ระเด่นลันได
วันหนึ่งข้าพเจ้ากับนายทองอินนั่งสนทนากันอยู่ที่เฉลียงบ้าน กำลังว่ากันอยู่ว่าเวลานั้นช่างมีงานทำน้อยจริงๆ ก็พอแลเห็นหญิงผู้หนึ่งแต่งตัวเรียบร้อย ท่าทางเป็นผู้ดีและเป็นคนค่อนข้างเก๋ๆ เดินมาทางถนนหน้าบ้าน ตามองไปมาเหมือนหนึ่งจะค้นหาอะไรสักอย่างหนึ่ง มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินมาด้วย สองคนนั้นพอถึงหน้าบ้านก็ยืนปรึกษากันอยู่ ข้าพเจ้าจึงพูดขึ้นว่า
“ท่าทางจะมาหาแกดอกกระมัง”
นายทองอินหยักหน้าและพูด “เป็นได้ มาก็ดีหรอก ฉันเบื่ออ้ายการนั่งนิ่งๆ เต็มทีแล้ว”
พอพูดขาดคำชายหนุ่มกับหญิงสาวนั้นก็ตกลงใจเดินตรงเข้ามาที่บ้าน ไม่ช้าคนใช้ก็ขึ้นมาบอกว่ามีคนมาขอพบนายทองอิน
นายทองอินหัวเราะแล้วพูดว่า “พ่อวัดแกทายแม่นจริง” แล้วบอกคนใช้ให้เชิญผู้ที่มาขอพบนั้นขึ้นมา
ผู้ที่ต้องการพบนายทองอินนั้นก็ไม่ใช่ผู้อื่น คือคนสองคนที่เห็นหน้าบ้านนั้นเอง ผู้หญิงนั้นเมื่อเห็นใกล้แล้ว ก็ยิ่งแลเห็นได้ถนัดว่าผู้ดี หน้าตาดีพอใช้ได้ และหน้าอ่อนชะรอยจะเป็นคนราว ๑๙ หรือ ๒๐ มือเท้าก็เล็ก แต่งกายก็ดีเรียบร้อย ไม่หรูเกินไป ส่วนผู้ชายนั้นก็มีเค้าหน้าคล้ายกัน แต่รูปร่างสูงกว่าผู้หญิงสักหน่อยมารยาทเรียบร้อยทั้งสองคน ฝ่ายนายทองอินก็เชิญให้นั่งตามสบายแล้วก็ถาม
“นี่ผมจะช่วยคุณได้ทางไหน ขอได้โปรดบอกให้ผมทราบทีเดียวไม่ต้องเกรงใจผมเลย”
หญิงสาวแลดูหน้าชายหนุ่มนิ่งอยู่ ชายหนุ่มจึงเข้ารับหน้าที่เป็นผู้กล่าวคำนำว่า
“ผมชื่อชวน นี่พี่สาวผมชื่อแช่ม บ้านคุณพี่อยู่พระปฐมกับผัวชื่อนายวง ผมทำการอยู่ในกระทรวงมหาดไทย คุณพี่ขึ้นมาวันนี้ก็มาด้วยความตั้งใจจะมาหาคุณ เพราะทราบอยู่ดีว่าการสืบการต่างๆ หาตัวสู้คุณไม่ได้ ยังไงละขอรับคุณพี่พูดเองต่อไปซี”
แม่แช่มแลดูนายทองอิน แล้วแลมาทางข้าพเจ้า แต่ยังหาพูดว่ากระไรไม่ ข้าพเจ้านึกเดาว่าคงจะรู้สึกกีดในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงตั้งท่าจะลุกไป แต่นายทองอินโบกมือแล้วหันไปพูดกับแม่แช่มว่า
“นายวัดคนนี้เป็นคนเคยทำงานร่วมกับผมมาหลายครั้ง ได้เป็นกำลังกับผมมาก ผมรับประกันได้ว่าเป็นผู้ควรไว้ใจได้ทีเดียว”
แม่แช่มนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “เรื่องของดีฉันที่จริงมันเป็นเรื่องส่วนตัวแท้ๆ ก็ไม่ใคร่อยากรบกวนคุณเพราะรู้อยู่ว่าคุณคงจะมีงานที่สำคัญๆ ทำอยู่มาก แต่พ่อชวนเขารบเร้าให้ดิฉันมา”
นายชวนจึงพูดขึ้นว่า “แน่ทีเดียว คุณพี่หนักใจจนจะเจ็บจะไข้ไปแล้ว เอออ้ายเรื่องมีผัวมีเมียนี่มันก็ไม่ใช่ความสุขทั้งนั้นมีเครื่องกวนใจบ่อยๆ เพราะมันอดเรื่องหึงไม่ได้”
นายทองอินยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ถึงเรื่องจะเล็กน้อยเท่าไรผมก็จะไม่นึกว่าเสียเวลา”
แม่แช่มยิ้ม (เขายิ้มงามดีจริง) แล้วพูดว่า “เป็นพระเดชพระคุณมาก”
นายทองอินเวลานั้นกำลังเฟื่อง กิริยาดีจึงตอบว่า “ไม่ต้องขอบใจผมเลย ผมควรจะต้องขอบใจคุณเสียอีกในการที่มาเพราะเวลานี้ผมอยู่เปล่าๆ เบื่อเต็มที ผมเป็นคนชอบทำงาน”
แม่แช่มยิ้มอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้านึกๆ ในเวลานั้น ว่าถ้ายิ้มอย่างนั้นบ่อยๆ ก็ดูน่ายอมออกแรงให้ ถ้าจะช่วยให้หล่อนได้ความสบายใจ แต่นี้แหละเขาว่าคนเราโดยมากมักไม่ใคร่รู้สึกความสวยความงามของญาติสนิทของตน นายชวนเป็นคนชนิดนี้จึงเอ่ยขึ้นว่า
“คุณพี่ก็มัวแต่ยิ้มอยู่นั่นแหละ จะเล่าเรื่องก็ไม่เล่ามาเสียเวลาเปล่าๆ”
นายทองอินจึงพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร เวลามีถมไป เมื่อคุณจะเล่าเรื่องเมื่อไรก็ได้”
แม่แช่มนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าดูเหมือนตริตรองทางที่จะเล่าแล้วจึงพูดดังต่อไปนี้
