้มตะไคร |
เย็นเปนเหน็บเจ็บเนื้อมันเหลือหนาว |
จนเดินก้าวข้องขัดแทบตัดไษย |
ปากเหมือนกรับเสภาระอาใจ |
เย็นเข้าในทรวงอกจนงกงัก |
ชั้นมือมีมวนบุหรี่ไม่ถนัด |
นิ้วมันขัดปวดเล็บเปนเหน็บหนัก |
ทั้งม้าฬาเผ่นโผนโจนกะพัก |
หยุดชะงักตื่นลำพองร้องคำรณ |
ให้หนักอกหนักใจเพราะอ้ายม้า |
เหลือปัญญาคิดเห็นไม่เปนผล |
ต้องปล่อยให้เดินตามเข้ายามจน |
เพราะเหลือทนหนาวสั่นตามกันมา |
จนอ้ายด่างหัวหกพลัดตกห้วย |
ทั้งชันด้วยลึกแลนอนแบหลา |
กลิ้งเหมือนลูกแตงโมโอ้นิจจา |
จนแข้งขาหักยับดับชีวัง |
ด้วยหนทางที่จะไปยังไกลมาก |
ต้องลำบากบอบกายเมื่อภายหลัง |
ไม่ควรเดินจะต้องเดินเกินกำลัง |
แต่ลำพังอาตมาในป่าดง |
นิจจาเอ๋ยเคยขี่มาหนีขา |
ถึงเมื่อยล้าพอประทังดังประสงค์ |
ฤๅถึงยามตามเคราะห์มาเจาะจง |
เปนเวียนวงใช้ชาติให้ขาดกรรม |
คนอื่นเขามีขี่ที่เราม้วย |
บุญไม่ช่วยตามชุบอุปถัมภ์ |
มาสูญชาติวาสนาตาดำๆ |
สมเหมือนคำเขาทำนายว่าตายวัน |
สิ้นธุระพาชีที่อ้ายเต่า |
เหมือนเปนบ่าวมันมาแทบอาสัญ |
ได้แต่จูงบังเหียนเฆี่ยนตะบัน |
สิ้นง้อกันเสียที่เขาเจ้าพระกาฬ |
เดินพลางทางเห็นศพกุลี |
สิ้นชีวีล่วงลับดับสังขาร |
ที่เปื่อยเน่าทับถมกันนมนาน |
ทั้งทหหารญวนด้วยมาช่วยตาย |
เสื้อกังเกงทิ้งเกลื่อนเหมือนป่าช้า |
อนิจจาคิดไปก็ใจหาย |
เดินสยองมองพลางเห็นร่างกาย |
เปนที่หมายแห่งพระอนิจจัง |
อยากได้ทรัพย์รับจ้างมากลางป่า |
ทิ้งเคหาญาติมิตรไม่คิดหลัง |
เพราะความจนทนระกำแต่ลำพัง |
เหลือกำลังก็ต้องล้มลงจมดิน |
ด้วยคนญวนพวกนี้มิได้ทราบ |
ว่าทางราบฤๅเปนเขาลำเนาหิน |
อยู่บ้านเมืองหมดปัญญาจะหากิน |
เมื่อได้สินจ้างเขาจึงเดามา |
เห็นแต่ทรัพย์นับว่าเที่ยงแก่ชีวิต |
มิได้คิดให้จิรังในสังขาร์ |
แท้ที่จริงก็เปนสิ่งอนัตตา |
คือธรรมดาของโลกโอฆชน |
ถึงเชิงเขาชั้นต่ำพอค่ำพลบ |
ผู้คนครบคั่งคับออกสับสน |
มีโรงแฝกหนึ่งหลังพอบังตน |
ดูเหลือทนหนาวจัดลมพัดฮือ |
น้ำค้างแขงแตกกระจายเหมือนทรายสาด |
หลังคาขาดปลิวกระฉ่อนออกว่อนหวือ |
ติดไฟผิงพอบันเทาเป่ากระพือ |
ยังไม่ครือเปนเหน็บเจ็บระงม |
เวลานั้นคุณเพระธุระน้ำ |
เปนยามค่ำเสือสางครางขรม |
จะหาน้ำล้างพักตร์แต่สักอม |
ญวนก็ถมจ้างใครมันไม่เอา |
ทหารฝรั่งคนหนึ่งทลึ่งรับ |
แล้วเดินกลับย้อนขึ้นบนพื้นเขา |
แต่ผู้เดียวเสียวไส้หนักใจเรา |
มืดเหมือนเข้าทางถ้ำได้น้ำมา |
เอาเหรียญหนึ่งจึ่งรู้ฤทธิฝรั่ง |
ช่างสัจจังสมทหารการอาสา |
ทั้งล่ำสันขันขึงถลึงตา |
เหมือนยักษาไล่มฤคคึกคนอง |
ครั้นรุ่งเช้าออกเดินบนเนินสูง |
ค่อยพยุงกายจรดสยดสยอง |
แต่ความหนาวชาไปเหมือนใจปอง |
พ้นเขตรของเขาร้ายสบายทาง |
พวกกุลีที่เอามาดูหน้าจ๋อย |
ทั้งเจ็บน้อยเจ็บมากเดินลากหาง |
ที่แบกของไม่ได้แทบวายวาง |
ให้เดินทางตัวเปล่าตามเขามา |
อันคนใช้นายบรรหารคลานมาหนึ่ง |
แทบจะถึงที่อยู่บนภูผา |
เดินไม่ได้ให้นั่งหลังอาชา |
ต้องหมอบมาบนอานวานเขาจูง |
ทิ่ใครได้หยูกยาเอามาบ้าง |
ก็ได้วางตามมีคัมภีร์สูง |
อาการซุดกับทรงต้องพยูง |
คนเปนฝูงเหลือปัญญาดูตากัน |
นิกสงสารคนไทยร่วมไพร่ฟ้า |
แล้วก็มาราชกิจเหมือนจิตรฉัน |
จึ่งให้เปลของเราเอามาอัน |
แท้จริงฉันซื้อสำรองเปนของทาน |
ได้ขึ้นนอนเหมือนผู้ดีกุลีหาม |
มันพักตามป่าดงน่าสงสาร |
ทั้งหลังงอคอหงายแทบวายปราณ |
ห้วยลำธารปุ่มหินดินตะแคง |
หลวงคำณวนเมื่อคราวถูกหนาวมาก |
ริมฝีปากแตกระบมกรมระแหง |
ครั้นพ้นเขตรลำบากอยากสำแดง |
ขุนปราบแผลงคำตลกถูกอกใจ |
หัวเราะฮาอ้าปากครากสนัด |
เหมือนมีดตัดเถือเชือดเลือดก็ไหล |
เล่นเอาเจ่อเผลอตนต้องทนไป |
ไม่เกรงใจแผลปากลำบากพอ ฯ |
๏ ครั้นถึงห้วยบุ้งฮงก็ลงพัก |
หยุดสำนักโรงมีดีกว่าหอ |
แต่นายทองพูดได้ลิ้นไก่คลอ |
ช่วยกันยอให้กินยาถามอาการ |
ครั้นรุ่งขึ้นเดินแซ่ไปแต่เช้า |
ถึงบ้านเม้าพักพหลพลทหาร |
เปนฮ่อขึ้นฝรั่งเศสเขตรกันดาร |
ต้องรำคาญถูกอาไศรยเพราะใกล้เคียง |
เจ้าของห้องต้องหอบที่นอนฟูก |
บ้างจูงลูกหลานหนีไม่มีเถียง |
ต้องร่นไปไอจามตามระเบียง |
ออกแซ่เสียงโรงเรือนเขยื้อนโยน |
รวมทหารญวนกุลีมิใช่น้อย |
เกือบสามร้อยหนวกหูเหมือนดูโขน |
ทั้งตัวเหามันเห็นเผ่นกระโจน |
ต้องแกะโยนเกาะกระหน่ำกันร่ำไป |
เอาฝาโรงเปนฟืนกับพื้นฟาก |
ฉุดกระชากหักมาไม่ปราไส |
เจ้าของห้องต้องอดสกดใจ |
ถ้าเขาไปจึ่งได้ทำกรรมของตน |
คืนวันนั้นนายทองร้องขอน้ำ |
คุณพระทำยารินให้กินหน |
เปนยอดยาสำหรับเมื่ออับจน |
ค่อยฟื้นตนขึ้นมากอยากเข้าตัง |
ขอบุหรี่สูบปุ๋ยถุยเขละ |
ดูเหมือนจะหายสมอารมณ์หวัง |
พอรุ่งเช้าใส่เปลหามเซซัง |
ตวันยังพอเที่ยงถึงฟองโท ฯ |
๏ คิดหนทางลาวกายปีนป่ายเขา |
ไม่ทุเลาเมื่อยล้ามาออกโข |
ได้เจ็ดวันพอดีกุลีโซ |
ผอมโกงโก้หิวโหยโรยกำลัง |
แต่นายทองพอถึงซึ่งสถาน |
ดับสังขารสิ้นใจเอาไปฝัง |
มีเฝือกห่อพอมิดได้บิดบัง |
พวกฝรั่งส่งศพคำรพไทย |
นายบรรหารแสนลห้อยค่อยสอื้น |
ได้แต่ยืนเช็ดหน้าน้ำตาไหล |
ยิ่งอักอ่วนครวญคร่ำร่ำพิไร |
แสนอาไลยนายทองนองน้ำตา |
ได้เห็นกันฉันญาติเมื่อคราวยาก |
มาพลัดพรากดับขันธ์ชัณษา |
สิ้นอายุหมดชาติญาติกา |
ไม่ทันลาเห็นใจให้หนทาง |
อันความตายไม่ว่าชราหนุ่ม |
เนื้อหนังหุ้มห่อดีเปนผีสาง |
เกิดเปนรูปแล้วทำลายคงวายวาง |
อยู่ในกลางสังสาระนาการ |
เหมือนอกเราคราวมาในป่าชัฎ |
ต้องเสี่ยงสัตยปลงธรรมกรรมฐาน |
ถือเอาพระไตรรัตนชัชวาลย์ |
สมาทานภาวนารักษาธรรม |
กับพระยอดโมลีภูมีภพ |
เปนจอมจบเวียงไชยไอศวรรย์ |
จงแคล้วคลาศนิราสไภยในอรัญ |
จวบถึงคันนครามหานคร |
ด้วยมุ่งมาดปราถนาสามิภักดิ์ |
หมายเปนหลักพึ่งพิงดังสิงขร |
เมื่อจะถึงเวลาไม่อาวรณ์ |
เปนสิ้นตอนบุญกรรมธรรมดา ฯ |
๏ ฝ่ายกัปตันฟองโทวะโรฝรั่ง |
ให้อยู่ยังโรงแปลกแฝกเปนฝา |
ล้วนพวกไทยใครไม่ปนสนทนา |
ตามภาษาสุขสบายข้างฝ่ายเรา |
ทั้งอาหารเนื้อวัวกับตัวไก่ |
อิกเหล้าไวก์กาแฟเบิกแก่เขา |
แต่ผักปลาไม่มีที่จะเอา |
ทั้งเย็นเช้ากินประจำซ้ำกันไป |
ได้รอดตัวหัวกระเทียมพริกกระปิ |
ที่ได้ริซื้อมาพออาไศรย |
ได้เงินต่อคอเวอนเมนต์ไม่เปนไร |
เพราะผัดไปแต่ฮานอยค่อยประทัง |
ถึงอย่างนั้นน้ำปลาเวลาเคราะห์ |
มันจำเภาะราดรดจนหมดถัง |
กุลีนั้นแบกหามแต่ลำพัง |
ไม่ระวังต้องอดหมดทุกคน |
อันกับเข้าเบิกได้ในค่ายนี้ |
พอฉู่ฉี่แกงผัดไม่ขัดสน |
แต่หอมกระเทียมที่กินไปสิ้นตน |
ดูเหลือทนหมดทุนวุ่นเต็มที |
นิจจาเอ๋ยมียศมาอดยับ |
อดทั้งกับของกินจนสิ้นศรี |
จะหาซื้อผู้ใดก็ไม่มี |
เหมือนเข้าที่เอการักษากรรม |
เมื่อเคยได้รับประทานของหวานบ้าง |
มาแรมร้างที่ชุบอุปถัมภ์ |
เวลานอนร้อนฤดีเหมือนผีอำ |
