อธิบายเรื่อง นกกระจาบกลอนสวด
[๑]เรื่องนกกระจาบเป็นนิทานไทยโบราณมีเค้าเรื่องปรากฏใน “สรรพสิทธิชาดก” อันเป็นปัญญาสชาดกเรื่องหนึ่ง นิทานเรื่องนี้เคยเป็นที่รู้จักแพร่หลายในสังคมไทย กวีในอดีตนำมาประพันธ์เป็นร้อยกรองหลายสำนวน เช่น นกกระจาบกลอนสวดสำนวนที่แต่งในสมัยรัชกาลที่ ๑ และสรรพสิทธ์คำฉันท์ พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นต้น
การชำระต้นฉบับ
เรื่องนกกระจาบกลอนสวดนี้ กรมศิลปากรยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ แม้เรื่องดังกล่าวจะไม่มีความโดดเด่นในด้านกวีโวหาร แต่ก็นับว่ามีคุณค่าต่อการศึกษาในเชิงคติชนวิทยาและขนบประเพณีไทยโบราณ การตรวจสอบชำระเพื่อจัดพิมพ์เผยแพร่ในครั้งนี้ใช้เอกสารสมุดไทยซึ่งเก็บรักษาไว้ที่กลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ตามรายละเอียดดังนี้
เอกสารเลขที่ ๖๗๙ |
หมวดวรรณคดี หมู่กลอนสวด เรื่องนกกระจาบ (เล่ม ๑) ประวัติ ทายาทหลวงดรุณกิจวิทูร มอบให้หอสมุดแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘ |
เอกสารเลขที่ ๖๘๐ |
หมวดวรรณคดี หมู่กลอนสวด เรื่องนกกระจาบ (เล่ม ๒) ประวัติ หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) มอบให้หอพระสมุดฯ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๐ |
เอกสารเลขที่ ๖๘๒ |
หมวดวรรณคดี หมู่กลอนสวด เรื่องนกกระจาบ (เล่ม ๑) ประวัติ หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) มอบให้หอพระสมุดฯ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๐ |
เอกสารเลขที่ ๖๘๓ |
หมวดวรรณคดี หมู่กลอนสวด เรื่องนกกระจาบ (เล่ม ๑) ประวัติ ทายาทหลวงดรุณกิจวิทูร มอบให้หอสมุดแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘ |
เอกสารเลขที่ ๖๙๒ |
หมวดวรรณคดี หมู่กลอนสวด เรื่องนกกระจาบ (เล่ม ๒) ประวัติ ประชาชนมอบให้หอสมุดแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๕ |
เอกสารเลขที่ ๖๙๓ |
หมวดวรรณคดี หมู่กลอนสวด เรื่องนกกระจาบ ประวัติ หอพระสมุดฯ ซื้อ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๖ |
เอกสารเลขที่ ๖๙๔ |
หมวดวรรณคดี หมู่กลอนสวด เรื่องนกกระจาบ ประวัติ ได้มาจากกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี |
สมุดไทยที่กล่าวมาทั้งหมด (ยกเว้นเอกสารเลขที่ ๖๙๔) เป็นเรื่องนกกระจาบกลอนสวดสำนวนที่แต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ และในจำนวนสมุดไทยต้นฉบับดังกล่าวนั้นมีเพียงเอกสารเลขที่ ๖๙๓ ฉบับเดียว ที่ปรากฏเนื้อหาคำประพันธ์ต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ดังนั้น จึงใช้เอกสารฉบับนี้เป็นหลักในการตรวจสอบชำระ เนื่องจากเอกสารทุกฉบับที่เป็นตัวเขียนมักมีความบกพร่องซึ่งสันนิษฐานว่าเกิดจากการคัดลอก กล่าวคือ คำประพันธ์ในแต่ละฉบับไม่ครบบริบูรณ์ บางบทหาย ไป ๑-๒ วรรค บางวรรคจำนวนคำไม่ครบตามฉันทลักษณ์ บางฉบับหายไปหลายๆ บท ในการชำระต้องใช้วิธีสอบทานเอกสารทุกฉบับ แล้วประมวลข้อความที่สมบูรณ์จากฉบับต่าง ๆ มาเติมลงในฉบับที่บกพร่อง จนได้ความครบบริบูรณ์
เรื่องนกกระจาบกลอนสวดสำนวนที่แต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ มีข้อความระบุวันเวลาและศักราชที่แต่งไว้ดังนี้
๏ ข้าแต่งนิบาต | |
พุทธศักราช | ล่วงแล้วนานมา |
สองพันสามร้อย | ห้าสิบพระวสา |
เศษสังขยา | ยังไม่ทันถึงเดือน |
๏ มีเศษเจ็ดวัน | |
อันล่วงไปนั้น | บ่ได้ฟั่นเฟือน |
ล่วงไปเจ็ดวัน | ไม่ทันถึงเดือน |
กลัวจะฟั่นเฟือน | คลาดเคลื่อนคืนวัน |
๏ ปีเถาะนพศก | |
วันศุกร์เดือนหก | แรมแปดค่ำนั้น |
เพลาเช้าตรู่ | ฤดูคิมหันต์ |
กำหนดคือวัน | เมื่อลงอักษร |
๏ ข้าใช่นักปราชญ์ | |
ใช่บัณฑิตชาติ | ฉลาดกล่าวกลอน |
ได้ฟังมานาน | นิทานแต่ก่อน |
แม้นผิดบทกลอน | จากพระบาลี |
๏ ตัวข้านี้ไซร้ | |
ด้วยมีน้ำใจ | เลื่อมใสยินดี |
แต่งเรื่องสกุณา | ตามพระบาลี |
ฉบับไม่มี | แต่งตามปัญญา |
คำประพันธ์ดังกล่าวระบุว่า “เรื่องนกกระจาบกลอนสวดสำนวนนี้ เริ่มแต่ง (ลงอักษร) เมื่อวันศุกร์ แรม ๘ ค่ำ ปีเถาะนพศก (จุลศักราช ๑๑๖๙) หลังจากล่วงพุทธศักราช ๒๓๕๐ ไปแล้ว ๗ วัน” การนับพุทธศักราชถือเอาวันวิสาขบูชา (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖) ปีหนึ่งไปบรรจบอีกปีหนึ่ง ดังนั้น “สองพันสามร้อยห้าสิบพระวสา ... มีเศษเจ็ดวัน” จึงเป็นช่วงต้นพุทธศักราช ๒๓๕๑ อันเป็นปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ผู้ประพันธ์บอกไว้ในตอนต้นของกลอนสวดว่า แต่งเรื่องนี้ขึ้นจากนิทานที่ได้ฟังมา ไม่มีฉบับสอบทาน ดังนั้นจึงมีหลายประเด็นแตกต่างไปจากปัญญาสชาดก โดยเฉพาะนิทานนกกระจาบที่อยู่ตอนต้นของกลอนสวดนั้นไม่ปรากฏในปัญญาสชาดก
เรื่องย่อ
สนัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร พระอรหันตสาวกทั้งหลายมาประชุมกันที่โรงธรรมสภา สนทนาสรรเสริญพระปัญญาธิคุณของพระพุทธองค์ว่าประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งปวง พระพุทธเจ้าทรงทราบข้อสนทนานั้นด้วยทิพโสตญาณจึงเสด็จมายังโรงธรรมสภาแล้วตรัสเทศนาอดีตนิทานแสดงถึงพระปัญญาบารมีครั้งเสวยพระชาติเป็นสรรพสิทธิกุมารว่า