“ดิฉันเป็นลูกหลวงประสิทธิ์ ผู้ช่วยราชการเมืองนครไชยศรี เมื่อสักสองปีมานี่แล้วคุณพ่อตาย คุณแม่ดิฉันตายเสียตั้งแต่ดิฉันยังเล็กๆ ดิฉันก็เลยขึ้นมาอยู่กับน้าที่บางกอกนี่ อยู่ได้ไม่ช้านักดิฉันก็พบกับผัวดิฉันเดี๋ยวนี้ นายวงเขาก็เป็นลูกผู้ดีเคยไปเมืองนอกมาแล้ว เกิดพอใจในตัวดิฉันตกลงไปขอดิฉัน คุณน้าก็ยกให้โดยดี คุณน้าเป็นคนจน เพราะยังงั้นก็ยินดีในการที่จะไม่ต้องเลี้ยงดิฉันไว้อีก ดิฉันก็ยินดีเพราะนึกสงสารคุณน้าในการที่ต้องอุตส่าห์เก็บเขี่ยสำหรับหาเงินให้ดิฉันแต่งตัวดีๆ เสมอหน้าคนอื่นเขา พอตกลงกันแต่งงานได้สักหน่อยแล้วนายวงเขาก็พาดิฉันออกไปอยู่ที่พระปฐม เพราะเขาว่าอากาศดีและใกล้ที่ทำมาค้าขายของเขา ดิฉันก็ตกลงตามใจเขา บ้านที่พระปฐมน่ะก็สบายดีหรอกคะ เป็นเรือนเล็กๆ ชั้นเดียว มีสวนอยู่นิดหนึ่ง พอปลูกต้นไม้ดอกไล่เล่น นอกรั้วออกไปยังมีไร่น้อยหน่าอีกไร่หนึ่งเล็กๆ เวลานั้นรถไฟเปิดแล้วใหม่ๆ ผัวดิฉันสองวันสามวันเขาก็ไปดูงานเสียทีหนึ่ง เขาบอกดิฉันว่าขึ้นรถไฟไปลงที่งิ้วรายแล้วลงเรือจากนั่นไปสุพรรณ แต่แรกไปค้างคืนเดียวก็กลับ แต่ครั้นอยู่ต่อมาได้สักหน่อยก็บ่อยเข้าทุกที แล้วไปอยู่ทีละมากวันขึ้น ดิฉันซักถามก็ไม่ได้ความว่าที่ไปน่ะไปทำอะไรมั่ง บางทีกลับมาดูอ่อนเพลียและใจคอหงุดหงิด ถ้าเมื่อเป็นยังงี้มาละก็เถอะเป็นถามข่าวคราวไม่ได้เลยทีเดียว เมื่อถามครั้งแรกก็เป็นแต่เพียงพูดปัดๆ ไป แต่ครั้นถามหลายครั้งหนักเข้าเขาถึงออกพื้น แล้วบอกดิฉันว่าไม่ใช่ธุระของผู้หญิงจะถาม ที่จริงดิฉันก็นึกอยากจะเชื่อใจผัวหรอก แต่มันเป็นธรรมดาผู้หญิงถ้าสงสัยอะไรแล้วยิ่งถามผัวไม่บอกก็ดูเหมือนยิ่งยุให้สงสัยมากขึ้น แต่ดิฉันก็อุตส่าห์สู้นิ่งทนหักอกหักใจ ในเวลาผัวไม่อยู่ก็ทำเรือกทำสวนไปตามที จนวันหนึ่งมีคนที่ดิฉันรู้จักคนหนึ่งชื่อแม่เอมมาหาดิฉัน นั่งคุยกันไปคุยกันมา เขาก็เอ่ยขึ้นว่า
“เออผัวหล่อนน่ะ เขาทำอะไรน่ะยะ”
ดิฉันตอบว่า “ไม่ทราบเลยย่ะ”
แม่เอมเขาก็พูดต่อไปว่า “วานนี้เองแหละฉันเห็นอยู่ในบางกอก”
ดิฉันตกใจถามเขาว่า “อะไรหล่อนเห็นที่บางกอกหรือ”
แม่เอมตอบว่า “ย่ะฉันเห็นเดินไปทางตะพานหัน ท่าทางดูรีบร้อนเสียจริงๆ เห็นจะมีธุระอะไรสักอย่างเป็นแน่”
พูดกันเท่านั้นแล้วก็พูดกันเรื่องอื่นต่อไป แต่การที่แม่เอมเล่าถึงพบผัวดิฉันในบางกอกน่ะช่างทำให้ดิฉันกลุ้มใจเสียจริงๆ เพราะเมื่อจะไปนายวงก็ได้บอกกะดิฉันว่าจะไปสุพรรณตามเคย ทำไมวิ่งแล่นขึ้นไปบางกอก พอนายวงกลับมากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ดิฉันก็ถามขึ้นว่า
“เออเธอขึ้นไปบางกอกมาหรือคะ”
นายวงตกตะลึงจนปลาที่หยิบจะเข้าปากอยู่นั่นตกจากมือ แลดูหน้าดิฉันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบว่า
“ย่ะฉันไปมา มีธุระนิดหน่อย”
ดิฉันก็พูดต่อไปว่า “ไหนบอกฉันว่าจะไปสุพรรณ ยังไงถึงเกิดเปลี่ยนโปรแกรมเสียล่ะ”
ผัวดิฉันตอบเสียงกระชากๆ ว่า “เพราะจำเป็นต้องเปลี่ยน แต่ฉันไม่เห็นจำเป็นที่จะบอกหล่อนให้รู้ว่าฉันจะไปไหน ทำไมถึงจะมานั่งซักไซ้ฉันจะไปไหนก็ช่างเถอะ ฉันหาเงินมาให้หล่อนใช้พอแล้วก็แล้วกันมั่งเถอะ”
ดิฉันก็ไม่ได้กระเซ้ากระซี้ถามต่อไปอีก แต่ในใจให้รู้สึกงุ่นง่านเป็นกำลัง ถึงจะคิดหักใจและแกล้งคิดเรื่องอื่นสักเท่าไรก็ไม่ฟัง ไปๆ มาๆ ก็วนกลับมาคิดถึงเรื่องผัวไปบางกอกอีก ยิ่งนึกไปก็ยิ่งวุ่น จะไปทำไมก็ไม่ทราบ ถามเข้ากลับโกรธขู่ให้เลิก ทำไมกะอีไปบางกอก ทำไมถึงจะต้องปิดบังดิฉันผู้เป็นเมียด้วย จึงทำให้นึกต่อไปว่าคงต้องมีเรื่องไม่ดีอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็เป็นธรรมดาผู้หญิงต้องนึกก่อนสิ่งอื่นว่า ของที่ผัวจะปิดตัว ก็คงมีอยู่แต่เรื่องผู้หญิง พอนึกขึ้นอย่างนี้ก็ยิ่งทำให้งุ่นง่านในใจหนักขึ้น จนเมื่อพบกับนายวงดิฉันเจียนวางหน้าไม่สนิท ส่วนนายวงนั้นก็ชอบกล นับวันนับจะได้พบกับดิฉันน้อยเข้าทุกที ถึงเมื่ออยู่ที่พระปฐมนั่นเองก็ดูเหมือนจะคอยหลบหน้าดิฉัน พบกันก็ชั่วแต่เวลารับประทานข้าว นอกนั้นก็ไปเที่ยวหาพวกข้าราชการเสียมั่ง ขึ้นม้าไปเที่ยวเสียมั่ง ดิฉันก็ทำสวนของดิฉันไปเรื่อย ตั้งใจจะไม่ให้นึกถึงเรื่องความประพฤติของผัวแต่มันก็อดไม่ได้ ประเดี๋ยวๆ ก็วนเข้ามาหาอีเรื่องนั้นอีก จนวันหนึ่งดิฉันจึงพูดกับนายวงว่า
“ฉันอยากไปสุพรรณจริงๆ ยังไม่เคยไปเลย พรุ่งนี้เธอจะไปพาดิฉันไปด้วยได้ไหมล่ะคะ”