ให้พลิกคว่ำพลิกหงายไม่วายตรอง |
คิดถึงเย่าเร้าถึงญาตินิราสนุช |
ไหนจะสุดร่ำไห้อาไลยหมอง |
มิคอยกลับนับทิวาน้ำตานอง |
จะปกครองรูปโฉมได้โลมเรียม |
ฤๅจะคิดนอกทางสำอางโอ่ |
เที่ยวเล้โล้ตัดตอนเล่นซ่อนเสียม |
โอ้คิดไปให้วิตกหัวอกเกรียม |
กลัวจะเทียมกาไหล่ในทองแดง |
ยิ่งสงไสยในกมลทนเทกษ |
มาค้นเหตุคุ้ยแคะแกะระแหง |
ไม่ควรคิดนอกทางมาคลางแคลง |
เที่ยวเกี่ยวแว้งเก็บการพาลคนึง |
เมื่อไรหนอจะเสร็จสำเร็จกิจ |
เวลาคิดครวญใคร่ก็ใจถึง |
แต่ว่ากายยังมาเกินเดินตะบึง |
เดี๋ยวนี้ขึงอูดก้องอยู่ฟองโท |
เห็นกุลีที่สำหรับอยู่กับค่าย |
ลำบากกายอนาถานัยตาโหล |
ต้องอยู่ในคอกขังยังแต่โซ |
ผอมโกงโก้มีแต่กายลายตุกแก |
เพราะกลัวหนีมิให้ออกมานอกได้ |
ยังมีใจพูดก๋อหัวร่อแหว |
ไม่เห็นมันทุกข์ร้อนลงนอนแบ |
บ้างรังแกด่าตีไม่หนีกัน |
เสื้อกังเกงร้อยริ้วนั่งหิวแห้ง |
ไม่มีแรงโรยราแทบอาสัญ |
มีเหาเลนเปนประจำกรรมของมัน |
ต้องผลัดกันหาหัวค้นตัวเลน |
ถ้าเก็บได้ใส่ปากไม่อยากเกลียด |
เคี้ยวละเอียดกินดูไม่รู้เห็น |
เขาว่ามันจะได้ตายไม่กลายเปน |
ได้มาเห็นเหลือทนที่คนญวน |
ยังพวกที่มากับเราเขาไม่กัก |
ให้หยุดพักนอกค่ายคอยไต่สวน |
มีนายแถวกำกับนับจำนวน |
แต่ไม่อ้วนอดออมผอมกริงกริว |
ได้กินเข้ากับเกลือเมื่อเดินป่า |
ถือเอกาอยู่ข้างเคร่งตะเบงหิว |
แต่มาถึงเมืองนี้มีปลาซิว |
เที่ยวตกหิ้วมาแต่ห้วยกับกล้วยดง |
เวลารับเงินเดือนเหมือนเศรษฐี |
ค่อยมั่งมีกว่าในคอกนอกประสงค์ |
เรี่ยรายกันซื้อหมูดูเปนวง |
ช่วยกันลงมือฆ่าพอยาคอ |
ที่กินสุนัขหมักหมมต้มตะใคร้ |
ว่าใช้ได้ดีอร่อยไม่น้อยหนอ |
ญวนเขาชอบทั้งเมืองไม่เคืองคอ |
ว่ารสต่อที่สองรองสุกร |
แต่เหาเลนเปนทั่วทุกคนหมด |
สำหรับยศของญวนควรขยอน |
เปนธรรมดาอาจิณกินจนพลอน |
ไม่แคะค่อนพูดจาว่าประจาน |
คิดก็แสนปรานีกุลีเอ๋ย |
ต้องอยู่เลยมิได้กลับลับสถาน |
ตายไม่เว้นแต่ละวันยามกันดาร |
มีแต่การขุดหลุมกันกรุ่มไป |
เพราะต้องคลานอานมาแต่นุ้ยเกิ๊ม |
ตีนมือเยิ้มโซมสาดเลือดฝาดไหล |
บ่าที่แบกแตกบวมจนน่วมใน |
ยังซ้ำไข้มันกินสิ้นชีวา |
นี่หากของผ่อนไว้ลาวกายบ้าง |
เขาก่อสร้างให้เปนคลังลังฉ่ำฉา |
แบ่งเอาไว้ให้เบาพอเอามา |
ไม่มรณาหมดจำนวนญวนกุลี ฯ |
๏ อันค่ายนี้พึ่งเสียฝรั่งเศส |
เดิมเปนเขตรจีนอยู่ต้องลู่หนี |
ฝรั่งพึ่งได้ครองในสองปี |
ขึ้นมาตีตั้งอำนาจราษฎร์ระอา |
เรือนเปนหมู่อยู่สักห้าสิบหลัง |
คนสะพรั่งหญิงชายหลายภาษา |
เมื่อเกิดศึกซุกซ่อนร้อนอุรา |
เดี๋ยวนิี้มาพึ่งพักร่วมรักกัน |
แต่ไทยเหนือเปนประจำในสำนัก |
พูดรู้จักคำสยามแต่ความขัน |
เรียกตาเวนต้องเปนชื่อตาวัน |
ถึงเพี้ยนกันพอเข้าใจชิงไหวฟัง |
แต่แต่งตัวเหมือนจีนกินตะเกียบ |
ไว้ผมเลียบเคียงญวนม้วนข้างหลัง |
เอาผ้าโพกหัวหูดูเปนตัง |
ผู้หญิงยังสวมถุงนุ่งเหมือนลาว |
นับถือผีมีหิ้งอยู่ในห้อง |
เปนภูตของต้นแซ่ทั้งแก่สาว |
สำหรับไหว้เช้าเย็นเส้นหวานคาว |
มีแม่ท้าวป่วยไข้ให้บนบาน |
ที่หุงเข้าเตาวางไว้ข้างฟูก |
หลังเรือนปลูกโรงผีมีเปนศาล |
ไม่ว่าญาติคนไรที่วายปราณ |
ให้อยู่ศาลพอประทังหลังละคน |
แม้นตายกันพรรณาภาษาเขา |
พิไรเร้าอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยหน |
คืนยังรุ่งวันยังค่ำเหมือนร่ำมนต์ |
ออกกาหลเซงแซ่แอ้อี๋ออย |
จนเอาศพไปฝังค่อยยังชั่ว |
ไม่เห็นตัวคนตายก็หายหงอย |
แต่ผู้หญิงยลเยื้อนเหมือนฮานอย |
ดูแช่มช้อยขาวนวลควรประคอง |
เขาว่าแม้นสู่ขอแล้วก็ได้ |
สินสอดในสิบมันเปนชั้นสอง |
คือสิบเหรียญได้เคลียเปนเมียรอง |
อยากจะลองไทยเหนือไม่เบื่อแล |
แต่นึกรั้งตั้งสติไม่ริรัก |
คิดถึงพักตร์ผ่องพ่วงแม่ดวงแข |
หล่อนเปนผู้ผูกใจใส่กุญแจ |
เราจะแส่สุขคนเดียวก็เสียวทรวง |
แล้วก็มาด้วยกิจจะผิดแบบ |
ได้แต่แอบชมงามไม่ห้ามหวง |
สู้นิ่งนอนร้อนรุ่มถึงพุ่มพวง |
ตั้งจิตรจ้วงทรมานรำคาญใจ ฯ |
๏ อันชาวบ้านบางนี้มิได้เขลา |
คิดตำเข้าแปลกชนิดผิดวิไสย |
ไม่ต้องเปลืองแรงตนทุกคนไป |
แต่ตำได้วันละครกยกเอามา |
มีกระเดื่องไปตั้งไว้ข้างห้วย |
เอาน้ำช่วยถีบได้ไม่มุสา |
ขุดที่ทางเหมือนรางรองชายคา |
น้ำไหลมาหนักหกยกได้ที |
แต่ช้ากว่าคนหีบถีบกระเดื่อง |
ตามบ้านเมืองขัดข้องไม่ต้องสี |
อาไศรยด้วยมากกระเดื่องจึ่งเปลืองดี |
ไปกู้ทีสิ้นเวลาห้ากะบาย ฯ |
๏ สำนักนี้มีเจ้าเมืองเมื่อแต่ก่อน |
แล้วม้วยมรณ์เปนเคราะห์เพราะสหาย |
คือท้าวไลใจทมิฬสิ้นผู้ชาย |
ยกนิกายขึ้นมาหาพูดจากัน |
พอได้ทีจับมัดตัดศีร์ษะ |
ไม่ทันจะรบสู้เปนคู่ขัน |
แล้วก็ยกกลับไปเมืองไลพลัน |
อริกันเคี่ยวเข็ญเพราะเกณฑ์คน |
แต่ท้าวตีนโศกซุดเปนบุตรใหญ่ |
คิดเจ็บใจกว่าวันละพันหน |
อยากตอบแทนแค้นเข้มอยู่เต็มทน |
แต่ผู้คนบอบบางทางก็ไกล |
จนอยู่ในปกครองของฝรั่ง |
ถอยกำลังหมดปัญญาอัชฌาไศรย |
ต้องเลี้ยงหมูขายเขาเอากำไร |
กับเกณฑ์ไพร่ส่งกัปตันให้ทันการ |
อันค่ายนี้มีกำแพงเปนแท่งหิน |
สูงพ้นดินหกศอกบอกทหาร |
ให้นั่งยามตามไฟกันไภยพาล |
กว้างประมาณสี่เส้นกั้นเปนวง |
ทหารอยู่โรงสูงมุงกระเบื้อง |
กับไว้เครื่องรบสำรองต้องประสงค์ |
รวมสิบเอ็ดห้องกั้นได้มั่นคง |
แล้วยกธงบนหลังคาสง่าดี |
เรือนกัปตันนั้นหลังอยู่ข้างเล็ก |
ล้วนของเจ๊กสร้างตอนเมื่อก่อนหนี |
กับโรงหนึ่งขนมปังคลังก็มี |
ด้วยเปนที่ค่ายสำคัญกันศัตรู |
รวมทหารญวนฝรั่งร้อยห้าสิบ |
มีเครื่องดิบกะป๋องปลากับขาหมู |
แม้นข้าศึกล้อมค่ายหลายประตู |
ของกินอยู่รับรอดตลอดปี |
คืนวันหนึ่งหลวงคำณวนควรขนาน |
พนักงานดินแดนกรมแผนที่ |
ตั้งกำปัดวัดทางวางวิธี |
แต่บุรีลาวกายมาหลายวัน |
ครั้นถึงเมืองฟองโทคืนโอภาส |
เดียรดาษผ่องฟ้าดาราหวัน |
จึ่งเปิดแอตรอมิเตอพลัน |
วัดดาวดั้นตามแบบดูแนบเนียน |
เอากล้องส่องมองปรอทที่หยอดไว้ |
แล้วบอกให้นายบรรหารด้านเสมียน |
สอบมินิตคิดสกันปันทะเบียน |
แล้วขีดเขียนสมุดเช่นเปนบาญชี ฯ |
๏ ครั้นหยุดพักฟองโทระโหฐาน |
หลายวันวารอ้วนท้วนเปนนวนศรี |
พอเช้าตรู่สุริยันเปนวันดี |
ยกโยธีต่อไปเมืองไลเจา |
มีทางราบแต่น้อยสักร้อยเส้น |
แล้วก็เปนแนวเดินบนเนินเขา |
พวกฝรั่งสั่งว่าอย่าดูเบา |
ยังเปนเหล่าแดนฮ่อคอยต่อแย ฯ |
๏ ครั้นถึงน้ำซองนาเย็นพายับ |
มีเรือรับส่งข้ามตามกระแส |
กับตัดไม้ไผ่ตงลงทำแพ |
เสียงเซงแซ่พร้อมเสร็จสำเร็จนอน |
คืนวันนั้นเดือนตกสักหกทุ่ม |
มีคนคุมลายลักษณ์ซองอักษร |
เปนหนังสือราชการประทานพร |
กับสมรมีตอบน่าขอบใจ |
ฉีกหนังสือถือสารอ่านไม่หลับ |
เพราะได้รับคำของมิตรพิสมัย |
ว่าอยู่ดีกินดีพิรี้พิไร |
ไว้อาไลยสั่งกำชับรับประกัน |
กับเหน็บแนมแย้มเย้าเปนเค้าเงื่อน |
ดูเหมือนเตือนให้อาไลยชื่นใจฉัน |