ปางก่อนพระพุทธองค์ได้เสวยพระชาติเป็นนกกระจาบ ทำรังอยู่กับภริยาในป่าอ้อ ทุกวันพ่อนกจะออกแสวงหาอาหารและเกสรดอกไม้มาฝากแม่นกซึ่งกกลูกน้อยอยู่ในรัง เช้าวันหนึ่งพ่อนกบินไปถึงสระมีดอกบัวบานงามนัก จึงโผบินลงคลุกเคล้าเกสรหมายจะเอากลิ่นหอมไปฝากภริยา ครั้นตะวันสายดอกบัวนั้นต้องแสงอาทิตย์ก็ค่อย ๆ หุบกลีบเข้าหากัน พ่อนกมัวเพลินอยู่จึงถูกกลีบบัวหุ้มกายไว้ไม่สามารถบินออกมาได้ บังเอิญวันนั้นเกิดไฟป่าลุกไหม้ลามมาถึงรัง แม่นกพยายามนำลูกน้อยออกไปให้พ้นภัยก็ไม่สำเร็จในที่สุดลูกทั้งหมดก็ตายในกองเพลิง ตะวันลับฟ้าดอกบัวก็คลี่กลีบบานรับแสงจันทร์ พ่อนกรีบบินกลับรังโดยเร็ว ครั้นถึงได้เห็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นก็เสียใจนัก ฝ่ายแม่นกได้กลิ่นหอมของเกสรบัวที่ติดกายสามีมาก็เข้าใจผิดว่าพ่อนกไปมีชู้ จะอธิบายอย่างไรนางก็ไม่ยอมเชื่อ นางตั้งจิตอธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าจะไม่ขอเจรจากับผู้ชาย พ่อนกได้ยินดังนั้นก็อธิษฐานตามว่า เกิดชาติใดขอให้ได้เป็นคู่กับนางอีก แม้นางจะไม่ยอมพูดกับชายอื่นแต่ขอให้พูดกับตน แล้วทั้งสองก็บินเข้ากองไฟตายไปพร้อม ๆ กัน[๒]
พ่อนกไปเกิดเป็นบุตรของโกณฑัญเศรษฐีกับนางเขมา ชาวบ้านจันทคามใกล้กรุงพาราณสี ได้นามว่าสรรพสิทธิกุมาร[๓] มีรูปโฉมงดงามและมีปัญญาฉลาดเฉลียว เมื่ออายุได้ ๑๕ ปี สรรพสิทธิกุมารกับพี่เลี้ยงก็ลาบิดามารดาไปเรียนวิชาในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ที่เมืองตักกสีลา ทั้งสองเรียนวิชาถอดหัวใจออกจากร่างให้เข้าไปอยู่ในสิ่งต่าง ๆ ได้ ฝ่ายแม่นกไปเกิดเป็นนางสุวรรณเกสร[๔] พระธิดาของพระเจ้าพรหมทัตกับนางโกสุมแห่งเมืองพาราณสี ตั้งแต่เล็กนางไม่ยอมเจรจากับชายใดเลยแม้แต่พระบิดาของนางเอง ครั้นเจริญชันษาได้ ๑๕ ปี ท้าวพรหมทัตทรงเห็นว่านางควรจะมีคู่ครอง พระบิดาจึงประกาศไปยังหัวเมืองน้อยใหญ่ว่า ผู้ใดสามารถทำให้พระธิดาพูดด้วยจะยกนางให้เป็นคู่ครองและอภิเษกให้เป็นอุปราชกรุงพาราณสีด้วย พระองค์สั่งพนักงานไว้ว่าหากได้ยินนางพูดกับผู้ใดให้ประโคมดนตรีขึ้น ชายหนุ่มทั้งหลายต่างผลัดเปลี่ยนกันองค์ละคืนนั่งเฝ้าอยู่ที่ประตูปราสาทพยายามอ้อนวอนให้นางพูดด้วยก็ไม่สำเร็จ