นายวงแลดูหน้าดิฉันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบว่า “ฉันน่ะไม่มีเวลาพาหล่อนเที่ยวหรอก ฉันไปก็ไปสำหรับทำงานเท่านั้นแหละไม่ได้เที่ยวหรอก” ดิฉันตอบว่า “ช่างเถอะ ให้ฉันไปด้วยเถอะฉันไม่ไปกีดขวางหรอก” นายวงทำหน้านิ่วแล้วพูดว่า “ไปเหนื่อยเปล่าๆ บอกว่าไม่ได้เที่ยวหรอกน่า”
ดิฉันก็กางร่มพูดว่า “ถึงจะไม่ได้เที่ยวที่สุพรรณก็ช่างเถอะ ยังได้ขึ้นรถไฟได้ลงเรือมั่ง ฉันอยากเปลี่ยนที่เสียสักที จะได้กินข้าวได้” เขาก็ว่า “ก็อยากเปลี่ยนที่ก็ไปพระประโทนซี”
ดิฉันว่า “ฉันไม่ไปหรอกพระประโทนเบื่อแล้ว ฉันอยากไปกะเธอน่ะแหละ จะไปสุพรรณหรือบางกอกก็ตามเถอะ”
เขาพูดเสียงแข็งว่า “แม่แช่มเชื่อฉันเถอะ ปล่อยให้ฉันไปคนเดียวดีกว่า หล่อนไปด้วยถึงจะตั้งใจไม่ให้กีดฉันก็กีดอยู่เองๆ เพราะฉันจำเป็นต้องคอยดูแลหล่อน”
ดิฉันออกเคืองพูดไปว่า “อ๋อ ถ้าฉันจะไปก็กีดอย่าเอาฉันไปเลย ฮะ ฮะ แน่ละดิฉันไปมันก็จะไปขัดคอ”
นายวงดูหน้าดิฉันแล้วพูดว่า “แม่แช่มพูดอะไรยังงั้น ฉันไม่ได้คิดนอกใจหล่อนเลยน่ะพับผ่าซี”
ดิฉันตอบว่า “ใครว่ากระไรล่ะ โอ๊ยฉันรู้หรอก ธรรมเนียมบ้านเมืองเป็นยังไง เธอจะมีเมียน้อย ดิฉันจะไปขัดขืนได้หรือ แต่เดี๋ยวนี้จะบอกกันตรงๆ ก็ไม่ได้ ต้องมาตั้งหลอกกันเหมือนเด็กเหมือนเล็ก ราวกะดิฉันจะไม่รู้เท่ายังงั้นแหละ”
นายวงลุกขึ้นแล้วพูด “แม่แช่มถ้าขืนพูดยังงี้จะไม่ได้พูดกันอีก”
ว่ายังงั้นแล้วเขาก็ลุกตึงๆ ลงเรือนไป ดิฉันก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไปยังงั้นเอง ที่จริงน่ะทั้งแค้นทั้งน้อยใจแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่ดิฉันเป็นคนดื้อมาแต่เล็กไม่เคยยอมแพ้ใคร คราวนี้จะยอมแพ้ผัวไม่ได้ต้องตั้งท่าขึงขังไว้ให้ได้ ครั้นรุ่งขึ้นนายวงก็ตระเตรียมของจะไปตามเคย ดิฉันนั่งอยู่ที่เฉลียงดูเขาจัดของอยู่ในห้อง อดไม่ได้จึงถามไปว่า
“นี่จะไปไหนคราวนี้ สุพรรณหรือบางกอก”
นายวงวางของที่ถืออยู่ แล้วเดินออกมานั่งลงข้างดิฉันแล้วพูดว่า
“โธ่แม่แช่ม ฉันขอทีเถอะน่า อย่าสงสัยฉันไม่มีมูลเลย ฉันสาบานได้เจ็ดวัดเจ็ดวาทีเดียวว่า ฉันไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกะผู้หญิงอะไรเลย ฉันรักอยู่แต่หล่อนคนเดียวแท้ๆ เทียว หล่อนนึกหรือว่าฉันพอใจในการที่ต้องไปจากหล่อนยังงี้ แต่มันเป็นการจำเป็นจริงๆ ถ้าฉันไม่ไปทำงานก็คงต้องอดตายทั้งสองคน”
ดิฉันพูดว่า “ก็ใครๆ ไปห้ามไปหวงไม่ให้เธอทำงานล่ะ เดี๋ยวนี้ที่ฉันไม่พอใจน่ะก็ที่ตรงเธอไม่บอกฉันว่าทำงานอะไร ไม่บอกฉันให้ตรงๆ ปิดนั่นนิดปิดนี่หน่อยจนชั้นจะไปไหนก็ไม่บอกกันตรงๆ จะให้ฉันนั่งนิ่งอยู่ยังไงได้ ฉันไม่ใช่ตัวแมงอะไรนี่ ฉันเป็นคนเหมือนกันควรจะบอกให้รู้ทางเหนือทางใต้มั่งซี”
นายวงจับมือดิฉันไปลูบๆ แล้วพูดว่า “ที่ฉันไม่บอกก็เพราะไม่อยากให้หล่อนร้อนใจในเรื่องอันใช่เหตุ ถ้าหล่อนจะมามัววุ่นอยู่ในการงานที่ฉันทำ ที่ไหนจะมีเวลานึกถึงการเหย้าเรือน คนเราต้องต่างคนต่างมีหน้าที่ต่างๆ กัน ฉันมีหน้าที่ทำงานหาเงินมาให้หล่อน หล่อนมีหน้าที่ใช้เงินที่ฉันหามาได้นั่นให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ยังงี้เขาเรียกว่าแบ่งน้ำหนักงานกัน”
ดิฉันก็ถามว่า “ก็ถ้าอย่างงั้นคิดอ่านไปอยู่ให้ใกล้ๆ ที่เธอทำงานไม่ดีกว่าหรือ จะได้ไม่เปลืองเวลาและเปลืองเงินในการไปมา”
นายวงตอบว่า “ฉันได้ตริตรองรอบคอบแล้ว การที่จะไปอยู่ที่สุพรรณน่ะใกล้ที่ทำงานฉันจริง แต่เขาว่าที่นั่นไข้ชุมนัก ฉันก็กลัวไม่อยากให้หล่อนเจ็บไข้ลง อีกอย่างหนึ่ง ถ้าอยู่สุพรรณมันไกลบางกอกนัก”
ดิฉันถามว่า “ก็อย่างงั้นไปอยู่ในบางกอกไม่ได้หรือ”
ดูหน้านายวงเผือดลงไปทีเดียว และตอบเร็วว่า “ยิ่งร้ายใหญ่ ค่ากินค่าอยู่ก็แพง แล้วก็ไกลสุพรรณอีก เชื่อเถอะ ฉันได้นึกตลอดแล้ว ถึงได้เลือกพระปฐม”
พูดกันเท่านี้แล้วก็เลิกกัน วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่นายวงจะไป ดิฉันก็แอบไปส่งโทรเลขถึงพ่อชวนน้องชายดิฉันคนนี้ และกะให้คอยดูที่บางกอกว่านายวงจะไปบางกอกหรือไม่ไป พอรุ่งขึ้นนายวงก็ขึ้นรถไฟเวลาเช้าไป ว่าจะไปลงที่งิ้วรายตามเคย ดิฉันวันนั้นใจเต้นคอยฟังข่าวอยู่ทั้งวัน จนจะทำอะไรไม่ได้ พอใครเดินผ่านมาก็ให้นึกไปว่าคนเดินโทรเลขร่ำไป ดิฉันคอยแต่ถามถึงโทรเลขจนนางพวกบ่าวๆ มันคงนึกว่าดิฉันเป็นบ้า วันนั้นคอยเก้อจนเย็นก็ไม่มีโทรเลขมาถึงดิฉัน ต่อรุ่งเช้าจึงมีโทรเลขมา ดิฉันฉีกจนมือสั่นในโทรเลขนั้นมีมาจำคำได้ถนัดว่า “เห็นวงที่ถนนจักรวรรดิ์ย่ำค่ำเศษ อยู่ไหนไม่ได้ความ”