ยิ่งตรองตรึกนึกไปเห็นไรฟัน |
เวลาวันโลมสั่งกำลังครวญ |
มาไกลอกตกอับเหลือปรับทุกข์ |
พี่บอกสุขกลัวจะโศกโรคกำศรวญ |
ไยมาตอบตื่นเต้นเปนสำนวน |
มีกระบวรร่ำไปไม่วายเลย |
คิดขึ้นมาน่าแค้นแล้วแสนรัก |
อกจะหักเสียเพราะร้างห่างเขนย |
เปนนิไสยสัตรีที่จากเชย |
เขาต้องเอ่ยกั้นกางด้วยทางงอน |
นึกขอบใจไทยเหนือเหมือนเสือป่า |
ช่างอุส่าห์บุกตามข้ามสิงขร |
จนมืดค่ำคลำเดินเชิญสุนทร |
เขาจ้างออนคล่องใช้ไปรสนีย์ |
ครั้นรุ่งเช้าเดินลำบากตากแต่แดด |
มันช่างแผดร้อนรนลนฉวี |
ก็เพราะต้นพฤกษาหาไม่มี |
เปนคิรีโล้นเลี่ยนเตียนนัยตา |
อันบ้านฮ่อริมทางเห็นร้างยับ |
หนีทางทัพเปอร์โนโร่เข้าป่า |
เปนกองแรกของฝรั่งเซซังมา |
เมื่อก่อนหน้าเรานี้สิบสี่วัน ฯ |
๏ ถึงเมืองล่าเคหาอยู่ยอดเขา |
แลดูเย่าเปนกระจุกสนุกขัน |
แต่ไกลตามืดหมอกออกเปนควัน |
เขาอยู่กันตามใจเพราะไกลทาง |
เห็นกุลีที่มาตายวายชีวิต |
นั่งดับจิตรพิงเขาราวกับย่าง |
ห่มกระสอบคาดเถาวัลย์ยิงฟันพลาง |
แขนยังกางถือไม้เท้าเน่ามานาน |
เขาว่าทัพเปอร์โนโกลาหล |
แกยกพลมากำหราบปราบสถาน |
กุลีถึงสามพันยามกันดาร |
จะวายปราณสักเท่าไรไม่ได้ความ |
ในวันนั้นค่ำนอนบนดอนเขา |
ถึงบันเทาเหนื่อยเหน็จยังเข็ดขาม |
พยุฝนฮือโหมเสียงโครมคราม |
พอสักยามเศษพัดอัศจรรย์ |
ลูกเห็บตกลงมาแต่อากาศ |
ม้าฬาขาดตกตลึงอึงสนั่น |
แต่ละก้อนน่ากลัวตัวฉกรรจ์ |
อย่างกลางนั้นไข่เป็ดเท่าเม็ดโทน |
ถูกกุลีหัวแตกร้องแรกเอ็จ |
โดนอ้ายเม็ดใหญ่หยอกต้องออกโขน |
นายบรรหารหนึ่งแห่งหน้าแข้งโปน |
เสียงตะโกนทั้งทัพเหมือนขับนก |
กลางที่นอนก้อนละลายกลายเปนน้ำ |
ช่างเย็นฉ่ำจับหัวใจเข้าในอก |
ไม่แกล้งอวดปวดกระดูกเหมือนลูกนก |
ต้องสั่นงกนั่งแช่แย่ตารัก |
เสื้อกางเกงเปียกปอนหนาวจอนจ่อ |
ที่นอนห่อขึ้นมาวางไว้กลางตัก |
จนครึ่งคืนจึ่งได้ซาเวลาพัก |
เหลือที่จักเดือดร้อนนอนคลุมโปง |
พอเช้าตรู่สุริยานภาผ่อง |
จัดเข้าของมุ่งเขม้นเปนโขยง |
เลียบไปตามเหวเหินเดินตะโพง |
ดูเลี่ยนโล่งฦกลิ่วหวาดหวิวใจ ฯ |
๏ พอถึงลำน้ำตันตวันเที่ยง |
หยุดพร้อมเพรียงที่ท่าชลาไหล |
มีเรือข้ามมารับกองทัพไป |
เข้าอยู่ในที่พักเรียกบักตัน |
เห็นเรือนสักสิบหลังดังกรอบแกรบ |
ทั้งคับแคบที่สถิตเหมือนติดจั่น |
สกปรกเต็มทีมีแมงวัน |
อเนกอนันต์เหลือล้นทนระมาน |
อันค่ายนี้เปนที่ของพวกฮ่อ |
น้ำใจคอเหี้ยมเกรียมเทียมทหาร |
เมื่อกองทัพเปอร์โนสโมธาน |
คุมทหารจะไปเมืองไลเจา |
ขุดหลุมพลีตีแตะสนามเพลาะ |
เอาเสียมเซาะเปนคูเพราะรู้เท่า |
รายอยู่ตรงท่าข้ามตามลำเนา |
มีทั้งเสาปักขั้นกันลูกปืน |
ไปนับดูรู้ว่าสิบสามแห่ง |
ช่างแขงแรงเหลือปัญญาจะฝ่าฝืน |
หมายจะโต้ทานทัพให้กลับคืน |
ผู้คนดื่นเตรียมตัวไม่กลัวใคร |
เวลานั้นเปอร์โนสโมสร |
คุมนิกรเดินพหลพลไหย |
พอเช้าตรู่สุริยานภาไลย |
บังเอินไอเขาออกเปนหมอกมน |
ครั้นกองหน้าถึงท่าทางเฉนียน |
สิ้นความเพียรพาหนะของพหล |
จึ่งเป่าแตรสมมุติให้หยุดพล |
พักผู้คนพร้อมกันที่นั่นเอง |
ทันใดนั้นพอแตรแซ่หูฮ่อ |
มันแขงข้อทุกกระบอกกรอกเขนง |
ยิงกระหน่ำร่ำด้วยปืนดังครื้นเครง |
ไม่กลัวเกรงฤทธิฝรั่งว่าอย่างไร ฯ |
๏ ฝ่ายกองทัพเปอร์โนโทโสมาก |
สั่งให้ลากปืนออกกระบอกใหญ่ |
ยิงโต้หน้าไว้พลางให้วางใจ |
แล้วสั่งให้เหล่าทหหารชาญฉกรรจ์ |
ข้ามแม่น้ำขึ้นฝั่งเข้าหลังค่าย |
ก็สมหมายปีนตลิ่งยิงถลัน |
ถูกชนิดปืนชะงัดปัศตัน |
รุกโรมรันล้อมฮ่อทรชน ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าฮ่อก็ขยาดขลาดฝรั่ง |
เหลือกำลังหัวพองสยองขน |
จะสู้รบสุดรับเข้าอับจน |
ทิ้งตำบลบักตันในทันใด |
ขึ้นคิรีหนีหน้าต้องล่าทัพ |
ไม่ให้จับเอามาเชือดจนเลือดไหล |
ที่ต้องตายในสมรภูมิไชย |
สาแก่ใจที่มันคิดเปนจิตรพาล |
แล้วเปอร์โนข้ามมาพร้อมหน้าหมด |
ให้กำหนดตรวจทัพนับทหาร |
จึงรู้ว่าตายกันประจัญบาน |
นับประมาณรวมเสร็จสิบเอ็จคน |
ได้สืบทราบอย่างนี้มิได้เห็น |
ด้วยเราเปนกองหลังฟังนุสนธิ์ |
เหมือนเขาช่วยล่วงหน้ามาประจญ |
วางผู้คนเปนที่พักไว้บักตัน |
หลังค่ายมีศาลเจ้าเท่าโรงงิ้ว |
มีทั้งติ้วกระถางธูปรูปลั่นถัน |
ทั้งหน้าดำหน้าแดงแขงแรงครัน |
ถือกั้นหยั่นขวานปูลูธนูทวน |
ไยไม่สู้พวกฮ่อมันต่อรบ |
เครื่องมือครบเหมือนทหารด่านเสฉวน |
ฤๅถูกกลฮกหลงงงกระบวร |
ไม่อาจฮ้วนเล่าปี่เปอรโน |
เจ้าเตลิดเปิดเจว็ดเสด็จกลับ |
ด้วยอดตับหมูไก่ใบตั้งโอ๋ |
ไม่มิใครให้เสวยจะเลยโซ |
ต้องเจ๊าโล่ตามอ้ายฮ่อไปขอกิน |
รูปถวายไม้จริงที่ทิ้งอยู่ |
บานประตูแผ่นใหญ่บันไดหิน |
ถูกริบมาปักรายเปนค่ายดิน |
จนโทรมสิ้นมีแต่โครงดูโกรงเกรง |
ตุ๊กตาหน้าลั่นถันทหารเจ้า |
ต้องมาเฝ้าตินท่าตาเขมง |
ทั้งกลางค่ายรายตั้งเล่นตามเพลง |
โดนนักเลงยุโรปเปียนเบียฬเอาพอ |
เวลาที่รบรานชาวบ้านช่อง |
เก็บเข้าของทิ้งที่ออกหนีสอ |
ไปซุ่มซ่อนตามเขาเปนเหล่ากอ |
เดี๋ยวนี้พอสงบทัพก็กลับมา |
ปลูกเรือนอยู่แต่ละหลังเหมือนขังสัตว์ |
ต้องเยียดยัดยุ่มย่ามตามภาษา |
เด็กผู้ใหญ่ซ้อแซ้แก่ชรา |
กินเข้าปลากับใบตองรองเหมือนจาน |
ได้พักอยู่ดูตำบลชนบท |
จึงทราบหมดทั่วประเทศเขตรสถาน |
แล้วออกจากสำนักไม่พักนาน |
ตามกันดารเดินทัพบรรพตา |
หลวงคำณวนนายบรรหารท่านขุนปราบ |
ออกเข็ดหลาบเหลือเหนื่อยว่าเมื่อยขา |
พร้อมใจกันลงเรือเชื้อกันยา |
ทำหลังคาแล้วไปด้วยใบตอง |
ผ้าขี้ริ้วตอกหมันชันหายาก |
ดูรอยถากเปนระนาวมีเจ้าของ |
ต้องงอนหง่อคอตั้งนั่งหย่องยอง |
แต่ทางสองวันไปถึงไลเจา |
อันตัวฉันเปนเวราต้องมาบก |
ชะตาตกแชเชือนไม่เหมือนเขา |
นึกแต่เพียงรอดตายกายของเรา |
สิ้นอ้ายเต่าแล้วมิหนำซ้ำต้องเดิน |
มีห้วยบ่อฮ่อมันใส่ไว้ยาพิษ |
เปนจนจิตรในลำเนาภูเขาเขิน |
นอนค้างคืนบนคิรีมีเปนเนิน |
แล้วมุ่งเมินถึงถิ่นเรียกชินนัว |
มีบ้านช่องสองหมู่ดูแทบร้อย |
ผู้คนน้อยหนีเสียทั้งเมียผัว |
เมื่อเปอร์โนยกมาก็น่ากลัว |
รับเต็มตัวตั้งหลักเหมือนบักตัน |
แต่เจ้าฮ่อท้อฤทธิ์คิดขยาด |
ร่นเรี่ยราดสู้รบไม่ขบขัน |
ยิงถูกแต่กุลีสิ้นชีวัน |
พลขันธ์ปลอดตายสบายดี |
แต่ฮ่อที่คุมทัพดับไปบ้าง |
ฝังอยู่ข้างชายดงปักธงสี |
เหมือนปรำตามภาษาป่าวิธี |
ว่าส่งผีขึ้นสวรรค์กันอบาย |
ได้พักอยู่บ้านร้างหมดทั้งทัพ |
มีห้องหับโปร่งเหมือนกับเดือนหงาย |
พอรุ่งข้ามน้ำนัวทั่วนิกาย |
เดินเรียงรายไปตลอดยอดคิรี |
ตั้งแต่มาหาหนทางที่ราบน้อย |
ไม่เรียบร้อยเฟื่องฟุ้งเหมือนกรุงศรี |
ถึงจะให้ราชรถยศทวี |
จะขับขี่ฟั่นเฝือเหลือปัญญา |
สังเกตทางอย่างคลื่นมหาสมุท |
ต้องรีบรุดเดินขัดสบัดขา |
พวกฝรั่งตัวดีที่มีมา |
ยังระอาออกคอท้อทุกคน |