ยังมีอำมาตย์ผู้หนึ่งไปเยี่ยมโกณฑัญเศรษฐีที่บ้านจันทคาม ได้พบสรรพสิทธิกุมารซึ่งเดินทางกลับจากสำนักอาจารย์เพิ่งถึงบ้านบิดา อำมาตย์นั้นนำความขึ้นกราบทูลท้าวพรหมทัต พระองค์จึงรับสั่งให้สรรพสิทธิกุมารเข้าไปเฝ้า ครั้นทอดพระเนตรเห็นรูปโฉมก็พอพระทัย จึงให้ทดลองเจรจากับพระธิดาตามกติกาที่ตั้งไว้ ครั้นถึงเวลาค่ำสรรพสิทธิกุมารก็ลอบถอดเอาหัวใจของพี่เลี้ยงเข้าไปด้วย ยามที่ ๑ นำหัวใจของพี่เลี้ยงไปใส่ที่บานประตูปราสาทแล้วชวนกันสนทนา ขอให้บานประตูเล่านิทานให้ฟังแก้ง่วงนอน บานประตูตอบว่าไม่มีความรู้ สรรพสิทธิกุมารจึงเล่านิทานเรื่องที่ ๑ ให้ฟัง เรื่องมีว่า ชาย ๔ คนเป็นสหายกัน ชายคนแรกมีวิชายิงธนู คนที่ ๒ รู้วิชาหมอดู คนที่ ๓ รู้วิชาประดาน้ำและคนที่ ๔ รู้วิชาชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้น ทั้ง ๔ นั่งสนทนากันอยู่ริมฝั่งน้ำ คนหนึ่งถามขึ้นว่า วันนี้เราจะมีลาภอย่างไรหรือไม่ ชายที่เป็นหมอดูจับยามแล้วบอกว่า จะมีนกอินทรีคาบหญิงงามผ่านมาบัดนี้ ชายที่เป็นนายขมังธนูจึงยิงธนูขึ้นไป นกอินทรีตกใจก็ปล่อยนางตกลงในแม่น้ำถึงแก่ความตาย ชายนักประดาน้ำจึงงมร่างนางขึ้นมาและชายอีกคนหนึ่งชุบชีวิตนางฟื้นคืนชีพ ครั้นจบนิทานสรรพสิทธิกุมารจึงถามบานประตูว่า ชายทั้ง ๔ นั้น ใครควรจะได้นางเป็นภริยา หัวใจของพี่เลี้ยงในบานประตูตอบว่า ชายที่เป็นหมอดูควรจะได้เป็นสามีเพราะเป็นเหตุเบื้องต้นให้ได้นางมา นางสุวรรณเกสรได้ยินบานประตูพูดได้ก็อัศจรรย์ ตั้งใจฟังนิทานของสรรพสิทธิกุมารตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่เห็นด้วยกับคำตอบของบานประตูก็ค้านว่า ชายนักประดาน้ำควรจะได้นางเป็นภริยาเพราะได้ “ถึงเนื้อถึงตัว เหมือนผัวเหมือนชู้” พนักงานได้ยินเสียงนางเจรจาก็ประโคมดนตรีขึ้น
ยามที่ ๒ พนักงานจัดการย้ายที่ให้มาอยู่ใกล้ชวาลา สรรพสิทธิกุมารจึงถอดหัวใจของพี่เลี้ยงจากบานประตูไปใส่ไว้ในชวาลา ชวนกันสนทนาและเล่านิทานที่ ๒ ให้ฟังว่า มีชาย ๔ คนเป็นช่างทำประตูศาลาการเปรียญ ชายคนแรกทำหน้าที่ตัดแต่งไม้ ชายคนที่ ๒ เป็นช่างจิตรกรรม วาดรูปนางงามลงบนแผ่นไม้ ชายคนที่ ๓ แกะสลักให้เป็นรูปนางงาม ชายคนที่ ๔ ชุบรูปนั้นให้มีชีวิตขึ้นและมีชายอีกคนหนึ่งนำเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้นาง ชายทั้งนั้นตกลงกันไม่ได้ว่า นางควรจะเป็นของผู้ใด สรรพสิทธิกุมารจึงถามความเห็นจากชวาลาหัวใจชองพี่เลี้ยงตอบว่า ควรจะได้แก่ชายคนที่นำเสื้อผ้ามาสวมปกปิดให้นางพ้นความอาย นางสุวรรณเกสรประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นชวาลาพูดได้ ครั้นได้ฟังนิทานไปจนจบนางจึงค้านว่าชวาลาตอบปัญหาไม่ถูก ชายที่เป็นช่างแกะสลักต่างหากที่ควรจะได้นางเป็นภริยา ชาวพนักงานได้ยินเสียงนางเจรจาก็ประโคมดนตรีอื้ออึงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ยามที่ ๓ พนักงานเลื่อนที่ให้ไปอยู่ใกล้พานพระศรี สรรพสิทธิกุมารก็ถอดเอาหัวใจพี่เลี้ยงจากชวาลาไปไว้ในพานพระศรี ชวนสนทนาแล้วเล่านิทานที่ ๓ ว่า นายโจรผู้หนึ่งปล้นทรัพย์สมบัติได้เป็นอันมากก็นำไปซ่อนไว้ในถํ้ากลางป่าลึก อยู่มานายโจรเกรงว่าจะไม่มีผู้ใดดูแลทรัพย์สมบัติต่อจากตน จึงไปลักพาตัวเด็กหญิงคนหนึ่งมาเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม ครั้นบุตรนั้นอายุได้ ๑๕ ปีก็ล้มป่วยด้วยโรคระดู นายโจรจึงไปบังคับยายหมอชราให้ไปรักษาบุตร ระหว่างเดินทางยายหมอชราได้นำเมล็ดพันธุ์ผักหว่านลงเป็นระยะ ๆ เมื่อถึงที่พำนักของนายโจรก็ประกอบยารักษาจนนางหายเป็นปกติ นายโจรจึงขอให้ยายหมออยู่เป็นเพื่อนบุตรสาวของตนต่อไป อยู่มาถึงฤดูฝนเมล็ดพันธุ์ผักก็งอกงามเติบโตขึ้น สบโอกาสหญิงชราจึงลอบหนีกลับมาตามทางที่หว่านเมล็ดพันธุ์ผักไว้ ต่อมานางได้แนะนำให้ชายหนุ่มคนหนึ่งลอบไปทำชู้กับบุตรสาวของนายโจรจนนางตั้งครรภ์ นางซ่อนสามีไว้ในมวยผมโดยที่บิดาไม่รู้ วันหนึ่งนายโจรลอบขึ้นไปนอนบนคบไม้ริมทางใกล้สระน้ำ ชายเดินทางผู้หนึ่งอมภริยาไว้ในปาก ครั้นมาถึงสระน้ำก็คายภริยาออกจากปากวางไว้แล้วลงไปอาบน้ำ ฝ่ายภริยาซึ่งอมชายชู้ไว้ในปากก็คายชู้ออกมาร่วมอภิรมย์ โดยที่สามีมิได้ล่วงรู้ ชายเดินทางอาบน้ำเสร็จก็ขึ้นจากสระและอมภริยาไว้ดังเดิม ฝ่ายภริยาก็อมชู้ซ่อนไว้อีก นายโจรเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจึงออกปากชวนชายเดินทางให้แวะไปยังที่พำนักของตนก่อน ครั้นถึงนายโจรก็ให้บุตรสาวเตรียมสำรับกับข้าวสำหรับแขก ๖ คน บุตรสาวก็นึกสงสัยเพราะเห็นผู้เป็นพ่อพาแขกมาเพียงคนเดียว เมื่อนางยกสำรับกับข้าวออกมา นายโจรจึงบอกให้ชายเดินทางคายภริยาที่อมไว้ในปากออกมาร่วมสำรับ และบอกให้หญิงภริยาคายชายชู้ออกมาด้วย ฝ่ายบุตรสาวเข้าใจว่าบิดารู้ความลับทั้งหมดจึงนำชายชู้ออกมาจากมวยผม นายโจรน้อยใจจึงไปโดดหน้าผาตาย ชายเดินทางก็น้อยใจภริยาจึงไปโดดหน้าผาตายตามนายโจร ภริยา ชายชู้ บุตรสาวและชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็สำนึกผิด พากันไปโดดหน้าผาตายทั้งหมด ข่าวรู้ไปถึงหมอชรา