พอดิฉันได้ข่าวดังนั้นก็ตกลงในใจทันทีว่าจะต้องให้ได้ความให้จงได้ครั้งนี้ จึงจัดข้าวของสองสามสิ่งแล้วแต่งตัวขึ้นมากรุงเทพฯ ตรงไปที่บ้านพ่อชวนคอยอยู่ จนพ่อชวนกลับจากกระทรวง แล้วดิฉันก็เกณฑ์ให้พาไปทางถนนจักรวรรดิ์ ถึงที่นั่นเวลาประมาณย่ำค่ำ เดินเลยเข้าไปเที่ยวเล่นในตรอก ตาดิฉันก็ดูควานไปยังงั้นเอง เผอิญนัยน์ตาไปแลพบหมวกสานปานามาเข้าใบหนึ่ง ดิฉันจำรูปพรรณสัณฐานได้ถนัดทีเดียวว่าเป็นหมวกของผัวดิฉัน ดิฉันก็ชี้ให้พ่อชวนดูหมวก พ่อชวนหัวเราะแล้วชวนให้ดิฉันกลับบ้าน แต่ดิฉันไม่ยอมกลับ อาศัยเขานั่งอยู่ที่ร้านตรงข้ามถนน เพราะนึกตั้งใจไว้ว่าเป็นไรเป็นไปเถิดจะต้องคอยดูให้ได้ว่า นายวงจะอยู่ในนั้นหรือไม่อยู่ พอจวนพลบก็เห็นคนขอทานคนหนึ่งเดินผ่านมา รูปร่างประหลาดจริงๆ เจ้าคนนั้นเสื้อผ้ารุงรัง แต่ก็ไม่สกปรก หน้าตาเบี้ยวบูดชอบกล มีแผลเป็นใหญ่ที่แก้มขวาเหมือนรอยถูกฟันจนหน้ามันเบี้ยวไปข้างหนึ่ง เดินก็ขาเขยก ถือซอคันหนึ่ง เดินมามีเด็กตามเกรียวๆ ร้องเสียงอึงว่า “ระเด่นลันไดๆ” ตาขอทานนั่นก็เดินเฉย ไปจนถึงเรือนที่ดิฉันเห็นหมวกนายวงอยู่นั้นแล้วก็เข้าไปในบ้านนั้น สักครู่หนึ่งได้ยินเสียงคนสองคนพูดกัน ดิฉันอดไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ๆ เสียงหนึ่งจำได้ว่าเป็นเสียงผัวดิฉัน อีกเสียงหนึ่งจำไม่ได้ แต่เข้าใจว่าคงจะเป็นเสียงเจ้าระเด่นลันได ดิฉันกำลังถามพ่อชวนอยู่ว่านายวงกับเจ้าขอทานจะมีการเกี่ยวข้องได้อย่างไงและยังปรึกษากันอยู่ ก็พอผัวดิฉันออกมาจากประตูบ้านนั้นแหม ! พอแลเห็นดิฉันเข้าราวกะเห็นปิศาจถอยหลังกรากปากอ้าตาตะลึงอยู่เป็นครู่หนึ่งแล้วปากก็หุบลงดังกัก ตาขึงหน้าแดงตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นหน้าผัวดิฉันเป็นยังงั้นเลย ดิฉันรู้สึกว่าตัวดิฉันเองหน้าเผือดลงไปทันที ตัวจะชวนสั่นเอาด้วย นิ่งกันอยู่ยังงี้ครู่หนึ่ง แล้วนายวงจึงถามว่า
“นี่แม่แช่มมาทำไม”
ดิฉันตั้งใจตอบไม่ให้เสียงสั่นว่า “ก็มาเที่ยวเล่นมั่งน่ะซิ”
นายวงพูดเร็ว-ว่า “พูดจริง ๆ มาทำไม”
ดิฉันตอบว่า “บอกแล้วว่ามาเที่ยว”
นายวงตั้งกระทู้ว่า “นี่เป็นที่สมควรหล่อนจะมาเดินเที่ยวเล่นหรือ”
ดิฉันย้อนถามไปว่า “ทีแกยังไงมาได้ ฉันก็เป็นคนเหมือนกัน”
นายวงแสดงกิริยาโกรธมากแล้วตอบว่า “แม่แช่มอย่ามาเถียงกันอยู่ที่นี่เป็นแม่ค้าปลา หล่อนนะขืนประพฤติตัวเป็นคนสอดแนมยังงี้จะเจ็บตัวสักวันหนึ่ง”
ว่าแล้วก็ออกเดินจะไป ดิฉันจึงถามว่า
“นี่จะไปไหน”
นายวงตอบว่า “ก็กลับนะซิ จะไปไหนล่ะ”
ดิฉันถามว่า “ก็ไม่คอยฉันหรือ”
เขาตอบฉันว่า “ฉันไม่ได้ไปพระปฐมหรอกน่ะ”
ดิฉันพูดว่า “ฉันรู้แล้ว รถไฟไม่มีแล้ววันนี้ ก็นั่นจะไปพักที่ไหน ไม่พาฉันไปด้วยหรือ”
เขาตอบว่า “บ้านน้องหล่อนมียังไงไม่ไปกะเขาล่ะ บ้านฉันมีเมื่อไรที่นี่ ฉันก็อาศัยเขาอยู่เหมือนกัน ที่หล่อนมาครั้งนี้ หล่อนก็ไม่ได้บอกได้กล่าวให้ฉันรู้ ก็น้องชายหล่อนเขาได้จัดการมาแล้วก็ให้เขาจัดไปให้ตลอดซี”
พอพูดยังงั้นแล้วเขาก็เดินไป ดิฉันก็กลับบ้านน้องชายหนักใจเหลือกำลัง ที่จริงหมดความสงสัยทางผู้หญิงยิงเรือแล้ว แต่มานึกวิตกไปทางอื่น เกิดกลัวขึ้นมาว่านายวงจะหากินโดยทางไม่ดีอะไรสักอย่างหนึ่งก็จะพลอยให้ชื่อดิฉันเสียด้วย ดิฉันตั้งบ่นร่ำไปว่าทำอย่างไรจะได้ทราบความจริง พ่อชวนถึงได้กล่าวขึ้นถึงคุณว่าคุณช่างสืบเรื่องต่างๆ ดีนัก ให้ดิฉันมาปรึกษาคุณดูก็ตกลงกันว่าวันนี้จะมา เรื่องก็หมดเท่านี้แหละคะ”
ครั้นแม่แช่มเล่าเรื่องเสร็จแล้ว นายทองอินก็ยกน้ำชาไปให้แล้วพูดว่า
“คุณทำถูกแล้วที่มาหาผม เรื่องนี้ฟังดูชอบกลมาก ผมนึกเชื่อในใจว่าเห็นจะได้สืบกันสนุกเป็นแน่ เจ้าคนขอทานที่คุณเรียกระเด่นลันไดน่ะ ผมก็รู้จักอยู่แล้ว คงจะได้ความในไม่ช้านัก ขออย่าให้คุณวิตกเลย ผมจะจัดการสืบดูอย่างเงียบที่สุด ไม่ให้ความฉาวได้เลย ขอให้คุณไว้ใจผมเถอะ ผมจะตั้งใจทำการให้คุณเต็มสติกำลัง”