แต่คุณพระไพรัชสันทัดท่อง |
ไม่เห็นร้องว่าเหนื่อยเมื่อยสักหน |
กับเซนเยมผู้ส่งก็คงทน |
ซ้ำกังวลช่วยระวังทั้งกุลี |
อันตัวเราแต่ไหนก็ไม่เหนื่อย |
จำเพาะเมื่อยเกือบจะถึงกึ่งวิถี |
แต่แลเห็นไลเจาเย่าเรือนมี |
ยิ่งทวีหอบกระเหมือบดูเกือบตาย |
คิดหนทางเจ็ดโมงโคลงศีร์ษะ |
เปนระยะจนถึงพอกึ่งบ่าย |
เข้าพักอยู่โรงหญ้าทั้งห้านาย |
ระงับกายตามเรื่องเรียกเมืองไล |
ไม่มีเจ้าต้องเอาเปนชื่อแท้ |
อย่าคิดแส่นึกพะวงทำสงไสย |
ทั้งฮ่อลาวชาวเหนือเรียกเพรื่อไป |
ว่าเมืองไลญวนขอต่อที่เจา |
พบขุนนางปาวีที่มียศ |
เหมือนนักพรตเดินชาญชำนาญเขา |
มาแต่หลวงพระบางทางไม่เบา |
ถึงไลเจาจันตคามสิบสามวัน |
ทหารไทยมาด้วยช่วยรักษา |
ได้เห็นหน้าคนไทยชื่นใจฉัน |
รวมเก้าคนที่มาทั้งซายันต์ |
ดูเข้มขันแขงณรงค์คงกำลัง |
แล้วบอกว่าเมื่อมาใกล้เมืองฮั้ว |
เดินเลียบรั้วบ้านฮ่อพอให้หลัง |
ยิงออกมาจากบ้านสท้านปัง |
เหลือระวังแต่ลูกไม่ถูกใคร |
จึ่งได้เตรียมทุกกระบอกกรอกเอาบ้าง |
เสียงโผงผางรุกกระชั้นสนั่นไหว |
อ้ายจีนฮ่อท้อศักดาระอาใจ |
ทหารไทยยิงตระหน่ำด้วยชำนาญ |
หางหนูชี้หนีขึ้นเขาทิ้งเย่าหมด |
ต้องรู้รสคนสยามคร้ามทหาร |
น่าชื่นชมสมอำนาจราชการ |
แล้วเชี่ยวชาญเชิงอาวุธยุทธนา |
แม้นสู้ศึกคงจะฮึกยิ่งกว่านี้ |
เข้าต่อตีแต่ละตนทนอาสา |
ไม่คิดกับร่างกายวายชีวา |
ต้องก้มหน้ารับสนองฉลองคุณ |
หมายจะหาความชอบประกอบชื่อ |
ตลอดฦๅลูกหลานเปนการหนุน |
ไม่ย่อท้อพาลาที่ทารุณ |
ยิงเปนจุลหาญหักด้วยศักดา |
คิดถึงฮ่อโมหันธ์มันทธาตุ |
เที่ยวรอนราชชนบทถือยศถา |
ลอบอยู่กันในขันธเสมา |
อหังกาเกินการเที่ยวพาลยิง |
เมื่อคราวนี้ถึงส่ี่สิบคนเศษ |
อวดฤทธิ์เดชรบสู้เหมือนผู้หญิง |
เห็นทหารกับกุลีจะตีชิง |
ไยจึ่งวิ่งไทยเราแต่เก้าคน |
อันตัวกล้าซายันต์ดูซื่อๆ |
แต่ฝีมือเจนศึกเคยฝึกฝน |
แล้วป้องกันฝรั่งไม่ห่างตน |
คือท่านคนที่มาที่ปาวี |
เขาเขียนชื่อนายคงลงอักษร |
ขออาภรณ์เพิ่มพักตร์เปนศักดิ์ศรี |
ไปยังเมืองตังเกี๋ยไม่เสียที |
คือความดีแขงกล้าซายันต์คง |
เขาอยู่ในกำปนีทหารหน้า |
ต้องขึ้นมาหลวงพระบางทางประสงค์ |
อยู่ในหลวงดัสกรรอนณรงค์ |
จะยืนยงศักดาสง่าครัน |
แล้วคุณพระให้บำนาญทหารหมด |
เพราะความอดเดินป่าพนาสัณฑ์ |
เปนกำลังราชการเจือจานกัน |
ด้วยเขตรขันธคับแค้นทั่วแดนไล |
แล้วท่านพบพูดจาวิสาสะ |
เปนธุระราชกิจโดยจิตรใส |
พอรุ่งขึ้นสองทิวาก็คลาไคล |
กลับแดนไทยตามกระทรวงหลวงพระบาง |
ข้างฝ่ายเราไม่ถึงบทกำหนดกลับ |
นอนกระสับกระส่ายตัวเหมือนกลัวสาง |
เพราะอาการวิปริตผิดนภางค์ |
ถ้าปะลางวันร้อนเหมือนนอนไฟ |
ลางวันหมอกมืดมัวทั่วทิศา |
ต้องห่มผ้าซ้อนซับเหมือนจับไข้ |
ทั้งร้อนหนาวผลัดกันทุกวันไป |
แม้นธาตุใครย่อหย่อนต้องนอนคราง |
ยิ่งคับแค้นเข้าปลาแลอาหาร |
แสนกันดารสารพัดจะขัดขวาง |
แต่เข้าของต้องผ่อนไว้เรี่ยทาง |
จึ่งบอบบางการสเบียงจะเลี้ยงกาย |
ไม้ขีดไฟขายกลักละเจ็ดอัฐ |
เกลือก็ขัดชั่งละเหรียญเจียนฉิบหาย |
พวกทหารมารินต้องกินควาย |
ถึงตัวนายเหมือนเราก็เอาดี |
ลางวันเถือเนื้อโคมาให้บ้าง |
พอได้ย่างมังสาทำกะหรี่ |
ยักผัดเจียวให้กลายหลายวิธี |
ก็ไม่หนีเนื้อไก่โคกระบือ |
อันผักหญ้าหาแกมไม่มีเชื้อ |
ถึงจะเบื่อเชิงกับต้องนับถือ |
แต่ไม่เหมือนบ้านเมืองที่เลืองฦๅ |
เขาขึ้นชื่อของกินแผ่นดินไทย |
อันตัวเราก็มาในข้าหลวง |
เปนกระทรวงฝ่ายสยามตามวิไสย |
ฝรั่งเศสเขารับกำกับไป |
ตามทางไมตรีกรุงบำรุงการ |
มีเงินทองสารพัดจัดสำหรับ |
ให้ซื้อกับผักปลาแลอาหาร |
แต่หาซื้อไม่มีทกันดาร |
ด้วยชาวบ้านยังพลัดกระจัดกระจาย ฯ |
๏ อันเมืองนี้เขาฦๅชื่อกระฉ่อน |
เปนนครคบโจรคนทั้งหลาย |
คือท้าวไลใจชั่วเปนตัวนาย |
เขย่งกายคุมฮ่อทรชน |
ล้วนพวกหลียงฟูหางหนูสั้น |
ที่แตกดั้นเซซัดด้วยขัดสน |
จึ่งคบกันทำศักดาจลาจล |
นึกว่าตนเต็มอำนาจอาจณรงค์ |
มีทหารเดนตายทำกายก้อ |
ล้วนแต่ฮ่อสิ้นคิดหมดพิษสง |
เหิมกำลังตั้งใหญ่อยู่ในดง |
จิตรทนงแขงขาว่าตำบล |
จะตั้งตัวเปนองค์หลงด้วยโลภ |
ใจละโมภโมหะอกุศล |
เหมือนเอากลิ่นเสือปลามาทาตน |
ชุมนุมพลจิตรพาลสันดานเมา |
ไม่อ่อนน่อมยอมเดชประเทศไหน |
ครองเมืองไลนั่งถ่านอยู่ชานเขา |
ทั้งบ้านเรือนเหมือนวางไว้กลางเตา |
ยังโฉดเขลาอวดอำนาจทำอาจองค์ |
เหมือนแมลงป่องพิษสว่างที่หางน้อย |
ชูจะงอยกั้นกางเปนหางหงส์ |
จะยุทธนาวาสุกรีอันมีพงศ |
ยังทนงไม่รู้สึกสำนึกตาย |
เที่ยวเบียดเบียฬไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ |
ข้าพระบาทชนบทร่วมกฎหมาย |
เมื่อเคราะห์ดีผียังประทังกาย |
ถ้าเคราะห์ร้ายแล้วต้องรู้ว่ากูพาล |
แต่เจ้าเมืองฟองโทไม่โอหัง |
เปนเหมือนดังญาตมิตร์ก็คิดผลาญ |
เพราะอาเภทวิปริตผิดสันดาน |
จึ่งทำการแตกหลักสามัคคี |
ราษฎรที่อาไศรยตามชายป่า |
เที่ยวกวาดมาเปนกำลังยังแต่ผี |
ถ้าขัดแขงดึงดื้อจะถือดี |
ก็ฆ่าตีเติมซ้ำทำประจาน |
เดี๋ยวนี้เข็ดฤทธิ์ไทยใจระย่อ |
ด้วยสร้างต่อมาไม่ครือมือทหาร |
จนเหมือนเสือที่ขังหมดรังควาน |
ยังแต่ร่านกินไก่ในกระทอ |
จะหนีเข้าตังเกี๋ยก็เสียหัว |
ด้วยความกลัวฝรั่งที่ชังฮ่อ |
เขาเปนผู้ป้องกันฟันหลักตอ |
ไม่ให้ก่อกองผู้ร้ายข้างปลายแดน |
โอ้ท้าวไลไทยเหนือเปนเชื้อเหมือง |
มันเข้าเรื่องนิ้วไร้แต่ได้แหวน |
มีเขตรขัณฑ์จันตคามอยู่ตามแกน |
ต้องโลดแล่นซ่อนเร้นไม่เห็นตัว |
เพราะล่าทัพเปอร์โนฝรั่งเศส |
จึ่งละเขตรหนีเสียทั้งเมียผัว |
เก็บเข้าของอพยพครบทุกครัว |
ด้วยความกลัวตกใจทิ้งไลเจา |
ทั้งบ้านช่องยุ้งฉางกับรางหมู |
ไม่ให้อยู่เปนของใครเอาไฟเผา |
จนไหม้โทรมทั้งบุรีเปนขี้เทา |
เหมือนกลางเตาหมดสิ้นแผ่นดินเกรียม |
ประเดี๋ยวนี้ฝรั่งเข้าตั้งมั่น |
ทำค่ายกั้นเก็บกากถากด้วยเสียม |
ทั้งสูงราบปราบที่ดีกว่าเทียม |
ช่างเตียนเรี่ยมกว่าเก่าของท้าวไล |
ปลูกโรงแปลกแฝกหญ้าสิบห้าหลัง |
ทหารนั่งยามยืนปืนไสว |
อยู่ป้องกันเมืองเสือที่เหลือไฟ |
บำรุงได้ตามชอบเปนขอบคัน |
มีทหารญวนฝรั่งอยู่สามร้อย |
ประจำคอยรับตรวจกันกวดขัน |
ไม่ไว้ใจเจ้าของคอยป้องกัน |
กลัวฮ่อมันสมทบมารบกวน |
อันบ้านของท้าวไลที่ใจแขง |
มีกำแพงเท่าจังหวัดขนัดสวน |
ฝรั่งปลูกโรงใหญ่ไว้จำนวน |
คือของควรเปนลำเลียงสเบียงกรัง |
ซุ้มประตูหน้าบันนั้นจารึก |
เปนตัวหมึกปฤศนาข้างหน้าหลัง |
ว่าท้าวไลใจบุญกรุณณัง |
เปนผู้รั้งครองนครอักษรญวน |
คิดก็แสนเวทนามาไม่พบ |
เขาว่าหลบเลื่อมเหเข้าเสฉวน |
มีแต่ชื่อเฝ้าประตุดูไม่ควร |
หมดเพลงทวนฤทธิ์เดชเข็ดจนตาย |
ถ้าแม้นไปนอบน้อมพระจอมราช |
พึ่งอำนาจกรุงสยามตามกฎหมาย |
เสียเมื่อครั้งรู้ตัวอย่ากลัวอาย |