คิดว่านางเป็นต้นเหตุให้คนอื่นต้องตาย เกิดสังเวชใจจึงกลั้นใจตายตามไปอีกคนหนึ่ง ครั้นจบนิทานสรรพสิทธิกุมารจึงถามพานพระศรีว่า บาปทั้งหมดจะตกอยู่แก่ใคร หัวใจของพี่เลี้ยงตอบว่า บาปนั้นตกอยู่แก่ชายหนุ่มที่ลอบไปเป็นชู้กับบุตรสาวของนายโจร นางสุวรรณเกสรค้านว่าไม่ถูกต้อง เพราะหญิงชราผู้เป็นต้นเหตุควรจะรับบาปทั้งหมด พนักงานได้ยินเสียงนางเจรจาจึงประโคมดนตรีขึ้นอีก
ยามที่ ๔ พนักงานเลื่อนสรรพสิทธิกุมารไปไว้ที่หน้าม่าน พระโพธิสัตว์ก็ถอดหัวใจของพี่เลี้ยงออกจากพานพระศรีไปใส่ไว้ที่ม่าน ชวนสนทนาแล้วเล่านิทานที่ ๔ ว่า หญิงสาว ๔ คนต้องการหาสามีที่เฉลียวฉลาดได้พบกับชาย ๔ คนจึงนัดแนะให้ฝ่ายชายไปหาที่เรือนในเวลากลางคืนโดยบอกสถานที่เป็นปริศนา หญิงคนที่ ๑ เอามือชี้ที่เต้านม หญิงคนที่ ๒ ดึงผมมาปกไว้ที่หน้าผาก หญิงคนที่ ๓ เอามือชี้ที่คาง ส่วนหญิงคนที่ ๔ บอกว่าบ้านของนางอยู่ที่ตลาดจอแจ ชายผู้โง่เขลาทั้ง ๔ ต่างตีปริศนาของนางไม่ออก ครั้นคํ่าก็พากันออกเที่ยวหา จนมาพบนักโทษคนหนึ่งถูกจองจำอยู่จึงขอให้ช่วยแก้ปัญหา นักโทษขอดื่มน้ำแล้วไขว่า หญิงคนที่ ๑ นั้นปลูกน้ำเต้าไว้หน้าบ้าน หญิงคนที่ ๒ หน้าบ้านมีต้นไทรย้อย หญิงคนที่ ๓ ที่ประตูบ้านมีต้นคางและหญิงคนที่ ๔ บ้านอยู่ใกล้กอไผ่มีรังนกกระจาบอยู่ตรงประตู ชายผู้โง่เขลารีบตรงไปตามที่นักโทษบอกก็ได้พบหญิงเจ้าปัญญา นางถามว่า ใครเป็นผู้แก้ปริศนาได้ ชายทั้ง ๔ พาซื่อ เล่าเรื่องราวให้ฟัง จึงถูกนางขับไล่ไป รุ่งเช้านางก็นำทรัพย์คนละเท่า ๆ กัน ไปไถ่ตัวนักโทษผู้นั้นมาเป็นสามี หญิงคนที่ ๑ ทำหน้าที่ตักน้ำตำข้าว หญิงคนที่ ๒ ทำหน้าที่เป็นแม่ครัว หญิงคนที่ ๓ ทำหน้าที่จัดหมากพลู และหญิงคนที่ ๔ ทำหน้าที่จัดที่หลับนอน เมื่อจบนิทานแล้วสรรพสิทธิกุมารก็ถามม่านว่า หญิงทั้ง ๔ นั้นใครควรจะได้เป็นภริยาหลวง หัวใจของพี่เลี้ยง ตอบว่า หญิงที่ทำหน้าที่เป็นแม่ครัว นางสุวรรณเกสรได้ยินดังนั้นก็ค้านว่า หญิงคนที่จัดเตรียมที่นอนให้นั้นควรจะเป็นภริยาหลวง พนักงานก็พากันประโคมดนตรีขึ้นเป็นคำรบ ๔ ท้าวพรหมทัตจึงจัดพิธีอภิเษกและตั้งให้สรรพสิทธิกุมารเป็นอุปราชกรุงพาราณสี[๕]
อยู่มาสรรพสิทธิกุมารออกประพาสป่ากับพี่เลี้ยงตามลำพัง ครั้นไปถึงกลางป่าพบกวางตัวหนึ่งเพิ่งตายใหม่ ๆ สรรพสิทธิกุมารบอกให้พี่เลี้ยงคอยดูแลร่างของตนไว้แล้วถอดหัวใจเข้าไปในร่างกวาง ท่องเที่ยวไปกับฝูงกวางอย่างสำราญ ฝ่ายพี่เลี้ยงทรยศ คิดใคร่จะได้นางสุวรรณเกสรและราชสมบัติ จึงถอดหัวใจเข้าในร่างสรรพสิทธิกุมารและเผาร่างเดิมของตนแล้วกลับเข้ามายังกรุงพาราณสี นางสุวรรณเกสรสังเกตเห็นกิริยาของพระสามีผิดไปจากเดิมก็ไม่วางพระทัย คิดว่าคงจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับสรรพสิทธิกุมารเป็นแน่