นายชวนพูดขึ้นว่า “ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียม”
นายทองอินตอบว่า “เรื่องนั้นไม่ต้องพูดกันในที่นี้ เวลานี้เป็นเวลาว่าง เพราะฉะนั้นการสืบครั้งนี้เหมือนการสืบเล่นสนุกๆ”
แล้วนายทองอินก็ถามแม่เช่มในรูปพรรณและอื่นๆ เกี่ยวข้องด้วยนายวง เคราะห์ดีเผอิญแม่แช่มมีรูปผัวของหล่อนมาด้วย หล่อนจึงให้นายทองอินไว้ แล้วแม่แช่มกับน้องชายก็ลาไป
นายทองอินหันมาทางข้าพเจ้าแล้วพูดว่า “ยังไง พ่อวัด”
ข้าพเจ้าตอบว่า “ยังไม่เคยเห็นใครดีกว่า”
นายทองอินหัวเราะแล้วพูดว่า “พ่อวัดแกนี่เห็นจะทำการอย่างฉันไม่ได้ ถ้ามัวเที่ยวชอบใจคนที่มาหาให้ทำงานยังงี้ คงทำงานไม่ได้ดี”
ข้าพเจ้าหัวเราะบ้างและตอบว่า “ที่ไหน ฉันเห็นตรงกันข้าม ถ้าคนที่มาหาฉันเป็นยังงี้ละไม่รู้สึกเหนื่อยเลยเทียว เงินก็ไม่ต้องการขอแต่ให้หล่อนยิ้มเท่านั้นพอแล้ว” (ต้องขอให้ท่านเข้าใจว่าเวลานั้นข้าพเจ้ายังไม่ได้มีภรรยา)
นายทองอินสั่นศีรษะแล้วก็ลุกไปเรียกนายแจ่มลูกสมุนเอก ซึ่งในเวลานั้นเผอิญกำลังอยู่ในบ้าน เมื่อนายแจ่มขึ้นมาแล้วนายทองอินจึงถามว่า
“เออแจ่มเจ้ารู้จักตาคนขอทานที่เรียกกันว่า ระเด่นลันไดไหม”
“รู้จักขอรับ ชื่อจริงชื่อพูล”
“บ้านอยู่ที่ไหนรู้ไหม”
“ไม่ทราบขอรับ”
“คิดอ่านไปสืบมาให้ได้ความได้ไหมล่ะ”
“ได้ครับ”
“เร็วๆ น่ะ”
“ได้ก่อนเที่ยงครับ”
“ดีละ แล้วก็นี่แน่ ถ้าจะถามอะไรเรื่องตาคนนี้อีก อย่าให้ติดนะ”
“ไม่ติดครับ”
“ไปเถอะ”
นายแจ่มก็ลาไปทันที เจ้าคนนี้สมควรเป็นลูกสมุนเอกจริงๆ รู้ใจนายทองอินไม่มีใครสู้ แม้ตัวข้าพเจ้าเองที่อยู่กับนายทองอินเสมอยังไม่ทายใจนายทองอินได้ดีเช่นนั้น
ครั้นนายแจ่มไปแล้วนายทองอินก็ลงนั่งเข้าฌานตามธรรมเนียมแก เมื่อแกมีการอะไรจะทำแกเป็นต้องนั่งนิ่งไม่พูดกับใคร ไม่กระดิกกระเดี้ย แกอธิบายว่าการที่ทำอย่างนั้นเป็นวิธีพักสมอง เหมือนปิดกองบัญชาการของร่างกายเสียทีหนึ่ง พอจะได้มีกำลังทำงานแข็งๆ ต่อไป ข้าพเจ้าทราบนิสัยแกอยู่เช่นนี้ จึงไม่กวนแกหนีไปนั่งเสียให้ห่างและอ่านหนังสือเล่นอยู่ พอได้เวลาสัก ๕ โมงครึ่งนายแจ่มก็กลับมา ตรงไปที่นายทองอิน พูดกันซุบซิบอยู่เห็นนายทองอินพยักหน้าหลายครั้ง สังเกตดูท่าทางพอใจ พอนายแจ่มพูดเสร็จ นายทองอินก็ลุกขึ้นยืดแขนยืดขา แล้วชวนให้ข้าพเจ้าให้รับประทานข้าว ในเวลาที่รับประทานกันอยู่นั้นก็สนทนากันเรื่องต่างๆ พอรับประทานเสร็จนายทองอินจึงพูดว่า
“พ่อวัดแกไปนอนพักเสียก่อนก็ดี”
ข้าพเจ้านึกเฉลียวใจขึ้นมาว่า แกจะอยากไปคนเดียวจึงถามว่า “ก็แกละ”
นายทองอินหัวเราะแล้วตอบว่า “ฉันก็จะไปนอนพักเหมือนกันอย่ากลัวเลย ฉันคงไม่ชิงไปเสียคนเดียวหรอก ฉันรู้ว่าแกมีใจผูกพันธ์อยู่ในเรื่องนี้มาก”
ว่าแล้วต่างคนก็ต่างไปนอนพัก นายทองอินจะหลับหรือไม่หลับไม่ทราบ แต่ข้าพเจ้านั้นไม่หลับ พอหลับลงทีไรก็แลเห็นแต่หน้าแม่แช่ม นึกๆ ไปก็เลยไปเคืองเจ้าวงอะไรมีภรรยาออกดีเช่นนี้ยังไม่ไว้ใจได้ การที่ไม่ไว้ใจภรรยาเช่นนี้มันไม่ควรจะมีภรรยาดีดีอย่างแม่แช่ม ควรมีแต่หญิงโง่ๆ เถื่อนๆ แล้วยังนึกอะไรต่อมิอะไรอีกไปจนเวลาบ่ายสัก ๓ โมงเศษ นายทองอินจึงมาเรียกข้าพเจ้าพากันขึ้นรถไป ครั้นถึงปลายถนนจักรวรรดิ์ก็ลงจากรถเดินต่อไปเดินไปไม่กี่มากน้อยก็พบเจ้าระเด่นลันไดนั่งอยู่ที่ริมถนน คนล้อมแน่นเจ้านั่นกำลังร้องเพลงเล่านิทานและแสดงวิชาต่างๆ นายทองอินกับข้าพเจ้าไปยืนดูอยู่ครู่หนึ่ง เห็นคนให้ทานระเด่นลันไดมาก พอเขาหยุดร้องรำทำเพลงลง และคนที่มุงอยู่นั้นซาไปบ้างแล้ว นายทองอินจึงเมียงเข้าไปพูดกับระเด่นลันไดว่า
“นี่แน่ะแก ฉันขอถ่ายรูปแกสักแผ่นเถอะได้ไหม”
ระเด่นลันไดทำหน้าเลิกลั่กแล้วถามว่า “นายจะเอาไปทำไมล่ะขอรับ”
นายทองอินตอบยิ้มๆ ว่า “เอาไปดูเล่นยังงั้นแหละ เอาเถอะฉันจะให้เงินแกแปดสลึง”