คงสบายรุ่งเรืองสืบเมืองไล |
ไม่ต้องเปนของเขาชาวตังเกี๋ย |
ทางได้เสียควรคิดวินิจฉัย |
ฝรั่งครองตองกินกับดินไทย |
เปนเมืองไมตรีกันเหมือนพันธุ์พงศ |
เมื่อเห็นผิดแล้วไม่คิดหาที่ชอบ |
ใครจะปลอบวอนกามาเปนหงส์ |
จนแผ่นดินไม่มีอยู่ลู่เข้าดง |
ไม่มั่นคงเหมือนบุรีหลียงฟู |
แต่พรรคพวกยังกระเจิงเหลิงอำนาจ |
เหมือนปิศาจสำหรับไพรไว้หางหนู |
เที่ยวปล้นหาบคอนกินสิ้นประตู |
เปนศัตรูของฝรั่งจิรังกาล |
ต้องออกตรวจตามป่าโดยสาเหตุ |
ฝรั่งเศสพบขุมหลุมเข้าสาร |
ที่ฝังไว้แห่งหนึ่งสักครึ่งลาน |
เลี้ยงทหารกินจบได้ครบปี |
ด้วยตั้งค่ายสวมเมืองเข้าเครื่องอด |
แต่ว่ายศแลอำนาจดังราชสีห์ |
ถ้าแม้นไม่ส่งสเบียงเลี้ยงชีวี |
สักครึ่งปีขนมปังหมดคลังตาย |
อันทางนี้ไม่เห็นจะเปนผล |
ใครจะทนบากหน้ามาค้าขาย |
ในแม่น้ำก็เปนหินล้วนดินทราย |
ถึงเรือพายก็ต้องเข็นเอ็นขึ้นเกลียว |
เหตุฉนี้จึ่งกันดารอาหารนัก |
ไม่มีหลักแน่แท้จะแลเหลียว |
พวกทหารต้องหายามาเยียว |
จึ่งออกเที่ยวยิงควายไม่วายวัน |
อันเมืองไลไชยภูมิ์ดูผึ่งผาย |
เข้าที่ค่ายท่ารบดูขบขัน |
ยาวแปดเส้นเปนสง่าน่ารำพรรณ |
แต่กว้างนั้นสี่เส้นแลเปนแนว |
ที่หลังเมืองมีเขาเอาทำป้อม |
ปักไม้ล้อมเปนกระบังข้างละแถว |
เหมือนขากบโอบบุรีไม่วี่แวว |
บนเขาแพ้วยกธงว่าคงครอง |
ที่พื้นเมืองเปนเนินแนวตลิ่ง |
แลดูวิงเวียนตาน่าสยอง |
ทั้งขึ้นลงคงหอบสอบเหมือนซอง |
แล้วมีกองหินหาดลาดลงไป |
อันน้ำแท้ซองนาอยู่ขวาซ้าย |
เรือแจวพายมองเขม้นก็เห็นใกล้ |
เปนรางลงบรรจบทบน้ำไล |
แล้วเลยไหลรวมสามตกน้ำดำ |
ทั้งสี่แยกอยู่หน้าภารานี้ |
ตรงคิรีภูมิ์ฐานเปนด่านขำ |
กับวิถีมาแถงแขวงเชียงคำ |
รวมประจำอยู่หน้าทั้งห้าทาง |
แม้นไพรีมีมาทั้งน้ำบก |
ไม่อาจยกเข้าประชิดด้วยกีดขวาง |
เพราะป้อมเขาหลังบุรีมีกั้นกาง |
ยิงเล่นต่างฝูงเนื้อไม่เหลือคืน |
แม้นท้าวไลกัดฟันป้องกันถิ่น |
คงเต็มกินข้าศึกไม่คึกขืน |
คนละทียิงถูกด้วยลูกปืน |
ล้มทั้งยืนเหมือนกันอันตราย |
แต่จิตรใจใช่ทหารสันดานขลาด |
ออกขยาดทั้งเรื่องเครื่องฉิบหาย |
เพราะเสียด่านหลายตำบลผู้คนตาย |
หมดแยบคายสิ้นปัญญาเข้าตาจน |
อันเมืองนี้ที่สถิตอยู่กลางย่าน |
ตั้งอยู่ด้านตวันตกยกถนน |
เดินลงมาหลวงพระบางทางตำบล |
ภูวดลเรียบงามสิบสามวัน |
ได้ทราบว่าเมืองแถงแขวงสยาม |
จันตคามทั้งประเทศทั่วเขตรขัณฑ์ |
ไม่มีคนรนรุดมุดอรัญ |
ตกใจกันชุนละมุนออกวุ่นวาย |
อันพวกไทยกับฝรั่งต้องยั้งยับ |
จะเดินทัพต่อไปก็ใจหาย |
ด้วยขัดขวางทางสเบียงจะเลี้ยงกาย |
กินขยายเย็นเช้าทั้งเข้าปลา |
พวกกุลีมีกำลังเสมอมด |
แต่ว่าอดเกือบตายคล้ายสวา |
พาชีมีแต่โครงดูโปร่งตา |
ชั้นแต่หญ้าก็กันดารในบ้านเมือง ฯ |
๏ ฝ่ายข้าหลวงกรุงไทยมไหศูรย์ |
รุกขมูลหยุดสำนักดูพักตร์เหลือง |
ยิ่งตรึกตรองก็กันดารเปนการเปลือง |
แต่ว่าเรื่องไข้เจ็บไม่เหน็บแนม |
ด้วยเดชะมนุชาธิเบนทร์ราช |
ทรงประสาทดับร้อนอวยพรแถม |
กับอุส่าห์สาภิมตสกดแกม |
น้ำใจแจ่มจบหัดถ์มัสการ |
จึ่งได้ปลอดรอดบ่วงห่วงพยาธิ์ |
แห่งข้าบาทมุลิกามหาศาล |
สุขสบายทั่วกันทุกวันวาร |
แสนสำราญสบไถงอยู่ไลเจา |
สิบสองวันเตรียมกันที่จะกลับ |
เซนเยมกับกุลีทหารเดินชานเขา |
แต่พวกไทยข้าหลวงกระทรวงเรา |
ตามใจเขาผู้ส่งให้ลงเรือ |
มาตามน้ำซองนามะหาห้วย |
มีคนช่วยถ่อพายเปนไทยเหนือ |
ทั้งแก่งกองหินผาเหมือนนาเกลือ |
มันมีเพรื่อไปทุกคุ้งยุ่งกับเรา |
ต้องเดินหาดแต่เรือไทยเหนือเข็น |
ด้วยลึกเปนตอนๆดอนภูเขา |
แล้วมีเชือกกะรั้งยังตะเภา |
ขึ้นลงเท้าไม่ทันแห้งแก่งซองนา |
เห็นชนีห้อยไม้อยู่ชายเขา |
มีลูกเต้าโลดเลี้ยวเหนี่ยวพฤกษา |
มองลูกไม้หิ้วโหนโยนกายา |
ดูหน้าตาช่างละม้ายคล้ายกับคน |
แต่กำเนิดนั้นเกิดด้วยหญิงชั่ว |
จึ่งมีตัวตั้งสัตว์ปัฏิสนธิ์ |
เดิมเปนนางโมราเข้าตาจน |
ถูกเวทมนต์สาบพักตร์มัฆวาน |
เพราะนอกใจแล้วมิหนำซ้ำฆ่าผัว |
ชื่อจึ่งชั่วติดมาอาวสาน |
ก็สมกับที่จริงเปนหญิงพาล |
ต้องทรมานหมดญาติชาติชะนี |
เสียงไก่ป่าท้าขันอยู่เจื้อยแจ้ว |
วังเวงแว่วหวาดใจในวิถี |
ทั้งเรไรหริ่งร้องก้องคิรี |
ดูเปนที่หวาดหวามตามอรัญ |
เห็นน้ำพุพุ่งขาวยาวเปนสาย |
ฟองกระจายดูเล่นก็เห็นขัน |
ยิ่งฟังไปให้ฉงนมักขนชัน |
เสียงสนั่นในคิรีดังมีคน |
ได้ยินเหมือนขานยาวฤๅเป่าสังข์ |
ยิ่งเงี่ยฟังเย็นจิตรคิดฉงน |
แม้นน้องแก้วกัลยาได้มายล |
จะหวาดตนตัวสั่นรัดบั้นเอว |
ด้วยเปนคนขวัญอ่อนนอนสดุ้ง |
มาเห็นคุ้งเขาง้ำเปนถ้ำเหว |
จะต้องปลอบร่ำไปมิใช่เลว |
คิดถึงเอวอ่อนขรัญรำพรรณพลาง |
จนมาถึงบักตันสามวันถ้วน |
แล้วเดินด่วนรีบรัดไม่ขัดขวาง |
พร้อมกุลีมีทหารที่ชาญทาง |
กับขุนนางเซนเยมก็เปรมปรีดิ์ |
อิกสองวันบัลลุฟองโทสถาน |
แสนสำราญรีบจริงเหมือนวิ่งจี๋ |
แต่ต้องพักรอคอยคอนวอยมี |
ทหารที่ไปเปนทัพรับสเบียง |
ครั้นถึงวันกำหนดบทฝรั่ง |
ก็พร้อมพรั่งอัดแอออกแซ่เสียง |
พอรุ่งออกจากค่ายเดินรายเรียง |
ก็พร้อมเพรียงทั้งกุลีมันดีใจ |
ด้วยจะกลับฮานอยคอยแต่ถาม |
มันทราบความนับเวลาดูหน้าใส |
เพราะคิดถึงว่านเครือเหลือบรรไลย |
ที่เจ็บไข้เดินตามกันหลามมา ฯ |
๏ ถึงลาวกายนับได้เจ็ดวันครบ |
ไม่เมื่อยขบทั่วกันก็หรรษา |
คอมมันดันจัดให้ไปนาวา |
ล่องลงมาตามลำแม่น้ำแดง |
แต่เซนเยมบริภุญช์กับคุณพระ |
ลงเรือฉลอมต่อคนถ่อแข็ง |
ฮอศกิ๊ดติดประทุนที่หมุนแรง |
เขาทำแผลงสำหรับใช้ที่ในชล |
อันพวกเราสี่นายไปลำหนึ่ง |
ทั้งเรือตึ่งรั่วร้ำเหมือนน้ำฝน |
มีญวนแจวถ่อพายก็หลายคน |
แต่เหลือทนคับแคบดูแทบตาย |
ทั้งกุลีโดยสานทหารด้วย |
คนเจ็บป่วยลงมายัดอึดอัดหลาย |
จะนั่งนอนงอนหง่อต้องห่อกาย |
ดูคล้ายๆหีบมัจฉาปลาซดิน |
เรือที่มาห้าลำมิใช่น้อย |
รวมกว่าร้อยคนนอนเหมือนก้อนหิน |
เวลาหนึ่งหยุดหาอาหารกิน |
พอเสร็จสิ้นเขาไล่ไถ่กุลี |
เพราะพาหนักมักเรือจะติดหาด |
วิ่งเกลื่อนกลาดน่าสังเวชเหมือนเปรตผี |
เที่ยวลุยน้ำเพียงคอขอไปที |
ดูสักสี่สิบคนอลมาน |
วิ่งร้องไห้ตะกายเรือเหลือลำบาก |
โอ้คนยากอนาถาน่าสงสาร |
เขาถีบทุบเตะต่อยดอยจนอาน |
ไม่อาจคลานขึ้นมาหน้าตาโน |
ต้องขึ้นเดินบนตลิ่งวิ่งเหมือนเนื้อ |
พวกในเรือด่าแต่แต๊วแม่โบ๋ |
เปนนิไสยคนญวนชวนแต่โว |
ไม่พุทโธซ้ำกันตะบันไป |
จนสี่วันถึงบาวาเวลาเที่ยง |
ขึ้นพักเพียงผ่อนเวลาพออาไศรย |
ขึ้นนอนบนศาลเจ้าของท้าวไทย |
ทั้งความไข้ประจุบันนั้นก็มี |
คืนวันหนึ่งไก่สำหรับทำกับเข้า |
หมายว่าเช้าจะได้ฆ่าทำกะหรี่ |
ผูกไว้หน้าศาลดูว่าอยู่ดี |
บังเอินมีเสือกากลากไปกิน |
นิจาเอ๋ยเทพาสุราฤทธิ์ |
ช่างไม่คิดอดสูผู้มีศิล |
เมื่อนอนก็ขออาไศรยใจทมิฬ |