ใกล้ค่ำ สรรพสิทธิกุมารในร่างกวางก็กลับมายังจุดนัดหมาย พบร่องรอยร่างของพี่เลี้ยงถูกเผาก็เดาเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้โดยตลอด พยายามเดินทางมาในกลางคืนจนได้พบร่างของนกแก้วตัวหนึ่ง จึงถอดหัวใจออกจากกวางเข้าไปอยู่ในร่างนกแก้วแล้วบินกลับมาพบนางสุวรรณเกสรและเล่าความเป็นไปทั้งหมดให้นางฟัง สรรพสิทธิกุมารออกอุบายให้นางสุวรรณเกสรลวงพี่เลี้ยงว่า นางใคร่จะเห็นพระสามีสำแดงวิชาถอดหัวใจให้ดู นางซ่อนนกแก้วไว้แล้วอ้อนวอนจนพี่เลี้ยงในร่างสรรพสิทธิกุมารหลงเชื่อ สั่งเสนาให้ไปหาซากสัตว์ตายใหม่ ๆ มาเตรียมไว้สำหรับสำแดงวิชาถอดหัวใจ เสนาได้ซากแพะมาตัวหนึ่ง เมื่อถึงเวลานางสุวรรณเกสรก็ลอบเอานกแก้วใส่หีบนำไปยังพลับพลา พอพี่เลี้ยงถอดหัวใจเข้าในร่างแพะ สรรพสิทธิกุมารก็ออกจากร่างนกแก้วคืนเข้าไปในรูปเดิมแล้วสั่งให้ฆ่าแพะทรยศผ่าอกแหวะหัวใจออก พี่เลี้ยงก็ถึงแก่ความตายโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ความนัย[๖]
สรรพสิทธิกุมารและนางสุวรรณเกสรได้ครองกรุงพาราณสี ต่อจากท้าวพรหมทัต ประชาราษฎรต่างมีความสุขทั่วกัน ตอนท้ายของกลอนสวดเป็นการประชุมชาดกว่า ท้าวพรหมทัตกลับชาติมาเป็นพระอานนท์ นางโกสุมกลับชาติเป็นนางมลิกาภิกขุณี โกณฑัญเศรษฐีเป็นพระเจ้าสิริสุทโธทนะ นางเขมาเป็นพระนางสิริมหามายา นางสุวรรณเกสรกลับชาติเป็นพระนางพิมพาและสรรพสิทธิกุมารคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นกกระจาบกลอนสวดสำนวนที่ ๒
ต้นฉบับสมุดไทยเรื่องนกกระจาบกลอนสวด เอกสารเลขที่ ๖๙๔ เป็นอีกสำนวนหนึ่งซึ่งมีเนื้อเรื่องต่างไปจากที่กล่าวมาแล้ว ทั้งสำนวนโวหารในการประพันธ์ก็ดีกว่า แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ต้นฉบับที่พบไม่ครบทั้งเรื่อง ความในตอนต้นและตอนปลายหายไป เหลืออยู่เพียงตอนกลางซึ่งพอจะลำดับเรื่องราวได้ดังนี้
พระไชยบัณฑิตเป็นพระโอรสของท้าวมัททราชกับนางเกสรแห่งนครมัททรา พระไชยบัณฑิตกับพี่เลี้ยงชื่อนายสนิทบดีลาพระบิดาพระมารดาเดินทางไปศึกษาวิชาในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ที่เมืองตักกสีลาเป็นเวลา ๓ ปี ครั้นสำเร็จแล้วจึงพากันเดินทางกลับแต่พลัดหลงเข้าไปในแดนเมืองยักษ์จนเกิดต่อสู้กัน ยักษ์สู้ไม่ได้จึงถวายคาถาวิชาถอดดวงใจให้พระไชยบัณฑิตเดินทางออกจากเมืองยักษ์ไป จนถึงเมืองพิไชยนครของท้าวพิทูรราชและนางอุบลมาลี (หรือเอกมาลี) มีพระธิดาชื่อนางสุวรรณมณี นางไม่ยอมเจรจากับชายใด