แต่จะให้เงินเท่านั้นแล้วเจ้านั่นยังอิดเอื้อนอยู่อีก ซึ่งข้าพเจ้านึกดูน่าประหลาดมาก ไม่ได้นึกเลยว่าคนในสมัยนี้จะไม่ชอบถ่ายรูป นายทองอินต้องอ้อนวอนและเพิ่มเงินขึ้นให้เป็น ๔ บาท เจ้านั่นจึงยอมให้ถ่ายรูป ส่วนนายทองอินเมื่อถ่ายรูปได้แล้วก็ดูพอใจมากกว่าที่สมควร แต่ข้าพเจ้ารู้จักนายทองอินอยู่ดีพอที่จะเข้าใจว่า ถ้าไม่หวังประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง คงจะไม่ถึงกับยอมเสียเงิน ๔ บาท เพื่อถ่ายรูปสองแผ่นเท่านั้น แต่จะมีความประสงค์อย่างไรในเวลานั้นข้าพเจ้ายังเดาหาถูกไม่ ครั้นถ่ายรูปเสร็จแล้วก็พากันเดินต่อไป ทำเป็นแวะดูของตามร้านบ้าง จนพบนายแจ่มยืนอยู่ที่ปากตรอกแห่งหนึ่ง ส่วนนายแจ่มพอแลเห็นนายทองอินก็หันกลับเดินเข้าตรอกไป นายทองอินกับข้าพเจ้าก็เดินตามไป จนถึงห้องแถวห้องหนึ่ง นายแจ่มหยุดยืนมองดูหน้าห้องนั้นครู่หนึ่งแล้วก็เดินต่อไป นายทองอินจึงพูดกับข้าพเจ้าว่า
“นี่ยังไงล่ะบ้านเจ้าระเด่นลันได”
นายทองอินก็ตรวจดูตามที่ใกล้ๆ นั้นตลอด ห้องที่ว่าเป็นบ้านระเด่นลันไดนั้น ก็เป็นห้องเล็กๆ สองชั้นไม่สู้สะอาดนัก อยู่ริมคลองแต่ก็ไม่แปลกกับห้องอื่นๆ ในแถวเดียวกัน นายทองอินมองไปมองมาสักครู่หนึ่งแล้วก็แวะไปนั่งที่ร้านตรงข้ามฟากตรอก ถามราคาของที่มีขายไปตามทีก่อน แล้วเลยพูดนำไปถึงเรื่องระเด่นลันได พูดจาโต้ตอบกับหญิงขายของดังต่อไปนี้
“เออเขาว่าปราสาทระเด่นลันไดอยู่ทางนี้ไม่ใช่หรือยะ”
“ยะนี่แน่ะ ห้องตรงหน้านี่แน่ะ”
“อะไรขอทานได้มากจนเช่าห้องอยู่ได้เทียวหรือยะ”
“ทำไมจะไม่ได้ ได้วันละมากๆ เสมอแหละยะ ก็ออกช่างร้องช่างเล่านิทานยังงั้น เขาว่ามั่งมีทีเดียวและยะ เดี๋ยวนี้แกแกล้งแต่งตัวให้รุงรังยังงั้นเอง เขาว่าแกมีห้องถึงสองแห่งแน่ะยะ”
“อะไรยังงั้นเที่ยวหรือ”
“ก็ดูท่าทางจะเป็นได้ ตามที่ฉันสังเกตดู แกไม่ได้หากินแห่งเดียว บางทีไปหากินทางอื่น ไปละหายไปสองวันสามวัน ไม่เห็นกลับมาที่ห้องนี้เลย แล้วพอสักหน่อยก็กลับมาอีก เห็นไปๆ มาๆ ยังงั้นแหละยะ แกขยันแท้ๆ เทียว ออกแต่เช้าสักโมงเศษจวนสองโมงกลับเอาพลบทุกวัน พอกลับถึงบ้านสักหน่อยก็นอนเงียบเทียว ดีจริงๆ กลางคืนละไม่ไปไหนเทียว ไม่สูบฝิ่นกินเหล้าไม่เล่นอยู่เงียบๆ”
“อยู่คนเดียวหรือยะ”
“อยู่น่ะแกอยู่คนเดียว แต่มักมีคนมาหาแกอยู่บ่อยๆ มีอยู่คนหนึ่งหน้าตาท่าทางก็ดูเหมือนจะเป็นผู้ดี มาแต่เช้ากลับเอาเย็นๆ”
“เขามาทำไมล่ะยะ”
“ก็ไม่รู้ได้ล่ะย่ะ แต่เห็นมาดูเหมือนทุกวันเวลาตาระเด่นแกอยู่ ฉันก็อยากรู้มานานแล้วว่ามาทำไม แต่ก็ไม่ใช่กี้ใช่การของฉันที่จะถาม”
“ที่มาน่ะมาก่อนตาระเด่นออกจากบ้านไปหรือยะ”
“ย่ะมาก่อน แล้วมาพูดกันเสียนาน แล้วตาระเด่นถึงจะไป ตอนเย็นเมื่อตาระเด่นกลับก็พูดกันอยู่อีกนานแล้วคนที่มาหาถึงจะไป”
“บางทีตาระเด่นจะรับใช้คนผู้ดีนั้นไปทำงานอะไรสักอย่างกระมั่งยะ”
“บางทีจะเป็นได้”
พูดกันเท่านี้แล้วก็ลุกลาจากร้านนั้นเดินต่อไป จนเวลาจวนย่ำค่ำจึงย้อนกลับมาอีก พอถึงหน้าห้องตาระเด่นก็พอเห็นตัวแกเดินกักๆ มา ตานั่นประพฤติน่าประหลาดจริงๆ พอแลเห็นนายทองอินกับข้าพเจ้าเข้าแกชะงัก ยืนแลดูอยู่สักครู่ใหญ่ๆ แล้วเดินตรงเข้ามา ตั้งท่าเหมือนจะพูดด้วย แต่กลับใจเลยเดินเข้าห้องแกไป ได้ยินเสียงลั่นกุญแจกัก นายทองอินหัวเราะหึๆ แล้วก็ออกเดิน ข้าพเจ้าจึงท้วงขึ้นว่า
“ไม่คอยดูนายวงหรือ”
นายทองอินสั่นศีรษะแล้วตอบว่า “ไม่เป็นประโยชน์ในการที่จะคอยเชื่อฉันเถอะ ถ้าเรายังอยู่นี่นายวงเป็นไม่ออกมา แน่ะดูซิ”
ข้าพเจ้ามองไปแลเห็นศีรษะตาระเด่นแฝงอยู่ที่หน้าต่างชั้นบนครู่หนึ่ง พอนายทองอินบอกให้ข้าพเจ้าดู ก็หลบเข้าไป นายทองอินก็ชวนให้ข้าพเจ้ากลับ ข้าพเจ้าก็ไม่ขัดขืน เมื่อขับรถมานายทองอินถามข้าพเจ้าว่ามีความเห็นอย่างไร ข้าพเจ้าตอบว่าข้าพเจ้าสงสัยว่านายวงคงจะคบคิดกับเจ้าระเด่นลันได กระทำการไม่ดีอย่างใดอย่างหนึ่ง นายทองอินยิ้มพยักหน้าแล้วไม่ตอบว่ากระไร พอถึงบ้านก็เข้าห้องมืดล้างรูปทันที ครั้นล้างเสร็จแล้วก็นำมาให้ข้าพเจ้าดู รูปนั้นชัดเจนดีทั้งสองรูปถ่ายตรงหน้ารูปหนึ่ง เยื้องรูปหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นแกต้องการให้ชมก็เลยชมให้แกพอใจ แต่ที่จริงในใจอดนึกไม่ได้ว่าการที่ไปบ่ายวันนั้นไม่ได้ผลอะไรพอกับความลำบาก ข้าพเจ้าออกนึกเคืองนายทองอินที่ดูแกทำนอนใจไม่กระตือรือร้นเลย