ให้เสือกินไก่ได้น้ำใจคอ |
จำเพาะมีตัวเดียวเจียวนะเจ้า |
เปนกับเข้าชั้นกระดูกก็ถูกสอ |
ได้รอดที่ฝรั่งสั่งกอนบอ |
มาให้พอคำณวนควรเรียกโค |
เครื่องกะป๋องของเซนเยมที่เอมโอช |
เขาก็โปรดขากลับรับให้โข |
พอได้ทุ่นทำกินค่อยภิญโญ |
ไม่อดโซทุกตำบลเหมือนคนญวน |
เวลานั้นพอกุลีที่เขาไล่ |
เดินมาได้ถึงพร้อมยอมเข้าส่วน |
เซนเยมเกณฑ์ตัดไม้กับหวายพวน |
ได้ครบถ้วนทั้งถ่อจึ่งต่อแพ |
ด้วยเรือของลาวกายเขาไม่ส่ง |
ตามจะลงอะไรไปในกระแส |
พวกเราต้องเยียดยัดอยู่อัดแอ |
เปนไก๊แบ้อย่างดีมีหลังคา |
พวกญวนร้องโต๊ดล้ำคือทำสวย |
ก็แล้วด้วยขุนปราบทราบภาษา |
เซนเยมเขาแพหนึ่งถึงเวลา |
ก็ล่องมากับคุณพระไม่ปะปน |
ทั้งสองแพใช้กุลีมีทหาร |
พยาบาลตามฝรั่งสั่งนุสนธิ์ |
แต่พวกเราได้อานามมาสามคน |
เปนกังวลถ่อส่งพวกองค์กวาน |
ระยะนี้มีแก่งล้วนแท่งหิน |
ลำบากสิ้นสุดปัญญาอาวสาน |
ทั้งน้ำไหลกระทบหินก้อนดินดาล |
ดังสะท้านสะเทื้อนอกน่าตกใจ |
แพก็ลอยล่องลิ่วดูหวิวหวาด |
น้ำก็ปราดเหมือนกระฉอกออกจากไห |
กุลีที่ถ่อแพไก๊แบ้ไป |
มันก็ไม่มีแรงเหมือนแกล้งเรา |
เปนคนญวนไม่เคยเลยแจวถ่อ |
มือตีนงอจังงังไปทั้งเถา |
ให้หลีกแก่งบอกทางพลางว่าเมา |
ที่ญวนเขาว่าไวไวมันไม่แจว |
แทบจะเกือบฉิบหายเสียหลายหน |
หลีกตำบลแก่งลิ่วเปนทิวแถว |
ต้องทุบถองกันมาตาบ้องแบว |
ถ้าโดนแล้วเหลือตัวน่ากลัวตาย |
จึ่งประชุมกุมปันนีทั้งสี่อิก |
ว่าเองหลีกเขาไม่คบเดี๋ยวตบหงาย |
ทั้งหีบปัดของข้ามามากมาย |
ถ้าฉิบหายลงด้วยเจ้าเอากับใคร |
หลวงคำณวนเปนกัปตันช่วยกันเต้น |
คอยเขม้นคุ้งน้ำตามวิไสย |
ที่สองหนุนขุนปราบชลไชย |
เปนผู้ใหญ่ดูร่องมองชลา |
แต่ตัวเราเปนสรั่งเพียงหยั่งน้ำ |
เอาถ่อจ้ำหน้าแดงทุกแก่งผา |
นายบรรหารสานแจวประจำมา |
เรียกว่าการ์เปนเตอบำเรอแพ |
ถ้าถูกแก่งสำคัญพร้อมกันหมด |
ต้องถอดยศจับถ่อเสียงหวอแหว |
กว่าจะพ้นได้ฤๅมือตีนแบ |
ดูเต็มแย่กุมปันนีทั้งสี่นาย ฯ |
๏ ถึงด่านลำเข้าจอดแล้วทอดเชือก |
ขึ้นหยุดเลือกคนชำนาญให้ผันผาย |
ด้วยมีแก่งสำคัญอันตราย |
เขากลัวตายทั้งลำแม่น้ำแดง |
ได้แพละสองคนรู้หนหิน |
เคยหากินอยู่ที่นั่นแล้วขันแข็ง |
มันนำลอยล่องดีมิเสียแรง |
เมื่อหลีกแก่งเกือบไปใจตลึง |
ทั้งแพเต้นเอ็นขาดเสียงกราดเกรี้ยว |
เหมือนปากเคี้ยวลูกบัวฤๅถั่วถึง |
น่าเสียวไส้ใจคอถ่อตะบึง |
เสียงปังปึงน้ำกระแทกแทบแตกจม |
พอพ้นแก่งนี้ไปค่อยใจชื่น |
พบที่อื่นยังระอามาก็ถม |
แต่ไม่เท่าคุ้งนี้เขานิยม |
มีนามสมญาแปลกเรียกแถกคอย |
ถ้าพวกญวนขึ้นล่องต้องปลูกศาล |
มัสการกราบไหว้น้ำใจจ๋อย |
ขึ้นบวงสรวงทุกลำขอตามรอย |
ชาวฮานอยนับถือเลื่องฦๅกัน |
ได้รอดมาสาธุลุแก่ลาภ |
เดชะภาพที่ได้ร่ำธรรมขันธ์ |
ด้วยจิตรเราเคารพอภิวันท์ |
ความกตัญญูด้วยช่วยประทัง |
พวกกุลีมันก็มาภาษายาก |
ทำแพพากเพียรพายเปนหลายหลัง |
ล่องตามกันเปนจังหวะสิ้นระวัง |
ได้นอนนั่งหายเหนื่อยเรื่อยลงมา |
เห็นนาคว่ายในน้ำแล้วดำผุด |
เที่ยวแหวกมุดเวียนวนพ้นมัจฉา |
ยิ่งคิดถึงสร้อยสุวรรณกัลยา |
ทำเหมือนปลาลอยว่ายคงตายวัน |
แม้นมีผู้จู่จงประสงคน้อง |
มาด้อมมองเวียนจับเข้ารับขวัญ |
เห็นไม่พ้นจนปัญญาเข้าตาตัน |
ยิ่งรำพรรณก็ยิ่งไห้อาไลยวน |
น้อยฤๅนาคน้ำไพรมาได้เห็น |
อยากจะเค้นคอฆ่าให้ตาถลน |
ด้วยก่อเกิดปัจจัยที่ได้ยล |
เปนสัตว์ต้นหวนระแวงแสลงตา |
คิดก็แสนแค้นใจอาไลยหวง |
ถึงดอกดวงประทุมถันของฉันหนา |
เหมือนพิกุลอุ่นใจเมื่อไสยา |
ชื่นนาสาหวนหอมถนอมดม |
ถึงจำปาสารภียี่สุ่นซ้อน |
กลิ่นขจรฟุ้งซ่านใส่พานถม |
ยังหาทันจับบีบกลีบระบม |
ไม่อบรมเหมือนพิกุลอดุลย์ดวง |
ได้นอนแพหนักอกหกวันเศษ |
ก็สิ้นเขตรความระอาของข้าหลวง |
ถึงทันควันด่านใหญ่สบายทรวง |
ทั้งแพพ่วงได้มานาวาญวน |
ต้องขนของเทถ่ายกันไม่หยุด |
อุตลุดเหมือนแม่ค้ามาแต่สวน |
กว่าจะเสร็จจนพลบครบจำนวน |
ตั้งกระบวรถ่อแจวเปนแถวมา ฯ |
๏ คืนหนึ่งถึงคำเข้ทำเลพัก |
ก็พร้อมพรักหยุดยั้งที่ฝั่งฝา |
แต่เปนบุญที่จะทุ่นมรคา |
เห็นนาวาบรรทุกของกองสเบียง |
ใช้จักรจี๋มีฝรั่งนั่งเขม้น |
เซนเยมเห็นลุกยืนขึ้นส่งเสียง |
ขอโดยสานอาไศรยกลับไปเวียง |
กัปตันเอียงหูมองร้องว่าวี |
แปลว่าเออขากลับจะรับได้ |
จงเตรียมไว้แต่เช้าเราไม่หนี |
ว่าเท่านั้นเรือไกลไปทุกที |
รุ่งราตรีกลับมาทอดจอดเหมือนนัด |
พากันลงกำปั่นพร้อมกันหมด |
ค่อยเต็มยศอโขโตถนัด |
สิ้นตอนแพนาวาสารพัด |
ไม่เยียดยัดเปนสุขสนุกสบาย |
เจ้ากุลีที่นอนบนตลิ่ง |
พากันวิ่งออกไขว่เหมือนใจหมาย |
ที่เจ็บป่วยช่วยพยุงจูงกันดาย |
เพราะจวนสายกำปั่นไม่ทันรอ |
ที่ล้มลงตรงตลิ่งนิ่งดับจิตร |
เหมือนกับพิษอสุนีมาตีสอ |
ไม่ทันดิ้นสิ้นแรงตะแคงคอ |
ต้องตายงอคนดูเปนหมู่มุง |
เรือกลไฟใช้จักรไม่พักรับ |
ที่นั่งสับเงาวิตกตบอกผลุง |
ที่ผ้าผ่อนไม่มีพันพอกันยุง |
นั่งลูบพุงพูดไม่ออกลงกลอกตา |
แสนสงสารคนไข้กระไรเอ๋ย |
เชื้อชะเลยข้องขัดสหัสสา |
ลงไม่ทันเรือไฟเขาไคลคลา |
อนิจจาไม่มีที่พุทโธ |
ถึงคนญวนร่วมแซ่ไม่แลเหลียว |
ถือคนเดียวเอกเทศวิเศษโส |
ตัวของใครก็รักษาเวลาโซ |
ที่จะโอ้โลมกันนั้นไม่มี |
เปนเหตุให้ส่อชาติวาสนา |
ดวงชะตาไม่บำรุงซึ่งกรุงศรี |
บังเอิญต้องแตกหลักสามัคคี |
แดนบุรีตังเกี๋ยเสียนคร |
กุลีที่เอาไปนั้นแปดสิบ |
เปนผีดิบตายกลิ้งตามสิงขร |
กับหนีลัดตัดทางที่กลางดอน |
ได้กลับจรสี่สิบพอดิบดี ฯ |
๏ ครั้นสองทุ่มถึงฮานอยพลอยเปนสุข |
สบายทุกทั่วหน้าเปนราษี |
ต้องรอพักขี้นอยู่บนบุรี |
กว่าจะมีเรือไฟไปไฮฟอง |
เวลานั้นเกาวนาให้ค่ากับ |
เงินสำหรับเบี้ยเลี้ยงไปเสี่ยงของ |
วันละสามเหรียญดีได้มีครอง |
ซื้อผักดองหมูไก่จ่ายมาทำ |
แต่คุณพระไปโฮเตลอยู่เปนนิจ |
ให้สถิตย์ตามเคยเลยถลำ |
สุขสบายทั่วกันวันประจำ |
มีเข้าน้ำพ่อครัวเปนตัวตน |
แต่เงินจ่ายอ้ายเบ๊บไปคอยรับ |
มาซื้อกับสารพัดไม่ขัดสน |
พอรุ่งขึ้นจะมาเข้าตาจน |
อ้ายเบ๊บบ่นว่าทรัพย์รับมาแดง |
ดีสองเหรียญซื้อได้จ่ายแต่น้อย |
แล้วไปคอยขอเปลี่ยนเวียนแสวง |
กลับมาบอกว่ารำคาญป่วยการแรง |
เขาว่าแดงไม่มีเปลี่ยนอย่าเวียนมา |
แต่ตัวเราไม่เชื่อเผื่ออ้ายเบ๊บ |
ฤๅมันเก็บสับเล่นเปนมุสา |
ด้วยคนญวนไม่หยอกออกระอา |
มีปัญญาโกงมะโรงชื่อโด่งดัง |
ครั้นรุ่งเช้าลงเมล์เอ้เต้กลับ |
ทอดประทับไฮฟองขึ้นครองหลัง |
โฮเตลใหญ่ใหม่ดีที่ประทัง |
ไปกินกวังตุ้งแยกแปลกกระบวร |
แต่พากันจามไอไปทั้งสิ้น |
ด้วยแผ่นดินร้อนวู่ฤดูหวน |
ทั้งน้ำเค็มเต็มกร่อยไม่ค่อยควร |
ยิ่งเรรวนทุกเวลาหน้าตาตึง |
แต่ตัวเราขุนปราบต้องจับไข้ |
แทบบรรไลยหนาวร้อนลงนอนขึง |
ครางจนก้องโฮเตลเช้าเย็นอึง |
แต่ไม่ถึงอสัญสองวันคลาย |