เนื่องจากไม่พบต้นฉบับเนื้อความตอนต้นเรื่องจึงไม่ทราบว่าเรื่องดำเนินมาอย่างไร หน้าแรกของสมุดไทยเอกสารเลขที่ ๖๙๔ เริ่มความตั้งแต่พระไชยบัณฑิตถอดหัวใจของพี่เลี้ยงใส่ไว้ในพระเขนย แล้วเล่านิทานว่า สตรีคนที่ ๑ กระเดียดหม้อน้ำเดินมา น้ำหกใส่ทำให้ผิวของนางชํ้าหมอง สตรีคนที่ ๒ ได้ยินเสียงกลองก็ทำให้ผิวของนางชํ้าหมอง สตรีคนที่ ๓ ต้องแสงอาทิตย์ทำให้ผิวชํ้าหมองและสตรีคนที่ ๔ ต้องแสงจันทร์ก็ทำให้ผิวของนางชํ้าหมอง พระไชยบัณฑิตถามพระเขนยว่า นางทั้ง ๔ นี้ ผิวพรรณของใครอ่อนที่สุด พระเขนยตอบว่า นางคนที่ผิวหมองช้ำเพราะต้องน้ำนั้นมีผิวอ่อนละมุนที่สุด นางสุวรรณมณีค้านว่าผิด เพราะหญิงคนที่ผิวหมองช้ำเพราะต้องแสงจันทร์นั้นมีผิวอ่อนที่สุด
ท้าวพิทูรราชจัดการอภิเษกพระไชยบัณฑิตกับพระธิดา ความในกลอนสวดสำนวนที่ ๒ นี้กล่าวต่อไปว่า มีอาจารย์ ๒ คนในเมืองพิไชยนครตั้งปัญหาถามกันว่า เหตุไฉนนางสุวรรณมณีพระธิดาของท้าวพิทูรราชจึงไม่ยอมเจรจากับชายใดมาก่อน อาจารย์อีกผู้หนึ่งตอบข้อถามโดยยกนิทานเรื่องนกกระจาบสามีภริยาซึ่งมีเค้าเรื่องเหมือนที่กล่าวในกลอนสวดสำนวนที่ ๑
อย่างไรก็ตาม แม้กลอนสวดทั้ง ๒ สำนวนจะระบุว่า เรื่องนี้มีที่มาจากปัญญาสชาดกและแต่งขึ้นจากความทรงจำ ทำให้รายละเอียดของเรื่องแตกต่างกันไป หลายประเด็นที่ไม่ปรากฏในปัญญาสชาดกแต่มีในกลอนสวด ลักษณะเช่นนี้มักปรากฏในร้อยกรองที่ประพันธ์ขึ้นจากปัญญาสชาดกหลายเรื่อง
ในการตรวจสอบชำระเรื่องนกกระจาบกลอนสวดเพื่อจัดพิมพ์เผยแพร่ครั้งนี้ ได้ปรับอักขรวิธีบางส่วนให้ใกล้เคียงกับปัจจุบัน เพื่อประโยชน์แก่นักเรียน นักศึกษา ส่วนท่านที่ประสงค์จะอ่านอักขรวิธีตามต้นฉบับโปรดดูจากสำเนาเอกสารเลขที่ ๖๙๓ ซึ่งพิมพ์ไว้ในภาคผนวกของหนังสือนี้
[๑] นายบุญเตือน ศรีวรพจน์ เรียบเรียง
[๒] ปัญญาสชาดกไม่ปรากฏเรื่องตอนนี้
[๓] ปัญญาสชาดกว่า สรรพสิทธิกุมารเป็นโอรสของท้าววิชัยราชกับนางอุบลเทวีกษัตริย์แห่งเมืองอลิกนคร
[๔] ปัญญาสชาดกว่า นางสุวรรณโสภา ธิดาของท้าวอุสภราชวับนางกุสุมพะแห่งกรุงคิริภชนคร
[๕] นิทานที่สรรพสิทธิกุมารเล่าบางเรื่องต่างไปจากปัญญาสชาดก
[๖] เนื้อความตอนพี่เลี้ยงทรยศนี้ไม่ปรากฏในปัญญาสชาดก