ครั้นเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม นายแจ่มมาหานายทองอิน เมื่อนายทองอินถามว่ามาด้วยธุระอะไร นายแจ่มตอบว่า
“โปลิศจับระเด่นลันไดไปแล้วขอรับ”
นายทองอินลุกขึ้นนั่งแล้วถามว่า “ฮะเป็นยังไงกัน เล่าไปทีหรือ”
“เมื่อคุณกลับไปแล้ว ผมก็ไปด้อมคอยดูนายวงอยู่ตามคำสั่งของคุณ คุณไปแล้วสักครู่หนึ่งคุณหลวงธานีก็มากับพลตระเวนอีกสองสามคน ตรงไปที่ห้องเจ้าระเด่น เห็นประตูปิดดันไม่เข้า คุณหลวงธานีก็พังเข้าไปให้คนคอยอยู่ข้างนอกบ้าง ตัวคุณหลวงกับนายหมวดขึ้นไปข้างบนประเดี๋ยวก็พาตาระเด่นกลับลงมา แต่ไม่เห็นนายวง เดี๋ยวนี้พลตระเวนรักษาห้องอยู่”
“เจ้าอยู่ที่ไหน”
“พอเอะอะกันผมก็ขึ้นไปยืนอยู่บนสะพานครับ”
“ถูกแล้ว แล้วไม่เห็นใครไปทางคลองนะ”
“ไม่เห็นครับ เห็นแต่หมวกสานปานามาตกลงมาจากหน้าต่างลอยน้ำไป กับเห็นคนโยนผ้าออกมาห่อหนึ่งตกลงไปในคลองครับ”
“ฮือพอละ ไปสั่งเขาผูกรถเร็วๆ”
นายทองอินหันมาทางข้าพเจ้าแล้วถามว่า “ยังไงล่ะ พ่อวัด”
ข้าพเจ้าตอบว่า “ก็เรามันช้าไปนี่”
นายทองอินสั่นศีรษะแล้วตอบว่า “ไม่ช้าไปหรอก พอดีเทียว ฉันไม่นึกว่าจะเร็วยังงี้เสียอีก”
“ทำไมแกรู้แล้วหรือว่าโปลิศจะขึ้นค้น”
“พุทโธ่ แกไม่เห็นเจ้าคนแต่งตัวเป็นอ้ายกุ๊ยเดินตามตาระเด่นมาหรอกหรือ”
“จริงเห็นแต่ไม่ได้นึก”
“แกละมันยังงี้เสียนี่นะ”
“ก็แกเห็นแล้วทำไมถึงไม่ชิงทำเสียก่อนล่ะ”
“พ่อวัดเอ๋ย เราไม่ใช่พลตระเวนจะได้ไปเที่ยวบุกรุกขึ้นบ้านคนเขาได้ เขาจะได้หาว่าย่องเบาหรือปล้น อ้ายการติดกรงมันสนุกยังไร นี่โปลิศเสมอกะช่วยให้เราสำเร็จประสงค์ไม่ใช่หรือ”
“ความประสงค์ของเราก็จะช่วยแม่แช่มไม่ใช่หรือ”
“ก็ยังงั้นน่ะซิ”
“ก็เดี๋ยวนี้นายวงมันหายไปจะว่ากระไรล่ะ”
“มันจะหายไปไหนได้ คอยดูเถอะ คืนวันนี้เป็นได้เรื่องราวตลอด”
พอรถผูกมาแล้วก็พากันไป นายทองอินแวะลงที่ร้านขายยาครู่หนึ่งแล้วก็ไปที่โรงพักซึ่งหลวงธานีเป็นสารวัตรใหญ่อยู่ เคราะห์ดีพบหลวงธานีเอง นายทองอินตรงเข้าไปพูดด้วยทันที
“ได้ยินว่าคุณหลวงจับตัวเจ้าระเด่นลันไดมาแล้วหรือขอรับ”
“ครับ จับมาได้ตะกี้นี้เอง เสียใจจับเจ้าอีกคนหนึ่งไม่ได้”
“เรื่องอะไรกัน”
“สงสัยว่าเจ้าสองคนนี้คบคิดกันทำเงินแดง”
“ค้นเครื่องมือได้ไหมครับ”
“ยังไม่ได้ เห็นจะอยู่ที่อื่น”
“ถามปากคำได้ความยังไงล่ะครับ”
“อ้ายระเด่นลันไดปฏิเสธว่าไม่รู้จักกับนายวง เงินที่ค้นได้ในตัวมันๆ ว่ามันขอทานได้ บ้านนั้นมันว่ามันอาศัยเขาอยู่ เสียค่าเช่าแต่นิดหน่อยเพราะไม่มีคนเช่า เมื่อผมขึ้นไปเห็นมันยืนอยู่ที่หน้าต่างคนเดียว ค้นจนทั่วก็ไม่พบนายวง เครื่องมือก็ไม่มี เห็นแต่น้ำมันแว๊สะลินอยู่ครึ่งกระปุก กระจกบานหนึ่ง ซักเท่าไรมันก็ยืนยันอยู่ยังงั้นว่าไม่รู้จักและไม่มีการอะไรเกี่ยวข้องกับนายวง”
“คนที่คุณเรียกว่านายวงน่ะคนนี้ใช่ไหมครับ”
พูดดังนั้นแล้วนายทองอินก็ควักรูปออกมาจากกระเป๋าหลวงธานีดูแล้วก็ตอบว่า “คนนี้แหละ”
นายทองอินจึงพูดต่อไปว่า “ถ้ายังงั้นผมจะพอรับหาตัวได้”
หลวงธานีตอบว่า “ถ้าคุณหาได้ก็ดี พวกผมค้นจนทั่วแล้วไม่ได้ตัวกลัวจะโดดลงคลองหนีไปเสียแล้ว”
นายทองอินสั่นศีรษะและตอบว่า “ไม่ได้ไปทางนั้นแน่ละครับ การที่จะโดดลงไปก็ไม่ใช่ต่ำ คงต้องดังโพล่งใหญ่ที่ไหนจะไม่รู้ ถ้าจะปีนลงก็ไม่ทัน”
หลวงธานีก็รับว่า “ข้อนี้ก็จริงอยู่”
“ผมเข้าใจว่าคุณหลวงวางคนรักษาไว้รอบแล้ว ก่อนขึ้นไปค้นไม่ใช่หรือขอรับ”
“แน่ทีเดียว แต่อาจจะหนีไปเสียก่อนนั้นแล้ว”
“ก่อนนั้นคนของผมอยู่”
“เอ๊ะคุณยังไงมีอะไรเกี่ยวข้องด้วยหรือ”
“มีขอรับ ทางส่วนตัวบุคคลเขาหาผมให้สืบ”
“ก็ถ้ายังงั้นนายวงจะไม่ได้ไปที่นั่นกระมัง”
“ไปครับ มีคนเห็นว่าได้ไปแต่เช้า”
“ยังงั้นเดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหนล่ะ”
“ดูเหมือนจะอยู่ใกล้ๆ นี่เองแหละครับ”
“ขอให้คุณบอกผมจะได้จัดการจับ”
“คุณหลวงโปรดให้หาตัวระเด่นลันไดเข้ามาในนี้เถอะครับ”
หลวงธานีก็เรียกให้พลตระเวนพาตัวระเด่นลันไดเข้ามาในห้อง นายทองอินในระหว่างนั้นได้หยิบขวดอะไรออกมาจากกระเป๋าขวดหนึ่งมากำๆ เล่นอยู่ พอระเด่นลันไดเข้ามา นายทองอินก็ถามว่า
“ยังไงเจ้าเกลอ เรียนท่านเสียโดยดีไม่ได้หรือ”