ท่านขุนปราบนั้นยังกำลังจับ |
นอนไม่หลับกริ่มกริ่งสวิงสวาย |
หลวงคำณวนก็จวนจะถึงตาย |
แต่ท่านหายก่อนหน้าเพราะยาไทย |
พวกฝรั่งโฮเตลเปนโมโห |
ลุกโยงโย่รากก้องจนท้องไหว |
ด้วยผิดน้ำทำท้องร้องเอาใคร |
ต้องอยู่ไปทุกเวลารักษากัน |
พอรุ่งขึ้นลงเรือเมล์ทเลใหญ่ |
อาการไข้ท่านขุนเปนบุญขัน |
มีเรี่ยวแรงดีเหลือลงเรือพลัน |
ออกกำปั่นไฮฟองมาฮ่องกง |
ทั้งคลื่นลมไม่พัดสงัดเงียบ |
กำปั่นเลียบเกาะไหหลำตามประสงค์ |
กับหน้าเมืองกวางตุ้งเปนคุ้งวง |
น้ำขึ้นลงไม่รู้แล่นลู่มา ฯ |
๏ สองวันครึ่งถึงละเมาะเกาะเฮียงกั๋ง |
เปนของอังกฤษอนงค์คงรักษา |
เห็นตึกรามตามเขาไม่เปล่าตา |
เหมือนไปทาดินสอพองมองออกพราว |
ถึงเช่นนั้นก็ยังเหลือเนื้อไศล |
ด้วยโตใหญ่สูงเยี่ยมขึ้นเทียมหาว |
เหมือนลูกคลื่นในสมุทดูสุดยาว |
เปนภู่ขาวโล้นเลี่ยนช่างเตียนดี |
แต่ตึกอยู่ดูเลาะสะเดาะเขา |
ฉะเวิกเว้าแหว่งว่างสร้างวิถี |
ตั้งเลียบหลามทำอยู่เปนบุรี |
เขามั่งมีความคิดอังกฤษเจน |
ริมตลิ่งเซาะกรีดเหมือนมีดฝาน |
ล้วนหินดาลดูแดงดังแสงเสน |
ก่อกำชับเพิ่มพูลปูนสิเมน |
เหมือนทำเล่นเหลือสบายทลายลง |
มีหนทางตลอดถึงยอดเขา |
ก่อตึกเฝ้านั่งยามตามประสงค์ |
เปนทีป้อมตั้งหลักปักเสาธง |
คนขึ้นลงเห็นวิ่งเท่าลิงไพร |
ที่พื้นเมืองชานบุรีมีแต่เจ๊ก |
รูปร่างเล็กน่าเกลียดเบียดไม่ไหว |
ทั้งเจ๊สัวตัวกุลีที่มาไป |
เดินออกไขว่เหมือนมดได้รสตาล |
แต่เรือจ้างขึ้นล่องสองพันกว่า |
แจวออกซ่าเหมือนจะปล้นคนโดยสาน |
กับเรือใหญ่ใบแขงพอแรงการ |
รับทำงานบรรทุกของลงท้องเมล์ |
สังเกตเสาราวกับต้นหมากสวน |
แลเปนพรวนแล่นจอดบ้างทอดเป๋ |
น่าจะโดนกันล่มจมทเล |
เสียงโว้เว้ชักใบขึ้นใส่เรียว |
ทั้งเรือจ้างประจำกำปั่นเล็ก |
ล้วนแต่เจ๊กเต็มเรือห่มเสื้อเขียว |
เปนหลายสิบแล่นลอยที่คอยเทียว |
ถึงคนเดียวก็ส่งคงเอาเซ็น |
เรือทเลเมริกันนั้นสี่เสา |
ระวางเปล่าสองปล่องที่มองเห็น |
กับเรือเมล์ที่ทอดจอดกระเด็น |
ได้นับเล่นสามสิบออกลิบตา |
อีกฝั่งหนึ่งพึ่งวางสร้างลงใหม่ |
เปนบ้านใหญ่ปึกแผ่นดูแน่นหนา |
เที่ยวทลายเขาเล่นเปนศิลา |
ตามปัญญาคนอังกฤษที่คิดตรอง |
อันอ่าวนี้รูปร่างเหมือนอ่างใหญ่ |
ทางชะไลชะลุมาเปนผ่าสอง |
แต่ดูเปนฝั่งตันขันจริงมอง |
ที่แท้ช่องออกทเลเปนเหโล |
ว่าที่สองค้าขายเมืองในโลก |
ของชาวโอฆประเทศวิเศษโส |
เปนท่ารับทรัพย์สินค่อยภิญโญ |
ยิ่งสุโขบริบูรณ์พูลทวี |
เขาว่าแต่ก่อนนี้ไม่มีบ้าน |
เปนถิ่นฐานพวกสลัดมันซัดหนี |
แล้วอังกฤษคิดอยู่เปนบุรี |
ห้าสิบปีได้ผดุงเอารุ่งเรือง ฯ |
๏ ฝ่ายพวกเราคราวเรือประทับจอด |
ขึ้นพักทอดตึกสง่ามีฝาเฝือง |
อยู่โฮเตลนามพระนางสำอางเมือง |
สมญาเนื่องเข้าอิกวิกตอเรีย |
แถวถนนกวินซลิศสนิทเนตร |
กว่าประเทศข้างหลังเมืองตังเกี๋ย |
ทั้งหอห้างใหญ่ดีมีอาเฮีย |
นั่งคลอเคลียเชิญซื้อว่าลื้อไทย |
สารพัดที่จะมีดีๆเหลือ |
ล้วนพวกเสือกินทรัพย์นับไม่ไหว |
เราก็นุ่งกุงเกงไม่เกรงใคร |
เอาทำไมเจ๊กมาร้องว่าเซียม |
ชาวเมืองพูดอังกฤษสนิทหมด |
ไม่เปนรสก็แต่เราให้เขาเสียม |
ต้องบอกว่าลิเติลมาเดินเทียม |
มักซักเลียมลองมาเราว่าโน |
จะซื้ออะไรไปบ้างก็ทั้งยาก |
ต้องพึ่งปากขุนปราบจึ่งทราบโข |
แกพูดได้หลายภาษาไม่ว่าโว |
วิเศษโสเกินล่ามธรรมดา |
ฝรั่งเศสเยอรมันดันอังกฤษ |
ถ้าพูดติดกลับมาจีนชินภาษา |
ได้ชวนกันเที่ยวเล่นเปนเวลา |
ตามอัชฌาพอสะดวกเปนพวกกัน |
มีห้างขายเกือกร่มพรมไม้เท้า |
หนังกระเป๋าปืนพกกระจกหัน |
หมึกปากกามีดซองกล้องอำพัน |
แปรงถูฟันแว่นหนีบหีบหนอยนอย |
ถาดกาไหล่ลูกบิดขอติดฝา |
นาฬิกาเดินกรุ่มลูกตุ้มหยอย |
ปัสตันน้ำมันแก๊สแคสออย |
ทั้งโคมห้อยหิ้วระย้าอาละมัง |
เหล็กสกรูตะปูห่วงควงไขขวด |
เครื่องสจ๊วดรถถีบกับหีบหนัง |
สมุดแผนแดนหลักนัครัง |
กระดาษครั่งเข็มทองเหลืองเครื่องกาแฟ |
ที่เสมียนเขียนอักษรกลอนบานพับ |
หนังสนับกันชีพบีบแปบแป๋ |
ปืนกาไหล่ไรเฟิลเอาเงินแร |
ขวดเครื่องแช่ปินโตหีบโซดา |
เล่าบ้าหรั่นเบียกะมุดจุดไฟติด |
นพณิตเครื่องกะป๋องครองมัจฉา |
ควงทองเหลืองเครื่องโซ่โยทะกา |
มนิลาเชือกรอกที่ก๊อกเท |
ฟิลเตอกรองน้ำที่ทำกุ๊ก |
สมุดบุ๊กแบบขายเปนลายเก๋ |
ประทัดฟุตวงเวียนเรียนคะเน |
แผนทเลมีสำหรับของกัปตัน |
เครื่องดับไฟไกเหน็บจักรเย็บผ้า |
ที่ล้างหน้าโต๊ะยกกระจกขัน |
มีสร้อยนาคทองกะไหล่สายสุวรรณ์ |
แกะอำพันปากนกวิหคไพร |
นาฬิกาล๊อกเก๊ดเพ็ชร์กระรัด |
จี้เข็มขัดแต่ละตัวดูหัวใส |
แหวนกุณฑลทองคำอิกกำไล |
มีเดือยในพราวตาราคาแพง |
สักหลาดผ้าพับสลับชื่อ |
กระดุมมือเชิดแลบใส่แอบแฝง |
ผ้าผูกคอเข็มสอยติดพลอยแดง |
ทั้งหวีแปรงขวดน้ำมันคันธรส |
ร้านจีนแสขายยาสารพัด |
เขาตั้งจัดใส่โถล้วนโอสถ |
บันไดทองเกาเหลาน่าเข้าซด |
ไม่สมยศคนโตต้องโฮเตล |
เก้าอี้หวายขายดีมีต่างๆ |
ทั้งโอ่งอ่างหีบอบให้กลบเหม็น |
ร้านขายตั๋วแลกทรัพย์รับเอาเซ็น |
ต้องจำเปนทอนทดลดราคา |
ที่ขายเครื่องยี่ปุ่นเปนตุ่นเต่า |
หีบมุกเขาลิ้นชักทั้งกลักฝา |
เรือตะเภาเสาแซะแกะด้วยงา |
ตุ๊กตารูปสัตว์พัชนี |
ของจุกจิกจิ้ดจ้อยที่ห้อยลาก |
มีทั้งฉากรูปเซงอีกเก๋งกี๋ |
ถ้วยคนโทชามอ่างล้วนอย่างดี |
ม่านมู่ลี่กรวยตะกร้ารูปปลาจาน |
ที่ขายนกคิรีบูรพ่อคุณเอ๋ย |
กระไรเลยเสียงเกรียวเหมือนเคี้ยวเข้าสาร |
กรงละร้อยสองร้อยห้อยเพดาน |
ทั้งหน้าร้านขายผ้าราคาเยาว์ |
นกจิ้งโคลงวาสนามาจองหอง |
ตัวละสองเหรียญงามได้ถามเขา |
ใส่กรงพูดคอพองร้องไม่เบา |
อยู่เมืองเรากินไส้เดือนเข้าเรือนซวย |
เหลือจะชมสมมุตหยุดเอาบ้าง |
เมื่อยลูกคางท่านผู้อ่านรำคาญขวย |
แต่คิดถึงนฤมลคนสำรวย |
แม้นมาด้วยก็จะดิ้นเหมือนกินรี |
หล่อนเปนคนอยากจ่ายจะได้สะ |
ถ้าพบปะชอบใจไม่ตระหนี่ |
ขี้คร้านเสียค่าส่งลงบาญชี |
เห็นของดีอยากได้มิใช่จน |
อารมณ์รักแก้วแหวนแสนสมบัติ |
เหลือจะขัดซื้อเจียดขี้เกียจขน |
แล้วชอบยอคอเค็มอยู่เต็มตน |
หล่อนเปนคนรักงามต้องตามใจ |
ถึงมาจริงคงจะนิ่งด้วยเราหน่วง |
ในการจ้วงซื้อหาอัชฌาไศรย |
ถ้าไม่คิดรักชื่อจะดื้อไป |
คงจะได้ความกระเดื่องต้องเคืองกัน ฯ |
๏ คืนวันหนึ่งเดินไปในวิถี |
เห็นผู้ดีรูปร่างเหมือนนางสวรรค์ |
อยู่บนตึกสูงลอยแช่มช้อยครัน |
ถึงสามชั้นร้องเชิญเกินผู้ดี |
นึกละอายนี่เขาขายอะไรหนอ |
ไม่เห็นห่อกล้วยซ่มขนมอี๋ |
ฤๅเกาเหลาเตาไฟก็ไม่มี |
นั่งเก้าอี้โคมสว่างหน้าต่างพับ |
เปนฝรั่งทั้งยี่ปุ่นดรุณภาพ |
เหมือนมีลาภห่อเข้ามาเคล้ากับ |
แต่ยั้งใจไม่ภาษาขัดตาทัพ |
พยักรับที่เขาเชิญแล้วเมินไป |
ช่างไม่หวงลูกเต้าเปนสาวแซ่ |
นี่พ่อแม่โฉมตรู่ไปอยู่ไหน |
มายินยอมพร้อมพรักสมัคไทย |