ระเด่นลันไดตอบว่า “ผมตอบตามตรงแล้ว สาบานเจ็ดวัดเจ็ดวาก็ได้”
“เงินน่ะแกหาได้ด้วยทางขอทานทั้งนั้นนะ”
“ทั้งนั้น ไม่ได้ฉ้อโกงลักขโมยใครเลย”
“เออ ถ้ายังงั้นบางทีฉันจะช่วยพูดแทนแกได้ เอ๊ะแม่โว้ย นั่นแกเป็นแผลเป็นอะไรโตจริง”
พูดดังนั้นแล้วนายทองอินก็เดินเข้าไป ทำท่าทางเหมือนจะดูแผลเป็น แต่พอเข้าใกล้พอก็เอื้อมมือเข้าลูบที่แก้มระเด่นแรงๆ
“เออ ประหลาดจริงแก้มขวาเป็นทางทีเดียว” นายทองอินแบมือให้หลวงธานีดู ก็แลเห็นเปื้อนสีเปรอะ เจ้าระเด่นลันไดมองดูนายทองอินตาค้าง ผู้ที่อยู่ในนั้นก็ต่างคนตะลึงกันหมด นายทองอินหัวเราะแล้วพูดว่า
“นายวงแกช่างเขียนหน้าจริง แกเห็นจะได้ครูดีเมื่ออยู่เมืองนอก”
ทุกๆ คนยังตกตะลึงอยู่ นายทองอินจึงพูดต่อไปว่า
“แว๊สะลินของแกไปทิ้งเสียที่บ้านระเด่นลันไดแล้ว ใช้ของฉันเถอะสำหรับล้างสีน้ำมันฝรั่งเป็นไม่มีอะไรสู้ไม่ใช่หรือ”
ฝ่ายนายวงพอเห็นว่าเป็นอันโยกโย้ไม่พ้นแล้ว ก็รับน้ำมันแว๊สะลินจากนายทองอินไปทาล้างหน้าจนสะอาด หลวงธานีนั่งดูนายวงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดกับนายทองอินว่า
“ผมแลไม่เห็นว่าคุณทราบได้ยังไงรวดเร็วเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลย ถ้าได้คุมตัวไว้นานๆ ถึงแม้ผมก็คงจับได้ เพราะสีที่ทาหน้าคงจะต้องลบไปบ้าง แต่การที่คุณรู้ก่อนนี่เป็นสิ่งประหลาด”
นายทองอินตอบว่า “ที่จริงก็ไม่สู้ประหลาดนัก ผมเองก็อยู่ข้างชอบเล่นเขียนหน้าเช่นนี้อยู่บ้าง ก็ท่าทางเห็นจะได้วิชามาจากแห่งเดียวกับนายวง เพราะฉะนั้นศิลปศรถึงไม่กินอย่างเขาว่ากันในเรื่องละครนอกจากนั้นก็ต้องขอบใจหูนายวงเอง คนเราจะแก้อะไรๆ ได้ทั้งนั้น แต่หูแก้ยากนักนอกจากตัดเสียเท่านั้นถึงจะจำไม่ได้ ขอให้คุณเอารูป ๒ รูปนี้เปรียบกันเข้าคงจะแลเห็นได้ ว่าผมทราบได้อย่างไร ว่านายวงกับระเด่นลันไดนั้นคนเดียวกัน”
ว่าแล้วก็ส่งรูปนายวงกับรูประเด่นลันไดที่ถ่ายใหม่ให้หลวงธานีดู หลวงธานีก็รับรองว่าเป็นจริงตามนายทองอินว่า นายทองอินพูดต่อไปว่า
“ที่จริงแต่แรกผมก็เป็นแต่เดาๆ พอไปขอถ่ายรูประเด่นลันไดแกไม่ใคร่ตกลงก็ให้เกิดสงสัย แต่ก็ยังไม่แน่ จึงไปสืบถามต่อไปได้ความว่ายังไม่มีใครเคยเห็นนายวงกับระเด่นลันไดพร้อมกันทั้งสองคนเลยพอทราบเช่นนั้น ผมก็ตกลงในใจว่าคงจะเป็นคนเดียวกันแน่เท่านั้นแหละขอรับ แจ่มแจ้งหรือยัง”
หลวงธานีรับว่า “จริงแจ่มแจ้งทีเดียว ผมเสียใจที่ลูกสมุนผมมันไม่ได้ครึ่งลูกสมุนของคุณ”
นายทองอินยิ้มและตอบว่า “ผมยินดีที่คุณหลวงสรรเสริญคนใช้ผมยินดียิ่งกว่าสรรเสริญตัวผมเองมาก ก็นี่จะทำยังไงกันต่อไปล่ะขอรับ”
หลวงธานีตอบว่า “ก็เมื่อการมันกลายเป็นเช่นที่เป็นมานี้ก็เห็นจะต้องปล่อยนายวงไป”
นายทองอินรับรองว่า “จริงอยู่ขอรับ จะฟ้องร้องเขาว่ากระไรก็ไม่ได้ เขาก็ไม่ได้หากินในทางไม่ชอบธรรมอย่างไรเลย เออนายวงภรรยาแกคงจะยินดีมากเมื่อได้ทราบความจริง ที่จริงแกไม่ควรปิดเขาเลย ฉันหวังใจว่าแกจะกลับไปเล่าความให้เขาฟังเสียเองให้ตลอด ฉันจะได้ไม่ต้องเป็นผู้ไปเล่า”
นายวงพูดมีเสียงโกรธๆ ว่า “ผมไม่บอกเลย ผมไม่คิดจะไปหาแม่แช่มอีก”
นายทองอินร้องว่า “อ๊ะอะไรอย่างงั้น”
นายวงพูดว่า “ธรรมดาเมียที่ไม่ไว้ใจผัวแล้วต้องแปลว่าไม่รักจริง ถ้ารักจริงต้องไว้ใจ นี่อะไรทำวุ่นวายจนเกิดฉาวให้ผมได้รับความอับอาย ผมจะดูหน้าใครได้อีก มนุษย์คนใดจะคบผมอยู่ไม่ได้ ต้องไปเสียจากกรุงเทพฯ”
ทั้งนายทองอินและข้าพเจ้าจะว่ากล่าวสักเท่าใดนายวงก็หาเชื่อฟังไม่ ลุกเดินออกจากโรงพักดุ่มๆ ไป ไม่ช้าก็ได้ข่าวว่าลงเรือเมล์ไป จะไปไหนก็ไม่ทราบ ไม่ได้มีใครพบเห็นอีกตั้งแต่วันนั้นจนบัดนี้
เรื่องนี้มีต่ออีกนิดเดียว แม่แช่มเมื่อทราบความจริงก็มิได้พูดอะไร ครั้นทราบว่านายวงไปเสียแล้วก็ไม่คิดติดตาม เพราะหล่อนทราบว่าเขาสิ้นรักหล่อนแล้ว พอถึงเวลาอันสมควรหล่อนก็ยื่นฟ้องต่อศาลขอหย่าจากนายวง จำเลยไม่สู้ความก็เป็นอันตกลงขาดจากสามีภรรยากันตามกฎหมาย
เดี๋ยวนี้แม่แช่มเป็นภรรยาข้าพเจ้า อยู่ด้วยกันปรองดองดี ข้าพเจ้ายังนึกขอบใจเจ้าระเด่นลันไดอยู่เสมอในการที่ข้าพเจ้าได้รับความสุขอยู่ทุกวันนี้
นายแก้ว
นายขวัญ