เห็นสดใสอยู่ที่เราจะเคล้าคลึง |
เมินเสียเถอะชาตินี้ไม่มีแล้ว |
กลัวน้องแก้วของข้าจะมาหึง |
เหมือนหงส์ทองล่องลมมาจมบึง |
ได้สลึงเสียบาทขาดจำนวน |
ไม่คิดอยู่ฮ่องกงคงจะกลับ |
ถึงจะรับอภิเษกเอกสงวน |
ให้อยู่ตึกสามชั้นกว่าขวัญญวน |
อย่ารัญจวนไปเลยน้องไม่ต้องการ |
รักษาสัตย์ตัดรักมาแต่ไหน |
เขาว่าไว้อดเปรี้ยวได้เคี้ยวหวาน |
เมื่อเคยพบปะบุรีที่กันดาร |
ยังไม่ร่านริออกไปนอกทาง |
ขนมปังหนังเหนียวเคี้ยวลำบาก |
ไม่ชอบปากชิวหาเหมือนปลาหาง |
รสเนยนมขมลิ้นยังกินจาง |
แสนสำอางแต่น้ำพริกทุกวิกวัน |
หัวอกใครจากเชยที่เคยพบ |
มันไม่ลบความคิดตรงจิตรฉัน |
แผลในอกฤๅจะยกมาเชิดชัน |
ความกระสันแลเปนยอดตลอดกาย |
สุดคนึงถึงยุพินถวิลหา |
อยากรีบมาเสียด้วยแสนแค้นสหาย |
มิใช่ว่าอกเขาตัวเปล่าดาย |
ช่างไม่หมายมุ่งมิตรสักนิดเลย |
ฤๅจะอยู่ฮ่องกงคงสลัด |
จะทิ้งสัตย์ไปเปนถังนิจังเอ๋ย |
ดูหน้าหมดสดใสใจสเบย |
ช่างเฉยเมยเหมือนหนึ่งว่ารักษากรรม |
อันเมืองนี้น่าสนุกดูซุกซิก |
แผ่นดินพลิกแพลงดาดลาดถลำ |
เขาก่อเปนตึกเตียนตั้งเพียรทำ |
ถนนร่ำโรยหินสิ้นทุกทาง |
แต่ใช้เกี้ยวรถเจ๊กเล็กๆลาก |
เพราะคนมากเดินพรูดูเปนหาง |
แล้วถนนก็แคบจึ่งแบบบาง |
ริมทำรางถือสิเมนจึ่งเปนดี |
แต่เดินมักเมื่อยขาเวลาเที่ยว |
ทางลดเลี้ยวแลโก่งเหมือนวงหวี |
ด้วยเปนชั้นเชิงเทินเนินคิรี |
ช่างเหลือที่ทัศนาได้มาดู |
มีโปลิศอินเดียนทะเบียนแขก |
หน้าตาแปลกใจทะมิฬไม่กินหมู |
เที่ยวเดินยามตามจังหวัดกันศัตรู |
มีหางหนูแล้วก็ต้องมองระวัง |
ได้ดูเล่นเปนสุขสนุกสนาน |
กินอาหารโฮเตลเกือบเปนถัง |
แล้วออกจากที่พักนัครัง |
ลงบัลลังก์เรือเมล์ชื่อเทวะวงศ์ |
แล่นก็ไวใส่พระนามดูงามสุด |
ไม่วิมุติเหมือนได้มานาวาหงส์ |
แต่กัปตันเลยไถลไม่มาตรง |
แล่นย้อนลงซัวเถาเช้าก็ดล ฯ |
๏ ที่ปากน้ำมีเกาะดูเหมาะเหมง |
สร้างตึกเก๋งป้อมหอก่อถนน |
ตลิ่งล้วนเขาโล่งโปร่งตำบล |
แต่ผู้คนเงียบสงัดทัศนา |
กับป้อมดินตามฝั่งต้องสังเกต |
เพราะกินเนตรมีทหารการรักษา |
ดูเรือเมล์เข้าน้อยถอยราคา |
ได้ไปมามากลำก็สำเภา |
มีตึกว่างสร้างใหม่ก็หลายหลัง |
เหมือนพึ่งตั้งแต่งตัวเมืองซัวเถา |
ได้แขงใจขึ้นดูหมู่ลำเนา |
เพราะว่าเราแต่งฝรั่งไม่อย่างไทย |
มีตึกร้านบ้านเจ๊กขายเล็กน้อย |
เครื่องใช้สรอยหม้อกระถางกับอ่างไห |
แต่ในเมืองเขาไม่อาจขี้ขลาดไป |
ด้วยทราบในสันดานว่าพาลชุม |
กัปตันว่าไม่หยอกปอกเอาหมด |
มันถอดยศแก้พกแล้วหมกหลุม |
ถ้าขืนไปก็จะต้องประคองกุม |
จะหมดหนุ่มเสียหน้าตาดีๆ |
ถึงอย่างนั้นมันมาล้อมหน้าหลัง |
ต้องระวังไม่ให้เบียดเข้าเสียดสี |
บ้างแลดูแล้วนึกว่าแขกตานี |
บางคนชี้ว่าอั้งหมอชลอมา |
บางคนว่ายี่ปุ่นฤๅคุณเถา |
บ้างว่าชาวกรุงสยามตามภาษา |
มันพูดจีนจ๋อแจ๋แลดูตา |
ขุนปราบว่าอั๊วใจไล้เถ้าแก |
ท่านเปนล่ามช่างเทศวิเศษพูด |
อั๊วเปนทูตเที่ยวไปในกระแส |
มาเดินเล่นตามสะเบยไม่เคยแล |
เปนไทยแท้เล่ายั้วอั๊วขุนนาง |
แล้วก็ลงเรือเมล์เหมือนเคหา |
พอสุริยาแจ่มแจ้งขึ้นแสงสาง |
ออกกำปั่นลั่นไกไขดังกราง |
ตั้งเข็มวางสิงคโปรสุโขจริง |
มีเจ๊กเมืองซัวเถามาเก้าร้อย |
แน่นไม่น้อยเต็มที่เหมือนผีสิง |
ทั้งท้องเรือดาดฟ้าหน้าเหมือนลิง |
บ้างตีชิงตุ๊ยกันทุกวันไป |
มีผู้หญิงคนสยามมาสามสาว |
รูปร่างขาวควรคิดพิสมัย |
นุ่งกางเกงสวมเสื้อเหลือวิไลย |
มาแปลงไทยซัวเถาไม่เข้าที |
เขาว่ามาฝังศพกลบหลุมเตี่ย |
จึ่งกลับเสียเพราะเสร็จสำเร็จผี |
คิดขึ้นมาน่าหึงช่างถึงดี |
มากินหมี่หัวผักกาดไม่ฝาดคอ |
เออไม่อยู่จนแก่เล่าแม่เอ๋ย |
หัดพะเกยไว้เปียเสียสิหนอ |
ฤๅคิดถึงอยุธยาน้ำตาคลอ |
มีห้องหอเคหามาก็นาน |
ช่างเข้าที่พระอไภยเมื่อได้สึก |
เจ้าผลึกยอมเชิญให้เดินสาร |
ออกจากแนวเกาะแก้วพิสดาร |
จนเกิดการเรือแตกแยกกันจร |
แต่ต้องยอมปฏิเสธด้วยเหตุบุตร |
สินสมุทไม่มีแลกแบกสมร |
ถ้าเปนจริงก็จะม้วยด้วยมังกร |
ทั้งคู่ขอนของเก่าจะหาวลม |
เรือกลไฟใช้จักรไม่พักวก |
คิดได้หกวันปลายสบายสม |
ครั้นถึงแหลมเจียวฮอต่อนิคม |
บุรีรมย์ปลายแพนกเปนแขกจาม |
พ้นนั้นก็เปนถิ่นเรียกหินขาว |
ต่อไลฮาวซ์เหมือนสันดอนตอนสยาม |
ปะทะถูกคลื่นลมเสียงโครมคราม |
มีอีกนามว่าชะลันสำคัญทาง ฯ |
๏ ถึงหน้าเมืองสิงคโปร์โกลาหล |
มีผู้คนเรือแพแลสล้าง |
ทอดสมอรอไฟไขระวาง |
ชักธงหางคลี่หยอยห้อยบันได |
แต่ทอดอยู่ห่างฝั่งเพราะยั้งยับ |
เข้าถ่ายรับสินค้าอัชฌาไศรย |
กับปล่อยจีนจับกังขึ้นฝั่งไป |
เข้าเมืองไทยสามร้อยจึงน้อยลง |
อันตัวเรานั้นยกบกไม่ขึ้น |
ต้องนั่งมึนจนใจเหมือนไต้ก๋ง |
ด้วยทอดอยู่วันกว่าก็ลาธง |
แล่นมาตรงอ่าวสยามตามสบาย |
ไม่มีทุกข์สุโขสโมสร |
ลงนั่งนอนนึกกริ่มยิ้มไม่หาย |
ได้หกเดือนเศษครึ่งไปขึงกาย |
สู้ฝักฝ่ายเหนื่อยยากคิดพากเพียร |
เพราะความมุ่งผดุงกิจไม่คิดแก่ |
ตามเบาะแสรับการด้านเสมียน |
ด้วยดวงจิตรครวญคร่ำอยู่จำเนียร |
ถึงเวรเวียนสมมาดราชการ |
เรือกลไฟมาได้สี่วันครึ่ง |
ก็พอถึงกรุงเทพเสพย์สถาน |
ขึ้นเย่าเรือนเหมือนเคยเลยสำราญ |
ก็ชื่นบานพูลพิพัฒน์สวัสดี ฯ |
๏ ข้าพเจ้าผู้เกลากลอนนิราส |
ไม่สามารถเชิดชูให้ฟูศรี |
เพราะว่าอ่อนสอนซ้อมน้อมกวี |
ยังเปนที่เคลือบแคลงแสดงกลอน |
ที่ได้จดระยะทางต่างประเทศ |
เพราะเห็นเหตุทัศนาอุทาหรณ์ |
มาแถลงแจ้งความตามสุนทร |
ด้วยทางจรไม่มีใครเคยไปมา |
ครั้นจะเขียนเปนบทจดหมายเหตุ |
ดูสังเวชจืดจิ๋วแก่ชิวหา |
เหมือนส้มเปรี้ยวต้องเคี้ยวกับน้ำปลา |
ตามภาษาพากย์พจน์รสชาววัด |
แต่ใจความตามจริงทุกสิ่งหมด |
ไม่มีปดแน่ใจเหมือนใบสัตย์ |
ที่โอดครวญบางแห่งจงแจ้งชัด |
เปนกำดัดของนิราสขาดไม่ดี |
ท่านผู้อ่านวานช่วยอำนวยผล |
ตั้งแต่ต้นเบื่อหูอย่าจู๋จี๋ |
ขอให้แล้วตามประสงค์คงไปที |
ไม่ต้องมีจำเปนได้เอ็นดู |
แต่ความอายโวหารนั้นก็มาก |
พูดเปนฉากเหมือนว่าหลับตาหู |
ที่ถูกผิดมิได้คิดศึกษาครู |
เต็มประตูไปด้วยจัดอัตโน |
อันตัวฉันมีนามตามนุสนธิ์ |
ใช่เปนคนรู้เหตุวิเศษโส |
มาได้พึ่งฐานอุดมเหมือนร่มโพธิ์ |
ค่อยภิญโญเจริญไวยเมื่อไปญวน |
อยู่ออฟฟิศกรมท่าฝ่าพระบาท |
ที่ตึกราชวัลลภจบสงวน |
จึงได้เกิดเชาวน์นิยมพอสมควร |
เรียงสำนวนรายทางได้อย่างใจ |
ขอผลาอานิสงส์คงแก่ข้า |
เปนมรรคาที่ประเสริฐเกิดนิไสย |
จงหมดโทษมลทินสิ้นอไภย |
เสียแรงได้อุส่าห์จงถาวร |
ตามสมภพสบไถงไสมยนี้ |
เพราะบุรีรุ่งสง่ากว่าแต่ก่อน |
ควรจะซื้ออ่านรู้กระทู้กลอน |
อย่าง้องอนยืมมิตรจะผิดกัน |
ให้เหงื่อเปื้อนเลือนน้ำหมากเขาถากถาง |
ว่ารูปร่างประเปรียวเหนียวขยัน |
เฟื้องสลึงอย่าให้ใครจำนรรจ์ |
เปิดกำปั่นซื้อมาดีกว่าเอย ฯ |